Sharetime


BLESS x ShooShoke รณรงค์กำจัดขยะ (Food Waste) ด้วยระบบ Zero Waste

BLESS x ShooShoke รณรงค์กำจัดขยะ (Food Waste) ด้วยระบบ Zero Waste

            หุ้นวิชั่น - บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (BLESS  ASSET GROUP) หรือ BLESS ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างบ้านคุณภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ไปพร้อมกับการสร้างสังคมคุณภาพ และโลกที่ยั่งยืน ภายใต้นิยาม “ใช้ชีวิต..ให้สุขยิ่งกว่า Live your Blessed Life” ตามเจตนารมย์ของแบรนด์ “บ้านสุข บ้าน BLESS” ที่ให้ความสำคัญกับ Waste Management ส่งเสริมการจัดการขยะอย่างมีความรับผิดชอบ ครอบคลุมตั้งแต่ที่อยู่อาศัย พื้นที่ส่วนกลาง ไซต์งานก่อสร้าง และออฟฟิศของบริษัทฯ เพื่อนำขยะรีไซเคิล กลับมาหมุนเวียนใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดปริมาณขยะที่จะนำไปสู่การฝังกลบ (Landfill) ให้ได้มากที่สุด

[ภาพข่าว] มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ

[ภาพข่าว] มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ

          ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ และ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มอบการสนับสนุน โครงการเงินทุนฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ สภากาชาดไทย เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที ทั้งยามเกิดภัยธรรมชาติและอุบัติภัยที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ โดยมี  นายขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการ สำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย รับมอบ           มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งสานพลังความร่วมมือกับองค์กรภาคีทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับคนไทย

[ภาพข่าว] ตลท. มอบผ้าห่ม และถุงยังชีพ ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยหนาว จ. เชียงราย”

[ภาพข่าว] ตลท. มอบผ้าห่ม และถุงยังชีพ ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยหนาว จ. เชียงราย”

          นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกฎหมาย และบริหารกิจกรรมเพื่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ นาวาอากาศเอก ณัฐพัชร หนองแสง ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 สำนักงานพัฒนาภาค 3 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ผู้แทนจากกองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมมอบผ้าห่มกันหนาวและถุงยังชีพที่บรรจุเครื่องอุปโภคบริโภค เวชภัณฑ์และสิ่งของจำเป็น ให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัยหนาว อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งผ้าห่มกันหนาวที่ส่งมอบเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากขวดพลาสติก (Upcycling) โดยวิสาหกิจชุมชนบ้านวัดจากแดงเศรษฐกิจพอเพียง  จ.สมุทรปราการ ที่ให้ทั้งความอบอุ่นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นความสำคัญในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตชุมชน พร้อมสนับสนุนและช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการช่วยเหลือดูแลในกรณีเร่งด่วนที่เกิดภาวะภัยพิบัติ

“โครงการ WeCYCLE” ผนึกความร่วมมือภาครัฐ-เอกชนเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

“โครงการ WeCYCLE” ผนึกความร่วมมือภาครัฐ-เอกชนเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

          บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IEAT) ผนึกกำลังกับองค์กรชั้นนำ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (SCGP) และบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) จัดกิจกรรม “WE CYCLE DAY 2024” ภายใต้โครงการ WeCYCLE ด้วยการจัดการและสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ ได้แก่ ขวดพลาสติก กระดาษ และน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ในรูปแบบของการรีไซเคิล (Recycling) และอัพไซเคิล (Upcycling) เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมตอบโจทย์การดำเนินงานตามเป้าหมายนำองค์กรสู่ Net Zero ลดภาวะโลกร้อนภายในปี 2050 และยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนพื้นที่คลังสินค้า นิคมอุตสาหกรรมของ WHA ด้วยความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นโอกาสในการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนทั้งต่อชุมชน และเศรษฐกิจ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีการมอบเกียรติบัตร WeCYCLE และโล่รางวัล WeCYCLE ให้พันธมิตรที่มีผลงานโดดเด่น และการแสดงผลงานผลิตภัณฑ์ Upcycling เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมงาน ณ ห้อง Convention Hall พัฒนากอล์ฟ สปอร์ต รีสอร์ท จังหวัดชลบุรี           กิจกรรม WeCYCLE DAY 2024 ภายใต้โครงการ WeCYCLE จัดตั้งในปี 2565 จนถึงปี 2567 นับเป็นการจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน เพื่อยกระดับความตระหนักรู้เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งได้รับบริจาควัสดุใช้แล้วจากสมาชิกโครงการ ได้แก่ ขวดพลาสติกใช้แล้ว เป็นจำนวน 58 ตัน กระดาษใช้แล้ว 67 ตัน น้ำมันทอดใช้แล้ว 1.1 ตัน จากปริมาณวัสดุใช้แล้วทั้งหมดเทียบเท่ากับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ GHG ของปริมาณขยะฝังกลบ จำนวน 259 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวน 28,700 ต้น ภายใต้โครงการ WeCYCLE มีการนำไปผลิตผลิตภัณฑ์อัพไซเคิล ได้แก่ ชุดต้นไม้และเบาะนั่งอ่านหนังสือแห่งการเรียนรู้ ผลิตจากกระดาษรีไซเคิล และผ้าอัพไซเคิลที่ทอจากขวดพลาสติกใช้แล้วและเส้นใยผักตบชวา เพื่อมอบให้กับโรงเรียนรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ กระเป๋าผ้าอัพไซเคิลปันสุข ผลิตจากผ้าอัพไซเคิลที่ทอจากขวดพลาสติกใช้แล้วและเส้นใยผักตบชวา นำมาทำเป็นกระเป๋าผ้าใส่สิ่งของจำเป็นเพื่อมอบให้กับผู้ป่วยยากไร้และกลุ่มเปราะบางรอบนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ผ้าปูเตียงผู้ป่วยผลิตจากขวดพลาสติกใช้แล้วผสมสารฆ่าไวรัส เพื่อมอบให้กับโรงพยาบาลรอบนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ และเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน ตอบโจทย์พลังงานสะอาดจากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว           ความสำเร็จของโครงการ WeCYCLE ในปี 2567 นี้ เกิดจากความร่วมมือของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IEAT) และพันธมิตรที่เข้มแข็ง ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (SCGP) และบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) รวมถึงความร่วมมือจากลูกค้า คู่ค้า ผู้รับเหมาโครงการ หน่วยงานส่วนท้องถิ่น โรงเรียนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ โดย WHA จะใช้รถกระบะไฟฟ้าตอบโจทย์การลดปริมาณการผลิตก๊าซ CO2 เพื่อเข้าไปรับขวดพลาสติก กระดาษ และน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วจากสมาชิกที่ร่วมโครงการ เพื่อรวบรวมไว้ยังศูนย์ WeCYCLE ของ WHA ก่อนให้รถ YOUเทิร์น ของ GC เข้ามารับขวดพลาสติก รถของ SCGP เข้ามารับกระดาษ และรถของบริษัท BGCP มารับน้ำมันทอด เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล และอัพไซเคิล และนำไปเป็นประโยชน์เพื่อสังคม ชุมชม และตอบโจทย์สิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนต่อไป

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

“S-Pure” การันตีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม

“S-Pure” การันตีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม

           หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ – 16 ธันวาคม 2567 – บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ “BTG” ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมี่ยม ด้วยความสำเร็จของแบรนด์ S-Pure ที่คว้ารางวัล “Thai Golden Eggs by Thai DLD” หรือเครื่องหมาย “ไข่สุพรรณหงส์” จากกรมปศุสัตว์ ซึ่ง S-Pure เป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวของไทยในปี 2024 ที่ได้รับรางวัลนี้ สะท้อนถึงมาตรฐานไข่ไก่ระดับพรีเมี่ยม คุณภาพปลอดภัย ปราศจากเชื้อซัลโมเนลลา อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคในทางเดินอาหาร อาการปวดท้อง ท้องเสีย            พร้อมกันนี้ ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่สดแช่เย็น S-Pure ยังคว้า 2 รางวัลระดับสากล ได้แก่ Superior Taste Award ระดับ 3 ดาว ที่การันตีความอร่อย ไข่แดงกลมนูน สีส้มสด ไร้กลิ่นคาว มีความสดใหม่ระดับ AA ด้วยระบบ Cold Chain และ FMCG Asia Award 2024 สาขา Health & Wellness Initiative of the Year – Thailand ตอกย้ำความเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจสุขภาพและความยั่งยืนอย่างแท้จริง            ดร.โอลิเวอร์ ก็อตชัลล์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ “BTG” เปิดเผยว่า “S-Pure” แบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารระดับซุปเปอร์พรีเมี่ยมจากเบทาโกรมุ่งส่งมอบอาหารที่มีคุณภาพ และความปลอดภัยสูงสุด เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงอาหารที่ดีกว่า พร้อมให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน  โดย S-Pure ถือเป็นแบรนด์แรกของประเทศไทยที่นำบรรจุภัณฑ์ถาดกระดาษมาใช้กับกลุ่มอาหารสด ลดการใช้พลาสติกลงได้ถึง 80%            ซึ่งผลิตภัณฑ์ “S-Pure” ครอบคลุม เนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่สด อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์ไส้กรอกและอาหารสไตล์โฮมเมด ที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่างพิถีพิถัน เริ่มตั้งแต่ 1. การคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดี 2. เลี้ยงแบบธรรมชาติ 100% (100% Natural Pure Product) คือ“การเลี้ยงที่ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ (Raised Without Antibiotics – RWA)” ที่ได้รับการรับรองจาก NSF สหรัฐอเมริกา 3. เลี้ยงด้วยธัญพืชและวิตามินที่มีโภชนาการเหมาะสมตามแต่ละช่วงวัย 4. เสริมด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ Synbiotics (Prebiotics และ Probiotics) เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้สัตว์แข็งแรงตามธรรมชาติ 5. ไม่ใช้ฮอร์โมนและ สารเร่งการเจริญเติบโต 6. ควบคุมอุณหภูมิขนส่งผลิตภัณฑ์อาหารด้วยความเย็น 0-4 องศา ไปจนถึงจุดจำหน่าย และที่สำคัญยังสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ จึงมั่นใจได้ว่าทุกผลิตภัณฑ์จาก “S-Pure” มีคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุด            “การได้รับ 3 รางวัลมาตรฐานระดับสากลของ S-Pure เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุด ปลอดเชื้อซัลโมเนลลา อร่อย สดใหม่ ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบรับประทานไข่ดิบ และใส่ใจสุขภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างจุดแข็งให้กับ S-Pure ในการขยายตลาดไปยังผู้บริโภคใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมตอกย้ำการเป็นแบรนด์ผู้นำผลิตภัณฑ์อาหารระดับซุปเปอร์พรีเมี่ยมที่มีสินค้าตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่รักสุขภาพ” ดร.โอลิเวอร์ กล่าว        [PR News]

เก็บภาษีคาร์บอน จำเป็นแค่ไหน? เปลี่ยนฟอสซิลสู่พลังงานสะอาด

เก็บภาษีคาร์บอน จำเป็นแค่ไหน? เปลี่ยนฟอสซิลสู่พลังงานสะอาด

          หุ้นวิชั่น - EBC Financial Group และภาควิชาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Oxford บรรยายถึงอุปสรรคต่างๆ ของการรับมือกับสภาพภูมิอากาศ โดยมุ่งเน้นไปที่การให้ความสำคัญการใช้ภาษีคาร์บอน การปฏิรูป และบทบาทของการเงิน ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกอย่างยั่งยืน           (Oxford, United Kingdom, 11 ธันวาคม 2024) ในช่วงที่โลกต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและภาวะไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย Oxford ร่วมกับ EBC Financial Group (EBC) จัดซีรีส์สัมมนา "นักเศรษฐศาสตร์จริงๆ แล้วทำอะไร” (What Economists Really Do) เพื่อสำรวจกลยุทธ์ที่เป็นรูปธรรมในการปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและเร่งแก้ไขปัญหาสังคมในปัจจุบัน           โดยหัวข้อสัมมนา "เศรษฐศาสตร์มหภาคและสภาพภูมิอากาศ" ได้รับการบรรยายจากรองศาสตราจารย์ Andrea Chiavari และมีการบรรยายเกี่ยวกับ "การรักษาความยั่งยืน : การสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและความยืดหยุ่นของสภาพภูมิอากาศ" โดยมีรองศาสตราจารย์ Banu Demir Pakel เป็นผู้ดำเนินรายการ นอกจากนี้ยังมีผู้ร่วมบรรยายท่านอื่นๆ ได้แก่ ดร. Nicola Ranger, ผู้อำนวยการสถาบันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจากกลุ่มการเงินโลก และยังเป็นนักวิจัยอาวุโสที่มหาวิทยาลัย Oxford และ David Barrett, CEO ของ EBC Financial Group (UK) Ltd. ทั้งสองราย ได้ร่วมกันวิเคราะห์การใช้นโยบายของภาครัฐ การเงิน และผลกระทบต่อประชาชน พร้อมให้ข้อมูลเชิงปฏิบัติและคำแนะนำที่มากกว่าการบรรยายเชิงทฤษฎี จากซ้ายไปขวา : ดร. Nicola Ranger (ผู้อำนวยการสถาบันการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมกลุ่มการเงินโลกและนักวิจัยอาวุโส), รองศาสตราจารย์ Andrea Chiavari (ภาควิชาเศรษฐศาสตร์), David Barrett (CEO ของ EBC Financial Group (UK) Ltd), และรองศาสตราจารย์ Banu Demir Pakel (ภาควิชาเศรษฐศาสตร์)   EBC Financial Group: ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและการลงทุนที่มีความรับผิดชอบ           EBC เป็นพันธมิตรด้านการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างเป็นทางการของ FC Barcelona และร่วมมือกับแคมเปญ "United to Beat Malaria" ขององค์การสหประชาชาติ โดยมุ่งมั่นสร้างอนาคตที่เน้นความยั่งยืน, ความเท่าเทียม และการลงทุนที่มีความรับผิดชอบ           การมีส่วนร่วมของ EBC ในซีรีส์สัมมนา "นักเศรษฐศาสตร์จริงๆ แล้วทำอะไร” แสดงให้เห็นถึง ความเร่งด่วนที่ต้องการเชื่อมโยงตลาดการเงินเข้ากับงานวิจัยทางวิชาการ เพื่อแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศและเศรษฐกิจ ตัวแทนจาก EBC ได้เข้าร่วมสนทนาเกี่ยวกับ กลยุทธ์ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาแบบรูปธรรม ในการเปลี่ยนระบบการเงินให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน เศรษฐกิจสามารถเติบโตควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้หรือไม่?           หัวข้อหลักในการบรรยาย คือ การตระหนักถึง ความมั่นคงทางการเงินและสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความร่วมมือ โดย ดร. Chiavari ได้เปิดมุมมองใหม่ เกี่ยวกับต้นทุนทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เขาพูดถึงการเติบโตของ GDP โลกที่มีการขยายตัวอย่างรวด ตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม พร้อมทั้ง เปรียบเทียบกับผลกระทบจากการใช้พลังงานฟอสซิลและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) นอกจากนี้ ดร. Chiavari ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของ "ต้นทุนคาร์บอนทางสังคม (Social Cost of Carbon) " ในการกำหนดนโยบายที่มีประสิทธิภาพ           หัวใจสำคัญในงานบรรยายของ ดร. Chiavari คือ ต้องการสื่อแนวคิด "ต้นทุนคาร์บอนทางสังคม" ซึ่งคำนวณต้นทุนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสังคม เขากล่าวว่า “การเก็บภาษีคาร์บอน ไม่ใช่แค่ความจำเป็นทางด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังจำเป็นต่อเศรษฐกิจด้วย” ดร. Chiavari อธิบายว่า มาตรการเหล่านี้สามารถสร้างแรงจูงใจทางด้านเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ มีตัวเลือกการใช้พลังงานความยั่งยืนเพิ่มขึ้น เขากล่าวเสริมว่า “คุณลองคิดดูสิครับ การเปิดเครื่องทำความร้อน คุณก็ยังได้รับความอบอุ่นเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ต้นทุนการใช้พลังงานสูงกว่าที่เดิม”           ดร. Chiavari ขยายความเพิ่มเติมในประเด็นนี้ เกี่ยวกับการเก็บภาษีคาร์บอน โดยเน้นไปที่การปล่อยก๊าซคาร์บอน ไม่ใช่การใช้พลังงานโดยตรง “การเก็บภาษีคาร์บอน คือ การเก็บภาษีจากคาร์บอน ไม่ใช่การเก็บภาษีจากพลังงาน” เขากล่าวต่อว่า “ดังนั้น นโยบายนี้สร้างแรงจูงใจขนาดใหญ่สำหรับภาคธุรกิจ ภาคเอกชน และตัวพวกคุณเอง รวมถึงผมด้วย เพื่อหันไปใช้แหล่งพลังงานทางเลือกแทนการใช้พลังงานฟอสซิล นอกจากนี้ มันไม่ใช่แค่การลดการใช้พลังงานหรือการผลิตเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงจูงใจให้เปลี่ยนไปใช้พลังงานทางเลือกอีกด้วย” การเชื่อมโยงนโยบายภาครัฐ การเงิน และการดำเนินการผ่านมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ           ระหว่างการบรรยาย ได้มีการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและปัจจัยทางสภาพภูมิอากาศ ผู้เข้าร่วมแต่ละท่านได้แบ่งปันความความคิดเห็น พร้อมนำเสนอมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับวิธีที่โลกจะสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับสองความท้าทายนี้           ดร. Chiavari กล่าวถึง ลักษณะทั่วโลกของการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกล่าวว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนไม่มีพรมแดน และต้องการการแก้ไขปัญหาร่วมกันจากระดับนานาชาติ เขาได้พูดถึงความเสี่ยงของการรั่วไหลของคาร์บอน (carbon leakage) ซึ่งหมายถึง นโยบายการจัดการสภาพภูมิอากาศที่เข้มงวดของประเทศหนึ่ง อาจจะได้รับผลกระทบจากประเทศที่ไม่มีการควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งท้ายที่สุดมันจะส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วโลก เพื่อลดปัญหานี้ ดร. Chiavari ได้เสนอให้มีนโยบายที่สนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศและการสร้างนวัตกรรม เพื่อให้การเปลี่ยนแปลง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างยั่งยืน เท่าเทียม และครอบคลุม           ดร. Ranger เน้นย้ำถึงโอกาสทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจากการแก้ไขปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ โดยเธอกล่าวว่า "มันไม่ใช่แค่เรื่องของต้นทุน แต่เป็นเรื่องของโอกาส" เธอได้อธิบายถึง ศักยภาพในการสร้างงานและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ยังสามารถรับมือกับความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศได้ พร้อมทั้ง ให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนแนวคิด เธอให้คำแนะนำว่า การจัดการกับสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพจะส่งเสริมนวัตกรรมและความก้าวหน้าได้ โดยไม่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก นอกจากนี้ เธอยังสนับสนุนให้ลดการใช้พลังงานฟอสซิลและพลังงานที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม           ด้วยประสบการณ์ในตลาดการเงิน Barrett ให้ความสำคัญของการสร้างแรงจูงใจในตลาดการลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืน เขาได้แบ่งปันความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาในการรับมือกับความยั่งยืน โดยกล่าวถึง การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสถาบันการเงินว่า "ตลาดการเงินขับเคลื่อนโดยความต้องการที่จะทำกำไร ไม่ว่าจะเป็นสำหรับผู้ถือหุ้นหรือนักลงทุน" Barrett ยังเน้นย้ำถึง ความจำเป็นที่รัฐบาลต้องสร้างกรอบระเบียบที่สามารถบังคับใช้ได้ โดยระบุว่า การสร้างแรงจูงใจเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่จะนำอิทธิพลของภาคส่วนนี้ เชื่อมโยงไปสู่การรับมือกับสภาพภูมิอากาศ           Barrett แสดงความกังวลเกี่ยวกับ การทำงานของหน่วยงานสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยกล่าวว่า “โครงการ ESG กลายเป็นแค่การทำอย่างผิวเผิน” เขาเรียกร้องให้มีนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบจริง ๆ และมีผลกระทบที่สามารถวัดผลได้           ในการบรรยาย Barrett กล่างถึง ความเสี่ยงจากการไม่เป็นเอกภาพของทั่วโลก เขาเตือนว่า "หากอยากให้โครงการเหล่านี้ ประสบความสำเร็จ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน มิฉะนั้น การลดการปล่อยก๊าซในบางพื้นที่ อาจถูกชดเชยด้วยการปล่อยก๊าซที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่อื่น ๆ" คำเตือนของเขาชี้ให้เห็นว่า หากไม่มีความร่วมมืออย่างจริงจัง การรับมือกับปัญหาสภาพภูมิอากาศอาจไม่เกิดผล ขั้นตอนที่เป็นรูปธรรมจากรัฐบาล ภาคธุรกิจ และเอกชน ควรดำเนินการเพื่อสร้างอนาคตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และจำเป็นต้องเป็นสิ่งที่สามารถทำได้และมั่นคงสำหรับทุกคน           หลังจากเสร็จสิ้นการบรรยาย ผู้ดำเนินรายการและผู้ร่วมบรรยายได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม เพื่อขยายความเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ โดยให้มุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับบทบาทการร่วมมือกันของภาครัฐบาล ภาคธุรกิจ และเอกชน  ในการรับมือกับความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศ บทบาทของรัฐบาล: นโยบายและการวางแผนเป็นสิ่งสำคัญ           ดร. Banu Demir Pakel ให้ความสำคัญของการศึกษา และการสร้างความตระหนักรู้ ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะบทบาทของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง “บทบาทของรัฐบาล คือ จุดเริ่มต้น” เธออธิบาย ถึงความจำเป็นในการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เธอชี้ให้เห็นถึง ความจำเป็นของนโยบาย ที่ไม่เพียงแค่สนับสนุนในภาคเอกชน แต่ยังต้องให้คำแนะนำกับผู้บริโภคด้วย โดยกล่าวว่า “นโยบายเป็นการดำเนินการที่ค่อนข้างซับซ้อน โดยรัฐบาลจะต้องเป็นแกนกลางขับเคลื่อนหลัก ในการวางแผนและชี้แนะการดำเนินการในทุกภาคส่วน”           เธอได้กล่าวต่อว่า "ภาคเอกชนต้องการแรงสนับสนุน เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ เพราะพวกเขาจะมองแค่ระยะสั้น ดังนั้น การดำเนินการของภาคเอกชนจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง และรัฐบาลมียังบทบาทที่สำคัญอีกหนึ่งอย่าง คือ การนำเสนอนโยบายที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของภาคเอกชนและผู้บริโภค" ภาษีคาร์บอน : สร้างการขับเคลื่อน           ดร. Chiavari พูดถึงบทบาทสำคัญในการแทรกแซงจากรัฐบาล โดยเฉพาะการเก็บภาษีคาร์บอน จะช่วยขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ เขาอธิบายว่า การนำต้นทุนที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาคำนวณในราคาพลังงาน จะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคและนักลงทุนตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น จุดเปลี่ยนแปลงเรื่องราว : การเปลี่ยนผ่านที่เป็นบวก           ดร. Ranger แสดงความคิดเห็นต่อ ความท้าทายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เกี่ยวกับการรับมือกับสภาพภูมิอากาศ โดยกล่าวว่า ปัญหาสำคัญมาจากการขาดความตระหนักรู้ “ตอนนี้เราพบปัญหาอย่างมาก และฉันคิดว่า หลายส่วนมาจากปัญหาด้านการรับรู้” เธอกล่าวต่อว่า “รัฐบาลมีบทบาทในการขับเคลื่อน แต่กลับเลือกทำในสิ่งที่ประชาชนต้องการ หากขาดการรับรู้ถึงประโยชน์ของการใช้พลังงานสะอาด ทั้งในเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานและสุขภาพของประชาชน นี่อาจปัญหาหลัก ณ ตอนนี้”           ดร. Ranger วิจารณ์เกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยนำเสนอถึงปัญหาที่บอกว่า นโยบายพลังงานสะอาดต้องใช้งบประมาณมหาศาล เธอกล่าวว่า “ฉันไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขปัญหาด้านพลังงาน ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล เพราะมันไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและไม่มีหลักฐานการลงทุนที่ชัดเจน แต่สิ่งที่เรารู้ตอนนี้ คือ วิธีที่เราจะรับมือกับปัญหานี้กำลังทำให้มันยาก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนจากนโยบายของภาครัฐ ส่งผลให้การลงทุนชะลอตัวและเพิ่มต้นทุน ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่า ถ้าเรามีนโยบายที่ถูกต้องและวางแผนที่ชัดเจนให้กับนักลงทุน การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน ไม่เพียงแต่จะมีต้นทุนต่ำ และยังเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์อย่างมาก”           เธอได้พูดถึง การลงทุนในพลังงานฟอสซิล และกล่าวว่า หากเปลี่ยนทิศทางการลงทุนเหล่านี้ ก็สามารถช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นได้ “ในทั่วโลกได้ใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนพลังงานฟอสซิล—ประมาณ 5 – 7 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ถ้าเราหยุดการซื้อพลังงานนี้ และนำเงินไปลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เราก็มีโอกาสที่จะเปลี่ยนผ่านพลังงานเหล่านี้ได้”           เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ดร. Ranger เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติในสังคม เพื่อหาโอกาสที่เศรษฐกิจจะเติบโตจากการจัดการกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ เธอยังกล่าวถึง บทบาทสำคัญของนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในการช่วยปรับเปลี่ยนทัศนคติ โดยกล่าวว่า “เราต้องทำให้ผู้คนเห็นว่านี่ คือ การเปลี่ยนแปลงในทางบวก และนโยบายที่ดีจากภาครัฐ จะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน อีกทั้งยัง ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างงานและนวัตกรรมใหม่ ๆ”           ดร. Ranger กล่าวสรุป โดยเรียกร้องให้รัฐบาลเปลี่ยนมุมมองใหม่ โดยกล่าวว่า “สิ่งที่ฉันอยากเห็น คือ รัฐบาลออกมาสนับสนุน และบอกว่า นี่คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และจะเป็นประโยชน์กับประชาชนและนักลงทุนทุกคน” บทบาทของภาคธุรกิจและเอกชน: ความรับผิดชอบและนวัตกรรม           Barrett  มองว่า ภาคธุรกิจและภาคเอกชน มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับปัญหาสภาพภูมิอากาศ โดยเขาชี้ให้เห็นว่า ภาคการเงินมีแนวโน้มที่จะมุ่งเน้นผลกำไรเป็นหลัก และจะไม่สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาความยั่งยืนได้ หากไม่มีกรอบระเบียบที่ชัดเจน เขากล่าวว่า "ตลาดการเงินไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้ จำเป็นต้องได้รับแรงจูงใจจากภาครัฐ" เขายังเสริมว่า หากภาคการเงินได้รับการชี้นำในทิศทางที่ถูกต้องและเริ่มมีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับปัญหานี้ เราเชื่อว่าการผลักดันเรื่องนี้ จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน แต่ต้องการนโยบายที่ชัดเจน           แบเร็ตต์ ยังได้สะท้อนถึงบทบาทของประชาชน ในฐานะผู้ลงคะแนนเสียงและผู้บริโภค โดยเน้นว่า อำนาจเสียงของพวกเขา มีอิทธิพลอย่างมากต่อการกำหนดนโยบายและพฤติกรรมของบริษัท “นโยบายต้องทำให้ประชาชนเข้าใจ ถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขา” เขากล่าวต่อว่า การให้ความสำคัญกับการปฏิบัติที่ยั่งยืนและการเรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน จะทำให้ทุกภาคส่วนสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้           แม้ว่า Barrett จะวิจารณ์ลักษณะการทำงานของ ESG แต่เขาก็ยังมองในแง่บวกเกี่ยวกับศักยภาพของการเงิน "การเงินสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างเหลือเชื่อ" เขากล่าว "มันสามารถแก้ปัญหาได้จริงๆ แต่ต้องการแรงสนับสนุนที่ถูกต้องและการอธิบายอย่างตรงไปตรงมา ว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้าง?" เขาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงจากวงจรการเมืองที่มองถึงปัญหาระยะสั้นให้มองไปสู่การพัฒนาระยะยาว และกระตุ้นให้ทุกภาคส่วน เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศ           รับชมซีรีส์สัมมนาฉบับเต็ม ในหัวข้อ "เศรษฐศาสตร์มหภาคและสภาพภูมิอากาศ" รวมถึงการบรรยายหลักและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ได้ที่ https://youtu.be/MD5vaMjQdkc ที่มา EBC Financial Group (EBC) 

BEM Art Contest เส้นทางแห่งความสุข…ศิลปะที่ทุกคนสร้างได้

BEM Art Contest เส้นทางแห่งความสุข…ศิลปะที่ทุกคนสร้างได้

          ศิลปะเป็นภาษาสากลที่สามารถใช้ถ่ายทอดการสร้างสรรค์ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการวาด ภาพถ่าย การแสดง หรืออื่นๆ เพื่อให้เกิดการตีความทั้งตามที่ศิลปินต้องการจะสื่อสาร หรือปล่อยให้ผู้ชมได้ มีอิสระในการจินตนาการ เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ได้จัดการประกวดวาดภาพสีน้ำ BEM Art Contest ครั้งที่ 2 ภายใต้แนวคิด “ศิลปะของการเดินทาง” โดยร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.), บริษัท แบงคอก เมโทร    เน็ทเวิร์คส์ จำกัด (BMN), บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK และ เครือข่ายสมาคมสีน้ำโลก IWS ประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนได้มีโอกาสถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อการเดินทาง ความประทับใจที่มีต่อการใช้บริการทางพิเศษและรถไฟฟ้า           อาจารย์บันชา ศรีวงศ์ราช ประธานเครือข่ายสีน้ำนานาชาติแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการการประกวดได้ให้ความเห็นว่า “ในช่วง 4-5 ปีมานี้ มีนักเรียนพัฒนาฝีมือได้มากขึ้นจากการเข้าร่วมแข่งขันในเวทีต่างๆ โดยเฉพาะผู้เข้าแข่งขันที่อยู่ต่างจังหวัด มีการเตรียมตัวก่อนล่วงหน้า บางทีเป็นการช่วยกันฝึกระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง ทำให้เกิดพัฒนาการเชิงกลุ่ม ซึ่งสาเหตุที่กำหนดแนวคิดการประกวดในครั้งนี้ว่า           ศิลปะของการเดินทาง เพราะการเดินทางของคนเราเต็มไปด้วยเรื่องราวและความทรงจำ จึงต้องการส่งเสริมให้ทุกคนได้มีโอกาสถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นออกมาเป็นผลงานศิลปะ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนมีความเป็นศิลปินในตัวเอง เพราะพัฒนาการแรกนั้นเราเริ่มต้นจากการขีดเขียนก่อนที่จะเริ่มอ่านหนังสือ แม้ว่าเมื่อโตขึ้นมาอาจจะเลือกเส้นทางสายอาชีพอื่น เช่น แพทย์ วิศวกร หรือทำงานบริษัท แต่รายละเอียดของความเป็นศิลปินก็ยังคงอยู่กับเราเสมอ”           ผู้ชนะเลิศการประกวดประเภทประชาชนทั่วไปในครั้งนี้ คือ นายพัชรพล สารภี วิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ สาขาวิชาศิลปศึกษา ซึ่งได้เล่าถึงความรู้สึกว่า “ตื่นเต้นมากที่ได้มาร่วมงานประกวดกับ BEM เพราะเป็นการกลับมาแข่งขันอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้แข่งมานานตั้งแต่สมัยเรียน ปวช. ตอนแรกคิดเพียงอยากท้าทายฝีมือตัวเอง แต่เมื่อประกาศผลก็ประหลาดใจและดีใจมาก เพราะผู้เข้าร่วมการแข่งขันท่านอื่นๆ แต่ละคนก็มีฝีมือดีมาก จุดที่ยากที่สุดในการวาดภาพนี้คือการสร้างมิติให้กับส่วนที่โค้ง ซึ่งพยายามนำเทคนิคที่อาจารย์บันชาแนะนำมาปรับใช้ โดยเน้นให้ภาพส่วนที่อยู่ไกลมีความนุ่ม ฟุ้ง หลังจากนี้จะพัฒนาฝีมือให้เข้มข้นมากขึ้น และฝากถึงผู้ที่กำลังสนใจการวาดภาพด้วยสีน้ำว่าให้ลองเปิดใจและลงมือทำ เพื่อให้ตัวเองได้มีโอกาสเรียนรู้ หากมั่นใจว่าชอบในเส้นทางนี้ก็เดินหน้าต่อไปได้เลย” ส่วนผู้ที่ได้รับรางวัลอื่นๆ ในประเภทประชาชนทั่วไป ได้แก่ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 นายอภิณัฏท์ สมภักดี รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 นายจักรินทร์ พิมพ์ศิริ รางวัลชมเชยนายอดิศักดิ์ สาลีนาค และนายทศพล อายุสุข           ด้าน นายพุฒธิกร นวมารค นักเรียนชั้น ม.5  โรงเรียนสาธิตศิลปากร ผู้ชนะเลิศประเภทมัธยมศึกษาตอนปลาย เล่าว่า “โจทย์ที่ได้ในการแข่งขันรอบนี้มีความแตกต่างมากจากภาพต้นแบบในรอบคัดเลือก ทำให้ต้องเก็บรายละเอียดการวาด และใช้เวลามากขึ้น มีการนำคำแนะนำของอาจารย์บันชามาใช้ในส่วนของการพักระยะและเก็บรายละเอียดหน้าให้ชัด การเข้าร่วมกิจกรรมนี้ทำให้ได้ประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะได้เห็นบรรยากาศ ได้พบกับผู้เข้าแข่งขันฝีมือดีหลายคน ทำให้เห็นว่ามีผู้ที่รักงานศิลปะอยู่เป็นจำนวนมาก”           นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่ได้รับรางวัลอื่นๆ ในประเภทนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้แก่ รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 นางสาวสุรัตนาวีร์  ใจมั่นคง, รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2  นางสาวธัญญารัตน์ ผ่องใสฤทธิรงค์ รางวัลชมเชย นายศุภกร ปัญญาสงค์ และนางสาวศศิกัญญา สุขหิรัญ           สำหรับคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ทั้ง 5 ท่านของการประกวด BEM Art Contest ครั้งที่ 2 นอกจาก อาจารย์บันชา ศรีวงศ์ราช  แล้วยังได้รับเกียรติจากท่านผู้ทรงคุณวุฒิอื่นๆ ได้แก่ รศ.ดร.พีระพงษ์ กุลพิศาลค์ ประธานหลักสูตรครุศาสตร์ มหาบัณฑิต สาขาศิลปศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จักรพงษ์ แพทย์หลักฟ้า อาจารย์ประจำสาขาวิชาศิลปศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, อาจารย์เกียรติศักดิ์ ล้วนมงคล อาจารย์ประจำสาขาวิชาศิลปศึกษาภาคหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยรามคำแหง / ที่ปรึกษาของเครือข่ายสมาคม IWS THAILAND และ อาจารย์ธีรพงศ์ เสรีสำราญ นักวิจัยอิสระและที่ปรึกษาด้าน สุนทรียศาสตร์และปรัชญาศิลปะ ของเครือข่ายสมาคม IWS THAILAND           ผู้ที่สนใจกิจกรรมดีๆ จาก BEM สามารถติดตามรายละเอียดได้ทาง Facebook (เฟซบุ๊ก) และ X (เอ็กซ์) BEM Bangkok Expressway and Metro / Instagram (อินสตาแกรม) : mrt_bangkok และ Mobile Application (โมบายแอปพลิเคชัน) : Bangkok MRT [PR News]

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

[ภาพข่าว] พีที จับมือกรมแรงงานจังหวัด กระทรวงแรงงาน ช่วยน้ำท่วมภาคใต้

[ภาพข่าว] พีที จับมือกรมแรงงานจังหวัด กระทรวงแรงงาน ช่วยน้ำท่วมภาคใต้

           บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ร่วมกับกรมแรงงานจังหวัด กระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ เป็นตัวแทนส่งมอบน้ำดื่ม ขนาด 1,500 CC จำนวน 99,900 ขวด เพื่อเป็นการช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ 5 จังหวัด ระหว่างวันที่ 5 - 9 ธันวาคม 2567 ได้แก่  สำนักงานแรงงาน จังหวัดนครศรีธรรมราช 3,400 แพ็ค (20,400 ขวด)  สำนักงานแรงงานจังหวัดสงขลา 3,350 แพ็ค (20,100 ขวด) สำนักงานแรงงานจังหวัดนราธิวาส 3,300 แพ็ค (19,800 ขวด)  สำนักงานแรงงานจังหวัดปัตตานี จำนวน 3,300 แพ็ค (19,800 ขวด) สำนักงานแรงงานจังหวัดยะลา จำนวน 3,300 แพ็ค (19,800 ขวด)            ทั้งนี้ทางแรงงานจังหวัดจะนำไปแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบอุทกทัยต่อไป ซึ่ง PTG ในนามสถานีบริการน้ำพีที และ กรมแรงงาน กระทรวงแรงงาน ขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องผู้ประสบอุทกภัยทุกท่าน ขอให้เหตุการณ์กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว

MAJOR ร่วมกับ ททท. - เป๊ปซี่  จัดงานพรมแดง “CineAsia 2024 RECEPTION NIGHT”

MAJOR ร่วมกับ ททท. - เป๊ปซี่ จัดงานพรมแดง “CineAsia 2024 RECEPTION NIGHT”

          หุ้นวิชั่น - เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  และ บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นเจ้าภาพจัดงานพรมแดง “CineAsia 2024 RECEPTION NIGHT” ซึ่งเป็นการจัดอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ตั้งแต่ปี 2565 - 2567 ถือเป็นการตอกย้ำว่าประเทศไทยมีศักยภาพ มีความพร้อมในการต้อนรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาพยนตร์จากนานาชาติกว่า 1,500 คน จาก 30 ประเทศ ที่เดินทางมาร่วมงาน “CineAsia 2024” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 12 ธันวาคม 2567 ณ โรงภาพยนตร์ไอคอน ซีเนคอนิค และทรูไอคอน ฮอลล์ สอดคล้องกับนโยบายของ ททท. ที่ผลักดันให้ผู้สร้างภาพยนตร์ต่างประเทศนำเงินเข้ามาลงทุนถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทยมากขึ้น เพื่อสร้างงานให้กับคนในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์และภาคธุรกิจ รวมทั้งนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ของโลกภาพยนตร์           วิชา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR กล่าวว่า เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้รับเกียรติจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาพยนตร์กว่า 30 ประเทศ เดินทางมาร่วมประชุมงาน “CineaAsia 2024” ครั้งที่ 29 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศไทย โดย ฟิล์ม เอ็กซ์โป กรุ๊ป ผู้จัดงาน ได้ให้ความสนใจโรงภาพยนตร์ไอคอน ซีเนคอนิค เป็นสถานที่ในการประชุมต่อเนื่องถึง 3 ปีซ้อน เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ในฐานะเจ้าบ้านรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก พร้อมต้อนรับ ผู้บริหาร, นักธุรกิจ, สตูดิโอภาพยนตร์, ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ และบุคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ กว่า 1,500 คน จาก 30 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, จีน, เกาหลีใต้, มาเลเซีย และ อินเดีย           การจัดงาน CineAsia นอกจากจะเป็นงานที่รวมตัวของผู้ประกอบการในธุรกิจภาพยนตร์และธุรกิจโรงภาพยนตร์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ความพิเศษของงานนี้ทุกคนรอคอย คือ World Expo การจัดนิทรรศการระดับโลกที่นำเสนอนวัตกรรมในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ล้ำสมัยที่สุดของโลกจะมารวมตัวกัน    ในงานนี้ การนำเสนอภาพยนตร์ในปี 2025 จากสูตดิโอชั้นนำ ซึ่งทุกค่ายพร้อมนำเสนอเป็นไฮไลท์ การมอบรางวัลให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ นอกจากนี้ งาน CineAsia ยังเป็นงานใหญ่ประจำปี     ที่เป็นเวทีพิเศษให้ผู้ซื้อและผู้ขายภายในอุตสาหกรรมได้แลกเปลี่ยนความรู้และความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ที่ตอกย้ำความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ไม่มีวันหายไปจากวิถีชีวิตของผู้คนทุกยุคทุกสมัย แม้ที่ผ่านมาจะผ่านวิกฤติต่าง ๆ เรียกได้ว่า Cinema Never Die ภาพยนตร์ไม่มีวันหายไป           สำหรับงานเลี้ยงพรมแดง “CineAsia 2024 RECEPTION NIGHT” ได้รับเกียรติจาก วิชา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นิธี สีแพร รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้านดิจิทัลวิจัยและพัฒนา และ บุญชัย อัศวฤทธิพรหม์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นประธานในงาน โดยมี แอนดรูว์ ซันไชน์ จาก ซีนีเอเชีย, ดร.มัน-นาง ชอง จาก จีดีซี เทคโนโลยี และ ริชาร์ด เกลฟอนด์ ซีอีโอ IMAX  มาร่วมงานด้วย นอกจากนี้ยังมีเหล่านักแสดงที่ให้เกียรติมาร่วมงานในปีนี้ทั้ง ผู้สร้าง ผู้กำกับ นักแสดง นางงาม เข้าร่วมงานพรมแดงกันอย่างคับคั่ง อาทิ นัท มีเรีย, อเล็กซ์ อเล็กซานเดอร์ บัคแลนด์, จีซัง อคิรา คิม, ได๋ ไดอาน่า จงจินตนาการ, โอปอล สุชาตา ช่วงศรี รองอันดับ 3 Miss Universe 2024, ซูริ สุริศา ซูซานน่า เรโนล รองอันดับ 1 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2024, ไหมไทย สุริยะยรรยง รองอันดับ 4 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2024 รวมทั้งนักแสดงจากภาพยนตร์วัยเป้ง นักเลงขาสั้น 2 และ ธี่หยด 2 ณ นภาลัย เทอเรส ไอคอนสยาม           นอกจากนี้ ในงาน CineAsia 2024 เครื่องดื่มเป๊ปซี่ โดย บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดโมเมนต์ความซ่าสุดพิเศษที่ยกขบวนมาปลดล็อกพลังซ่าที่ซ่อนเร้นในตัวคุณไปกับ “เป๊ปซี่ อิเล็กทริก ไม่มีน้ำตาล กลิ่นซิตรัส” (Pepsi Electric Zero Sugar - Citrus Flavor) กับความอร่อย ซ่า ทะลุพิกัด ด้วยเครื่องดื่มอัดลมโคล่าสีฟ้าสุดโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ผสานรสชาติสุดเริ่ดที่ทั้งซ่า สดชื่น หวานนิดเปรี้ยวหน่อย และหอมกลิ่นซิตรัสแบบจัดเต็ม ที่ออกมาในโอกาสพิเศษให้ได้ลิ้มลองกัน รวมทั้งยังดับเบิ้ลความพิเศษขึ้นไปอีกขั้น เพราะได้นำเป๊ปซี่ อิเล็กทริก ไม่มีน้ำตาล กลิ่นซิตรัส มาสร้างสรรค์เป็นเครื่องดื่มมิกซ์ โซโลจี้ (Mixology) สุดพิเศษ สำหรับผู้ประกอบการที่มาร่วมงาน CineAsia ตั้งแต่วันที่ 9 -12 ธันวาคม 2567 [PR News]

ปตท. เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ไปทรงเปิดสวน “เปรมประชาวนารักษ์”

ปตท. เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ไปทรงเปิดสวน “เปรมประชาวนารักษ์”

          หุ้นวิชั่น - วันนี้ (10 ธ.ค. 2567) - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ “เปรมประชาวนารักษ์” ซึ่ง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จัดสร้างเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ และทอดพระเนตรนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “ชลวิถีธีรพัฒน์” ณ พื้นที่ถนนกำแพงเพชร 6 แนวขนานคลองเปรมประชากร โดยมี คณะองคมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. พร้อมคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ผู้บริหารและพนักงานกลุ่ม ปตท. และประชาชนทุกหมู่เหล่า เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ          นายคงกระพัน อินทรแจ้ง เปิดเผยว่า ปตท. ร่วมกับหน่วยราชการในพระองค์ พร้อมภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ รับสนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยในการดำเนินโครงการพระราชดำริตามพระบรมราโชบายด้านการพัฒนาสายน้ำ คูคลอง สิ่งแวดล้อมเมือง และคุณภาพชีวิตประชาชน จึงร่วมกันพัฒนาโครงการคลองเปรมประชากรให้มีความมั่นคง มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และร่วมพัฒนาพื้นที่ถนนกำแพงเพชร 6 แนวขนานคลองเปรมประชากร เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร โดย ปตท. จัดสรรพื้นที่จำนวน 10 ไร่ ซึ่งจากเดิมเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า นำมาออกแบบจัดสร้างเป็นสวนสาธารณะ บอกเล่าถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ต่อประชาชน ใช้เวลาสร้างจนแล้วเสร็จประมาณ 5 เดือน ตั้งแต่ มีนาคม - กรกฎาคม 2567 ซึ่งภายในสวน ประกอบด้วย สวนสาธารณะ อาคารนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ‘ชลวิถีธีรพัฒน์’ และท่าเรือ จนวันนี้กลายเป็นสวนสาธารณะเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ ทั้งเป็นพื้นที่สีเขียวสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ พื้นที่สันทนาการ เชื่อมโยงวิถีชุมชนโดยรอบ และมีเส้นทางสัญจรที่เชื่อมต่อระบบล้อ (ถนนวิภาวดีรังสิต) ราง (สถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง-ทุ่งสองห้อง) เรือ (คลองเปรมประชากร) และทางอากาศ ในโอกาสอันเป็นมงคลยิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานชื่อสวนแห่งนี้ว่า “เปรมประชาวนารักษ์” อันหมายถึง สวนที่นำความสุขและความเบิกบานใจมาสู่ประชาชน โดยได้รับการดูแลรักษาด้วยความรัก และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ   ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ไปประดิษฐานที่ป้ายชื่อสวนสาธารณะ พร้อมกับทรงปลูกต้นประดู่ป่า จำนวน 1 ต้น ซึ่งเพาะเมล็ดจากต้นประดู่ป่าที่ทรงปลูกต้นที่ 100 ล้าน ณ แปลงปลูกป่า FPT 49 ในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิม  พระเกียรติฯ ของ ปตท. ต.ลำนางแก้ว อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา เมื่อปี 2540 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงปลูกต้นพิกุล จำนวน 1 ต้น เพื่อเป็นสิริมงคล เสริมส่งความร่มเย็นในพื้นที่สวนแห่งนี้ จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรอาคารนิทรรศการ “ชลวิถีธีรพัฒน์” การพัฒนาสายน้ำของผู้เป็นปราชญ์แห่งแผ่นดิน นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติเผยแพร่โครงการในการสืบสาน รักษา ต่อยอด การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต บรรเทาความเดือดร้อนของราษฎร ผ่านการนำเสนอโครงการพระราชดำริตามพระบรมราโชบาย โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 10 โครงการทั่วประเทศ ได้แก่ โครงการพัฒนาคลองเปรมประชากร  โครงการพัฒนาถนนวิภาวดีรังสิต โครงการพัฒนาคูคลองในเกาะรัตนโกสินทร์และคลองรอบกรุง โครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว จังหวัดนครสวรรค์  โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการพัฒนาบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร โครงการพัฒนาบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์  โครงการพัฒนาหุบกะพง จังหวัดเพชรบุรี โครงการพัฒนาคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่  และ โครงการพัฒนาเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ต่อจากนั้น ทอดพระเนตรนิทรรศการกลางแจ้ง “สายธารพระบารมีจักรีวงศ์” ร้อยเรียงเรื่องราวของ ปตท. บนเส้นทางการสนองแนวพระราชดำริ เพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อม สังคม ชุมชน และการแสดงละครเพลง “สายนทีแห่งราชัน เดอะ มิวสิคัล” ละครเพลงชีวิตริมสายน้ำที่ดีขึ้นจากพระมหากรุณาธิคุณ โดยความร่วมมือของ ศิลปินแห่งชาติ และ ศิลปินศิลปาธร ผสมผสานด้วยการบรรเลงจากวงดนตรี รอยัล แบงค์คอก ซิมโฟนี ออร์เคสตร้า (Royal Bangkok Symphony Orchestra: RBSO) และนักแสดงกว่า 60 ชีวิต พร้อมด้วยมัลติมีเดียพิเศษ 3D Mapping เต็มรูปแบบ          ปตท. ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการเพื่อสังคม สืบสานพระราชปณิธาน ด้วยวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการดูแลสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ให้เติบโตเคียงข้างกันอย่างมั่นคง ยั่งยืนสืบไป

abs

Hoonvision

[ภาพข่าว] TOP รวมพลังจิตอาสา ฟื้นฟูทะเลเกาะสีชังครบวงจร

[ภาพข่าว] TOP รวมพลังจิตอาสา ฟื้นฟูทะเลเกาะสีชังครบวงจร

           เมื่อเร็วๆ นี้ คุณถิรยุทธ ลิมานนท์ ผู้จัดการฝ่ายกิจการสัมพันธ์ และคุณกรภัทร ลิมปพยอม ผู้จัดการฝ่ายกิจการองค์กรและความยั่งยืน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกิจกรรมกับพนักงานจิตอาสาของสายงานด้านกำกับองค์กรและกิจการสัมพันธ์ อำเภอเกาะสีชัง เทศบาลตำบลเกาะสีชัง สำนักงานประมงจังหวัดชลบุรี และโรงเรียนเกาะสีชัง ภายใต้แนวคิด “โครงการคุณริเริ่ม...เราเติมเต็ม ปี 4” ณ ศูนย์เรียนรู้ธนาคารสัตว์ทะเลเกาะสีชัง อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี โดยได้ดำเนินกิจกรรมจิตอาสาทำซั้งเชือก (บ้านปลา) เพื่อเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำตัวอ่อนร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอเกาะสีชัง พร้อมส่งมอบซั้งเชือกดังกล่าวให้กับกลุ่มประมงเกาะสีชัง โดยมี คุณพัฒนา เกตุแก้ว รองนายกเทศมนตรีตำบลเกาะสีชัง เป็นผู้รับมอบ            นอกจากนี้ บริษัทฯ และพนักงานจิตอาสายังได้ร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำและปลูกปะการังอ่อน เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของทะเล รวมถึงร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์โดยนำเศษเปลือกหอยมาใช้แทนปูนและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรคุ้มค่า อีกด้วย  

A5 สนับสนุน AYDA Thailand 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

A5 สนับสนุน AYDA Thailand 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

          หุ้นวิชั่น - บมจ.แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด เดินหน้าสนับสนุนนักออกแบบรุ่นใหม่ ผ่านเวทีการประกวดผ่านเวที “AYDA Thailand 2024" ซึ่งจัดขึ้นโดยบริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ภายใต้แนวคิด “สร้างสรรค์พื้นที่แห่งความสุขที่เข้าใจผู้ใช้งานอย่างแท้จริง”           นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 กล่าวถึงการสนับสนุนครั้งนี้ว่า “A5 ให้ความสำคัญกับการศึกษาและการออกแบบ เพราะเราเชื่อว่าทั้งสองสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญในการสร้างบ้าน การออกแบบที่ดีต้องไม่เพียงแค่สร้างความสวยงาม แต่ยังต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน สร้างความสุขให้กับผู้อยู่อาศัย และสะท้อนถึงวิถีชีวิตที่เปี่ยมคุณค่า นี่คือแนวทางที่เราใช้ในธุรกิจของ A5 เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนนักออกแบบรุ่นใหม่ให้เติบโตไปด้วยคุณภาพ พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้ก้าวสู่เวทีระดับโลก และที่สำคัญ A5 ยังมองว่านักออกแบบรุ่นใหม่เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ต้นกล้าที่ดี ซึ่งเราต้องช่วยดูแล สนับสนุน และปลูกฝังศักยภาพ เพื่อให้เติบโตเป็นกำลังสำคัญในอุตสาหกรรมการออกแบบ และสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพในอนาคต” ในปีนี้ AYDA Thailand 2024 ได้รับการตอบรับจากเยาวชนทั่วประเทศเป็นอย่างดี โดยมีนักศึกษาจากสาขาสถาปัตยกรรมและการออกแบบตกแต่งภายในส่งผลงานเข้าประกวดกว่า 700 ชิ้น ซึ่งผ่านการคัดเลือกจนเหลือ 20 ผลงานสุดท้ายต่อสาขา เพื่อสะท้อนแนวคิดการออกแบบแห่งปี “CONVERGE: GLOCAL DESIGN SOLUTIONS” ที่ผสมผสานแนวคิดท้องถิ่นและระดับโลกเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งในเชิงพื้นที่และการแก้ปัญหาในระดับสากล           ผู้ชนะรางวัล A5 Best Design ประจำปี 2567           ประเภท Architect Design ได้แก่นายชญานนท์ ชิณวงค์ กับผลงาน Grow from the earth…. Return to the earth ได้รับทุนการศึกษามูลค่า 25,000 บาท           ประเภท Interior Design ได้แก่ นางสาววสมน พัฒโนภาษ กับผลงาน คารม คม คราม ได้รับทุนการศึกษามูลค่า 25,000 บาท นายศุภโชค กล่าวเพิ่มเติมว่า “A5 ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเยาวชนไทยที่มีความสามารถ ผ่านรางวัล A5 Best Design ซึ่งมอบให้กับผลงานที่โดดเด่นในด้านการสร้างสรรค์พื้นที่แห่งความสุขที่เข้าใจผู้ใช้งานจริง เราหวังว่ารางวัลนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เหล่านักออกแบบรุ่นใหม่ได้พัฒนาศักยภาพ และสร้างผลงานที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าเพื่อสังคม พร้อมทั้งก้าวสู่เวทีระดับโลกในอนาคต” การสนับสนุน AYDA Thailand 2024 ตอกย้ำจุดยืนของ A5 ในการเป็นผู้นำที่ไม่เพียงสร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค แต่ยังสนับสนุนการศึกษาและบุคลากรรุ่นใหม่ในสายงานออกแบบ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเปี่ยมคุณภาพ

GULF จัดกิจกรรม “พาน้องเรียนรู้แปลงนาสาธิต”

GULF จัดกิจกรรม “พาน้องเรียนรู้แปลงนาสาธิต”

           บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF จัดกิจกรรม “พาน้องเรียนรู้แปลงนาสาธิต” ณ ศูนย์การเรียนรู้เกษตรและแปลงนาสาธิต โรงไฟฟ้าหนองแซง จ.สระบุรี โดยมีตัวแทนนักเรียนและคุณครูจากโรงเรียนวัดหนองทางบุญมาร่วมทำกิจกรรม อาทิ การเกี่ยวข้าว, การนวดข้าว, ทำอาหารไก่ไข่, การเก็บไข่ไก่, ทำปุ๋ยมูลไส้เดือน และการทำอาหารจากพืชผักปลอดสารพิษ โดยกิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นให้เยาวชนได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิถีเกษตรอินทรีย์ และการทำเกษตรแบบหมุนเวียน (Circular Farming) รวมไปถึงปลูกฝังเรื่องการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และช่วยลดโลกร้อนได้อีกด้วย            นายกรชนะ มีสมศักดิ์ นักวิชาการเกษตร ประจำศูนย์การเรียนรู้เกษตรและแปลงนาสาธิต โรงไฟฟ้าหนองแซง กล่าวว่า “จากจุดเริ่มต้นที่ศูนย์การเรียนรู้เกษตรและแปลงนาสาธิต เป็นเสมือนต้นแบบทางการเกษตรให้กับชาวบ้านและชุมชนรอบๆ โรงไฟฟ้า ว่าเกษตรกรรมและโรงไฟฟ้าสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่สร้างผลกระทบแล้วนั้น ทุกวันนี้ยังเป็นห้องเรียนนอกสถานที่ให้กับคนในพื้นที่หรือผู้ที่สนใจ ได้มาศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีการเกษตรอีกด้วย โดยวันนี้ได้จัดกิจกรรมฐานการเรียนรู้ทางเกษตรให้กับเด็กๆ 4 ฐาน คือ 1.การเรียนรู้วิถีของชาวนา ผ่านการเกี่ยวข้าว สีข้าว และนวดข้าวแบบดั้งเดิม ฐานที่ 2 นำวัตถุดิบที่ได้จากการสีข้าว เช่น รำข้าว และปลายข้าว มาทำอาหารไก่ไข่ รวมไปถึงเก็บไข่ไก่ และฐานที่ 3 คือฐานให้ความรู้วิธีการทำปุ๋ยมูลไส้เดือน ฐานที่ 4 คือเก็บผักปลอดสารพิษมาทำอาหาร โดยปุ๋ยที่ใช้ปลูกผักก็คือปุ๋ยมูลไส้เดือนที่ทำเองในแปลงนาสาธิต โดยน้องๆ นักเรียนจะได้รับความรู้เรื่องวิถีชาวนาแบบดั้งเดิม เกษตรอินทรีย์ และการเกษตรแบบหมุนเวียน  (Circular Farming) ผ่านกิจกรรมเหล่านี้ โดยกัลฟ์จะยังคงพัฒนาต่อยอดแปลงนาสาธิต แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง และพร้อมเรียนรู้เติบโตไปกับเยาวชนและชุมชนอย่างยั่งยืน”            ด.ญ.แพรไหม สุขธรรมา นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนวัดหนองทางบุญ กล่าวว่า “วันนี้ได้เรียนรู้เรื่องการเกี่ยวข้าว, การเก็บไข่ไก่, วิธีการทำปุ๋ยมูลไส้เดือน และทำอาหารจากผักปลอดสารพิษ โดยหนูชอบฐานกิจกรรมการทำอาหารไก่และเก็บไข่ไก่ที่สุด เพราะสามารถนำไปต่อยอดได้ทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียน และในชุมชนได้ด้วย ขอบคุณพี่ๆ จากบริษัทกัลฟ์ที่จัดกิจกรรมฐานให้ความรู้ผ่านกิจกรรมในวันนี้ ที่นอกจากจะสนุกแล้วยังได้ความรู้อีกด้วย”            ศูนย์การเรียนรู้เกษตรและแปลงนาสาธิต โรงไฟฟ้าหนองแซง ริเริ่มจากความมุ่งมั่นของกัลฟ์ที่จะสร้างพื้นที่เกษตรอินทรีย์ต้นแบบบนพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าที่อยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันดำเนินการมานานกว่า 9 ปีแล้ว นับตั้งแต่ก่อตั้งโรงไฟฟ้าหนองแซงเมื่อปี 2558 บนพื้นที่ 42 ไร่ ซึ่งได้พัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้เกษตรให้กับชุมชนรอบข้างที่ส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม โดยมุ่งเน้นการทำเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี เน้นจัดการพื้นที่และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดการสร้าง PM 2.5 พร้อมทั้งต่อยอดให้เป็นโครงการต้นแบบของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้านการเกษตร เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ และถ่ายทอดไปยังชุมชนในพื้นที่ต่อไป ติดตามข่าวสารของกัลฟ์ได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ GULF Spark:  https://www.facebook.com/GULFSPARK.TH/ และ ช่องทาง Tiktok: https://www.tiktok.com/@GULFspark

[ภาพข่าว] “ตลาดหลักทรัพย์ฯ มอบหนังสือพัฒนาทักษะ พร้อมโต๊ะเทเบิลเทนนิส

[ภาพข่าว] “ตลาดหลักทรัพย์ฯ มอบหนังสือพัฒนาทักษะ พร้อมโต๊ะเทเบิลเทนนิส

          นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกฎหมาย และบริหารกิจกรรมเพื่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มอบชุดหนังสือเสริมสร้างทักษะการอ่านและพัฒนาทักษะสมอง (Executive Functions) เพิ่มโอกาสการเรียนรู้ให้กับนักเรียนและชุมชน รวมทั้งโต๊ะเทเบิลเทนนิส พร้อมอุปกรณ์ เพื่อพัฒนาสุขภาพ เพิ่มทักษะการเล่นกีฬา ให้แก่ นายสมบัติ จันทร์สุริยะ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านสามขา นายวัฒนา เชื้อคำลือ ผู้อำนวยการโรงเรียนกิ่วประชาวิทยา และนายอุกฤษฎ์ อินต๊ะสาร รองผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเสริมงาม จังหวัดลำปาง พร้อมตัวแทนนักเรียนร่วมรับมอบ ซึ่งเป็น 3 โรงเรียนนำร่อง ภายใต้ “โครงการ SET คู่ป่า คู่คน เพื่อความยั่งยืน” เพื่อพัฒนาชุมชน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยโครงการนี้มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนอย่างยั่งยืน

เปิดกลยุทธ์ความสำเร็จ “แฮปปี้เชฟ” “เน้นความต่าง-เพิ่มความสะดวก-พัฒนาต่อเนื่อง”

เปิดกลยุทธ์ความสำเร็จ “แฮปปี้เชฟ” “เน้นความต่าง-เพิ่มความสะดวก-พัฒนาต่อเนื่อง”

          หุ้นวิชั่น - หากถามเหล่าแฟนพันธุ์แท้ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ถึงแบรนด์สินค้าในดวงใจ เชื่อว่าต้องมี "แฮปปี้เชฟ" แบรนด์อาหารสำเร็จรูปพร้อมทานเลื่องชื่อหลายรายการ อาทิ ลูกชิ้นปิ้งเสียบไม้ หมูคลุกฝุ่น ไส้กรอกต๊อกบกกีชีส รามยอน จาจังมยอน ปรากฏขึ้นในหัวอย่างแน่นอน เพราะนอกจากรสชาติที่ถูกปากแล้ว แพ็กเก็จจิ้ง ยังแปลกตาดูทันสมัยอีกด้วย โดย “แฮปปี้เชฟ” ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่อยู่คู่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น มาอย่างยาวนาน นับรวมเวลากว่า 12 ปี จากพันธมิตรคู่ค้าตัวเล็กๆ ในวันนั้น มาในวันนี้ “แฮปปี้เชฟ” ได้ก้าวสู่หนึ่งในผู้นำผู้ผลิตอาหารพร้อมทานในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมียอดขายกว่า 735 ล้านบาท ในปีนี้           อะไรที่ทำให้ แฮปปี้เชฟ ประสบความสำเร็จสามารถเติบโตและยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา งานนี้ หนึ่ง-ธีระวัฒน์ เลาหพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แฮปปี้เชฟ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปพร้อมทาน ภายใต้แบรนด์ "แฮปปี้เชฟ" และ "อีซี่เทส บาย แฮปปี้เชฟ" ได้ออกมาเปิดเผยถึง 3 กลยุทธ์หลักที่เป็นหัวใจนำพาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในงาน “SME x Influencer” ออนทัวร์ครั้งที่ 3 ที่ จ.ภูเก็ต มุ่งสร้างความต่าง: ความสำเร็จที่เริ่มจากเอกลักษณ์           ธีระวัฒน์ เล่าว่า นับตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจ บริษัทมีวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจแบบมุ่งสร้างความแตกต่างในทุกมิติ โดยหากย้อนกลับไปเมื่อช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ตลาดสินค้าอาหารพร้อมทานประเภทแช่เย็นยังไม่เป็นที่นิยม ทางบริษัทมองเห็นโอกาสในการเติบโตดังกล่าว ประกอบกับในช่วงเวลานั้นทางเซเว่น อีเลฟเว่น มีนโยบายเพิ่มสัดส่วนสินค้าพร้อมทานให้มากขึ้น           สินค้าประเภทพร้อมทานที่มีวางจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ส่วนใหญ่เป็น ไส้กรอก ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก บริษัทจึงกลับมาคิดว่าหากจะผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเองวางจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น ควรเป็นสินค้าอะไรดีที่คนนิยมบริโภค แต่มีจำหน่ายเฉพาะบางช่วงเวลา และลูกชิ้นปิ้งเสียบไม้ ก็คือคำตอบ แม้จะเป็นสินค้าที่หาทานได้ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหาทานได้ตลอดเวลา           “จุดเด่นที่ทำให้สินค้าได้รับการยอมรับคือ การมองหาความแตกต่างหรือจุดต่างจากตลาด ดูว่าเราจะแตกต่างได้อย่างไร ในช่วงเวลานั้นการนำอาหารบ้านๆ อย่าง ลูกชิ้นปิ้งเสียบไม้มาบรรจุในแพ็กเก็จจิ้งแบบเดียวกับไส้กรอก และนำมาขายในร้านโมเดิร์นเทรด ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ ที่ยังไม่มีใครทำมาก่อนในตลาด เรียกว่าเป็นการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้กับแบรนด์ในฐานะผู้ผลิตสินค้าพร้อมทานรายแรกๆ ในเซเว่น อีเลฟเว่น” เพิ่มความสะดวก: ครอบคลุมทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้อง           ด้วยกลุ่มลูกค้าหลักของร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่มุ่งเน้นความสะดวกสบาย แปลว่าแพ็กเก็จจิ้งต้องสะดวกต่อการทาน อย่างเช่น ช้อนที่ใช้ตักอาหารก็ต้องคิดว่าช้อนแบบไหนที่จะสะดวกกับผู้บริโภค ขนาดของช้อนเวลาตักอาหารขึ้นมาจะต้องเหมาะสำหรับหนึ่งคำไม่มากหรือน้อยจนเกินไป แต่การสร้างความสะดวกให้กับผู้บริโภคเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ แต่ต้องคำนึงถึงความสะดวกของผู้ผลิตและผู้ให้บริการด้วยเช่นกัน           ยกตัวอย่างการสร้างความสะดวกให้กับผู้ผลิต เช่น ในขั้นตอนการนำสินค้าบรรจุลงตะกร้า เพื่อส่งต่อไปจัดจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ต่อหนึ่งตะกร้าสามารถบรรจุได้กี่แพ็คหรือกี่ถาด เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการคำนวณจำนวนสินค้า หรือกระทั่งการส่งต่อไปยังพนักร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ต้องคำนึงถึงว่าเวลาที่พนักงานให้บริการอุ่นสินค้าให้กับลูกค้าจะมีความยุ่งยากหรือไม่ ต้องเปิดปากถุงแพ็กเก็จจิ้งทั้งหมดหรือเปิดเพียงแค่นิดหน่อยก็ได้ เพื่อให้อาหารอุ่นร้อนในระดับที่ยังคงรสชาติความอร่อยได้มากที่สุด ระยะเวลาการอุ่นควรจะเป็นเท่าไหร่ถึงจะดี บริษัทก็จะมีบอกบนแพ็กเก็จจิ้ง ดังนั้นจึงต้องคิดในทุกกระบวนการและทุกขั้นตอนต่างๆ อย่างถี่ถ้วน เรียกว่าต้องสร้างความสะดวกในทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้อง พัฒนาต่อเนื่อง: แรงขับเคลื่อนสำคัญ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง           หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ “แฮปปี้เชฟ” ยืนหยัดได้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของตลาดคือ ความไม่หยุดที่จะพัฒนาสินค้า ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ในกระบวนการผลิต หรือการสำรวจและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เช่น การเพิ่มเมนูใหม่ๆ ตามกระแสนิยม           “แม้ลูกชิ้นเสียบไม้จะได้รับความนิยมอย่างมาก แต่บริษัทก็ไม่หยุดที่จะมองหาสินค้าตัวต่อไป ซึ่งสินค้าทุกชิ้นจะต้องมีการสำรวจจากฝ่ายวิจัยด้านการตลาดของบริษัท ควบคู่กับการได้รับคำแนะนำจากทีมเซเว่น อีเลฟเว่น หลังจากนั้นก็จะเริ่มพัฒนาสูตรและรสชาติให้เหมาะกับความต้องการของผู้บริโภค โดยสินค้าที่พัฒนาและได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดก็คือ สินค้าอาหารเกาหลี ที่แม้จะดูว่าสามารถหาทานได้ทั่วไป แต่บริษัทก็จะหาความต่างและพัฒนาให้ไม่เหมือนกับที่จำหน่ายในร้านอาหารเกาหลีทั่วไป เช่น ไส้กรอกต๊อกบกกีชีส, ไส้กรอกต๊อกบกกีลาวาชีส, รามยอนสไปซี่โซซิจิชิคเก้น, จาจังมยอน ถือเป็นสูตรเฉพาะที่หาซื้อได้ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นเท่านั้น”           แม้ทั้ง 3 กลยุทธ์จะเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความสำเร็จให้กับ “แฮปปี้เชฟ” แต่ยังมีสิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่ คุณหนึ่ง อยากจะฝากถึงผู้ประกอบการนั่นก็คือ “จงมีความมุ่งมั่น และตั้งใจจริง เดินหน้าตามความฝันที่ตั้งไว้ อย่าท้อแม้เจออุปสรรค” แล้วความสำเร็จจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน [PR News]

[ภาพข่าว] ONEE ช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวใต้ “วันสร้างสุข สู้ภัยน้ำท่วม2567”

[ภาพข่าว] ONEE ช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวใต้ “วันสร้างสุข สู้ภัยน้ำท่วม2567”

          ผ่านไปแล้วสำหรับโครงการ “วันสร้างสุข สู้ภัยน้ำท่วม2567” โดย กลุ่มบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด(มหาชน) หรือ ONEE ร่วมกับ มูลนิธิเรวัต พุทธินันทน์ ที่ล่าสุดได้ลงพื้นที่เข้าช่วยเหลือ บ้านชะเมา ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ และ บ้านท่าเรือ ต.โคกโพธิ์ อ.โคกโพธิ์ จากสถานการณ์อุทกภัยทางภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำฝนตกลงมาอย่างหนักและน้ำทะเลหนุนสูง           ทั้งนี้โครงการ “วันสร้างสุข สู้ภัยน้ำท่วม2567” โดยมีสองเพื่อนซี้จากซิทคอมเป็นต่อ เกลือ-กิตติ, เจี๊ยบ เชิญยิ้ม พร้อมด้วยนางเอกสาวจากละคร “เทียนซ่อนแสง” ไข่มุก รุ่งรัตน์ นักแสดงจิตอาสาที่ขอมุ่งหน้าไปช่วยเหลือและมอบกำลังใจไปยังพี่น้องจังหวัดปัตตานี เพื่อส่งมอบถุงยังชีพจากเงินบริจาคคนไทยทั้งประเทศจำนวน 500 ถุง ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ รวมถึงมอบเสื้อชูชีพให้กับพี่ๆทีมอาสาจากมูลนิธิเพชรเกษม สาขาชุมพร และสมาคมกู้ชีพกู้ภัยโพธิ์เงิน โคกโพธิ์ ได้นำเสื้อชูชีพไปช่วยเหลือชาวบ้านต่อไป

OSP พลิกโฉมบรรจุภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม Re-design บรรจุภัณฑ์ใหม่ มุ่งหน้าสู่ความยั่งยืน

OSP พลิกโฉมบรรจุภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม Re-design บรรจุภัณฑ์ใหม่ มุ่งหน้าสู่ความยั่งยืน

           หุ้นวิชั่น - รู้หรือไม่ว่าในแต่ละปี มนุษย์เราสร้างขยะพลาสติกจำนวนกว่า 400 ล้านตัน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศเป็นวงกว้าง บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้นำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคลำดับต้น ๆ ของประเทศไทย ตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบของบรรจุภัณฑ์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี โอสถสภาจึงเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อลดผลกระทบดังกล่าวให้เหลือน้อยที่สุดผ่านการพัฒนาออกแบบบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน ที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2573 บรรจุภัณฑ์ของโอสถสภาทั้ง 100% ต้องสามารถนำไปรีไซเคิล (Recyclable) หรือ ใช้ซ้ำ (Reuseable) หรือ ย่อยสลาย (Compostable) ได้ และยังคงคุณสมบัติและคุณภาพบรรจุภัณฑ์ได้ดีเช่นเดิม เพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว โอสถสภาได้เริ่มต้นภารกิจพลิกโฉมบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้เป็นบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน ผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรมในสามแนวทาง ได้แก่ การลดการใช้วัสดุเพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์ การลดการใช้พลาสติก และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อการรีไซเคิล  "ลดวัสดุเพื่อวันที่ดีกว่า" หนึ่งในนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ของโอสถสภาที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ คือการลดการใช้วัสดุเพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์และการลดน้ำหนักบรรจุภัณฑ์ โดยในปี 2565 โอสถสภาได้พัฒนานวัตกรรมขวดแก้วรักษ์โลกที่มีน้ำหนักเบาลงถึง 15% หรือประมาณ 20 กรัม โดยเฉพาะขวด “เอ็ม-150” แต่ยังคงความแข็งแรงทนทาน และต่อมาในปี 2566 ได้พัฒนาต่อยอดลดน้ำหนักขวดแก้วในผลิตภัณฑ์โรลออนแบรนด์ “ทเวลฟ์ พลัส” และ “เอ็กซิท” ที่มีน้ำหนักเบาลงราว 6-8% (ขึ้นอยู่กับขนาดขวด) หรือประมาณ 5 กรัม ดังนั้น นวัตกรรมลดน้ำหนักบรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว ในส่วนของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและของใช้ส่วนบุคคลของโอสถสภา สามารถลดการใช้วัสดุแก้วได้ถึง 32,822.5 ตันต่อปี จากการลดน้ำหนัก ขวดแก้วและยังช่วยลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการผลิตและการขนส่งได้อีกด้วย นอกจากนี้ โอสถสภายังมุ่งมั่นลดการใช้วัสดุอะลูมิเนียมในกระป๋องเครื่องดื่ม อาทิ เครื่องดื่ม “ชาร์ค” “คาลพิส แลคโตะ” และ “เอ็ม-150 สปาร์คกลิ้ง” จนนำไปสู่ความสำเร็จในการลดการใช้วัสดุอะลูมิเนียมได้ถึง 341 ตันต่อปี ผ่านความร่วมมือกับคู่ค้า ตลอดจนส่งเสริมการลดการใช้กระดาษที่ใช้ทำกล่องของผลิตภัณฑ์หลายประเภท โดยโครงการนี้ครอบคลุมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (NPD) และผลิตภัณฑ์เดิม เช่น “เอ็ม-150” และ “ซี-วิท”จนสามารถลดการใช้วัสดุกระดาษได้มากถึง 715 ตันต่อปีอีกด้วย  "พลิกโฉมใหม่ ไม่ใช่แค่สวย แต่ช่วยโลก" สำหรับการขับเคลื่อนการลดการใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ โอสถสภาดำเนินการวิจัยและพัฒนาการออกแบบ บรรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นขวดผลิตภัณฑ์เบบี้ออยล์ แชมพู ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ น้ำยาล้างจาน น้ำยาปรับผ้านุ่ม ไปจนถึงหีบห่อบรรจุภัณฑ์ของลูกอม แบรนด์ “โบตัน” และ “โอเล่” จนสามารถลดการใช้วัสดุพลาสติกลงไปได้ถึง 91.1 ตันต่อปี โดยหนึ่งในความสำเร็จล่าสุดที่น่าภาคภูมิใจของ โอสถสภาคือ การปรับบรรจุภัณฑ์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ “เบบี้มายด์” ในปี 2566 มาเป็นขวด PET แบบใส ที่นอกจากจะช่วยยกภาพลักษณ์ของบรรจุภัณฑ์ให้ดูสวยงามและพรีเมียมขึ้นแล้ว ยังนำไปสู่การยกเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์ขวด PVC และ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้โอสถสภาสามารถยุติการใช้พลาสติก PVC ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ไปแล้วถึง 90% ในปี 2567 โดยบริษัทฯ จะพัฒนานวัตกรรมลดการใช้พลาสติกต่อไป เพื่อไปสู่เป้าหมายในการยุติการใช้พลาสติก PVC ในบรรจุภัณฑ์ของโอสถสภา 100% ภายในปี 2568  "ผลักดันสู่การรีไซเคิลครบวงจร" ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนในทุกมิติตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ อีกหนึ่งโจทย์สำคัญในการพัฒนา บรรจุภัณฑ์คือต้องเป็นมิตรต่อการนำไปรีไซเคิลด้วย ถึงจะสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว โอสถสภาจึงได้ดำเนินการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โอสถสภาได้ริเริ่มโครงการจากขวดแก้วสู่ขวดแก้ว (Bottle to Bottle) รับขยะรีไซเคิลจากชุมชนและเครือข่ายพันธมิตร โดยเฉพาะขวดแก้ว เพื่อกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล โดยตลอดระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการฯ สามารถนำขวดแก้วกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้แล้วกว่า 118 ตัน ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ได้กว่า 33,057.92 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และยังผลักดันการใช้วัสดุรีไซเคิล เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตบรรจุภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตขวดแก้วรักษ์โลก ซึ่งช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังได้ผสานความร่วมมือกับพันธมิตรในโครงการต่างๆ ที่ส่งเสริมการนำขยะบรรจุภัณฑ์กลับเข้าสู่การ รีไซเคิลได้อย่างครบวงจร อาทิ โครงการ Aluminum Loop CAN นำส่งคืนกระป๋องเครื่องดื่มที่ใช้แล้วกลับคืนสู่กระบวนการ รีไซเคิลแบบครบวงจร ในรูปแบบที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อส่งเสริมแนวทางการเก็บกลับกระป๋องอลูมิเนียมใช้แล้วมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มกระป๋องอลูมิเนียมใบใหม่อีกครั้ง โครงการพลาสติกคืนชีพ นำเศษซากพลาสติกมาหลอมเป็นเม็ดพลาสติก PCR เพื่อผลิตเป็นเม็ดพลาสติกใหม่และนำไปใช้เป็นฟิล์มสำหรับห่อผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของโอสถสภา ในฐานะผู้ผลิตเครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีวิสัยทัศน์ในการเป็น “พลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต” ให้แก่สังคมอย่างยั่งยืน การรักษาสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่เพียงแค่หน้าที่ แต่เป็นพันธกิจที่ต้องทำอย่างจริงจัง โอสถสภาจึงมุ่งมั่นลดการใช้พลาสติก ลดการใช้ทรัพยากร และมองหาทางเลือกใหม่ๆ ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก เพราะธุรกิจต้องดูแลโลกไปพร้อมกัน จึงจะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดยแท้จริง

GULF ร่วมกับ “ศูนย์การศึกษาพิเศษแก่งคอย” สานต่อพัฒนาการสำหรับเด็กพิเศษ

GULF ร่วมกับ “ศูนย์การศึกษาพิเศษแก่งคอย” สานต่อพัฒนาการสำหรับเด็กพิเศษ

          หุ้นวิชั่น - “บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)” หรือ “GULF” ร่วมกับ “ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดสระบุรี หน่วยบริการแก่งคอย” จัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาสำหรับเด็กพิเศษ เนื่องในวันคนพิการสากล 3 ธันวาคม 2567 โดยมีกิจกรรมระบายสี และการเล่านิทานที่สอดแทรกการเสริมสร้างพัฒนาการด้วย “หมอนช้างจับมือ” ที่จัดทำโดย “กัลฟ์อาสา” เพื่อช่วยบริหารกล้ามเนื้อมือ และกระตุ้นปลายประสาทของสมอง นอกจากนี้ยังมีการมอบอุปกรณ์การเรียน พร้อมด้วยขนม นม และของใช้ที่จำเป็นสำหรับเด็ก รวมถึงการปรับปรุงห้องเรียนและพัฒนาสนามเด็กเล่นให้มีความสวยงาม พร้อมต่อการใช้งานที่ปลอดภัยอีกด้วย           “นางสาวดรุณี มูลคำภา” ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดสระบุรี กล่าวว่า ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดสระบุรี หน่วยบริการแก่งคอย เริ่มเปิดดำเนินการครั้งแรกเมื่อปี 2559 ปัจจุบันมีเด็กพิเศษที่อยู่ในความดูแลและรับผิดชอบของศูนย์การศึกษาพิเศษฯ แห่งนี้จำนวน 47 ราย โดยแบ่งเป็นเด็กออทิสติก ดาวน์ซินโดรม เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา มีพัฒนาการทางสมองช้า ซึ่งมีทั้งมารับบริการที่ศูนย์ฯ แบบไปเช้าเย็นกลับ และแบบที่มีเจ้าหน้าที่ศูนย์การศึกษาพิเศษฯเข้าไปให้การดูแลที่บ้านของเด็กซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทกัลฟ์ เป็นหน่วยงานเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในการร่วมส่งเสริมการศึกษา พัฒนาทรัพยากรบุคคล เพิ่มการเข้าถึงการศึกษา เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองของเด็กที่มีความจำเป็นพิเศษในพื้นที่ โดยได้สนับสนุนการก่อสร้างอาคารเรียนศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดสระบุรี หน่วยบริการแก่งคอย เพื่อให้มีความสะดวกสบาย และเสริมสร้างความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้มีการปรับปรุงสนามเด็กเล่น การติดตั้งเหล็กดัด และติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ตลอดจนจัดกิจกรรมต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง           “นางสาวจินตนา เพียรรอดวงษ์” ในฐานะหัวหน้าหน่วยบริการ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดสระบุรี หน่วยบริการแก่งคอย กล่าวเสริมว่า กัลฟ์ มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ช่วยเข้ามาเติมเต็มหน่วยบริการแห่งนี้ เพราะนอกจากการปรับปรุงอาคารสถานที่ให้มีความพร้อม มีความปลอดภัย สะดวกสบาย เอื้ออำนวยต่อการดูแลเด็กพิเศษกลุ่มนี้แล้ว ยังสนับสนุนอุปกรณ์การเรียน เครื่องเล่นต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการเด็กในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา รวมถึงการที่พนักงานของกัลฟ์มาจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่เหล่าพี่ ๆ กัลฟ์อาสาได้มาจัดกิจกรรมให้เด็ก ๆ ทั้งการระบายสี การเล่านิทานที่สอดแทรกการส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายของเด็กด้วยหมอนช้างจับมือ ซึ่งเด็ก ๆ สนุกสนานกันเป็นอย่างมาก ที่สำคัญยังมีการนำขนม นม ของใช้ที่จำเป็น รวมถึงอุปกรณ์การเรียนมามอบให้กับศูนย์ฯ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงห้องเรียนโดยกั้นพื้นที่ห้องเรียนระหว่างเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษกับเด็กที่พอช่วยเหลือตัวเองได้ เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  และการปรับปรุงสนามเด็กเล่นให้มีความสวยงาม ปลอดภัยในการใช้งาน ทำให้รู้สึกว่าเด็กกลุ่มนี้ไม่ถูกทอดทิ้ง แม้ว่าหน่วยบริการแห่งนี้จะเป็นศูนย์เล็ก ๆ ก็ตาม           ขณะที่ “นางทองหล่อ ไชยสุ” ผู้ปกครองของเด็กที่มารับบริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดสระบุรี หน่วยบริการแก่งคอย กล่าวว่า การมีศูนย์ที่สามารถช่วยดูแลและให้การศึกษากับเด็กพิเศษใกล้บ้าน นอกจากจะลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้เป็นอย่างมาก ที่สำคัญเด็ก ๆ ยังได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะของตัวเอง อย่างที่น้องมารับบริการที่ศูนย์แห่งนี้ ฯ มีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งช่วยเหลือตัวเองได้ หยิบจับสิ่งของได้ บอกสี บอกลักษณะได้ ที่สำคัญน้องสามารถเข้าสังคมได้มากขึ้น เพราะถ้าบอกว่าไปโรงเรียนน้องจะดีใจมาก น้องชอบไปโรงเรียนมาก การมีศูนย์การศึกษาพิเศษ ฯ แบบนี้จึงเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับเด็กพิเศษ รวมถึงผู้ปกครองอย่างเราที่ต้องหาเช้ากินค่ำอีกด้วย           กัลฟ์ พร้อมที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาของเด็กพิเศษ เพื่อให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันได้ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสังคม สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกัลฟ์ ภายใต้แนวคิด “Powering the Future, Empowering the People” ที่ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาและส่งเสริมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้ความสำคัญกับอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป [PR News] ประมวลภาพ “กัลฟ์” จัดกิจกรรมเสริมสร้างพัฒนาการสำหรับเด็กพิเศษ เนื่องในวันคนพิการสากล 3 ธันวาคม 2567 ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดสระบุรี หน่วยบริการแก่งคอย

มูลนิธิโอสถสภา บรรลุเป้าหมายมอบอาชีพให้คนพิการ 165 คน

มูลนิธิโอสถสภา บรรลุเป้าหมายมอบอาชีพให้คนพิการ 165 คน

            หุ้นวิชั่น - มูลนิธิโอสถสภาร่วมโอสถสภา ตอกย้ำแนวทาง “ให้เบ็ดดีกว่าให้ปลา” ต่อยอดโครงการมูลนิธิโอสถสภามอบโอกาส สร้างอาชีพ ปี 2 เดินหน้าจัดอบรมพัฒนาศักยภาพคนพิการ และส่งมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่คนพิการ นอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด คุณเสรี โอสถานุเคราะห์ ประธานมูลนิธิโอสถสภา กล่าวว่า โครงการมูลนิธิโอสถสภามอบโอกาส สร้างอาชีพ นี้เป็นหนึ่งในพันธกิจของมูลนิธิโอสถสภาและบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ในการเป็น ‘พลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต’ ให้แก่คนพิการ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางในสังคม โดยในปีนี้โครงการมูลนิธิโอสถสภามอบโอกาส สร้างอาชีพ จัดขึ้นเป็นปี 2 ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายภาครัฐที่สำคัญ ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ภายใต้การทำงานกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ใน 4 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร นนทบุรี สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา รวมทั้งภาคีเครือข่ายท้องถิ่น อาทิ สาธารณสุขจังหวัด และหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อส่งมอบอาชีพให้คนพิการ ผ่านการให้ความรู้ ฝึกทักษะการทำงาน และมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่คนพิการ ภายใต้แนวคิด “ให้เบ็ดดีกว่าให้ปลา” สำหรับปี 2567 นี้ มูลนิธิโอสถสภาได้สร้างโอกาส มอบอาชีพแก่คนพิการ รวม 165 คน เกินจากเป้าหมายที่วางไว้ 150 คน และสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับครอบครัวของคนพิการ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ไม่น้อยกว่า 660 คน โดยการสนับสนุนอาชีพในปีนี้ จะเน้นใน 2 อาชีพหลัก ได้แก่ อาชีพขายลูกชิ้นทอดกินดี และอาชีพงานสานเส้นพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งเป็น 2 อาชีพที่สร้างยอดขายได้ตั้งแต่ 6,000 ถึง 18,000 บาทต่อเดือน จากการติดตามถอดบทเรียนเคสคนพิการที่ได้รับสิทธิ์ในปี 2566 ที่ผ่านมา จำนวน 150 คน ใน 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น และสระบุรี ทั้งนี้ยังพบว่าปัจจุบันคนพิการที่ได้รับอาชีพ ยังคงประกอบอาชีพที่ได้รับอยู่ถึง 80% และคนพิการเห็นว่าการมีอาชีพช่วยส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 84% รวมถึงสามารถต่อยอดอาชีพได้อย่างน่าสนใจ จึงเป็นที่มาของการพัฒนาโมเดลอาชีพงานขายลูกชิ้นกินดีและงานสานเส้นพลาสติกรีไซเคิลในปีนี้ มูลนิธิโอสถสภา ยังคงมุ่งมั่นสานปณิธานในการทำงานเพื่อช่วยเหลือคนพิการ โดยร่วมกับภาคีเครือข่ายในการเรียนรู้ ติดตาม ถอดบทเรียน เพื่อพัฒนาความช่วยเหลือคนพิการให้มีอาชีพ มีรายได้ ตลอดจนเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และมีพลังเพื่อก้าวต่อไป [PR NEWS]

[ภาพข่าว]  “ตลาดหลักทรัพย์ฯ มอบผ้าห่ม ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยหนาว จ. ลำปาง”

[ภาพข่าว] “ตลาดหลักทรัพย์ฯ มอบผ้าห่ม ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยหนาว จ. ลำปาง”

           นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกฎหมาย และบริหารกิจกรรมเพื่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มอบผ้าห่มกันหนาวแก่ผู้ประสบภัยหนาวในจังหวัดลำปาง 13 อำเภอ โดยมี นายชาญ อุทธิยะ อุปนายกสมาคมเพื่อการเรียนรู้ป่าชุมชน จังหวัดลำปางเป็นผู้รับมอบ พร้อมลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการ “SET คู่ป่า คู่คน เพื่อความยั่งยืน จังหวัดลำปาง” ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับองค์กรพันธมิตรและชุมชน สร้างพื้นที่ต้นแบบการสร้างสมดุลในระบบนิเวศและพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน

OR เร่งช่วย 4 จังหวัดใต้ มอบความช่วยเหลือกว่า 1.25 ล้านบาท

OR เร่งช่วย 4 จังหวัดใต้ มอบความช่วยเหลือกว่า 1.25 ล้านบาท

            บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เร่งให้ความช่วยเหลือ 4 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ประกอบด้วยจังหวัด สงขลา นราธิวาส ยะลา และปัตตานี โดยสนับสนุนน้ำมันเชื้อเพลิงมูลค่า 500,000 บาท ให้แก่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พร้อมจัดเตรียมถุงยังชีพ 1,900 ถุง และก๊าซหุงต้ม ปตท. 200 ถัง มูลค่า 90,000 บาท รวมมูลค่าความช่วยเหลือทั้งสิ้นกว่า 1.25 ล้านบาท             ทั้งนี้ OR ได้ร่วมกับผู้แทนจำหน่ายก๊าซหุงต้ม ปตท.ส่งมอบก๊าซหุงต้ม 100 ถัง ให้ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จังหวัดสงขลา รวมทั้งได้ส่งมอบก๊าซหุงต้ม ปตท. ให้แก่หน่วยทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อใช้ในโรงครัวชั่วคราวที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี นอกจากนี้ ยังร่วมกับผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น จังหวัดสงขลา สนับสนุนน้ำดื่ม อุปกรณ์ทำความสะอาด น้ำประปา 1,200 ลิตร และน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถและเรือกู้ภัย คันละ 1,000 บาท รวมมูลค่ากว่า 62,000 บาท             ความช่วยเหลือครั้งนี้ ถือเป็นการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องของ OR ที่ก่อนหน้านี้ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยใน 7 จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งนี้ OR ยืนยันจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยจะร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน [PR News]

EURO ร่วมกับ SIRIVANNAVARI Maison เปิด Poltrona Frau by Euro Creations ต้อนรับ ‘Maison des Fleurs’

EURO ร่วมกับ SIRIVANNAVARI Maison เปิด Poltrona Frau by Euro Creations ต้อนรับ ‘Maison des Fleurs’

          EURO ร่วมกับ SIRIVANNAVARI Maison เปิดอาณาจักรเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังระดับโลกจากอิตาลี Poltrona Frau by Euro Creations ต้อนรับคอลเลคชั่น ‘Maison des Fleurs’ ถ่ายทอดแนวคิดการใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะและความประณีตในบ้านผ่านเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่สร้างสรรค์จากเซรามิคลิมิเต็ดเอดิชั่น ทั้ง เซ็ตจาน, เซ็ตแก้วกาแฟ และเซ็ตถ้วยชา พร้อมลวดลายภาพวาดฝีพระหัตถ์จาก สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา องค์ครีเอทีฟ ไดเร็คเตอร์ แห่งแบรนด์ SIRIVANNAVARI ผสมผสานความงามจากช่างฝีมือไทยและศิลปะระดับโลก นำเสนอในประสบการณ์สุดพิเศษที่ Poltrona Frau ทองหล่อ ซอย 5           นายเควิน กัมบีร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (EURO) เปิดเผยว่า แบรนด์ SIRIVANNAVARI Maison ร่วมกับ Poltrona Frau by Euro Creations คัดสรรไลฟ์สไตล์ไอเท็มจากคอลเลคชั่น ลิมิเต็ด เอดิชั่น ‘Maison des Fleurs’ จัดสรรในพื้นที่ของ Poltrona Frau แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังระดับโลกจากอิตาลีที่ทำให้ความหมายของการใช้ชีวิตในบ้านแฝงไว้ด้วยความประณีตที่ได้รับการรังสรรค์มาเป็นอย่างดี โดยคำว่า “Maison” ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึง ‘บ้าน’ ส่วน ‘Fleur’ คือดอกไม้อันงดงามที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ           "มีคำกล่าวเกี่ยวกับบ้าน กล่าวว่า พื้นที่แห่งการใช้ชีวิตและจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง อีกทั้งเป็นพื้นที่แห่งความสุขและความคิดสร้างสรรค์ของผู้เป็นเจ้าของที่รอเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนให้ได้สัมผัสกับศิลปะแห่งการใช้ชีวิต คอนเซ็ปต์นี้นำมาสู่การร่วมมือกันระหว่าง Poltrona Frau by Euro Creations และแบรนด์ SIRIVANNAVARI Maison" นายเควิน กล่าว           ในช่วงเวลาปลายปี นับเป็นช่วงเวลาแห่งความอบอุ่นที่ทุกคนในครอบครัวมารวมตัวกันในช่วงคริสต์มาส และการพบปะสังสรรค์ในหมู่เพื่อนและคนพิเศษ เพื่อยกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหารและการใช้ชีวิตภายในบ้านให้หรูหราขึ้นไปอีกขั้น ดังนั้น จึงเลือกสรรเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารเซรามิค อันประกอบด้วยเซ็ตจาน, เซ็ตแก้วกาแฟ, แก้วเอสเพรสโซ่พร้อมจานรอง, เซ็ตถ้วยชาพร้อมจานรอง ที่มีความประณีตและคุณภาพระดับพรีเมียม โดยความพิเศษสุดอยู่ที่ลายพิมพ์ภาพวาดฝีพระหัตถ์ของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา องค์ครีเอทีฟ ไดเร็คเตอร์ (Creative Director) แห่งแบรนด์ SIRIVANNAVARI อันสง่างามด้วยนกยูงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ SIRIVANNAVARI ดอกระฆังแห่งหุบเขา (Lily of the Valley) อันสื่อถึงความสุขและความนอบน้อม และดอกไอริส (Iris) สีม่วง ดอกไม้ทรงโปรดขององค์ดีไซเนอร์ ซึ่งเป็นตัวแทนของความหวัง ลวดลายอันอ่อนช้อยรังสรรค์ออกมาในโทนสีฟ้า แต้มด้วยสีทองเลอค่า ตัดกับเซรามิคโบนไชน่า (Bone China) สีขาวงาช้างอันเงางาม ใช้เทคนิคดีแคล (Decal) ในการประทับลงบนเซรามิคแต่ละชิ้น ก่อนนำไปเผาในอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อความคงทนของลวดลาย           โดยขั้นตอนการผลิตส่วนหนึ่ง เป็นการสนับสนุนงานฝีมือช่างไทยจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งก่อตั้งโดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยพระราชปณิธานขององค์ดีไซเนอร์ในการส่งเสริมฝีมือของประชาชนไทย ชิ้นงานแต่ละชิ้นมาพร้อมกับกล่องอันหรูหรา เหมาะแก่การมอบเป็นของขวัญในทุกวาระพิเศษ หรือเติมความรื่นรมย์ให้กับโต๊ะอาหารและในทุกมุมของบ้าน อีกทั้งยังควรค่าแก่การสะสมเป็นอย่างยิ่ง           ทั้งนี้ สามารถสัมผัสความงามอันวิจิตรของเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและเครื่องหอมจาก “Maison des Fleurs” โดย SIRIVANNAVARI Maison ในประสบการณ์พิเศษร่วมกับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์จากอิตาลี Poltrona Frau  by Euro Creations ณ ทองหล่อ ซอย 5           อนึ่ง แบรนด์ Poltrona Frau ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1912 ด้วยความเชี่ยวชาญในงานหนัง (Leather) และงานฝีมือ (Craftsmanship) ที่ส่งต่อมากว่า 112 ปี อันโดดเด่นด้วยการผสมผสานเทคนิคการผลิตแบบช่างฝีมือที่เป็นเอกลักษณ์ผลิตภัณฑ์ของ Poltrona Frau ผ่านมาตรฐานคุณภาพสูงสุด นอกจากนี้ยังเป็นแบรนด์ที่ผลิตเบาะหนังให้กับรถยนต์ระดับซุเปอร์ลักชัวรี่ เช่น Ferrari, Lamborghini, Pagani และ Rolls-Royce รวมถึงอุตสาหกรรมเรือยอชต์และสายการบิน เนื่องด้วยแบรนด์ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหนังอย่างแท้จริง Poltrona Frau by Euro Creations At Thonglor 5 เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 10.00 – 19.00 น. [PR News]

ก.ล.ต.ประกาศวันหยุดเพิ่ม

ก.ล.ต.ประกาศวันหยุดเพิ่ม

          ตามที่ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 ให้เพิ่มวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ เพื่อกระตุ้น การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ รวมถึงเป็นการสนับสนุนนโยบายที่จะกำหนดให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬาของประเทศไทยนั้น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณาแล้ว จึงกำหนดให้วันที่ 2 มิถุนายน 2568 และวันที่ 11 สิงหาคม 2568 รวมทั้งวันที่ 2 มกราคม 2569 เป็นวันหยุดทำการของบริษัทหลักทรัพย์และ ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลข้างต้น ซึ่งสอดคล้องกับวันหยุดทำการของสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

"เซเว่น อีเลฟเว่น" เปิดตัวหนังสั้นภายใต้แนวคิด “ความกตัญญูทำได้ทุกวัน” ตอกย้ำ DNA ความดี 24 ชั่วโมง

          เซเว่น อีเลฟเว่น ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมความกตัญญู ชวนคนไทยบอกรักพ่อ ปล่อยภาพยนตร์สั้นภายใต้แนวคิด “ความกตัญญูทำได้ทุกวัน” รับชมได้พร้อมกันแล้วตั้งแต่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา ทางช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ทุกแพลตฟอร์มของเซเว่น อีเลฟเว่น           โดยภาพยนตร์สั้นดังกล่าวมีโครงเรื่องหลักเป็นเรื่องราวของพ่อที่เป็นผู้ป่วยอัลไซเมอร์ กับลูกชายที่ไม่เคยบอกรักพ่อตรงๆ จนเมื่อวันที่ได้พูดกับพ่อท่านก็ไม่สามารถรับรู้ได้เท่าเดิมแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้หวังจะเชิญชวนให้คนไทยบอกรักพ่อ หรือแสดงความกตัญญูกับคนที่คุณรัก ซึ่งสามารถทำได้ทุกวันไม่เฉพาะเทศกาลสำคัญ           เซเว่น อีเลฟเว่น ขอร่วมสร้างสรรค์สังคมตามค่านิยม 3 ประโยชน์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ และนโยบายความยั่งยืน สร้างชุมชนอุ่นใจ และ DNA ความดี 24 ชั่วโมง ส่งเสริมให้พนักงานทุกคนเป็นคนดี ซึ่งที่ผ่านมาพนักงานเซเว่น อีเลฟเว่น ตลอดจนบุคลากรของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ได้มีส่วนเข้าไปช่วยเหลือสังคมในหลายๆ กรณีจนได้รับการบอกต่อเล่าขานผ่านสื่อมวลชน และสื่อสังคมออนไลน์ นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโครงการที่ได้ร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ในการสร้างสังคมให้เข้มแข็ง เช่น โครงการ “คนไทยใส่ใจผู้ป่วยสมองเสื่อม” ที่ร่วมกับ จส.100 และพันธมิตร ช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวข้องกับภาวะสมองเสื่อม พร้อมทั้งเป็นจุดรับประสาน และดูแลชั่วคราวเพื่อส่งต่อกรณีพบผู้ป่วยอัลไซเมอร์พลัดหลงให้ได้กลับคืนสู่ครอบครัวอย่างปลอดภัย เป็นต้น           นอกเหนือจากภาพยนตร์สั้นส่งเสริมความกตัญญูแล้ว เซเว่น อีเลฟเว่น ยังมีกิจกรรมอีกมากมายให้เข้าร่วมสามารถติดตามได้ผ่าน Facebook Fanpage 7-Eleven Thailand และ 7App รวมทั้งยังร่วมกันแชร์เรื่องราวดีๆ บอกรักพ่อ และความทรงจำประทับใจของคุณเองได้ง่ายๆ ผ่าน #711ชวนบอกรักพ่อ และ #ความกตัญญูทำได้ทุกวัน อีกด้วย [PR News]

