CBG คาดการณ์ยอดขายไตรมาส 4/2567 ทำสถิติสูงสุดใหม่ จากยอดขายในประเทศและกลุ่ม CLMV ที่ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังคงราคาขาย “คาราบาวแดง” ที่ 10 บาทเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด สิ้นปี แตะ 26% จากปัจจุบันที่ 25.8% ทำนิวไฮในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่วนปีหน้าคาดยอดขายเบียร์โต 100% ส่วนกำไรไตรมาส 3/2567 พุ่ง 741 ล้านบาทที่ 40%
นายร่มธรรม เสถียรธรรมะ กรรมการ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG เปิดเผยกับทีมข่าว “หุ้นวิชั่น” ว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2567 คาดว่ายอดขายในประเทศจะเติบโตโดดเด่น และอาจสร้างสถิติใหม่ (all-time high) พร้อมกันนี้ ยอดขายในกลุ่ม CLMV ก็มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากไตรมาส 3/2567 ที่เริ่มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยบริษัทยังคงยืนยันราคาจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์ “คาราบาว” ที่ 10 บาทต่อขวด โดยไม่มีแผนปรับขึ้นราคาในเร็ว ๆ นี้ ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดของคาราบาวขยายตัวอยู่ที่ 25.8% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 26% ภายในสิ้นปี 2567
สำหรับปี 2568 บริษัท คาดว่ายอดขาย(ไม่รวมเบียร์) จะเติบโต 20% มาจากการจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ในส่วนของยอดขายเบียร์ จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 567 คาดว่าจะสามารถเติบโตได้กว่า 100% ซึ่งจะทำให้รายได้จากส่วนของบรรจุภัณฑ์ และยอดขาย รับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกเติบโตเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การใช้ผลิตภัณฑ์เบียร์เป็นเครื่องมือการตลาดของ CBG ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ของการรับรู้แบรนด์อีกด้วย
ส่วนผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวมเท่ากับ 5,098 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +8% YoY โดยในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองจำนวน 3,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +8% YoY จากยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังคาราบาวแดงในประเทศที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากส่วนแบ่งทางการตลาดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากการที่บริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์หลักคงราคาขายปลีกที่ 10 บาท รวมถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การกระจายสินค้าให้มีเครือข่ายที่กว้างขวางและครอบคลุมมากขึ้นผ่านคู่ค้ารายย่อยระดับอำเภอและระดับตำบลเพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่าย นอกจากนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกจำนวน 1,824 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +26% YoY จากการจัดจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นหลักที่ยังคงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายสินค้ากลุ่มอื่นๆ เท่ากับ 175 ล้านบาท ลดลง -56% YoY เนื่องจากในไตรมาส 3/2566 บริษัทได้จำหน่ายขวดแก้ว กระป๋องอะลูมิเนียม และบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ให้แก่บริษัทคู่ค้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตเบียร์คาราบาวและเบียร์ตะวันแดงในปริมาณมากเพื่อเตรียมความพร้อมในการออกสินค้าใหม่สู่ตลาดในช่วงไตรมาส 4/2566
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 1,431 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +13% YoY คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ 28% เพิ่มขึ้นจากช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 27% ในขณะที่ส่วนผสมของความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ตามยอดขาย (Product mix) จากสัดส่วนของรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่า เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากกำไรขั้นต้นของสินค้าที่ดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้าและไตรมาสก่อนหน้า ถึงแม้ว่าราคาน้ำตาลซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักทยอยปรับตัวสูงขึ้นตามสภาวะตลาดในระหว่างปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการวัตถุดิบอื่นรวมถึงต้นทุนบรรจุภัณฑ์ เช่น เศษแก้ว เพื่อลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี ตลอดจนต้นทุนพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิตที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนผลิตที่ลดลงจากประหยัดต่อขนาด (Economies of scale)
กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทฯ เท่ากับ 741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +40% YoY สะท้อนยอดขายที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่ปรับตัวลดลง การควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตามที่กล่าวข้างต้น รวมถึงการแบ่งปันสิทธิผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอล EFL ให้แก่บริษัทคู่ค้าในกลุ่มธุรกิจผู้ผลิตเบียร์คาราบาวและเบียร์ตะวันแดงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารและทำการตลาด