หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด คาดแนวโน้ม SET Indexประเมินแกว่งตัว Sideway ในกรอบ 1,150-1,178 จุด ขานรับตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.พ. ของสหรัฐฯ (CPI) ที่ต่ำกว่าคาดและชะลอตัวจากเดือนก่อน โดย Headline CPI +2.8% YoY และ Core CPI +3.1% YoY ตลาดขานรับในเชิงบวก ช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจว่าเงินเฟ้อกำลังเคลื่อนไปในทิศทางที่ถูกต้อง และทำให้มีความหวังว่า เฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้
โดยกลุ่ม Mag 7 ปรับตัวขึ้นเด่น ซึ่งมองว่าเป็น sentiment บวกต่อกลุ่ม ส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย ได้แก่ DELTA, KCE, CCET, HANA เป็นต้น อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงกังวลว่าการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และบรรดาประเทศคู่ค้า อาจส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
ปธน.ทรัมป์ ได้บังคับใช้มาตรการเรียกเก็บ ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมที่นำเข้าสหรัฐฯ ในอัตรา 25% เมื่อวานนี้ ส่งผลให้แคนาดาและ EU ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดยังต้องติดตาม PPI คืนนี้ และ การผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ภายในวันที่ 14 มี.ค.
- ด้านปัจจัยในประเทศ
วานนี้ SET Index ลดลงเกือบ 30 จุด รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก รวมถึงปัจจัยภายในที่ยังคงมีปัญหาโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจในประเทศ หลังจากตลาดได้ซึมซับประเด็น การจัดตั้งกองทุน Thai ESGX ไปมากแล้ว และยัง ไร้ปัจจัยใหม่มาขับเคลื่อนดัชนี
เชิงกลยุทธ์ คาดหวังการ รีบาวนด์เชิงเทคนิค โดยลุ้น กลุ่มส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และ กลุ่มพลังงานน้ำมัน Outperform ตลาด
- ติดตาม:ถ้อยแถลงของ พาวเวล เงินเฟ้อสหรัฐฯ (PPI) เดือน ก.พ.
ปัจจัยต่างประเทศ
(+) US CPI ต่ำกว่าคาด
(-) ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีจากทรัมป์
ปัจจัยในประเทศ
(0) ไร้ปัจจัยบวกใหม่
- Stock Pick: KTB ผลงานยังเติบโตและมี Upside เป้าเชิงกลยุทธ์ที่ 24.00 บาท
ผลงานยังเติบโตและมี Upside 24FY: กำไรสุทธิที่ 4.39 หมื่นล้านบาท (+19.8% YoY) โดย PPOP ยังขยายตัว 3.5% ขณะที่ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรอง -16.2% แต่ยังคงรักษาระดับ Coverage Ratio ในระดับสูงที่ 188.6% ด้าน ROE ปรับขึ้นเป็น 10.4% (+0.97% YoY)ทั้งนี้ ธนาคารประกาศ จ่ายปันผล สำหรับปีที่ 1.545 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. Yield 6.8% ขึ้น XD วันที่ 17 เม.ย. โดยตลาดตอบรับในเชิงบวก หลังมีการ ปรับขึ้น Payout Ratio จากปี 23 ที่ 33% เป็น 49% หนุนการขยายตัวของ ROE
- ประเมินกำไรสุทธิปี 25F ขยายตัว 5.5% รายได้รวมยังขยายตัว
เราประเมินกำไรสุทธิปี 25F เท่ากับ 4.63 หมื่นล้านบาท (+5.5% YoY) แม้ว่าภาพการเติบโตของ PPOP ยังไม่เด่นชัด (+1.0% YoY) เนื่องจาก
1. แนวโน้ม NIM ที่ปรับตัวลง จาก การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการปรับพอร์ตสินเชื่อไปที่ กลุ่มสินเชื่อรัฐบาลซึ่งมี Yield ต่ำ
2. รายได้ ค่าธรรมเนียม ที่คาดว่าจะเติบโตในระดับ 1-2% จากฐานที่สูงของปีก่อน
3. ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานยังทรงตัวจากการพัฒนาด้าน Digital คิดเป็น C/I อยู่ที่ระดับ 43.2%
อย่างไรก็ตาม คาดว่า คุณภาพสินเชื่อจะดีขึ้น จากการปรับเพิ่ม พอร์ตสินเชื่อความเสี่ยงต่ำ และสินเชื่อจำนำจดทะเบียน จึงคาดหวัง NPLs Ratio ที่ชะลอตัวลงเหลือ 2.9% และ Credit Cost ที่ทรงตัวที่ 1.2%
แนวโน้ม 1Q25F คาดว่าจะขยายตัว QoQ แต่ทรงตัว YoY จากแนวโน้ม ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่ลดลง QoQ และการตั้งสำรองที่คาดว่าจะทรงตัว ช่วยชดเชยผลของ NIM ที่ปรับลดลง ในงวดได้
- คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 25.25 บาท
อิง PBV 0.78 เท่า (ปรับขึ้นจากเดิม 0.7 เท่า) จากแนวโน้ม ROE ที่สูงขึ้นในปี 25-26F ตาม การจ่ายปันผลที่มากขึ้น
อย่างไรก็ดี เราคาดว่า แนวโน้มสินเชื่อภาครัฐและธุรกิจจะขยายตัว ตามการ เร่งลงทุนโครงการภาครัฐและเอกชนในปีนี้ แต่อาจแลกมากับ Loan Yield ที่จะชะลอตัวลง ซึ่งเป็นผลดีต่อ คุณภาพสินทรัพย์ และยังมี Upside จาก โอกาสการตั้งสำรองที่น้อยกว่าที่เราประเมินไว้
แนวรับ-แนวต้าน
• แนวรับ: 22.70 / 22.10 (ไม่ควรต่ำกว่าลงมา)
• แนวต้าน: 23.20 / 23.60 / 24.00