เมืองไทยประกันชีวิต จัดอบรม Care Giver รุ่นที่ 4 สร้างทักษะดูแลผู้สูงอายุเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

เมืองไทยประกันชีวิต จัดอบรม Care Giver รุ่นที่ 4 สร้างทักษะดูแลผู้สูงอายุเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

          หุ้นวิชั่น -  เมืองไทยประกันชีวิต จับมือมูลนิธิเมืองไทยยิ้มและกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  ร่วมสร้างสังคมคุณภาพผู้สูงวัย พัฒนาบุคลากรเพื่อดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมจัดอบรม โครงการ “การอบรมหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ Care Giver  รุ่นที่ 4”  หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง เพื่อตอบรับสถานการณ์การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย           นายสาระ ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เมืองไทยประกันชีวิต สานต่อโครงการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น รุ่นที่ 4            ณ อาคาร CSR ศูนย์การเรียนรู้สรรค์สาระ จังหวัดราชบุรี  โดยในครั้งนี้ได้จัดการอบรมให้แก่บุคลากรในองค์กรที่เกี่ยวข้อง  อาทิ พนักงานดูแลความสะอาด  พนักงานดูแลสวน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) จำนวน 53 คน เพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุในบ้านและชุมชน ซึ่งมีความสำคัญต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของผู้สูงวัยในสังคมไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ การอบรมครั้งนี้ประกอบด้วยการเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติรวม 18 ชั่วโมง โดยเนื้อหาหลักสูตรมุ่งเน้นให้ผู้เข้าอบรมได้รับความรู้เข้าใจในหลักการพื้นฐานของการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจของผู้สูงอายุ ทั้งนี้หลักสูตรได้รับการรับรองจากกรมกิจการผู้สูงอายุและจัดหาวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมสามารถเรียนรู้ทักษะที่จำเป็น อาทิ การให้ความรู้และแนะนำอาหารโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละกลุ่ม รวมถึงการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและมีโภชนาการที่ดีต่อผู้สูงอายุ การส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพแบบองค์รวม โดยให้ความรู้เกี่ยวกับรูปแบบวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมและถูกต้องสำหรับผู้สูงอายุ และการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในผู้สูงอายุและการดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและสนับสนุนให้ผู้สูงวัยมีความสุขในวัยเกษียณ การอบรมนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมในภาพรวม เพราะเมื่อมีผู้ที่เข้าใจและมีทักษะในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น จะสามารถลดภาระในการดูแลและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้สูงอายุในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการสร้างเครือข่ายผู้ดูแลที่สามารถให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความเข้มแข็งในชุมชน  โดยผู้เข้าอบรมจะได้รับความรู้และทักษะในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  ตลอดจนการสร้างให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อ      การดำรงชีวิต สำหรับที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จัดการอบรม หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง  จำนวน  3 รุ่น   ได้แก่ รุ่นที่ 1 จัดขึ้นในวันที่ 7-8 ตุลาคม 2566 สำหรับผู้บริหาร พนักงาน ของบริษัทฯ         ณ สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ  และรุ่นที่ 2 จัดขึ้นในวันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2566 สำหรับประชาชนทั่วไป ณ ศูนย์การเรียนรู้สรรค์สาระ เมืองไทยประกันชีวิต จ.ราชบุรี  และรุ่นที่ 3 จัดขึ้นในวันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2567 สำหรับสื่อมวลชน เพื่อสร้างความรู้และตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลผู้สูงอายุอย่างถูกวิธีและมีคุณภาพซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้เข้าอบรมอย่างมาก           “บริษัทมุ่งมั่นในการสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความเชื่อมั่นว่าความรู้และทักษะที่ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัย และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนและสังคมไทยโดยรวม เราจะเดินหน้าจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งต่อคุณค่าและความห่วงใยสู่ทุกครอบครัวไทย”  นายสาระกล่าวสรุป

SCB รุก “โซลาร์รูฟท็อป”    จับมือ โกดังไฟฟ้าดอทคอม - หัวเว่ย

SCB รุก “โซลาร์รูฟท็อป” จับมือ โกดังไฟฟ้าดอทคอม - หัวเว่ย

          หุ้นวิชั่น - ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่งมั่นสร้างสรรค์วิถีชีวิต “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” ให้คนไทย นำความแข็งแกร่งช่องทาง SCB EASY เชื่อมโอกาสทางธุรกิจกับพันธมิตร มอบความยั่งยืนถึงทุกหลังคาบ้าน จับมือ โกดังไฟฟ้าดอทคอม แพลตฟอร์มอุปกรณ์ไฟฟ้าและโซลาร์ออนไลน์ภายใต้ GUNKUL นำเสนอโซลูชัน “โซลาร์รูฟท็อป” แพ็คเกจติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับที่อยู่อาศัย ชูจุดเด่นด้วยทางเลือกแผงโซลาร์เซลล์คุณภาพสูง มาพร้อมกับอุปกรณ์ Huawei Solar Inverter และบริการติดตั้งครบวงจรจาก GUNKUL เพิ่มโอกาสการเข้าถึงพลังงานสะอาดสำหรับลูกค้าทุกครัวเรือนได้ง่ายๆ แล้ววันนี้ผ่านแอป SCB EASY พิเศษด้วยโปรแกรมการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต SCB และ CardX ดอกเบี้ย 0% 10 เดือน หวังเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านวิถีชีวิตคนไทยสู่ไลฟ์สไตล์ Net Zero โดยมี ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ นางสาวปิติพร พนาภัทร์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Digital Business ธนาคารไทยพาณิชย์ นางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจพลังงานและกลยุทธ์การลงทุน บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) และ นายโลแกน ยู กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพลังงานดิจิทัล บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมประกาศความร่วมมือ           ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารมีความมุ่งมั่นในการเป็น True partner ให้กับลูกค้าตลอดเส้นทางการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการสนับสนุนด้านการเงินยั่งยืน (Sustainable Finance) ที่ครบถ้วนให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมนำศักยภาพทางเทคโนโลยีของธนาคารเข้าขับเคลื่อนความยั่งยืนทุกมิติ นอกจากนี้ ธนาคารยังจะร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ สนับสนุนโครงการความยั่งยืนให้กับลูกค้าของเรา ทั้งนี้ เทรนด์การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดในชีวิตประจำวันกำลังเป็นที่ได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไป ธนาคารจึงต้องการสนับสนุนกลุ่มลูกค้ารายย่อยให้สามารถเข้าถึงทางเลือกการใช้งานพลังงานสะอาดได้อย่างสะดวกสบาย และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินชีวิตประจำวันเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนอีกด้วย จึงได้ร่วมมือกับ กันกุลโกดังไฟฟ้า และ หัวเว่ย เทคโนโลยี่ นำเสนอผลิตภัณฑ์ชุดโซลาร์เซลล์สำหรับที่อยู่อาศัย “โซลาร์รูฟท็อป” ผ่านแอป SCB EASY เพื่อเชิญชวนให้คนไทยร่วมกันขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ สอดคล้องกับเป้าหมายของธนาคารที่มุ่งเป็นธนาคารชั้นนำด้านความยั่งยืน และเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเป้าหมาย Net Zero 2050”           ธนาคารไทยพาณิชย์มุ่งมั่นที่จะนำศักยภาพทางด้านผู้นำดิจิทัลแบงก์สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกความต้องการ ตามกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ด้วยการใช้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นตัวกลางเชื่อมโยงลูกค้าไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ด้วยความแข็งแกร่งของแอป SCB EASY ที่ปัจจุบันครอบคลุมผู้ใช้งานกว่า 18 ล้านราย จึงเป็นช่องทางที่มีศักยภาพในการนำเสนอทางเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนให้กับประชาชนทั่วไป ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงเป็นการสะท้อนความมุ่งมั่นของธนาคารที่จะเป็นพันธมิตรยั่งยืนให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม กลุ่มประชาชนทั่วไปมากขึ้น ช่วยประหยัดค่าไฟ สามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเห็นผล             นางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจพลังงานและกลยุทธ์การลงทุน บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การผนึกกำลังร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ในครั้งนี้ ทาง GUNKUL เชื่อว่าจะสามารถสร้างการเติบโตให้กับตลาดพลังงานสะอาดเนื่องด้วยบทบาทของภาคธนาคารที่เชื่อมโยงกับประชาชนทั่วประเทศผ่านแอป SCB EASY ทางโกดังไฟฟ้าดอทคอมได้คัดสรรโซลูชั่นในการประหยัดค่าไฟพร้อมกับตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อมสำหรับกลุ่มลูกค้าครอบคลุมระดับบ้านเรือนไปจนถึงออฟฟิศขนาดเล็กหรือค่าไฟเริ่มต้นที่ 2,500 บาทต่อเดือน จนถึงค่าไฟที่ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ภายใต้แนวคิด ‘Add Energy to Cart’ ทาง GUNKUL ให้ความสำคัญเสมอมากับอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานและบริการที่มีคุณภาพ ซึ่งนำมาสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซโกดังไฟฟ้าดอทคอมที่มีจุดเด่นด้านตัวเลือกสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำในราคาจับต้องได้และประสบการณ์ช้อปปิ้งที่สะดวกสบายเพื่อเพิ่มทางเลือกแก่ผู้ใช้พลังงานในทุกบทบาท ซึ่งทางแพลตฟอร์มก็ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากหัวเว่ยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดด้านอุปกรณ์ระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ โดยทั้งหมดนี้นอกเหนือจากจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน โซลาร์รูฟท็อปยังสามารถเป็นโอกาสในอนาคตที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า อาทิ คาร์บอนเครดิต และยกระดับศักยภาพทางการแข่งขันให้กับประเทศต่อไป           นายโลแกน ยู กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพลังงานดิจิทัล บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการสร้างอนาคตพลังงานสะอาด เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนและคุณภาพชีวิตของคนไทยในทุกภาคส่วน เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสเข้าถึงพลังงานสะอาดที่ได้จากการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ในการร่วมมือครั้งนี้ เรามีเป้าหมายที่จะผลักดันการใช้งานระบบโซลาร์เซลล์ในประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้อย่างง่ายดาย ด้วยการใช้งานผ่านแอป SCB EASY จากทางธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมรับการดูแลจากบริษัทชั้นนำอย่าง กันกุล โกดังไฟฟ้าแพลตฟอร์ม ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของระบบพลังงานที่เราได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ระบบโซลาร์รูฟท็อปของหัวเว่ย นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การใช้งานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มีประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เจ้าของบ้านได้มากขึ้น พลังงานที่ได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสู่การประหยัดค่าไฟฟ้า ลดปัญหาค่าไฟแพงในปัจจุบัน คืนทุนเร็วในระยะ 5-7 ปี และหากไฟเหลือ สามารถทำกำไรจากการขายไฟฟ้าคืนอย่างน้อยอีก 20-25 ปี” ในแพ็คเกจ “โซลาร์รูฟท็อป” ที่นำเสนอบนแอป SCB EASY นั้น เป็นชุดอุปกรณ์เพื่อการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์คุณภาพสูงจาก Gunkul และหัวเว่ย ประกอบด้วย 1)   แผงโซลาร์เซลล์ (Solar panel) โกดังไฟฟ้าดอทคอมมุ่งเน้นในการส่งมอบแผงโซลาร์เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และมีความปลอดภัย อายุการใช้งานกว่า 25 ปี ทนทานแข็งแรงจากแบรนด์ชั้นนำ Tier 1 ที่ได้รับการยอมรับโดยผู้ติดตั้งและบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก โดยนำเสนอตัวเลือกกำลังผลิตที่หลากหลายตอบโจทย์หน้างานหลังคาทุกรูปแบบ นอกจากนั้นทางแพลตฟอร์มยังมีบริการขนส่งที่ช่วยดูแลให้สินค้าไปถึงมือผู้รับในคุณภาพที่ดีที่สุด 2)   อุปกรณ์แปลงไฟ (Huawei Solar Inverter) อุปกรณ์แปลงไฟในระบบโซลาร์เซลล์ของหัวเว่ย ได้รับการออกแบบให้มีความทนทานและประสิทธิภาพสูง ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย สามารถตรวจสอบการทำงานผ่านแอปพลิเคชัน ช่วยให้ผู้ใช้งานทราบสถานะการทำงานของระบบ รวมถึงดูข้อมูลการประหยัดพลังงานได้ทุกที่ทุกเวลา มีความปลอดภัยสูง มีกำลังไฟหลากหลายเหมาะสมตามความต้องการของแต่ละครัวเรือน 3)         แบตเตอรี่เก็บไฟฟ้า (Huawei Solar Battery) แบตเตอรี่ของหัวเว่ยยังมีระบบความปลอดภัยสูงถึง 5 ขั้น อาทิเช่น เซลล์แบตเตอรี่ชั้นนำ ระบบการป้องกันภายในตัวแบตเตอรี่ และ IP66 ที่กันน้ำกันฝน และสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า 15 ปี โดยมีระบบการบริหารจัดการอัจฉริยะที่สามารถนำพลังงานสะอาดไปใช้ในบ้านเรือนและชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย 4)   อุปกรณ์เพิ่มประสิทธิภาพ (Huawei Optimizer) ที่ช่วยออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงาน แม้ในสภาพที่มีเงาหรือฝุ่น นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยขั้นสูงและการติดตามการทำงานแบบเรียลไทม์ผ่านแอป ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา พร้อมยืดอายุการใช้งานของระบบ 5)   บริการติดตั้งและบริการหลังการขาย "โซลาร์รูปท็อป" ทุกชุดที่ซื้อผ่าน SCB EASY จะได้รับบริการโดย ทีมงานผู้เชี่ยวชาญ วิศวกร และ ช่างมากประสบการณ์ภายใต้การกำกับดูแลจาก Gunkul พร้อมการรับประกัน การติดตั้ง 1 ปี  ล้างแผง 1 ครั้ง  และรับประกันสินค้าสูงสุด 30 ปี และบริการหลังการขายและให้คำปรึกษาโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ 6)         ผ่อนสบาย 0% พิเศษด้วยโปรแกรมการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต SCB และ CardX ดอกเบี้ย 0% 10 เดือน*

เรื่องควรรู้! ก่อนออกรถยนต์มือสอง

เรื่องควรรู้! ก่อนออกรถยนต์มือสอง

          หุ้นวิชั่น - อยากมีรถ แต่งบไม่พอถอยป้ายแดง! รถยนต์มือสองก็ตอบโจทย์ได้ เพราะมีข้อดีอยู่หลายเรื่อง ทั้งราคาเข้าถึงได้ง่าย และมีตัวเลือกหลากหลายให้เลือกได้ตามช่วงราคาที่ผู้ซื้อต้องการ เพียงแต่การซื้อรถมือสองต้องศึกษารายละเอียดข้อมูลให้ถี่ถ้วนเพื่อให้ได้รถยนต์ที่มีคุณภาพในราคาที่คุ้มค่า วันนี้ fintips by ttb (Backlink: https://www.ttbbank.com/link/fintips-pr) จะมาแนะนำเรื่องการเตรียมเอกสารและค่าใช้จ่ายให้พร้อมก่อนการออกรถมือสอง          เอกสารที่ใช้ในการออกรถมือสองมีดังนี้ ·      สำเนาบัตรประชาชนของผู้ซื้อ ·      สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ ·      เอกสารยืนยันการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ ·      สำเนาทะเบียนรถยนต์เดิม ·      หนังสือสัญญาซื้อขาย             ขั้นตอนการซื้อรถมือสอง ·      ตรวจสอบทะเบียนรถก่อนซื้อ : เช็กประวัติรถ ภาระผูกพัน และความถูกต้องของเอกสาร เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต ·    ตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียด : นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ประเมินสภาพรถได้อย่างแม่นยำ และหลีกเลี่ยงการโดนหลอกขายรถมือสองที่อาจมีปัญหาแอบแฝง ·      ตกลงราคาและรูปแบบการชำระเงิน : เจรจาต่อรองราคาและเลือกวิธีการชำระเงินที่เหมาะสมกับเรา ·      ยื่นขอสินเชื่อ (กรณีผ่อนชำระ) : หากต้องการใช้บริการสินเชื่อ ให้เตรียมเอกสารให้พร้อม และยื่นขอกับสถาบันการเงินที่เลือก ·      ทำสัญญาซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์ : ตรวจสอบเงื่อนไขในสัญญาอย่างละเอียดก่อนลงนาม ·      ชำระเงินและรับรถ : เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ทำการชำระเงินตามที่ตกลงและรับมอบรถ           ค่าใช้จ่ายออกรถมือสองแบบเงินสด สำหรับคนที่มีเงินพร้อม และต้องการซื้อรถมือสองแบบเงินสด มาดูค่าใช้จ่ายการออกรถมือสองที่ต้องเตรียมกัน ·      ค่าโอนรถยนต์มือสอง (ค่าโอนกรรมสิทธิ์) ค่าโอนรถยนต์มือสองเป็นค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้กรมการขนส่งทางบกเพื่อโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ ซึ่งคิดตามอายุรถและขนาดเครื่องยนต์ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 2-4%ของราคาประเมินรถยนต์ ·      ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% โดยหากเราออกรถมือสองจากเต็นท์รถจะต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม7% ของราคารถ แต่หากซื้อจากบุคคลทั่วไป จะไม่ต้องเสียภาษีส่วนนี้ ·      ค่าภาษีรถยนต์, พ.ร.บ. รถยนต์ และประกันรถยนต์ ค่าใช้จ่ายในการต่อภาษีรถยนต์และพ.ร.บ. เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเสมอ เพื่อคุ้มครองความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เช่น -              ภาษีรถยนต์ประจำปี ขึ้นอยู่กับขนาดเครื่องยนต์และอายุรถ -              พ.ร.บ. รถยนต์ ประมาณ 600-1,000 บาทต่อปี -              ประกันภัยรถยนต์ ราคาแตกต่างกันตามประเภทและความคุ้มครอง             ค่าใช้จ่ายออกรถมือสองผ่านไฟแนนซ์ หรือขอสินเชื่อ สำหรับคนที่เลือกออกรถมือสองผ่านไฟแนนซ์ จะมีค่าใช้จ่ายในการโอนรถยนต์มือสองเพิ่มเติมดังนี้ ·    ค่าจองรถ (ในระหว่างที่ตรวจสอบเครดิต) การออกรถมือสองจะมีค่าจองรถ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายแรกที่ต้องชำระเมื่อเราตกลงใจซื้อรถยนต์ เพื่อให้เต็นท์รถหรือผู้ขายรักษารถไว้ให้เราในระหว่างที่ทำการตรวจสอบเครดิต โดยมักเป็นจำนวนเงินที่ไม่มาก ประมาณ 5,000-10,000 บาท ·      เงินดาวน์รถ ดาวน์รถยนต์มือสองโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 10-25% ของราคารถ ซึ่งข้อดีการวางเงินดาวน์ออกรถสูง คือ ยิ่งดาวน์มาก ยอดจัดไฟแนนซ์ก็จะน้อยลง ส่งผลให้ค่างวดต่ำลงด้วย ทำให้มีภาระทางการเงินน้อยลงในระยะยาว ·      ค่าดำเนินการของไฟแนนซ์ ค่าใช้จ่ายในการโอนรถยนต์มือสอง จะมีค่าธรรมเนียมที่อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละสถาบันการเงิน โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 1-2% ของวงเงินสินเชื่อ ซึ่งค่าดำเนินการนี้จะครอบคลุมถึงค่าตรวจสอบประวัติเครดิต, ค่าประเมินราคารถยนต์, ค่าดำเนินการเอกสารสัญญา และ ค่าบริการจัดทำประกันภัยรถยนต์ (ถ้ามี) บางสถาบันการเงินอาจเรียกเก็บแบบเหมาจ่าย หรือคิดตามอัตราที่กำหนด ดังนั้น ควรสอบถามรายละเอียดค่าธรรมเนียมก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อ เพื่อเปรียบเทียบและวางแผนค่าใช้จ่ายได้อย่างเหมาะสม ·      ค่าภาษีรถยนต์, พ.ร.บ. รถยนต์ และประกันรถยนต์ เจ้าของรถจะต้องเสียภาษีรถยนต์ รวมถึงต่อทั้งพรบ. หรือประกันภัยรถยนต์ เป็นประจำทุกปี ค่าประกันรถยนต์เป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายในการโอนรถยนต์มือสองที่ไม่ควรมองข้าม เพราะประกันรถยนต์จะคุ้มครองเราจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น เช่น อุบัติเหตุ การโจรกรรม หรือความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่อาจต้องแบกรับในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น สำหรับการออกรถมือสอง การเลือกประกันรถยนต์ที่เหมาะสมจะต้องคำนึงถึงอายุของรถ สภาพการใช้งาน และความคุ้มครองที่ต้องการ โดยปกติแล้วประกันรถยนต์ชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อรถยนต์ของเราหรือรถของคู่กรณี รวมถึงการคุ้มครองการสูญหายและไฟไหม้ หากรถมือสองของเรามีอายุการใช้งานที่มากขึ้น ประกันชั้น 2 หรือชั้น 3 อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับงบประมาณมากกว่า ·      ค่าดอกเบี้ยจากสินเชื่อและภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสถาบันการเงิน และปัจจัยอื่น ๆ เช่น อายุรถ ระยะเวลาผ่อน และประวัติเครดิตของผู้กู้ โดยทั่วไป เช่น -                       อัตราดอกเบี้ยสำหรับรถยนต์มือสองมักสูงกว่ารถใหม่เล็กน้อย -                       ระยะเวลาผ่อนที่นานขึ้นอาจส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น -                       ประวัติเครดิตที่ดีอาจช่วยให้ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า ปัจจุบันรถมือสองส่วนใหญ่ยังอยู่ในสภาพดี หากรู้แหล่งหรือวิธีเช็กสภาพรถก็สามารถจะได้รถมือสองที่สภาพเหมือนใหม่ หรือมีการใช้งานเพียงเล็กน้อยมาใช้งานต่อได้ด้วย ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจซื้อรถมือสองก็คือ การศึกษาข้อมูล เลือกแหล่งซื้อรถมือสองที่ได้มาตรฐาน และตรวจสภาพรถก่อนตัดสินใจซื้ออย่างละเอียด หากใครที่กำลังมองหาสินเชื่อเพื่อซื้อรถมือสอง สินเชื่อรถยนต์ ttb DRIVE มีบริการสินเชื่อรถยนต์ใช้แล้ว ที่มีบริการจัดไฟแนนซ์ให้ถึงที่ รู้ผลอนุมัติเบื้องต้นไวภายใน 30 นาที พร้อมวงเงินที่ครอบคลุมราคารถยนต์ใช้แล้วที่ต้องการสูงสุด 100% จากราคาประเมินของธนาคาร นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกระยะเวลาการผ่อนชำระได้สูงสุดถึง 84 เดือน ผ่อนได้สบายตามใจต้องการ

5 ข้อ ของผู้นำ AI  สู่องกร Digital Transformation

5 ข้อ ของผู้นำ AI สู่องกร Digital Transformation

          หุ้นวิชั่น - บริษัท อินไซท์เอรา จำกัด ผู้เชี่ยวชาญและผู้ให้บริการด้าน Marketing Technology & Services ที่ครบวงจรแบบ End-to-End ตอบโจทย์การวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดครบทุกมิติ ได้ร่วมแชร์ข้อมูลที่น่าสนใจในหัวข้อ “การใช้ AI และ Application อัจฉริยะเพื่อการเปลี่ยนแปลงดิจิทัล (Digital Transformation)” ในงาน DigiTech ASEAN Thailand & AI Connect 2024           นางสาวนารีรัตน์ แซ่เตียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท อินไซท์เอรา จำกัด ได้เผยว่า “ทุกวันนี้ธุรกิจองค์กรทุกขนาดกำลังเผชิญกับการปรับตัวสู่การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน  AI และ Application อัจฉริยะ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ให้แก่ผู้ใช้งานและการทำงานภายในองค์กร โดยเฉพาะ Generative AI ที่สามารถพัฒนาความสามารถในการสร้างสรรค์และปรับเปลี่ยนเนื้อหาดิจิทัลที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น รวดเร็ว และแม่นยำ อีกทั้งยังช่วยสร้างทางเลือกในการออกแบบ ปรับแต่ง และพัฒนาผลงานตามข้อกำหนดของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ผู้นำทุกธุรกิจองค์กรจึงควรเตรียมองค์กรให้พร้อมสำหรับการใช้เทคโนโลยี AI และ Application อัจฉริยะเพื่อรองรับการใช้งานเทคโนโลยี AI สำหรับธุรกิจองค์กรในอนาคต โดยควรมุ่งเน้นไปที่ 3 เรื่องหลัก ดังนี้ 1. การตั้งเป้าหมายเชิงกลยุทธ์และระบุกรณีการใช้งาน AI ที่ชัดเจน เพื่อสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจได้อย่างแท้จริง 2. การจัดสรรทรัพยากรและโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับการรองรับ AI ทั้งในด้านบุคลากร เทคโนโลยี และข้อมูล 3. การติดตามและวัดผลลัพธ์ของการใช้งาน AI อย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์และกระบวนการที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสม” โดยควรเลือกใช้ Generative AI ที่เหมาะสมกับธุรกิจองค์กรนั้นๆ เพื่อให้ AI สามารถตอบสนองเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า โดยสามารถเลือกใช้ AI ให้เหมาะกับแต่ละธุรกิจองค์กรได้ เช่น ·       การใช้แอปพลิเคชันที่มี AI ฝังในตัว (Consume) ·       การนำ API ของ AI มาฝังในแอปพลิเคชันที่ใช้อยู่ (Embed) ·       การปรับแต่งโมเดล AI โดยใช้ข้อมูลเฉพาะขององค์กร (Extend) ·       การพัฒนาโมเดล AI เฉพาะที่ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรเอง (Build) ซึ่งหากจะนำ AI และ Application อัจฉริยะมาใช้เพื่อการตลาด เครื่องมือเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์มากมายในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการตลาดได้เป็นอย่างดี ด้วยมิติความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และการเลือกสร้างแคมเปญที่ตรงโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ทั้งการปรับแต่งการโฆษณา (Ad Optimization) การสร้างเนื้อหา (Content Creation) การทดสอบแคมเปญแบบ A/B ในวงกว้าง การวิเคราะห์อารมณ์และความรู้สึกของลูกค้า (Sentiment Analysis) รวมถึงการใช้ Chatbot อัจฉริยะเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างทันท่วงที ซึ่งการผสานเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ากับแคมเปญการตลาดจะช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ           อีกทั้งการที่ผู้นำธุรกิจองค์กรจะเปลี่ยนแปลงองค์กรด้วย AI ให้ประสบความสำเร็จ จะต้องอาศัย 5 องค์ประกอบ สำคัญ ดังนี้ 1. ต้องกำหนดวัตถุประสงค์และกรณีการใช้งาน AI ให้ชัดเจน 2. ต้องมีข้อมูลและระบบข้อมูลที่สามารถรองรับและประมวลผล AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. เลือกใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือที่สอดคล้องกับการใช้งาน AI 4. บูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการทำงานขององค์กรเพื่อสร้างความต่อเนื่อง 5. บุคลากรในองค์กรต้องมีวัฒนธรรมที่พร้อมยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงและเปิดโอกาสการเรียนรู้และพัฒนา” “หากธุรกิจองค์กรใดสามารถนำทั้ง 5 องค์ประกอบนี้มาใช้อย่างครบถ้วน ธุรกิจองค์กรนั้นก็จะสามารถบรรลุความสำเร็จในการนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างยั่งยืน เพราะนับจากนี้ศักยภาพในการดำเนินงานของธุรกิจองค์กรจะสามารถวัดให้เห็นได้ ตั้งแต่การดำเนินงานตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างประสิทธิภาพ มีความยืดหยุ่น ถูกต้อง และรวดเร็วกว่าคู่แข่ง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างแต้มต่อและสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจองค์กรได้อย่างยั่งยืน” คุณนารีรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย

เมืองไทยประกันชีวิต ถวายผ้ากฐิน ประจำปี 2567

เมืองไทยประกันชีวิต ถวายผ้ากฐิน ประจำปี 2567

หุ้นวิชั่น - เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมสืบสานวัฒนธรรมและศาสนา  ถวายผ้ากฐินประจำปี 2567 เพื่อแสดงออกถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนา  และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการรักษาประเพณีไทยที่งดงามให้คงอยู่ ณ วัดหนองแก ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์  โดยปัจจัยที่ได้จากการถวายผ้ากฐินจะนำไปใช้ในการบูรณะศาสนสถานและพัฒนาพื้นที่ภายในวัด เพื่อให้เป็นศูนย์กลางจิตใจของชุมชน           บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดย นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ ประธานกรรมการ และ นางยุพา ล่ำซำ  ร่วมเป็นประธานฝ่ายฆราวาส  นายสาระ  ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร       นางสลิล ล่ำซำ  นายกนิช  บุณยัษฐิติ กรรมการบริษัท  นายภูมิชาย ล่ำซำ ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดร.สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยนายสมคิด  จันทมฤก ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  นายนพพร วุฒิกุล นายกเทศมนตรี  พ.ต.อ. กัมปนาท ณ วิชัย  ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหัวหิน  ตลอดจนคณะผู้บริหารและพนักงาน บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  บริษัทคู่ค้า ลูกค้า  และผู้มีจิตศรัทธา ร่วมน้อมถวายผ้ากฐิน ประจำปี 2567  แด่พระสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดหนองแก  อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทั้งนี้ประเพณีถวายผ้ากฐินเป็นประเพณีสำคัญในพระพุทธศาสนาที่สืบทอดมายาวนาน โดยจะจัดขึ้นในช่วงเวลา 1 เดือนหลังออกพรรษา (ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12) ประเพณีนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อถวายผ้ากฐินให้แก่พระสงฆ์ที่จำพรรษาในวัดครบ 3 เดือน ตามพระวินัยปิฎก การถวายผ้ากฐินถือเป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากผู้ถวายจะได้รับผลบุญจากการสนับสนุนศาสนกิจของพระสงฆ์และการบำรุงศาสนสถาน การจัดพิธีถวายผ้ากฐินในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ยังเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมไทยและศาสนาพุทธที่เป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทย การจัดพิธีนี้จะช่วยส่งเสริมความสมัครสมานสามัคคีในองค์กรและชุมชน พร้อมทั้งสนับสนุนให้วัดยังคงเป็นพื้นที่แห่งความสงบสุขและการเรียนรู้ธรรมะสำหรับทุกคน  นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นให้พนักงานและผู้เข้าร่วมพิธีได้ตระหนักถึงคุณค่าของการสืบทอดพระพุทธศาสนา และการทำบุญร่วมกันเป็นโอกาสในการฝึกจิตใจให้มีเมตตาและเสียสละ ซึ่งเป็นหลักสำคัญที่ช่วยสร้างสังคมที่มีคุณธรรมและความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน “วัดหนองแก” ตั้งอยู่ใน ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย บนที่ดินเนื้อที่ 40 ไร่ ก่อสร้างเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2460 มี พระครูประสิทธิวรการ หรือ "หลวงปู่คำ สุวรรณโชโต” อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ยอดพระสงฆ์ 5 แผ่นดิน เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ตั้งแต่ พ.ศ. 2463 - 2540 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2544 มี พระครูสถิตญาณโสภณ เป็นเจ้าอาวาสจนถึงปัจจุบัน  เป็นวัดที่มีความสำคัญทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของชุมชนในพื้นที่ รวมถึงเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชนใน อำเภอหัวหิน    โดยมีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม อาทิ การทำบุญประจำปี งานเทศกาล และพิธีกรรมทางศาสนา  ตลอดจนมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะวัดหนองแกเป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 100 ปี และมีความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของอำเภอหัวหิน  มีสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงศิลปะไทยดั้งเดิม รวมถึงอุโบสถและพระพุทธรูปที่มีความงดงาม เช่น พระพุทธรูปปางมารวิชัยซึ่งเป็นพระประธานในอุโบสถ นอกจากนี้ ภาพจิตรกรรมฝาผนังยังเล่าเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทยที่สวยงาม ในโอกาสนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ได้มอบทุนการศึกษา ให้แก่ โรงเรียนวัดหนองแก จำนวน 100,000 บาท  โดยมี  นางรุจิรา คำตลบ  ผู้อำนวยการสถานศึกษา  โรงเรียนเทศบาลวัดหนองแก (หลวงปู่คำอุปถัมภ์) เป็นผู้แทนรับมอบ  ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายของบริษัทฯ  ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสังคมในทุกด้าน ให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ทีทีบี แก้โลกร้อนเวที COP29 มุ่งส่งเสริมธุรกิจคาร์บอนต่ำ

ทีทีบี แก้โลกร้อนเวที COP29 มุ่งส่งเสริมธุรกิจคาร์บอนต่ำ

          หุ้นวิชั่น –  ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เป็นหนึ่งในภาคเอกชนไทยที่เข้าร่วมในงานประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 (COP29) โดยมีนายกมลพันธ์ ลักษณา หัวหน้าการพัฒนาที่ยั่งยืน ร่วมเป็นวิทยากรงานเสวนาในกิจกรรมคู่ขนาน (Side Event) การประชุมรัฐภาคีฯ หัวข้อ “Financing the Transition" นำเสนอในเรื่อง "Empowering SMEs and Sustainable Development through Green and Blue Financing" ซึ่งทีทีบีให้ความสำคัญและดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าตามเป้าหมาย Net-zero Commitment ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อร่วมขับเคลื่อนแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ           นายกมลพันธ์ ลักษณา หัวหน้าการพัฒนาที่ยั่งยืน ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในความท้าทายเร่งด่วนที่สุดของโลกในปัจจุบัน ซึ่งทีทีบีตระหนักถึงบทบาทสำคัญและความรับผิดชอบ พร้อมนำความสามารถมาสร้างโซลูชันทางการเงินที่จะช่วยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน เพราะบทบาทของธนาคารไม่ใช่การนำพาองค์กรไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยทีทีบีมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ขับเคลื่อนในการดำเนินงานเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Economy) ผ่านการให้สินเชื่อ ให้คำปรึกษาลูกค้า และสนับสนุนบนเส้นทางการเปลี่ยนผ่าน ทีทีบีมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามกรอบ B+ESG ทุกกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจต้องอยู่บนพื้นฐานของการสร้างการเติบโตและยั่งยืน เพราะธุรกิจ (Business) หรือ B ต้องเติบโตอย่างแข็งแรง ทีทีบีจึงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนทางการเงินที่ยั่งยืนเพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยนำกฎเกณฑ์ด้าน ESG มาใช้ประกอบการพิจารณาสินเชื่อและการลงทุน พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มุ่งเน้นส่งเสริมด้าน ESG ให้กับลูกค้าธุรกิจและลูกค้าบุคคล เช่น สินเชื่อสีเขียว สินเชื่อสีฟ้า สินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน การเงินเพื่อการปรับตัวสู่ความยั่งยืน ตราสารหนี้สีเขียว ตราสารหนี้สีฟ้า กองทุุนเพื่อการลงทุุนด้าน ESG และยังมีบริการให้ความช่วยเหลือและคำปรึกษาด้าน ESG ตลอดจนสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นให้ความรู้และสร้างความตระหนักรู้ พร้อมมีเป้าหมายช่วยเหลือลูกค้าให้มีความเข้าใจและสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้าน ESG เพื่อให้ลูกค้ามีความรับผิดชอบและเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืน ภายในงาน นายกมลพันธ์ ได้กล่าวถึงการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านว่า “ธนาคารได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบจากกฎกติกาต่าง ๆ ที่จะบังคับใช้ในอนาคต เช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM-Carbon Border Adjustment Mechanism) ประกอบกับการวิเคราะห์พอร์ทสินเชื่อของลูกค้าตามความเสี่ยงของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ เพื่อวางแผน จัดกิจกรรมการมีส่วนร่วม และสร้างเกราะป้องกันให้กับลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้น โดยทีทีบีจะจัดหาพันธมิตรด้านโซลูชันทางเทคนิคสำหรับการลดใช้พลังงาน การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เป็นต้น และในปี 2567 ธนาคารได้ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงิน Green Transformation เพื่อช่วยสนับสนุนทางการเงินและส่งเสริมการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน           “จากการรวมปัจจัยด้าน ESG เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการให้คำปรึกษาและการอนุมัติสินเชื่อตลอดปีที่ผ่านมา ทำให้ธนาคารเห็นถึงความสนใจในสินเชื่อ ESG ที่เพิ่มมากขึ้นของลูกค้า โดยตลอดเส้นทางการดำเนินธุรกิจของทีทีบีได้สร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นและแก้ปัญหาให้ผู้คนอย่างแท้จริง ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมผ่านโซลูชันทางการเงินที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันในการเปลี่ยนแปลงสังคมสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ตอกย้ำความสำเร็จจากรางวัลด้านความยั่งยืนที่ธนาคารได้รับมาต่อเนื่อง สะท้อนชัดถึงการลงมือทำอย่างแท้จริงของธนาคารในการขับเคลื่อนสู่การธนาคารเพื่อความยั่งยืน” นายกมลพันธ์ กล่าวสรุป

KKP รวมพลัง ฟื้นชายหาดบางแสน ดูแลสิ่งแวดล้อมหลังวันลอยกระทง

KKP รวมพลัง ฟื้นชายหาดบางแสน ดูแลสิ่งแวดล้อมหลังวันลอยกระทง

                      หุ้นวิชั่น – ชายหาดบางแสน จังหวัดชลบุรี สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญอย่าง วันลอยกระทง ต้องเผชิญกับปัญหาขยะสะสมจำนวนมากจากกระทงและสิ่งของต่างๆ ที่ถูกทิ้งลงในทะเลและชายหาด แม้จะมีการรณรงค์ให้เลือกใช้วัสดุกระทงที่เหมาะสมกับแหล่งน้ำเพื่อไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงมีขยะบางส่วนที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ เพื่อร่วมฟื้นฟูสภาพแวดล้อมหลังคืนวันลอยกระทงบริเวณชายหาดบางแสน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) พร้อมด้วยมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) และเทศบาลเมืองแสนสุข ได้จัดกิจกรรม “KKP VolunTeam: อาสาสมัครเก็บขยะริมชายหาด จัดการปลายทางขยะอย่างถูกต้อง” เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 โดยมีพนักงานจิตอาสาของ KKP เข้าร่วมจำนวนกว่า 100 คน           นางสาวพัทนัย เหลืองตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสำนักสื่อสารองค์กรและการตลาด กล่าวว่า “KKP มีธุรกิจหลักเป็นสถาบันการเงิน แต่ก็ให้ความสำคัญกับปัญหาขยะและสิ่งแวดล้อม เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นรากฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งส่งผลต่อทั้งเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน กิจกรรมนี้ไม่ใช่เพียงการเก็บขยะ แต่สร้างประโยชน์ในหลายด้าน ตั้งแต่การช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ โดยการป้องกันสัตว์ทะเลจากการกินหรือสัมผัสกับขยะที่อาจเป็นอันตราย การปรับปรุงทัศนียภาพของชายหาดบางแสนเพื่อให้คงความสวยงามและดึงดูดนักท่องเที่ยว การสร้างความตระหนักรู้ในหมู่พนักงานและผู้เข้าร่วมในการจัดการขยะอย่างถูกวิธี เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ด้านพนักงานจิตอาสาของ KKP นายวีรพัทธ์ ตาใจ กล่าวถึงสิ่งที่ได้จากกิจกรรมนี้ว่า “เมื่อได้ลงมือเก็บขยะ เราได้เห็นถึงผลกระทบของขยะที่ไม่ถูกจัดการอย่างถูกต้องต่อธรรมชาติ ทำให้รู้สึกอยากช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และอยากส่งต่อแนวคิดนี้ไปยังคนรอบตัวให้มากขึ้น” พบว่าสำหรับขยะกระทงในปัจจุบันมักใช้วัสดุสังเคราะห์ เช่น โฟมและพลาสติก ซึ่งย่อยสลายได้ยาก รวมถึงใช้เศษตะปูและวัสดุอันตรายในการยึดหรือตกแต่ง ซึ่งเป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยวและสัตว์ทะเล ขยะเหล่านี้จึงไม่เพียงทำลายความสวยงามของชายหาด แต่ยังส่งผลเสียต่อระบบนิเวศทางทะเลโดยตรง เช่น สัตว์ทะเลกินขยะ เศษพลาสติก หรือสีที่ใช้ในกระทงบางประเภทอาจปล่อยสารเคมีปนเปื้อนน้ำทะเล ยิ่งไปกว่านั้น การจัดการขยะอย่างไม่ถูกวิธี ยังทำลายทรัพยากรธรรมชาติ จนประเทศไทยติดอันดับต้นๆ ของโลกในแง่ของการปล่อยขยะพลาสติกลงทะเล ซึ่งเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ต้องการการแก้ไขอย่างจริงจัง กิจกรรมเก็บขยะครั้งนี้จึงมุ่งเน้นการจัดการขยะอย่างถูกวิธีและครบวงจร ผ่านกระบวนการ “คัดแยก ส่งคืน ใช้ประโยชน์สูงสุด เพื่อลดขยะหลุมฝังกลบ” โดยคัดแยกประเภทการเก็บขยะอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้น เพื่อให้สามารถจัดการได้อย่างถูกวิธีและเกิดประโยชน์สูงสุด ดังนี้ 1.          กลุ่มขวดพลาสติกใส ขวดแก้ว กระป๋อง และเศษเชือก แห-อวน นำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล และ ฝาขวดพลาสติก ยางวง นำไป Upcycle ผ่านกลุ่มบางแสนคอลเลคชั่น 2.          กลุ่มถุงพลาสติก ถุงหูหิ้ว ถุงขนม สายเดี่ยวแก้วน้ำ กล่อง-แก้วพลาสติก โฟม หลอด ช้อน/ส้อมพลาสติก รองเท้า ฟองน้ำ เศษยาง ส่งให้เทศบาล ส่งต่อไปเป็นขยะเชื้อเพลิง 3.          เศษอาหาร เทศบาลส่งให้กลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ ส่วนขยะอินทรีย์อื่น ๆ เช่น ลูกมะพร้าว เศษไม้ ตะเกียบไม้ ใบไม้ ใบตอง รวมทั้งกล่อง-ถ้วย-จานชานอ้อย เทศบาลนำไปทำปุ๋ย แจกจ่ายให้ชุมชนได้ใช้ประโยชน์ 4.          กลุ่มไฟแช็ค เศษพลุ ก้นบุหรี่ ขยะที่มีสารเคมี รวบรวมส่งให้เทศบาล ส่งต่อกำจัดอย่างถูกวิธี ขยะที่เก็บได้จากกิจกรรมนี้มีน้ำหนักรวม 430 กิโลกรัม แบ่งเป็นขยะกระทง 345 กิโลกรัม วัสดุรีไซเคิล 75 กิโลกรัม และขยะที่จะต้องกำจัด 10 กิโลกรัม ซึ่งการคัดแยกและกำจัดขยะเหล่านี้อย่างถูกวิธี จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 87 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า กิจกรรม KKP VolunTeam: อาสาสมัครเก็บขยะริมชายหาด จัดการปลายทางขยะอย่างถูกต้อง เป็นอีกสิ่งที่สะท้อนถึงความร่วมกันระหว่างองค์กรเอกชน หน่วยงานท้องถิ่น และชุมชนที่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระยะยาว โดยไม่เพียงช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมชายหาด แต่ยังส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมตระหนักถึงปัญหาขยะ อีกทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในพื้นที่ร่วมกันปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อส่งต่อสิ่งแวดล้อมที่ดี น้ำสะอาด และอากาศบริสุทธิ์ให้กับคนรุ่นหลัง

รฟม.-BEM ขยายเวลาเปิดให้บริการตั้งแต่ตี 4 วันอาทิตย์ 1 ธ.ค.67 อำนวยความสะดวกงาน

รฟม.-BEM ขยายเวลาเปิดให้บริการตั้งแต่ตี 4 วันอาทิตย์ 1 ธ.ค.67 อำนวยความสะดวกงาน "วิ่งผ่าเมือง ครั้งที่ 7"

          การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ร่วมกับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ให้บริการทางพิเศษและรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วง ร่วมสนับสนุนการแข่งขันวิ่งมาราธอนส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับโลก "วิ่งผ่าเมือง ครั้งที่ 7"  Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024 โดยจะขยายเวลาการเปิดให้บริการ MRT สายสีน้ำเงิน ในวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 04.00 น.  นอกจากนี้ทาง รฟม. ยังได้ขยายเวลาการเปิดให้บริการอาคารจอดรถและลานจอดแล้วจร ตั้งแต่เวลา 03.00 น. ได้แก่ อาคารจอดรถที่สถานีลาดพร้าว และลานจอดแล้วจรที่สถานีรัชดาภิเษก สถานีห้วยขวาง สถานีพระราม 9 สถานีเพชรบุรี สถานีสุขุมวิท และสถานีสามย่าน

นิด้าโพลชี้! ประชาชนไม่ไว้วางใจรัฐบาลปกป้องผลประโยชน์ชาติ เจรจา MOU 44-เกาะกูด

นิด้าโพลชี้! ประชาชนไม่ไว้วางใจรัฐบาลปกป้องผลประโยชน์ชาติ เจรจา MOU 44-เกาะกูด

          ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สำรวจความคิดเห็น เรื่อง “มีใครเข้าใจประเด็นโต้แย้งเรื่อง MOU 44 และเกาะกูด บ้าง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 12-13 พฤศจิกายน 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความเข้าใจของประชาชนในประเด็นการโต้แย้ง MOU 44 และสถานการณ์ของเกาะกูด การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0           จากการสำรวจเมื่อถามความเข้าใจของประชาชนในประเด็นการโต้แย้งเกี่ยวกับ MOU 44 และสถานการณ์ ของเกาะกูด พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 58.86 ระบุว่า ไม่เข้าใจเลย รองลงมา ร้อยละ 19.31 ระบุว่า ไม่ค่อยเข้าใจ ร้อยละ 15.65 ระบุว่า ค่อนข้างเข้าใจ และร้อยละ 6.18 ระบุว่า เข้าใจมาก           เมื่อสอบถามผู้ที่ระบุว่ามีความเข้าใจมากและค่อนข้างเข้าใจในประเด็นการโต้แย้งเกี่ยวกับ MOU 44 และสถานการณ์ของเกาะกูด (จำนวน 288 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความไว้วางใจต่อรัฐบาลว่าจะสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติได้หากมีการเจรจา MOU 44 กับรัฐบาลกัมพูชา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 33.68 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย รองลงมา ร้อยละ 29.17 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 24.65 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ และร้อยละ 12.50 ระบุว่า ไว้วางใจมาก           สำหรับความต้องการที่จะเข้าใจข้อโต้แย้ง MOU 44 และสถานการณ์ของเกาะกูดให้ชัดเจนมากขึ้น พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.22 ระบุว่า ไม่ต้องการเลย รองลงมา ร้อยละ 26.72 ระบุว่า ต้องการมาก ร้อยละ 16.64 ระบุว่า ค่อนข้างต้องการ และร้อยละ 15.42 ระบุว่า ไม่ค่อยต้องการ           ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการมีแนวคิดความเป็น “ชาตินิยม” ของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.15 ระบุว่า มีความเป็น “ชาตินิยม” มาก รองลงมา ร้อยละ 28.24 ระบุว่า ความเป็น “ชาตินิยม” ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ร้อยละ 15.04 ระบุว่า ค่อนข้างมีความเป็น “ชาตินิยม” ร้อยละ 7.33 ระบุว่า ไม่มีความเป็น “ชาตินิยม” เลย ร้อยละ 6.26 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความเป็น “ชาตินิยม” และร้อยละ 2.98 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ไอคอนสยาม จับมือ ลิซ่า - ศิลปินนานาชาติ ใน “Amazing Thailand Countdown 2025” ชูไทยท็อป 5 งานเคานต์ดาวน์

ไอคอนสยาม จับมือ ลิซ่า - ศิลปินนานาชาติ ใน “Amazing Thailand Countdown 2025” ชูไทยท็อป 5 งานเคานต์ดาวน์

