การลงทุน


พลังงาน ยัน กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองมี 25.5% เท่านั้น โซล่าร์ ลม ชีวมวล ไม่นำมารวม

พลังงาน ยัน กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองมี 25.5% เท่านั้น โซล่าร์ ลม ชีวมวล ไม่นำมารวม

          หุ้นวิชั่น - กระทรวงพลังงาน ขอยืนยันว่า ปัจจุบัน กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศหรือ Reserve Margin อยู่ที่ 25.5% เท่านั้น ไม่ใช่ 50% ตามที่มีการเผยแพร่ เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานจากเชื้อเพลิงชีวภาพ ไม่สามารถนำมานับรวม 100% ได้ เพราะไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอดเวลา และแม้ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมากำลังผลิตไฟฟ้าอาจอยู่ในระดับสูงเนื่องจากสถานการณ์โควิด แต่ปัจจุบันก็บริหารจัดการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว           วันนี้ (27 ธันวาคม 2567) นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู โฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศไทยที่สูงถึง 50% นั้น ขอเรียนชี้แจงว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 25.5% เท่านั้น ซึ่งการคำนวณกำลังการผลิตไฟฟ้าจะต้องคำนวณจากการผลิตไฟฟ้าที่สามารถผลิตได้จริง ซึ่งไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานทดแทน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล กลุ่มนี้ไม่สามารถพึ่งพาได้ตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากปัจจัยช่วงเวลา ฤดูกาล จึงไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่แท้จริงได้ ทั้งนี้ กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา อาจจะสูงซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด จึงทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่การสร้างโรงไฟฟ้าต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน จึงทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าอาจจะไม่มีความสอดคล้องในช่วงระยะเวลาดังกล่าว แต่ในปัจจุบันหลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ความต้องการใช้ไฟฟ้ากลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองจึงไม่ได้สูงถึง 50% ตามที่มีการเผยแพร่           ด้าน Peak Demand หรือความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของระบบทั้ง 3 การไฟฟ้า ในปีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 เวลา 22.24 น. อยู่ที่ 36,792 เมกะวัตต์ ในระยะหลังการเกิด Peak จะเป็นช่วงกลางคืนซึ่งต่างจากในอดีต แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของประชาชนเปลี่ยนไป ทั้งนี้ การใช้ไฟฟ้าในช่วงดังกล่าว กำลังการผลิตไฟฟ้าที่พึ่งพาประมาณ 46,191 เมกะวัตต์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่แท้จริงนั้นเพียง 25.5% เท่านั้น            “กระทรวงพลังงาน ขอยืนยันว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของไทยปัจจุบันอยู่ที่ 25.5% เท่านั้น ไม่ใช่ 50% ตามที่มีการเผยแพร่ กำลังการผลิตไฟฟ้านั้น ถ้าเป็นโรงไฟฟ้าที่มีเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน จะสามารถนำมาคำนวณกำลังการผลิตได้ 100% แต่หากเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล กลุ่มนี้ไม่สามารถพึ่งพาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น พลังงานแสงอาทิตย์ในวันที่มีแสงแดดปกติจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้แค่ 4-6 ชั่วโมงต่อวันโดยประมาณ ส่วนพลังงานลม พลังงานชีวมวล ก็ขึ้นอยู่กับฤดูกาล จึงไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่แท้จริงได้           อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ซึ่งได้มีการศึกษาและพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจในอนาคต นอกจากนั้น ยังต้องคำนึงถึงนโยบายการเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าจึงต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ดังนั้น แผนกำลังการผลิตไฟฟ้าจะต้องพิจารณาให้เพียงพอต่อความต้องการทั้งในปัจจุบันและในอนาคต รวมทั้งต้องพิจารณาถึงไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น การคำนวณกำลังการผลิตไฟฟ้าจึงต้องคำนวณตามชนิดเชื้อเพลิงและศักยภาพของโรงไฟฟ้าแต่ละโรงที่แท้จริงจึงจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ           และที่สำคัญที่สุด แผนการผลิตไฟฟ้านั้น กระทรวงพลังงานได้วางแผนเลือกใช้เชื้อเพลิงที่มีต้นทุนที่ต่ำที่สุดเป็นหลัก เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่เหมาะสมไปพร้อมกับการใช้พลังงานสะอาดที่กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกในปัจจุบัน นอกจากนั้น ก็ได้เตรียมพร้อมรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และการใช้ไฟฟ้าจาก Data Center ที่ต้องการไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในปริมาณที่สูงซึ่งจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในประเทศอีกด้วย” นายวีรพัฒน์ กล่าว

น้ำมันดิบ NYMEX ปิดบวก 69.46 ดอลลาร์/บาร์เ

น้ำมันดิบ NYMEX ปิดบวก 69.46 ดอลลาร์/บาร์เ

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.12% ปิดที่ 69.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ปิดบวกเล็กน้อยในวันศุกร์ (20 ธ.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินแนวโน้มอุปสงค์ของจีนและการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อต่ำกว่าคาด ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 69.70 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.35%

กะทิไทย... สินค้าที่กำลังเฉิดฉายในเวทีโลก

กะทิไทย... สินค้าที่กำลังเฉิดฉายในเวทีโลก

          หุ้นวิชั่น - การส่งออกกะทิไทยขยายตัวต่อเนื่อง จากการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารโลก สนค. แนะผู้ประกอบการให้ความสำคัญในกระบวนการผลิตมะพร้าวตามมาตรฐานสากลและที่คู่ค้ากำหนด เพื่อคว้าโอกาสเพิ่มการส่งออกไปตลาดโลกมากขึ้น นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์การค้าสินค้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์แปรรูป โดยปี 2566 ไทยมีผลผลิตมะพร้าว 0.94 ล้านตัน ขณะที่มีความต้องการใช้ ประมาณ 1.14 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.35 จากปี 2565) ความต้องการใช้ ของไทยแบ่งเป็น การบริโภคในประเทศ ร้อยละ 38 และการใช้เพื่อส่งออกร้อยละ 62 ในปี 2566 ไทยส่งออกกะทิ เป็นมูลค่า 353.54 ล้านเหรียญสหรัฐ (12,208 ล้านบาท) สำหรับ 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – ต.ค.) ไทยส่งออกกะทิไปยัง 131 ประเทศทั่วโลก เป็นมูลค่า 341.11 ล้านเหรียญสหรัฐ (12,064 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.85 จากปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่ไทยส่งออกกะทิสำเร็จรูป (มีสัดส่วนถึงร้อยละ 93.13) กะทิสำเร็จรูปเป็นสินค้าศักยภาพและมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 42.26 และ 18.12 ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ นอกจากนี้ กะทิสำเร็จรูปอินทรีย์ แม้ยังมีสัดส่วนการส่งออกน้อย แต่เป็นสินค้าที่น่าจับตามอง โดยในปี 2567 ไทยส่งออกกะทิสำเร็จรูปอินทรีย์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.83 โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (สัดส่วนร้อยละ 70.50) เนเธอร์แลนด์ (สัดส่วนร้อยละ 10.43) และสวิตเซอร์แลนด์ (สัดส่วนร้อยละ 6.21) การส่งออกกะทิของไทยแต่ละกลุ่ม สรุปได้ดังนี้ (1) กะทิสำเร็จรูป ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 326.55 ล้านเหรียญสหรัฐ (11,277 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.26 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 317.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (11,235 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.12 มีสัดส่วนร้อยละ 93.13 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (2) กะทิผง ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 8.78 ล้านเหรียญสหรัฐ (303 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.33 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 7.58 ล้านเหรียญสหรัฐ (267 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.93 มีสัดส่วนร้อยละ 2.22 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (3) กะทิสำเร็จรูปอินทรีย์ ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 4.78 ล้านเหรียญสหรัฐ (165 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 20.07 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกกลับมาขยายตัว โดยมีมูลค่า 5.35 ล้านเหรียญสหรัฐ (189 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.83 มีสัดส่วนร้อยละ 1.57 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (4) กะทิแช่แข็ง ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 1.75 ล้านเหรียญสหรัฐ (60.42 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 98.63 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 0.45 ล้านเหรียญสหรัฐ (16.09 ล้านบาท) ลดลง ร้อยละ 72.56 มีสัดส่วนร้อยละ 0.13 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (5) กะทิอื่น ๆ ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 11.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (403 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.51 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 10.06 ล้านเหรียญสหรัฐ (357 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.51 มีสัดส่วนร้อยละ 2.95 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – ต.ค.) ไทยส่งออกกะทิขยายตัวในตลาดคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา ขยายตัวร้อยละ 24.21 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 38.73) ออสเตรเลีย ขยายตัวร้อยละ 9.08 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 7.53) แคนาดา ขยายตัวร้อยละ 22.92 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 6.41) สหราชอาณาจักร ขยายตัวร้อยละ 3.49 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 6.34) และเนเธอร์แลนด์ ขยายตัวร้อยละ 37.49 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 3.53) การส่งออกกะทิที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลก ข้อมูลจาก The Business Research Company ระบุว่า ตลาดอาหารและเครื่องดื่มโลก ในปี 2567 มีอัตราการเติบโตร้อยละ 6.4 และคาดว่าปี 2571 จะมีอัตราการเติบโตร้อยละ 5.9 นอกจากนี้ กะทิยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์หากบริโภค ในปริมาณที่เหมาะสม อาทิ กรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง (MCTs) ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน และกรดลอริก (Lauric Acid) ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันและให้พลังงานแก่ร่างกาย อีกทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์จากพืชที่ไม่มีกลูโคสหรือแล็กโทส จึงเหมาะสำหรับการใช้ทดแทนผลิตภัณฑ์จากนมบางชนิด ที่ผ่านมา ภาครัฐโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งเสริมการปลูกและผลิตมะพร้าวให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับ อาทิ การปลูกมะพร้าวพันธุ์ใหม่ที่มีต้นเตี้ยทดแทนสวนมะพร้าวเดิม ทำให้เก็บเกี่ยวง่ายและมีอายุการเก็บเกี่ยวยาวนานกว่า รวมถึงมีโครงการนำร่อง GAP-Monkey Free Plus (GAP-MFP) เพื่อรับรองแปลงผลิตมะพร้าวปลอดภัยและการเก็บมะพร้าวที่ไม่ได้ใช้ลิง ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกรขอรับมาตรฐานดังกล่าว ควบคู่ไปกับการพัฒนาเครื่องมือเก็บมะพร้าวอีกด้วย นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เนื่องจากไม่มีพิกัดศุลกากรระดับสากลสำหรับสินค้ากะทิ ทำให้ ไม่สามารถเปรียบเทียบข้อมูลการค้ากะทิของโลกได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยหลายรายเป็นผู้ส่งออกกะทิรายสำคัญของโลก ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมของไทยยังมีความต้องการนำเข้ามะพร้าว สำหรับแปรรูปเป็นกะทิเพื่อส่งออก แสดงถึงศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการแปรรูปและส่งออกผลิตภัณฑ์กะทิ นอกจากนี้ หากทุกภาคส่วนให้ความสำคัญ ในกระบวนการผลิตมะพร้าว ตั้งแต่การปลูก การเก็บ และการแปรรูป ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและสอดรับกับ ความต้องการของประเทศคู่ค้า รวมทั้งเพิ่มเติมประเด็นความรับผิดชอบต่อสังคมสิ่งแวดล้อม และการมีสวัสดิการแรงงานที่ดี ก็จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและผลักดันให้ไทยคว้าโอกาสการส่งออกไปยังตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น

