หุ้นวิชั่น – จากข้อมูลสถิติตลาดหุ้นไทยในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ถูกนักลงทุนต่างชาติขายกดหนักมาโดยตลอด จนกระทั้งหลายบริษัทเริ่มเข้าโครงการซื้อหุ้นคืนกันเป็นทิวแถว
ล่าสุด HMPRO ก็ทนไม่ไหว ประกาศซื้อหุ้นคืนตาม PTT ด้วยวงเงินจำนวน 7,000 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืนจำนวนไม่เกิน 800 ล้านหุ้น หรือ 6% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด คิดเป็นราคาเฉลี่ย 8.75 บาทต่อหุ้น มีระยะเวลาซื้อคืนตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 กันยายน 2568 และราคาที่ซื้อคืนจะต้องไม่มากกว่า 115% ของราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนหน้าการซื้อขาย
ใน 3 ปีที่ผ่านมา SET INDEX ปรับตัวลงทุกปี รวมแล้วลบมา 484 จุด หรือ 29% นั้นคือ ปี 2023 -15% , 2024 -1.1%,2025YTD -15.4% เกิดจากต่างชาติ มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยปัจจัยมีสัดส่วนการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยสูงถึง53.8% ซึ่งส่วนทางกับนักลงทุนรายย่อยที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นน้อยลงเรื่อยๆ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเพียง 29.1%
ซึ่งการที่ SET ปรับตัวลงแรงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากการถูกต่างชาติขายสุทธิอย่างหนักหน่วง โดยต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยหนักทุกปี รวม -3.77 แสนล้านบาท สวนทางกับนักลงทุนไทยที่ค่อยๆ เข้ามาสะสมหุ้นถึง 2.65 แสนล้านบาท ทำให้นักลงทุนในประเทศเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง (ข้อมูล บล.เอเซีย พลัส )
จากประเด็นดังกล่าวทำให้ SET ผันผวนในช่วงที่ผ่านมา และกดดันให้เม็ดเงินส่วนหนึ่งของนักลงทุนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ดูจากยอด FCD ของไทย พุ่ง ATH แตะ 2.63 หมื่นล้านเหรียญ (ในยามที่ดอกเบี้ยประเทศอื่นสูงกว่าไทย)
และหากพิจารณาเป็นรายหุ้น จะเห็นได้ว่า มี 20 หุ้นขนาดใหญ่ ที่ถูกต่างชาติขายหนัก ตั้งแต่ปี 2023-ถึงปัจจุบัน ประกอบด้วย 10 หุ้นแรก คือ DELTA – CPALL- AWC- PTTEP – AOT-CPN-BTS-TISCO-TIDLOR และ TOP ส่วนอีก 10 หุ้นหลังที่ต่างชาติขายหนัก PTT-SCC-BANPU-PTTGC-LH-HMPRO-SJWD-EA-BDMS และHANA
ทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ บล.เอเซีย พลัส แนะ กลยุทธ์ให้นักลงทุน หลบความผันผวนกับหุ้นปันผล หลังSET มี DIVIDEND YIELD สูง เป็นอันดับต้นๆ ของโลก จากแรงขายของต่างชาติที่มีมาตลอด 3 ปี กว่า 3.8 แสนล้านบาท ทุบดัชนีหุ้นดิ่งมาเกือบ 500 จุด จนมี VALUATION ที่ถูกมาก โดยมี PBV 1.13 เท่า มี DIVIDEND YIELD 4.3% ขณะที่ SETHD มี DIVIDEND YIELD สูงถึง 6.6 %
แม้ว่าตลาดหุ้นไทยยังถูกปัจจัย TRADE WAR กดดัน ทำให้ขยับขึ้นยาก ดังนั้นเพื่อหลบความผันผวน แนะนำทยอยสะสมหุ้น VALUATION ถูก ปันผลสูง SPALI,AP,SCC,PTTEP และหุ้น MEGA TREND ปันผลมีโอกาสค่อยๆสูงขึ้น CPALL,BH,ITCและWHA
มาที่ TOP ล่าสุด บริษัท Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. 2 ใน 3 บริษัทร่วมทุนของ Unincorporated Joint Venture (UJV) ได้เริ่มกระบวนการอนุญาโตตุลาการกับ TOP ต่อ Singapore International Arbitration Centre โดย Samsung และ Saipem ได้ฟ้องร้องถึงการใช้สิทธิของ TOP ในการบังคับหลักประกันของ UJV มูลค่า USD 358 ล้าน ตามที่ TOP ได้แจ้ง SET เมื่อวันที่ 24 ม.ค.68
โดยทั้ง 2 บริษัทได้อ้างถึงการใช้สิทธิบังคับหลักประกันดังกล่าวของ TOP เป็นการใช้สิทธิก่อนถึงกำหนดเวลาและเป็นการดำเนินการที่ไม่สมควร อีกทั้งยังได้เรียกร้องค่าเสียหายกับ TOP สำหรับความเสียหายซึ่งยังมิได้มีการระบุรายละเอียด
บล. ดาโอ มุมมองเป็นลบเล็กน้อย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าในการดำเนินโครงการ Clean Fuel Project (CFP) อย่างไรก็ตาม TOP ได้ยืนยันถึงการปฏิบัติตามข้อบังคับกับ UJV อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ต้องรอดูผลการพิจารณาของศาลต่อคดีนี้ต่อไป ถึงจะประเมินได้ว่าจะส่งผลกระทบต่องบการเงินของ TOP หรือไม่ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี2568ที่ 36.00 บาท อิง PBV เป้าหมายที่ 0.47x
การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ
ข่าวหัวม่วง By ทีมงานหุ้นวิชั่น