MOSHI รายงานงบไตรมาส 3/2567 ด้วยรายได้ 735.77 ล้านบาท โต 25.8% YoY และกำไรสุทธิ 108.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.8% จากปีก่อนหน้า พร้อมเดินหน้าขยายสาขาและพัฒนาสินค้าคอลเลคชันพิเศษรองรับแฟนคลับทั้งไทยและต่างประเทศ เตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันที่เข้มข้นในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของตลาด วางกลยุทธ์การตลาดและปรับผลิตภัณฑ์ตรงความต้องการ พร้อมมาตรการรักษาส่วนแบ่งการตลาดท่ามกลางการเข้าสู่ตลาดของผู้เล่นรายใหม่
บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2567 บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2567 มีรายได้จากการดำเนินงานจำนวน 735.77 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงการเติบโตทั้งในด้านของการเปรียบเทียบระหว่างไตรมาสและการเติบโตในช่วงปีที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้จากการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2567 ที่มีจำนวน 636.54 ล้านบาท บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.6 หรือคิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 99.23 ล้านบาท ขณะเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้จากการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2566 ที่มีมูลค่า 585.09 ล้านบาท บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.8 หรือคิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 150.68 ล้านบาท
ในไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 108.14 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2567 ที่มีจำนวน 81.21 ล้านบาท บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.2 หรือคิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 26.93 ล้านบาท ขณะเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2566 ที่มีมูลค่า 83.30 ล้านบาท บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.8 หรือคิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 24.84 ล้านบาท
โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 มีสาขารวมทั้งสิ้น 158 สาขา ประกอบด้วยร้าน Moshi 153 สาขา ร้าน Garlic 3 สาขา ร้าน Giant 1 สาขา และร้าน OK Station 1 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ 60 จังหวัดทั่วประเทศไทย โดยมีการกระจายตัวของสาขาทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ผ่านช่องทางการจัดจำหน่าย อาทิ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้าชั้นนำ คอมมูนิตี้มอลล์ และไฮเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึง
พัฒนาการที่สำคัญ ไตรมาส 3 ปี 2567
- การขยายสาขาเพิ่มเติม บริษัทฯ ได้เร่งดำเนินการขยายเครือข่ายสาขาอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 โดยมุ่งเน้นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทฯ ได้เปิดสาขาใหม่ภายใต้แบรนด์ Moshi จำนวนทั้งสิ้น 8 สาขา โดยเป็น Standalone 1 สาขา ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี พ.ศ. 2567 บริษัทฯ มีจำนวนสาขาภายใต้แบรนด์ Moshi รวมทั้งสิ้น 153 สาขา โดยในจำนวนนี้ประกอบด้วยสาขาแบบ Standalone จำนวน 4 สาขา
- ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยคงไว้ซึ่งคุณภาพและราคาที่เข้าถึงได้ ในไตรมาส 3 บริษัทฯ ได้เพิ่มรายการสินค้าใหม่กว่า 3,000 SKU และเปิดตัวคอลเลคชันพิเศษ 2 โครงการ ได้แก่ Moshi x Butter Club การพัฒนาสินค้าที่เป็น Brand Collaboration ร่วมกับศิลปินและนักวาดคนไทย คุณปรรณสรณ์ ถือเป็นหนึ่งในการสนับสนุนความสามารถของนักวาดครีเอเตอร์คนไทย โดยนำตัวการ์ตูนที่ออกแบบมาร่วมพัฒนาเป็นสินค้าของ Moshi ผ่านเครือข่ายร้านค้ากว่า 60 จังหวัดทั่วประเทศ และ Moshi x Ten & Canele คอลเลคชั่นพิเศษที่นำตัวการ์ตูน Canele ผลงานการออกแบบของคุณเตนล์ ชิตพล มาร่วมสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายในการขยายฐานลูกค้ากลุ่มแฟนคลับทั้งในไทยและต่างประเทศ สะท้อนได้จากยอดจำหน่ายที่ทำสถิติสูงถึง 90% ภายในระยะเวลาเพียง 3 วัน
- การทำสัญญากิจการร่วมค้า บริษัทฯ ทำสัญญากิจการร่วมค้ากับบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) โดยสัญญาฉบับนี้มีผลบังคับวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 โดยบริษัทฯ มีส่วนได้เสียร้อยละ 50 ในกิจการร่วมค้าดังกล่าว เพื่อร่วมดำเนินกิจการโครงการ “กิจการร่วมค้า โมชิ โมชิ แอนด์ อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ โปรเจ็ค ดีเวลลอปเม้นท์” โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดนิทรรศการ Hello Kitty Exhibition Celebration of Friendship and Sanrio Characters the Funtastic Exhibition ณ House of Illumination เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 7 ทั้งนี้ มีแหล่งที่มาของรายได้จาก 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ การจำหน่ายบัตรเข้าชม สินค้าลิขสิทธิ์พิเศษที่จำหน่ายเฉพาะในงาน และรายได้อื่นๆ แม้ว่าผลประกอบการในช่วงแรกจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทฯ มากนัก เนื่องจากธุรกิจหลักของ Moshi ยังคงเติบโตได้ดี อีกทั้งการลงทุนครั้งนี้ถือเป็นการศึกษาโอกาสทางธุรกิจใหม่และสามารถขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนวัยทำงานที่เป็นแฟนคลับ Hello Kitty ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพของบริษัทฯ
บริษัทฯ คาดการณ์ว่าธุรกิจค้าปลีกสินค้า Lifestyle จะมีภาวะการแข่งขันที่เข้มข้นในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 อันเนื่องมาจากเป็นช่วง High Season ที่มีอุปสงค์สูงสุดของปี รวมถึงการเข้าสู่ตลาดของผู้ประกอบการรายใหม่อย่างแบรนด์ KKV จากประเทศจีน ซึ่งอาจส่งผลต่อการกระจายตัวของส่วนแบ่งการตลาด ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการเชิงกลยุทธ์อย่างรอบคอบเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน ผ่านการบริหารจัดการในหลายมิติ อาทิ การคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค การกำหนดนโยบายราคาที่เหมาะสม การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนการยกระดับมาตรฐานการให้บริการ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้บริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่วางไว้ได้อย่างมั่นคง