          กรุงเทพฯ (14 พฤศจิกายน 2567) ; ไอคอนสยาม แลนด์มาร์กระดับโลกริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภายใต้การร่วมทุนของกลุ่มสยามพิวรรธน์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) และ แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ (MQDC) ตอกย้ำศักยภาพการเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกที่เชิดชูความเป็นไทยสู่สากล พร้อมส่งประเทศไทยยืนหนึ่ง เป็น Global Countdown Destination ที่อยู่ในใจผู้คนทั่วโลก สร้างมหาปรากฏการณ์เฉลิมฉลองศักราชใหม่ “Amazing Thailand Countdown 2025” เพื่อฉลองความยิ่งใหญ่เมื่อสิ่งที่ดีที่สุดของไทยบรรจบกับสิ่งที่ดีที่สุดของโลก ด้วยการแสดงพลุสุดวิจิตรงดงามอลังการยาวที่สุดในประเทศไทย และโชว์เดี่ยวสุดเอ็กซ์คลูซีฟครั้งแรกในประเทศไทยของ “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” ศิลปินระดับโลกสัญชาติไทยผู้เป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทยและเป็นแรงบันดาลใจของผู้คนทั่วโลก พร้อมกองทัพศิลปินไอคอนคนดังจากนานาชาติ คาดกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ มียอดผู้ร่วมงานและชมการถ่ายทอดสดรวมออนไลน์มากกว่า 30 ล้านคนทั่วโลก และมั่นใจว่างานเคานต์ดาวน์ประเทศไทยในครั้งนี้จะติดอันดับ Top 5 ของโลก ตลอดการจัดงาน 3 วัน 3 คืน ระหว่างวันที่ 29-31 ธันวาคม 2567 ณ ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม ซึ่งในขณะนี้ ได้รับการติดต่อจากสำนักข่าวและ KOL ชื่อดังจากหลายประเทศเพื่อทำข่าวมหาปรากฎการณ์ในครั้งนี้สู่สายตาชาวโลกอย่างเต็มที่           นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ เปิดเผยว่า ไอคอนสยามได้ถูกรังสรรค์ขึ้นจากปณิธานที่จะเชิดชูเรื่องราวอันมีคุณค่าและเป็นความภาคภูมิใจจากทุกมิติของความเป็นไทยที่มีอยู่ในชาติ นำเสนอในรูปแบบของความวิจิตรล้ำสมัย หลอมรวมเป็นที่สุดของเอกลักษณ์และวิถีไทยอันสง่างาม เป็นเมืองแห่งความรุ่งโรจน์ที่รวบรวมสิ่งที่ดีที่สุดของไทยกับสิ่งที่ดีที่สุดจากทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน ให้เป็นจุดหมายปลายทางอันยิ่งใหญ่ที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก เสริมสร้างให้คนไทยภาคภูมิใจในความเป็นไทย และช่วยกันสืบทอดความงดงามของความเป็นไทยสู่ชนรุ่นหลัง อีกทั้งให้คนทั่วโลกที่มาเยี่ยมชมรู้สึกหลงรักและประทับใจประเทศไทยมากยิ่งขึ้น  ดังนั้นการจัดงาน “Amazing Thailand Countdown 2025” ครั้งนี้ จึงเป็นการตอกย้ำปณิธานไอคอนสยามที่มีมาแต่แรกเริ่มอย่างแท้จริง           นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด เปิดเผยว่า การจัดงานเฉลิมฉลองศักราชใหม่ในปีนี้ ไอคอนสยาม ผนึกกำลังองค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, กรุงเทพมหานคร, สภาหอการค้าไทย, บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด, บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด, บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด, บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด, สมาคมการค้าธุรกิจในแม่น้ำเจ้าพระยา สมาคมเรือไทย พันธมิตรภาคเอกชน ธุรกิจโรงแรมและชุมชนโดยรอบแม่น้ำเจ้าพระยา ร่วมกันจัดงานมหาปรากฏการณ์ “Amazing Thailand Countdown 2025”  สุดยิ่งใหญ่ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นที่กล่าวขวัญถึงทั่วโลก การจัดงานเคานต์ดาวน์ครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากศิลปินไอคอนิคระดับโลก “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” ที่สุดของความภูมิใจของคนไทย มาร่วมสร้างมหาปรากฏการณ์ สะกดใจชาวโลกกับการแสดงโชว์สุดอลังการริมโค้งน้ำเจ้าพระยาที่งดงาม สะท้อนเอกลักษณ์และความสามารถของประเทศไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก สร้างชื่อเสียงที่ดีสู่เวทีระดับสากล           “ไอคอนสยามพร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว จึงจัดงาน ‘Amazing Thailand Countdown 2025’ สุดยิ่งใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยการสร้างมหาปรากฏการณ์การแสดงพลุรักษ์โลกสุดตระการตาริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ยาวที่สุดในประเทศไทยกว่า 1,400 เมตร พร้อมตื่นตาตื่นใจไปกับการแสดงของกองทัพศิลปินไอคอนคนดังนานาชาติ คาดว่า จะมีผู้ชมการแสดงและผู้ชมถ่ายทอดสดงานผ่านช่องทางต่าง ๆ มากกว่า 30 ล้านคนจากทั่วประเทศและทั่วโลก โดยเฉพาะปีนี้ที่มีความพิเศษสุด เราได้รับการติดต่อจากสื่อต่างประเทศและ KOL จำนวนมากที่สนใจร่วมถ่ายทอดสดและรายงานข่าวในปีนี้ ทำให้มั่นใจว่า งานเคานต์ดาวน์ของประเทศไทยครั้งนี้จะเป็น 1 ใน 5 ของสถานที่เคานต์ดาวน์ที่ดีที่สุดของโลก”           “ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมส่งกำลังใจในงาน “มหาปรากฏการณ์เคานต์ดาวน์สะกดโลก ฉลองความยิ่งใหญ่ที่สุดของไทยและที่สุดของโลก” เพื่อทำให้งาน Amazing Thailand Countdown 2025 เป็นงานฉลองส่งท้ายปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประเทศไทย และทำให้ประเทศไทยเป็นที่หนึ่งในใจของผู้คนทั่วโลก” นายสุพจน์กล่าวในที่สุด           นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ขับเคลื่อนการทำงานร่วมกับ กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร หน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Word Class Event Hub ด้วยการยกระดับเทศกาลงานประเพณีไทยสู่งานเทศกาลระดับโลก หรือ Local to Global จัดเฟสติวัลหลากหลายรูปแบบ รวมถึงดึงงานอีเวนต์ ดนตรี กีฬา ระดับโลกเข้ามาจัดในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ให้เกิดการขยายวันพัก เพิ่มการใช้จ่ายทางการท่องเที่ยว กระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจสร้างรายได้และสร้างชื่อเสียงภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไปสู่สายตา นักท่องเที่ยวทั่วโลก           จากความเข้มแข็งของภาคเอกชนและความร่วมมือของห่วงโซ่การท่องเที่ยว ส่งผลให้ประเทศไทย ขึ้นแท่นครองใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก กับตำแหน่งล่าสุดต้อนรับปีใหม่ Destination Of the Year 2025 จัดอันดับโดย นิตรสารที่ทรงอิทธิพลทางการท่องเที่ยว Travel+ Leisure รวมถึง การจัดงาน Amazing Thailand Countdown 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-31 ธันวาคม 2567 ณ ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม เกิดขึ้นจากความร่วมมือของพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เป็นแลนมาร์กและสัญลักษณ์ของประเทศไทยในการเป็น "Global Countdown Destination" ระดับโลก ททท. ขอขอบคุณ ไอคอนสยาม ที่ได้ร่วมกันสร้างสรรค์ให้งานนี้เป็นแม็กเน็ตอีเวนต์ที่สำคัญ และขอบคุณทุกองค์กรที่มีส่วนร่วมในการจัดงาน ขอให้ทุกท่านมีความสุขในช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองนี้           นายศานนท์ หวังสร้างบุญ  รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “กทม. มุ่งมั่นส่งเสริมและสนับสนุนให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครแห่งการสร้างสรรค์และวัฒนธรรม เพื่อสร้างเสริมขีดความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน หัวใจสำคัญในความสำเร็จของเมือง จริง ๆ แล้วภาครัฐเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกและให้การสนับสนุนตามภารกิจหน้าที่  หลากหลายโครงการดี ๆ ภาคเอกชนล้วนเป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้น นับว่าเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเมืองได้อย่างเป็นรูปธรรม งาน Countdown ที่ไอคอนสยามเป็นงานประจำปีที่มีชื่อเสียงระดับโลก สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร อีกทั้งเป็นการส่งเสริมและกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครในช่วงปลายปี การจัดงานนี้เป็นการรวมพลังที่ยิ่งใหญ่จากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อน สุดท้ายประโยชน์ก็จะอยู่กับประชาชน เมือง และประเทศ ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน ในฐานะที่กรุงเทพมหานครเป็นพันธมิตรในการจัดงาน ได้ตระหนักในเรื่องความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมงานเป็นสำคัญ จึงได้ให้การสนับสนุนรถดับเพลิง เรือดับเพลิง รวมทั้งกำลังเจ้าหน้าที่ประจำจุดเฝ้าระวังโดยรอบพื้นที่การจัดงาน เพื่อเตรียมความพร้อมในการระงับเหตุได้ทันท่วงที เพราะฉะนั้นประชาชนที่มาร่วมงานจะได้เฉลิมฉลองได้อย่างสบายใจ มีความสุข และปลอดภัยในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้”           ดร.กฤษณะ วจีไกรลาศ กรรมการเลขาธิการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลสำคัญที่สามารถสร้างรายได้ให้กับภาคการท่องเที่ยวได้อย่างมหาศาล และกระจายรายได้ไปยังทุกภาคส่วน จากการคาดการณ์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 20% หรือประมาณ 12 ล้านคน และสร้างรายได้ให้กับประเทศถึง 652,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 29% ยิ่งตอกย้ำถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย หอการค้าไทยพร้อมที่จะร่วมมือ กับทุกภาคส่วนในการผลักดันให้งาน Amazing Thailand Countdown 2025 ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการจัดงานระดับโลก ซึ่งจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนั้นยังช่วยสนับสนุน SME ผู้ประกอบการทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ตลอดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง”           นาวาโทปริญญา รักวาทิน นายกสมาคมการค้าธุรกิจในแม่น้ำเจ้าพระยา กล่าวว่า “การจัดงาน Amazing Thailand Countdown 2025 ในครั้งนี้มีความยิ่งใหญ่ระดับโลกมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้ผู้ประกอบการต่างๆ ที่รายรอบอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งโรงแรมและร้านอาหาร  มีการเตรียมความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยต่าง ๆ เพื่อให้เชื่อมั่นว่าเป็นการจัดงานครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง สมาคมฯคาดว่าจะมีการเติบโตทางด้านรายได้ในภาพรวมของกลุ่มธุรกิจในแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงเทศกาลนี้มากกว่าปีที่ผ่านมากว่า 75% โดยเฉพาะในช่วงวัน countdown คาดว่าจะโตมากกว่า 100%”           นายอภิชาติ พัชรภิญโญพงศ์ นายกสมาคมเรือไทย กล่าวย้ำว่า “บรรยากาศในช่วงไฮซีซั่นนี้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ การจัดงานเคานต์ดาวน์ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกจึงนับเป็นปัจจัยเกื้อหนุนสำคัญในการสร้างทราฟฟิกทางเรือให้เติบโตขึ้นมากกว่า 30% สร้างรายได้ให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเรือโดยสาร และเรือท่องเที่ยวกว่า 40 ล้านบาท นอกจากนั้นเพื่อการเตรียมการและความพร้อมเพื่อให้ประเทศไทยเป็นเจ้าบ้านที่ดีในการจัดงาน Amazing Thailand Countdown 2025 ที่ไอคอนสยาม ทางผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องยังได้ขยายเวลาบริการเรือข้ามฟากที่ท่าไอคอนสยามถึงเวลา 03.00 น.ในคืนวันเคานต์ดาวน์ เพื่อแบ่งเบาการจราจรในบริเวณโดยรอบให้มีความสะดวกยิ่งขึ้น เพื่อรองรับจำนวนผู้เดินทางโดยรอบแม่น้ำเจ้าพระยา ที่คาดว่าจะพุ่งสูงขึ้นครั้งประวัติการณ์จากการจัดงานเคาน์ดาวน์ที่ไอคอนสยามในปีนี้”           นายเกรียงศักดิ์ สุวรภามณีสวัสดิ์ ผู้บริหารกลุ่มงาน GLOBAL PARTNERSHIP  MANAGEMENT บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เปิดเผยว่า นอกจากนี้ เพื่อสร้างประสบการณ์เหนือความคาดหมายอย่างต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่มาร่วมงาน Amazing Thailand Countdown 2025  ณ ไอคอนสยาม จะได้สัมผัสกับประสบการณ์สุดพิเศษจากบัตร ONESIAM Global Visitor Card ด้วยสิทธิประโยชน์เหนือระดับ 3 ต่อ ทั้งส่วนลดสูงสุด 30% ที่ร้านค้าแบรนด์ชั้นนำ และส่วนลด 5% ที่ห้างสรรพสินค้า Siam Takashimaya และซูเปอร์มาร์เก็ต Dear Tummy ฯลฯ พร้อมบริการ Wi-Fi ฟรี และสิทธิ์เข้าใช้ห้องรับรอง Tourist Lounge นอกจากนี้ บัตรฯ ยังมอบสิทธิประโยชน์จากพันธมิตรระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน โรงแรม ทัวร์ รวมถึงส่วนลดและข้อเสนอพิเศษที่แหล่งท่องเที่ยว ร้านอาหาร และร้านค้าในเครือ ONESIAM ตลอดจนสิทธิพิเศษอีกมากมายจากพันธมิตรค้าปลีกทั่วโลก  พิเศษสุดส่งท้ายปลายปี สำหรับผู้ถือบัตรฯ 500 ท่านแรก ที่มียอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 6,000 บาท ที่ไอคอนสยาม รับของสมนาคุณสุดพิเศษจากไอคอนคราฟต์ แพลตฟอร์มชั้นนำแห่งงานนวัตศิลป์ของช่างไทย ที่สุดของมหาปรากฏการณ์เคานต์ดาวน์ ฉลองความยิ่งใหญ่ที่สุดของไทยและที่สุดของโลก           นายสุพจน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงไฮไลต์ที่สร้างมหาปรากฏการณ์สะกดชาวโลกของงานในปีนี้ว่า “ไอคอนสยามต้อนรับปีใหม่อย่างยิ่งใหญ่ สร้างประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ด้วยการรวบรวมที่สุดของความโดดเด่นในงาน ‘Amazing Thailand Countdown 2025’ ซึ่งผสานความเป็นไอคอนิคของไทยและโลกเข้าด้วยกันในที่เดียว โดยนำเสนอ 3 มหาปรากฏการณ์สุดพิเศษที่จะสร้างความประทับใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มหาปรากฏการณ์พลุเฉลิมฉลองระดับโลก ตื่นตาตื่นใจกับการแสดงพลุรักษ์โลกที่ยาวถึง 1,400 เมตร ยาวที่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยา จัดเต็มด้วยเทคนิคและความแปลกใหม่ รังสรรค์โดยผู้กำกับพลุมือรางวัลจากประเทศญี่ปุ่น ผสานกับทีมงานสร้างสรรค์ชั้นนำจากประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “Celebrating the Everlasting Legacy of Siam เฉลิมฉลองมรดกไทยอันรุ่งโรจน์นิรันดร์” สะท้อนถึงสีสันและความงดงามของมรดกและภูมิปัญญาไทย มหาปรากฏการณ์สะกดโลกจากสุดยอดศิลปินไอคอนิค พบกับการแสดงไฮไลต์จาก “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” ศิลปินไอคอนิคระดับโลกที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยและเป็นแรงบันดาลใจของผู้คนทั่วโลก ที่จะมาพร้อมปรากฎการณ์สะกดใจชาวโลกในค่ำคืนแห่งโชว์สุดยิ่งใหญ่ครั้งสำคัญ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตอกย้ำภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของประเทศไทยในการเป็น Global Destination อันดับหนึ่งในใจที่ผู้คนทั่วโลกต้องมาเยือน มหาปรากฏการณ์บันเทิง ฉลองความยิ่งใหญ่ของไทยและโลก สัมผัสประสบการณ์บันเทิงเหนือระดับผสานความเป็นไทยและสากล ดื่มด่ำกับการแสดงและคอนเสิร์ตจากศิลปินไทยและต่างประเทศต่อเนื่องตลอด 3 วัน กว่า 60 ชีวิต นำทัพโดย ATLAS, BUS Because of you I shine, 4EVE, Jeff Satur, MILLI, NONT TANONT, พีพี บิวกิ้น, เป๊ก ผลิตโชค, ศิลปินวง  PERSES, PROXIE, ZeeNuNew, ทีมนักแสดงจาก PIT BABE The Series และศิลปินจีนชื่อดังระดับโลก “เว่ยเจ๋อหมิง” นอกจากนี้ยังมีการแสดงนำวัฒนธรรมไทยสู่สายตาชาวโลก จากนักแสดงชั้นนำ ได้แก่ กองทัพ พีค และนก KPN แชมป์โลก solo senior vocalist คนแรกของไทย ที่มาส่งมอบความสุขส่งท้ายปีและพร้อมต้อนรับปีใหม่ด้วยความบันเทิงแบบจัดเต็ม บนเวทีพาโนรามาที่มาพร้อมฉากหลังที่สวยงามที่สุดบนโค้งน้าเจ้าพระยาที่ไม่มีใครเลียนแบบได้           “เพื่อให้ประเทศไทยเป็นที่กล่าวขวัญถึงทั่วโลกในช่วงขึ้นปีใหม่ ไอคอนสยามผนึกกำลังกับทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้งาน Amazing Thailand Countdown 2025 เป็นงานฉลองส่งท้ายปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประเทศไทย โดยมีไฮไลต์จากการแสดงพลุรักษ์โลก และสุดยอดมหกรรมความบันเทิงระดับเวิลด์คลาสจากบรรดาศิลปินดาราไทยและจากต่างประเทศอีกมากมายตลอด 3 วัน 3 คืน เพื่อส่งมอบความสุข ความประทับใจ พร้อมสร้างประสบการณ์เหนือความคาดหมาย ตอกย้ำความมุ่งมั่นของไอคอนสยามในการนำสิ่งที่ดีที่สุดของไทยให้มาบรรจบกับสิ่งที่ดีที่สุดของโลก” นายสุพจน์ย้ำ           มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของปรากฎการณ์งานเคานต์ดาวน์ระดับโลก ‘Amazing Thailand Countdown 2025 at ICONSIAM’ สุดยิ่งใหญ่อลังการพร้อมสะกดทุกสายตาของชาวโลก ตั้งแต่วันที่ 29 - 31 ธันวาคมนี้ ณ ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม โดยสามารถติดตามรายละเอียดและเงื่อนไขการรับสิทธิ์เข้าร่วมงานได้ทาง www.iconsiam.com หรือ Facebook: ICONSIAM หรือเลือกรับชมผ่านการถ่ายทอดสด (Live) 15 ช่องทาง ได้แก่สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐ ทีวีช่อง 32HD, ONE31, GMM25 และ TNN16 หรือช่องทางออนไลน์ผ่านเฟสบุ๊ค ไทยรัฐออนไลน์, เดลินิวส์ออนไลน์, ข่าวสด,มติชน, Feed, TNN, NationTV, ช่อง one31 และ PPTV HD36 โดยจะถ่ายทอดสดให้รับชมพร้อมกันตั้งแต่เวลา 23.00 น.เป็นต้นไป และช่องทางออนไลน์ของไอคอนสยาม Facebook และ YouTube ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป           ประชาชนทั่วไปที่สนใจร่วมงานสามารถเดินทางมาไอคอนสยามได้ครอบคลุมทุกเส้นทางการคมนาคมทั้งรถยนต์ รถประจำทาง เรือโดยสาร และรถไฟฟ้าสายสีทองลงสถานี G2 เจริญนคร ถึงไอคอนสยามได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็ว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1338 หรือติดตามข่าวสารได้ที่ Facebook: ICONSIAM

MAJOR จัดดูหนังมาราธอน 72 ชั่วโมง ชิงรางวัลรวมมูลค่า 346,300 บาท

MAJOR จัดดูหนังมาราธอน 72 ชั่วโมง ชิงรางวัลรวมมูลค่า 346,300 บาท

          เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ผนึกพลังพันธมิตร กาแฟพร้อมดื่มเบอร์ดี้, ยำยำ คัพ, แอลจี และ มายบาซิน ชวนคนพันธุ์อึดดูหนังไทยแบบมาราธอนข้ามวันข้ามคืนนาน 72 ชั่วโมง กับกิจกรรม “MAJOR TOLLYWOOD MOVIE MARATHON 2024” งานยิ่งใหญ่ของคนรักหนังไทย มาร่วมบันทึกสถิตผู้ชนะเลิศเพียง 1 เดียว คว้ารางวัลเงินสด 200,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล เครื่องฟอกอากาศ และบัตรสมาชิก M PASS ฟรี 1 ปี และรางวัลรองชนะเลิศ อีก 4 รางวัล รวมมูลค่า 346,300 บาท           นรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ผนึกพลังร่วมกับพันธมิตร กิตติคุณ วัฒนะโชติ ผู้จัดการฝ่ายกาแฟพร้อมดื่มเบอร์ดี้ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วย ธนภรณ์ ตรีสุคนธ์ ผู้จัดการแผนกการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท วันไทยอุตสาหกรรมการอาหาร จำกัด, นาถกานต์ จริงจิตร ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ ศุภโชติ วิเศษแก้ว ผู้จัดการผลิตภัณฑ์เกร็ทเตอร์ มายบาซิน บริษัท เกร็ทเตอร์ มายบาซิน จำกัด ร่วมสร้างปรากฎการณ์ครั้งใหม่   ที่คนรักหนังไทยต้องไม่พลาด! กับอีเว้นท์ใหญ่แห่งปี “MAJOR TOLLYWOOD MOVIE MARATHON 2024” รวมพลคนรักหนังไทย ตามหาคอหนังไทยพันธุ์อึด พิชิตศึกแข่งขันดูหนังไทยมาราธอนแบบข้ามวันข้ามคืนนาน 72 ชั่วโมง   ชิงรางวัลเงินสด 200,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล เครื่องฟอกอากาศ และบัตรสมาชิก M PASS ฟรี 1 ปี และรางวัลอื่น ๆ รวมมูลค่า 346,300 บาท ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 15-18 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน โรงที่ 13 (GLS) ซึ่งเป็นโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่สุด คาดจะสร้างความคึกคักให้กับตลาดหนังไทยซึ่งปัจจุบันเติบโตอย่างต่อเนื่องมีมาร์เก็ตแชร์ถึง 50% จนเรียกได้ว่าเป็น TOLLYWOOD (Thailand + Hollywood) เพื่อตามหาแฟนหนังไทยพันธุ์อึดที่จะมาร่วมพิชิตการดูหนังไทยพร้อมบันทึกสถิติการดูหนังไทยที่ยาวนานที่สุดถึง 72 ชั่วโมง กับภาพยนตร์ไทยหลากหลายแนวและหลากหลายอารมณ์ ทั้งตลก เศร้า ตื่นเต้น และสยองขวัญ รวมจำนวน 32 เรื่อง           สำหรับการแข่งขันดูหนังไทยมาราธอน “MAJOR TOLLYWOOD MOVIE MARATHON 2024” ในปีนี้ จะสร้างความประทับและความตื่นเต้นให้กับผู้เข้าร่วมแข่งขันอย่างแน่นอน คนพันธุ์อึดที่ผ่านการดูหนังจะได้รับการบันทึกสถิติการดูหนังไทยที่ยาวนานที่สุด 72 ชั่วโมง พร้อมรับรางวัลอันทรงคุณค่าในฐานะแฟนพันธุ์แท้คนรักหนังไทย จำนวน 5 รางวัล ดังนี้ รางวัลชนะเลิศ รับรางวัลเงินสด 200,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล เครื่องฟอกอากาศ LG Aero Tower และรับบัตรสมาชิก M PASS ฟรี 1 ปี รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รับรางวัลตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ ต่างประเทศ 2 ที่นั่ง เครื่องฟอกอากาศ LG Aero Furniture และรับบัตรสมาชิก M PASS ฟรี 1 ปี รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 รับรางวัลตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ ภายในประเทศ 2 ที่นั่ง เครื่องฟอกอากาศ LG Aero Furniture และรับบัตรสมาชิก M PASS ฟรี 1 ปี รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 รับรางวัลเครื่องฟอกอากาศ LG Aero Furniture และบัตรชมภาพยนตร์ 10 ที่นั่ง รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 4 รับรางวัลเครื่องฟอกอากาศ LG PuiCare Hit และบัตรชมภาพยนตร์ 10 ที่นั่ง [PR News]

BEM ชวนเวิร์กช็อปทำหมวกและกระเป๋า

BEM ชวนเวิร์กช็อปทำหมวกและกระเป๋า

          บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ร่วมกับ สำนักงานเขตจตุจักร ชวนทุกคนมาปลุกพลังศิลปะในตัวเอง ผ่าน Workshop รอบพิเศษ “ทำหมวกด้วยเทคนิค Marbling Art และสอนเพ้นท์กระเป๋า” ร่วมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะสุดเก๋ จากวิทยากร วรา เอกสัมฤทธิ์ วิทยากรส่งเสริมอาชีพ ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร เขตจตุจักร โดยมีรายละเอียดกิจกรรมดังนี้ วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน 2567 ทำหมวกด้วยเทคนิค Marbling Art เรียนรู้วิธีการและอุปกรณ์ต่างๆ โดยสอนการวาดลายหินอ่อนลงบนหมวกใบโปรด แล้วคุณจะพบว่าพลังแห่งการสร้างสรรค์นั้นสนุกแค่ไหน วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2567 สอนเพ้นท์กระเป๋าด้วยลายดอกไม้และวิวทิวทัศน์สวยงาม จะดีแค่ไหนที่ได้ใช้กระเป๋าใบเก๋ที่ได้จากฝีมือของตัวเอง           แล้วพบกันในกิจกรรม Art Activities รอบพิเศษจาก BEM และสำนักงานเขตจตุจักร ในวันที่ 28 และ 29 พฤศจิกายน 2567 เวลา 09.30 – 16.00 ณ ห้อง Art Learning Centre Metro Art @MRT สถานีพหลโยธิน ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมล่วงหน้าได้ฟรี!! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (รับจำนวนจำกัด) ผ่านทาง QR Code หรือ https://shorturl.asia/OrjR2 สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook และ X : BEM Bangkok Expressway and Metro [PR News]

ก.ล.ต. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการส่งเสริม บลจ. สู่ Net Zero

ก.ล.ต. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการส่งเสริม บลจ. สู่ Net Zero

          ก.ล.ต ร่วมกับ Principles for Responsible Investment (PRI) และ Asia Investor Group on Climate Change (AIGCC) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเชิงลึกภายใต้หัวข้อ “Deep-dive Masterclass on ICAPs Expectations Ladder: Governance” ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ในการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero           การอบรมเชิงปฏิบัติการเชิงลึกครั้งนี้มุ่งเน้นเสาหลักด้าน ‘ธรรมาภิบาล’ ของ Investor Climate Action Plans (ICAPs) ซึ่งให้แนวทางแก่ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกในการบูรณาการเรื่องสภาพภูมิอากาศในโครงสร้างการกำกับดูแลการพัฒนานโยบาย การมอบหมายความรับผิดชอบ และการรายงานต่อคณะกรรมการ โดยผู้เข้าร่วมการอบรมได้รับความรู้และคำแนะนำเชิงปฏิบัติในการเริ่มต้นจัดทำแผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ รวมถึงกระบวนการทำงาน การติดตามและประเมินผลในแต่ละระยะ           นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า “ในขณะที่การลงทุนอย่างยั่งยืนกำลังเติบโตทั่วโลก อุตสาหกรรมกองทุนไทยต้องคำนึงถึงปัจจัยความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ โดยต้องมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติจริงและการมองไปข้างหน้า การอบรมเชิงปฏิบัติการเชิงลึกครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการบริหารจัดการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ (responsible investment) โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพของ บลจ. ในการวางแผนงานองค์กรด้านสภาพภูมิอากาศที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อสนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืน และผลักดันการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของผู้ลงทุนสถาบันไทย ในฐานะฟันเฟืองหลักในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ”           การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของ ก.ล.ต. PRI และ AIGCC ในการสนับสนุน บลจ. ไทยอย่างต่อเนื่อง ให้มีเครื่องมือและความรู้ที่จำเป็นสำหรับการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และส่งเสริมให้ บลจ. ทุกแห่ง ไม่ว่าจะอยู่ในระยะใดของ climate change journey ร่วมกันมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาตลาดทุนที่ยั่งยืนและผลักดันการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ [PR News]

[ภาพข่าว] ‘กลุ่มเพชรศรีวิชัย’ จับมือ ‘เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี’ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

[ภาพข่าว] ‘กลุ่มเพชรศรีวิชัย’ จับมือ ‘เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี’ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

         ‘บริษัท นิว ไบโอดีเซล จำกัด’ หรือ NBD ในเครือ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เดินหน้าลดผลกระทบด้านมลภาวะสิ่งแวดล้อมจากน้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้ว ร่วมมือกับเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ทำโครงการ “ทิ้งไปเสียดายแย่” ให้ประชาชนนำน้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้วจากชุมชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานีแลกเป็นน้ำมันพืชขวดใหม่ตรา “รินทิพย์” เพื่อนำน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงไบโอดีเซล           นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจรที่มีความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน เปิดเผยว่า บริษัท นิว ไบโอดีเซล จำกัด หรือ NBD ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ น้ำมันปาล์มโอเลอีนเพื่อการบริโภค และผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้อื่นๆ รวมถึงการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ในกลุ่มบริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE โดย “NBD” ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ในการดำเนินโครงการ “ทิ้งไปเสียดายแย่” นำน้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้วจากชุมชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานีมาแลกเป็นน้ำมันพืชตรารินทิพย์ เพื่อนำน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงไบโอดีเซล ช่วยลดผลกระทบต่อการอุดตันของท่อระบายน้ำจากการทิ้งน้ำมันปรุงอาหารของประชาชนที่เป็นปัญหาซึ่งยากต่อการจัดการในอนาคต สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน (Sustainability) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) และเพื่อการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างผลเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน           โครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนหลักการ ESG (Environmental, Social, and Governance) ของบริษัทฯ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการใช้เชื้อเพลิงหมุนเวียนและการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดเงื่อนไขรับแลกน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว 2 กิโลกรัม เปลี่ยนเป็นน้ำมันพืชตรารินทิพย์ได้ 1 ขวด ตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค.67 ถึงวันที่ 31 ต.ค.68 ทุกวันศุกร์ของแต่ละสัปดาห์ ณ สำนักงานเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี           “เรามีความมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (GHG Reduction) ด้วยการใช้วัตถุดิบที่หมุนเวียนได้และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วจากชุมชนและผู้ประกอบการ เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรม จะถูกนำมาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงไบโอดีเซล ซึ่งมีการปล่อยคาร์บอนต่ำกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล นอกจากนี้ยังช่วยขจัดปัญหาการจัดการของเสียที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนอีกด้วย” นายพรพิพัฒน์กล่าว

BR ผู้นำธุรกิจเนื้อเป็ด มุ่ง ESG นำ Solar มาปรับใช้

BR ผู้นำธุรกิจเนื้อเป็ด มุ่ง ESG นำ Solar มาปรับใช้

           หุ้นวิชั่น - บริษัท บางกอกแร้นช์ จำกัด (มหาชน) หรือ BR  ผู้นำธุรกิจเนื้อเป็ดครบวงจร มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมของภาคอุตสาหกรรมการผลิต โดยการนำพลังงานแสงอาทิตย์หมุนเวียนสู่พลังงานสะอาดจาก Solar มาปรับใช้ในการลดต้นทุนการดำเนินงาน สนับสนุนแผนพัฒนาพลังงานทดแทน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการติดตั้ง Solar Rooftop ที่โรงผลิตถึง 2 แห่ง นั่นคือ 1) สระแก้วซึ่งดำเนินการไปแล้ว และ 2) สมุทรปราการที่จะเริ่มดำเนินการเร็วๆ นี้            ในส่วนของโรงสระแก้วที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 นั้น นายพน สุเชาว์วณิช กรรมการบริหาร บริษัท บางกอกแร้นช์ จำกัด (มหาชน) หรือ BR เปิดเผยว่า “การใช้พื้นที่บนหลังคาให้เกิดประโยชน์ด้วยการผลิตพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์โดยการติดตั้ง Solar Rooftop 3.7 เมกะวัตต์ ถือเป็นก้าวสำคัญที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนของ BR ที่เลือกใช้พลังงานแสงอาทิตย์มาช่วยส่งเสริมเรื่องพลังงานสะอาดและการนำทรัพยากรธรรมชาติกลับมาใช้ใหม่ เป็นประโยชน์ทั้งในด้านการลดการก่อมลพิษ การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และยังได้ใช้หลังคาอาคารผลิตให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้นอีกด้วย”            เนื่องจากโลกเราทุกวันนี้ ค่าใช้จ่ายด้านการใช้พลังงานมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้า ทาง BR จึงเล็งเห็นว่า การนำพลังงานสะอาดมาใช้โดยการติดตั้ง Solar Rooftop นั้น เป็นหนทางอันยั่งยืนที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ที่สำคัญยังช่วยประหยัดพลังงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างมากอีกด้วย โดย Project Solar Rooftop นี้ BR ได้ร่วมมือกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่ผู้นำด้านโซลูชั่นพลังงานแสงอาทิตย์ของประเทศไทย โดยคาดว่าจะสามารถพัฒนาต้นทุนการผลิตให้ลดลงได้ภายใน 3-5 ปี เสริมสร้างประสิทธิภาพการแข่งขันเพื่อผลประกอบการที่ดียิ่งขึ้น            “BR เล็งเห็นว่า ESG ไม่ใช่เพียงแค่แนวทางการปฏิบัติ แต่เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบันและอนาคต บริษัทฯ ต้องการที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญที่จะนำพาบริษัทฯ สู่ความสำเร็จในอนาคต" นายพน กล่าวปิดท้าย            ทั้งนี้การติดตั้ง Solar Rooftop ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการผลิต และตอบรับกับแนวทาง ESG อย่างเป็นรูปธรรม โดยได้ตั้งเป้าหมายในการขยายการติดตั้ง Solar Rooftop ไปยังโรงงานและฟาร์มอื่นๆ ในเครือของบริษัท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเลือกใช้พลังงานสะอาดและลดต้นทุนค่าใช้จ่ายส่วนของไฟฟ้าในระยะยาวอีกด้วย

[ภาพข่าว] “ตราเพชร” ผนึกกำลังพันธมิตร ร่วมกิจกรรม “ปลูกเพื่อโลกที่น่าอยู่”

[ภาพข่าว] “ตราเพชร” ผนึกกำลังพันธมิตร ร่วมกิจกรรม “ปลูกเพื่อโลกที่น่าอยู่”

          นายสุนทร สุวรรณเจตต์ (ที่ 5 จากซ้าย) ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการผลิตและวิศวกรรม และนายกฤช กุลเลิศประเสริฐ (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบริหารกลาง บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ นายมนตรี นิธิกุล (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจปูนซีเมนต์ของประเทศไทย และผู้บริหาร บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยนายอุดมศักดิ์ แย้มนุ่น (ที่ 7 จากซ้าย) ที่ปรึกษาผู้บริหาร บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ร่วมกิจกรรม “ปลูกเพื่อโลกที่น่าอยู่” ปลูกต้นหว้าพระราชทานจำนวน 100 ต้น เพื่อช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในพื้นที่ ตอกย้ำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริเวณเหมืองโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี

[ภาพข่าว] TEKA รับโล่ประกาศเกียรติคุณสนับสนุนการจ้างงานคนพิการทางสติปัญญา

[ภาพข่าว] TEKA รับโล่ประกาศเกียรติคุณสนับสนุนการจ้างงานคนพิการทางสติปัญญา

          คุณสุพล จงจินตรักษา (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท ฑีฆาก่อสร้าง จำกัด (มหาชน) หรือ TEKA รับโล่ประกาศเกียรติคุณ ในฐานะบริษัทและองค์กรที่ให้ความอนุเคราะห์สนับสนุนการจ้างงานคนพิการทางสติปัญญา จาก ดร.สายสม วงศาสุลักษณ์ (ขวา) ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ซึ่งการมอบโล่ดังกล่าว เกิดจากแนวคิดที่ต้องการเชิดชูเกียรติคนดีมีคุณธรรมในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีเมตตาต่อผู้พิการทางสติปัญญาของมูลนิธิฯ อย่างต่อเนื่องเสมอมา โดยได้บริจาคสิ่งของเครื่องใช้ การจ้างงาน ตลอดจนงบประมาณ เพื่อนำมาพัฒนาทักษะและคุณภาพชีวิตแก่เด็กพิการทางสติปัญญาทั้ง 11 ศูนย์สาขาต่าง ๆ ทั่วประเทศ งานดังกล่าว จัดขึ้น ณ หอประชุมหทัยนเรศวร์ ชั้น 7 สำนักงานมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เมื่อเร็วๆ นี้ โดย TEKA มีความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันของคนในสังคม ตามหลักสิทธิมนุษยชน และสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์กร

ไอคอนสยามเชิญ “ลิซ่า” ร่วมเคานต์ดาวน์สู่ศักราชใหม่

ไอคอนสยามเชิญ “ลิซ่า” ร่วมเคานต์ดาวน์สู่ศักราชใหม่

           กรุงเทพฯ (30 ตุลาคม 2567) ไอคอนสยาม ประกาศสร้างมหาปรากฏการณ์เคานต์ดาวน์สะกดโลก จัดงานเฉลิมฉลองศักราชใหม่ “Amazing Thailand Countdown 2025” ชูการผสานที่สุดของไทยและที่สุดของโลก พร้อมเชิญศิลปินอันดับหนึ่งของโลก  “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” ให้เกียรติร่วมสร้างมหาปรากฏการณ์เฉลิมฉลองสุดพิเศษ มอบเป็นของขวัญส่งต่อความสุขให้กับคนไทยและนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่มาเยือนไอคอนสยาม ตอกย้ำศักยภาพให้ประเทศไทยยืนหนึ่ง เป็น Global Countdown Destination ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก            นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า ไอคอนสยาม แลนด์มาร์กระดับโลกริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมเป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญในการขับเคลื่อน ภาพลักษณ์และเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง  โดยปีนี้ตั้งใจจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ “Amazing Thailand Countdown 2025 at ICONSIAM” ให้เป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วโลกภายใต้แนวคิด “Iconic Celebration of The Global Phenomena: ฉลองความยิ่งใหญ่ที่สุดของไทยและที่สุดของโลก” โดยจะมีงานถึง 3 วัน 3 คืน ระหว่างวันที่ 29-31 ธันวาคม 2567 ณ ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม            “เพื่อให้ประเทศไทยเป็นที่กล่าวขวัญถึงทั่วโลกในช่วงขึ้นปีใหม่ ไอคอนสยามในฐานะภาคเอกชน ตั้งใจทุ่มงบประมาณของบริษัทฯจัดงานครั้งนี้เพื่อสร้าง “มหาปรากฏการณ์สะกดโลก” กับการแสดงครั้งสำคัญจาก “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” ศิลปินระดับไอคอนิคที่สร้างชื่อเสียงก้องโลกให้กับประเทศไทยและเป็นแรงบันดาลใจของผู้คนทั่วโลก ที่ไอคอนสยามตั้งใจเรียนเชิญ ให้เกียรติมาพร้อมมหาปรากฏการณ์สะกดใจชาวโลกในค่ำคืนแห่งโชว์อลังการริมโค้งน้ำเจ้าพระยาที่งดงามที่สุด เพื่อมอบเป็นของขวัญ ส่งต่อความสุขให้กับคนไทยและนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่มาเยือนไอคอนสยามในช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองในปีนี้” นายสุพจน์กล่าว            นายสุพจน์กล่าวต่อไปว่า งาน “Amazing Thailand Countdown 2025” จะเป็นงานฉลองส่งท้ายปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประเทศไทย ทั้งไฮไลต์การแสดงพลุรักษ์โลก และสุดยอดมหกรรมความบันเทิงระดับเวิลด์คลาสจากบรรดาศิลปินดาราไทยและจากต่างประเทศอีกมากมายตลอด  3 วัน 3 คืน ที่จะมอบความสุขและความประทับใจเหนือความคาดหมาย ณ ริเวอร์  พาร์ค ไอคอนสยาม โดยบริษัทจะจัดงานแถลงข่าว เพื่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมของงานทั้งหมดอย่างเป็นทางการในเร็ววันนี้            “เราคาดว่าจะมีผู้ชมการแสดงและผู้ชมถ่ายทอดสดงานเคานต์ดาวน์ รวมมากกว่า 20 ล้านคนจากทั่วประเทศและทั่วโลก ซึ่งจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศไทย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ตอกย้ำศักยภาพให้ ประเทศไทยยืนหนึ่ง เป็น Global Countdown Destination ของคนทั่วโลก” นายสุพจน์กล่าวปิดท้าย

หมอแอมป์ แชมป์ CEO ปี 2024 ที่สุดสุขภาพเชิงป้องกัน

หมอแอมป์ แชมป์ CEO ปี 2024 ที่สุดสุขภาพเชิงป้องกัน

           หุ้นวิชั่น - Bangkok Post ฉลองความเป็นเลิศและนวัตกรรมภายในภาคธุรกิจอีกครั้ง ด้วยความมุ่งมั่นในการยกย่องผู้นำที่ยอดเยี่ยม เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะนำเสนอรางวัล “Bangkok Post CEO of the Year 2024” ด้วยการสืบสานประเพณีในการยกย่องผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และสร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งได้เปลี่ยนอุตสาหกรรมและนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก รางวัลในปีนี้ได้ให้ความสำคัญกับผู้บริหารระดับสูงและผู้นำที่ได้ทำให้ธุรกิจต่างๆ ประสบความสำเร็จ มีความก้าวหน้า และเติบโตอย่างยั่งยืน รางวัลเหล่านี้ครอบคลุมหลากหลายหมวดหมู่ ไม่เพียงแต่ยกย่องความสำเร็จขององค์กร แต่ยังยกย่องการมีส่วนร่วมที่สำคัญและความคิดริเริ่มที่ยั่งยืนที่ผู้นำเหล่านี้มอบให้กับสังคมและเศรษฐกิจอีกด้วย จากกลยุทธ์ที่กล้าหาญไปจนถึงการเป็นผู้นำที่เปลี่ยนแปลง รางวัลเหล่านี้เน้นย้ำถึงผลกระทบจากวิสัยทัศน์และความทุ่มเทของพวกเขา            รางวัล CEO of the year 2024 Thailand awards “Best CEO in Excellence in Wellness Leadership ” : นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ            BDMS มุ่งสู่การให้บริการด้านสุขภาพเชิงป้องกัน การดำเนินงานของบริษัทมุ่งที่จะสร้างสังคมสุขภาพดี โดยเน้นการดูแลสุขภาพด้านเวชศาสตร์ป้องกันและเวชศาสตร์วิถีชีวิต เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “หมอแอมป์” นพ. ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหารของ BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกันและเวชศาสตร์วิถีชีวิต จากแพทยสภา ประเทศไทย            หลังจากจบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล นพ. ตนุพล ได้ศึกษาต่อในด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย และได้รับการรับรองจาก American Board of Anti-Aging and Regenerative Medicine นพ. ตนุพล มีประสบการณ์มากมายในการดูแลผู้ป่วยและช่วยปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะในด้านการควบคุมน้ำหนักและการรักษาโรคอ้วน นอกจากนี้ นพ. ตนุพล ยังเป็นนักเขียนหนังสือขายดีหลายเล่มเกี่ยวกับสุขภาพและการดูแลสุขภาพ อีกทั้งช่อง YouTube ของเขาที่ชื่อว่า DrAmp Team ก็มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคนแล้ว            “วิสัยทัศน์ของผมคือการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนไทย และคนทั่วโลกให้สุขภาพดี อายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ” เขากล่าว            นพ. ตนุพล กล่าวว่าปัจจุบันโลกกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากจำนวนคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากในประเทศไทย กลุ่มนี้มีสัดส่วนมากกว่า 20% ของประชากร สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ระหว่าง 16-17% และคาดว่าภายในปี พศ.2574 กลุ่มคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะมีสัดส่วนถึง 28% ของประชากรไทย กหนึ่งความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของมนุษย์คือการแพร่หลายของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง โรคปอด โรคมะเร็ง โรคเครียด และโรคอ้วน ในปี 2566 ประมาณ 77% ของการเสียชีวิตในประเทศไทยเกิดจากโรคไม่ติดต่อ คิดเป็นจำนวน 380,000 คนต่อปี หรือ 44 คน/ชม. ซึ่งถือว่าสูงมาก นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีจำนวนผู้ป่วยโรคอ้วนติดอันดับสูงที่สุดในภูมิภาคนี้ BDMS รายงานรายได้มากกว่า 100,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว โดยที่รายได้ 10% มาจากกลุ่มบริการสุขภาพเชิงป้องกันเวลเนส ส่วนที่เหลือมาจากการรักษาโรค            นพ. ตนุพล กล่าวว่าบริษัทหวังที่จะขยายสัดส่วนรายได้จากกลุ่มบริการสุขภาพเชิงป้องกันให้เพิ่มขึ้นในอนาคตเพื่อรณรงค์ให้คนสุขภาพดีเจ็บป่วยน้อยลง ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา รายได้จากบริการสุขภาพเชิงป้องกันของ BDMS เติบโตขึ้นถึง 30% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 10% BDMS Wellness Clinic ให้บริการ 19 คลินิกทั่วประเทศ รวมถึงสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่ตั้งอยู่ที่ถนนวิทยุ สถานที่แห่งนี้มีมูลค่า 15,000 ล้านบาท ประกอบด้วยคลินิก BDMS Wellness Clinic , โรงแรม Mövenpick BDMS Wellness Resort Bangkok ศูนย์ประชุม BDMS Connect Center รวมถึงบริการเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการระดับสูงจากต่างชาติ ในช่วงไตรมาสที่สองและสามของปีนี้ 60% ของผู้รับบริการของคลินิคเป็นชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนและตะวันออกกลาง ซึ่งรู้จักแบรนด์ BDMS ในฐานะผู้ให้บริการด้านสุขภาพและการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมที่สุด            นพ. ตนุพล กล่าวว่าบริษัทยังฝึกสอนพนักงานจำนวนมากที่มีประสบการณ์ในภาคบริการโรงแรม เนื่องจากพวกเขามีจิตสำนึกด้านการให้บริการอยู่แล้วในการดูแลผู้รับบริการที่คลินิก            “วิสัยทัศน์ของผมไม่ใช่เพียงการขับเคลื่อนรายได้ แต่ยังต้องการที่จะมีส่วนร่วมกับสังคม ทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพที่สำคัญของโลก” เขากล่าว            ตามข้อมูลของ Global Wellness Institute ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 15 ของโลกในด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในปี 2565 และ BDMS Wellness Clinic ต้องการมีส่วนร่วมในการปรับปรุงอันดับของประเทศให้ติดอันดับห้าอันดับแรกของโลก เขากล่าวว่าบริษัทได้ลงทุนเพิ่มอีก 25,000 ล้านบาทเพื่อพัฒนาอีกหนึ่งคอมเพล็กซ์ด้านสุขภาพในกรุงเทพฯ โดยมุ่งสู่การเป็น “หุบเขาสุขภาพของโลก” โครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในห้าปี ซึ่งจะมีโรงแรม คลินิก และที่พักอาศัยสำหรับผู้ที่เลือกใช้ชีวิตในแบบสุขภาพ บริษัทเพิ่งเปิดตัว BDMS Wellness Clinic Laguna Phuket ที่มุ่งเป้าหมายกลุ่มนักท่องเที่ยวสุขภาพชาวต่างชาติที่มาเยือนสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวจากรัสเซีย ด้วยการดำเนินธุรกิจกลุ่มการดูแลสุขภาพชั้นนำมาเป็นเวลากว่า 50 ปี BDMS ยังได้ลงทุนอย่างมากในด้านการวิจัยและเทคโนโลยี            “ทุกวันนี้ ข้อมูลทางการแพทย์ของคนเราสามารถตรวจสอบได้ทุกด้าน เหมือนพิทพ์เขียวมนุษย์” นพ. ตนุพล กล่าว            “การแพทย์สมัยนี้ไม่ใช่การรักษาแบบ ‘ขนาดเดียวที่เหมาะกับทุกคน’ แต่เป็นการรักษาแบบแม่นยำและให้การแก้ปัญหาที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น”            เทคโนโลยีขั้นสูงช่วยให้สามารถวิเคราะห์สุขภาพส่วนบุคคลได้อย่างละเอียด รวมถึงในด้านฮอร์โมน ภาวะหมดประจำเดือน ระดับความเครียด คุณภาพการนอนหลับ อาหารและการรับประทานอาหาร รวมถึงระดับวิตามินและแร่ธาตุ นอกจากนี้ ยังมีการทดสอบทางพันธุกรรมที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งสามารถประเมินความเสี่ยงของบุคคลที่จะเกิดโรคในอนาคต และช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการดำเนินชีวิตที่ดีต่อสุขภาพได้            นพ. ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหารของ BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BDMS)