อีสท์สปริง เสนอกองพันธบัตรรัฐมุ่งรักษาเงินต้น IPO 20-25 ธ.ค.นี้ ชูยิลด์ 1.80%

อีสท์สปริง เสนอกองพันธบัตรรัฐมุ่งรักษาเงินต้น IPO 20-25 ธ.ค.นี้ ชูยิลด์ 1.80%

          บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเสนอขายกองทุนเปิดอีสท์สปริง พันธบัตรรัฐมุ่งรักษาเงินต้น 6M31 (ES-GOVCP6M31) อายุประมาณ 6 เดือน เงินทุนโครงการ 6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มุ่งรักษาเงินต้นที่ผู้ลงทุนจะมีโอกาสได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหน่วยลงทุน ณ วันครบอายุโครงการ โดยเสนอขายครั้งแรกครั้งเดียวระหว่างวันที่ 20-25 ธันวาคม 2567 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท           โดยกองทุน ES-GOVCP6M31 มีนโยบายที่จะนำเงินลงทุนไปลงทุนในตั๋วเงินคลัง และ/หรือพันธบัตรรัฐบาล และ/หรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ในอัตราส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน สำหรับเงินลงทุนส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝากธนาคาร และ/หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดหรือเห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้ และกองทุนจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนเพียงครั้งเดียวและถือครองทรัพย์สินที่ลงทุนจนครบอายุโครงการ (Buy and Hold) โดยคาดหวังจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 1.93% ต่อปี ณ วันครบอายุโครงการ ซึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.13% ต่อปี ณ วันครบอายุโครงการ แล้ว ผู้ลงทุนจะได้รับประมาณการผลตอบแทนอยู่ที่ 1.80% ต่อปีของเงินลงทุนเริ่มแรก (แหล่งที่มาของข้อมูล อัตราผลตอบแทนที่เสนอขายโดยผู้ออกตราสาร ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2567)           ทั้งนี้ เมื่อครบกำหนดอายุกองทุน บลจ.อีสท์สปริง จะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบอัตโนมัติ และทำการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนของกองทุนทั้งจำนวนของผู้ถือหน่วยทุกราย ไปยังกองทุนเปิดอีสท์สปริง ธนรัฐ (ES-TM) หรือกองทุนรวมตลาดเงินอื่นที่บลจ.อีสท์สปริง เปิดให้บริการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน ในวันทำการก่อนวันสิ้นสุดอายุโครงการ           อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถลงทุนให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ เนื่องจากสภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามอัตราที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจะไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนดังนั้น หากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก กองทุนอาจไม่ได้รับเงินต้นและผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้ หากผู้ออกตราสารที่กองทุนลงทุนไม่สามารถชำระเงินต้นและดอกเบี้ยคืนได้ บริษัทจัดการขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินที่ลงทุนหรือสัดส่วนการลงทุนได้ เฉพาะเมื่อมีความจำเป็นและสมควรเพื่อประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องไม่ทำให้ความเสี่ยงของทรัพย์สินที่ลงทุนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ และผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน และกองทุนมีความเสี่ยงที่สำคัญ เช่น ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องของตราสาร และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ เป็นต้น           ผู้สนใจสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) หรือผู้สนับสนุนการขาย และรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่ได้รับการแต่งตั้ง และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.eastspring.co.th หรือโทร 1725 ในวันและเวลาทำการ หรือผ่านช่องทางการขายของ บลจ.อีสท์สปริง

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

กองทุนลดหย่อนภาษีเด่น 2024 ที่ไม่ควรพลาด

กองทุนลดหย่อนภาษีเด่น 2024 ที่ไม่ควรพลาด

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า ทีมกลยุทธ์ บล.กรุงศรี ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีผ่าน กองทุนลดหย่อนภาษี SSF, RMF และ TESG โดยอิงจากน้ำหนักการลงทุน KSS Rating ที่ทีมกลยุทธ์ให้ไว้ในบทวิเคราะห์ Cross Asset Strategy เลือกการลงทุนสินทรัพย์ประเภท Fixed Income (ทั่วโลก), Equities (ไทย จีน เอเชีย) เป็น Top pick สำหรับการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีในปี 2024 นี้และกองทุน Top pick ได้แก่ UGIS-SSF/UGISRMF, KFACHINSSF/KFACHINRMF, K-TNZ-ThaiESG, KFTHAIESGA            สำหรับผู้ที่มีเงินได้ในปี 2024 และต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีและต้องการลงทุนระยะยาว สามารถเลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีในทุกประเภท ทั้ง SSF, RMF และ TESG โดยกองทุน RMF และ SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้โดยกองทุนทั้ง 2 ประเภท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ แล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนกองทุน TESG สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท            สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และใส่ใจในระยะเวลาถือครอง แนะนำสำรวจช่วงอายุของนักลงทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 51 ปีกองทุน TESG<SSF<RMF จะมีระยะเวลาการถือครองสั้นที่สุดตามลำดับ ส่วนนักลงทุนที่มีอายุ 51 ปีขึ้นไป กองทุน RMF<TESG<SSF จะมีระยะเวลาการถือครองสั้นที่สุด ตามลำดับ กลยุทธ์ Tax Allowance Fund Strategy:            กองทุน SSF และ RMF (ลดหย่อนได้ประเภทละ 30% แต่ SSF ไม่เกิน 200,000 บาท และรวมกันกับ RMF และกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท) แนะนำ UGIS-SSF/UGISRMF (GlobalBond), KFACHINSSF/KFACHINRMF (China)            กองทุน TESG (ลดหย่อนได้ 30% หรือสูงสุด 300,000 บาท) แนะนำ KFTHAIESGA และ K-TNZ-ThaiESG รายละเอียดเพิ่ม ที่ https://www.krungsrisecurities.com/e_learning/knowledge_inner/knowledge_details.aspx?id=59&cat_id=2

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์

        หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าพร้อมเงินเยนวานนี้ หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 25% พร้อมส่งสัญญาณว่าอาจยังต้องรอประเมินอัตราค่าจ้างปีหน้าและทิศทางนโยบายของทรัมป์ ก่อนที่จะขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารกลางอังกฤษมีมติ 6:3 ให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 75% พร้อมส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงเทียบต่อดอลลาร์ ธนาคารกลางจีนพยายามชะลอการอ่อนค่าของเงินหยวน โดยประกาศอัตรา Fixing เงินหยวนแข็งค่ากว่าเลข Survey

