หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่า กลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 2/2568 ได้ออกบทวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนสำหรับไตรมาส 2/2568 โดยประเมินว่าเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายมากขึ้นสำหรับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ซึ่งมีระดับ Valuation ที่อยู่ในระดับสูงมาแต่เดิม จึงมีความเปราะบางต่อแรงกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว โดยมีปัจจัยจากสงครามการค้าเป็นแรงกดดันหลัก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มส่งผลกระทบต่อโมเมนตัมกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ให้ปรับลดลง และอาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่น (Underperform) ในไตรมาสนี้
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย อาจได้รับแรงกดดันจากทิศทางตลาดหุ้นโลกอยู่บ้าง แต่ด้วยระดับ Valuation ที่อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นโลกที่ลดลงในช่วงหลัง และแนวโน้มมาตรการการคลังและนโยบายการเงินในประเทศที่สนับสนุนมากกว่า ทำให้เราประเมินว่า Downside Risk ของตลาดหุ้นฝั่งนี้จะอยู่ในระดับที่จำกัดกว่า
ในด้านการดำเนินนโยบายการเงินโดยเฉพาะของธนาคารกลางสหรัฐฯ เรามองว่าจะเผชิญความยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะเกิดขึ้นพร้อมกับแรงกดดันเงินเฟ้อในระยะสั้นจากสงครามการค้า ในบทวิเคราะห์ฉบับนี้ เราประเมินว่าการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วง Mid-cycle ของดอกเบี้ยขาลงในระยะถัดไป จะไม่ได้ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นมากนัก เนื่องจากนักลงทุนให้น้ำหนักกับความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากกว่าผลบวกจากการลดดอกเบี้ย
ภายใต้ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น เรามองว่าตราสารที่ควรให้น้ำหนักมากขึ้น (Overweight) ในการจัดพอร์ต คือ ตราสารหนี้ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลและตราสาร Investment Grade รวมถึงตราสารคล้ายหนี้อย่างกองทุน REITs และ IFFs ซึ่งมีแนวโน้มได้ประโยชน์จากการปรับลดของ Bond Yield ระยะกลางถึงยาวในช่วงถัดไป
สำหรับมุมมองต่อ SET Index ในไตรมาส 2/2568 เราคาดว่าจะเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways โดยมีโอกาส Outperform ตลาดหุ้นโลกจากระดับ Valuation ที่อยู่ในระดับต่ำในแทบทุกตัวชี้วัด โดยประเมินแนวรับแรกของดัชนีที่ 1,160 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเดิม และในกรณีเลวร้ายที่สุด คาดแนวรับอยู่ที่ 1,100 จุด ซึ่งเป็นระดับ Forward PBV ที่ 1.07 เท่า ใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดระหว่างวันช่วงวิกฤตโควิด-19
ในทางกลับกัน แนวต้านแรกของดัชนีอยู่ที่บริเวณ 1,230 จุด ซึ่งเป็นระดับตามโมเดล PE แบบอนุรักษ์นิยม ส่วนแนวต้านในกรณีฐาน (Base Case) อยู่ที่ 1,320 จุด
ในส่วนของกลุ่มหุ้นแนะนำ เราประเมินว่าภายใต้ภาวะที่ไม่แน่นอนของการเติบโต (Growth Uncertainty) นักลงทุนจะยังคงโยกย้ายเม็ดเงินจากหุ้นกลุ่ม Growth ไปยังหุ้นกลุ่ม Deep Value และ Defensive เนื่องจากการลดดอกเบี้ยในช่วง Mid-cycle ที่กำลังจะเกิดขึ้น จะไม่ส่งผลเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่ม Growth เหมือนกับช่วงเริ่มต้นหรือช่วงท้ายของวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง
ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมไทยที่มักมีการปรับตัวได้ดีกว่าตลาดในไตรมาส 2 ของแต่ละปี ได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มอาหาร และกลุ่มการแพทย์ โดยเมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆ รวมกัน หุ้นที่เราเลือกเป็น Top Picks สำหรับไตรมาส 2/2568 ได้แก่:
BCP, TOP, PTTGC, GPSC, CPF, BDMS, BH, TCAP, 3BBIF, LHHOTEL