IVL ประกาศกำไรQ3/67ที่ 1.5 พันล้าน โต670% ดีกว่าโบรกคาด

           IVL ประกาศกำไรไตรมาส 3/2567 ที่ 1,504.91 ล้านบาท เติบโตถึง 670% จากปีก่อนหน้าและ 107% จากไตรมาสก่อนหน้า ขับเคลื่อนด้วยการรักษาปริมาณการผลิต การปรับปรุงส่วนต่างราคามาตรฐานในทุกกลุ่มธุรกิจ และการบริหารจัดการต้นทุนเชิงรุก เผยไตรมาส 4 ธุรกิจชะลอตัวผันผวนตามฤดูกาล มีแผนการปิดซ่อมบ ารุงโรงงานในบราซิลและอเมริกาเหนือ(NAM)

           บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL  รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 ที่ 1,504.91 ล้านบาท เติบโต 670% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเติบโต 107 % จากไตรมาสก่อนหน้า โดย ดีกว่าที่ นักวิเคราะห์คาด อย่าง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) คาดกำไรทำได้ ที่ 1.3 พันล้านบาท

           Indorama Ventures มีผลการดำเนินงานแข็งแกร่งในไตรมาสนี้ ขับเคลื่อนด้วยปริมาณการผลิตและยอดขายที่ยังมั่นคง การลดต้นทุนจากการดำเนินการจัดการเชิงรุก และการปรับตัวดีขึ้นของส่วนต่างราคามาตรฐาน (Benchmark spreads) ในทุกกลุ่มธุรกิจ ไตรมาสนี้เป็นการปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้า (YoY) เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ตกอยู่ในช่วงเวลาที่มีความท้าทายจากสถานการณ์ที่เกิดภาวะเร่งลดสต็อกสินค้าในอุตสาหกรรมและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เป็นการส่งสัญญาณโมเมนตัมของการฟื้นตัวในทุกกลุ่มธุรกิจ แสดงให้เห็นว่าการที่บริษัทฯ มีพอร์ตธุรกิจที่หลากหลายกระจายฐานธุรกิจอยู่ทั่วโลก ช่วยทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ยั่งยืนและผ่านวงจรธุรกิจที่ผันผวนได้

           จากที่ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคในตลาดปลายทางยังคงแข็งแกร่ง ช่วยทำให้บริษัทฯ รักษาปริมาณการผลิตและยอดขายให้คงที่ ปริมาณการขาย PET และ Fibers ยังทรงตัวคงที่เสมอตลอดทั้งปี ขณะที่ Indovinya กำลังอยู่ในฤดูกาลที่มักมียอดขายสูงสุดสำหรับตลาด Crop Solutions

บริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนงานที่ระบุไว้ในวิสัยทัศน์ IVL 2.0 เป็นไปตามที่คาดหวัง ซึ่งบริษัทฯ มุ่งเน้นในเรื่องการลดภาระหนี้และการพัฒนาคุณภาพของรายได้ ความมุ่งมั่นของทีมงานผู้บริหารที่เน้นการควบคุมต้นทุนเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม โดยโครงการเพิ่มประสิทธิภาพทรัพย์สินที่ IVL ได้ดำเนินการในไตรมาสที่แล้ว เริ่มส่งผลให้เกิดการประหยัดต้นทุนคงที่ 19 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสนี้ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปีหน้าเมื่อรับผลสะท้อนเต็มปี ทั้งนี้ การดำเนินการตามที่วางแผนไว้สำหรับกลุ่ม CPET และ Indovinya ได้แล้วเสร็จลง ขณะที่กลุ่ม Fibers ยังไม่เริ่มปฏิบัติการ อัตราการดำเนินงานของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 69% ในไตรมาส 3 ปี 2566 เป็น 82% ในไตรมาสนี้ และสำหรับ CPET อัตราการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 69% ในไตรมาส 3 ปี 2566 เป็น 84% ในไตรมาสนี้ โดยโครงการนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัทฯ ในการเพิ่มประสิทธิภาพทรัพย์สิน ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และเสริมสร้างความสามารถในการทำกำไร

           กลุ่มธุรกิจ Fibers ได้ดำเนินการอย่างมุ่งมั่นตลอดปีที่ผ่านมาในการลดต้นทุนคงที่ในพอร์ตสินทรัพย์ทั้งหมด (ก่อนที่จะรับรู้การประหยัดที่เกิดจากการเพิ่มประสิทธิภาพทรัพย์สิน) นอกจากนี้ ภายในกลุ่มธุรกิจย่อย Hygiene และ Mobility นั้น คณะผู้บริหารได้มีการดำเนินการจริงจัง เพื่อทวงคืนส่วนแบ่งการตลาดที่สูญเสียไปโดยใช้กลยุทธ์การปรับราคาสินค้า และด้วยการเพิ่มปริมาณยอดขายและลดต้นทุน รวมถึงการปรับปรุงต้นทุนด้านสาธารณูปโภค ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทฯ จะยังคงเป็นผู้นำในตลาดที่สำคัญ และเมื่อแผนการเพิ่มปริมาณและการปรับโครงสร้างต้นทุนได้เสร็จสมบูรณ์ คณะผู้บริหารจะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มอัตรากำไรเป็นลำดับถัดไป

           การพัฒนาด้านดิจิทัลของบริษัทฯ ได้มีความก้าวหน้าหลังจากเริ่มมีการใช้ระบบดิจิทัลหลักในรูปแบบของ S/4HANA ERP บริษัทฯ กำลังดำเนินการตามโครงการดิจิทัลต่างๆ ซึ่งกำลังเป็นไปตามแผน ฐานธุรกิจในอเมริกาเหนือของบริษัทฯ ได้เริ่มใช้ประโยชน์จากโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในกระบวนการ Source-to-Contract เพื่อเพิ่มความเป็นเลิศในกระบวนการจัดซื้อ โครงการ Manufacturing Excellence เริ่มส่งผลให้เห็น โดยเกิดการปรับปรุงในผลผลิตจากแรงงานผ่านแพลตฟอร์ม Connected Worker บริษัทฯ คาดว่าโซลูชันด้านการขายและ Supply chain จะเริ่มใช้งานได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 บริษัทฯ ได้เสริมสร้างความร่วมมือทั้งกับพันธมิตรเก่าและใหม่ เพื่อเร่งสร้างคุณค่าให้เกิดโดยทั่วทั้งองค์กร นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังทุ่มเทในการบริหารการเปลี่ยนแปลงจากพัฒนาการนี้ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น และเพื่อให้พนักงานสามารถปรับตัวได้กับกระบวนการและเทคโนโลยีใหม่ๆ

           สิ่งที่สนับสนุนให้บริษัทฯ มีความยืดหยุ่น คือทีมผู้บริหาร ในปีนี้บริษัทฯ ได้เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในด้านโครงสร้างองค์กรเพื่อขับเคลื่อนแผนงานตามวิสัยทัศน์ IVL 2.0 และการเติบโตในอนาคต โดยมีการสร้างทีมผู้บริหารที่มุ่งเน้นและทุ่มเทในแต่ละกลุ่มธุรกิจ โดยให้ผู้นำมีอำนาจในการตัดสินใจและรับผิดชอบ ทั้งนี้ สำหรับการปรับโครงสร้างสำหรับกลุ่ม CPET, Fibers และ Indovinya ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ขณะที่กลุ่ม Packaging (Indovida) และ Recycling กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้จะผลักดันให้เกิดปฏิบัติการส่งผลต่อเนื่องไปในแต่ละธุรกิจ และทำให้ทีมผู้บริหารระดับสูงมีขนาดเล็กลง ซึ่งจะมุ่งเน้นหน้าที่ในการขับเคลื่อนกลยุทธ์เป็นหลัก

ในระยะถัดไป สภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอน โดยมีความเสี่ยงจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังคงดำเนินอยู่ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม การมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการบริหารต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพฐานการผลิตที่มีอยู่ และการใช้ประโยชน์จากโอกาสทางการตลาดผ่านการที่บริษัทฯ มีเครือข่ายทั่วโลกจะช่วยให้ผ่านพ้นความท้าทายเหล่านี้ไปได้ และทำให้สามารถพร้อมจะรับประโยชน์จากการฟื้นตัวเมื่อสภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ เพื่อสอดคล้องกับแผน IVL 2.0 บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพของกำไร สร้างกระแสเงินสดอิสระ และผลักดันการสร้างมูลค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทฯ

โดยที่บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญในการรักษาสภาพคล่องเป็นหลัก ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 สภาพคล่องของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ หลังจากการชำระคืนหนี้ในเดือนพฤศจิกายน 2567 แล้ว และด้วยการเตรียมพร้อมในการบริหารจัดการหนี้ล่วงหน้า บริษัทฯ สามารถลดสัดส่วนของหนี้สินระยะสั้นลง ทำให้เพิ่มความยืดหยุ่นและขีดความสามารถในการจัดการด้านสภาพคล่องของบริษัทฯ