บล.CGSI ชูระบบ BETS ตอบโจทย์นักลงทุนทุกระดับ

บล.CGSI ชูระบบ BETS ตอบโจทย์นักลงทุนทุกระดับ

          หุ้นวิชั่น - [ประเทศไทย, 19 ธันวาคม 2567] บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI เผย ช่วง 11 เดือนของปี 2567 ธุรกรรม Block Trade ของบริษัทเพิ่มขึ้น สวนทางปริมาณการซื้อขายตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) โดยรวมที่ลดลง โดยปริมาณการซื้อขาย CGSI Block Trade เติบโตสูงถึง 61% ขณะที่ลูกค้าจำนวนมากใช้ระบบ BETS ส่งคำสั่งด้วยตัวเองในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน คาด Block Trade ในปีหน้ายังเติบโตต่อเนื่อง           ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI กล่าวว่า นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ปริมาณการซื้อขายและจำนวนคำสั่งซื้อขายรวมในตลาด TFEX อยู่ที่ 107.8 ล้านสัญญา และ 22.05 ล้านคำสั่ง ลดลง 17% และลดลง 7% เมื่อเทียบกับทั้งปี 2566 ตามลำดับ เช่นเดียวกับปริมาณการซื้อขายและจำนวนคำสั่งซื้อขาย Block Trade ในตลาด อยู่ที่ 32 ล้านสัญญา และ 1.33 แสนคำสั่ง ลดลง 22% และลดลง 36% เมื่อเทียบกับทั้งปี 2566 ตามลำดับ           “แม้ปริมาณการซื้อขาย TFEX โดยรวมจะลดลง แต่สัดส่วนการทำธุรกรรม Block Trade ของ CGSI กลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความสนใจของนักลงทุนที่ใช้ CGSI Block Trade ช่วยในเชิงกลยุทธ์การลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน” ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI กล่าว           ทั้งนี้ CGSI Block Trade เติบโตถึง 61% ในช่วง 11 เดือนของปีนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ลูกค้าใช้ระบบ BETS ซึ่งเป็นระบบส่งคำสั่งด้วยตัวเองสูงถึง 67% โดยเฉพาะในไตรมาส 3/2567 ธุรกรรมใน CGSI Block Trade ขยายตัวถึง 157% ขณะที่จำนวนคำสั่งซื้อขายบนระบบ BETS เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 290% สูงกว่าปกติ บ่งชี้ว่าการใช้งานระบบ BETS มีสภาพคล่องที่ดี และมีปริมาณการซื้อขายในตลาดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน           ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI กล่าวว่า นักลงทุนใช้ Block Trade มากขึ้น เพื่อบริหารความเสี่ยง และดำเนินการส่งคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แก้ไขปัญหาสภาพคล่องบน Single Stock Futures (SSF) นอกจากนี้ ช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงยังกระตุ้นให้นักลงทุนใช้ Block Trade มากขึ้น เพราะมีความยืดหยุ่นในการกำหนดราคาและมีอัตราทดสูง ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงและการเก็งกำไร           ขณะที่โบรกเกอร์ได้พัฒนาแพลตฟอร์มเกี่ยวกับ Block Trade ทำให้นักลงทุนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์การส่งคำสั่งที่ง่ายและรวดเร็ว โดยเฉพาะ CGSI ได้เปิดตัวระบบส่งคำสั่ง Block Trade Online ชื่อว่าระบบ BETS ได้รับผลตอบรับดีเกินความคาดหมาย ตัวเลขผู้ใช้งานเติบโตก้าวกระโดดเกือบ 50% ของจำนวนนักลงทุนที่ส่งคำสั่ง Block Trade กับ CGSI ทำให้ในปี 2567 CGSI Block Trade มีปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นผ่านระบบ BETS           ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI มองว่า แม้ปริมาณการซื้อขายในตลาด TFEX จะเผชิญกับแรงกดดันและชะลอตัวในปี 2567 แต่คาดว่าในปี 2568 Block Trade จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากภาวะตลาดมีเสถียรภาพและเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น Block Trade จะมีบทบาทในการเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับนักลงทุน           CGSI เล็งเห็นการเติบโตและบทบาทอันสำคัญของ Block Trade จึงได้พัฒนาระบบ BETS ขึ้นมา เพื่อช่วยให้นักลงทุนทำธุรกรรม Block Trade ผ่านระบบออนไลน์บนอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ นักลงทุนนสามารถเปิด-ปิดสถานะ Block Trade ได้อย่างคล่องตัว ตรวจสอบสถานะได้ตลอดเวลา มีฟีเจอร์คำนวณค่าใช้จ่ายอัตโนมัติ และจะพัฒนาระบบ BETS อย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุน           หากท่านต้องการควบคุมการลงทุนด้วยตัวเอง สามารถสมัครใช้ระบบ BETS ของ CGSI ได้ฟรีวันนี้ โดยมีสิทธิพิเศษ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0 บาท สำหรับการเปิดและปิดสถานะ Long ภายในวันเดียวกันผ่านระบบ BETS เริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2568 เกี่ยวกับ CGS International Securities           CGS International Securities (Thailand) Co., Ltd. (CGS TH) หนึ่งในกลุ่มบริษัท CGS International คือผู้ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจรที่ได้รับรางวัลและติดอันดับบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำในประเทศไทย

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

บล. Z.COM ชี้แจงนักลงทุนเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนของข้อมูล

บล. Z.COM ชี้แจงนักลงทุนเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนของข้อมูล

          บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ขอเรียนชี้แจงให้นักลงทุนทุกท่านทราบว่า เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนของข้อมูลที่อาจเกิดขึ้น ปัจจุบันบริษัทมียอดหนี้รวมของบัญชีมาร์จิ้นอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาท           ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอแนะนำให้นักลงทุนทุกท่านติดตามข่าวสารและประกาศต่าง ๆ ผ่านช่องทางการสื่อสารอย่างเป็นทางการของบริษัทฯ เท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนหรือความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น

Honda - Nissan เจรจาควบรวมกิจการ โอกาสหรือความเสี่ยง?

Honda - Nissan เจรจาควบรวมกิจการ โอกาสหรือความเสี่ยง?

หุ้นวิชั่น - บล.ยูโอบี Honda Motor และ Nissan Motor เข้าสู่การเจรจาควบรวมกิจการ ผนวกรวมทรัพยากรของสองบริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนั้นยังตั้งเป้าที่จะนำ Mitsubishi Motors (Nissan ถือหุ้น 24%) เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งนี้ด้วย Nissan-Honda-Mitsubishi มียอดขายรถยนต์รวมกันมากกว่า 8 ล้านคันต่อปี ตามรายงานของ Nikkei หากมีการควบรวมกิจการ จะทำให้บริษัทอยู่ในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ลำดับสองรองจาก Toyota Motor ที่มียอดขาย 11.2 ล้านคันในปี 2023      ฝ่ายวิจัยมองเป็นกลางต่อกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ฝ่ายวิจัยมองว่าการควบรวมกิจการเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง ที่บริษัทชิ้นส่วนยานยนต์จะได้รับงานเพิ่มขึ้นหรือลดลง อย่างไรก็ตามในขั้นตอนสั่งซื้อชิ้นส่วนต้องใช้เวลาล่วงหน้าราว 3-4 ปี จึงไม่มีนัยสำคัญในระยะสั้น โดยหุ้นที่มองว่ามีโอกาสมากที่สุด ฝ่ายวิจัยมองเป็น STANLY ที่มีสัดส่วนลูกค้า Honda ราว 30%, SAT ที่สัดส่วนลูกค้า Mitsubishi ราว 22%

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.10-34.30 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.10-34.30 บาท/ดอลลาร์

              หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.10-34.30 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าวานนี้ก่อนกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยช่วงข้ามคืน ด้านดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐปรับอ่อนค่าลงหลังเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ออกมาผสม โดยตัวรวมออกมาที่ 7%MOM สูงกว่าตลาดคาด แต่หากหักยอดขายรถออกจะต่ำกว่าตลาดคาด คณะกรรมการธนาคารกลางยุโรป (ECB) พอใจกับมุมมองตลาดที่มองว่า ECB จะลดดอกเบี้ยอีก 4-5 ครั้งในปีหน้า ทำให้ไปใกล้เคียงระดับ Neutral rate วันนี้จับตาผล กนง. โดยตลาดยังคาดว่าจะคงดอกเบี้ย และประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ย 25%

