หุ้นวิชั่น – ส.อ.ท. เผยปรับเป้าผลิตรถยนต์ปี 2567 จาก 1,700,000 คันเป็น 1,500,000 คัน ลดลง 200,000 คัน โดยปรับการผลิตขายในประเทศลดลงจาก 550,000 คันเป็น 450,000 คัน และการผลิตเพื่อส่งออกลดลงจาก 1,150,000 คัน เป็น 1,050,000 คัน เดือนตุลาคม 2567 ขาย 37,691 คัน ลดลง 36.06% ส่งออก 84,334 คัน ลดลง 20.23%
ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 688 คัน เพิ่มขึ้น 34,300% ส่วนการขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 3,717 คัน ลดลง 49.73% นักวิเคราห์มอง ติดตามการผลิตไตรมาส 4 และยอดจองในงาน Motor Expo อย่างใกล้ชิด อาจพลิกเกมระยะสั้น
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ของสมาชิกกลุ่มฯ ในปี พ.ศ. 2567 (ใหม่) ปรับเป้าผลิตรถยนต์ปี 2567 จาก 1,700,000 คันเป็น 1,500,000 คัน ลดลง 200,000 คัน โดยปรับการผลิตขายในประเทศลดลงจาก 550,000 คันเป็น 450,000 คัน และการผลิตเพื่อส่งออกลดลงจาก 1,150,000 คัน เป็น 1,050,000 คัน
โดยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนตุลาคม 2567 ดังต่อไปนี้ในส่วนการผลิตจำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนตุลาคม 2567 มีทั้งสิ้น 118,842 คัน ลดลงจากเดือนตุลาคม 2566 ร้อยละ 25.13 และลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 2.81 เพราะผลิตเพื่อส่งออกลดลงร้อยละ 7.00 และผลิตเพื่อขายในประเทศลดลงร้อยละ 51.70 จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม – ตุลาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,246,868 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – ตุลาคม 2566 ร้อยละ 19.28
ผลิตเพื่อส่งออก เดือนตุลาคม 2567 ผลิตได้ 87,741 คัน เท่ากับร้อยละ 73.83 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนตุลาคม 2566 ร้อยละ 7.00 ส่วนเดือนมกราคม – ตุลาคม 2567 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 861,916 คัน เท่ากับร้อยละ 69.13 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 4.69 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนตุลาคม 2567 ผลิตได้ 31,101 คัน เท่ากับร้อยละ 26.17 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนตุลาคม 2566 ร้อยละ 51.70 และเดือนมกราคม – ตุลาคม 2567 ผลิตได้ 384,952 คัน เท่ากับร้อยละ 30.87 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – ตุลาคม 2566 ร้อยละ 39.89
ยอดขาย
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนตุลาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 37,691 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 36.08 ต่ำสุดในรอบ 54 เดือนนับตั้งแต่ยกเลิกล๊อคดาวน์จากการระบาดโรคหวัด 19 เดือนพฤษภาคม 2563 จากการเข้มงวดในการให้กู้ซื้อรถยนต์ของสถาบันการเงินเป็นหลัก ส่งผลให้จำนวนบัญชีผู้กู้ซื้อรถยนต์ในไตรมาสสามมี 6,365,571 บัญชีลดลงจากไตรมาสสอง 75,377 บัญชีเท่ากับร้อยละ 1.2 และลดลงจากไตรมาสสามปี 2566 จำนวน 199,655 บัญชีหรือร้อยละ 3.0 จำนวนเงินหนี้รถยนต์ไตรมาสสาม 2,465,204 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสสองร้อยละ 2.8 และลดลงร้อยละ 5.8 จากไตรมาสสามปี 2566 รถบรรทุกลดลงจากเศรษฐกิจของประเทศที่ยังอ่อนแอเติบโตในอัตราต่ำและหนี้ครัวเรือนสูง ดัชนีภาคอุตสาหกรรมขยายตัวต่ำที่ร้อยละ 0.1 ในไตรมาสสาม โดยรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 3,717 คัน เท่ากับร้อยละ 9.86 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 49.73
การส่งออก
รถยนต์สำเร็จรูป
