นายมารุต แสงศาสตรา ประธานกรรมการบริหารบริษัท ไดนาสตี้ เซรามิค จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) หรือ DCC แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3/2567 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 1,610.2 ล้านบาท ลดลง 227.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.4 จากปริมาณขายเฉพาะกระเบื้อง 9.2 ล้านตารางเมตร ลดลง 1.8 ล้านตารางเมตร หรือร้อยละ 16.2 ส่วนหนึ่งเกิดจากกระเบื้องนำเข้าจากประเทศจีนและอินเดียที่ทุ่มตลาดเข้ามาเพิ่มขึ้นตลอด และความต้องการในประเทศลดต่ำลงเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงซบเซา สำหรับราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 40.2 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 39.0 รายได้อื่นเพิ่มขึ้น 0.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.7 ต้นทุนในการจัดจำหน่ายลดลง 17.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.6 เนื่องมาจากปริมาณขายลดลง ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 8.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.3 ส่วนหนึ่งจากค่าเสื่อมราคาอาคารสาขาเปิดใหม่ ต้นทุนทางการเงินลดลง 1.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.6 จากเงินกู้ยืมที่ลดลง ทำให้มีกำไรสุทธิรวม 249.5 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 46.9 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนได้เสียในบริษัทย่อยที่ไม่อยู่ในอำนาจควบคุม 0.1 ล้านบาท เหลือเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัททั้งหมด 249.4 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 46.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.8 คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.027 บาท
ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2567 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 5,393.0 ล้านบาท ลดลง 610.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.2 จากปริมาณการขายเฉพาะกระเบื้องลดลง 15.5 ล้านตารางเมตร หรือร้อยละ 33.0 ส่วนหนึ่งเกิดจากกระเบื้องนำเข้าจากประเทศจีนและอินเดียที่ทุ่มตลาดเข้ามาเพิ่มขึ้นตลอด และความต้องการในประเทศลดต่ำลงเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงซบเซา สำหรับราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 ราคาต้นทุนพลังงานค่าก๊าซเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 39.6 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้นร้อยละ 37.8 รายได้อื่นรวม 48.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5.0 ล้านบาท ต้นทุนในการจัดจำหน่ายลดลง 63.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.6 เนื่องจากปริมาณการขายลดลง ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 3.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.5 ส่วนหนึ่งจากค่าเสื่อมราคาอาคารสาขาเปิดใหม่ ต้นทุนทางการเงินลดลง 2.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.9 จากเงินกู้ลดลง ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ลดลง 12.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.4 จากกำไรที่ลดลง ทำให้มีกำไรสุทธิรวม 860.6 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนได้เสียในบริษัทย่อยที่ไม่อยู่ในอำนาจควบคุม 0.4 ล้านบาท เหลือเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัททั้งหมด 860.2 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 53.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.8 คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.094 บาทต่อหุ้น
สินทรัพย์รวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 มีจำนวน 10,212.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสินทรัพย์รวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 152.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.5 สินทรัพย์หมุนเวียนลดลง 27.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.9 จากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลดลง 41.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 46.9 ลูกหนี้การค้าและลูกหนี้หมุนเวียนอื่นลดลง 11.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.9 สินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น 33.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.2 สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเพิ่มขึ้น 179.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.5 จากกลุ่มที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์สุทธิเพิ่มขึ้น 239.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.8 ส่วนใหญ่จากการซื้อที่ดินเพื่อใช้ก่อสร้างสาขา จากสินทรัพย์สิทธิการใช้ลดลง 61.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.4 จากการเปลี่ยนแปลงอายุสัญญาเช่า และค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์สิทธิการใช้ สินทรัพย์ไม่มีตัวตนเพิ่มขึ้น 5.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 27.5 จากการลงทุนระบบบริหารงานขายเพื่อรองรับการจัดการข้อมูล เพื่อใช้ในการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
หนี้สินรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 มีจำนวน 3,170.8 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2566 จำนวน 207.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.1 เงินกู้ยืมระยะสั้นลดลง 45.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.8 เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้หมุนเวียนอื่นลดลง 34.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.6 จากการชำระตามงวด หนี้สินตามสัญญาเช่าลดลง 69.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 33.5 จากการชำระตามสัญญาเช่ารถขนส่งสินค้า และสัญญาเช่าที่ดินสาขา ส่วนของผู้ถือหุ้นรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 มีจำนวน 7,041.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2566 จำนวน 359.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.4 เพิ่มจากกำไรเบ็ดเสร็จในงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 จำนวน 861.9 ล้านบาท ลดลงจากเงินปันผลไตรมาส 4/2566 จำนวน 109.5 ล้านบาท และไตรมาส 1-2/2567 จำนวน 365.0 ล้านบาท และลดลงจากหุ้นทุนซื้อคืนจำนวน 27.8 ล้านบาท