ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

GPSC ไตรมาส 3/2567 กำไร 770ล้านบาท

            หุ้นวิชั่น – GPSC เผยกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 770 ล้านบาท ลดลง 657 ล้านบาทจากไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นและการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า IPP โกลว์ ไอพีพี ขณะเดียวกันผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งและการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าในอนาคตอาจส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัท

            สำหรับผลประกอบการของบริษทฯ ในไตรมาสท 3 ปี 2567 กำไรสุทธิของบริษัทฯ จำนวน 770 ล้านบาท ลดลง 657 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2567 สาเหตุหลักมาจากกำไรขั้นต้นที่ลดลงเนื่องจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) มีต้นทุนของก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นและปริมาณการขายของ กฟผ. ลดลง แต่ปริมาณความต้องการไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมโดยรวมยังคงอยู่ในระดับที่สูงขึ้น ประกอบกับโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) ได้แก่ โรงไฟฟ้าโกลว์ ไอพีพี หยุดซ่อมบำรุงตามแผนจำนวน 13 วันในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 และในไตรมาสที่ 3 การเรียกรับไฟฟ้าจาก กฟผ. ลดลง โรงไฟฟ้าห้วยเหาะมีรายได้ค่าพลังงานไฟฟ้า (EP) ลดลงจากปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่ลดลงตามการเรียกรับไฟฟ้าที่ลดลงของ กฟผ. สำหรับไตรมาสนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อน แต่ปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งปียังคงเป็นไปตามแผน

            ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าเพิ่มขึ้นเนื่องจาก XPCL มีผลประกอบการดีขึ้นจากปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้นตามปริมาณน้ำที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามฤดูกาล แม้จะมีการหยุดการผลิต 17 วัน ในขณะที่นูออโว พลัส (NUOVOPLUS) มีการบันทึกผลขาดทุนจากการขายทรัพย์สินโรงงานแบตเตอรี่ในเดือนสิงหาคม แม้ว่ามีกำไรจากบริษัทร่วมทุน NV Gotion และ AEPL มีผลประกอบการลดลงตามปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่ลดลงตามค่าความเข้มแสงที่ลดลงตามฤดูกาล ในไตรมาสที่ 3 บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 258 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดจากการบันทึกปรับมูลค่าลูกหนี้ตามสัญญาเช่าทางการเงินสกุลเงินต่างประเทศของโรงไฟฟ้าศรีราชาและโรงไฟฟ้าโกลว์ ไอพีพี ภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น 180 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 2 ปี 2567 มีการปรับปรุงค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ของปี 2566 (298 ล้านบาท) ในขณะที่ในไตรมาส 3 ปี 2567 มีการรับรู้ภาษีตามผลประกอบการของบริษัท ต้นทุนทางการเงินลดลง 104 ล้านบาทจากการชำระคืนเงินกู้ 16,100 ล้านบาทเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567

            ทั้งนี้ ในส่วนของฐานะการเงิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 280,342 ล้านบาท หนี้สินรวม 163,396 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ย 126,709 ล้านบาท และบริษัทฯ มีส่วนของผู้ถือหุ้น 116,946 ล้านบาท ทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.88 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายทางการเงิน

ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานหรือการเติบโตในอนาคต

ความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศ
            บนสมมุติฐานค่าเฉลี่ยความยืดหยุ่นของปริมาณการใช้ไฟฟ้าต่อการเปลี่ยนแปลงของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศอยู่ที่ประมาณ 0.9 เท่า และการประมาณการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ร้อยละ 2.9 ในปี 2568 โดยการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 2.6 ในปี 2568 โดยการใช้ไฟฟ้าในประเทศที่สูงขึ้นจะมีผลต่อการเรียกเดินเครื่องโรงไฟฟ้าโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และรวมถึงปริมาณการใช้ไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรม หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศสูงขึ้นต่อเนื่อง

ต้นทุนเชื้อเพลิงนำเข้า
            โดยเฉพาะ LNG ที่มีการปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 อาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้า และทำให้ต้องมีการปรับค่า Ft เพิ่มสูงขึ้นในปี 2568 เนื่องจากปัจจุบัน กฟผ. มีหนี้ค่าจัดซื้อไฟฟ้าและค่าเชื้อเพลิงคงค้าง (AF) ประมาณ 1 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ เม.ย. 2567) และมีการคืนหนี้เพียงบางส่วนผ่านค่า Ft ในช่วงปีที่ผ่านมา ตามนโยบายของภาครัฐที่ต้องการลดผลกระทบต่อประชาชนและภาคธุรกิจ ประกอบกับ กฟผ. จะยังไม่สามารถรับภาระหนี้ได้เพิ่มเติม เนื่องจากต้องรักษาสถานะทางการเงินเพื่อรักษาอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) และมีภารกิจการลงทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ซึ่งต้นทุนค่าเชื้อเพลิงจะมีผลโดยตรงต่อรายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม

การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าในอนาคต
            อาจส่งผลกระทบต่อราคาขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมที่อ้างอิงตามราคาขายปลีกของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ทั้งนี้เนื่องจากการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าครั้งใหญ่ของประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อปี 2558 และปัจจุบันถึงกำหนดระยะเวลาในการทบทวนแล้ว (ทุก 3-5 ปี) เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 และวิกฤติพลังงาน ซึ่งการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อสะท้อนต้นทุนพลังงานหลายประเภทที่เปลี่ยนไป อาทิ ต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าตามแผน PDP ฉบับใหม่ ต้นทุนด้านระบบสายส่งไฟฟ้า ต้นทุนด้านการบริหารจัดการเสถียรภาพที่เพิ่มขึ้นเมื่อมีการบูรณาการพลังงานหมุนเวียนเข้ามาในระบบมากขึ้น ซึ่งโครงสร้างราคาไฟฟ้าจะมีผลโดยตรงต่อรายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม

การเปิดใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA)
            เป็นส่วนหนึ่งของการเปิดเสรีในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด โดยผู้ผลิตไฟฟ้าสามารถทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับลูกค้านอกพื้นที่ได้โดยตรง (Direct PPA) ส่งผลให้การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนถูกขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนได้อย่างรวดเร็ว

 

แชร์:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

image not found

[Vision Exclusive] SEAFCO ฐานรากแข็งแรง ตุนงานในมือกว่า 2.6 พันล.

[Vision Exclusive] BAFS เติมน้ำมันเครื่องบินโต คาดไตรมาส 1/68 โตไม่ต่ำ 30%

[Vision Exclusive] BAFS เติมน้ำมันเครื่องบินโต คาดไตรมาส 1/68 โตไม่ต่ำ 30%

GULF ถูกเพิ่มอันดับเครดิต TRIS เป็น “AA-” ชี้แกร่งหลังควบรวม INTUCH

GULF ถูกเพิ่มอันดับเครดิต TRIS เป็น “AA-” ชี้แกร่งหลังควบรวม INTUCH

PTT ซื้อคืนอีก 7.66 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 245.12 ล้านบาท

PTT ซื้อคืนอีก 7.66 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 245.12 ล้านบาท

ข่าวล่าสุด

ทั้งหมด