BEM ชวนอัปสกิลถ่ายภาพด้วยมือถือ

BEM ชวนอัปสกิลถ่ายภาพด้วยมือถือ

          คุณเคยมีความรู้สึกแบบนี้ไหม? ที่อยากถ่ายภาพให้อาร์ตได้กว่านี้แต่ไปไม่สุดสักที ถ้าเคย บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ขอชวนมาเปิดประสบการณ์การถ่ายภาพที่แตกต่างออกไปผ่าน Workshop  "ถ่ายภาพด้วยมือถือ" โดย อาจารย์ธีรพงศ์ เสรีสำราญ อาจารย์ด้านศิลปะภาพยนตร์ และที่ปรึกษาด้านประวัติศาสตร์และปรัชญาศิลปะของ IWS THAILAND ที่จะพาคุณไปเปิดมุมมองใหม่เพื่อค้นพบความงามที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน เรียนรู้การสังเกตสิ่งรอบตัว พร้อมถ่ายทอดเทคนิคการถ่ายภาพที่หลากหลายด้วยโทรศัพท์มือถือเล็กๆ เพียงเครื่องเดียว ทั้งการถ่ายภาพเชิงนามธรรมและกึ่งนามธรรม  แล้วทุกคนอาจจะค้นพบศักยภาพที่เกินขีดจำกัดของตัวเอง           โดยกิจกรรมจะถูกจัดขึ้นทุกวันอังคารและวันพุธตลอดเดือนพฤศจิกายน เวลา 09.30 – 16.00 น.   ณ ห้อง Art Learning Centre ที่ Metro Art MRT สถานีพหลโยธิน ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมล่วงหน้าได้ฟรี !! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (รับจำนวนจำกัด) ผ่านทาง QR Code หรือ https://shorturl.asia/ag6Q9 สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook (เฟซบุ๊ก) และ X (เอ็กซ์) : BEM Bangkok Expressway and Metro [PR News]

[ภาพข่าว] TTC ร่วมปลูกป่า เพิ่มพื้นที่สีเขียว

[ภาพข่าว] TTC ร่วมปลูกป่า เพิ่มพื้นที่สีเขียว

          นายโสภณ เลิศฐิติตระกูล ผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท ที.ที.เซรามิค จำกัด (มหาชน) หรือ T.T. Ceramic ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระเบื้องพอร์ซเลนชั้นนำของประเทศไทย ภายใต้แบรนด์เซอเกรส พร้อมด้วยนางสาวเปรมยุดา บุญจันทร์แดง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกแย้, นายสมพร เกตุสุวรรณ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกแย้ นำทีมพนักงานจิตอาสา ร่วมกิจกรรมปลูกต้นทองอุไร เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวรวมถึงช่วยป้องกันและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ลดมลภาวะจากฝุ่นและหมอกควัน ช่วยลดภาวะโลกร้อนผ่านการดำเนินโครงการ "ปันน้ำใจ สร้างรอยยิ้ม" ปรับภูมิทัศน์ ณ ศาลาประชาคม หมู่ 13 ต.โคกแย้ อ.หนองเเค จ.สระบุรี เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567           ทั้งนี้กลุ่มบริษัทฯ เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม อันจะเป็นประโยชน์ในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับชุมชนและประเทศอย่างยั่งยืน

PT Songkhla Grandprix 2024 สร้างประวัติศาสตร์ยอดผู้ชมกว่า 2 แสนคน

PT Songkhla Grandprix 2024 สร้างประวัติศาสตร์ยอดผู้ชมกว่า 2 แสนคน

          PT Songkhla Grandprix ได้รับเกียรติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ เข้าร่วมงานแบบ VIP ในพิธีเปิดการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ PT Maxnitron Racing Series 2024 รายการ PT Songkhla Grandprix พร้อมด้วยประธานในพิธี นายเศวต เพชรนุ้ย รองผู้ว่าราชการ รักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา   ,นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ,นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  นายรังสรรค์ พวงปราง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการเงินและความยั่งยืน นายฉลอง ติรไตรภูษิต ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ,นายศิลป์ ธีรนิติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส 63 โปรเจค จำกัด ประธานจัดการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ พีที แม็กซ์นิตรอน เรซซิ่ง ซีรีส์ พร้อมหน่วยงานราชการ ภาคเอกชนในจังหวัดสงขลา และสปอนเซอร์เข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขัน PT Songkhla Grandprix 2024 รูปแบบ Street Circuit กันอย่างพร้อมเพรียง           การแข่งขันศึกชิงเจ้าความเร็วรถยนต์ทางเรียบ PT Maxnitron Racing Series 2024 ในรายการ PT Songkhla Grandprix 2024 ในรูปแบบ Street Circuit  ถือเป็นสนามตัดสินแชมป์ว่านักแข่งคนใดจะได้รับถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ใน 3 รุ่น ได้แก่ รุ่น Saim GT ,รุ่น Saim Group N และรุ่น Saim Truck ส่วนในรุ่น Siam Eco car ,รุ่น Siam 1500 และรุ่น Siam Group A ก็ยังขับเคี่ยวในการชิงชัยแบบประทับใจแฟนๆมอเตอร์สปอร์ตไม่แพ้กัน           PT Songklha Grandprix 2024 เริ่มการแข่งขันระหว่างวันที่ 17 - 20 ตุลาคมที่ผ่านมา และในปีนี้การแข่งขันตรงกับงานประเพณีลากพระและตักบาตรเทโว ซึ่งเป็นประเพณีประจำจังหวัดที่ยิ่งใหญ่ของชาวสงขลา ทำให้มีนักท่องเที่ยวและแฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตเข้าร่วมงานมากกว่า 200,000 คน ยอดผู้ชมผ่าน Live Streaming มากกว่า 2,000,000 คน ความสนุก ความตื่นเต้น ความเร้าใจเกิดขึ้นในสนามรูปแบบ Street Circuit ที่แฟนชาวมอเตอร์สปอร์ตได้ลุ้นกันทุกรุ่น กิจกรรมภายในงานจัดเต็มทุกรูปแบบให้ทุกคนได้สัมผัสกันอย่างเต็มอิ่มไม่มีเบื่อ ทำให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ชาวจังหวัดสงขลา           นายฉลอง ติรไตรภูษิต ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “PTG ในฐานะผู้สนับสนุนหลักรายการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ PT Maxnitron Racing Series  อยากยกระดับวงการมอเตอร์สปอร์ตประเทศไทยให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักแข่งไทยที่ฝีมือไม่แพ้ชาวต่างชาติ  การที่มีรายการแข่งขันทำให้ได้เพิ่มประสบการณ์ยิ่งขึ้นไป อีกหนึ่งอย่างที่สำคัญนั่นคือการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นรายได้ของการท่องเที่ยว รายได้ครัวเรือน เพิ่มขึ้นตามนโยบายหลักของ PTG ที่อยากเห็นคนไทย อยู่ดี มีสุข สุดท้ายทาง PTG ขอขอบคุณจังหวัดสงขลา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตลอดจนภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแข่งขัน PT Songklha Grandprix 2024 ในครั้งนี้ และพบกันใหม่ในปีหน้าครับ “           คุณศิลป์ ธีรนิติ กรรมการบริหาร บริษัท เอส 63 โปรเจค จำกัด และประธานจัดการแข่งขัน กล่าวว่า “สำหรับความสำเร็จของการแข่งขัน PT Maxnitron Racing Series 2024 ในครั้งนี้ มีรถแข่งเข้าร่วมในรายการมากกว่า 200 คันถือว่าเกินคาด โดยเฉพาะรายการที่จังหวัดสงขลานี้มีแฟนๆชาวมอเตอร์สปอร์ตที่มาร่วมชมร่วมเชียร์ในสนาม และชมผ่านทาง   Live Streaming อย่างเนืองแน่นแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนกับการจัดการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบในรูปแบบ Street Circuit ซึ่งทางเราจัดงาน PT Songklha Grandprix 2024 ในครั้งนี้ไม่ใช่การจัดการแข่งขันรถยนต์เพียงอย่างเดียว แต่เราจัดงานในรูปแบบเฟสติวัล ซึ่งมีกิจกรรมต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมสำหรับเด็กกับบาลานซ์ไบค์ ในลาน PTRS Expo มีน้องๆอายุ 3-5 เข้าร่วมแข่งขันมากกว่า 270 คัน มีบู้ธแสดงสินค้าต่างๆมากกว่า 30 บู้ธ กิจกรรมแจกรถมอเตอร์ไซด์ และที่สำคัญจังหวัดสงขลาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้จัดงานประเพณีลากพระและตักบาตรเทโว ในวันเดียวกันซึ่งเป็นงานผสมผสานระหว่างประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของชาวสงขลาและกีฬามอเตอร์สปอร์ตเข้าไว้ด้วยกัน สุดท้ายของฝากรายการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ PT Maxnitron Racing Series ไว้ในดวงใจของแฟนๆชาวมอเตอร์สปอร์ตทุกๆท่านด้วยครับ ” สามารถติตามข่าวสารความเคลื่อนไหวได้ที่ Facebook: https://www.facebook.com/ptmaxnitronmotorsport Instagram : https://www.instrgram.com/pt_maxnitronmotorsport/ Youtube: https://www.youtube.com/@ptmaxnitronmotorsport87 [PR News]

[ภาพข่าว] GPSC ร่วมทอดกฐินประจำปี 67

[ภาพข่าว] GPSC ร่วมทอดกฐินประจำปี 67

          นางปริญดา มาอิ่มใจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารองค์กร บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. ในฐานะประธานในพิธีทอดกฐินสามัคคี ประจำปี 2567 พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร พนักงานในกลุ่ม GPSC และชาวบ้านในเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียง ร่วมกันเป็นเจ้าภาพทำบุญทอดกฐิน ณ วัดเขาไผ่ ตำบลทับมา อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เพื่อบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถานภายในวัด ให้เป็นที่สักการะของประชาชนในพื้นที่สืบต่อไป

[ภาพข่าว] ASW  ต้อนรับ  Mister International Thailand 2024 สู่

[ภาพข่าว] ASW ต้อนรับ Mister International Thailand 2024 สู่ "AssetWise Family"

           คุณไอรินลดา อนันต์กิจคุณากร รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม 4 บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของการประกวด Mister International Thailand มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ให้การต้อนรับ เฟม ชุติพงศ์ พุทธรักษ์เจ้าของตำแหน่ง Mister International Thailand 2024 เข้าสู่ “AssetWise Family” โดยส่งมอบห้องพักของโครงการ "แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี"  (Atmoz Flow Minburi) ที่ตกแต่งครบ พร้อมเข้าอยู่ เพื่อเป็นที่พักตลอดการดำรงตำแหน่ง โดยห้องพักดังกล่าวได้นำคาแร็คเตอร์ของเฟม ชุติพงศ์มาเป็นไอเดียในการตกแต่งห้อง เน้นความเรียบเท่ แต่มีฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน  นอกจากนี้บริเวณด้านหน้าโครงการยังมีมิงเกิ้ล ฮิลล์ มีนบุรี ไลฟ์สไตล์มอลล์ที่ครบครันด้วยฟิตเนส ร้านค้า ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี เมื่อเร็วๆ นี้  ณ โครงการแอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี            ทั้งนี้ โครงการแอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี เป็นรีสอร์ทคอนโดมิเนียมตั้งอยู่ใน WisePark ที่ทางบริษัทฯ พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด The Next Urban Community for All Gens ซึ่งผสมผสานพื้นที่สีเขียวของธรรมชาติไว้ในทุกรายละเอียด เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยครบทุกด้านสำหรับคนทุกเจนเนอเรชั่น โดยโครงการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพย่านมีนบุรี  ที่สะดวกสบายทุกการเดินทาง ติดรถไฟฟ้าสีชมพูสถานีตลาดมีนบุรี และใกล้จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีส้ม อีกทั้งยังใกล้จุดขึ้น - ลงวงแหวนกาญจนาภิเษก และใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ครบครันด้วยพื้นที่ส่วนกลางกว่า 35 รายการ ที่ตอบโจทย์ทุกโหมดของการใช้ชีวิตทั้ง Live, Active, Play และ Work ในบรรยากาศสีเขียวชอุ่มร่มรื่นเหมาะกับการใช้ชีวิตแบบครบวงจรในที่นี่ที่เดียว

KITCARBON ผนึก TGO เดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่ Net Zero

KITCARBON ผนึก TGO เดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่ Net Zero

           “KITCARBON” แพลตฟอร์มประมวลผลการปล่อย CO2 สำหรับโครงการก่อสร้างรายแรกในไทย ที่มีแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีและเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ร่วมมือภาครัฐ ผู้ออกแบบ ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างและสถาบันวิจัย แชร์ความรู้ในหัวข้อ “Data-Driven Toward Net Zero” ดึงตัวช่วยสุดล้ำบนแพลตฟอร์ม KITCARBON  ชูแนวคิด 'คิด ก่อน สร้าง' พร้อมผนึก TGO เดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่ Net Zero ด้วย Green Data  เชื่อมต่อทุกภาคส่วนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ภายในงาน “KITCARBON Inclusive Green Growth Talks : Sustainability as a possibility, Data-Driven Toward Net Zero” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์            โดย นายสุรชัย นิ่มละออ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน กล่าวเปิดงานพร้อมเผยว่า SCG ในฐานะผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง นอกจากเรื่องที่เราส่งมอบ Green Products เรายังใช้เทคโนโลยี Digital เพื่อให้ทุกการก่อสร้างของลูกค้าของเราเป็นอาคารคาร์บอนต่ำผ่านแพลตฟอร์ม KITCARBON ที่จะช่วยประเมินคาร์บอนในโครงการก่อสร้างก่อนก่อสร้างจริง ซึ่งได้รับการสนับสนุนข้อมูลฉลากคาร์บอนจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) นับเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก ที่จะสามารถทำให้แพลตฟอร์ม KITCARBON มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็จะเป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างของไทย ซึ่งสอดคล้องกับ NET ZERO Roadmap ของประเทศไทย เช่นกัน            ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายรองเพชร บุญช่วยดี รองผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ร่วมแชร์ความรู้ในหัวข้อ “Sustainability as a possibility” ถึงทิศทางภาคธุรกิจไทยมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างยั่งยืน พร้อมเผยถึงกลไกที่เป็น Carbon Pricing ในการลดก๊าซเรือนกระจกที่ทั่วโลกนิยมใช้หลักๆ คือ Emission Trading Scheme (ETS) และภาษีคาร์บอน ซึ่งนับว่าเป็นสองวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถ กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาต่อการใช้เทคโนโลยีที่สะอาดในประเทศได้            ทั้งนี้ช่วงเสวนาในหัวข้อ “Inclusive Green Growth Talks: Data-Driven Toward Net Zero” ยังได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 4 ท่านมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้            โดย นายนพพร กีรติบรรหาร Chief Marketing Officer บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด เผยว่า การลดคาร์บอนเครดิตนั้นต้องคำนึงถึงทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1) Green Process เน้นการลดคาร์บอนตั้งแต่กระบวนการผลิต ลดการใช้พลังงานถ่านหิน แล้วหันมาใช้เชื้อเพลิงทดแทน รวมถึงลดการใช้ไฟฟ้าโดยใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิตซีเมนต์ในประเทศแทน 2) Green Products มีการพัฒนาปูนคาร์บอนต่ำเจเนอเรชัน 2 โดยตั้งเป้าสัดส่วนการขายปูนคาร์บอนต่ำทดแทนปูนเดิมที่ 90% ภายในปีนี้ และผลักดันให้มีการใช้สินค้า SCG Green Choice มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสินค้า 318 รายการ ที่ได้รับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และมีแผนที่จะขอจดเพิ่มอีก 210 รายการในปีนี้ 3) Green Solutions เน้นการพัฒนานวัตกรรมก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น เทคโนโลยีการพิมพ์คอนกรีต 3 มิติ (3D Printing) ที่ช่วยลดเศษวัสดุเหลือใช้หน้างานได้ถึง 70% และแพลตฟอร์มประเมินคาร์บอนงานก่อสร้าง หรือ KITCARBON ที่ใช้เทคโนโลยี Digital & BIM เข้ามาช่วยคำนวน Embodied Carbon ของโครงการ ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ต่อการออกแบบกระบวนการก่อสร้างและการเลือกใช้วัสดุ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม            ดร.ณรงค์วิทย์ อารีมิตร Executive Director บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) and Regional Manager A49 ขอนแก่น ในฐานะสถาปนิกและผู้ออกแบบ กล่าวว่า ทางบริษัทจัดตั้งแผนก Sustainability มา 20 ปีแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ หากจะทำให้ครบทั้งกระบวนการต้องอาศัยการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) บริษัทจึงจัดตั้งแผนกใหม่ชื่อ Integrated Research เพื่อบูรณาการความยั่งยืน ข้อมูล และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดในการออกแบบเพื่อความยั่งยืนคือ วิธีคิดไม่ว่าจะเป็น Build Less สร้างให้น้อยลง เพิ่มพื้นที่สีเขียวมากขึ้น Build Light ลดเศษวัสดุในการก่อสร้าง ใช้วัสดุที่นำมารีไซเคิลได้ Build Low Carbon ใช้วัสดุที่มีอยู่ โดยที่ไม่ได้เติมวัสดุสิ้นเปลืองเพิ่ม เป็นอีกหนึ่งวิธีคิดในการออกแบบเพื่อทำให้เกิดคาร์บอนต่ำ และ Build for The Future ออกแบบเพื่อเน้นการลด Operational Carbon เช่น การออกแบบเพื่อลดการใช้ไฟฟ้าในอนาคต เป็นต้น ทั้งนี้การลดคาร์บอนให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ดังนั้นเครื่องมือที่ใช้ในการคำนวณ Embodied Carbon และ Operational Carbon จึงสำคัญมากในอนาคต            ดร.ทศพร ศรีเอี่ยม ผู้อำนวยการสถาบันแบบจำลองสารสนเทศอาคาร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ และคณะทำงานคาร์บอนนิวทัลลิตี้ สภาวิศวกร กล่าวว่า สภาวิศวกรมีหน้าที่ในการจัดทำมาตรฐานการใช้แบบจำลองสารสนเทศอาคาร (Building Information Modeling Standard) ให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล พร้อมเผยแพร่ให้กับองค์กรต่างๆ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการก่อสร้างให้มีความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านจากยุค Analog สู่ยุค Digital นอกจากนี้ ทางสภาฯ ยังพร้อมด้วยวิศวกร จำนวน 200,000 คน และสถาปนิก จำนวน 50,000 คน เพื่อสนับสนุนองค์กรต่างๆ ในการลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ            ด้าน ดร.นงนุช  พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (MTEC) กล่าวว่า ปัจจุบันทุกอย่างมุ่งสู่ Net Zero ทั่วโลกมีการออกมาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมมากถึง 18,000 มาตรการ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 16% ยังไม่รวมถึงความต้องการด้านฉลากคาร์บอนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นทางสถาบันฯ จึงมีหน้าที่ที่จะสนับสนุนข้อมูลให้ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ แต่บางครั้งแม้ว่าเราจะมีฐานข้อมูลของไทยเอง แต่ผู้ประกอบการมักจะเจอปัญหาเวลาจดทะเบียนในต่างประเทศ เพราะใช้ฐานข้อมูลที่ต่างกัน ดังนั้นการพัฒนาฐานข้อมูลให้สอดคล้องกับบริบทหรือธุรกิจแต่ละประเภทนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็น            ดังนั้นการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำของอุตสาหกรรมก่อสร้างนั้นจำเป็นต้องวางแผนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่วิธีคิด การออกแบบ การเลือกใช้วัสดุ การขนส่ง จนถึงการก่อสร้าง ซึ่ง KITCARBON ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ตอบโจทย์และช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลวัสดุก่อสร้าง สามารถคำนวน Embodied Carbon ของวัสดุแต่ละชนิด ลดต้นทุนโดยรวมและลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ [PR News]

[ภาพข่าว] BGRIM ส่งต่อความห่วงใยแก่ผู้ประสบอุทกภัยเชียงใหม่

[ภาพข่าว] BGRIM ส่งต่อความห่วงใยแก่ผู้ประสบอุทกภัยเชียงใหม่

          เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567 พลตรี สมพงษ์ สุขประดิษฐ เจ้ากรมการสัตว์ทหารบก และผู้บังคับหน่วยม้าทรงประจำพระองค์ฯ ผู้แทนรับมอบอาหารสำเร็จรูปและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรสมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย ได้แก่ บี.กริม บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุกทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงที่ผ่านมา           สำหรับอาหารสำเร็จรูปและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นดังกล่าว จะได้รับการลำเลียงและขนส่ง ไปยังกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 3 กองพันสัตว์ต่าง (ค่ายตากสิน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่ผู้ประสบอุทกภัย ต่อไป ณ หน่วยม้าทรงประจำพระองค์ฯ สนามเป้า           การผนึกกำลังในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยครั้งนี้ ดำเนินอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2567 หน่วยม้าทรงประจำพระองค์ฯ และสมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับกรมการสัตว์ทหารบก พร้อมด้วยพันธมิตร บี.กริม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด ให้การสนับสนุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยและสัตว์ที่ได้รับผลกระทบ โดยมอบหญ้าฟ่อนแห้ง จำนวน 200 ฟ่อน หญ้าแพงโกล่าสด 10 ตัน และอาหารม้า Maxwin จำนวน 30 กระสอบ พร้อมสนับสนุนอาหาร ยาและเวชภัณฑ์ ตลอดจนสนับสนุนการเคลื่อนย้ายพื้นที่ให้กับผู้ประสบภัยและสัตว์ ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในพื้นที่ อ.แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่

AP มุ่งสังคมสีเขียว นำร่อง “คอนกรีตคาร์บอนต่ำ”

AP มุ่งสังคมสีเขียว นำร่อง “คอนกรีตคาร์บอนต่ำ”

          กรุงเทพฯ (21 ต.ค. 67) บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย ภายใต้คำมั่นสัญญา “ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้” นำโดย นายบุญชัย จันทร์กระจ่างเลิศ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานซัพพลายเชน ย้ำเบอร์หนึ่งอสังหาฯ ไทย เดินหน้าขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องด้วยการเลือกใช้อีกหนึ่งนวัตกรรมเพื่อโลก “คอนกรีตคาร์บอนต่ำ” ที่พัฒนาขึ้นโดย CPAC บริษัทในเครือเอสซีจี หนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญของเอพี ที่มาร่วมกันสร้างสังคมสีเขียวผ่าน “บ้านคุณภาพ” ตามแนวคิด Green Construction เพราะที่เอพี เราใส่ใจในทุกรายละเอียดของการพัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้เป็นที่...ที่ดีที่สุดในทุกๆ ด้าน โดยล่าสุดในปี 2567 (มกราคม – กันยายน) เอพีได้นำนวัตกรรมนี้มาใช้กับบ้านเอพีกว่า 56 โครงการ ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1,112,600 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2e) หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 117,116 ต้น ด้วยความมุ่งหวังที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศไทยเพื่อก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมพัฒนาองค์กรและสร้างความยั่งยืนในทุกกระบวนการตามหลัก ESG เพื่อให้ลูกบ้านเอพีและสังคมมีชีวิตดีๆ ไปด้วยกัน

ธอส. รับโล่ผู้ทำคุณประโยชน์ ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ธอส. รับโล่ผู้ทำคุณประโยชน์ ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

           หุ้นวิชั่น - ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รับมอบ “โล่ประกาศเกียรติคุณผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปี 2567” จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะที่ธนาคารได้ให้การสนับสนุนและสร้างคุณประโยชน์ในกิจการของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ให้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ซึ่งเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและคุณภาพการศึกษาให้แก่นักเรียนและครูของโรงเรียนในสังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนมาอย่างต่อเนื่อง            นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2567 ธอส. รับมอบ “โล่ประกาศเกียรติคุณผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปี 2567” เนื่องใน “วันตำรวจ” ประจำปี 2567 โดยมี พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธี ในฐานะที่ธนาคารได้ให้การสนับสนุนและสร้างคุณประโยชน์ในกิจการของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนให้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ ซึ่งเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและคุณภาพการศึกษาให้แก่นักเรียน และครูของโรงเรียนในสังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2554 ถึงปัจจุบัน ผ่าน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการสร้าง/ซ่อมอาคารเรียนในถิ่นทุรกันดาร, โครงการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยให้แก่ครอบครัวของนักเรียน และโครงการยกระดับคุณภาพทางการศึกษา (พัฒนาครู) ต่อยอดความรู้ให้กับครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งการสนับสนุนกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้านการศึกษา ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ด้านของการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร โดยธอส.เข้ารับมอบ“โล่ประกาศเกียรติคุณผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปี 2567 ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ [PR News]

ไทยตั้งเป้า Net Zero 2065! เผยอุตสาหกรรมต้องปรับตัวรับมือ Carbon Neutrality 2050 พร้อมแผนผลักดัน 4GO สู่ Smart SMEs

ไทยตั้งเป้า Net Zero 2065! เผยอุตสาหกรรมต้องปรับตัวรับมือ Carbon Neutrality 2050 พร้อมแผนผลักดัน 4GO สู่ Smart SMEs

          สถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดงานสัมมนาวิชาการประจำปี Energy Symposium 2024 ภายใต้หัวข้อ “การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับแผนพลังงานใหม่เพื่อมุ่งสู่ Carbon Neutrality” เพื่อให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมและผู้สนใจทั่วไป ได้รับทราบสถานการณ์โลกที่ส่งผลต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจและพลังงาน พร้อมแนวทางการปรับตัวภายใต้แผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ที่กระทรวงพลังงานกำลังนำมาใช้ผลักดันให้ประเทศมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2065 ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ           นายประสงค์ อินทรหนองไผ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม กล่าวว่า จากสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจ ภาวะโลกร้อนที่ก้าวเข้าสู่ภาวะโลกเดือด และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานโลก และนับเป็นความท้าทายของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะพลังงานถือเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินงานและพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการ SMEs จำเป็นต้องปรับตัวและเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความท้าทายอย่างเร่งด่วน รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) จะมีส่วนช่วยอุตสาหกรรมก้าวสู่การแข่งขันอย่างยั่งยืนในอนาคตได้           ที่ผ่านมา สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะตัวแทนภาคอุตสาหกรรมที่มีบทบาทในการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพของภาคอุตสาหกรรม เล็งเห็นถึงความสำคัญของสถานการณ์ด้านพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ส.อ.ท. จึงได้มียุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนภายใต้นโยบาย ONE FTI (One Vision, One Team, One Goal) โดยเน้นการขับเคลื่อน First Industries หรืออุตสาหกรรมเดิม และขยายผลสู่ Next-GEN Industries ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curves) ที่ขับเคลื่อนด้วย BCG Model (Bio-Circular-Green) ที่เป็นทิศทางของโลกในปัจจุบัน โดยภาคอุตสาหกรรมต้องมีการเตรียมความพร้อมและรับมือต่อผลกระทบจากมาตรการภายใต้กรอบนโยบายจากต่างประเทศ ที่มาในรูปแบบต่างๆ เช่น Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) หรือมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (EU) ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยและอีกหนึ่งแนวทางขับเคลื่อนผู้ประกอบการสู่ Smart SMEs ผ่าน 4GO ประกอบไปด้วย 1. Go Digital & AI ภายใต้โครงการ “Digital One” เพื่อช่วยยกระดับ SMEs ทั่วประเทศ โปรแกรมด้านต่างๆ ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และช่วยลดรายจ่าย ตรงนี้เป็นนโยบายเชิงรุกที่จะช่วยยกระดับให้เป็นสมาร์ทเอสเอ็มอี (Smart SMEs) ได้เร็วขึ้น 2. Go innovation เป็น SMEs “จิ๋วแต่แจ๋ว” ในส่วนของ ส.อ.ท. ได้ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดตั้งกองทุนนวัตกรรมที่เรียกว่า “Innovation One” หรือโครงการกองทุนอินโนเวชั่นวันโดยกระทรวง อว. ได้ให้งบสนับสนุน 1,000 ล้านบาท และ ส.อ.ท. สมทบอีก 1,000 ล้านบาท รวมเป็น 2,000 ล้านบาท ในกรอบระยะเวลา 3 ปี เพื่อสนับสนุน SMEs และสตาร์ทอัพ (Startup) ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า 3. Go Global จะผลักดันผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถผลิตและขายสินค้าไปต่างประเทศได้ในมาตรฐานที่ต่างประเทศยอมรับ หากเป็น SMEs ที่เป็นห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของผู้ส่งออกต่างชาติที่มาตั้งฐานผลิตในไทย จะผลักดันให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อยกระดับมาตรฐานตัวเองไปกับสินค้าต่างๆ 4. Go Green จะผลักดันให้ผู้ประกอบการ SMEs ผลิตสินค้าและมีกระบวนการทั้งหมดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะปัจจุบันผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ คือ สินค้าที่ทั้งโลกต้องการและขยายตัวต่อเนื่อง เพื่อให้เสริมสร้างขีดความสามารถทางแข่งขันในระดับสากลได้           นอกจากนี้ ส.อ.ท. ได้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงพลังงาน ในการขับเคลื่อนแนวทางการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐด้วยดีมาอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น ดำเนินโครงการและกิจกรรมต่างๆ ให้กับสมาชิก ส.อ.ท. เพื่อผลักดันและจูงใจให้มีการอนุรักษ์พลังงานและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงส่งเสริมการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มมูลค่า ตลอดจนส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน (Renewable Energy) ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) เพื่อมุ่งเน้นการผลิตที่ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรมการอบรมและสัมมนา รวมทั้งผลิตสื่อเผยแพร่ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรม           นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาเราจะได้ยินเรื่องการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ที่หมายถึง การพยายามทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เป็นกลาง ให้มีความสมดุลกันระหว่างการปล่อยและการดูดกลับด้วยการอนุรักษ์และปลูกป่าไม้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนใหญ่มาจากการผลิตการใช้พลังงานในทุกภาคส่วน ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลำดับที่ 20 ของโลก จากทั้งหมด 198 ประเทศ (Climate Watch Data, 2020) ซึ่งการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนใหญ่มาจากภาคพลังงานประมาณร้อยละ 70 จากการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่งรวมกัน           อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงาน มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศและเพื่ออำนวยความสะดวก ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเลิกใช้พลังงาน แต่เราต้องใช้อย่างคุ้มค่าและก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งจะเป็นหนทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนอย่างยั่งยืน           ภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกที่ดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ต้องปรับตัวสู่การผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำจากพันธกรณีในระดับโลกที่กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งส่งผลต่อการเลือกซื้อสินค้าและบริการ รวมถึงการเลือกลงทุนในธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยก็เช่นกันที่ต้องปรับตัว ไม่ใช่แค่เพื่อความอยู่รอดในเชิงธุรกิจที่พิจารณาเฉพาะผลตอบแทนในรูปของตัวเงินเท่านั้น แต่เป็นการปรับการดำเนินธุรกิจเพื่อความอยู่รอดอย่างยั่งยืนของโลกที่รวมถึงทรัพยากรและสิ่งมีชีวิตบนโลกด้วย แผนพลังงานชาติที่กระทรวงพลังงานจัดทำขึ้นได้มุ่งเน้นสู่พลังงานที่มั่นคง ยั่งยืน และเป็นธรรม สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงาน พร้อมกับสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการส่งเสริมพลังงานสะอาด           นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ ยังกล่าวอีกว่า สิ่งที่กระทรวงพลังงานให้ความสำคัญและดำเนินการอยู่ คือ การนำแผนไปสู่การปฏิบัติด้วยการ “รื้อ ลด ปลด สร้าง” เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมให้สามารถปฏิบัติตามแผนที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนก็สามารถประยุกต์แนวคิดดังกล่าวได้เช่นกัน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการปล่อยคาร์บอนจากดำเนินธุรกิจไปพร้อมกับการดูดกลับด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวหรือการชดเชยคาร์บอน จัดการสภาวะปัจจุบันที่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่าน โดย “รื้อ” ระบบการผลิตการใช้พลังงานเก่าที่ล่าสมัยไร้ประสิทธิภาพออกไป ซึ่งจะเป็นการ “ลด” การใช้พลังงานของตนเองไปโดยอัตโนมัติ นั่นคือ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้มีการผลิตที่ใช้พลังงานน้อยลง แต่ได้ผลผลิตที่มากขึ้นด้วยวัสดุอุปกรณ์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพพลังงานสูง “ปลด” พันธนาการจากการพึ่งพาพลังงานจากภายนอกด้วยการผลิตพลังงานสะอาดใช้เอง ที่จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถกำหนดและควบคุมต้นทุนด้านพลังงานได้ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะต้นทุนด้านไฟฟ้าที่การผลิตไฟฟ้าของส่วนกลางต้องนำเข้าเชื้อเพลิง LNG จากต่างประเทศ ทำให้มีต้นทุนสูงและมีราคาผันผวนตามราคาตลาดโลก ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและกระทบต่อความอยู่รอดของภาคอุตสาหกรรม           ดังนั้น การที่ธุรกิจจะอยู่รอดได้อย่างยั่งยืนต้องมีแหล่งพลังงานสะอาดที่สามารถบริหารจัดการได้เองที่จะช่วยลดปริมาณความต้องการไฟฟ้าได้ โดยปัจจุบันกระทรวงพลังงานอยู่ในระหว่างดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง เป็นต้น เพื่อให้มีความทันสมัย ปลดล็อคกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ลดขั้นตอนให้ผู้ประกอบการ และช่วยอำนวยความสะดวกให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวสู่การเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าสะอาดใช้เอง เพื่อลดค่าใช้จ่ายทางธุรกิจและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของตนเอง นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมยังสามารถ “สร้าง” มูลค่าเพิ่มให้กับของเสียน้ำเสียจากกระบวนการผลิตของตนเองต่อยอดสู่การผลิตเป็นพลังงานทดแทนสำหรับนำกลับมาใช้เอง “สร้าง” ระบบบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของตนเองด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การปรับปรุงระบบขนส่งเป็นรถไฟฟ้าเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันและลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น           จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างของการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม ที่เชื่อว่ามีหลายแห่งที่ได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว โดยกระทรวงพลังงานจะเดินหน้าผลักดันต่อไป เพื่อสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวสู่การผลิตการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพที่ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน ลดต้นทุนด้านการจัดการทรัพยากรวัตถุดิบและการจัดการของเสีย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม และท้ายที่สุดจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาพรวมของประเทศและของโลกเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

[ภาพข่าว] GPSC ร่วมฟื้นฟูระบบนิเวศ จ.ระยอง 

[ภาพข่าว] GPSC ร่วมฟื้นฟูระบบนิเวศ จ.ระยอง 

          นายพัฑฒิ บุณยสุขานนท์ ผู้จัดการส่วนปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจการสาธารณะ กลุ่มบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. พร้อมด้วย นายอนุสรณ์ แสงกล้า นายอำเภอเมืองระยอง พนักงานจิตอาสา ชุมชน และคู่ค้า จัดกิจกรรม ร่วมปลูกต้นไม้จำนวน 1,000 ต้น ในพื้นที่กว่า 10 ไร่ ภายใต้โครงการ “เพาะกล้า ฟื้นป่า สร้างชีวิต” เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่าต้นน้ำ ซึ่งเป็นป่าชุมชนของบ้านมาบจันทร์ ตำบลแกลง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง           กิจกรรมครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ และชุมชน ที่มีส่วนร่วมในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ผ่านการปลูกต้นไม้หลากหลายชนิด ได้แก่ ยางนา ตะเคียนทอง พยูง ไผ่กิมซุง และไผ่หวาน เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และสร้างความยั่งยืนในการใช้ประโยชน์จากป่าชุมชน และลดสภาวะโลกร้อนอีกด้วย

[ภาพข่าว] กลุ่ม ปตท. เร่งฟื้นฟู บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอุทกภัยเชียงใหม่

[ภาพข่าว] กลุ่ม ปตท. เร่งฟื้นฟู บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอุทกภัยเชียงใหม่

           ชมรม PTT Group SEALs พร้อมด้วยตัวแทนจากชมรมพลังไทยใจอาสา ปตท. และโออาร์ ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยทำการเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวางและสิ่งของภายในบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย พร้อมทั้งฟื้นฟูและทำความสะอาดพื้นที่ประสบภัย นอกจากนี้ ยังได้มอบถุงยังชีพจำนวนกว่า 560 ถุง ให้กับชุมชนรอบสถานประกอบการคลังน้ำมันเชียงใหม่ รวมทั้งอุปกรณ์ทำความสะอาด เช่น เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ไม้ดันน้ำ น้ำยาทำความสะอาด แปรงขัด และถุงขยะ เพื่อให้ชุมชนสามารถทำความสะอาดเพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง ปัจจุบันระดับน้ำในพื้นที่ส่วนใหญ่ลดลงเกือบทั้งหมด เหลือเพียงบางพื้นที่ที่ยังมีน้ำท่วมขังเล็กน้อย โดย กลุ่ม ปตท. ยังคงเดินหน้าฟื้นฟูและช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นคืนสภาพความเป็นอยู่ที่ดีแก่ประชาชน

[PR News] “AIRA” สานฝันเด็กๆ จากพี่สู่น้อง รร.บ้านบึงกระโดน / Shared time

[PR News] “AIRA” สานฝันเด็กๆ จากพี่สู่น้อง รร.บ้านบึงกระโดน / Shared time

          กรุงเทพฯ - บมจ.ไอร่า แคปปิตอล “AIRA” เดินหน้าสร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชน ผ่านโครงการ “ไอร่าเพื่อสังคม สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ปีที่ 10” ล่าสุดส่งความสุขให้น้องๆ รร.บ้านบึงกระโดน (ศิริสิงห์อุปถัมภ์) จ.ชลบุรี ร่วมบริจาคทุนการศึกษา อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา เครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต สานฝันน้องๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน           นายสุทธิพร ตัณฑิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA  เปิดเผยว่า AIRA Group ตระหนักถึงความสำคัญด้านการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคตมาตลอด เพื่อเป็นการมอบความสุข ส่งต่อรอยยิ้มผ่านโครงการ “ไอร่า เพื่อสังคม สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ปีที่ 10 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความก้าวหน้าที่ยั่งยืนด้านสังคม สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางอ้อมที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทฯ ในอนาคต ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งจุดยืนที่ชัดเจนในการทำประโยชน์เพื่อสังคม ควบคู่กับการบริหารงานภายใต้การเป็นผู้นำธุรกิจการเงินในรูปแบบ Non-Bank ครบวงจรด้วยการให้บริการแบบ One stop service           “AIRA มุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องกับระยะเวลากว่า 1 ทศวรรษที่เดินหน้าพัฒนาสังคม โดยมองเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนามนุษย์โดยเฉพาะกับเยาวชน เพื่อให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายหลักในการสร้างโอกาสด้านความรู้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนในวัยเรียน อันเป็นบุคลากรสำคัญที่จะสร้างประโยชน์กับสังคม ให้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต ดังนั้น AIRA จึงมองว่าการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีภายในโรงเรียนจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับเด็กๆ ”            ล่าสุด AIRA Group จัดกิจกรรมสานฝันเด็กๆจากพี่สู่น้อง โดยมอบทุนการศึกษา อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา เครื่องอุปโภคบริโภค พร้อมทั้งร่วมกิจกรรมสันทนาการ ปลูกต้นไม้ภายในโรงเรียน   ทาสีอุปกรณ์สนามเด็กเล่น และเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ เพื่อสร้างความสุขให้กับน้องๆนักเรียน โรงเรียนบ้านบึงกระโดน (ศิริสิงห์อุปถัมภ์) อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี           “นอกจากบริจาคทุนการศึกษา เครื่องกรองน้ำ มุ้งลวด อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา ปรับปรุงภูมิทัศน์แล้ว ทางผู้บริหาร และพนักงานของกลุ่มไอร่ายังได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมสันทนาการและเล่นกีฬากับน้องๆนักเรียน ทำให้ทีมไอร่าทุกคนสัมผัสถึงความน่ารักของเด็กๆและคุณครู ของ รร.บ้านบึงกระโดนแห่งนี้   เราได้เห็นถึงความรู้ความสามารถที่ดีของเด็ก เพียงแต่ขาดทุนทรัพย์ที่ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาในการบูรณาการต่อยอดด้านการศึกษา และกิจกรรมด้านสันทนาการ ดังนั้นการที่ไอร่าได้ลงพื้นที่ครั้งนี้ ทำให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างต้นกล้าที่ดี เพื่อเตรียมพร้อมให้เด็กๆเหล่านี้ ได้มีศักยภาพที่จะเติบโตไปเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สมบูรณ์มีคุณภาพ สร้างประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป”           อย่างไรก็ตาม AIRA Group ยังคงเชื่อมั่นเรื่องการสร้างโอกาส ในการส่งเสริมการศึกษาของเด็กไทยสู่สังคมในอนาคตที่ดีขึ้น บริษัทฯ จึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม สานต่อโครงการเพื่อมอบโอกาสทางการศึกษา สร้างรอยยิ้มให้กับเด็กๆ สอดรับกับนโยบายการความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สู่การพัฒนาองค์กรอย่างมั่นคงและยั่งยืน

[PR News] STI สานต่อโครงการ “ต่อ เติม สุข เพื่อคนพิการ” เป็นปีที่ 3

[PR News] STI สานต่อโครงการ “ต่อ เติม สุข เพื่อคนพิการ” เป็นปีที่ 3

          บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) (STI) และ บริษัท สโตนเฮ้นจ์ จำกัด (STH) เดินหน้าโครงการ “ต่อ เติม สุข เพื่อคนพิการ” ส่งมอบเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้แล้วจำนวนกว่า 300 ชิ้น ส่งมอบให้กับ สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล เพื่อนำไปซ่อมแซมและจำหน่าย นำรายได้ไปจัดซื้อวีลแชร์มอบให้กับคนพิการทั่วประเทศไทย พร้อมต่อยอดมุ่งมั่นในการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ และประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน           นายสมจิตร์ เปี่ยมเปรมสุข กรรมการบริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ผู้นำในกลุ่มธุรกิจวิศวกรที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน รวมถึงบริษัท สโตนเฮ้นจ์ จำกัด (STH) ร่วมมือสานต่อโครงการเพื่อสังคม “ต่อ เติม สุข เพื่อคนพิการ” เป็นปีที่ 3 ส่งมอบเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้แล้ว จำนวนกว่า 300 ชิ้น ให้กับสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล เพื่อนำเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับบริจาคไปซ่อมแซมและแยกชิ้นส่วนเพื่อจำหน่าย โดยนำรายได้จากการจำหน่ายไปช่วยเหลือผู้พิการ และจัดซื้อวีลแชร์มอบให้กับคนพิการทั่วประเทศไทย ซึ่งแต่ละครั้งในการเปิดรับบริจาค ได้รับกระแสตอบรับที่ดีเสมอมา           นายสมจิตร์ เปี่ยมเปรมสุข กล่าวเสริมว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จัดโครงการ 'ต่อ เติม สุข เพื่อคนพิการ' เป็นปีที่ 3 แล้ว โดยในวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา เราได้ส่งมอบสิ่งของที่ได้รับบริจาคให้กับสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการช่วยเหลือและสร้างโอกาสให้กับผู้พิการในสังคมของเรา”           สำหรับโครงการ “ต่อ เติม สุข เพื่อคนพิการ” นอกจากเป็นการช่วยเหลือผู้พิการแล้ว โครงการนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ที่บริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปัจจุบันหลายคนยังมีการจัดการหรือนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้แล้วมารีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ในโครงการนี้ นับเป็นอีกหนึ่งทางในการช่วยลดการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์และประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ อีกทั้งนำมาต่อยอดสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้           กลุ่มบริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะดำเนินโครงการเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องทุกปี เพราะเชื่อว่าการช่วยเหลือสังคมและการดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นหน้าที่สำคัญของภาคธุรกิจ ที่สอดคล้องกับนโยบายด้านความยั่งยืนของบริษัท ในการสร้างคุณค่าร่วมกันระหว่างธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้เติบโตควบคู่กันไปในทุกมิติ

[ภาพข่าว] TNP ร่วมบุญ เทศกาลถือศีลกินเจ ปี 2567

[ภาพข่าว] TNP ร่วมบุญ เทศกาลถือศีลกินเจ ปี 2567

           บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดเชียงราย ร่วมเป็นหนึ่งในบริษัทที่ร่วมบุญ สนับสนุนมอบสินค้าอุปโภคเจ ให้กับมูลนิธิ สาธารณกุศลสงเคราะห์ จ.เชียงราย เพื่อให้ประชาชนในจังหวัดเชียงรายที่ร่วมเทศกาลถือศีลกินเจ ได้มีอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลาย และเป็นตัวเลือกเพิ่มเติม ในตลอดระยะเวลาการกินเจ โดยมีคณะกรรมการมูลนิธิฯ เป็นผู้รับมอบ เมื่อเร็วๆนี้            ซึ่งบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความคึกคัก ทั้งจากผู้ประกอบการในจังหวัดเชียงรายที่ร่วมสนับสนุนกับมูลนิธิฯ และประชาชนที่ร่วมเทศกาล  ธนพิริยะในฐานะร้านค้าปลีกของคนไทย ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสานประเพณีถือศีลกินเจที่สืบทอดกันมาอย่างช้านานและดำเนินกันต่อเนื่องมาทุกปี

[ภาพข่าว] บี.กริม พร้อมพันธมิตรช่วยผู้ประสบภัยและสัตว์ จากน้ำท่วมเชียงใหม่

[ภาพข่าว] บี.กริม พร้อมพันธมิตรช่วยผู้ประสบภัยและสัตว์ จากน้ำท่วมเชียงใหม่

           บี.กริม ร่วมกับ กรมการสัตว์ทหารบก หน่วยม้าทรงประจำพระองค์ฯ พร้อมด้วยพันธมิตรและภาคีเครือข่ายสมาชิก สมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย สนับสนุนอาหารและหญ้าแห้ง ยาและเวชภัณฑ์ และการเคลื่อนย้ายพื้นที่ให้กับผู้ประสบภัยและสัตว์ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมเร่งช่วยเหลือ ศูนย์บริบาลช้างฯ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่            เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะที่ปรึกษาศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) ปฏิบัติการส่วนหน้า เดินทางไปที่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและการดำเนินงานของศูนย์ประสานงานให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงใหม่ โดยได้ประสาน กรมการสัตว์ทหารบก เพื่อให้ความช่วยเหลือ ศูนย์บริบาลช้างฯ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ พร้อมสนับสนุนอาหารและหญ้าแห้ง ยาและเวชภัณฑ์ และสนับสนุนการเคลื่อนย้ายพื้นที่ให้กับผู้ประสบภัยและสัตว์ ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในพื้นที่ อ.แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่            โดยมีกรมการสัตว์ทหารบก ร่วมกับหน่วยม้าทรงประจำพระองค์ฯ และสมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยพันธมิตร บี.กริม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด ให้การสนับสนุน ช่วยเหลือผู้ประสบภัยและสัตว์ ที่ได้รับผลกระทบ โดยมอบหญ้าฟ่อนแห้ง หญ้าแพงโกล่าสด และอาหารม้า Maxwin ณ บ้านแม่ตะมาน ต.กื๊ดช้าง อ.แม่แตง สำหรับเป็นอาหารสัตว์ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่            ทั้งนี้ ศูนย์อภิบาลและอนุรักษ์ช้างฯ จะดำเนินการเคลื่อนย้ายม้ามายังบ้านแม่ตะมาน ต.กื๊ดช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เมื่อสร้างคอกเรียบร้อยแล้ว (ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการ) โดยกรมการสัตว์ฯ ยังมีแผนการดำเนินการให้หน่วยงานในพื้นที่สนับสนุนหญ้าแพงโกล่าตัดสด วันละ 1 ตัน และสำรวจความต้องการอาหารม้า Maxwin ในพื้นที่อุทกภัยต่อไป            บี.กริม ได้ให้การสนับสนุนกีฬาขี่ม้ามายาวนาน ด้วยการสนับสนุนผ่านสมาคมขี่ม้าแห่งประเทศไทย เพื่อการพัฒนาศักยาภาพของกีฬาขี่ม้าในประเทศไทยในทุก ๆ มิติ นอกจากนี้ บี.กริม ยังได้จัดการแข่งขันกีฬาขี่ม้าโปโลเพื่อการกุศล ระดมทุนสนับสนุนโรงเรียนและมูลนิธิต่างๆ เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนในการพัฒนาวิชาชีพของโรงเรียนจิตรลดา (สายวิชาชีพ) ช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเต้านมผ่านมูลนิธิมะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติฯ ตลอดจนส่งเสริมโอกาสและการสร้างอาชีพให้แก่ผู้ต้องขังเมื่อกลับคืนสู่สังคมอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปี

[PR News] LEO เชิญชวนร่วมกิจกรรมวิ่งการกุศล “LEO Run For Child 2024

[PR News] LEO เชิญชวนร่วมกิจกรรมวิ่งการกุศล “LEO Run For Child 2024"

          LEO จัดกิจกรรมวิ่งการกุศล “LEO Run For Child 2024” นำรายได้จากการวิ่ง มาสนับสนุนโครงการ “โรงเรียนนี้เพื่อน้องโครงการที่ 6” เพื่อช่วยบูรณะซ่อมแซมอาคารเรียนและปรับปรุงอุปกรณ์การเรียนการสอนให้กับศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขา บ้านทีมู ต.ขะเนจื้อ อ.แม่ระมาด จ.ตาก ในวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2567           สำหรับกิจกรรมครั้งนี้กำหนดจัดการแข่งขันในวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2567 ณ สนามกีฬากองทัพอากาศ (ธูปะเตมีย์)โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทฟันรัน (Fun Run) ระยะทาง 5 กิโลเมตร ค่าสมัคร 500 บาท ประเภทมินิมาราธอน  (Mini Marathon Plus)  ระยะทาง 10 กิโลเมตร  ค่าสมัคร 600 บาท และประเภท VIP ร่วมวิ่งระยะทางใดก็ได้ ค่าสมัคร 1,300 บาท ซึ่งผู้เข้าแข่งขันจะได้รับ 1. เสื้อที่ระลึกตามระยะทาง  2. หมายเลขแข่งขัน (BIB)  3. เหรียญรางวัลเมื่อเข้าเส้นชัย  4. Gift Set เฉพาะ VIP 5. อาหารและเครื่องดื่มหลังเส้นชัย           ผู้สนใจเข้าร่วมแข่งขันในรายการ "LEO Run For Child 2024" สามารถกรอกข้อมูลได้ที่ https://runlah.com/events/leo2024  ตั้งแต่วันนี้-31 ตุลาคม นี้

[ภาพข่าว] TISCO ร่วมกับ 18 บริษัทพันธมิตรประกันภัย จัดงานวิ่ง “Go Run มันส์กว่าเดิม #2”

[ภาพข่าว] TISCO ร่วมกับ 18 บริษัทพันธมิตรประกันภัย จัดงานวิ่ง “Go Run มันส์กว่าเดิม #2”

          9 ต.ค. 2567 - นางกุสุมา ประถมศรีเมฆ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายหน้าประกันภัยที่ให้บริการ Open Architecture ซื้อขายผลิตภัณฑ์ประกันจากหลากหลายค่ายในจุดเดียว ร่วมกับ  18 บริษัทพันธมิตรด้านประกันชีวิตและประกันวินาศภัย จัดกิจกรรม “Go Run มันส์กว่าเดิม #2” เดิน - วิ่งสานพลังสร้างเสริมสุขภาพที่ดีแก่ผู้บริหารและพนักงานเพื่อต้านโรค NCDs ป้องกันก่อนรักษาเพราะสุขภาพที่ดีคือความมั่งคั่งที่ยั่งยืน พร้อมกระชับความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นทางธุรกิจที่ร่วมกันคิดและพัฒนา ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและเพิ่มความอุ่นใจให้กับลูกค้า และเติบโตทางธุรกิจไปด้วยกันอย่างแข็งแรง ณ สวนจตุจักร           จากข้อมูลของกรมควบคุมโรคพบว่ากว่า 75% ของคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases : NCDs) โดยที่พบบ่อยในปัจจุบันประกอบด้วย โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วนลงพุง โรคมะเร็ง และโรคถุงลมโป่งพอง ซึ่งล้วนมีสาเหตุมาจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก อาทิ ความเสื่อมถอยของร่างกาย พันธุกรรม สภาพการทำงาน สารเคมี มลภาวะ พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น ซึ่งการป้องกันง่าย ๆ เริ่มได้ที่ตัวเอง ด้วยการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาการและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

SPALI การจัดการล้ำสมัย

SPALI การจัดการล้ำสมัย

การจัดการล้ำสมัยแบบศุภาลัย           ในสถาบัน MBA ต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือทวีปอะไร ต่างสอนเกี่ยวกับ “ความเสี่ยง” และ “ผลตอบแทน” ในทิศทางเดียวกันว่า: ถ้าหวัง “ความเสี่ยงต่ำ = จะได้ผลตอบแทนต่ำ” ถ้ายอมรับ “ความเสี่ยงสูง = จะได้ผลตอบแทนสูง” แต่การสอนใน “บมจ.ศุภาลัย” นั้นแตกต่างออกไป ในทางตรงกันข้าม: เราสอนว่า: เราต้องการ “ความเสี่ยงต่ำ = แต่หวังผลตอบแทนสูง” สิ่งนี้เป็นไปได้จริงหรือ แล้วจะทำได้อย่างไรเล่า? โดยปกติแล้ว ความเสี่ยงมีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ “ความเสี่ยงทางธุรกิจ” และ “ความเสี่ยงทางการเงิน” แนวทางของศุภาลัยในการลด “ความเสี่ยงทางธุรกิจ” คือ: หลีกเลี่ยงโครงการและทำเลที่มีความเสี่ยงสูง พัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการให้ดีที่สุด โดยนำมาตรฐาน ISO 9001:2015, ระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) และการสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมมาใช้ เป็นต้น “คุณภาพ” ที่ดีจะสร้าง “แบรนด์” ให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงแต่กลับเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น ขยายธุรกิจทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง เพื่อเพิ่มการเติบโตและบรรลุ “Economy of Scale” ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนลดลงและได้กำไรมากขึ้น ดำเนินธุรกิจ นอกจากบนพื้นฐานที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ต้องถูกจริยธรรมและจรรยาบรรณที่ดีด้วย วิธีการลด “ความเสี่ยงทางการเงิน” ของศุภาลัย คือ: รักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity) และอัตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย / ส่วนของทุน (Gearing Ratio) ให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความน่าเชื่อถือ ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับสูง = “A” ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งช่วยให้ขยายการเติบโตได้อย่างกว้างขวางทั้งในตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ รูปแบบการเติบโตของศุภาลัย:           “Dual Track” พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง กรุงเทพฯ และเมืองต่างจังหวัด ปัจจุบัน “ศุภาลัย” กำลังพัฒนาโครงการ 250 โครงการใน 29 จังหวัดทั่วประเทศไทย           นอกจากนี้ ศุภาลัยยังได้ขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียนและออสเตรเลีย การลงทุนในออสเตรเลียได้เติบโตขึ้นจาก 1 โครงการเมื่อ 11 ปีที่แล้ว เป็น 24 โครงการใน 4 รัฐ 6 เมืองในปัจจุบัน           กลยุทธ์ “Dual Track” และ “Triple Track” มีเป้าหมายเพื่อเพิ่ม “ศักยภาพการเติบโต” และ “กระจายความเสี่ยง” ซึ่งทั้ง 2 กลยุทธ์นี้ตอบโจทย์ทั้ง 2 เป้าหมายได้เป็นอย่างดี แล้วในส่วนของ “ผลตอบแทนสูง” ล่ะ เป็นอย่างไร?           วิธีที่ดีที่สุดในการวัด “ผลตอบแทนสูง” คือการเปรียบเทียบกับบริษัทจดทะเบียน 10 อันดับแรกในอุตสาหกรรมเดียวกัน ผลลัพธ์การเปรียบเทียบแสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนของ “SUPALAI” ที่ดีกว่าอย่างชัดเจน และยังมีความเสี่ยงทางการเงินน้อยกว่าด้วย ดังนี้:           นิตยสารการเงินธนาคารได้ยืนยันถึงผลงานที่ยอดเยี่ยมของศุภาลัย โดยจัดให้ศุภาลัยอยู่ในอันดับ 1 ด้านความเป็นเลิศ และมอบรางวัล “บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2566 กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง” (Best Public Company – Property and Construction Industry 2023) จากการจัดอันดับ Best Public Companies of The Year 2023           “ความลับ” เบื้องหลังความสำเร็จในระยะยาวของ “ศุภาลัย” มาจาก “ปรัชญา” ของรูปแบบการจัดการของศุภาลัย ดังนี้:           ตารางเปรียบเทียบระหว่างการจัดการล้าสมัย (Old Fashion Management), การจัดการตามสมัยใหม่ (Modern Management), และการจัดการล้ำสมัยแบบศุภาลัย (Supalai’s Post Modern Management) ซึ่งสามารถแปลเป็นภาษาไทยได้ดังนี้:

[PR News] ORIGIN GIVE จับมือ PRIMO CARE และพันธมิตร ร่วมสนับสนุนเทศกาลถือศีลกินผัก

[PR News] ORIGIN GIVE จับมือ PRIMO CARE และพันธมิตร ร่วมสนับสนุนเทศกาลถือศีลกินผัก

          ORIGIN GIVE จับมือ PRIMO CARE ร่วมกับพันธมิตรและบริษัท โบ๊ทพัฒนา ร่วมสืบสานเทศกาลถือศีลกินผัก จังหวัดภูเก็ต 2567 สานเจตนารมย์การเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เพื่อเติบโตร่วมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืนจากความมุ่งมั่นของ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และ พรีโม เซอร์วิส โซลูชัน           ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โดย Origin Give ร่วมด้วย บริษัท พรีโม​ เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI โดย Primo Care, Origin Agent Club และบริษัท โบ๊ทพัฒนา จำกัด ร่วมมอบของบริจาค ข้าวสาร น้ำดื่ม น้ำยาล้างห้องน้ำ สุขภัณฑ์ น้ำยาล้างจาน สบู่เหลวล้างมือ ซึ่งผลิตโดย อูโน่ เซอร์วิส และเงินบริจาค ช่วงเทศกาลระหว่างวันที่ 3 -11 ตุลาคม 2567 ของศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย และศาลเจ้าเชิงทะเล           นายกฤษณ์ เตชะสัมมา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL กล่าวว่า การร่วมสนับสนุนเทศกาลกินเจถือศีลกินผัก มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดภูเก็ต ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดีๆ ที่ตอกย้ำแนวคิด “การทำธุรกิจให้เติบโตควบคู่กับการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและชุมชน เพื่อการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน” ของกลุ่มบริษัทออริจิ้นฯ ที่ปัจจุบันได้ขยายอาณาจักรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไปยัง “ภูเก็ต” ซึ่งเป็นหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย ที่มีการเติบโตสูงด้านอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวและพักอาศัยของชาวไทยและชาวต่างชาติ ทำให้ ORIGIN VERTICAL ประสบความสำเร็จด้านการขายในตลาดคอนโดมิเนียม โดยมีโครงการในจังหวัดภูเก็ตเป็นคอนโดมิเนียม 5 โครงการ และวิลล่า 1 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ ดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต (The Origin Centre Phuket) โครงการ ดิ ออริจิ้น กะทู้-ป่าตอง (The Origin Kathu-Patong) โครงการ โซ ออริจิ้น บางเทา บีช (SO Origin Bangtao Beach) โครงการ โซ ออริจิ้น กะตะ ภูเก็ต (So Origin Kata Phuket) โครงการ ออริจิ้น เพลส เซ็นเตอร์ ภูเก็ต (Origin Place Centre Phuket) โครงการ บัลโค บางเทา บีช (Balco Bangtao Beach)           นอกจากนี้ทาง ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ยังได้เสริมความแข็งแกร่งด้วยบริการด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร โดยกลุ่มธุรกิจ PRI เตรียมเดินหน้าขยายธุรกิจใน จ. ภูเก็ตที่มีการเติบโตสูงในภาคอสังหาฯ ด้วยการส่งธุรกิจซื้อขายฝากเช่าอสังหาริมทรัพย์ และ ธุรกิจให้บริการบริหารนิติบุคคลอาคารชุด บ้านจัดสรร ที่พักอาศัย รวมทั้งธุรกิจบริการงานรักษาความสะอาดแบบครบวงจร และเป็นผู้พัฒนาน้ำยาทำความสะอาด สบู่เหลว คุณภาพสูง เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน รวมถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมและปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้แก่บุคลากร มุ่งมั่นเพื่อลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน           นายธนพนธ์ โรจน์ทินกร ผู้บริหารสายงานธุรกิจการขายอสังหาริมทรัพย์ บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทฯให้บริการเป็นตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ และทำการตลาดโครงการแบบครบวงจร ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งให้บริการก่อนและหลังการขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่อการอยู่อาศัยและเพื่อการลงทุน โดยปีนี้มีแผนขยายธุรกิจ Passion Realtor ตัวแทนซื้อ-ขาย-เช่าอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร สู่ตลาดภูเก็ตเป็นครั้งแรก เพราะมองเห็นโอกาสในตลาดอสังหาฯภูเก็ตที่มีการเติบโตสูงมาก โดยในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมามีโครงการเปิดใหม่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 36 โครงการ จำนวนกว่า 8,000 ยูนิต มูลค่าโครงการวมกว่า 49,000 ล้านบาท”           “ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก และเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงมาก มีฐานลูกค้าหลากหลาย ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯเติบโตมาก จากความต้องการของกลุ่มผู้ซื้อทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ซื้อเพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศ และกลุ่มนักลงทุนระยะยาว ทำให้มั่นใจว่าตลาดอสังหาฯภูเก็ตยังไปได้อีกไกล” นายธนพนธ์กล่าว           ด้านนางสาวมลนภา ปั้นบุญ ผู้บริหารสายงานธุรกิจบริหารอาคารและชุมชนระดับพรีเมี่ยมและธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้ในส่วนธุรกิจ Property Management บริษัทมุ่งมั่นที่จะพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการที่ดี มีคุณภาพ และคุ้มค่าที่สุด โดยมีเป้าหมายขยายการบริการไปสู่การบริหารอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทแบบครบวงจร และการขยายสู่ตลาดภูมิภาคในจังหวัดใหญ่หัวเมืองหลักรวมถึงตลาดภูเก็ต เพื่อยกระดับการบริหารจัดการทรัพย์สินด้วยมืออาชีพ มีประสบการณ์บริหารงานนิติบุคคลมานานกว่า 9 ปี

[PR News] ยูโอบี ประเทศไทย ชวนคนไทยร่วมใจช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ

[PR News] ยูโอบี ประเทศไทย ชวนคนไทยร่วมใจช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ

          ยูโอบี ประเทศไทย ชวนคนไทยร่วมใจช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ มอบสิทธิประโยชน์แก่ผู้ร่วมบริจาค           กรุงเทพฯ  7 ตุลาคม 2567 - ท่ามกลางสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก ทั้งยังสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อโครงสร้างพื้นฐานและภาคเกษตรกรรม ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ขอขอเชิญชวนคนไทยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ผ่านแคมเปญร่วมใจ ช่วยภัยน้ำท่วม พร้อมมอบสิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับผู้ร่วมบริจาค           แคมเปญนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน ถึง 15 ตุลาคม 2567 โดยสามารถบริจาคผ่าน UOB Line Connect โดยเข้าไปที่ LINE Official UOB Thai โดยสามารถเลือกวิธีการบริจาคผ่านการหักคะแนนยูโอบี รีวอร์ด หรือผ่านการหักบัญชีบัตรเครดิต ผู้ร่วมบริจาคผ่านธนาคารยูโอบี ประเทศไทยจะได้รับ สิทธิลดหย่อนภาษี 2 เท่า รับคะแนนยูโอบี รีวอร์ด 2 เท่า สำหรับทุกยอดบริจาค ผ่านการหักบัญชีบัตรเครดิต (ยกเว้นบัตรเครดิตยูโอบี โยโล, บัตรเครดิตยูโอบี วัน และบัตรเครดิต TMRW) รับกระเป๋าผ้า Clutch Bag 13 นิ้ว ลาย Snoopy & Woodstock 1 ใบ มูลค่า 950 บาท สำหรับยอดบริจาค 5,000 บาทขึ้นไป หรือแลกคะแนนยูโอบี รีวอร์ด 20,000 คะแนนขึ้นไป           ทั้งนี้ เงินบริจาคจะนำไปสนับสนุนสภากาชาดไทยในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย อาทิ ถุงยังชีพ ที่ประกอบด้วยสิ่งของจำเป็น พร้อมน้ำดื่ม รวมถึงสนับสนุนครัวอาหารเคลื่อนที่

[ภาพข่าว] OR ร่วมมอบถุงยังชีพเพื่อการศึกษา

[ภาพข่าว] OR ร่วมมอบถุงยังชีพเพื่อการศึกษา

          โออาร์ ร่วมกับกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ส่งต่อโอกาสทางการศึกษา มอบถุงยังชีพและอุปกรณ์กีฬาแก่เด็กนักเรียนที่ขาดแคลน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา มหาราชันย์ สานต่อความยั่งยืนสู่สังคมไทย           นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ พร้อมด้วย พลตรีสิทธิพร จุลปานะ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ร่วมมอบถุงยังชีพเพื่อการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ จำนวน 132 คน พร้อมทั้งมอบอุปกรณ์กีฬาให้แก่ 23 โรงเรียน ในพื้นที่จังหวัดอ่างทอง           กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการความร่วมมือระหว่าง โออาร์ และกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ เพื่อสนับสนุนการศึกษาและส่งเสริมกิจกรรมกีฬาให้แก่เด็กนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา มหาราชันย์ โดยส่งมอบถุงยังชีพเพื่อการศึกษาและอุปกรณ์กีฬา ให้แก่เด็กนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ อ่างทอง ลพบุรี ปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 432 คน จาก 72 โรงเรียน ซึ่งถือเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของ OR ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) สะท้อนถึงบทบาทสำคัญในการเป็นบริษัทชั้นนำที่ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นความสำเร็จทางธุรกิจ แต่ยังคำนึงถึงการสร้างคุณค่าร่วมกันกับชุมชนและสังคม เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

[PR News] LH Bank จัดแคมเปญพิเศษ “LH Bank แบงก์ที่ใช่ กับคนที่ชอบ”

[PR News] LH Bank จัดแคมเปญพิเศษ “LH Bank แบงก์ที่ใช่ กับคนที่ชอบ”

          ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank ตอกย้ำจุดยืนความเป็นไลฟ์สไตล์แบงก์กิ้งของแอปพลิเคชัน LHB You เติมเต็มประสบการณ์ด้าน Music Marketing จัดแคมเปญพิเศษ      “LH Bank แบงก์ที่ใช่ กับคนที่ชอบ” เพียงมีแอปพลิเคชัน LHB You ก็มีสิทธิ์ลุ้นเข้าร่วม Exclusive Concert “LH Bank x NONT TANONT” ที่จัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 ณ BCC Hall เซ็นทรัล ลาดพร้าว ชั้น 5 ลูกค้าสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมแคมเปญได้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2567 เท่านั้น           สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าทุกคนที่มีแอป LHB You สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมแคมเปญเพื่อลุ้นเป็นผู้โชคดี เข้าร่วม Exclusive Concert “LH Bank x NONT TANONT” ผ่านแอปพลิเคชัน LHB You ที่เมนู “สิทธิพิเศษ” (Rewards) ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 1 ที่นั่งต่อลูกค้า 1 ท่าน สิทธิ์ จำกัดจำนวนตลอดระยะเวลาโครงการ 2,500 สิทธิ์ ประกาศรายชื่อผู้โชคดีในวันที่ 14 มกราคม 2568  ผ่านทางเว็บไซต์ของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) www.lhbank.co.th และธนาคารจะติดต่อผู้โชคดีที่ได้รับสิทธิ์ผ่านช่องทาง SMS ตามเบอร์โทรศัพท์ที่ลูกค้าให้ไว้กับธนาคาร และแจ้งเตือนผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน LHB You ในวันที่ 15 มกราคม 2568 โดยผู้ที่ได้รับรางวัลสามารถกดยืนยันรับสิทธิ์บัตรคอนเสิร์ตที่แอปพลิเคชัน  LHB You ที่เมนู “สิทธิพิเศษ” (Reward) ภายในวันที่ 20 มกราคม 2568           แอปพลิเคชัน LHB You ตอบโจทย์ทุกธุรกรรมทางการเงินเพื่อส่งมอบประสบการณ์ด้านการเงินที่ดีที่สุดและตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์อย่างคล่องตัว อาทิ บริการโอนเงิน ชำระค่าน้ำ ค่าไฟ  จ่ายบิล หรือกดเงินสดไม่ใช้บัตรผ่านตู้ ATM ต่างธนาคารกว่า 32,000 ตู้ทั่วประเทศ พร้อมรับสิทธิประโยชน์มากมายผ่าน LHB Rewards ได้ทุกเดือน ด้วยการสแกนจ่าย หรือสมัครใช้บริการพร้อมเพย์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด           ลูกค้าที่สนใจสามารถติดตามโปรโมชันพิเศษเพื่อรับสิทธิพิเศษก่อนใครได้ที่เว็บไซต์ของธนาคาร หรือ  ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน LHB You ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ผ่าน App Store หรือ Play Store และ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.lhbank.co.th หรือ LH Bank ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ LH Bank Call Center โทร. 1327

[PR News] ขนมหวานยุคใหม่ 4 สินค้าจาก 3 SME ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น บทพิสูจน์

[PR News] ขนมหวานยุคใหม่ 4 สินค้าจาก 3 SME ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น บทพิสูจน์ "ปรับตัว" คือกุญแจสู่ความสำเร็จ

          คงไม่ผิดหากจะบอกว่า “ความสามารถในการปรับตัว” คือ หัวใจสำคัญของการทำธุรกิจ เพราะโลกมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งด้านเทคโนโลยี ด้านพฤติกรรมผู้บริโภค ไปจนถึงสภาพเศรษฐกิจ หากธุรกิจรู้จักปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับตัวสินค้า กระตุ้นยอดขาย และช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจในอนาคต           ไม่เว้นแม้กระทั่งสินค้าขนมไทย ที่ยังต้อง ปรับสูตร ปรับรสชาติ ปรับแพ็กเก็จจิ้ง เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้ตลาด ปรับตัวให้เข้ากับ Insight ความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอ อย่างเช่น 4 สินค้าใหม่ จาก 3 SME ระดับท็อปในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในวันนี้ ที่ผ่านการศึกษา Insight ผ่านการปรับเปลี่ยนหลายๆ ด้าน ให้น่ารับประทาน ครองใจผู้บริโภคยุคใหม่ยิ่งขึ้น! เปียกปูนกะทิสด : แพ็กเก็จจิ้งถ่ายรูปสวย-Sizing ทานง่าย ตอบโจทย์ Gen Z           หลายคนอาจเคยรับประทาน “เปียกปูนกะทิสด” ของบริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด หรือที่รู้จักกันในนาม “แม่สุนีย์ ขนมไทย” ที่เคยวางจำหน่ายในรูปแบบถาด 4 ช่องภายใต้แบรนด์ EZY SWEET กันมาบ้าง วันนี้ เปียกปูนกะทิสด มาในรูปโฉมใหม่ ปรับทั้งรสชาติ ขนาด (Sizing) และแพ็กเก็จจิ้ง ให้โดนใจ Gen Z มากกว่าเดิม  พร้อมเพิ่มความสะดวกและง่ายต่อการรับประทานด้วยช้อนขนาดพอเหมาะ           ก้อง-ก้องปพัฒน์ เรืองจินดาชัยกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยถึงที่มาของการปรับโฉมและรสชาติของสินค้าว่า บริษัทตั้งเป้าขยายกลุ่มลูกค้าช่วงอายุ 15-25 ปีให้มากขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 25%  เป็น 50% ภายใน 3 ปี ดังนั้นบริษัทจึงทำการสำรวจตลาดกลุ่มนี้อย่างจริงจัง นำสินค้าหลายๆ ชนิดที่เป็นที่นิยมในกลุ่มลูกค้าปัจจุบันไปให้นักเรียน นักศึกษา ได้ลองทานพร้อมรับฟังคำแนะนำ ฟีดแบ็กที่ได้กลับมาคือ หลายคนยังไม่รู้จักหรือเคยเห็น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแพ็กเก็จจิ้งที่ไม่สะดุดตา รสชาติหวานไป ทางบริษัทจึงปรึกษากับทางเซเว่นฯ ถึงแนวทางการพัฒนาสินค้า จึงได้ปรับ 3 ส่วน คือ 1.ปรับรสชาติ ให้มีความกลมกล่อมมากขึ้น 2.ปรับ Sizing จากเดิมเป็นแบบถาด 4 ช่อง สู่ถ้วยสี่เหลี่ยมใสทรงสูง สะดวกต่อการถือรับประทานของคนรุ่นใหม่ และสามารถทานหมดในคราวเดียว 3.ปรับหน้าตาแพ็กเก็จจิ้ง ใส่สายคาดให้มีขลิบสีทอง เพิ่มความพรีเมียม เอาใจคนรุ่นใหม่สายโซเชียล ให้ถ่ายรูปโพสต์ได้แบบปังๆ ในราคาจับต้องได้เพียง 27 บาท ลูกเดือยเปียกทรงเครื่อง : เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ เอาใจคนรักสุขภาพ           นอกจากเปียกปูนกะทิสดที่มีการปรับแล้ว การเพิ่มสินค้าใหม่ก็เป็นสิ่งที่ SME ต้องทำ เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับผู้บริโภค โดยสินค้าตัวล่าสุดที่ทาง เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป พัฒนาออกมาวางจำหน่ายรับเทศกาลกินเจ คือ ลูกเดือยเปียกทรงเครื่อง โดยเพิ่มความพิเศษด้วยการใส่ธัญพืชลงไปรวม 5 ชนิดประกอบด้วย ข้าวบาร์เล่ย์ ลูกเดือย แห้ว ถั่วแดง ข้าวโพด เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและสร้างรสชาติใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค โดยวัตถุดิบแต่ละชนิดเป็นธัญพืชจากสวนที่เป็นพันธมิตรของบริษัท จึงมั่นใจได้ว่าได้คุณภาพตรงตามที่ต้องการ พร้อมส่งต่อให้ผู้บริโภคได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย และผู้รักสุขภาพ ในราคาถ้วยละ 25 บาทเท่านั้น  เต้าทึงน้ำลำไย : จับกระแสมาต่อยอด วิจัยสร้างจุดแข็ง เครื่องเยอะ-หลากหลายรสสัมผัสในถ้วยเดียว           “แม่อิม” ภายใต้บริษัท แหลมทองอุตสาหกรรมอาหาร จำกัด เป็น SME ตัวตึงอีกหนึ่งรายที่ผลิตสินค้าเข้าจำหน่ายและมีชื่อเสียงในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น มาอย่างยาวนาน ทั้งซาหริ่ม ลอดช่องสิงคโปร์ ล่าสุด แอร์-ปมิตตา แต้มไพโรจน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แหลมทองอุตสาหกรรมอาหาร จำกัด ทายาทแม่อิม เจาะกระแสฮิตน้ำลำไยมาต่อยอด ซุ่มวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่กว่า 3-4 เดือน จนออกมาเป็น “เต้าทึงน้ำลำไย” รายแรกในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ที่คิดสูตรมาเพื่อคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ           “เดิมเครื่องที่ใส่ในเต้าทึง มักจะเป็นพุทราเชื่อม รากบัว แปะก๊วย ซึ่งอาจไม่ค่อยถูกปากและไม่เป็นที่รู้จักของคนรุ่นใหม่มากนัก เราจึงขอรับคำปรึกษาจากทางทีมเซเว่น อีเลฟเว่น จนออกมาเป็นเต้าทึงที่ใส่เครื่องที่ทานง่าย 5 ชนิด คือ มัน เฉาก๊วย วุ้น เนื้อลำไย และเส้นโบ๊กเกี้ย ซึ่งเป็นเส้นที่มีการคิดค้นสูตรแป้งใหม่เพื่อไม่ให้แข็งเวลาแช่เย็น เนื้อสัมผัสนุ่มหนึบแม้จะแช่เย็นก็ตาม ที่สำคัญคือปรับสูตรให้หอมน้ำลำไย รสชาติกลมกล่อม ไม่หวานจนเกินไป สามารถทานหมดได้ในครั้งเดียว และสามารถจัดเก็บในตู้เย็นได้นานถึง 10 วัน มากกว่าเต้าทึงปกติที่มักเก็บได้เพียงประมาณ 5 วัน เพราะบริษัทใช้วิธีควบคุมอุณหภูมิระหว่างการผลิต เริ่มวางจำหน่ายเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในราคาเพียงถ้วยละ 25 บาท” เผือกกวนแปะก๊วย : มิกซ์แอนด์แมทช์ วัตถุดิบบนโต๊ะจีน สู่ขนมเพื่อคนรุ่นใหม่           ใครจะคิดว่าของหวานบนโต๊ะจีนอย่าง “โอนีแปะก๊วย” และ “เผือกกวน” จะถูกนำมามิกซ์ แอนด์ แมทช์กันได้อย่างลงตัว จนออกมาเป็นสินค้าใหม่ที่มีชื่อว่า “เผือกกวนแปะก๊วย” ที่อร่อยและสวยงามน่ารับประทาน สินค้าชิ้นนี้ เป็นผลงานของ SME ตัวตึงอีกรายอย่าง “บ้านทองหยอด” ภายใต้การบริหารของ เป๊ก-ภาณุวัฒก์ เงินศรีสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีทีวาย ฟู้ด จำกัด           “จุดเริ่มต้นของคอนเซ็ปต์สินค้ามาจากโอนีแปะก๊วยที่มักจะเห็นในโต๊ะจีน แต่เนื่องจากขนมดังกล่าวไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นคนรุ่นใหม่ เนื่องจากเป็นขนมที่ไม่สามารถหาทานได้ทั่วไป อีกทั้งยังมีความหวานจัด บวกกับบริษัทได้ทำแบบสำรวจสินค้าเผือกกวนเดิมที่วางจำหน่าย พบว่า ผู้บริโภคอยากให้เผือกมีความนุ่มกว่านี้ ประกอบกับทางเซเว่นฯ เองก็แนะนำให้พัฒนาต่อยอดสินค้าเดิม บริษัทจึงได้นำสินค้าเผือกกวนมาต่อยอด เพื่อสร้างความแปลกใหม่ ปรับสูตรตัวเผือกกวนให้นุ่มมากขึ้น จากการอัดแบบจากแม่พิมพ์ เป็นการใช้หัวบีบใส่ถ้วยแยกชิ้น บรรจุในกล่องใส่แบบ 4 ช่อง และเพิ่มแปะก๊วยเข้าไป ให้อารมณ์เหมือนทานโอนีแปะก๊วย แต่ลดความหวานลง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ใส่ใจเรื่องของสุขภาพ เพิ่มความพรีเมียมด้วยการปรับสายคาดกล่องเป็นแบบใสขลิบด้วยสีทอง เผยให้เห็นความสวยงานของสินค้าด้านในอย่างชัดเจน จำหน่ายในราคาเพียง 29 บาทเท่านั้น”           นอกจากสินค้าใหม่ทั้ง 4 ตัว จาก 3 SME จะน่าชิมลิ้มลอง ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเอาใจใส่ในทุกรายละเอียดของ SME แต่ละราย เพื่อให้สินค้าตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งยังแสดงให้เห็นด้วยว่า การปรับตัวและการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ คือก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจใกล้ชิดกับผู้บริโภคได้มากขึ้น และเป็นหัวใจสำคัญในการรับมือทุกความเปลี่ยนแปลง สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจในอนาคต

[PR News] PTRS จับมือ โมโน สตรีมมิ่ง ถ่ายทอดสดการแข่งรถสุดยิ่งใหญ่  “พีที สงขลา กรังด์ปรีซ์”

[PR News] PTRS จับมือ โมโน สตรีมมิ่ง ถ่ายทอดสดการแข่งรถสุดยิ่งใหญ่ “พีที สงขลา กรังด์ปรีซ์”

           บริษัท โมโน สตรีมมิ่ง จำกัด ผู้ให้บริการ MONOMAX (โมโนแม็กซ์) ร่วมกับ  3BB  GIGATV ช่อง 3BB Sports One ถ่ายทอดสด “พีที สงขลา กรังด์ปรีซ์”  การจัดการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบสุดยิ่งใหญ่แห่งปี   รายการแข่งขัน PT Maxnitron Racing Series 2024  สัมผัสประสบการณ์กีฬาความเร็วแบบเต็มขั้น ซึ่งการแข่งขันในปีนี้ได้มีการจัดการแข่งขันไปแล้วทั้งสิ้น 2 สนาม  โดยในสนามสุดท้ายท้ายเป็นการจัดการแข่งขันแบบสตรีทเซอร์กิต ณ  สนาม  PT SONGKHLA GRANDPRIX (พีที สงขลา กรังด์ปรีซ์)  สตาร์ทความเร็วเต็มสูบพร้อมกันทั่วโลกทางช่อง 3BB Sports One  วันที่ 19-20 ตุลาคม  2567 ณ หาดชลาทัศน์ จังหวัดสงขลา            คุณหทัยทิพย์  หมัดจุ้ย ผู้อำนวยการธุรกิจดูหนังออนไลน์ บริษัท โมโน สตรีมมิ่ง จำกัด ผู้ให้บริการ MONOMAX กล่าวถึงการได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดครั้งนี้  “ขอขอบคุณ PTRS ที่ไว้วางใจทาง MONO เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขัน PT Maxnitron Racing Series 2024 ซึ่งเรามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการถ่ายทอดสดกีฬาจากผลงานที่ผ่านมามีเสียงจากผู้ชมที่ชื่นชอบในการนำเสนอของเรา  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาพการถ่ายทอดสดในหลากหลายมุมทำให้ผู้ที่รับชมอยู่ที่บ้านรู้สึกเหมือนได้รับชมที่ขอบสนามจริงๆ ไปด้วย สำหรับความพร้อมการถ่ายทอดสด PT Maxnitron Racing Series 2024  ครั้งนี้  MONO ได้จัดเตรียมบุคลากรมืออาชีพและเครื่องมือถ่ายทอดสดที่ทันสมัย คิดว่าผู้ชมจะได้รับชมเหมือนอยู่ที่สนามจริงอย่างแน่นอนค่ะ”            คุณฉลอง ติรไตรภูษิต ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) พูดถึงความรู้สึกที่ได้สนับสนุนการขับเคลื่อนกีฬามอเตอร์สปอร์ต ตั้งแต่ปี 2018 จนถึงในปี 2024 “สำหรับรายการแข่งขัน PT Maxnitron Racing Series 2024  ปีนี้ซึ่งตรงกับประเพณีชักพระของทางภาคใต้   ถือเป็นพระเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ของคนใต้คาดว่าจะมีประชาชนให้ความสนใจและเข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 200,000 คน  ซึ่งการจัดงานครั้งนี้เราได้รับการสนับสนุนจากผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาเป็นอย่างดี  พร้อมส่งเสริมวงการมอเตอร์สปอตให้เป็นที่รู้จักมาก โดยเล็งเห็นว่าเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในจังหวัดสงขลาให้ดีขึ้น            คุณศิลป์  ธีรนิติ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส 63 โปรเจค จํากัด และผู้จัดรายการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ PT Maxnitron Racing Series 2024  ในฐานะผู้จัดงานพูดถึงความสำเร็จในปีที่ผ่านมา “สำหรับปีที่ผ่านมาเป็นปีแรกที่เราได้ไปจัดงานที่จังหวัดสงขลา   ผลลัพธ์ที่ออกมาดีเป็นที่น่าพอใจ โดยปีนี้เราได้ออกแบบให้งานมีกิจกรรมเพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งปีนี้เรามีกิจกรรมบาลานซ์ไบค์  มีเด็กๆ ให้ความสนใจเข้ามาสมัครร่วมแข่งขันเป็นจำนวนมาก  อีกหนึ่งไฮไลต์คือการเปิดตัวรถแข่งโมโตไทด์ที่ทางเราสร้างขึ้นตลอดระยะเวลา 3 ปี  เป็นรถแข่งสัญชาติไทยคันแรกขอประไทยที่จะมาเปิดตัวในงานสงขลา กรังด์ปรีซ์  ในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมี พีที อีเว้นต์เอ็กซ์โปร  การเปิดเปิดบู๊ทให้กับแบรนด์รถยนต์ค่ายต่างๆ  และ เอ็กซ์คลูซีฟ เล้าท์ ให้ผู้เข้าชมงานได้เข้าร่วมสังสรรค์กันด้วย”            ด้านดาราที่ผันตัวเป็นนักแข่งรถมืออาชีพที่มีประสบการณ์ยาวนานอย่าง แอนดรูว์-กรเศก  โคนินทร์ ให้สัมภาษณ์ถึงความรู้สึกในการแข่งขันรุ่นใหญ่ Siam GT  “ดีใจที่จะได้กลับไปแข่งที่สงขลาอีกครั้งครับ ปกติแข่งในสนามปิดกำลังใจจะน้อยกว่าสนามเปิด  การที่มีคนมาเชียร์เราเรียกชื่อขอถ่ายรูปกับเรา ทำให้นักแข่งทุกคนฮึกเหิมมากครับ สำหรับกองเชียร์สงขลา 19-20 ตุลาคมนี้ เรามีนัดกันนะครับ”            บีม-ศรัณยู  ประชากิต อีกหนึ่งดาราผู้หลงใหลในความเร็วแบบเข้าเส้น   ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงการเตรียมตัวในการแข่งขันว่า “ต้องเตรียมพลังไปเยอะๆ ดีใจที่จะได้ไปเจอเพื่อนๆ และกองเชียร์ชาวสงขลา  รู้สึกมีความสุขที่จะได้ไปเจอกับทุกคน   เป็นสายใจที่อบอุ่นเหมือนได้ไปเติมพลังบวกซึ่งกันและกันครับ”            มะปราง-อลิษา ขุนแขวง ดาราสาวที่ชื่นชอบการแข่งรถจนก้าวเข้าสู่การแข่งขันมอเตอร์สปอตแบบจริงจังเล่าที่มาถึงการเข้าสู่วงการนี้ว่า  “สำหรับมะปรางชื่นชอบรถตั้งแต่เด็กค่ะ  พอโตมามีโอกาสได้ลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ  โดยเริ่มเข้าสู่การแข่งขันรถเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาค่ะ  สำหรับปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขันอีกครั้ง   ปีที่แล้วจัดที่จังหวัดสงขลาสนุกมากค่ะ กองเชียร์มากันหนาแน่น   สร้างความตื่นเต้นให้กับพวกเรามาก  ปีนี้สัญญาว่าเจอกันอีกครั้งแน่นอนค่ะ”            ติดตามชมถ่ายทอดสดการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบได้ในวันเสาร์ที่  19  และ  วันอาทิตย์ที่ 20  ตุลาคม 2567   ทางแอปพลิเคชัน  MONOMAX  เวลา 08.00-18.00 น.,   ช่อง 3BB Sport One (401)  และสำหรับผู้ชมที่ใช้งานผ่านกล่อง AIS Play ได้ที่ช่อง 301 เวลา 13.00-18.00 น. และสามารถดูย้อนหลังได้ทาง MONOMAX

[PR News] PTG เปิดจุดรับบริจาค ช่วยผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือ

[PR News] PTG เปิดจุดรับบริจาค ช่วยผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือ

บริษัท แอตลาส เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) และบริษัท โอลิมปัส ออยล์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายก๊าซหุงต้มพีที และสถานีบริการน้ำมัน และก๊าซ LPG ได้สนับสนุนบัตรเติมน้ำมันให้กับมูลนิธิกระจกเงามูลค่า 50,000 บาท เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งสิ่งของที่ได้รับบริจาคไปให้พี่น้องผู้ประสบภัย และยังร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา ขอเชิญชวนทุกท่านส่งต่อน้ำใจ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม และดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ซึ่งอยู่ในภาวะฟื้นฟู ซ่อมแซมที่พักอาศัยให้กลับสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ พีที จึงได้เปิดจุดรับบริจาคภายในปั๊มพีที ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเน้นขอรับบริจาคเครื่องใช้ ไฟฟ้าใหม่ และมือสอง รวมถึงอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์ทำความสะอาด เพื่อรวบรวมให้ทางมูลนิธิกระจกเงานำ ไปส่งมอบให้กับผู้ประสบภัยต่อไป ผู้ที่สนใจสามารถนำสิ่งของไปบริจาคได้ที่ปั๊มพีที ทั้ง 5 สาขา ดังนี้ สาขาประตูน้ำพระอินทร์ สาขาประเวศ ปากซอยอ่อนนุช 65 สาขาเทพารักษ์ กม.12 สาขาคลองสาม คลองหลวง สาขาปัฐวิกรณ์ หรือตรวจสอบพื้นที่รับบริจาคใกล้บ้านท่านได้ทาง Facebook Page : PT LPG

[PR News] PTG เป็น Title Sponsor รายใหม่ โมโตจีพี ปี5

[PR News] PTG เป็น Title Sponsor รายใหม่ โมโตจีพี ปี5

          พร้อมกระหึ่ม! รัฐ-เอกชนผนึกแถลงนับถอยหลังสู่กรังด์ปรีซ์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก “โมโตจีพี” ปีที่5 บนแผ่นดินไทย พร้อมเปิดตัวถ้วยรางวัล ThaiGP2024           รัฐบาลไทยผนึกภาคเอกชน แถลงความพร้อมโค้งสุดท้ายสู่สุดยอดศึกสองล้อที่เร็วที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก “PT Grand Prix of Thailand 2024”  ที่แฟนความเร็วทั่วโลกรอคอย ชูความพร้อมเดินเครื่องเต็มระบบ บูรณาการความร่วมมือทุกมิติ พร้อมเปิดตัวโทรฟี่ ThaiGP สง่างามด้วยธีม “บัลลังก์เจ้าแห่งความเร็ว” สไตล์ไทยโมเดิร์นผสานความงดงามปราสาทหินพนมรุ้ง โดยมีการนำชิ้นส่วนรถมอเตอร์ไซค์มาเป็นส่วนหนึ่งของถ้วยรางวัล กลางถ้วยมีสัญลักษณ์การพนมไหว้ “สวัสดี” สื่อถึงการต้อนรับอันอบอุ่นและการให้ความเคารพในแบบไทย เผยภายในงานจะได้พบกับจุดไฮไลท์ใหม่ Thai Thai Pavilion นำเสนอเสน่ห์แบบไทยสุดอลังการ 25-27 ต.ค.นี้ที่ จ.บุรีรัมย์ การันตีชื่อชั้นความมันส์ พร้อมสร้างความประทับใจและความสุขครบเครื่องระดับโลกสู่แฟนกว่า 800 ล้านคนทั่วโลกแล้ว           กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย จัดแถลงข่าวนับถอยหลังการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือโมโตจีพี ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ภายใต้ชื่อรายการ “PT Grand Prix of Thailand 2024” ศึกสองล้อที่เร็วที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก  ระหว่าง 25- 27 ตุลาคม 2567 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์           ที่สโมสรราชพฤกษ์ กรุงเทพ : ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นประธาน พร้อมด้วยผู้สนับสนุนภาครัฐและเอกชน นำโดย, จังหวัดบุรีรัมย์, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, กรมการขนส่งทางบก, บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดยน้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง, บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด, บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด, บริษัท โมโตเร อิตาเลียโน จำกัด (ดูคาติ ไทยแลนด์) รวมทั้ง อินฟลูเอนเซอร์ แพร ทวินันท์ เพิ่มพูน และ  ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ ทัพสื่อมวลชน-ผู้สนับสนุนร่วมงานมากมาย           พร้อมกันนี้ยังได้เปิดตัว “ถ้วยรางวัลการแข่งขันหรือโทรฟี่” ThaiGP ประจำปี 2024 ด้วยธีม “บัลลังก์เจ้าแห่งความเร็ว” ลักษณะไทยโมเดิร์น ผสานความงดงาม “ปราสาทหินพนมรุ้ง” ส่วนกลางถ้วยมีสัญลักษณ์การพนมไหว้ “สวัสดี” สื่อถึงการต้อนรับอันอบอุ่นและการให้ความเคารพในแบบไทย “ตัวเลข ๑ ของไทย” อยู่ตรงกลางและด้านล่างจะเป็นลวดลายไทย ส่วนวัสดุของตัวถ้วยมีการดัดแปลงนำ “ชิ้นส่วนรถมอเตอร์ไซค์” มาเป็นส่วนหนึ่งของถ้วยรางวัล เช่น ตัวน็อต และ เฟรมอลูมิเนียม 5 แผ่น สื่อถึงการจัดการแข่งขันโมโตจีพีที่ประเทศไทยเป็นปีที่ 5 ด้วยสีทองและดำที่เป็นสีแห่งเกียรติยศ ความแข็งแกร่ง ความสง่าและทรงคุณค่า การออกแบบสอดผสานความงดงามแบบไทยสู่สายตาชาวโลก           ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โมโตจีพี ถือเป็นการแข่งขันกีฬาระดับโลกรายการใหญ่ที่สุดที่มีการจัดในประเทศไทย มีผู้ติดตามชมมากกว่า 800 ล้านคนทั่วโลก โอกาสสำคัญที่จะได้แสดงศักยภาพมาตรฐานการจัดแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติฝีมือคนไทยและพัฒนาอุตสาหกรรมกีฬาไทยในทุกมิติ รวมทั้งช่วยผลักดันการพัฒนาวงการมอเตอร์สปอร์ตไทยไปสู่ระดับโลกอย่างแท้จริง           “นับถอยหลังอีกเพียงไม่ถึง 1 เดือน จะเข้าสู่สุดสัปดาห์แห่งประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ตไทย จากความร่วมแรง    ร่วมใจของหน่วยงานทั้งส่วนกลาง-ภูมิภาค ภาคเอกชน-ประชาชนที่ร่วมกันวางแผนงานเป็นอย่างดีนั้น จะทำให้การจัดการแข่งขันในครั้งนี้จะบรรลุเป้าหมายตามที่รัฐบาลตั้งไว้ รวมทั้งทำให้การแข่งขันเป็นไปอย่างราบรื่นและประทับอยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดไป เป็นสนามแข่งขันที่ถูกยกย่องว่าที่ดีสุด มีความสุขที่สุดในโลก ครบเครื่อง คุ้มค่าที่สุด ตามเป้าหมายสำคัญของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่จะใช้ “มหกรรมกีฬา” ในการเป็นแรงส่งสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องทั้งระบบ สร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม”           นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTGกล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ 5 ของการแข่งขันโมโตจีพีบนผืนแผ่นดินไทย แต่เป็นปีแรกของ PTG ในฐานะ Title Sponsor  รายใหม่ของการแข่งขัน ยาวนานต่อเนื่องถึง 3 ปี สิ่งหนึ่งที่ทาง PTG มองว่าสำคัญไม่แพ้กันคือการได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาประเทศไทยตามสโลแกน “บริษัทพลังงานของคนไทย เพื่อเติมความสุขให้คนไทยอยู่ดีมีสุข” นั่นคือการได้ประชาสัมพันธ์ประเทศสู่สายตาคนทั่วโลก แสดงศักยภาพคนไทยและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยว กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของคนในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดใกล้เคียง           “ขอเชิญชวนทุกท่านให้มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ระดับโลก ในสีสันที่แตกต่างออกไปในครั้งนี้ ภายใต้กิจกรรมมากมายที่เตรียมไว้ต้อนรับที่ PTG Pavilion โดยได้ยกทัพแบรนด์ในเครือของ PTG ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น PT Station, PT Maxnitron, Autobacs, กาแฟพันธุ์ไทย, Coffee World, Max Card Plus ฯลฯ ขนสิทธิพิเศษ ของรางวัล และกิจกรรมสนุกๆ ให้ร่วมลุ้น แลก แจก ชม ช็อป อย่างเต็มอิ่มจุใจ รวมทั้งกิจกรรมสุด Exclusive ที่แฟนๆ จะได้กระทบไหล่นักแข่งคนดังทุกรุ่นแบบใกล้ชิด ซึ่งจะมีที่ PTG Pavilion ที่เดียวเท่านั้น คือ กิจกรรม Hero Walk และ Meet and Greet ซึ่งจะมีนักแข่งจากทุกคลาสไม่ว่าจะเป็น MotoGP Moto2 Moto3 แฟนๆ จะสามารถ ถ่ายภาพและขอลายเซ็นได้อย่างใกล้ชิด โดย PTG มุ่งมั่นและตั้งใจ ที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่แฟนมอเตอร์สปอร์ตจากทั่วโลกได้มาสัมผัสกับประสบการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ด้วยกัน”           นายโรจนสิทธิ์ มีนิจสิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกีฬา บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดย น้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง กล่าวว่า หนึ่งในไฮไลต์ของการจัดโมโตจีพีวิถีไทยที่ได้รับเสียงชื่นชมมากที่สุด นอกจากจะได้ชมเรซที่สนุกสุดมันส์ แฟนความเร็วจากทั่วโลกยังได้สนุกสนานไปกับกิจกรรมบันเทิงในรูปแบบของมอเตอร์สปอร์ตเฟสติวัล ซึ่งน้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง เตรียมจัดเต็มความสนุกตลอดทั้ง 3 วัน บริเวณลานกิจกรรมเพื่อให้ผู้ชมได้สนุกเต็มอิ่ม ครบรส ได้แก่ ประสบการณ์สุด Exclusive ใน Chang House ที่จะได้รับชมการแข่งขันโมโตจีพีในเต็นท์ติดแอร์ขนาดใหญ่ วงดนตรี และดีเจ พร้อมมีผลิตภัณฑ์น้ำแร่ธรรมชาติตราช้างบริการตลอดทั้งวัน           รวมทั้งคอนเสิร์ต Chang Music Connection ตลอด 3 วัน เริ่มต้นวันแรก วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พบกับ “ยังโอม” เจ้าพ่อฮิปฮอปขวัญใจวัยรุ่น และปิดท้ายค่ำคืนกับศิลปินลูกทุ่งขวัญใจชาวอิสาน อย่าง “ก้อง ห้วยไร่”, วันเสาร์ที่   26 ตุลาคม สนุกกันต่อกับการแข่งขัน “ศึกมวยไทย วิถีถิ่นไทย” โดยมีการประกบคู่ชกสุดมันส์ด้วยกันถึง 7 คู่ โดยมีไฮไลท์คู่เอกอยู่ที่ ยอดกตัญญู จิตรเมืองนนท์ ปะทะ เพชรสมาน ส.สมานการ์เมนท์ เอาใจแฟนมวยทั้งไทย           และต่างชาติอย่างเต็มที่ และปิดท้ายค่ำคืนพบกับ “จ๊ะ นงผณี” ลูกทุ่งตัวแม่สุดเซ็กซี่  ส่วนวันสุดท้าย อาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม ปิดฉากโมโต จีพี 2024 ไปกับคอนเสิร์ตสุดมันส์จากศิลปินสุดกวนที่ยกมาทั้งแก็งอย่าง “แจ๊ส สปุ๊กนิค       ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก” และมียังมีจุดบริการ Chang Shuttle Station  บริการ “ชัตเติ้นแต๋น” นับร้อยคัน มาใช้ใน การรับ - ส่งผู้ชมสู่เซอร์กิต ซึ่งมีที่เดียวในโลก คอยรับส่งแฟนๆ กันแบบฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่าย           ด้านนายโชติชนก ชิดชอบ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรมต่างประเทศ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต กล่าวว่า สนามช้างฯพร้อมเกิน 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะตลอดทั้งปีมีอีเวนต์ต่างๆ มากมาย ที่ต้องรองรับมาตรฐานระดับโลกทั้ง FIM และ FIA ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นผิวสนาม เจ้าหน้าที่บุคลากร หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่พรั่งพร้อม ซึ่งปีนี้จะมีจุดเล็กๆ ที่เพิ่มมิติการแข่งขันในสนุก เร้าใจมากยิ่งขึ้นก็คือเรื่อง Misano Curve ที่ปีที่แล้วได้ทำเพิ่ม 1 จุด และปีนี้เพิ่มเป็น 3 จุด ที่โค้ง 1 โค้ง 5 และโค้ง 8 ซึ่งจะส่งผลให้การแข่งขันขับเคี่ยวกันสนุกยิ่งขึ้นกว่าเดิม           ส่วนลานกิจกรรมปีนี้ยังได้พบกับครั้งแรกของ Thai Thai Pavilion ที่มีคอนเซ็ปต์ต่อยอดจากโมโตจีพีวิถีไทย ที่จะนำเสนอเสน่ห์ วัฒนธรรมของไทย ทั้งงานศิลปะ หัตถกรรม ของกิน ของฝากที่เป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน นอกจากนี้ด้านการอำนวยความสะดวกของผู้ชม จังหวัดบุรีรัมย์เป็นแกนหลักในประสานไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบขนส่ง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย อาสาสมัคร และที่พัก เพื่อให้ทุกๆ อย่างออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดรองรับแฟนความเร็วผู้มาเยือนให้มีช่วงเวลาที่สุดแสนจะประทับใจ รับรองว่ามาชมการแข่งขันที่สนาม สนุกกว่ารับชมที่จอโทรทัศน์ที่บ้านแน่นอน           ปีนี้เรียกได้ว่าจะเป็นปีที่มีความสุขที่สุดของแฟน MotoGP ประเทศไทย เพราะนอกจากจะได้เชียร์นักบิดระดับโลกที่ชื่นชอบ ยังได้เชียร์ “ก้อง สมเกียรติ จันทรา” นักบิดที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย แข่งขันทิ้งท้ายในรุ่น Moto2 ก่อนที่ในฤดูกาลที่จะถึงในปี 2025 นี้ จะได้ขยับไปแข่งขันในรุ่นใหญ่ที่สุดของโลก MotoGP ได้สำเร็จ เป็นคนไทย  คนแรกที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการกีฬารถจักรยานยนต์ของไทย           นอกจากนี้ยังมี PT Grand Prix of Thailand 2024 Expo ที่เนรมิตลานกิจกรรมด้านหน้าสนามช้างอินเตอร์-  เนชั่นแนลเซอร์กิต เป็นงานเอ็กซ์โปสำหรับคนมอเตอร์ไซค์ ตั้งแต่ 09.00-20.00 น. ตลอด 3 วันเต็ม โดยมีทั้ง     พาวิลเลียนขนาดยักษ์และร้านค้ารายย่อยมากมาย ได้แก่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน), น้ำแร่ธรรมชาติ  ตราช้าง, ฮอนด้า, ยามาฮ่า, โตโยต้า, ดูคาติ, กรมการขนส่งทางบก โดย กปถ. ฯลฯ ที่พร้อมสร้างสีสัน ความสนุกให้แก่แฟนๆ ได้ช็อปสินค้าแบรนด์ดังมากมาย รวมทั้งครั้งแรกกับการเนรมิต Thai Thai Pavilion ได้ส้มผัสความสวยงามของวัฒนธรรมไทย ชม ชิมเลือกซื้อของดีของขึ้นชื่อ ร้านอาหารชื่อดังจากบุรีรัมย์และทั่วประเทศมาไว้ในงาน ครบจบที่เดียว โดยลานกิจกรรมนี้ผู้ถือบัตรชมการแข่งขันทุกประเภทเข้าชมฟรี หรือซื้อบัตรแอดมิชชั่น (ADMISSION) ราคา 100 บาทต่อวัน หรือเหมา 3 วัน 200 บาท           บัตรเข้าชมการแข่งขันยังสามารถหาซื้อบัตรได้ที่ Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ ส่วนบัตรแอดมิชชั่น (ADMISSION)  ซื้อบัตรได้ที่บูธ All Ticket หน้างาน วันที่ 25-27 ต.ค. เท่านั้น! ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แฟนเพจ Chang Circuit Buriram

