จากรายงานการประชุมของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% ซึ่งถือเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงในด้านการจ้างงาน แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งก็ตาม ทั้งนี้ เฟดยังส่งสัญญาณว่าอาจมีการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมภายในสิ้นปีนี้
ทีมข่าวหุ้นวิชั่นได้สัมภาษณ์ คุณวิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) ซึ่งได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดภายหลังจากการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ โดยระบุว่า ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลดีต่อ ต้นทุนทางการเงิน ของธุรกิจที่ลดลง และกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลดีอย่างชัดเจนคือ กลุ่มการเงิน (Finance) หรือไฟแนนซ์ เนื่องจากการลดต้นทุนการกู้ยืมจะช่วยกระตุ้นการลงทุนและการขยายตัวของธุรกิจในกลุ่มนี้
ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยยังมีโอกาสส่งผลบวกต่อ ตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าจะเกิดการเติบโตของเศรษฐกิจ และมีการโยกย้ายเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
นอกจากนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ยังมองว่ากลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ อาจได้รับอานิสงส์จากการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เช่นกัน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมในภาคที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังคงมีความท้าทายในการยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย เนื่องจาก หนี้ครัวเรือน ในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปได้ยาก
ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ฝ่ายวิเคราะห์จึงยังให้น้ำหนักมากกว่ากับ กลุ่มไฟแนนซ์ ที่จะได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้กับกลุ่มการเงิน ทั้งในแง่ของการลงทุนและการขยายตัวของธุรกิจ
สำหรับกลุ่มไฟแนนซ์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ปัจจุบันมีบริษัทที่น่าจับตามองอยู่หลายแห่ง โดย 10 บริษัทหลัก ประกอบไปด้วยบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการให้บริการทางการเงินในหลากหลายด้าน อาทิ สินเชื่อ การลงทุน และบริการจัดการสินทรัพย์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ที่จะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน และกระตุ้นการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต ดังต่อไปนี้
รายงานโดย มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว HOONVISION