เดือนตุลาคม 2567 ส่งออกได้ 84,334 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วร้อยละ 5.08 แต่ลดลงจากเดือนตุลาคม 2566 ร้อยละ 20.23 ส่งออกลดลงเพราะฐานสูงในเดือนเดียวกันของปี 2566 ที่ส่งออกถึง 105,726 คัน ส่งผลให้ส่งออกลดลงทุกตลาด ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลางและยุโรปที่สงครามอิสราเอลกับฮามาสขยายมากขึ้น อาจจะส่งผลกระทบการส่งออกไปยังตลาดดังกล่าวน้อยลง อีกความขัดแย้งที่ต้องติดตามแบบไม่กระพริบตาที่จะกระทบเศรษฐกิจโลกคือสงครามยูเครนกับรัสเซียที่อาจขยายไปประเทศอื่นซึ่งกระทบการส่งออกรถยนต์และสินค้าอื่นๆ
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนตุลาคม 2567
เดือนตุลาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 6,651 คัน ลดลงจากเดือนตุลาคมปีที่แล้วร้อยละ 32.19 โดยเดือนมกราคม – ตุลาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 82,304 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – ตุลาคมปีที่แล้วร้อยละ 6.12
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนตุลาคม 2567 เดือนตุลาคม 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 8,622 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคมปีที่แล้วร้อยละ 30.36
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 213,173 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 94.70
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 455,364 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 37.67
บริษัท หลักทรัพย์พาย จำกัด (มหาชน) ระบุถึง ยานยนต์ว่า ส.อ.ท.รายงานตัวเลขยานยนต์ ประจำเดือนตุลาคม 567 ยังคงไม่เห็นสัญญาณการปรับตัวเพิ่มแต่อย่างใด โดยเทียบกับปีก่อน ลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะยอดขายในประเทศ ที่ได้รับแรงกดดันจากปัญหาน้ำท่วมภาคเหนือในช่วงต้นปี และการชะลอตัวของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนเทียบกับเดือนกันยายน มีเพียงการส่งออกที่เพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย ขณะที่ยอดขายในประเทศและการผลิตรวมลดลงเล็กน้อย ส่วนปริมาณการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 668 คัน ลดลง 54%MoM คิดเป็นสัดส่วน 1.4% ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง รวมแล้วในช่วง 10M24 มีการผลิตรถยนต์ 1,246,686 คัน (-19%YoY) คิดเป็นสัดส่วน 73% ของเป้าการผลิตรถยนต์ทั้งปีที่สภาอุตสาหกรรมตั้งไว้ที่ 1.7 ล้านคัน ทำให้ทางสภาอุตสาหกรรมมีการปรับเป้าการผลิตลงอีกครั้งเหลือเพียง 1.5 ล้านคัน ใกล้เคียงกับที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ ทั้งนี้จาก ตัวเลขที่ออกมาดูไม่ดีขณะที่ปัจจัยบวกยังไม่ชัดเจน ดังนั้นระยะสั้นเราจึงคงน้ำหนักการลงทุนลงที่ “น้อยกว่าตลาด” เท่าเดิม
สำหรับการผลิตรถยนต์ EV กลับมาลดลงอีกครั้งแสดงให้เห็นถึงการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น คำแนะนำการลงทุนหากการผลิตเป็นไปตามเป้าที่สภาอุตสาหกรรมคาดไว้ จะทำให้ตัวเลขในช่วงไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ระดับ 371,000 คัน สูงกว่า ไตรมาส 3/2567 จึงมีโอกาสที่ผลประกอบการของกลุ่มยานยนต์จะเพิ่มขึ้นได้ (ส่วนเทียบกับปีก่อนคาดว่าจะลดลงมาก) ทั้งนี้ยังมีความเสี่ยงจากเป้าการผลิตที่สภาอุตาหกรรมคาดไว้ เพราะเดือนธันวาคมมีวันหยุดค่อนข้างมาก ดังนั้น ระยะสั้นจึงคงน้ำหนักการลงทุนที่ “น้อยกว่าตลาด” เหมือนเดิมจนกว่าจะเห็นสัญญาณฟื้นตัวของอุตสาหกรรม ทั้งนี้ในช่วงต้นเดือน ธ.ค.จะมีการจัดงาน Motor Expo อาจจะเป็นแรงหนุนราคาหุ้นในระยะสั้นๆได้ ถ้ายอดจองออกมาดี (ปี 23 มียอดจองกว่า 53,000 คัน)