หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานจากตลาดหลักทรัพย์ พบ บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER แจ้งย้ายหลักทรัพย์เข้าเทรด (SET) โดยอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจการแพทย์ จากเดิมตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ (เดิม) โดยเริ่มเข้าซื้อขายใน SET วันนี้ (28 ต.ค.67)
บริษัท MASTER ประกอบกิจการสถานพยาบาลด้านความงามที่ให้บริการศัลยกรรมครบวงจร และได้เริ่มทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2566 ปัจจุบันมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 14,180.45 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองแนวโน้ม MASTER ไตรมาส 3/2567 กลับมาโตทั้งจากไตรมาสก่อนหน้า และ ช่วงเดียวกันกับปีก่อน ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/2567 ที่ 113 ล้านบาท (+28.6% จากไตรมาสก่อนหน้า, +12.8% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน) คาดรายได้หลักที่ 515 ล้านบาท (+0.9% จากไตรมาสก่อนหน้า , +7.5% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน)
โดยรายได้ในเดือน ก.ค. ทำระดับสูงสุดใหม่ แต่แผ่วลงในช่วงปลายไตรมาสจากผลกระทบอุทกภัยในภาคเหนือทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ชะลอการเข้ารับทำหัตถการออกไป โดยลูกค้ากลุ่มนี้มีสัดส่วนราว 10% ของรายได้ในประเทศทั้งหมด ซึ่งมีการเก็บเงินมัดจำแล้วทำให้โอกาสยกเลิกค่อนข้างน้อย และคาดว่าจะกลับเข้ารับบริการในไตรมาส 1/2568 เป็นอย่างช้า ส่วน GPM คาดที่ 58% ทรงตัวจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า จากสัดส่วนรายได้ต่างชาติที่สูงขึ้น
ส่วน SG&A คาดจะควบคุมได้ดีในไตรมาสนี้เนื่องจากใช้ค่าใช้จ่ายทางการตลาดค่อนข้างมากไปแล้วในครึ่งปีแรก 2567 ฝ่ายวิเเคราะห์คาด SG&A/Sales ที่ 34.0% ลดลงจาก 38.6% ในไตรมาส 2/2567 แต่ทรงตัวจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน
ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมคาดที่ 13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 96% ไตรมาสก่อนหน้า ส่วนช่วงเดียวกันกับปีก่อน ไม่มีส่วนนี้ในไตรมาส 3/2566 ทั้งนี้จากการ Turnaround ของ V Square และ TYP ส่วน Wind ขาดทุนลดลง นอกจากนี้เป็นไตรมาสแรกที่เริ่มรับรู้ส่วนแบ่งจาก S45
ไตรมาส 4/2567 มีโอกาสสูงที่กำไรจะทาระดับสูงสุดใหม่รายได้ในเดือน ต.ค. ค่อนข้างสูงเนื่องจากเริ่มเข้าสู่ช่วง High season โดยมีโอกาสทำรายได้แตะระดับสูงสุดใหม่ ส่วนยอดจองล่วงหน้าเดือน พ.ย. ดีกว่าเดือน ต.ค. ทำให้มีโอกาสสูงที่รายได้ในไตรมาส 4/2567 ทำระดับสูงสุดใหม่ที่ราว 600 ล้านบาทขึ้นไปได้ โดยคาดลูกค้าในประเทศฟื้นตัวและลูกค้าต่างประเทศเติบโตสูงโดยเฉพาะกลุ่มอินโดนีเซียที่ได้รับความนิยมสูงมากในกลุ่มศัลยกรรมจมูก หน้าอก และปลูกผม
ขณะที่ GPM มีโอกาสสูงขึ้นได้อีกจาก Economy of scales และลูกค้าต่างชาติจะมีรายได้ต่อบิลค่อนข้างสูง ส่วน SG&A คาดทรงตัว QoQแต่ SG&A/Sales จะลดลงตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น หนุน NPM นอกจากนี้ยังเป็น High season ของบริษัทย่อยเกือบทุกบริษัท และเริ่มมีรายได้จาก BEQ , TSC และ Aurora Clinic เป็นไตรมาสแรก โดยส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมอาจแตะระดับ 20 ล้านบาทได้ นอกจากนี้จะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์ของโรงพยาบาล ร่วมกับ Partner ซึ่งยังไม่รวมในประมาณการ
คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/2567 เบื้องต้นที่ 200 –220 ล้านบาท PER68 ไม่แพง เป็น Top pick ไตรมาส 4/2567 ราคาหุ้นปรับตัวลงราว 25% จากเดือน ก.ค. จากความผิดหวังงบไตรมาส 2/2567 แต่ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าเป็นผลในระยะสั้นจากการใช้ค่าใช้จ่ายทางการตลาดจำนวนมากเพื่อสร้างยอดขายในครึ่งปีหลัง 2567 รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมยังไม่เป็นไปตามเป้า ซึ่งประเด็นดังกล่าวคลี่คลายในทางบวกในไตรมาส 3/2567 และเร่งตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 4/2567 ทำให้ที่ระดับปัจจุบันมองว่าน่าสนใจสะสม เนื่องจากปัจจุบันซื้อขายที่ PER67 –68 ที่ 26.6 เท่า และ 23.8เท่าตามลำดับ เทียบเท่าในอดีตเคยสูงถึง 35 – 40 เท่า บนประมาณการที่ค่อนข้างระมัดระวัง
ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าประมาณการกำไรปี 2568 มี Upside risk จากลูกค้าต่างประเทศ และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 โดยให้คงเดิมที่ 68.50 บาท ซึ่งจะเทียบเท่า PER ในการประเมินมูลค่าลดลงจาก 40.00 เท่า เป็น 35.75 เท่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” คาดย้ายเข้าซื้อขายตลาด SET ในไตรมาส 4/2567 และมีโอกาสเข้า SET100 ในไตรมาส 4/2568 ให้เป็น Top pick ประจำไตรมาส 4/2567
ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดกำไรสุทธิ MASTER ในไตรมาส 3/2567 ที่ 113 ล้านบาท (+13% y-y, +29% q-q) โดยแยกเป็นส่วนกำไรจาก Organic ส่วน รพ.ของ MASTER คาด 100 ล้านบาท (+1% y-y , +12% q-q) จากรายได้คาดยังเติบโต +9% y-y ได้ทั้งลูกค้าไทยและต่างชาติแต่หักล้างจากคาด SG&A ยังเพิ่มจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน ขณะที่ ส่วนแบ่งก าไรจากบ.ร่วมคาดเพิ่มเป็น 12ลบ. (ฐานปีก่อนไม่มี, +81% q-q) โดยเริ่มรับรู้ V-Square เต็มไตรมาส
คาดรายได้ที่ 520 ล้านบาท (+9% y-y, +2% q-q) เติบโตจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า จากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นช่วงต้นไตรมาส ทั้งไทยและต่างประเทศ โดย Key driver หลักคือลูกค้าอินโดนีเซียเติบโตแรงเท่าตัว คาดสัดส่วนขึ้นจาก 4% ของรายได้ในปี 2567 เป็น 10%
อย่างไรก็ตาม ในช่วงกันยายนเริ่มมีผลกระทบจากกลุ่มลูกค้าภาคเหนือจากผลน้ำท่วม ทำให้มีการเลื่อนศัลยกรรมออกไป คิดเป็นมูลค่าราว 20-30 ล้านบาท คาด Gross margin 58.0% เทียบกับ ไตรมาส 3/2566 และไตรมาส 2/2567 ที่ 58.2% และ 57.0% เป็นระดับใกล้เคียงจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน ยังไม่มีโปรแรงๆ แต่เพิ่มเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า จาก U rate ปรับขึ้นจาก 60% เป็น 61%
คาด SG&A to sales ที่ 34.2% ไตรมาส 3/2566 และไตรมาส 2/2567 ที่ 33.5% และ 36.9% ยังเป็นระดับเพิ่มจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน จากการใช้ด้านการตลาด แต่เป็นทิศทางที่เริ่มลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า หลังใช้การตลาดมากในไตรมาส 2/2566 รวมถึงงวดนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายด้าน M&A คาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ 12 ล้านบาท และ เริ่มรับรู้ครั้งแรกไตรมาส 4/2566 หลายบริษัทเริ่มดีขึ้น และรับรู้ V-Square เต็มไตรมาสครั้งแรกราว 2-3 ล้านบาท จากงวดก่อนขาดทุน -0.4 ล้านบาท (คาด SSSG V-Square +12% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน)
คำแนะนำ “Buy” ที่ 58 บาท อิง PER 29 เท่า(ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง -1SD)ปัจจุบันซื้อขายที่ PER25F 23 เท่า (-2SD) เป็นระดับที่ไม่สูง โดยหุ้น -8% ytd ได้สะท้อนปัจจัยลบต่างๆไปมากแล้วและผ่านช่วง Eanrings cut จากตลาดมาหมดแล้วอีกทั้งแนวโน้มอุตสาหกรรมด้านศัลยกรรมและความงามเป็นขาขึ้นในระยะยาวโดย MASTER ถือเป็นหนึ่งในผู้นำของโรงพยาบาลศัลยกรรมที่มีแผนขยายธุรกิจเชิงรุกมากที่สุดในกลุ่ม
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด มองผลประกอบการของ MASTER ยังอยู่ในวัฏจักขาขึ้นรายได้รวมและกำไรสุทธิเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากข้อมมูลในช่วง3ปีย้อนหลัง (2564-2566) มีอัตราการเติบโตที่67.83% CAGR และ 59.91% CAGR ตามลำดับ รวมถึงในช่วงครึ่งปีแรก 67 รายได้รวมและกำไรสุทธิ ยังคงเติบโตได้ 9.24% และ 26.59%จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน
ฝ่ายวิเคราะห์ยังคาดการการเติบโตของผลประกอบการในอนาคต 3 ปี ข้างหน้า (2567-2569) จะมีกาไรสุทธิปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเท่ากับ 481.19ล้านบาท 583.40ล้านบาท แล ะ619.43 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นการเติบโต 13.46% โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจาก
1. การเติบโตตามภาพรวมอุตสาหกรรมศัลยกรรมและความงาม ที่ยังคงมีความต้องการเพิ่มขึ้นในทุกGeneration ทั้ง Gen X, Gen Y, Gen Z และ Baby Boomers ผ่านโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช และ Partner
2.แนวโน้มการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ และ3.การมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งช่วยสร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าผ่านการตลาด/การสื่อสารทั้งออนไลน์และออฟไลน์ประเมินมูลค่าเหมาะสม ณ สิ้นปี 6 8ที่ 63.25บาท/หุ้น
เริ่มต้นด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ MASTER เนื่องจากธุรกิจยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้สูงในช่วง 3 ปี ข้างหน้า โดยประมาณการณ์กำไรสุทธิในปี 2568 ที่ 583.40 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่ 301.71ล้านหุ้น คิดเป็น EPS เท่ากับ 1.93 บาท/หุ้น และประเมิน PER ที่เหมาะสมเท่ากับ 32.7x (ใกล้เคียงกันกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่ม Beauty & Surgery ตั้งแต่ช่วงปี 256 6ซึ่งเป็นช่วงสถานการณ์ปกติหลัง COVID-19) จะได้มูลค่าพื้นฐานที่เหมาะสมสาหรับปี 2568 ที่ 63.25 บาท/หุ้น