abs

Hoonvision

ttb นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายของปี

ttb นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายของปี

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ, 17 ธันวาคม 2567 – ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้าที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์สำหรับลดหย่อนภาษีในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 นี้ แคมเปญ “เซฟภาษี แบบคุ้มเวอร์ที่ ทีทีบี กับประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4  ซื้อผ่าน แอป ทีทีบี ทัช อีกทางเลือกสำหรับลูกค้ากลุ่มคนวัยทำงานที่มองหาผลิตภัณฑ์เพื่อลดหย่อนภาษี จ่ายค่าเบี้ยฯ สั้น 4 ปี คุ้มครองยาว 10 ปี รับเงินคืนทุกปี ปีละ 4% ของทุนประกันภัย ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 1-9 และเมื่อครบสัญญาปีที่ 10 รับเงินก้อนโตอีก 404% ของเงินทุนประกันภัย รวมผลประโยชน์ทั้งหมดตลอดสัญญา 440% ของเงินทุนประกันภัย เพื่อลดหย่อนภาษี ได้ทั้งความคุ้มครอง ได้ทั้งลดหย่อนภาษี พร้อมรับโปรโมชันสุดพิเศษ           ทีทีบี ส่งมอบความคุ้มค่าส่งท้ายปีกับแคมเปญ “เซฟภาษี แบบคุ้มเวอร์ที่ ทีทีบี” กับประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4 อีกทางเลือกสำหรับลูกค้าที่มองหาผลิตภัณฑ์เพื่อลดหย่อนภาษี จ่ายค่าเบี้ยฯ สั้น 4 ปี คุ้มครองยาว 10 ปี รับเงินคืนทุกปี ปีละ 4% ของทุนประกันภัย ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 1-9 สามารถนำค่าเบี้ยประกันภัยไปใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ต่อปี (เงื่อนไขเป็นไปตามเกณฑ์กรมสรรพากร) พร้อมรับเงินก้อนกรณีเสียชีวิตสูงสุดถึง 404% ของทุนประกันภัย โดยมีโปรโมชันสุดพิเศษมอบตามค่าเบี้ยประกันภัย  พร้อมเพิ่มความคุ้มค่าพิเศษ เพียงซื้อ 2 ความคุ้มครองคู่ ได้แก่ ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4 และ ประกันมะเร็ง รับเงินก้อน ทุกระยะ ( ttb all stage cancer ) ผ่าน แอป ทีทีบี ทัช ภายในเดือนเดียวกัน และสมัครหักชำระค่าเบี้ยฯ อัตโนมัติปีถัดไป รับเงินคืน 25% ของค่าเบี้ยประกันมะเร็ง รับเงินก้อน ทุกระยะ ปีแรก           สำหรับลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4 โดยชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบรายปี ปีแรก ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2567 – 31 ธันวาคม 2567 และมียอดชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต ผ่านแอป ทีทีบี ทัช ตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป โดยกรมธรรม์ต้องได้รับการอนุมัติภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 และพ้นระยะเวลาใช้สิทธิ์ยกเลิกกรมธรรม์ (Free-look period) และมีผลบังคับจนถึงวันที่ธนาคารจัดส่งของสมนาคุณ           รายละเอียดเพิ่มเติมทาง https://www.ttbbank.com/link/10-4-pr-pro           นอกจากประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4 ที่ซื้อผ่าน แอป ทีทีบี ทัชแล้ว ยังมีประกันอื่น ๆ เพื่อลดหย่อนภาษี ได้ทั้งความคุ้มครอง ได้ทั้งลดหย่อนภาษี พร้อมรับโปรโมชันพิเศษ รับเงินคืนสูงสุด 31% เพียงซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ประกันชีวิตสะสมทรัพย์เพื่อออมทรัพย์ หรือประกันชีวิตเพื่อการเกษียณ ที่ร่วมรายการที่ ทีทีบี ทุกสาขา           สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://www.ttbbank.com/link/tax-pro -  เงื่อนไขโปรโมชันเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด และไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อกำหนดในกรมธรรม์ -  ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไขและข้อยกเว้น ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง -  รับประกันชีวิตโดย บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิต รับผิดชอบในฐานะนายหน้าเท่านั้น [PR News]

Bitcoin ขึ้นต่อ 3.15% คาด BTC, JTS, TTA รับอานิสงส์

Bitcoin ขึ้นต่อ 3.15% คาด BTC, JTS, TTA รับอานิสงส์

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ราคาบิทคอยยังแรับขึ้นต่อ 3.15% d-d ปิดที่ 106075.03 USD ท าระดับ All time high ประเมินแนวต้านระยะสั้นคือ 107,481 $ และเป้าระยะกลาง คือ 129,687$ แรงหนุนจาก Nasdaq ประกาศว่าจะนำหุ้นของ Microstrategy เข้ารวมในการค านวณดัชนีNasdaq-100 โดยมีผลบังคับใน 23 ธ.ค. มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยง Crypto อาทิ BTC, JTS, TTA แนะนำเพียง Trading

KSS คาด SET “Rebound” ต้าน 1433 จุด ชู BJC, CRC, KTB

KSS คาด SET “Rebound” ต้าน 1433 จุด ชู BJC, CRC, KTB

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1429/1433 จุด รับ 1415/1411 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งขึ้น ดัชนีS&P500 +0.38% หุ้นเทคฯนำตลาด Broadcom ยังมีโมเมนตัม ขณะที่ปัจจัยมหภาค Flash PMI สหรัฐฯ ธ.ค. 24 ภาคบริการขยายตัว ดีกว่าคาด เร่งขึ้นสู่ 58.5 จุด ชดเชยฝั่งภาคผลิตที่ต่ำกว่าคาด หนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นภาพ Goldilocks to Soft Landing แต่ตลาดน่าจะเริ่มรอสัญญาณช่วงถัดไปโดยเฉพาะมุมมองดอกเบี้ยและเศรษฐกิจจากการประชุม Fed (ไทยทราบผลเช้า 19 ธ.ค.) บ่งชี้จาก US Bond Yield 10 ปีที่ยังแกว่ง 4.4% ขณะที่เอเชียการฟื้นตัวจีนยังค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ความน่าสนใจระยะสั้นที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนยังไม่มาก ด้านไทยหลังตลาดปรับตัวลดลง 6 วันติด ส่งผลให้ Current Equity Risk Premium (ERP) แตะ 3.8% > ค่าเฉลี่ย 3.1% ส่วน Forward ERP ขึ้นไป 4.4% > Avg + 1 S.D. (4.05%) น่าจะเริ่มเป็นจุดกลับมาสร้างความน่าสนใจตลาดหุ้นไทย ผสาน ภายในลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม            ประเมิน SET วันนี้ Rebound หุ้นนำ คือ กลุ่ม Domestic ธนาคาร ค้าปลีก กลุ่มที่เป็นเป้า Domestic Long Term Funds อาทิ สื่อสาร วันนี้แนะนำ BJC, CRC, KTB

