การบินไทยและบริษัทย่อยไตรมาส 3/2567 โชว์กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 12,483 ล้านบาท จากปีก่อน เป็นผลจากการขยายเส้นทางบินใหม่ และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับจีน รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สะท้อนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ขอนำส่งงบการเงินของบริษัทฯ และบริษัทย่อยสำหรับงวดสามเดือนและเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 ซึ่งผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีแล้วพร้อมคำอธิบายผลการดำเนินงานและการวิเคราะห์ฐานะทางการเงินสำหรับไตรมาสที่ 3ปี 2567 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 ตามรายละเอียดในสิ่งที่ส่งมาด้วยโดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทฯ มีเครื่องบินที่ใช้ทำการบินทั้งสิ้น 77 ลำ โดยในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 บริษัทฯ มีอัตราการใช้ประโยชน์ของเครื่องบินเฉลี่ย 13.1 ชั่วโมง มีจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวมทั้งสิ้น 3.94 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20.5 มีปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK)เพิ่มขึ้นร้อยละ 262 และปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (PPK เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.2 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนในขณะที่อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ปรับตัวลดลงจาก 77.3% ในงวดเดียวกันของปีก่อนเป็น 76.1% และมีรายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วย (รวมค่าธรรมเนียมชดเชยค่าน้ำมันและค่าเบี้ยประกันภัย)อยู่ที่ 2.83 บาท ต่ำกว่าปีก่อนร้อยละ 3.4 และสำหรับด้านการขนส่งสินค้ามีปริมาณการผลิตด้านพัสดุภัณฑ์ (ADTK เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.6 และปริมาณการขนส่งพัสดุภัณฑ์ (RFTH) เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.6 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ในขณะที่อัตราส่วนการขนส่งพัสดุภัณฑ์ (Freight Load Factor) เฉลี่ยเท่ากับ 52.5%ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 45,828 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน 8,820 ล้านบาท (23.8%) โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากกิจการขนส่งที่เพิ่มขึ้น 7,450 ล้านบาท (21.7%6) โดยรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น 6,182 ล้านบาท (20.0%) เนื่องจากการเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน และเส้นทางบินที่ให้บริการ เพื่อรองรับปริมาณความต้องการเดินทางของ ผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น โดยในไตรมาสนี้ บริษัทฯ กลับมาให้บริการในเส้นทางบินสู่มิลาน สาธารณรัฐอิตาลี และออสโล ราชอาณาจักรนอร์เวย์ นอกจากนี้ ได้เพิ่มความถี่ไปยังเมืองปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับจีนจากมาตรการยกเว้นวีซ่าของทั้ง 2 ประเทศ และมีรายได้จาก
ค่าระวางขนส่งและไปรษณียภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น 1,268 ล้านบาท (36.6%) นอกจากนี้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จาก กิจการอื่นเพิ่มขึ้น 589 ล้านบาท (28.1%) และมีรายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้น 781 ล้านบาท (146.5%) ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9,347 ล้านบาท (31.9%6) ตามปริมาณการผลิตและ/หรือปริมาณการขนส่งจำนวนเที่ยวบิน จุดบิน และผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มสูงขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น ค่าใช้จ่ายซ่อมแชมและซ่อมบำรุงอากาศยานซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการค่าซ่อมที่สูงขึ้นตามจำนวนเครื่องบินที่ใช้ในการปฏิบัติการเพิ่มขึ้น ค่าบริการการบิน เนื่องจากอัตราค่าบริการภาคพื้นที่สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขายและโฆษณาซึ่งเพิ่มขึ้นตามประมาณการจองบัตรโดยสารที่เพิ่มสูงขึ้นและค่าใช้จ่ายอื่นที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว 7,192 ล้านบาท ต่ำกว่างวดเดียวกันของปีก่อน 527 ล้านบาท (6.8%) และสำหรับต้นทุนทางการเงิน (ซึ่งเป็นการรับรู้ต้นทุนทางการเงินตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 :TFRS 9) จำนวน 4,829 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน 1,107 ล้านบาท (29.7%)
บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิเป็นรายได้รวม 10,119 ล้านบุร สาเหตุหลักมาจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ ปรับปรุงค่าธรรมเนียมสำหรับ บัตรโดยสารที่หมดอายุ และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม ถึงแม้จะมีเงินชดเชยกรณีเลิกจ้างโครงการร่วมใจจากองค์กร ผลขาดทุนจากการด้อยค่าซึ่งเป็นไปตามมาตรฐาน TFRS 9 และปรับปรุงสินค้าคงเหลือในกลุ่มที่ไม่มีฝูงบิน ส่งผลให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 12,483 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 10,937 ล้านบาท โดยเป็นกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 12,480 ล้านบาท คิดเป็นกำไร ต่อหุ้น 5.72 บาท สูงกว่าปีก่อน 5.02 บาทต่อหุ้น (717.1%) โดยมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบิน รวมค่าเช่าเครื่องบินที่คำนวณจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hour)จำนวน 6,655 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าปีก่อน 1,705 ล้านบาท (20.4%)
ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวมจำนวน 263,743 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 24,752 ล้านบาท (10.4%) หนี้สินรวมมีจำนวน 291,684 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 9,551 ล้านบาท (3.4%) ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ติดลบจำนวน 27,941 ล้านบาท ติดลบลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 15,201 ล้านบาท