[ภาพข่าว] AIRA Group จัดโครงการ “ไอร่า เพื่อสังคม สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ปีที่ 10

[ภาพข่าว] AIRA Group จัดโครงการ “ไอร่า เพื่อสังคม สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ปีที่ 10

           บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (AIRA) ร่วมกับ บริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) (AF) นำทีมโดย คุณสุทธิพร ตัณฑิกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มไอร่า  และคุณศักดิธัช จันทรเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอร่า ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน)  พร้อมด้วยพนักงานกลุ่มบริษัทไอร่า ร่วมบริจาคทุนการศึกษา เครื่องกรองน้ำ มุ้งลวด อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา ปรับปรุงภูมิทัศน์ และทำกิจกรรมร่วมกับนักเรียนชั้นอนุบาล - ประถม 6 ภายใต้โครงการ “ไอร่าเพื่อสังคม สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ปีที่ 10” ซึ่งโครงการดังกล่าวถูกจัดขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการสร้างโอกาสด้านความรู้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน อันเป็นบุคลากรสำคัญที่จะสร้างประโยชน์ให้กับสังคม ให้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ณ โรงเรียนบ้านบึงกระโดน (ศิริสิงห์อุปถัมภ์) อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี

[CSR] TITLE สานต่อภารกิจ “GrowGreen” สู่เมืองภูเก็ต

[CSR] TITLE สานต่อภารกิจ “GrowGreen” สู่เมืองภูเก็ต

          TITLE สานต่อภารกิจ “GrowGreen” จากแอสเซทไวส์ สู่เมืองภูเก็ต ผสานพลังองค์กร-พันธมิตร-ลูกบ้าน ร่วมสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ หรือ TITLE สานต่อแนวคิด “GrowGreen” จากแอสเซทไวส์ เดินหน้าสร้างความยั่งยืนในภูเก็ต รวมพลังบุคลากรองค์กร พันธมิตร และลูกบ้าน ดูแลสิ่งแวดล้อมในโครงการที่อยู่อาศัยและชุมชน ขยายแนวคิดดูแลชุมชน จัดกิจกรรมผนึกกำลังทีมงานและลูกบ้าน เก็บขยะริมหาดในยาง ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกถึง 2,172.06 กิโลกรัม เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 241 ต้น จับมือกองประกวด Mister International Thailand 2024 ปลูกป่าชายเลนที่ศูนย์ปฎิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 ภูเก็ต เสริมสร้างความสมบูรณ์ระบบนิเวศชายฝั่ง           ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ หรือ TITLE สานต่อแนวคิด “GrowGreen” จากแอสเซทไวส์ มุ่งหน้าสร้างความยั่งยืนในภูเก็ต รวมพลังภายในองค์กร-พันธมิตร-ลูกบ้าน ดูแลสิ่งแวดล้อมในโครงการที่อยู่อาศัยและชุมชนโดยรอบ นำร่องจัดกิจกรรมเก็บขยะริมหาดในยาง ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกรวม 2,172.06 กิโลกรัม เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 241 ต้น พร้อมจับมือกองประกวด Mister International Thailand 2024 ลุยปลูกป่าชายเลนที่ศูนย์ปฎิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 ภูเก็ต เติมเต็มความสมบูรณ์ระบบนิเวศชายฝั่ง           นายดรงค์ หุตะจูฑะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ต ในเครือบริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นอกจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์และส่งมอบผลิตภัณฑ์ รวมถึงการบริการที่ดีเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยแล้ว ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ ยังให้ความสำคัญกับการเป็นส่วนหนึ่งกับชุมชนในท้องถิ่น และร่วมสร้างความยั่งยืนในภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทย บริษัทจึงนำแนวคิด “GrowGreen” ของเครือแอสเซทไวส์ มาต่อยอดในการยกระดับโครงการที่อยู่อาศัยและชุมชนโดยรอบสู่ความยั่งยืน ด้วยการผสานพลังความร่วมมือจาก 3 ฝ่าย คือ ภายในองค์กร พันธมิตร เจ้าของร่วมและผู้พักอาศัย มาทำกิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมกันอย่างต่อเนื่อง           โดย ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ ได้นำแนวคิด GrowGreen มาสานต่อใช้ในโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ “เดอะ ไทเทิล” (THE TITLE) อาทิ การออกแบบพื้นที่สีเขียวและกำแพงต้นไม้ในโครงการ เพื่อเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ ลดอุณหภูมิ พร้อมเพิ่มสุนทรียะการอยู่อาศัยและมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ลูกบ้าน การจัดโซนคัดแยกขยะพร้อมรณรงค์ให้เจ้าของร่วมและผู้พักอาศัย ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติคัดแยกขยะก่อนทิ้ง รวมถึงการวางระบบการบำบัดน้ำเสีย และตรวจสอบค่าน้ำเสียให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดก่อนปล่อยออกสู่ภายนอกโครงการ           ล่าสุด ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ ได้ขยายแนวคิด GrowGreen ออกสู่ชุมชน ด้วยการนำทีมบุคลากร เจ้าของร่วมและผู้พักอาศัยชาวไทยและชาวต่างชาติ ร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาเก็บขยะหน้าชายหาดในยาง โดยสามารถรวบรวมขยะได้ถึง 879 กิโลกรัม ประกอบด้วยขยะอินทรีย์ 714 กิโลกรัม ขยะกำพร้า (ขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้) 110 กิโลกรัม และขยะที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้อีก 55 กิโลกรัม ซึ่งขยะทั้งหมดจะถูกนำไปคัดแยกเพื่อนำไปกำจัดอย่างเหมาะสม การเก็บขยะในครั้งนี้สามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 2,172.06 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2e) หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้จำนวน 241 ต้น ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมชายหาดและสร้างความยั่งยืนให้กับท้องถิ่น           ขณะเดียวกัน บริษัทยังร่วมกับกองประกวด Mister International Thailand 2024 ในการจัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ณ ศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ให้ระบบนิเวศตามแนวชายฝั่ง เนื่องจากป่าชายเลนเป็นแหล่งอาหารและแหล่งขยายพันธุ์ให้กับสัตว์น้ำหลากหลายชนิด ช่วยลดความรุนแรงของการกัดเซาะชายฝั่ง อีกทั้งรากของพืชพันธุ์ในป่าชายเลนยังมีคุณสมบัติในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ           “TITLE ให้ความสำคัญกับการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและการดูแลสิ่งแวดล้อม เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความยั่งยืนในจังหวัดภูเก็ต ผ่านกิจกรรมที่ส่งเสริมความร่วมมือและความรับผิดชอบร่วมกัน ตามแนวคิด GrowGreen เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกบ้านและคนในท้องถิ่น” นายดรงค์ กล่าว           สำหรับ บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE เป็นบริษัทในเครือบริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW ที่มุ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ต โดยพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ “THE TITLE” ปัจจุบันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแล้วกว่า 10 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 21,660 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ปิดการขายไปแล้ว 5 โครงการ โครงการพร้อมอยู่ 1 โครงการ และโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและกำลังพัฒนา 4 โครงการ โดย ณ ไตรมาส 2 ปี 2567 มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 8,022 ล้านบาท

[PR News] กลุ่ม ปตท. ตอกย้ำทิศทาง 'ความยั่งยืนอย่างสมดุล' ในงาน Sustainability Expo 2024

[PR News] กลุ่ม ปตท. ตอกย้ำทิศทาง 'ความยั่งยืนอย่างสมดุล' ในงาน Sustainability Expo 2024

          ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกลุ่ม ปตท. ร่วมพิธีเปิดงาน Sustainability Expo มหกรรมด้านความยั่งยืน ครั้งที่ 5  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 กันยายน – 6 ตุลาคม 2567 ณ  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร           ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง กล่าวว่า “ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ มุ่งดำเนินธุรกิจบนหลักการ “ความยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน”  พร้อมเป็นผู้นำขับเคลื่อน ส่งเสริมแนวคิด สร้างแรงบันดาลใจ ให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการ ‘รวมพลังกันลงมือทำ’ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อทุกชีวิตและสิ่งแวดล้อม ทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นและยั่งยืน”           การจัดงานในครั้งนี้ กลุ่ม ปตท. ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง (Co-founder) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร ได้จัดแสดงทิศทางและกลยุทธ์ของกลุ่ม ปตท. โดยนอกจากพันธกิจหลักในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ปตท. ยังมุ่งบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2593 หรือ ค.ศ. 2050 โดยมีการผสานการบริหารจัดการทั้งกลุ่ม ปตท. ผ่านแนวทาง C3 ได้แก่           Climate Resilience Business การปรับ Portfolio พิจารณาเรื่องการปลดปล่อยคาร์บอน (Carbon Emission) ควบคู่กับการเติบโตทางธุรกิจ           Carbon-Conscious Asset การปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ใช้พลังงานสะอาด อาทิ Hydrogen การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในกระบวนการผลิต รวมทั้งการนำคาร์บอนไดออกไซด์แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ (Carbon Capture and Utilization: CCU)           Coalition, Co-Creation, and Collective Efforts for All ประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเป็นแกนหลักของประเทศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยใช้เทคโนโลยีการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) รวมถึงการเพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติ ผ่านการปลูกและบำรุงรักษาป่า           อีกทั้งเป็นโอกาสให้เกิดเป็นธุรกิจใหม่ด้านการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) และ ธุรกิจไฮโดรเจน (Hydrogen) ด้วย           นอกจากนี้ ภายในงาน กลุ่ม ปตท. ยังจัดกิจกรรมให้ผู้เยี่ยมชมงานได้ร่วมสนุกและสัมผัสประสบการณ์จริง อาทิ การโชว์เคสเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์จากบริษัทในกลุ่ม ปตท. อย่าง CCS บูธถ่ายรูปกิจกรรมรักษ์โลกของชาว GEN S คนเจนใหม่หัวใจยั่งยืน ตู้คีบตุ๊กตาก๊อดจิ (Godji) ลุ้นรับตุ๊กตา Godji Energy Hero limited edition เฉพาะงานนี้ อีกด้วย           อนึ่ง Sustainability Expo (SX 2024) มหกรรมด้านความยั่งยืน ถือเป็นมหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” (Sufficiency for Sustainability) ที่ตลอด 10 วันของการจัดงาน จะชวนทุกคนมาร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้ จากผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อัพเดทเทรนด์ ไอเดีย เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงต้นแบบในการพัฒนาเมือง ชุนชนที่ยั่งยืน ผ่านการบรรยาย  เสวนา เวิร์กชอป นิทรรศการ ศิลปะ ตลอดจนอาหารแห่งอนาคต

[PR News] บี.กริม องค์กรน่าทำงานที่สุดในเอเชีย คว้ารางวัล 3ปีซ้อน

[PR News] บี.กริม องค์กรน่าทำงานที่สุดในเอเชีย คว้ารางวัล 3ปีซ้อน

           บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทในกลุ่ม บี.กริม ได้รับการยกย่องระดับสากลผ่านการรับมอบรางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2024 สุดยอดองค์กรดีเด่นที่น่าทำงานมากที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จัดโดย HR Asia นิตยสารชั้นนำด้านทรัพยากรบุคคลของภูมิภาคเอเชีย เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 ณ ทรูไอคอน ฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม โดยมี นายนพเดช กรรณสูต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานการลงทุน นวัตกรรม และความยั่งยืน พร้อมด้วย นายเกรียงไกร อยู่ยืน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานทรัพยากรบุคคล เป็นตัวแทนรับมอบ            นายนพเดช กรรณสูต เปิดเผยว่า การได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ บี.กริม ในการบริหารบุคลากรก้าวสู่ความเป็นเลิศ และยั่งยืน สอดคล้องกับทิศทางการบริหารทรัพยากรบุคคล และความยั่งยืนขององค์กร ทั้งยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและดัชนีชี้วัดมวลความสุขของพนักงานในการร่วมงานกับ บี.กริม ตลอดเวลาที่ผ่านมา บี.กริม ให้ความสำคัญกับการบริหารบุคลากร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ โดยเน้นส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน พร้อมเดินหน้าสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง ภายใต้ค่านิยมหลัก 4 ประการ (4Ps Core Values) ประกอบด้วย การมีทัศนคติที่ดี (Positivity) ความร่วมมือกัน (Partnership) ความเป็นมืออาชีพ (Professionalism) และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Pioneering Spirit) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมในการทำงานและหลักปฏิบัติที่ยึดถือมาโดยตลอด            นายเกรียงไกร อยู่ยืน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานทรัพยากรบุคคล กล่าวเสริมว่า การได้รับรางวัลนี้เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน เป็นการยืนยันความสำเร็จขั้นหนึ่งของการดำเนินงานด้าน People and Organization Management ของเราที่ผสานค่านิยมหลักของ บี.กริม เข้ากับจุดแข็งที่หลากหลายของบุคลากร ทั้งด้าน Generation ความเป็นมืออาชีพ และวัฒนธรรม ตามที่ บี.กริม ขยายธุรกิจไปไม่ว่าจะเป็นพนักงานที่ไทย ลาว เวียดนาม มาเลเซีย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ บี.กริม ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพทั้งกายและใจของพนักงาน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำงานและการใช้ชีวิต ด้วยความเชื่อที่ว่าการมีพนักงานที่สุขภาวะดีเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างองค์กรที่เข้มแข็ง            “บี.กริม ยินดีต้อนรับ พลังรุ่นใหม่ ที่จะเข้ามาร่วมสร้างสรรค์สังคมและธุรกิจที่ขยายตัวไปทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เราให้ความสำคัญคือ เคารพในคุณค่าของความหลากหลายและความเป็นมืออาชีพของแต่ละคน ที่จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันความสำเร็จขององค์กร รวมถึงยังมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมโดยรวม ให้ทุกพื้นที่ ทุกประเทศ ที่เราตั้งอยู่เจริญก้าวหน้าไปพร้อมๆ กัน” นายเกรียงไกร กล่าว            รางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia เป็นรางวัลที่ได้รับการยกย่องจากองค์กรชั้นนำทั่วโลก ที่มีความสามารถด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลในแขนงต่างๆ อย่างโดดเด่น โดยนิตยสารเอชอาร์ เอเชีย (HR Asia) จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2013 โดยพิจารณาจากเกณฑ์การวัดระดับความมีส่วนร่วมของพนักงานและวัฒนธรรมองค์กร การทำงานในมิติต่างๆ โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและนักวิชาการจากองค์กรชั้นนำระดับภาคพื้นเอเชียร่วมพิจารณาตัดสิน ภายใต้หัวข้อ Total Engagement Assessment Model (TEAM)  และ Excellence HR Practices            บี.กริม ยังมุ่งเน้นการขยายธุรกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อม และความสุขมวลรวมประชาชาติ โดยองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ บี.กริม ดำรงอยู่มาถึง 146 ปี คือ พนักงานของเราทุกคนในทุกรุ่น ทุกยุคสมัย และทุกประเทศ ยึดมั่นในหลักการทำงานร่วมกันตามค่านิยมวัฒนธรรมองค์กร รวมทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นผ่านวิสัยทัศน์องค์กร “การดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี โดยมุ่งเน้นการทำกิจกรรมเพื่อสังคม ภายใต้ความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ”

ยูโอบี เปิดตัวแคมเปญ “อร่อยล่าดาวกับยูโอบีที่ร้านมิชลินสตาร์”

ยูโอบี เปิดตัวแคมเปญ “อร่อยล่าดาวกับยูโอบีที่ร้านมิชลินสตาร์”

          ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญสุดพิเศษ “อร่อยล่าดาวกับยูโอบีที่ร้านมิชลินสตาร์” เอาใจนักชิม มอบความคุ้มค่าพร้อมความอร่อยระดับมิชลินสตาร์ โดยยูโอบี ถือเป็นธนาคารเดียวในประเทศไทยที่เป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของมิชลินไกด์ในปี 2567 - 2568 และเป็นบัตรเครดิตที่มีโปรโมชันร่วมกับร้านอาหารระดับมิชลินไกด์มากที่สุดกว่า 70 ร้าน ตอกย้ำจุดยืนในการมอบสิทธิประโยชน์ตามไลฟ์สไตล์และความชอบของผู้ถือบัตร           นายธีรวัฒน์ ตรีรัตน์ดิลกกุล กรรมการผู้จัดการ Head of Card Payment and Unsecured Products ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เพราะธนาคารเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคที่มีความแตกต่างกัน จึงทำให้ธนาคารมุ่งมั่นในการสรรหาสิทธิประโยชน์ที่จะตอบสนองลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตยูโอบี ที่หลงใหลในการรับประทานอาหารแบบ Fine Dinning ให้ได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจ และคุ้มค่ามากที่สุด”           สำหรับลูกค้าบัตรเครดิตยูโอบี รับสิทธิพิเศษสุดคุ้ม เพียงเก็บสะสมดาวจากร้านอาหารที่ได้รับรางวัล           มิชลินสตาร์ที่ร่วมรายการ โดยผู้สะสมจำนวนดาวสูงสุด รับ 10 รางวัลสุดพิเศษดังต่อไปนี้ ลำดับที่ 1-5 รับไมล์สะสม Royal Orchid Plus 250,000 ไมล์/ผู้ถือบัตร เข้าบัญชีสมาชิก Royal Orchid Plus และลำดับที่ 6-10 รับบัตรรับประทานอาหารที่ร้าน Nawa Thai Cuisine สำหรับ 2 ท่าน จำนวน 1 ใบ มูลค่ารวม 9,600 บาทขึ้นไป จำกัด 1 รางวัล/ผู้ถือบัตรฯ (รวมทุกประเภทบัตร และรวมบัตรหลักและบัตรเสริม)           เงื่อนไขการร่วมแคมเปญ ผู้ถือบัตรลงทะเบียนเพียงครั้งเดียวเพื่อเข้าร่วมรายการ ผ่าน SMS พิมพ์ MIC (เว้นวรรค) ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้ายส่งมาที่ 4545111 (ค่าส่งครั้งละ 3 บาท) หรือลงทะเบียนผ่านบริการ Rewards+ บนแอป UOB TMRW (ไม่มีค่าใช้จ่าย) โดยลูกค้าธนาคารยูโอบีที่ถือบัตรเครดิตภายใต้แบรนด์ซิตี้สามารถเข้าร่วมโปรโมชันนี้ได้ และจำกัดสิทธิ์รวมกัน           สำหรับร้านอาหารที่ร่วมรายการ ประกอบด้วย Mezzaluna, Chef’s Table, R-Haan, Sühring, Gaa, Le Normandie By Alain Roux, Elements by Ciel Bleu, IGNIV, Maison Dunand, Restaurant POTONG, Le Du, Saneh Jaan, Haoma, Nawa Thai Cuisine, Samrub Samrub Thai, Chim By Siam Wisdom, Resonance, Cadence by Dan Bark, Khao (เฉพาะสาขาเอกมัย), 80/20           ลิ้มลองรสชาติความอร่อยระดับมิชลินสตาร์ สุดคุ้มกับแคมเปญ “อร่อยล่าดาวกับยูโอบีที่ร้านมิชลินสตาร์” ยกระดับมื้ออาหารสู่ช่วงเวลาพิเศษ สำหรับผู้ถือบัตรเครดิต UOB ณ ร้านอาหารมิชลินสตาร์ที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม - 31 ตุลาคม 2567 รายละเอียดแคมเปญ สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ https://go.uob.com/mich-fb

ปตท. มอบรางวัลประกวดศิลปกรรม “พลังที่ส่งต่อ” ครั้งที่ 39  ส่งเสริมเวทีแห่งโอกาสด้านศิลปะ

ปตท. มอบรางวัลประกวดศิลปกรรม “พลังที่ส่งต่อ” ครั้งที่ 39 ส่งเสริมเวทีแห่งโอกาสด้านศิลปะ

          ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดศิลปกรรม ปตท. ครั้งที่ 39 ประจำปี 2567 ในหัวข้อ “พลังที่ส่งต่อ” รวม 24 รางวัล และรางวัลประติมากรรมสื่อผสมจากวัสดุเหลือใช้ “ชลวิถี นทีพัฒน์” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จำนวน 3 รางวัล เพื่อส่งต่อพลังใจให้กับศิลปินที่รังสรรค์ผลงาน ให้เติบโตเป็นบุคลากรชั้นนำในวงการศิลปะ           ดร.คงกระพัน กล่าวว่า ตลอด 39 ปีที่ผ่านมา ปตท. ร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากร สนับสนุนเวทีแห่งโอกาสในการสร้างศิลปินรุ่นใหม่ผ่านโครงการประกวดศิลปกรรม เพื่อให้เยาวชนรวมถึงกลุ่มคนรักศิลปะได้สร้างสรรค์ผลงานทั้งประเภทจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ และทัศนศิลป์อื่น ๆ ซึ่งในปีนี้ได้กำหนดหัวข้อการประกวดคือ “พลังที่ส่งต่อ” เพื่อให้ศิลปินได้ถ่ายทอดผลงานที่จะสร้างกำลังใจและพลังให้กับคนไทยในการขับเคลื่อนประเทศและในปีนี้เป็นปีแรกที่เปิดรับผลงานประเภทดิจิทัลอาร์ต 2 มิติ โดยมีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดทุกประเภทรวมทั้งสิ้น 1,126 ชิ้น จากศิลปิน 1,065 คน แบ่งเป็นรางวัลยอดเยี่ยม (PTT Art Grand Prize Award) และรางวัลดีเด่น (PTT Art Winner Awards) รวม 24 ผลงาน           นอกจากนี้ ปตท. ยังได้จัดการประกวดประติมากรรมสื่อผสมจากวัสดุเหลือใช้ 3 มิติ ภายใต้หัวข้อ “ชลวิถี นทีพัฒน์” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ที่ทรงสืบสาน รักษาและต่อยอด พระราชทานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำแก่ราษฎร พัฒนาสายน้ำหลากหลายสายให้กลับคืนมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีศิลปินร่วมส่งผลงาน 81 ราย รวมจำนวนผลงานแบบเดี่ยวและกลุ่ม 41 ชิ้น โดยได้คัดเลือกผู้ชนะจำนวน 3 รางวัล           การประกวดศิลปกรรม ปตท. นับเป็นหนึ่งใน Soft Power ที่ผ่านทัศนคติและการตัดสินจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของวงการศิลปะไทย ทั้งยังได้ร่วมพัฒนาวงการศิลปกรรมร่วมสมัยของประเทศ ด้วยการเผยแพร่ผลงานการประกวดต่อสาธารณชน เพื่อกระตุ้นให้เกิดความตระหนัก เข้าใจถึงความสำคัญในการร่วมสืบสาน และจรรโลงสังคมไทยให้มีวัฒนธรรมที่ดีงามและยั่งยืน โดย ปตท. ยังเชื่อมั่นว่าศิลปะจะช่วยพัฒนาศักยภาพของเยาวชนให้มีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อก้าวเป็นพลังไทยรุ่นใหม่ที่มีคุณค่าต่อสังคม           ทั้งนี้ ปตท. ขอเชิญชวนร่วมชื่นชมและให้กำลังใจ ผลงานของศิลปินที่ได้รังสรรค์ผ่านนิทรรศการ “พลังที่ส่งต่อ” ได้ที่ PTT Art Gallery ณ บ้านเจ้าพระยา ถ.พระอาทิตย์ กรุงเทพมหานคร ตลอดเดือนตุลาคม 2567 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชม

[PR News] BGRIM ร่วมสนับสนุน

[PR News] BGRIM ร่วมสนับสนุน "แอลไลด์ ไทยแลนด์ โอเพ่น 2024”

          บี.กริม เพาเวอร์ ร่วมสนับสนุน "แอลไลด์ ไทยแลนด์ โอเพ่น 2024ฯ” การแข่งขันเทนนิสอาชีพหญิงใหญ่ที่สุดของอาเซียน ตอกย้ำความมุ่งมั่นส่งเสริมด้านกีฬา เติบโตเคียงข้างสังคมไทย           บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ร่วมสนับสนุน การแข่งขันเทนนิสอาชีพหญิงรายการใหญ่ที่สุดของอาเซียน ดับเบิลยูทีเอ 250 รายการ “แอลไลด์ ไทยแลนด์ โอเพ่น 2024 พรีเซนเต็ด บาย แคล-คอมพ์” ชิงเงินรางวัลรวม 267,082 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณเกือบ 10 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 14-22 กันยายน 2567 จัดโดยกลุ่มบริษัท พราว และ อารีน่า หัวหิน ณ เซ็นเตอร์คอร์ท อารีน่า หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจัดพิธีปิดอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา โดยมี นายนพเดช กรรณสูต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานการลงทุน นวัตกรรม และความยั่งยืน บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมงาน           สำหรับไฮไลท์ในวันที่ 22 กันยายน 2567 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการแข่งขัน บรรยากาศการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศเป็นไปอย่างคึกคัก มีแฟนเทนนิสเข้าชมเกมเป็นจำนวนมาก รวมถึง บาร์โบร่า เครย์ชิโคว่า นักเทนนิสสาวเช็กวัย 28 ปี ปัจจุบันเป็นมืออันดับ 11 ของโลก เจ้าของแชมป์แกรนด์สแลม วิมเบิลดัน 2024 และเฟร้นช์ โอเพ่น 2021 ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เดินทางมาฝึกซ้อมที่อารีน่า หัวหิน ได้เข้าร่วมชมการแข่งขันรอบชิงฯ ครั้งนี้ด้วย โดยนายสุวัจน์ ได้ให้การต้อนรับอย่างเป็นทางการ           ส่วนผลในรอบชิงชนะเลิศ ประเภทหญิงเดี่ยว แชมป์ตกเป็นของ “รีเบ็คก้า สแรมโคว่า” นักเทนนิสจากสโลวาเกีย มืออันดับ 102 ของโลก สามารถเอาชนะ “เลอร่า ซีเก้มุนด์” นักเทนนิสจากเยอรมนี วัย 36 ปี มืออันดับ 99 ของโลก คว้าแชมป์ประเภทหญิงเดี่ยว พร้อมรับเงินรางวัล จำนวน 35,250 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,160,782 บาท และคะแนนสะสมอันดับโลก จำนวน 250 คะแนน ขณะที่รองแชมป์หญิงเดี่ยว ได้รับเงินรางวัลจำนวน 20,830 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 685,931 บาท พร้อมคะแนน จำนวน 163 คะแนน โดยมีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายกกิตติมศักดิ์สมาคมกีฬาลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานที่ปรึกษาการจัดการแข่งขันเทนนิส ไทยแลนด์ โอเพ่น 2024 เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้ผู้ชนะเลิศ และนายพีระเกียรติ ศิริฤทัยวัฒนา กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท แอลไลด์ พรีซิชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้มอบดอกไม้ ส่วนรองชนะเลิศ นายธนะศักดิ์ จรรยาพูน กรรมการบริษัท Cal-Comp Electronics (Thailand) Public Company Limited เป็นผู้มอบถ้วยรางวัล และนายอาชวันต์ กงกะนันทน์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ เป็นผู้มอบดอกไม้ สำหรับการแข่งขันในปีนี้ ถือเป็นปีพิเศษ โดยมีการจัดแข่งขันไทยแลนด์ โอเพ่น ในระดับ ดับเบิลยูทีเอ 250 ถึง 2 ครั้ง ขณะที่เป้าหมายในอนาคต มีแผนยกระดับการจัดการแข่งขันไปสู่ระดับที่ใหญ่กว่าเดิมคือ ดับเบิลยูทีเอ 500 ซึ่งเกมการแข่งขันจะมีความยิ่งใหญ่ขึ้น เนื่องจากระดับ 250 นักเทนนิสที่มีอันดับโลกสูงกว่า 30 ขึ้นไป ไม่สามารถเข้าแข่งขันได้ แต่หากเป็นระดับ 500 ตั้งแต่มือ 1 ของโลก ก็สามารถเข้าแข่งขันได้ ทั้งนี้ คาดว่าจะใช้งบประมาณในการจัดอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 170 ล้านบาท เงื่อนไขคือ ต้องให้ทาง สมาคมนักเทนนิสอาชีพหญิง หรือ ดับเบิลยูทีเอ มาตรวจและให้คะแนน ทั้งมาตรฐานการจัด หรือสนามที่ใช้จัดการแข่งขันต่อไป

[ภาพข่าว] กลุ่มไทยออยล์ ร่วมผลักดันวงการกีฬาคนพิการสู่ระดับสากล

[ภาพข่าว] กลุ่มไทยออยล์ ร่วมผลักดันวงการกีฬาคนพิการสู่ระดับสากล

          กลุ่มไทยออยล์ โดยคุณถิรยุทธ ลิมานนท์ ผู้จัดการฝ่ายกิจการสัมพันธ์ เป็นตัวแทนมอบเงินสนับสนุนให้กับสมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในโอกาสงานเลี้ยงแสดงความยินดีกับทัพนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทย ที่ผ่านการแข่งขันมหกรรมกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 17 ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ที่อาคารอเนกประสงค์ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมีคุณไมตรี คงเรือง นายกสมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้รับมอบ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของนักกีฬาคนพิการไทย           การสนับสนุนในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งในความตั้งใจของกลุ่มไทยออยล์ในการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจต่อสังคม ผ่านการสนับสนุนโอกาสทางการกีฬาแก่นักกีฬาผู้พิการไทย และพัฒนาศักยภาพนักกีฬาคนพิการให้สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ตามวิสัยทัศน์องค์กร “สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน”

[ภาพข่าว] QTC จัดกิจกรรม ปลูกป่าลดภาวะโลกร้อน

[ภาพข่าว] QTC จัดกิจกรรม ปลูกป่าลดภาวะโลกร้อน

           เมื่อเร็วๆ นี้ คณะผู้บริหารและพนักงาน บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (Made to Order) ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงการให้บริการซ่อม บำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้า พร้อมด้วยบริษัทในเครือ และจิตอาสาได้เข้าร่วมกิจกรรม “ปลูกป่า ลดภาวะโลกร้อน” พร้อมปลูกต้นไม้จำนวน 555 ต้น ประกอบด้วย ไม้ประดู่, ไม้มะค่า, ไม้พะยูง, ไม้สัก และไม้เก็ดแดง ซึ่งเป็นการปลูกฝังสร้างจิตสำนึกความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่สีเขียวในกับพื้นที่โรงไฟฟ้า และทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน โดยการปลูกต้นไม้ในครั้งนี้ได้กระจายปลูกในพื้นที่จำนวน 2 ไร่ ของโรงไฟฟ้า Q Solar 1 จังหวัดปราจีนบุรี

GPSC - กนอ.มาบตาพุด เก็บขยะชายหาดระยอง

GPSC - กนอ.มาบตาพุด เก็บขยะชายหาดระยอง

          นายพีรพล อำไพวิทย์ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสกลยุทธ์องค์กรและความยั่งยืน บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. ร่วมกับสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จัดกิจกรรมวันอนุรักษ์ชายฝั่งสากลจังหวัดระยอง ประจำปี 2567 โดยมีผู้บริหารและพนักงาน GPSC พร้อมครอบครัวกว่า 150 คน ร่วมกันเก็บขยะชายหาดในบริเวณหาดแสงจันทร์ จังหวัดระยอง  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสร้างจิตสำนึกในการรักษาความสะอาดชายฝั่งทะเล อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดระยอง           ทั้งนี้ ขยะที่จัดเก็บ จะถูกแยกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ขยะประเภทที่รีไซเคิลไม่ได้  ดำเนินการโดยหน่วยงานภาครัฐ คือองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง ซึ่งจะส่งต่อไปยังโรงคัดแยกขยะเพื่อแปลงเป็นเชื้อเพลิง RDF  (Refuse Derived Fuel) ก่อนส่งเข้าสู่โรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิง RDF ของ GPSC ในจังหวัดระยอง ในขณะที่ขยะประเภทที่รีไซเคิลได้ จะถูกส่งให้ศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะชุมชนบ้านไผ่ ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชนที่ GPSC สนับสนุนด้านการแปรรูปขยะเป็นผลิตภัณฑ์ และท้ายสุด ขยะประเภทอันตราย จะถูกส่งให้หน่วยงานภาครัฐท้องถิ่นนำไปกำจัดต่อไป

[PR News] NIA พัฒนาสตาร์ทอัพแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าสู่ความเป็นกลางคาร์บอนในปี 2050

[PR News] NIA พัฒนาสตาร์ทอัพแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าสู่ความเป็นกลางคาร์บอนในปี 2050

          NIA เร่งพัฒนาสตาร์ทอัพสาขาการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ ตั้งเป้าเดินหน้าสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050           กรุงเทพฯ – 13 กันยายน 2567 กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA จัดกิจกรรมนำเสนอผลงาน “โครงการบ่มเพาะและเร่งสร้างวิสาหกิจเริ่มต้นสาขาการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech Acceleration Program 2024)” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสตาร์ทอัพที่สาขาการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และสภาพภูมิอากาศ เพื่อเร่งพัฒนาสตาร์ทอัพในสาขาการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และสภาพภูมิอากาศ  (Climate Tech Startup ) ผ่านการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของสตาร์ทอัพไทยทั้งด้านเทคโนโลยี การขยายตลาด การเติบโตสู่ระดับภูมิภาค ความพร้อมในการดึงดูดการลงทุน รวมถึงการสนับสนุนเป้าหมายในการเดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2065           ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และสภาพภูมิอากาศ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น เทคโนโลยีการหมุนเวียนทรัพยากร (Circular economy) การจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency) การวิเคราะห์ข้อมูล (Data analytics) และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ล้วนมีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเหล่านี้ถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  HolonIQ: The World's Leading Market Intelligence Platform รายงานเมื่อ มกราคม 2023 ว่า Climate Tech Startup เติบโตสู่ระดับยูนิคอร์นถึง 80 บริษัท และการลงทุนในสาขานี้มีมูลค่ารวมสูงกว่า 180,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แสดงถึงการเติบโตที่น่าจับตามองและสะท้อนถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมในระดับโลก โดยที่ผ่านมา NIA มุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา เพื่อบ่มเพาะและเร่งสร้างสตาร์ทอัพในสาขาการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ ซึ่งถือเป็นปัญหาเร่งด่วนของโลก ดังนั้น การสนับสนุนให้สตาร์ทอัพสามารถพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ ครอบคลุมการเชื่อมโยงนวัตกรรมของสตาร์ทอัพกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเร่งพัฒนาขีดความสามารถรวมถึงการวางกลยุทธ์การขยายตลาด และการเตรียมความพร้อมสำหรับการเจรจาระดมทุนจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและสามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ”           สำหรับโครงการ Climate Tech Acceleration Program 2024 มีสตาร์ทอัพที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ จำนวนทั้งสิ้น 5 ทีม ประกอบด้วย 1) T-Smart Solution: ระบบการจัดการและควบคุมพลังงานอัจฉริยะในอาคารและโรงงานโดยใช้แพลตฟอร์ม AIoT เพื่อช่วยประหยัดพลังงานแบบการันตีและลดการปล่อยคาร์บอน เป็นผู้เชี่ยวชาญทางวิศวกรรม สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารได้อย่างมีมาตรฐานและประสิทธิภาพสูงสุด 2) Alive Loop: ผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้จากแหล่งทรัพยากรหมุนเวียน ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งไมโครพลาสติก 3) Nano Coating Tech: สตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญด้านนาโนเทคโนโลยีที่มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ล้ำสมัยที่มีคุณสมบัติในการปกป้องและยืดอายุการใช้งานของแผงโซลาร์เซลล์ ผ่านการใช้เทคโนโลยีการเคลือบนาโนซิลิกา 4) CERO: แพลตฟอร์มที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เริ่มต้นจากการเข้าใจผลกระทบของการใช้ชีวิตประจำวันต่อสิ่งแวดล้อม ติดตามและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมง่ายๆ เปลี่ยนการรักษ์โลกให้กลายเป็นเรื่องสนุก และ 5) Top Engineering: โซลูชั่นวิเคราะห์ข้อมูลภาคพื้นดินในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยระบบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของพื้นที่อย่างแม่นยำสำหรับงานทางด้านสิ่งแวดล้อมและอื่นๆ           ดร.กริชผกา กล่าวเพิ่มเติมว่า “สตาร์ทอัพทุกทีมได้รับผ่านการพัฒนาเพื่อขีดความสามารถแบบเฉพาะเจาะจง โดยได้รับคำแนะนำและเชื่อมต่อกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมและนักลงทุนตลอดระยะเวลาของโครงการเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ การสนับสนุนสตาร์ทอัพในสาขาการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศให้เติบโตถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของประเทศไทยในการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อญหาสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ ซึ่งป็นปัญหาหลักที่กำลังเผชิญอยู่ การพัฒนาสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมที่แข็งแกร่งให้สามารถเติบโตได้ทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายที่ประเทศไทยได้ตั้งไว้ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลกอีกด้วย”           สำหรับการจัดกิจกรรมนำเสนอผลงาน “โครงการบ่มเพาะและเร่งสร้างวิสาหกิจเริ่มต้นสาขาการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech Acceleration Program 2024)” นี้ได้ถูกจัดงานเป็น Carbon Neutral Event ที่มีการประเมินและชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการจัดงาน ผ่าน CERO Platform ที่เป็นสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนและเข้าร่วมโครงการของ NIA

สนพ. ปล่อยก๊าซ CO2 ลดลง 2.5%

สนพ. ปล่อยก๊าซ CO2 ลดลง 2.5%

          สนพ. เผยภาคพลังงานการปล่อยก๊าซ CO2 ครึ่งปี 67 ลดลง 2.5% อยู่ที่ระดับ 121.9 ล้านตัน CO2           นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการใช้พลังงาน 6 เดือนแรกของปี 2567 (เดือนมกราคม - มิถุนายน 2567) พบว่า การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงาน อยู่ที่ระดับ 121.9 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยในภาคการขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม และภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ (ภาคครัวเรือน เกษตรกรรม พาณิชยกรรม และกิจกรรมอื่น ๆ) มีการปล่อยก๊าซ CO2 ลดลงที่ร้อยละ 16.8 1.2 และ 1.5 ตามลำดับ ในขณะที่ภาคการผลิตไฟฟ้ามีการปล่อยก๊าซ CO2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8           สำหรับการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานแยกรายชนิดเชื้อเพลิงใน 6 เดือนแรกของปี 2567 พบว่า พรวมการปล่อยก๊าซ CO2 แยกรายชนิดเชื้อเพลิง รวมทั้งสิ้น 121.9 ล้านตัน CO2 ซึ่งลดลงจากทุกชนิดเชื้อเพลิง โดยน้ำมันสำเร็จรูป มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 52.9 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 1.1 ก๊าซธรรมชาติ มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 40 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 0.3 และถ่านหิน/ลิกไนต์ มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 28.9 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 7.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน           สำหรับการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานแยกรายภาคเศรษฐกิจในปี 2566 พบว่า มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 121.9 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 2.4 โดยภาคการขนส่ง มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 41.5 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 1.2 ภาคอุตสาหกรรม มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 25.6 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 16.8 ภาคการผลิตไฟฟ้า มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 48.1 ล้านตัน CO2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 และภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ได้แก่ ภาคครัวเรือน เกษตรกรรม พาณิชยกรรม และกิจกรรมอื่น ๆ มาจากการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียว มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 รวม 6.7 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน           “หากเปรียบเทียบการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อการใช้พลังงานของประเทศไทยเทียบกับต่างประเทศ จากข้อมูลของ International Energy Agency (IEA) ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า ในปี 2565 ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อการใช้พลังงานอยู่ที่ 2.05 พันตัน CO2 ต่อการใช้พลังงาน 1 KTOE ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมประเทศจีน) ประเทศจีน และประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ที่ 2.29 2.34 2.79 และ 2.12 พันตัน CO2 ต่อการใช้พลังงาน 1 KTOE ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อการใช้พลังงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรป ซึ่งอยู่ที่ 1.95 พันตัน CO2 ต่อการใช้พลังงาน 1 KTOE ซึ่งประเทศไทยมีนโยบายด้านพลังงานที่คำนิงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงทำให้มีการปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ซึ่งจะช่วยทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดปลดปล่อยก๊าซ CO2 ตามเป้าหมายของการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศได้” นายวีรพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย  

[ภาพข่าว] กลุ่ม ปตท. เร่งส่งมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยต่อเนื่อง

[ภาพข่าว] กลุ่ม ปตท. เร่งส่งมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยต่อเนื่อง

          ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน ปล่อยรถบรรทุกถุงยังชีพไปยัง จ.เชียงราย เพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งสถานการณ์ยังคงวิกฤต ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. ได้ทยอยส่งมอบความช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยในภาคเหนืออย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม รวมมูลค่ากว่า 8.8 ล้านบาท ประกอบด้วย ถุงยังชีพ 16,350 ถุง น้ำดื่ม 64,700 ขวด ยารักษาโรค ผ้าห่ม เรือพาย และก๊าซหุงต้มเพื่อใช้ในการประกอบอาหาร โดย กลุ่ม ปตท. ได้ส่งมอบความช่วยเหลือผู้ประสบภัย จ.เชียงราย แพร่ น่าน พะเยา พิษณุโลก และสุโขทัย ในรูปแบบต่าง ๆ ผ่านหน่วยงานภาครัั้งน่วนกลางแ่วนท้องถิ่น และส่งทีมปฏิบัติการ PTT Group SEALs ลงพื้นที่ที่ยากแก่การเข้าถึง เพื่อมอบถุงยังชีพ อพยพประชาชน เร่งบรรเทาทุกข์ในสถานการณ์วิกฤต อันเป็นพันธกิจสำคัญที่ กลุ่ม ปตท. ยึดถือปฏิบัติเสมอมาในการช่วยเหลือดูแลสังคมและชุมชน  

[PR News] ก.ล.ต. ส่งเสริมการซื้อขาย “คาร์บอนเครดิต”

[PR News] ก.ล.ต. ส่งเสริมการซื้อขาย “คาร์บอนเครดิต”

ก.ล.ต. ปักหมุดพัฒนาตลาดทุนเพื่อความยั่งยืน ส่งเสริมการซื้อขาย “คาร์บอนเครดิต” วันศุกร์ที่ 13 เดือนกันยายน พ.ศ. 2567 | ฉบับที่ 189 / 2567 การพัฒนา “ตลาดทุนยั่งยืน” เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐในการส่งเสริม “เศรษฐกิจสีเขียว” และส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ของอาเซียน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ดำเนินการตามแผนยทธสต ปี 2567 ด้านการพัฒนาตลาดทุนยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวทางการส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญ เพื่อสนับสนุนตลาดคาร์บอนเครดิตในไทยเติบโตมากขึ้น และทำให้มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในวงกว้างมากขึ้น ล่าสุด ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์กำกับดูแล “Utility Token พร้อมใช้” ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 ส่งผลให้การให้บริการซื้อขายโทเคนดิจิทัลที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการอุปโภคบริโภค หรือเป็นการรับรองหรือแทนเอกสารสิทธิใด ๆ (consumption-based utility token) ซึ่งรวมถึงโทเคนดิจิทัลที่นำไปใช้แลกเป็นคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานและพร้อมที่จะนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (tokenized carbon credit) สามารถทำได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล ยังไม่สามารถให้บริการ consumption-based utility token ซึ่งจะมีการเสนอคณะกรรมการ ก.ล.ต. เพื่อพิจารณายกเว้นต่อไป นอกจากนี้ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อยู่ระหว่างหารือเกี่ยวกับการให้บริการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในรูปแบบอื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. รวมทั้งเตรียมความพร้อมโดยการปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการให้บริการซื้อขายดังกล่าวด้วย ภายใต้ความมุ่งมั่นผลักดันของ ก.ล.ต. เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางด้านการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ของอาเซียนนั้น จะต้องมีการประสานความร่วมมือกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) (อบก.) และตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