รู้ก่อนลงทุน!! เช็กให้ชัวร์ก่อนซื้อกองทุนรวม

รู้ก่อนลงทุน!! เช็กให้ชัวร์ก่อนซื้อกองทุนรวม

          หุ้นวิชั่น - การซื้อกองทุนรวมในยุคนี้ง่ายแสนง่าย ไม่ว่าอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ ก็สามารถซื้อกองทุนรวมผ่านโมบายแอปของผู้ให้บริการการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) หรือธนาคารพาณิชย์ ที่ล้วนแต่มีช่องทางออนไลน์ให้บริการแก่ผู้ลงทุนแทบทั้งนั้น           แต่ก็มีผู้ลงทุนอีกจำนวนมากขอเลือกที่จะเดินไปซื้อกองทุนรวมที่สาขาดีกว่า เพราะอยากพบปะกับเจ้าหน้าที่โดยตรง เพื่อขอคำปรึกษาพร้อมสอบถามข้อมูลของกองทุนรวมที่สนใจ เป็นทางที่ตอบโจทย์การตัดสินใจลงทุนมากกว่าการค้นหาข้อมูลในโลกออนไลน์ด้วยตัวเอง ที่ไม่แน่ใจว่าจะตรงกับที่ตัวเองต้องการหรือไม่           บทความตอนนี้ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการลงทุนกองทุนรวม ไม่ว่าเราจะถนัดช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์ จะได้ทราบถึงการได้รับบริการที่ถูกต้องเป็นมาตรฐาน รู้เท่าทันในสิทธิพึงมี และหน้าที่ที่ควรทำในฐานะผู้ลงทุน และถึงแม้คุณจะยังไม่ได้ลงทุนกองทุนรวม แต่ลงทุนหรือซื้อผลิตภัณฑ์การเงินอื่น ก็สามารถนำไปปรับใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อหรือใช้บริการทางการเงินได้เหมือนกัน ซื้อกองทุนรวมกับเจ้าหน้าที่ถามอะไรดีนะ? (Ask First)           เมื่อเดินเข้าไป ณ สำนักงาน หรือ สาขา เพื่อปรึกษาเรื่องการลงทุนในกองทุนรวมกับเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการอาจมีหลายคนที่ไม่รู้จะถามอะไรหรือถามไม่ค่อยถูก ไม่ต้องห่วง เราเตรียมโพยคำถามที่ควรถามกับเจ้าหน้าที่ ที่ให้บริการให้เบื้องต้น 4 ประเด็น ดังนี้ Q: เจ้าหน้าที่ที่ให้บริการได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. และได้รับแต่งตั้งจากผู้ให้บริการให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แนะนำการลงทุนหรือไม่?           คำถามนี้สำคัญมาก เพื่อให้เราได้รับบริการและคำแนะนำจากคนที่มีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และปฏิบัติตามขั้นตอนการขายกองทุนรวม นั่นคือผู้แนะนำการลงทุน หรือ Investment Consultant (IC) ซึ่งมีหน้าที่ประเมินลูกค้าว่ารับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ระดับไหนหรือรับผลขาดทุนได้แค่ไหน และมีเป้าหมายการลงทุนเพื่ออะไร เช่น เพื่อลดหย่อนภาษี หรือเพื่อหาผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากแต่ไม่เสี่ยงมาก เพื่อที่ IC จะสามารถแนะนำกองทุนที่เหมาะกับ “ระดับความเสี่ยง” และ “เป้าหมาย” ของลูกค้าได้นั่นเอง ดังนั้น หากซื้อกองทุนรวมที่สาขาก็ลองสังเกตป้ายชื่อ ณ จุดให้บริการ หรือขอทราบเลขที่ทะเบียนผู้แนะนำการลงทุน ซึ่งปกติผู้ให้บริการจะจัดให้มี IC ประจำที่สาขา หรือมี IC พร้อมติดต่อให้บริการลูกค้าได้ Q: กองทุนรวมที่จะซื้อมีลักษณะอย่างไร?           เข้าใจว่าหลายคนตอนจะไปที่สาขาก็อาจจะมีไอเดียอยู่แล้วว่าสนใจกองทุนรวมแบบใด เช่น กองหุ้น หรือ กองตราสารหนี้ ถ้าแบบนั้นก็สอบถามให้ IC แนะนำตัวเลือกให้เรา หรือหากยังไม่รู้ก็ให้ IC เป็นคนแนะนำ แต่อย่าลืมว่า ก่อนได้รับคำแนะนำ จะต้องมีขั้นตอนการทำ KYC (know your client) และ suitability test คือเราต้องให้ข้อมูลแก่ IC เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเราว่ามีเป้าหมายการลงทุนอย่างไร มีข้อจำกัดหรือ รับความเสี่ยงได้แค่ไหน ทำเสร็จแล้วค่อยไปถึงขั้นตอนการดูว่าแล้วกองแบบใดที่เหมาะกับเรา ใช่กองที่เราคิดก่อนมาที่สาขาหรือไม่           ถัดไปก็ต้องทำความเข้าใจในรายละเอียดว่ากองนั้นว่าเอาเงินไปลงทุนในตราสารหรือสินทรัพย์ใด มีระดับความเสี่ยงเท่าใด และมีความเสี่ยงด้านใดบ้าง เช่น ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนกรณีไปลงทุนต่างประเทศ รวมถึงการคิดค่าธรรมเนียม (เรียกเก็บจากผู้ลงทุน/เรียกเก็บจากกองทุนรวม) และเงื่อนไขการซื้อขาย (ขายแล้วอีกกี่วันเงินถึงจะเข้า) เป็นต้น  ถ้ายังไม่ปิ๊งหรือยังไม่เข้าใจจริง ๆ ก็ชวน IC ให้แนะนำเราจนกว่าจะเจอกองที่ใช่ Q: การตรวจสอบการซื้อขายว่าได้กองทุนรวมที่ถูกต้องตรงความต้องการ?           เมื่อตกลงซื้อแล้ว ก็ต้องตรวจสอบหลักฐานการซื้อขายให้ดี โดยเช็กว่า เราได้ซื้อกองทุนรวมที่เราสนใจจริง ๆ โดยตรวจสอบชื่อกองทุนรวมและจำนวนเงินลงทุนให้ถูกต้อง รวมถึงเอกสารหลักฐานในการซื้อขายกองทุนรวมมีอะไรบ้าง เป็นรูปแบบเอกสารหรือเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และเราได้ลงนามหรือยืนยันอะไรไปบ้าง ได้รับบริการถูกต้องตามที่ลงนามหรือยืนยันไปหรือไม่ เช่น มีสมุดบัญชีกองทุนรวมหรือมีเอกสารรับรองการซื้อขายหน่วยลงทุนให้หรือไม่อย่างไร โดยต้องสังเกตว่าเอกสารต่าง ๆ ต้องออกโดยผู้ให้บริการเท่านั้น ไม่ใช่เอกสารที่ IC จะเขียนหรือทำให้เราโดยเฉพาะ เราได้รับข้อมูลคำแนะนำตามหนังสือชี้ชวน และได้รับการแจ้งเตือนความเสี่ยงต่าง ๆ ของกองทุนรวมนั้น ๆ ตามที่เราได้ลงนามหรือยืนยันไปหรือไม่ เป็นต้น Q: เมื่อมีปัญหาติดต่อใคร?           หลังจากตัดสินใจลงทุนกองทุนรวมแล้ว ผู้ลงทุนควรถามว่า ในกรณีประสบปัญหา ต้องการความช่วยเหลือ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อกับผู้ให้บริการได้ช่องทางใดบ้าง ซึ่งผู้ให้บริการมักมีช่องทางติดต่อหลายช่องทาง อาทิ call center อีเมล ช่องทางออนไลน์ หรือโมบายแอปพลิเคชัน โดยทั่วไปผู้ให้บริการจะสามารถตอบคำถามและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดมากกว่า แต่หากผู้ลงทุนไม่สามารถติดต่อกับผู้ให้บริการได้ หรือได้รับบริการที่ไม่เป็นธรรม หรือพบเบาะแสใดที่ไม่น่าไว้วางใจ ก็สามารถติดต่อมายังศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและแจ้งเบาะแส ก.ล.ต.[1] เพื่อดำเนินการต่อไป รู้จัก IC/IP เขามีความสำคัญอย่างไร?           ผู้แนะนำการลงทุน (Investment Consultant: IC) และผู้วางแผนการลงทุน (Investment Planner: IP) เป็นบุคลากรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่ต้องได้รับความเห็นชอบในการทำหน้าที่ โดยผู้แนะนำการลงทุนในปัจจุบันมี 4 ประเภท คือ ผู้แนะนำการลงทุนด้านตราสารทั่วไป (IC plain) ผู้แนะนำการลงทุนตราสารซับซ้อนประเภท 1 (IC complex 1)  ผู้แนะนำการลงทุนตราสารซับซ้อนประเภท 2 (IC complex 2) และผู้แนะนำการลงทุนตราสารซับซ้อนประเภท 3 (IC complex 3)  ขณะที่ ผู้วางแผนการลงทุน (IP) นอกจากจะแนะนำการลงทุนได้แล้ว ยังสามารถช่วยวางแผนการลงทุนได้ด้วย (คลิกอ่านประเภท IC และขอบเขตการทำหน้าที่)           ผู้ที่ทำหน้าที่เป็น IC และ IP ต้องมีความรู้ความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ได้ สามารถให้คำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมกับลูกค้า และต้องมีจรรยาบรรณในการทำหน้าที่ด้วย เพราะเป็นผู้ติดต่อใกล้ชิดกับลูกค้า รวมทั้งอาจได้รับประโยชน์ผ่านการขายผลิตภัณฑ์ของต้นสังกัด ซึ่งเส้นแบ่งอยู่ที่การยึดผลประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่สอดคล้องกับเป้าหมายและการยอมรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน รวมทั้งเปิดเผย conflict อย่างโปร่งใส ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบและรอบคอบเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ ลงทุนผ่านแอปให้ปลอดภัยต้องใส่ใจอีกนิด           การทำธุรกรรมการลงทุนผ่านออนไลน์ ต้องใส่ใจในเรื่องความปลอดภัยในการทำธุรกรรมเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการที่จะต้องดูแลระบบให้มีมาตรฐานตามกำหนด มีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมทั้งพัฒนาระบบให้รองรับการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ           แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นหน้าที่ของผู้ลงทุนในฐานะผู้บริโภคที่จะต้องปกป้องตัวเองด้วย ควรมีความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัล (digital literacy) ก่อนทำธุรกรรมลงทุนออนไลน์ เพราะนอกเหนือจากปลอดภัยทางไซเบอร์แล้ว ยังเป็นการป้องกันการทำธุรกรรมผิดพลาดที่อาจเกิดผลกระทบต่อเงินลงทุนของตัวเองด้วย เพราะสมัยนี้มีมิจฉาชีพที่พยายามหลอกให้เราหลงเชื่อว่าเป็นผู้ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องโดยใช้ชื่อใกล้เคียงหวังหลอกให้คนเข้าใจผิด เรามีคำแนะนำเบื้องต้นในการทำธุรกรรมลงทุนออนไลน์ให้ปลอดภัย ดังนี้ ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจากแหล่งที่ถูกต้อง ใน app store หรือ google play store พร้อมเช็กก่อนว่าเป็นแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการตัวจริง เพื่อป้องกันภัยจากมิจฉาชีพที่สร้างแอปปลอมมาหลอกลวง สำหรับตัวเครื่องโทรศัพท์ต้องไม่ดัดแปลง ไม่ Root ไม่ Jailbreak อ่านข้อตกลงเงื่อนไขการใช้งาน และนโยบายความเป็นส่วนตัว ซึ่งจะเป็นการแจ้งข้อจำกัดสิทธิในการใช้บริการของแอปพลิเคชัน อ่านนโยบายการรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล ให้เข้าใจก่อนตัดสินใจว่าจะยินยอมให้ใช้ข้อมูล ส่วนบุคคลหรือไม่ ตัวอย่างเช่น การขอนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในการวิเคราะห์ทางการตลาด เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการ เป็นต้น ก่อนทำรายการลงทุน ควรทำแบบทดสอบการยอมรับความเสี่ยง (suitability test) โดยตอบตามความจริง เพื่อให้ผลประเมินสะท้อนระดับความเสี่ยงที่เรารับได้ และศึกษาทำความเข้าใจกองทุนรวมหรือผลิตภัณฑ์ที่จะลงทุนให้เข้าใจชัดเจนก่อนว่า เหมาะกับตัวเองหรือไม่ ก่อนจะกดยอมรับความเสี่ยงหรือกดยืนยันการส่งคำสั่ง (Accept) ต้องอ่านข้อมูลให้เข้าใจและรู้จริงว่า เรากำลังจะตัดสินใจลงทุนสิ่งนั้นจริง ๆ ขอย้ำว่า “อย่ากดยอมรับโดยไม่อ่าน” เพื่อปกป้องสิทธิของตัวเราเอง เช่น ในกรณีที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงกว่าความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ จะมีให้กดรับทราบและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น หากกดยอมรับยืนยันที่จะลงทุน ผู้ลงทุนต้องรู้ว่าหากการลงทุนไม่เป็นไปในทิศทางที่คิดไว้ ต้องยอมรับผลที่จะตามมา ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะระบบได้เก็บประวัติการทำธุรกรรม (transaction log) ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่าเรายอมรับความเสี่ยงดังกล่าวแล้ว           จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะซื้อกองทุนรวมผ่านช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์ก็ตาม เราในฐานะผู้ลงทุนและเจ้าของเงินต้องปกป้องตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ รู้จักสิทธิของตัวเองที่พึงมี รวมทั้งหน้าที่ในฐานะผู้ลงทุนที่ต้องดูแลตัวเอง เช่น ตรวจสอบรายชื่อผู้ที่ได้รับอนุญาต อัพเดทข้อมูลส่วนตัวเป็นปัจจุบัน ติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนรวมที่เราลงทุนไปแล้ว เป็นต้น           และสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ การศึกษาข้อมูลกองทุนรวมก่อนตัดสินใจ ซึ่งทุกคนสามารถศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบกองทุนรวมได้ด้วย SEC Fund Check เครื่องมือดี ๆ ที่ ก.ล.ต. พัฒนาขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมได้มีตัวช่วยในการหาข้อมูลกองทุนรวม เช่น ความเสี่ยงของกองทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง รวมทั้งสามารถเรียกดู fund fact sheet เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมว่ากองทุนรวมนั้นลงทุนในสินทรัพย์ใดบ้าง           ทิ้งท้ายอีกสักครั้ง สำหรับใครที่พบเห็น หรือถูกชักชวนให้ลงทุน หรือพูดคุยแนะนำการลงทุนกองทุนรวมแบบไม่พบหน้า เช่น ผ่านออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย หลังจากที่ตรวจสอบด้วย SEC Check First แล้ว ควรสอบถามไปยังหน่วยงานต้นสังกัดอีกครั้งว่า เป็นผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจริงหรือไม่ มีผลิตภัณฑ์ลงทุนดังกล่าวจริงหรือไม่ เพราะตอนนี้มีทั้งการแอบอ้างเลขทะเบียนผู้แนะนำตัวจริง และปลอมใบอนุญาตประกอบธุรกิจแอบอ้างชื่อให้ใกล้เคียงกับบริษัทตัวจริง ขอย้ำ! เจอโฆษณาชวนลงทุนแอบอ้างชื่อ ภาพโลโก้ ก.ล.ต. ให้คิดไว้เลยว่าหลอกลวง อย่าแอดไลน์ และอย่าโอนเงินเข้าบัญชีบุคคลธรรมดาเด็ดขาด [1] ช่องทางร้องเรียน แจ้งเบาะแส สอบถามข้อมูล ก.ล.ต. https://www.sec.or.th/TH/Pages/AboutUs/SECHelp.aspx โดย นางสาวสาริกา อภิวรรธกกุล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาและส่งเสริมความรู้ตลาดทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้กรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์

SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้กรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์

        หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์ สหรัฐเผยตัวเลขดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบรายปี 7% ในเดือนพฤศจิกายน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.6% ในเดือนตุลาคม บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐปรับลดลง หลังเงินเฟ้อออกมาตามคาด หนุนเฟดลดดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 ในการประชุมสัปดาห์หน้า จับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐ และการประชุม ECB ในวันนี้ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยเช่นกัน

ราคาน้ำมันดิบปิดบวก ชี้ PTT, PTTEP รับอานิสงส์

ราคาน้ำมันดิบปิดบวก ชี้ PTT, PTTEP รับอานิสงส์

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent +1.84%d-d ปิดที่ USD 73.52/barrel น้ำมันดิบ WTI +2.48%d-d ปิดที่ USD 70.29/barrel โดย WTI มีแนวต้านระยะสั้นที่ 71.5$ แรงหนุนหลักมาจาก 1.)ข่าวสหภาพยุโรป (EU) มีมติตกลงที่จะคว่ำบาตรน้ำมันของรัสเซียเพิ่มเติม (Sanction) ผสาน 2.) ความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีน 3.) EIA เผยว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าตลาดคาดจะลดเพียง 1.0 ล้านบาร์เรล โดยมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP

[ภาพข่าว] เอเซีย พลัส จัดสัมมนาให้ความรู้นักลงทุน “โลกขยับต้องปรับแผนลงทุนอย่างไร?”

[ภาพข่าว] เอเซีย พลัส จัดสัมมนาให้ความรู้นักลงทุน “โลกขยับต้องปรับแผนลงทุนอย่างไร?”

          บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด จัดสัมมนาให้ความรู้และมุมมองการลงทุนให้แก่นักลงทุน ในงามสัมนา “โลกขยับต้องปรับแผนลงทุนอย่างไร?” โดยได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาร่วมบรรยายพิเศษ ภายใต้หัวข้อ “ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์” พร้อมด้วยวิทยากรจาก บล.เอเซีย พลัส นำโดย คุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บรรยายภายใต้หัวข้อ “ตลาดหุ้นไทยกับโลกที่เปลี่ยนแปลง” และคุณคริสโตเฟอร์ พรหมมี ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การลงทุนและผลิตภัณฑ์ ภายใต้หัวข้อ “ลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกอย่างอุ่นใจ ด้วย Infinity+ Porfolio” งานสัมมนาจัดขึ้นที่ The Bangkok Club อาคารสาธรซิตี้ ทาวเวอร์ ชั้น 28 ห้อง Grand Hall

บลจ.ดาโอ เปิดขาย ‘กองทุน DAOL-DEFENSE’

บลจ.ดาโอ เปิดขาย ‘กองทุน DAOL-DEFENSE’

           จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้แต่ละประเทศตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนในประเทศของตนเอง ทำให้งบประมาณการใช้จ่ายทางทหารทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากและผลักดันให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง “บลจ.ดาโอ” มองเป็นจังหวะลงทุน เปิดขาย “กองทุนเปิด ดาโอ ดีเฟนส์ (DAOL-DEFENSE)”  ลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศรวมถึงความปลอดภัยไซเบอร์ เปิดเสนอขายครั้งแรก ระหว่างวันที่ 11-18 ธันวาคม 2567            คุณมนชญา รัชตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด หรือ บลจ.ดาโอ (DAOL INVESTMENT MANAGEMENT) เปิดเผยว่า ด้วยปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นเหตุให้การใช้จ่ายทางทหารทั่วโลกพุ่งทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในปี 2564 และเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.44 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566 และคาดว่า การใช้จ่ายทางการทหารจะเติบโตในอัตรา 5% ต่อปี จนถึงระดับ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในสิ้นทศวรรษนี้ โดยประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย และอินเดีย มีการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศอย่างมีนัยสำคัญเพื่อเสริมสร้างความสามารถทางการทหารในการป้องกันประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการรับรองวงเงินสูงสุดที่เสนอไว้ที่ 8.86 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการใช้จ่ายด้านกลาโหมในปีงบประมาณ 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา คาดการณ์จากสำนักงานงบประมาณของรัฐสภาสหรัฐฯ ระบุว่า การใช้จ่ายด้านการป้องกันจะสูงถึง 1.11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.8% ของ GDP ภายในปี 2576            ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายด้านการทหารของยุโรปได้ปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับสูงสุดนับตั้งแต่สงครามเย็น ซึ่งเกิดจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย โดยในปี 2566 มีการเพิ่มงบประมาณการลงทุนด้านกลาโหมถึง 13% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยพันธมิตร NATO เพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมเช่นกัน คาดว่า ในปี 2024 สมาชิก 24 ประเทศจากทั้งหมด 32 ประเทศ จะสามารถบรรลุตามเป้าหมาย 2% ของ GDP ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเพียง 11 ประเทศ ในปี 2566            นอกจากนี้ การป้องกันทางดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในทางภูมิศาสตร์การเมือง จากรายงานพบว่า ทั่วโลกมีการโจมตีทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 ความปลอดภัยไซเบอร์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับกระทรวงกลาโหม            เช่นเดียวกับ การใช้ระบบอัตโนมัติในระบบการป้องกันที่กำลังเร่งตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรนอัตโนมัติ ที่ไม่เพียงแต่ใช้ในการสอดแนม แต่ยังใช้ในการต่อสู้และการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ เพื่อลดการมีส่วนร่วมของมนุษย์และลดความเสี่ยงในสนามรบ คาดว่า ตลาดอากาศยานไร้คนขับทางทหารทั่วโลกจะเติบโตจาก 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2566 เป็น 4.52 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2573 เติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 12.20%            ด้วยแนวโน้มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศที่สูงขึ้นทั่วโลก บลจ.จึงขอแนะนำ กองทุนเปิด ดาโอ ดีเฟนส์ (DAOL-DEFENSE) เปิดเสนอขายครั้งแรก ระหว่างวันที่ 11-18 ธ.ค. 2567 (ความเสี่ยงระดับ 7 : ความเสี่ยงสูง) ลงทุนตรงผ่านกองทุน Vaneck Defense UCITS ETF (DFNS)  ที่บริหารโดย Vaneck Vectors บริษัทจัดการการลงทุน ETF ที่มีความโดดเด่น โดยเน้นลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ จากแนวโน้มความเสี่ยง ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และการใช้จ่ายทางทหารที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อประเทศต่างๆ ทั่วโลกปรับกลยุทธ์การป้องกันประเทศ ลักษณะกลุ่มบริษัทป้องกันประเทศที่ลงทุนได้แก่ ผลิตภัณฑ์และบริการทางอากาศและการป้องกัน ระบบและบริการด้านการสื่อสาร รวมถึงดาวเทียม ยานพาหนะไร้คนขับ ซอฟต์แวร์ด้านการตอบสนองเหตุการณ์ และความปลอดภัย ฮาร์ดแวร์และบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซอฟต์แวร์และผลิตภัณฑ์ด้านการฝึกอบรมและการจำลองสถานการณ์ การสืบสวนดิจิทัล, อุปกรณ์ตรวจจับ และการยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์/การระบุตัวตนทางชีวภาพ ตัวอย่างหุ้นบริษัทที่ลงทุน 1.) บริษัท QINETIQ  เป็นบริษัทเทคโนโลยีการป้องกันประเทศของสหราชอาณาจักรที่ให้บริการวิจัยและพัฒนา (R&D) และบริการทางเทคนิคแก่รัฐบาล นอกจากความเชี่ยวชาญในด้าน R&D, วิศวกรรม, ความปลอดภัยทางไซเบอร์, อวกาศและดาวเทียมแล้ว ยังให้บริการฝึกอบรมและการจำลองเพื่อช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติการที่สำคัญต่อภารกิจ บริการเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีการจำลองที่หลากหลาย เช่น ความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality), ความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) และการฝึกอบรมที่ใช้เกม เพื่อสร้างสถานการณ์การฝึกอบรมที่สมจริง และถูกใช้สำหรับการฝึกอบรมทางทหาร, อวกาศ, การบินและการเดินเรือ รวมถึงการจำลองเหตุการณ์ฉุกเฉิน 2.) บริษัท CACI  ให้บริการด้าน IT แก่หน่วยงานรัฐบาล ประกอบด้วยบริการที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางไซเบอร์, การประมวลผลบนคลาวด์, การพัฒนาซอฟต์แวร์ รวมถึงการสนับสนุนการดำเนินงาน, การจัดการโลจิสติกส์ และการฝึกอบรม บริการความปลอดภัยทางไซเบอร์ , การประเมินและการวิเคราะห์ข่าวกรองภัยคุกคาม, การตอบสนองต่อเหตุการณ์ และการติดตามภัยคุกคามในเครือข่ายของลูกค้า            ท่ามกลางความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้หุ้นกลุ่มป้องกันประเทศเติบโต ส่งผลให้กองทุน Vaneck Defense UCITS ETF ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือนอยู่ที่ 4.30% ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 12.31% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 57.30% และย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 44.78% (ข้อมูล Vaneck ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567)            “ความมั่นคงและการป้องกันประเทศกลับมาเป็นหนึ่งในความกังวลหลักของรัฐบาลในหลายประเทศ การเปลี่ยนแปลงสู่โลกที่มีหลายขั้วอำนาจได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อบริษัทในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ‘กองทุนเปิด ดาโอ ดีเฟนส์ (DAOL-DEFENSE)’ จึงเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากบริษัทชั้นนำในด้านเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ รวมถึงบริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ขนาดใหญ่ และผู้ให้บริการด้านการป้องกันที่เกี่ยวข้อง ภายใต้สถานการณ์ที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติและปรับปรุงความสามารถทางทหาร ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศจึงมีโอกาสได้รับประโยชน์จากสัญญาระยะยาวและความต้องการที่ต่อเนื่อง” คุณมนชญา กล่าว            สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมพร้อมรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนดาโอ จำกัด (บลจ.ดาโอ) โทรศัพท์ 02-351-1800 กด 2 หรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อหน่วยลงทุน ของ บลจ. ดาโอ  คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต เนื่องจากกองทุนมีการลงทุนในต่างประเทศและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน โดยป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้  ที่มา 1Global X Estimates, SIPRI. (2023, April 24) Congressional Budget Office. (2023, February). The Budget and Economic Outlook: 2023 to 2033 NATO Public Diplomacy Division as of June 12, 2024 Check point software technologies, U.S. Global investors Global X ETFs with information derived from: Fortune Business Insights. 23 September 2024 [PR News]

ประกาศชี้แจง บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ประกาศชี้แจง บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

        หุ้นวิชั่น - ประกาศชี้แจง บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ตามที่มีบุคคลบางกลุ่มได้ติดต่อไปยังลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (บล. Zcom) โดยกล่าวอ้างว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทีมผู้บริหารชุดใหม่ รวมถึงกล่าวอ้างว่าสามารถติดต่อพูดคุยกับผู้บริหารชุดใหม่ได้ หรือมีการแอบอ้างในลักษณะต่าง ๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ลูกค้าของบล. Zcom ติดต่อผ่านกลุ่มบุคคลดังกล่าวเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับบัญชีของลูกค้าที่มีอยู่กับบริษัทฯ หรือเพื่อสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ขอยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง และบุคคลกลุ่มดังกล่าว ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับบริษัทฯ บริษัทฯ ขอแจ้งเตือนลูกค้าและนักลงทุนทุกท่านว่า หากได้รับการติดต่อจากบุคคลดังกล่าว โปรดอย่าดำเนินการใด ๆ หรือให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บุคคลดังกล่าว และหากต้องการตรวจสอบข้อมูลหรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ขอให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ของบล. Zcom โดยตรง เพื่อความถูกต้องและความปลอดภัยของข้อมูล ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอแนะนำให้นักลงทุนทุกท่านติดตามข่าวสารและประกาศต่าง ๆ ผ่าน ช่องทางการสื่อสารอย่างเป็นทางการของบริษัทฯ เท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนหรือความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ โทร: 02-088-8111 จึงเรียนมาเพื่อทราบ บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ราคาน้ำมัน WTI - Brent ลดลง 1.6% และ 1.35% กังวลน้ำมันล้นตลาดฯ

ราคาน้ำมัน WTI - Brent ลดลง 1.6% และ 1.35% กังวลน้ำมันล้นตลาดฯ

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ราคาน้ำมัน WTI และ Brent ปรับลง 1.6% DoD และ 1.35% DoD จากความกังวลภาวะน้ำมันล้นตลาดจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ แม้โอเปกพลัสประกาศเลื่อนแผนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้

ก.ล.ต. แจ้งเตือนผู้ถือหุ้นกู้ EP24DA ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ในวันที่ 12 ธันวาคม 2567

ก.ล.ต. แจ้งเตือนผู้ถือหุ้นกู้ EP24DA ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ในวันที่ 12 ธันวาคม 2567

          หุ้นวิชั่น - วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2567 | ฉบับที่ 265/2567 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ EP24DA ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 12 ธันวาคม 2567           ตามที่บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ EP24DA จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2567 ในวันที่ 12 ธันวาคม 2567 เวลา 14.00 น. ด้วยวิธีการประชุมแบบผสมผสาน (Hybrid meeting) โดยจัดการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-meeting) และจัดประชุม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ (ห้องแมจิค 1 ชั้น G) เลขที่ 99 ถนนกำแพงเพชร 6 แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณาอนุมัติ ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ออกไปอีก 1 ปี (2) เพิ่มอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้อีกร้อยละ 0.5 ต่อปี จากเดิมร้อยละ 6.25 ต่อปี เป็นร้อยละ 6.75 ต่อปี ในช่วงระยะเวลาที่ได้ขยายอายุหุ้นกู้ออกไป           ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับจากการมีมติอนุมัติหรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบโดยมีความเห็นของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย           หมายเหตุ : บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ EP24DA ครบกำหนดชำระวันที่ 27 ธันวาคม 2567

OPEC+ เลื่อนเพิ่มกำลังผลิต ลดความเสี่ยงผลกระทบซบเซา

OPEC+ เลื่อนเพิ่มกำลังผลิต ลดความเสี่ยงผลกระทบซบเซา

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent -0.06% d-d ปิดที่ USD 72.27/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.35%d-d ปิดที่ USD 68.3/barrel ผลประชุม OPEC+ สอดคล้องกับตลาดคาด โดยมีการเลื่อนการเพิ่มกำลังการผลิตออกไปถึง ก.ย. 26 ลดความเสี่ยงผลกระทบความต้องการที่ยังซบเซาต่อราคา

ก.ล.ต. สนับสนุนกองทุน Thai ESG เพิ่มทางเลือกลงทุน พร้อมลดหย่อนภาษีได้

ก.ล.ต. สนับสนุนกองทุน Thai ESG เพิ่มทางเลือกลงทุน พร้อมลดหย่อนภาษีได้

          หุ้นวิชั่น - นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า “ตามที่คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 มีมติเห็นชอบการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศ สำหรับผู้มีเงินได้ที่ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: Thai ESG) สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีรายได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี 2567 – 2569 ได้ เพิ่มจาก 100,000 บาทเป็นไม่เกิน 300,000 บาทต่อปีต่อคน ล่าสุดกระทรวงการคลังได้ออกประกาศกฎกระทรวง โดยได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567           ทั้งนี้ กองทุน ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุนซึ่งนอกจากจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการลงทุนเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนของประเทศแล้ว ยังสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีรายได้บุคคลธรรมดาได้ด้วย ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงประกาศเพื่อขยายขอบเขตการลงทุนกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน รวม 5 ฉบับ โดยได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ซึ่งมีผลให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถจัดตั้งหรือแก้ไขโครงการจัดการเพื่อลงทุนตามขอบเขตการลงทุนใหม่ที่กว้างขึ้นได้”

น้ำมันดิบดีด เก็งกำไร PTTEP-PTTGC-TOP

น้ำมันดิบดีด เก็งกำไร PTTEP-PTTGC-TOP

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 70$ จาก 1. อิสราเอลขู่ว่าจะโจมตีเลบานอน หากข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ล้มเหลว และ 2. โอเปกพลัส จะขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปจนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า เป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มพลังงาน แนะนำเก็งกำไร PTTEP PTTGC TOP IVL IRPC

