หุ้นวิชั่น – นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER กล่าวถึงมาตรการที่ธนาคารกลางจีน (People’s Bank of China – PBOC) ได้ดำเนินการอัดฉีดเงิน 580,000 ล้านหยวน เพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์และรักษาสภาพคล่องทางเศรษฐกิจว่า จะส่งผลดีต่อหลายภาคส่วน รวมถึงการบริโภคยางพาราในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของบริษัท การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มความต้องการใช้สินค้ายางพาราในอุตสาหกรรมต่างๆ ของจีน ไม่ว่าจะเป็นยางล้อรถยนต์หรือการผลิตสินค้าอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลให้ NER มีโอกาสขยายตลาดและเติบโตได้มากขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ยังเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาด และช่วยกระตุ้นความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและภาคการก่อสร้าง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อ NER ในฐานะผู้ผลิตและส่งออกยางพารารายสำคัญของประเทศไทย นอกจากนี้มาตรการดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลจีนในการสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ และสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ให้มีการปรับตัวสูงขึ้น ตามความต้องการในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกลางลดดอกเบี้ย และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
โดยบริษัทมั่นใจว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อผลประกอบการ โดยคาดว่ารายได้รวมในปี 2567 จะเติบโตสูงถึง 28,500 ล้านบาท จากปริมาณการขายยางพาราที่ตั้งเป้าไว้ที่ 440,000 ตัน การกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนจะช่วยสนับสนุนให้ความต้องการยางพาราเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นโอกาสสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจและสร้างรายได้ที่มั่นคงในอนาคต
ที่มา
ธนาคารกลางจีน (People’s Bank of China – PBOC) ได้ดำเนินการอัดฉีดเงิน 580,000 ล้านหยวนเข้าสู่ระบบการเงินเพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์และรักษาสภาพคล่องทางการเงิน โดยการดำเนินการนี้รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยของการดำเนินการซื้อคืนพันธบัตร (reverse repo) ระยะเวลา 14 วันจาก 1.95% เหลือ 1.85% พร้อมทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับการซื้อบ้านครั้งแรกและการลดอัตราเงินดาวน์ขั้นต่ำจาก 25% เป็น 15% เพื่อลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย
นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังได้ลดอัตราการสำรองเงินของธนาคารพาณิชย์ลง 0.50% เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มีเงินทุนสำรองมากขึ้นสำหรับการปล่อยกู้แก่ภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวและแรงกดดันจากเงินฝืด โดยมีการคาดการณ์ว่า GDP ของจีนอาจขยับขึ้นสู่เป้าหมายที่ 5.0%