หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า SCG Packaging (SCGP) เตรียมผ่านจุดต่ำสุดใน 4Q67 และกลับมาฟื้นตัวในปี 2568
คาดกำไรจะผ่านจุดต่ำสุดของรอบใน 4Q67
เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 4Q67 ที่ระดับ 500-600 ล้านบาท ลดลง/ทรงตัว QoQ และลดลง YoY แม้คาดอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ IPC เริ่มฟื้นตัว (ผลจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลง) หลังถูกกดดันจากการรับรู้ผลขาดทุนจาก Fajar หลังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 100% แบบเต็มไตรมาส (คาดผลขาดทุนของ Fajar ในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ราว 500 ล้านบาท +/-) และต้นทุนทางการเงินที่คาดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 700 ล้านบาท (เทียบกับ 628 ล้านบาทใน 3Q67) จากการรับรู้ดอกเบี้ยจากเงินกู้ที่ใช้ในการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน Fajar แบบเต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก รวมถึงค่าใช้จ่าย SG&A ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY ตามผลของฤดูกาล ปริมาณขายที่เร่งตัวขึ้น และค่าขนส่งระหว่างประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้เรามองว่ากำไร 4Q67 จะเป็นจุดต่ำสุดของรอบ และเริ่มเห็นการฟื้นตัวของกำไรของบริษัทฯ ได้ตั้งแต่ช่วง 1Q68 เป็นต้นไปตามผลประกอบการของ Fajar ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง (ผลจากเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัว)
ปรับประมาณการปี 2567-69 ลงหลังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนช้ากว่าคาด
ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรปี 2567-69 ลง 7-13% เป็น 4,291 ล้านบาท (-17% YoY), 4,449 ล้านบาท (+4% YoY) และ 5,244 ล้านบาท (+18% YoY) ตามลำดับ เพื่อสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ช้ากว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้านี้ หลังทางการจีนรายงานตัวเลขยอดค้าปลีกเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นเพียง 3.0% YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ระดับ 4.6% YoY (แสดงให้เห็นถึงอุปสงค์ในจีนที่ยังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป)
ทั้งนี้คาดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะเริ่มเร่งตัวขึ้นในปี 2568 หลังคุณสี จิ้นผิง ได้มีการเปิดเผยว่าจีนเตรียมปรับเพิ่มเป้าหมายการขาดดุลการคลังให้สูงขึ้น (รายจ่ายของรัฐบาลมากกว่ารายรับ) รวมถึงเน้นย้ำว่าจะแก้ไขการบริโภคอย่างจริงจัง หลังการประชุม Central Economic Work Conference ของจีนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
คาดเห็นพัฒนาการของ Fajar มากขึ้นในปี 2568
ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ Fajar เพื่อให้สามารถพลิกเป็นกำไรในระดับ EBITDA ได้ภายในช่วง 2Q68 และพลิกกลับมาทำกำไรปกติได้ภายใน 4Q68 ผ่านการปรับปรุงประสิทธิภาพของสายการผลิต, การปรับ Product Mix, การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น, การเพิ่ม Synergy ของระบบ Supply Chain, การปรับโครงสร้างหนี้สิน และการเพิ่มระดับ Integration Level ของธุรกิจในอินโดนีเซีย (ผ่านการทำ M&P เพิ่มเติม)
โดยคาดกระบวนการที่จะเห็นผลเร็วและชัดเจนที่สุดคือการปรับโครงสร้างหนี้ เนื่องจากในปัจจุบัน Fajar มีหนี้สินอยู่ที่ราว 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท และมีอัตราดอกเบี้ยที่ราว 6-7% (หากอิงสมมติฐานการ Refinance หนี้ดังกล่าวจำนวน 50% และอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ระดับ 4-5% การปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวจะลดต้นทุนทางการเงินได้ราว 150-250 ล้านบาท/ปี) ทั้งนี้คาดการปรับโครงสร้างหนี้จะมีความชัดเจนมากขึ้นภายในช่วง 1Q68
หุ้นสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว…ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”
ผลจากการปรับประมาณการลงและการปรับ EV/EBITDA ที่ใช้ประเมินมูลค่าลงเป็น 9.6 เท่า (ค่าเฉลี่ยกลุ่มบรรจุภัณฑ์ทั้งในและต่างประเทศ รวมพรีเมียมจาก Yuanta ESG Rating ระดับ AAA แล้ว) จากเดิม 10.2 เท่า เพื่อสะท้อนสภาวะตลาดที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ส่งผลให้ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 25.00 บาท/หุ้น
ทั้งนี้มองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลง 31% QTD ได้สะท้อนแนวโน้มกำไร 4Q67 ที่อ่อนแอและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ช้ากว่าคาดไปมากแล้ว และเมื่อประกอบกับแนวโน้มกำไรในช่วง 12 เดือนข้างหน้าที่กลับเข้าสู่รอบของการฟื้นตัว ทำให้ที่ระดับราคาปัจจุบันหุ้นเริ่มมี Downside จำกัดแล้ว จึงปรับคำแนะนำจาก “TRADING” ขึ้นเป็น “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว