ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

เกมแลกหมัดการค้าโลก ไทยเสี่ยงแค่ไหน?

              หุ้นวิชั่น – บล.หยวนต้า จับตา Trade War 2.0 เหมือนจะเบาลง แต่ความเสี่ยงยังสูงในปีนี้ โดยตั้งแต่คุณโดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 เมื่อ วันที่ 20 ม.ค. สหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการภาษีหลายรายการ โดยเริ่มจากการขึ้นภาษีกันประเทศคู่ค้าหลักอย่างแคนาดาและเม็กซิโกทีระดับ 25% และ ขึ้นภาษีสินค้าน้ำเข้าจากจีนทีระดับ 20% โดยอ้างเหตุผลในการปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน

              ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เสนอแนวคิดเรื่องภาษีนำเข้าแบบ Universal Tariff ที่ระดับ 2.5% กับทุกสินค้าและทุกประเทศ แต่ประธานาธิบดีทรัมป์เห็นว่าระดับภาษีดังกล่าวต่ำเกินไป และแสดงทำทีว่าควรจัดเก็บในอัตราที่สูงกว่านี้

สถานการณ์สงครามการค้าผ่อนคลายลงเล็กน้อยหลังจากแคนาดาและเม็กซิโกเพิ่มมาตรการป้องกันการนำเข้าเฟนทานิลจากชายแดน แลกกับ การเลือนขึ้นภาษีออกไป 1 เดือน

แต่ฝ่ายวิจัยเห็นว่าความไม่แน่นอนยังคงสูง  โดยเฉพาะกับจีน ซึ่ง Bloomberg ประเมินว่าการขึ้นภาษี 10% อาจทำให้การ ส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลงราว 40% และส่งผลต่อ GDP จีนประมาณ 0.9% ซึ่งเห็นว่าอาจมีผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทย*

  •  Reciprocal tariffs – เกมแลกหมัดการค้าโลก

              การเปิดฉากสงครามการค้าของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งเป็นการกำหนดอัตราภาษีขาเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าให้เท่าเทียมกัน กับอัตราภาษีที่สินค้าสหรัฐฯ ต้องเผชิญเมื่อส่งออกไปยังประเทศเหล่านั้น มีเป้าหมายหลักเพื่อลร้างความได้เปรียนในการเจรจาต่อรอง และลดการขาดดุลการค้า โดยเฉพาะกับประเทศที่สหรัฐฯ มองว่ามีการเก็บภาษีน้ำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ สูงเกินสมควร ทั้งนี้กลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียนเป็นเป้าหมายสำคัญ ซึ่งเรามองว่าหลายประเทศอาจเลือกประนีประนอมในบางประเด็น เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกขึ้นภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯ

              สำหรับประเทศไทย ปัจจัยที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยงต่อการถูกตอบได้ทางการค้า คือดุลการค้าที่เกินดุลกับสหรัฐฯ สูงถึง 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 ติดอันดับ 11 ของประเทศที่เกินดุลมากที่สุด ฝ่ายวิจัยประเมินว่าตัวเลข ดังกล่าวอาจทำให้ไทยถูกจับตามองในฐานะประเทศที่อาจต้องเผชิญมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้

ปัจจุบันมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เกิดขึ้นกับกลุ่มสินค้าเกษตรเป็นหลัก ส่วนกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมนอกภาคเกษตรที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบสำคัญ ได้แก่ สินค้ากลุ่มสิ่งทอ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่

              ทั้งนี้ ประเด็นภูมิรัฐศาสตร์อาจช่วยลดแรงกดต้นต่อไทยในบางส่วน เนื่องจากแม้สหรัฐฯจะเพิ่มความเข้มงวดกับจีนในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา (IP) แต่ไทยมีพัฒนาการด้านกฎหมาย IP อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจช่วยลดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศได้

อีกประเด็นหนึ่งที่คาดว่าจะเป็นหัวใจสำคัญในการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ คือ ความไม่สมดุลของโครงสร้างภาษี โดยไทยเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เฉลี่ย 9.5% ขณะที่สหรัฐฯ เก็บจากไทยเพียง 0.3% (ข้อมูล ITC, World Bank, Feb 2025) ประกอบกับการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร (Non-Tariff Measures – NTMs) เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งอาจถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาตามหลัก “Reciprocity” ในอนาคต

              อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงอาจไม่ใช่อยู่ที่ NTMs โดยรวม แต่เป็นประเด็นเฉพาะในบางอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเกษตรกรรม โดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภัยอาหารที่สหรัฐฯ อาจเข้มงวดขึ้น ตลอดจนกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการลงทุน

ดังนั้น แนะนำให้นักลงทุนเตรียมความพร้อม และติดตามนโยบายจากทั้งฝั่งสหรัฐฯ และไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แถลงการณ์ นายกรัฐมนตรี  เปิดช่องนำเข้าสินค้าสหรัฐฯเพิ่ม

แถลงการณ์ นายกรัฐมนตรี เปิดช่องนำเข้าสินค้าสหรัฐฯเพิ่ม

รมช.คมนาคม เปิดท่าเรือพระราม 7 ยกระดับโครงข่าย “ล้อ - ราง - เรือ”

รมช.คมนาคม เปิดท่าเรือพระราม 7 ยกระดับโครงข่าย “ล้อ - ราง - เรือ”

OR ชู OTOP ผ่าน

OR ชู OTOP ผ่าน "ไทยเด็ด" คัดขึ้นเชลฟ์ พีทีที สเตชั่น - คาเฟ่ อเมซอน

จัดธนบัตร 4 หมื่นล้าน รับใช้จ่ายช่วงสงกรานต์

จัดธนบัตร 4 หมื่นล้าน รับใช้จ่ายช่วงสงกรานต์

ข่าวล่าสุด

ทั้งหมด