การวิเคราะห์ผลการดำเนินงานแยกตามกลุ่มธุรกิจ:

Home & Personal Care (ผลิตภัณฑ์ดูแลบ้านและของใช้ส่วนบุคคล): ความต้องการในเคมีภัณฑ์สำหรับตลาดปลายทางยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยได้รับผลดีจากที่บริษัทฯ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการฟื้นตัวของยอดขายในตลาดอาร์เจนตินาและ Mercosur นอกจากนี้ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นยังมาจากการที่ลูกค้าเร่งสะสมสต็อกสินค้าในช่วงมีพายุเฮอริเคนในตลาดอเมริกาเหนือ (NAM)

Crop Solutions (ผลิตภัณฑ์โซลูชันทางการเกษตร): มีการเติบโตที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน (YoY) และเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) เนื่องจากความต้องการเคมีภัณฑ์ของตลาดปลายทางกลุ่มนี้เพิ่มสูงขึ้น (มาจากช่วงฤดูกาลเพาะปลูกในอเมริกาใต้ หรือ SAM โดยแยกเป็นเกิดจากการฟื้นตัวของตลาด 50% และจากส่วนแบ่งการตลาด 50%) และจากการปรับปรุงในพอร์ตสินค้าที่ขาย รวมถึงปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสมในอินเดีย ส่งผลให้มีความต้องการในระดับสูงในตลาดดังกล่าว

Energy & Resources (ผลิตภัณฑ์กลุ่มพลังงานและทรัพยากร): การที่ระดับราคาน้ำมันดิบทรงตัว และความต้องการในเคมีภัณฑ์ของตลาดปลายทางกลุ่มนี้คงที่ ช่วยรักษาให้ปริมาณการขายมีเสถียรภาพ โดยกลุ่มน้ำมันหล่อลื่นในตลาดอเมริกาเหนือ (NAM), ยุโรป, ตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) รวมถึงภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ยังคงดำเนินงานได้ดี

Coatings & Construction (ผลิตภัณฑ์กลุ่มเคลือบผิวและก่อสร้าง): ในตลาดอเมริกาเหนือ (NAM) ปริมาณการขาย PG เริ่มดีขึ้นมาจากการเริ่มต้นของฤดูกาลกำจัดน้ำแข็ง (De-icing season) ในไตรมาสที่ 3 ส่วนในอเมริกาใต้ (SAM) มีการเติบโตที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ซึ่งมาจากการขยายส่วนแบ่งการตลาดและการปรับตัวดีขึ้นของอัตรากำไร

           สำหรับแนวโน้มต่อไปในไตรมาสที่ 4 นั้น มักจะเป็นช่วงที่ธุรกิจชะลอตัวลงเนื่องจากความผันผวนตามฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการผลิตภัณฑ์โซลูชันทางการเกษตร (Crop Solutions) จะลดลง และการที่ลูกค้ามีแนวโน้มจะลดสต็อกสินค้าลงเนื่องจากเข้าสู่ช่วงเทศกาลวันหยุดยาว จากนโยบายภาษีนำเข้าในประเทศบราซิลซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2567 นั้น บริษัทฯ คาดว่าจะส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนการปิดซ่อมบำรุงโรงงานในบราซิลและอเมริกาเหนือ (NAM) ตามช่วงเวลาที่กำหนด

 

แชร์:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

TOP คงอันดับความน่าเชื่อถือ Investment Grade จาก S&P และ Moody’s หลังเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP

TOP คงอันดับความน่าเชื่อถือ Investment Grade จาก S&P และ Moody’s หลังเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP

SEAFCO ยืนหนึ่งฐานราก ขึ้นค่าแรงไม่เป็นปัญหา

SEAFCO ยืนหนึ่งฐานราก ขึ้นค่าแรงไม่เป็นปัญหา

BIZ ลุ้นเซ็นงานใหม่ 500 ล้านบาทใน Q1/68 หนุนรายได้โต 10%

BIZ ลุ้นเซ็นงานใหม่ 500 ล้านบาทใน Q1/68 หนุนรายได้โต 10%

GULF – INTUCH ตั้งโต๊ะเทนเดอร์ ADVANC และ THCOM วันที่ 25 ธ.ค.นี้

GULF – INTUCH ตั้งโต๊ะเทนเดอร์ ADVANC และ THCOM วันที่ 25 ธ.ค.นี้

ข่าวล่าสุด

ทั้งหมด