[PR News] SET เดินหน้าศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิต

[PR News] SET เดินหน้าศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิต

          ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าพัฒนาศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิต ส่งเสริมให้ไทยเป็นผู้นำอาเซียนด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันนี้ (12 กันยายน 2567) ในการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตลอดจนส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ของอาเซียนผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทย นั้น           ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเห็นความสำคัญของการพัฒนาระบบนิเวศเศรษฐกิจสีเขียวร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านของประเทศไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเตรียความพรลสริมศักยภาพของภาคธุรกิจในการปรับตัวและแสวงหาโอกาสจากการเปลี่ยนผ่าน รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การพัฒนาระบบจัดการข้อมูล SET ESG Data Platform เพื่อเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงข้อมูล ESG ของภาคธุรกิจและผู้ลงทุน ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาระบบนิเวศการเงินอย่างยั่งยืน (Sustainable Finance) อีกทั้งยังได้พัฒนาระบบ SET Carbon ซึ่งเป็นเครื่องมือคำนวณคาร์บอนฟุตพรินท์ (Carbon Footprint) ให้กับบริษัทจดทะเบียนและผู้ประกอบธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) รวมทั้งช่วยให้สถาบันการเงินมีข้อมูลสำคัญที่เพียงพอต่อการพัฒนาสินค้าทางการเงินสีเขียว (Green Finance) นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาสัญญามาตรฐานในการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Standard Master Trading Agreement) เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ทั้งนี้ กลไกหนึ่งที่สำคัญต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจในการมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) คือ การมีศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่มีประสิทธิภาพและความโปร่งใส ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างศึกษาการพัฒนากลไกกำกับดูแลและระบบซื้อขาย โดยได้ทำงานร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในการออกแบบรูปแบบที่เหมาะสม และผลักดันแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรค เพื่อให้สามารถดำเนินการในเรื่องนี้ได้อย่างคล่องตัว ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนเป้าหมายการสร้างความยั่งยืนควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

[PR News] วีบียอนด์ “V GREEN ปลูกเพื่อให้” มุ่งสู่ NET ZERO

[PR News] วีบียอนด์ “V GREEN ปลูกเพื่อให้” มุ่งสู่ NET ZERO

ถือฤกษ์ดี “วันอากาศสะอาดสากล” หรือ International day of clean air เมื่อวันเสาร์ที่ 7 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัวโครงการ“V GREEN ปลูกเพื่อให้” นำร่องจัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ณ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและอนุรักษ์ป่าชายเลนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ต.เสม็ด อ.เมือง จ.ชลบุรี โดยได้รับเกียรติจาก คุณโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมเป็นประธานในการจัดกิจกรรม พย คุณวัฒนา ไทยเจริญ ปลัดอาวุโส อำเภอเมืองชลบุรี คุณโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า “วันนี้ถือเป็นโอกาสดีของการจัดกิจกรรม เพราะตรงกับวันอากาศสะอาดสากล ซึ่งการปลูกต้นไม้ ก็จะสร้างอากาศที่ดี ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กิจกรรมนี้จะเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจ และกระตุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ธรรมชาติ ซึ่งเกิดประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัว และต่อสังคม” ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้ “วีบียอนด์ฯ” ได้สนับสนุนกล้าไม้และอุปกรณ์ในกิจกรรมปลูกป่าชายเลน จำนวนกว่า 2,000 ต้น โดยมี คุณธีรพงศ์ สังขอินทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีมเวิร์ค คอนซัลแตนท์ จํากัด และพนักงาน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและมีส่วนสำคัญในการจัดกิจกรรม เพื่อสร้างสังคมสีเขียวร่วมกับ “วีบียอนด์ฯ” รวมถึงการร่วมกันจัดทำแนวทางการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกขององค์กรอย่างเต็มรูปแบบต่อไป เพื่อมุ่งหวังที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน โดยก่อนทำการปลูกป่าในพื้นที่จริง คุณพรทิพย์ ฝอยวารี ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาธรรมชาติและอนุรักษ์ป่าชายเลนฯ จ.ชลบุรี ได้ให้รายละเอียดวิธีการปลูกรวมถึงประโยชน์ของป่าชายเลน แก่คณะผู้บริหารและพนักงานจิตอาสาจากวีบียอนด์ฯ พร้อมด้วยคณะอาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยบูรพา คุณวรเดช รุกขพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “โครงการ V GREEN ปลูกเพื่อให้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการแสดงออกถึงความตั้งใจของวีบียอนด์ที่จะดำเนินกิจกรรมื่อสร้างสแวดล้อมี่ดี งสดคล้องกับเป้าหมายของวีบียอนด์ที่มุ่งหวังขับเคลื่อนองค์กรอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นไปที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน “Green tech” สนับสนุนชุมชน สร้างรายได้ เพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติ ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส ภายใต้แนวคิด “V Sustainable beyond” เป็นได้มากกว่า คือ อนาคตที่ยั่งยืน โดยขับเคลื่อนผ่านกลยุทธ์ 3 V คือ V GREEN สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี มุ่งสู่ NET ZERO V GIVE ร่วมพัฒนาคน ชุมชน และสังคม เพื่อสังคมคุณภาพ V GREAT กำกับดูแลกิจการที่ดีร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มให้เติบโดไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน เรามีความมุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรที่ดีต่อสังคม โดยเชื่อว่าการทำธุรกิจที่ดี ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างผลกำไร แต่ยังรวมถึงการสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย การที่เราได้มาร่วมกันทำกิจกรรมในวันนี้ คือการเริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ ที่จะนำไปสู่การสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตครับ”

[PR News] ธอส. พร้อมช่วยเหลือลูกค้า ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ

[PR News] ธอส. พร้อมช่วยเหลือลูกค้า ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ

          ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าในพื้นที่ภาคเหนือที่ประสบอุทกภัย ผ่าน 7 มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปี 2567 โดยธนาคารได้ติดต่อลูกค้าในพื้นที่ประสบอุทกภัยผ่านทุกช่องทางของธนาคาร ผลปรากฏว่ามีลูกค้าทยอยยื่นขอสินไหมเร่งด่วนแล้ว กว่า 400 ราย คิดเป็นวงเงินประมาณการค่าเสียหายรวมกว่า 15 ล้านบาท และยังคงมีลูกค้าแจ้งความเสียหายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ยืนยันพร้อมร่วมกับบริษัทพันธมิตรประกันวินาศภัยให้ความช่วยเหลือลูกค้า โดยผู้ประสบอุทกภัยสามารถติดต่อสาขาธนาคารทั่วประเทศ เพื่อขอรับความช่วยเหลือได้ตั้งต่วันถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2567           นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ได้ให้การช่วยเหลือลูกค้าธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ภาคเหนือ ผ่าน มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปี 2567” รวม 7 มาตรการ ตามนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงการคลัง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกค้าโดยครอบคลุมทั้งการลดเงินงวดและดอกเบี้ย ให้กู้เพิ่ม/กู้ใหม่ อัตราดอกเบี้ยต่ำ ประนอมหนี้ ปลอดหนี้ รวมถึงการมอบสินไหมเร่งด่วนให้กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน โดยขณะนี้ ธอส. ได้ติดต่อลูกค้าผ่านทุกช่องทางของธนาคารเพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบแล้ว โดยมีลูกค้าแจ้งความเสียหายและส่งภาพถ่ายที่อยู่อาศัยเพื่อยื่นความประสงค์ขอรับสินไหมเร่งด่วนแล้วกว่า 400 ราย คิดเป็นประมาณการวงเงินความเสียหายรวมกว่า 15 ล้านบาท โดยยังมีลูกค้าติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดการณ์จะมีลูกค้าทยอยยื่นความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือเพิ่มมากขึ้นต่อไป โดย ธอส. ยืนยันพร้อมประสานงานกับบริษัทพันธมิตรประกันวินาศภัย ประกอบด้วย บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ทำประกันอัคคีภัย ซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ ให้ได้รับสินไหมเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ (รายละเอียดและเงื่อนไขเป็นไปตามกรมธรรม์)           “จากการที่รัฐบาลและกระทรวงการคลัง มีนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ เร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ธอส. จึงจัดทำมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกค้าในพื้นที่ประสบอุทกภัย และติดต่อลูกค้า ให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ส่งผลให้คุณภาพลูกหนี้ใน 13 จังหวัดพื้นที่ประสบอุทกภัย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 มีคุณภาพที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าสะท้อนจากการผ่อนชำระเงินงวดของลูกค้า แม้ประสบปัญหาน้ำท่วม อย่างไรก็ตาม ธอส. พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าธนาคารที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่อื่น ๆ ด้วย ดังนั้นลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่า ธอส. พร้อมเคียงข้าง และดูแลเพื่อให้ลูกค้ารักษาบ้านของตนเไว้ได้ต่อไป” นายกมลภพ กล่าว           สำหับกค้าที่ประสงค์ขอรับบริการตามมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปี 2567 ทั้ง 7 มาตรการ สามารถติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2567 โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th

[PR News] ไทยพาณิชย์ ชู “อยู่ อย่าง ยั่งยืน”

[PR News] ไทยพาณิชย์ ชู “อยู่ อย่าง ยั่งยืน”

          ไทยพาณิชย์ เดินหน้าภารกิจ “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” ตั้งเป้าเป็นผู้นำพันธมิตรความยั่งยืนเคียงข้างลูกค้าสู่เป้าหมาย Net Zero ผสานพลังเทคโนโลยีร่วมขับเคลื่อนความยั่งยืน           ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่งสู่ธนาคารชั้นนำด้านความยั่งยืน (The Leading Sustainable Bank) วางกรอบพันธกิจความยั่งยืน ชูแนวคิด “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” (Live Sustainably) เป็นหลักปฏิบัติให้การดำเนินธุรกิจไปในทิศทางเดียวกันทุกมิติ ผสานศักยภาพเทคโนโลยีและนวัตกรรมร่วมขับเคลื่อนธุรกิจและสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืนทั้งในระดับธนาคาร ลูกค้า และสังคม มองความยั่งยืนเป็นเรื่องของทุกคนที่ต้องให้ความสำคัญ วางเป้าหมายสู่ความยั่งยืนใน 3 ระยะ ได้แก่ 1) สนับสนุนลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้วยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนจำนวน 150,000 ล้านบาท ภายใน 2025 2) ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรืจจากการดำเนินงานของคร (Scope 1-2) ให้เป็น Net Zero ภายในปี 2030 และ 3) เป็นธนาคารไทยแห่งแรกที่ตั้งเป้า Net Zero 2050 จากการให้สินเชื่อและเงินลงทุนตามมาตรฐาน Science Based Target Initiatives (SBTi) หนุนภาคธุรกิจก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ มุ่งมั่นเป็นพันธมิตรความยั่งยืนนำพาลูกค้าเติบโตฝ่าความท้าทายสู่เป้าหมาย Net Zero พร้อมเคียงข้างและส่งต่อความยั่งยืนให้แก่ลูกค้า ควบคู่กับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนในสังคม เพื่อให้คนไทยได้อยู่ อย่าง ยั่งยืน           นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธุรกิจในปัจจุบันกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยความท้าทายใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อภาวะโลกร้อนอันเป็นผลต่อเนื่องมาถึงการดำเนินธุรกิจและการดำเนินชีวิตของผู้คนที่จะต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับทิศทางสังคมคาร์บอนต่ำด้วยการปรับนโยบายและกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การที่ภาคธุรกิจทั้งระบบกำลังปรับตัวไปพร้อมๆ กันนี้เอง ก็เป็นโอกาสที่จะสร้างการขยายตัวให้เศรษฐกิจครั้งใหม่ได้อย่างมหาศาล ด้วยกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ที่เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจของธนาคารซึ่งครอบคลุมถึงมิติด้านความยั่งยืนที่มีการดำเนินงานด้านนี้อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมมาตลอด 3 ี โดยมุ่งมั่นเป็นธนาคารชั้นนำแห่งความยั่งยืน ธนาคารจึงได้กำหนดแนวคิด “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” เพื่อเป็นหลักปฏิบัติที่จะนำการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนให้เกิดขึ้นในทุกคน           ภายใต้แนวคิด “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” ธนาคารเชื่อมั่นว่าความยั่งยืนเป็นเรื่องของทุกคน ที่ต้องร่วมกันตั้งเป้าหมาย สร้างแรงกระเพื่อม ประสานความร่วมมือ เพื่อสร้างอนาคตให้เราทุกคนได้อยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน โดยธนาคารมีบทบาทการสนับสนุนความยั่งยืนด้วยการจัดสรรเงินทุนให้แก่ลูกค้า(Sustainable finance) กำหนดแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ (Responsible lending) พร้อมนำความแข็งแกร่งทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของธนาคารเข้าสนับสนุนการดำเนินงานความยั่งยืนทุกมิติ ทั้งนี้ ธนาคารได้วางเป้าหมายสู่ความยั่งยืนใน 3 ระยะสำคัญ ได้แก่ 1) สนับสนุนลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้วยสินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนจำนวน 150,000 ล้านบาท ภายใน 2025 โดยปัจจุบัน ณ สิ้นไตรมาสที่ 2/2024 ได้สนับสนุนสินเชื่อไปแล้วกว่า 1.11 แสนล้านบาท (โดยนับตั้งแต่ปี 2023) 2) ปรับการดำเนินงานองค์กรสู่ Net Zero ภายในปี 2030 และ 3) เป็นธนาคารไทยแรกที่ตั้งเป้า Net Zero 2050 จากการให้สินเชื่อและการลงทุนตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ หรือ Science-Based Targets Initiative (SBTi) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลก ด้วยแผนการเปลี่ยนผ่านพอร์ตสินเชื่อทั้ง 2.3 ล้านล้านบาทสู่พอร์ตสินเชื่อสีเขียว           เพื่อบรรลุผลตามเป้าหมายข้างต้น ธนาคารได้วางกรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนสำหรับการส่งต่อความยั่งยืนให้กับผู้เกี่ยวข้อง แบ่งเป็น 3 แกน ประกอบด้วย 1) Sustainable Banking สนับสนุนการเงินยั่งยืนแก่ลูกค้า 2) Corporate Practice Excellence นำไทยพาณิชย์สู่องค์กรแห่งความยั่งยืน และ 3) Better Society พัฒนาสังคมที่ดียิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1) Sustainable Banking สนับสนุนการเงินยั่งยืนแก่ลูกค้า เพื่อสนับสนุนลูกค้าลดความเสี่ยงจากการทำธุรกิจกับคู่ค้า และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ไปด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นการเสริมโอกาสทางธุรกิจ ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนในการสร้างสรรค์และพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่ตอบสนองต่อระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยไทยพาณิชย์เป็นธนาคารไทยแห่งแรกที่ตั้งเป้า Net Zero 2050 จากการให้สินเชื่อและการลงทุนตามหลักทางวิทยาศาสตร์ (SBTi) และเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมอีเควเตอร์ หรือ Equator Principles (EP) Association ในการนำหลักการ EP ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกมาใช้ในการกำหนดนโยบายและพัฒนากระบวนการิหารจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมสำหรับการพิจาราสินเชื่อโครงการของธนาคาร (Project Finance) เตรียมเงินทุนสนับสนุนการเงินยั่งยืนระหว่างปี 2023-2025 รวมกว่า 150,000 ล้านบาท และปัจจุบันได้อนุมัติวงเงินดังกล่าวไปแล้วกว่า 111,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังนำจุดแข็งทางเทคโนโลยีมาเพิ่มคุณค่าทางด้านการให้บริการและสนับสนุนลูกค้า ด้วยการมอบโซลูชั่นทางการเงินที่สอดคล้องกับธุรกิจของลูกค้า รวมถึงการเป็นที่ปรึกษาและจัดหาพาร์ทเนอร์ทางเทคโนโลยีอื่นๆ ในอนาคตเพื่อช่วยบริหารการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดต้นทุนระยะยาว 2) Corporate Practice Excellence สร้างองค์กรแห่งความยั่งยืน มุ่งเน้นการนำไทยพาณิชย์ให้เป็นองค์กรแห่งความยั่งยืนในทุกมิติ โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และได้กำหนดเป้าหมาย Net Zero 2030 จากการดำเนินงานภายใน ทั้งทางด้านการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานในองค์กรให้เป็นระบบประหยัดพลังงาน และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด นอกจากนี้ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรด้วยการสร้างวัฒนธรรมความยั่งยืนภายในองค์กร พร้อมปลูกฝัง DNA ความยั่งยืนให้พนักงานธนาคารทุกคนด้วยทักษะและหลักสูตรต่างๆ พร้อมบูรณาการให้ความยั่งยืนเป็นส่วนหนึ่งของทุกส่วนงานเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนในองค์กรและช่วยเหลือลูกค้า ควบคู่ไปกับแผนการเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถของธนาคารตามยุทธวิธี AI-First Bank และการยกระดับงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ก็ยิ่งเป็นการส่งเสริมความสามารถและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับไทยพาณิชย์ 3) Better Society มุ่งมั่นพัฒนาสังคมที่ดียิ่งขึ้น การพัฒนาสังคมที่ดียิ่งขึ้นเป็นหนึ่งในความยั่งยืนที่ธนาคารให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของคนในสังคม ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและการพัฒนาแบบองค์รวม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างทั่วถึง และได้ร่วมช่วยบรรเทาทุกข์ บำรุงสุขแก่เยาวชน ชุมชน และสังคมไทย มาเป็นเวลามากกว่า 3 ทศวรรษ ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ ที่ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม และการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพสำหรับโลกอนาคต ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาเยาวชน ผสานด้วยเทคโนโลยีของธนาคารที่เข้าไปร่วมสร้างระบบนิเวศทางด้านการเงินและดิจิทัล มอบองค์ความรู้และส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีให้ผู้คนนรูบที่เป็นไปได้  อาทิ ความร่วมมือกับิทยาลัยต่างๆ ก่อให้เกิดเป็นโครงการ Smart University และ Smart Hospital โดยมีผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการ แล้วกว่า 400,000 ราย           ดร. ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวถึงกลยุทธ์เป้าหมาย Net Zero ของธนาคารเพื่อสนับสนุนการปรับตัวของลูกค้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ว่า “ธนาคารวางกรอบพันธกิจในการผลักดันเป้าหมาย Net Zero สำหรับพอร์ตสินเชื่อและการลงทุน (Scope 3 Category 15 Investment) ภายในปี 2050 ตามมาตรฐาน SBTi (Science Based Targets Initiative) ซึ่งถือเป็นมาตรฐานแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด จากกรอบการดำเนินงานที่อยู่บนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ โปร่งใส และตรวจสอบได้ สะท้อนจากกว่า 8,800 องค์กรธุรกิจชั้นนำของโลกที่ได้ให้คำมั่นหรือประกาศเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ตามกรอบ SBTi  โดยธนาคารไทยพาณิชย์ภายใต้ทิศทางนโยบายของ SCBX จึงนับเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของไทยที่ประกาศเจตจำนงสู่เป้าหมาย Net Zero ตามกรอบ SBTi ซึ่งตอกย้ำวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของธนาคารไทยพาณิชย์ในการเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนและสร้างความพร้อมให้กับเศรษฐกิจไทยต่อความท้าทายและโอกาสของสังคมคาร์บอนต่ำ โดยมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงาน 3 ด้าน ได้แก่ 1. ความรับผิดชอบต่อสังคม ผ่านการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินเพื่อสนับสนุนความพยายามของประเทศและประชาคมโลกจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศา ตามความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่นับวันจะทวีรุนแรงยิ่งขึ้น  2. การบริหารความเสี่ยงของธนาคาร ผ่านการสนับสนุนลูกค้าเพื่อให้สามารถปรับตัวก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สามารถแข่งขันได้ภายใต้กฎระเบียบใหม่ทางการค้าการลงทุนของโลก และ 3. โอกาสทางธุรกิจ จากความต้องการเม็ดเงินลงทุนจำนวนมากจากอุตสาหกรรมต่างๆของไทยที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและการให้บริการเพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืนที่เปลี่ยนไป           ทั้งนี้ ธนาคารีความมุ่งมั่นนการเป็น True partner ให้กับลูกค้าของเราตลอดส้นทการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งการสนับสนุนด้านการเงินที่ยั่งยืนผ่านผลิตภัณฑ์ (Sustainable Finance) ที่ครบถ้วนในทุกกลุ่มลูกค้าและอุตสาหกรรม ตลอดจนการให้ความรู้และคำแนะนำการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับความพร้อมและความต้องการของลูกค้าผ่านการจับมือกับองค์กรพันธมิตรชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญในมิติต่างๆ ในการสร้างระบบนิเวศน์เพื่อสนับสนุนการลงมือปฏิบัติได้จริง และนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน  โดยธนาคารดำเนินการผ่านกลยุทธ์ ไว้ 3 ด้าน ดังนี้ 1)  การบริหารพอร์ตสินเชื่อของธนาคารให้สอดคล้องกับ Net Zero Target (Net Zero Financed Portfolio Management) ด้วยการวางแผนกลยุทธ์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกลุ่มลูกค้ารายอุตสาหกรรม (Sector Decarbonization Strategy) โดยในธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์ได้เป็นผู้นำด้านการปล่อยสินเชื่อโรงงานไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของไทยมายาวนาน โดยมีมูลค่าวงเงินอนุมัติสินเชื่อกว่า 1.98 แสนล้านบาทระหว่างปี 2011 ถึงปัจจุบัน ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนในปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ 61 ของพอร์ตโรงไฟฟ้าของธนาคาร เทียบเคียงธนาคารชั้นนำของโลก และทำให้ความเข้มข้นของการปล่อย GHG ต่อหนึ่งหน่วยการผลิตไฟในพอร์ตโรงไฟฟ้าของธนาคาร (ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักภายใต้วิธี Sectoral Decarbonization Approach (SDA))  มีการปรับตัวลดลง และอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโรงไฟฟ้าทั่วโลกและต่ำกว่าเส้นทางในการบรรลุ Net Zero 2050 ตาม Paris Agreement โดยกลยุทธ์ในระยะถัดไป ธนาคารจะยังคงเพิ่มวงเงินสินเชื่อโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งต่อลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ เพื่อสนับสนุนความต้องการไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่มีเพิ่มมากขึ้น ควบคู่กับการลดการสนับสนุนพลังงานถ่านหิน ผ่านการทยอยลดสินเชื่อคงค้าง (Coal Phasing Out) และไม่ปล่อยสินเชื่อใหม่ให้แก่การขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับถ่านหิน สำหรับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ธนาคารได้นำวิธี Implied Temperature Rise (ITR) ตามกรอบ SBTiมาใช้ในการวัดเป้าหมายและความคืบหน้าในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยระดับอุณหภูมิของสินเชื่อของลูกค้าแต่ละรายจะขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่น (Commitment) ในการกำหนดเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกของลูกค้าที่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยจากผลสำรวล่าดนกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่จำนวน 218 ราย ที่คิดเป็นร้อยละ 84 ของสินเชื่อในกลุ่ม ITR ทั้งหมด (ยอดสเชื่อั้งหมด 4.99 แสนล้านบาท) พบว่า ระดับการตั้งเป้าหมายของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่มีความหลากหลาย โดยลูกค้าจำนวน 77 ราย ซึ่งมีสินเชื่อรวมคิดเป็นร้อยละ 47 ของยอดสินเชื่อในกลุ่มสำรวจทั้งหมดมีการกำหนดและประกาศเป้าหมายที่ครบถ้วน อย่างไรก็ดี ยังมีลูกค้าจำนวน 100 ราย ซึ่งมีสินเชื่อรวมคิดเป็นร้อยละ 35 ของยอดสินเชื่อในกลุ่มสำรวจทั้งหมด ยังไม่มีการเก็บข้อมูล GHG และไม่มีการตั้งเป้าหมายแต่อย่างใด ทั้งนี้ ด้วยกลยุทธ์ของธนาคารในการ engage กับลูกค้าเพื่อนำไปสู่การตั้งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมกับบริบทของลูกค้าแต่ละราย ควบคู่กับการสนับสนุนด้านสินเชื่อเพิ่มเติมให้กับลูกค้าที่มีการประกาศเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้ระดับอุณหภูมิพอร์ตโฟลิโอของลูกค้ากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยปรับลงแล้วกว่า 0.19 องศาเซลเซียส จาก 2.84 องศาเซลเซียส จากปีฐาน 2021 มาอยู่ที่ 2.65 องศาเซลเซียส ในปี 2023 โดยธนาคารมีเป้าหมายจะทำให้ระดับอุณหภูมิของพอร์ตสินเชื่อลดลงสู่ระดับ 2.35 องศาเซลเซียส ภายในปี 2028 และ 1.50 องศาเซลเซียสในปี 2040  ซึ่งจะช่วยให้ระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบรรลุ Net Zero ได้ในปี 2050 2) การสนับสนุนลูกค้าตลอดเส้นทางการเติบโตอย่างยั่งยืน (Partner for Client’s Sustainability Journey) ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้านการเงินยั่งยืนที่ครบถ้วน และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกขนาดในแต่ละอุตสาหกรรม พร้อมสนับสนุนการให้ความรู้และการนำเสนอ Technical Solutions ที่นำไปใช้ได้จริงแก่ลูกค้า ด้วยการผนึกกำลังกับองค์กรพันธมิตรที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ ควบคู่กับการยกระดับศักยภาพของบุคลากร  การพัฒนาระบบฐานข้อมูลและกระบวนการบริหารงานภายในต่างๆ เพื่อการเป็น True Partner ให้กับลูกค้าบนเส้นทางการลดก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องเหมาะสมกับบริบทของลูกค้าที่ต่างกัน ลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อสีเขียว (Green Loan) สินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) โดยอัตราดอกเบี้ยที่คิดจะขึ้นกับความสำเร็จของเป้าหมายด้านการลดก๊าซเรือนกระจกหรือเป้าหมายด้าน Sustainability อื่นๆ ของโครงการ ตลอดจนสินเชื่อโครงการพลังงานทดแทน รวมถึงผลิตภัณฑ์ตลาดทุนและการเงินอื่นๆ เช่น การจัดจำหน่ายตราสารหนี้ด้านความยั่งยืน (Sustainable Bond Underwriting) และ เงินฝากยั่งยืน (Sustainable Deposit) เป็นต้น  ลูกค้าเอสเอ็มอี ธนาคาร่งเนการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อรบตัวธุรกิจที่สอดคล้องกับบริบทความพร้อมและความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม อาทิ โซลูชันเพื่อธุรกิจรักษ์ลกเพื่อผู้ประกอบการ SMEs (SCB SME Green Finance)  โครงการสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนและเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจสำหรับธุรกิจโรงแรม ตลอดจนโครงการสินเชื่อลดฝุ่น PM 2.5 ในภาคธุรกิจอ้อยและน้ำตาล ซึ่งเป็นความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการให้ความรู้เพื่อให้ลูกค้าสามารถปรับตัวและดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ให้สามารถทำได้จริง เกิดผลจริง และต่อยอดธุรกิจได้ ผ่านหลักสูตรระยะยาว งานสัมมนา และงาน Bootcamp รวมทั้งกิจกรรม Business Matching ขยายธุรกิจเพิ่มขึ้น สร้าง Ecosystem สำหรับเอสเอ็มอี ด้วยการความร่วมมือส่งเสริมการดำเนินธุรกิจให้ผู้ประกอบการทั้งหน่วยงานราชการ สมาคม สมาพันธ์ และ พันธมิตรทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ลูกค้าบุคคล ธนาคารนำเสนอสินเชื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์รักษ์สิ่งแวดล้อม อาทิ สินเชื่อเพื่อติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป และสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งพัฒนาช่องทางดิจิทัลของธนาคารให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์เพื่อการปรับตัวสู่ความยั่งยืนผ่าน SCB EASY เป็นต้น 3) การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมตามหลักการ Equator Principles (EP)  (EP adoption and implementation) เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยผลักดัน ‘การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ’ สู่ ‘การยกระดับการเงินที่ยั่งยืน’ เพื่อช่วยลูกค้าลดความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจ และเพื่อผลักดันการสนับสนุนแก่ลูกค้าและสังคมไปสู่เป้าหมาย การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเป็นธนาคารไทยแห่งแรกและแห่งเดียวที่ริเริ่มการนำ Equator Principles (EP) ซึ่งเป็นกรอบการบริหารความเสี่ยงสำหรับสถาบันการเงิน ที่นำมาตรฐานสากล Best Practices มาใช้เป็นกรอบแนวทางในการระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่กับการให้สินเชื่อในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์ ตั้งแต่ปี 2022 จนถึงปัจจุบัน ได้ดำเนินการประเมินโครงการตามหลักการ EP ไปแล้วทั้งสิ้น 53 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 75,500 ล้านบาท           นายกฤษณ์กล่าวเสริมว่า “ความยั่งยืนของไทยพาณิชย์เราเริ่มมาแล้วร้อยกว่าปี และสิ่งที่เราทำในวันนี้ ือการ่งต่ออนาคตที่ยั่งยืนให้กับลูกหลานได้อยู่ต่อไปอีกร้อยปี เพื่อที่จะเดินไปข้างหน้า ผู้คนจะต้องดำเนินชีวิตด้วยคุณภาพชีวิตที่เท่าเทียม ธุรกิจจะต้องเติบโตต่อไปได้อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไทยพาณิชย์มุ่งมั่นเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืน พร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับพันธมิตรส่งต่อความยั่งยืนให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม ผ่านการสร้างสรรค์นวัตกรรมและโซลูชั่นทางการเงิน ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในสังคมได้อยู่ อย่าง ยั่งยืน”             ทั้งนี้ การจัดงานแถลงข่าว SCB Live Sustainably ครั้งนี้ ไทยพาณิชย์เป็นธนาคารแรกในประเทศไทยที่จัดขึ้นในรูปแบบ Net Zero Event มีวัตถุประสงค์ต้องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์จากการจัดงานด้วยการดำเนินกิจกรรมภายในงานในรูปแบบคาร์บอนต่ำ อาทิ การลงทะเบียนและการสื่อสารในระบบดิจิทัล เลือกใช้วัสดุรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ในการจัดงาน การจัดอาหารและเครื่องดื่มด้วยบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การแนะนำการเดินทางด้วยระบบสาธารณะ โดยมีการคำนวณคาร์บอนฟุตพรินท์ที่ปล่อยจากการจัดงานตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เพิ่มความถูกต้องด้วยการตรวจสอบจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ และทำการซื้อคาร์บอนเครดิตประเภทป่าไม้มาชดเชยเท่ากับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยจริงในงาน ธนาคารขอขอบคุณที่ท่านเป็นส่วนหนึ่งในการ อยู่ อย่าง ยั่งยืน           ลูกค้าสามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางความยั่งยืน และผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน ได้ทาง https://www.scb.co.th/th/about-us/sustainability หรือ สแกน QR Code

1 ปี 'พีระพันธุ์' รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง พลิกโฉมพลังงานไทย เตรียมออกกฎหมายโซลาร์-น้ำมันภายในปี 2567

1 ปี 'พีระพันธุ์' รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง พลิกโฉมพลังงานไทย เตรียมออกกฎหมายโซลาร์-น้ำมันภายในปี 2567

          “พีระพันธุ์” สรุปผลงาน 1 ปีขับเคลื่อนกระทรวงพลังงานผ่านแนวทาง รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง นำร่องใช้กลไกทางกฎหมายสะสางปัญหาหมักหมมในระบบพลังงานไทยตามทฤษฎีบันได 5 ขั้น ซึ่งสำเร็จลุล่วงไปแล้ว 3 ขั้น ขึ้นปีที่สองคาดบรรลุตามเป้าหมาย สามารถผลักดันทั้งกฎหมายกำกับดูแลการประกอบกิจการค้าน้ำมัน กฎหมายการสํารองน้ำมันของประเทศ และกฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่จะช่วยสร้างรากฐานด้านพลังงานให้มั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืนได้สำเร็จ           นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยในโอกาสครบ 1 ปีที่เป็นหัวขบวนขับเคลื่อนนโยบายพลังงานตามแนวทาง รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง ซึ่งวางเป้าหมายไว้เป็นบันได 5 ขั้นว่า ในช่วง 1 ปีแรกสามารถดำเนินการไปถึงบันไดขั้นที่ 3 แล้ว และคาดว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายทั้งหมดได้ในอนาคตอันใกล้นี้ โดยเป้าหมายของ ‘บันไดขั้นที่ 1’ ซึ่งเป็นช่วง 6 เดือนแรกของการทำงานในฐานะ รมว.พลังงาน ก็คือ การตรึงราคาพลังงานเชื้อเพลิง ทั้งค่าไฟฟ้า ราคาน้ำมัน และราคาก๊าซหุงต้ม เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไม่ให้สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน ขณะเดียวกัน ก็ศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั้งหมด เพื่อเตรียมหาช่องทางแก้ไขปัญหาด้านพลังงานที่หมักหมมมานานไม่ต่ำกว่า 40 ปี โดยเฉพาะปัญหาเรื่องน้ำมัน และค้นหาวิธีการที่จะรู้ต้นทุนราคาน้ำมันที่กระทรวงพลังงานไม่มีข้อมูลที่แท้จริง และกฎหมายหลายฉบับยังไม่เอื้ออำนวยต่อการบริหารจัดการ ทำให้กระทรวงพลังงานไม่มีอำนาจในการดำเนินการ           ‘บันไดขั้นที่ 2’ คือ การหาช่องทางตามกฎหมายปัจจุบันเพื่อให้รู้ต้นทุนราคาน้ำมัน และพบว่ามีช่องทางที่แฝงอยู่ในกฎหมายว่าด้วยการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง จนสามารถออกเป็นประกาศกระทรวงพลังงานที่กําหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจค้าน้ำมันต้องแจ้งต้นทุนราคาน้ำมัน เป็นครั้งแรกในรอบ 51 ปี โดยลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา           ทั้งนี้ การรู้ต้นทุนราคาน้ำมันที่แท้จริงทำให้ทราบถึงปัญหาที่จะต้องแก้ไข และได้นำไปดำเนินการต่อใน ‘บันไดขั้นที่ 3’ คือ การรื้อระบบการค้าน้ำมัน ซึ่งต้องหาข้อมูลจำนวนมากเพื่อกำแนวทางดำเนินการและการยกร่างกฎหมายห่ให้รบวงจร โดยขณะนี้ได้ยกร่างต้นฉบับกฎหมายกำกับดูแลการประกอบกิจการค้าน้ำมันซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของ ‘บันไดขั้นที่ 5’ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยร่างกฎหมายมีทั้งหมด 180 มาตรา อยู่ในขั้นตอนตรวจสอบของคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญกฎหมายและพลังงาน โดยกฎหมายฉบับนี้จะกำหนดให้การปรับราคาน้ำมันทำได้เดือนละหนึ่งครั้ง ไม่ใช่ปรับทุกวัน และให้ปรับราคาได้ตามความเป็นจริงของต้นทุนน้ำมัน โดยจะนำระบบ Cost Plus ซึ่งหมายถึงระบบที่คิดราคาตามต้นทุนที่แท้จริง เข้าใช้แทนการอ้างอิงราคาน้ำมันต่างประเทศและมีอีกหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชน กฎหมายฉบับนี้จะดูแลไปถึงเรื่องของการจำหน่ายก๊าซหุงต้มด้วย           ในกฎหมายฉบับนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการสาธารณะกุศล รวมไปถึงสหกรณ์การเกษตร การประมง สามารถจัดหาน้ำมันมาใช้ได้เอง เพราะถือเป็นการค้าเสรีอย่างแท้จริง ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีในการหาพลังงานของตัวเอง ถ้าหากผู้ประกอบการสามารถจัดหาน้ำมันมาใช้เองได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาจำหน่ายหน้าปั๊ม ก็สามารถดำเนินการได้เลย จะทำให้ต้นทุนน้ำมันของเกษตรกร ชาวประมง ผู้ประกอบการขนส่งลดลงได้ทันที เมื่อผู้ประกอบการสามารถจัดหาน้ำมันได้ในราคาถูก ต้นทุนก็จะลดลง และเมื่อลดภาระเรื่องราคาน้ำมันแล้ว ก็ต้องลดราคาสินค้าให้ประชาชนด้วย           “กฎหมายที่ผมพูดถึงข้างต้น ผมร่างเองทั้งหมด ผมเริ่มทำมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 หลังจากที่ผมได้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับต้นทุนราคาน้ำมัน ซึ่งผมใช้เวลาเที่ยงคืนถึงตี 3 แทบทุกคืน เพื่อร่างกฎหมายฉบับนี้” นายพีระพันธุ์กล่าว           สำหรับ ‘บันไดขั้นที่ 4’ ซึ่งกำลังเร่งดำเนินการในขณะนี้ คือ การจัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ หรือ SPR (Strategic Petroleum Reserve) เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่รัฐบาลสามารถควบคุมราคาได้เอง อยู่ระหว่างจัดเตรียมร่างกฎหมายเกี่ยวกับการสํารองน้ำมันของประเทศ หลักการคือจะนำน้ำมันสำรองนี้มาดูแลปัญหาราคาน้ำมันแทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะเปลี่ยนกองทุนน้ำมัน ที่เงินและสร้างหนี้สาธารณะ ให้กลายมาเป็นทรัพย์สินของประเทศต่อไป           “กองทุนน้ำมันฯ ที่มีน้ำมันสํารองของประเทศ จะเป็นทรัพย์สินของประเทศไม่ใช่ภาระหนี้สินอีกต่อไป ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มต้นทำเรื่องนี้แล้ว และเป็นที่น่ายินดีที่ผมนำเรื่องนี้หารือกับทางซาอุดิอาระเบียในช่วงที่เดินทางไปประชุม ทางซาอุฯ เขาเห็นด้วยในหลักการที่จะสนับสนุน พร้อมๆ กับเรื่องการลงทุนด้านการผลิตไฮโดรเจนที่จะเป็นพลังงานแห่งอนาคตอีกอย่างหนึ่ง” นายพีระพันธุ์กล่าวในปีที่ 2 ของการดำเนินงาน คาดว่าเป้าหมายสุดท้าย ‘บันไดขั้นที่ 5’ คือ การออกกฎหมายสร้างระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ และกฎหมายกำกับกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงกฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ เพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชนอย่างยั่งยืน จะสำเร็จได้ในเร็ววัน           ด้านไฟฟ้า เรื่องราคาค่าไฟฟ้า ยังคงรักษานโยบายที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน โดยในช่วงแรกที่ได้ปรับราคาค่าไฟฟ้าให้ลงมาอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย ก่อนที่จะขยับขึ้นมาเล็กน้อยเป็น 4.18 บาทต่อหน่วย สำหรับประชาชนทั่วไป เนื่องจากราคาก๊าซในตลาดโลกปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่ประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 300 หน่วยต่อเดือน ก็ยังใช้ไฟฟ้าที่ราคา 3.99 บาทต่อหน่วยเหมือนเดิม โดยพยายามตรึงราคาค่าไฟฟ้าไว้ให้ถึงที่สุด หากไม่สามารถลดได้ก็ต้องไม่ปรับขึ้น           “ต้นทุนสำคัญที่เป็นตัวแปรให้ค่าไฟแพงอยู่ที่ราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง แต่ไม่มีใครลงมือแก้ไขทั้ง ๆ ที่ทราบปัญหา ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ผมได้บริหารจัดการหลายๆ ด้านรวมทั้งการปรับโยกการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยให้ถูกต้องเหมาะสม เพราะที่ผ่านมา ก๊าซธรรมชาติที่ขุดได้จากอ่าวไทยจํานวนหนึ่งถูกนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และซื้อขายในราคาเดียวกับก๊าซหุงต้มของประชาชน ซึ่งเป็นการกําหนดราคาแบบไม่ถูกต้อง” นายพีระพันธุ์กล่าว           อย่างไรก็ดี เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงค่าไฟที่ถูกลงโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้จากการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) และขจัดัญหาวามยุ่งยาในการติดตั้งและการขออนุญาต กระทรวงพลังงานเตรียมออกกฎหมายบับหม่พื่อที่จะกํากับดูแลให้การติดตั้งระบบโซลาร์บนหลังคาบ้าน เพื่อติดตั้งได้สะดวกและง่ายขึ้น และมีมาตรการสนับสนุนเงินทุนในการติดตั้ง การหักค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษี โดยคาดว่าจะเสร็จพร้อม ๆ กับกฎหมายน้ำมันภายในปลายปี 2567 นี้ เพื่อมีส่วนช่วยให้ประชาชนหลุดพ้นจากภาระค่าไฟหลักที่ต้องปรับทุก 4 เดือน รวมทั้ง เตรียมสนับสนุนการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีและอุปกรณ์สำหรับการติดตั้งระบบ Solar Rooftop แบตเตอรี่สำหรับกักเก็บพลังงานไว้ใช้ในเวลากลางคืนในราคาถูก ซึ่งอยู่ระหว่างการทดลอง เบื้องต้นก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ระบบนี้สามารถใช้กับเครื่องแอร์ได้ 3 เครื่อง ตู้เย็น 1 เครื่อง ประกอบด้วยแผงโซลาร์ เครื่องอินเวอร์เตอร์ และแบตเตอรี่ ทั้งหมดจะอยู่ในวงเงินประมาณ 30,000 บาท ชึ่งจะเป็นราคาต้นทุนการผลิตไม่รวมค่าบริหารจัดการ สามารถใช้ไฟได้ทั้งกลางวันและกลางคืน “ผมมั่นใจว่าในรอบปีที่ 2 ที่ผมดูแลกระทรวงพลังงาน จะมีผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกมาจำหน่ายให้แก่พี่น้องประชาชนในราคาถูก ซึ่งจะลดภาระให้ประชาชนหลุดพ้นจากปัญหาค่าไฟแพงได้” นายพีระพันธุ์กล่าวในท้ายที่สุด #Hoonvision #หุ้นวิชั่น

BKGI ร่วมโครงการ “ชวนหมอวิ่ง วิ่งกับหมอ”

BKGI ร่วมโครงการ “ชวนหมอวิ่ง วิ่งกับหมอ”

          ดร.เสาวลักษณ์ ด่านสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BKGI ร่วมงานแถลงข่าวโครงการ “ชวนหมอวิ่ง วิ่งกับหมอ” เพื่อชวนแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วไปมาร่วมกันออกกำลังกาย จัดโดยแพทยสภาร่วมกับมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ และสถาบันมหิตลาธิเบศร ซึ่งบริษัทฯได้ออกบูธร่วมจัดแสดงนิทรรศการ เพื่อนำเสนอสินค้าและนวัตกรรมด้านการแพทย์จีโนมิกส์ พร้อมกันนี้ ดร.ฉัตรชัย นพวิชัย ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ BKGI ได้ขึ้นร่วมบรรยายในหัวข้อ “Current Trends in Sports Medicine Technologies” เพื่อให้ความรู้ทางวิชาการภายในงาน และขอเชิญชวนผู้สนใจร่วมวิ่งพร้อมกับหมอ เพราะ “วิ่งกับหมอมีคนดูแล อยากTake Care ไปด้วยกัน” ในวันที่ 6 ตุลาคม 2567 ซึ่งงานดังกล่าว ณ ห้องประชุมวชิรเวชชั้น 14 อาคารมหิตลาธิเบศร กระทรวงสาธารณสุข เมื่อเร็วๆ นี้

เชฟรอนมุ่งอนุรักษ์พลังงาน

เชฟรอนมุ่งอนุรักษ์พลังงาน

ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ได้เข้าร่วมเป็นเครือข่ายอนุรักษ์พลังงาน “Energy Beyond Standards” และแสดงเจตนารมณ์ที่จะดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในองค์กร และเป็นหนึ่งพลังในการสร้างความยั่งยืนทางพลังงานให้กับประเทศ  โดยนายรณรงค์ ชาญเลขา รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายพัฒนาแหล่งผลิต บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ได้รับมอบใบประกาศเจตนารมณ์เครือข่ายอนุรักษ์พลังงาน จาก ดร. ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ณ งานกิกรรมการประกาศเจตนารมณ์เครือข่ายอนุรักษ์พลังงาน ปี 2567 ที่จัดขึ้นโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เชฟรอนเชื่อมั่นว่า พลังงานแห่งอนาคต คือพลังงานที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนในระดับต่ำ และบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านการผลิตพลังงานคาร์บอนต่ำทั้งในวันนี้และในอนาคต ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เชฟรอนมุ่งมั่นในการลดปริมาณความเข้มข้นของการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการปฏิบัติงานของบริษัทฯ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และปรับนโยบายการดำเนินงานต่างๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ  โดยการเข้าร่วมเป็นเครือข่ายอนุรักษ์พลังงาน “Energy Beyond Standards” ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำพันธกิจในการผลิตและจัดหาพลังงานที่มีความสะอาดมากขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีความปลอดภัย และได้มาตรฐาน เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศต่อไป

ทรู คอร์ปอเรชั่น ลุยช่วยน้ำท่วมลงพื้นที่ดูแลสถานีฐานมือถือและเน็ตบ้าน

ทรู คอร์ปอเรชั่น ลุยช่วยน้ำท่วมลงพื้นที่ดูแลสถานีฐานมือถือและเน็ตบ้าน

25 สิงหาคม 2567 - บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เดินหน้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในหลายจังหวัดทางภาคเหนือของไทยอย่างเต็มกำลัง โดยล่าสุดได้ส่งทีมเน็ตเวิร์กลงพื้นที่ประสบภัยเพื่อดูแลสถานีฐานและเน็ตบ้านให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ ทั้งในจังหวัดน่าน เชียงราย พะเยา และแพร่ เป็นต้น พร้อมทั้งทีมภูมิภาคของทรู คอร์ปอเรชั่นเร่งนำอาหาร น้ำดื่มช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมทีมงานเน็ตเวิร์กเร่งลงพื้นที่สถานีฐานทั้งทางรถและเรือ เพื่อตรวจสอบอุปกรณ์และทดสอบคุณภาพสัญญาณบริการต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนในพื้นที่ยังสามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างต่อเนื่องแม้ในสถานการณ์ฉุกเฉินทีมงานภูมิภาคของทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้เร่งนำอาหารแห้ง น้ำดื่ม และเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นไปมอบให้แก่ผู้ประสบภัย โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่น เช่น หอการค้าจังหวัดน่าน และโรงพยาบาลน่านในการประสานความช่วยเหลือสู่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมทรู คอร์ปอเรชั่น ได้มอบคมช่วยเหลือูกค้าในพื้นที่ประสบภัย ซ่งรวมถึงการขยายวันใช้งานสำหรับลูกค้าเติมเงิน การระงับการตัดสัญญาณ และการขยายเวลาชำระค่าบริการสำหรับลูกค้ารายเดือนของทรูมูฟ เอช ดีแทค ทรูออนไลน์ และทรูวิชั่นส์ เป็นเวลา 7 วัน แก่ลูกค้าในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดต่างๆ (รอรับ SMS ยืนยัน)บริษัทฯ ยังคงดำเนินการตามแผนฉุกเฉินอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีทีมปฏิบัติการพิเศษประจำ BNIC (ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ) พร้อม AI คอยเฝ้าระวังและดูแลเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังได้เตรียมความพร้อมด้านอุปกรณ์ฉุกเฉิน เช่น รถโมบายล์ชุมสายเคลื่อนที่เร็ว (COW) และยานพาหนะสำหรับเข้าพื้นที่น้ำท่วม เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพแม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมเดินหน้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ประสบภัยอย่างเต็มกำลัง

ไทยพาณิชย์จับมือไทยออยล์โตแกร่งคู่ดูแลสิ่งแวดล้อม ส่งสองนวัตกรรมการเงินยั่งยืน ครั้งแรกในกลุ่มอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมัน

ไทยพาณิชย์จับมือไทยออยล์โตแกร่งคู่ดูแลสิ่งแวดล้อม ส่งสองนวัตกรรมการเงินยั่งยืน ครั้งแรกในกลุ่มอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมัน

ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมกับ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ประกาศความสำเร็จในการขับเคลื่อนความยั่งยืนให้กับประเทศ ด้วยการผนวก 2 นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เข้าด้วยกัน กล่าวคือ 1. การบริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยที่มีการวัดผลเชื่อมโยงกับผลการดำเนินการด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Swap) และ 2. ผลิตภัณฑ์เงินฝากเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Deposit) นับเป็นครั้งแรกที่นำการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยมาลงทุนในผลิตภัณฑ์เงินฝากเพื่อความยั่งยืน ซึ่งธุรกรรมการเงินครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยสนับสนุนการบริหารต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพให้แ่ลุยออยล์ แต่ยังคำนึงถึงแนวทางการทำธุรกิจที่ยั่งยืน ภายใต้กรอบ ESG หรือ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล รวมถึงการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีความพร้อมที่จะทรานส์ฟอร์มธุรกิจและแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ที่ตอบโจทย์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงโลก เพื่อต่อยอดไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนระดับองค์กร 100 ปี ภายใต้วิสัยทัศน์ “สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงาน และเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน” ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของธนาคารไทยพาณิชย์ ในการพาองค์กร ลูกค้า และสังคม ก้าวไปข้างหน้า สร้างการเติบโตทางธุรกิจและเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน โดยมี นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงินธนาคารไทยพาณิชย์ และนางชนมาศ ศาสนนันทน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและบัญชี บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมประกาศร่วมมือในครั้งนี้ ทั้งนี้ การบริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยที่มีการวัดผลเชื่อมโยงกับผลการดำเนินการด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Swap) เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในด้านดอกเบี้ยที่ธนาคารไทยพาณิชย์นำเสนอให้แก่องค์กรที่มีการอ้างอิงกับผลการดำเนินงานความยั่งยืน ขณะที่ เงินฝากเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Deposit) เป็นบัญชีเงินฝากประจำหลากหลายสกุล เช่น เงินไทยบาท, เงินสหรัฐดอลลาร์ และเงินยูโร โดยธนาคารจะนำเงินที่ลูกค้านำมาฝากไปสนับสนุนให้กับโครงการที่มีการลงทุนในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการสนับสนุนการเติบโตทางทรัพยากรที่ยั่งยืน