หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุถึง JMART จะเติบโตเด่นสุดใน 4Q ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 25F เติบโต 30% จากการผนึกกำลัง Ecosystem ของทุกกลุ่มธุรกิจดังนี้ ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ไอที ตามการพัฒนาสินค้า IT และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของค่ายโทรศัพท์ต่าง ๆ ส่วนสำหรับธุรกิจ สุกี้ตี๋น้อย ที่อยู่ในเครือ มีโอกาสขยายตัวเพิ่มเติม บริษัทจึงมีแผนเปิดร้านอาหาร ตี๋น้อย บาร์บีคิว เพิ่มเติม
JMT ยังมีโมเมนตัมการเติบโตต่อเนื่องจาก 2H24 จนถึงตลอดปี 25F ตามการเก็บเงินสดที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่บริษัทเริ่มดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างจริงจังตั้งแต่ 2Q24 ส่วนภาพรวมหนี้ภาคครัวเรือนก็ยังอยู่ในระดับสูง โดยตั้งเป้าปี 68 งบลงทุนซื้อหนี้ไว้เบื้องต้น 2,000 ล้านบาท มูลค่าหนี้ราว 1 หมื่นล้านบาท
SINGER-SGC ที่ได้ดำเนินธุรกิจการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อโทรศัพท์มือถือ Lock Phone ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่
ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินแนวโน้มผลประกอบการของ JMART จะเติบโตเด่นสุดใน 4Q จาก JMT ที่ผ่านจุดต่ำสุดของปีมาแล้ว ตามแนวโน้ม cash collection ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงแผนปรับปรุงการติดตามหนี้โดยการใช้กระบวนการทางกฎหมายที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองอย่างยั่งยืน และจะเข้าสู่ช่วง high season ในงวด 4Q24F
ผลประกอบการของ SINGER และ SGC มีทิศทางที่ดีขึ้นจากการขยายสินเชื่อ Locked Phone ผ่าน SG Finance+ ที่ตั้งเป้าแตะ 100,000 สัญญาภายในปีนี้ และทำการตลาดขยายพาร์ทเนอร์ให้มากขึ้น พร้อมกับการจัดการค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
คาดหวังรายงานกำไรสุทธิใน 2H24F ส่วนของ KBJ ผลประกอบการขยายตัวผ่าน Samsung Finance+ ธุรกิจ Mobile ดีขึ้นจากการขยายแบรนด์ใหม่ พร้อมกับรับอานิสงส์จากการเปิดตัว iPhone 16 และประเมิน SSSG อยู่ในกรอบ 7-10% ของ Retail shop ผลประกอบการของ JAS Asset ดีขึ้นต่อเนื่อง ตามการเปิดศูนย์การค้าใหม่ที่รามคำแหง หนุนผลประกอบการให้ก้าวกระโดด โดยปัจจุบันมี occ rate เฉลี่ยราว 90%
ร้านสุกี้ตี๋น้อย มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ตามรายได้ที่ขยายตัวจากการขยายสาขา พร้อมกับเข้าสู่ช่วง high season ของธุรกิจ คาดการณ์กำไรสุทธิในปี 24-26F เท่ากับ 1.3 พันล้านบาท (พลิกจากขาดทุนสุทธิในปีก่อนที่ 447 ล้านบาท), 1.54 พันล้านบาท +16%YoY และ 1.88 พันล้านบาท +22%YoY ตามลำดับ คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยแบบ CAGR ที่ 12% ต่อปี ตามการรับรู้ผลประกอบการของบริษัทย่อยของกลุ่มที่ดีขึ้น และผลของการสร้าง Ecosystem ภายในกลุ่มแนวรับ 11.80/11.50 ไม่ควรต่ำกว่าลงมา แนวต้าน 12.30/12.90