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.25-34.50บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.25-34.50บาท/ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.25-34.50บาท/ดอลลาร์ เงินบาทยังทรงตัวเช้านี้ แม้เงินวอนจะอ่อนค่าเร็วหลังเกาหลีใต้ประกาศกฎอัยการศึกช่วงกลางดึกเมื่อคืน แต่ก็ได้ยกเลิกไปในไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ด้าน US treasury yields กลับมาสูงขึ้นหลังเลขจำนวนเปิดรับงานใหม่เดือน ตุลาคม ออกมาที่ 7.74 ล้านตำแหน่งสูงกว่าเดือนก่อนหน้า และสูงกว่าตลาดคาด รัฐมนตรีคลังกล่าวว่า มีแผนที่จะลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีส่วนบุคคล และอาจขึ้น VAT แทน

ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์โฆษณา เพิ่มคำเตือนความเสี่ยงลงทุนใน

ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์โฆษณา เพิ่มคำเตือนความเสี่ยงลงทุนใน "โทเคนดิจิทัล"

          หุ้นวิชั่น - ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การโฆษณาของผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO portal) และของผู้ออกและเสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชน (ICO issuer) ในส่วนของคำเตือนความเสี่ยงการลงทุนในโทเคนดิจิทัล เพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนตระหนักถึงความเสี่ยงหรือข้อจำกัดก่อนการตัดสินใจลงทุน โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีแนวคิดที่จะปรับปรุงหลักเกณฑ์การโฆษณาของ ICO portal และ ICO issuer ในส่วนของคำเตือนความเสี่ยงการลงทุนในโทเคนดิจิทัล ให้เหมาะสม เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีวิธีการนำเสนอคำเตือนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนตระหนักถึงความเสี่ยงหรือข้อจำกัดก่อนการตัดสินใจใช้บริการหรือลงทุนในโทเคนดิจิทัล โดยได้เปิดรับความฟังความคิดเห็นและผู้ร่วมแสดงความเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว           ก.ล.ต. จึงออกประกาศ* กำหนดให้ ICO portal และ ICO issuer ต้องจัดทำคำเตือนประกอบการโฆษณาตามหลักเกณฑ์ ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้ (1) ระบุข้อความคำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือข้อจำกัดของโทเคนดิจิทัลอย่างครบถ้วน (2) นำเสนอคำเตือนในรูปแบบที่มีความคมชัดและสังเกตได้ง่าย โดยใช้โทนสีที่แตกต่างจากสีพื้นของโฆษณาหรือใช้ตัวอักษรหนาขึ้น และมีขนาดของตัวอักษรไม่เล็กกว่าขนาดตัวอักษรส่วนใหญ่ในโฆษณานั้น (3) จัดให้มีข้อความที่เป็นคำเตือนตลอดเวลาที่โฆษณา โดยข้อความที่เป็นคำเตือนต้องเป็นภาษาเดียวกับภาษาหลักที่ใช้ในการโฆษณา และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. กำหนด (4) ในกรณีการโฆษณาที่มีการแสดงภาพและเสียง และการโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (social media) ต้องจัดทำให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. กำหนด           ทั้งนี้ การออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าว มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป           หมายเหตุ : * ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สธ. 34/2567 เรื่อง หลักเกณฑ์ในรายละเอียดเกี่ยวกับการโฆษณาของผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลหรือผู้ออกและเสนอขายโทเคนดิจิทัล ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 https://publish.sec.or.th/nrs/10464s.pdf

บล.เอเอสแอล วิเคราะห์ภาพรวมการลงทุน ธ.ค. 67

บล.เอเอสแอล วิเคราะห์ภาพรวมการลงทุน ธ.ค. 67

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.เอเอสแอล วิเคราะห์ภาพรวมการลงทุนประจำเดือนธันวาคม 2567 กลยุทธ์ A-share: แรงผลักดันหลักในการกำหนดราคากำลังเปลี่ยนแปลง พร้อมการรวมฉันทามติเชิงนโยบายใหม่ สถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มผู้ลงทุน: ตลาดกำลังเปลี่ยนแปลงจากผู้ลงทุนรายย่อยไปสู่ผู้ลงทุนสถาบัน ซึ่งให้ความสำคัญกับปัจจัยอย่างราคาบ้านและสัญญาณการเงินในระบบ ความเปราะบางของจิตวิทยานักลงทุน: นักลงทุนยังมีความเปราะบาง ทำให้ความผันผวนของตลาดยังอยู่ในระดับสูงภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ภาวะนโยบายในปัจจุบัน ตลาดอยู่ในช่วง "หน้าต่างนโยบาย" (Policy Window Period) ซึ่งความคาดหวังต่อนโยบายยังค่อนข้างไร้ทิศทาง คาดว่าจะมีการบรรลุฉันทามติเกี่ยวกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม โดยจะเป็นจุดเริ่มต้นของ "ตลาดวิ่งมาราธอนรายปี" ที่ตลาดกำลังรอสัญญาณเริ่มต้นจากราคาบ้านและการเงินในระบบ กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นและระยะยาว ระยะสั้น: ควรให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ในกลุ่ม "Procyclical" ที่มีมูลค่าต่ำ (Low-valuation) เพื่อการเปลี่ยนผ่าน ระยะยาว: หลังจากสัญญาณตลาดชัดเจน ควรเพิ่มน้ำหนักในกลุ่มที่มีการเติบโตสูง (High-performance growth) และการบริโภคภายในประเทศ (Domestic consumption) แนวโน้มเศรษฐกิจและปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายในประเทศ การลดหนี้รอบใหม่: คาดว่าจะถูกดำเนินการตามแผน นโยบายที่ดำเนินการมาก่อนหน้าเริ่มมีผล: เศรษฐกิจในประเทศคาดว่าจะดีขึ้นในไตรมาสที่ 4 สัญญาณสำคัญสำหรับราคาบ้านและการเงินในระบบ: ยังต้องรอการพัฒนาเพิ่มเติม ปัจจัยภายนอก การใช้ภาษีศุลกากร: สหรัฐฯ ส่งเสริมการคืนห่วงโซ่อุตสาหกรรม นโยบายในประเทศจีน: คาดว่าจะสามารถตอบโต้นโยบายจากทรัมป์ได้ ขณะที่องค์กรในประเทศก็มีความพร้อม สถานการณ์ตลาดและแนวโน้มในอนาคต การกำหนดราคาหลักในตลาดอยู่ในช่วงเปลี่ยนจากนักลงทุนรายย่อยไปสู่นักลงทุนสถาบัน ความคาดหวังต่ออัตราเงินเฟ้อระยะที่สองในสหรัฐและการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน (RMB) ทำให้ตลาดมีความผันผวนมากขึ้น การประชุมของคณะกรรมการการเมือง (Political Bureau) และการประชุมงานเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม จะสร้างความชัดเจนและฉันทามติต่อการพัฒนาตลาด การดำเนินการของทรัมป์และผลกระทบของภาษีศุลกากรต่อจีน ไทม์ไลน์การขึ้นภาษี หากไม่มีการสืบสวนทางการค้าใหม่ การขึ้นภาษีอาจเริ่มใน Q2/2025 หากมีการสืบสวนใหม่ การขึ้นภาษีอาจเริ่มใน H2/2025 ขอบเขตของการขึ้นภาษี การขึ้นภาษีคาดว่าจะไม่เกิน 60% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ เนื่องจาก: ความขัดแย้งในนโยบายของทรัมป์ ผลกระทบเชิงลบของสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ การเร่งกระจายตลาดและโครงสร้างการส่งออกของบริษัทจีน ผลกระทบต่อการส่งออกจีน การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ อาจลดลงมากกว่า 20% การส่งออกโดยรวมของจีนในปีหน้าอาจลดลงถึง -5% เมื่อเทียบกับปีต่อปี การประเมินผลกระทบ แม้ว่าจะมีผลกระทบต่อการส่งออกของจีน แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ การปรับตัวของบริษัทจีนในการกระจายตลาดส่งออกและการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศช่วยลดผลกระทบเชิงลบ หลังจากการหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและเลบานอน สถานการณ์ในตะวันออกกลางมุ่งหน้าไปทางไหน? ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮิซบอลเลาะห์ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2024 คณะรัฐมนตรีความมั่นคงของอิสราเอลอนุมัติข้อตกลงหยุดยิงกับฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน เหตุผลสำคัญที่ข้อตกลงหยุดยิงเกิดขึ้น อิสราเอล: ใช้การหยุดยิงเพื่อปรับแนวรบและรวมกำลังเพื่อจัดการกับอิหร่าน อิหร่าน: ต้องการรักษาสมดุลเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เสียเปรียบในช่วงที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง ผลกระทบของข้อตกลงหยุดยิง การหยุดยิงช่วยลดความเสี่ยงที่ความขัดแย้งจะลุกลาม แต่ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าสถานการณ์ในตะวันออกกลางจะสงบลงบ้าง แต่ยังคงซับซ้อน ผลกระทบต่อตลาดการเงิน ราคาทองคำและน้ำมันดิบปรับตัวลดลงในระยะสั้น หากเกิดความขัดแย้งซ้ำหรือมีเหตุการณ์สำคัญ ตลาดสินทรัพย์อาจปรับตัวอีกครั้ง รายงานแนวโน้มการประชุมงานเศรษฐกิจกลาง - การเสริมสร้างรากฐานและการแสวงหาความก้าวหน้าในด้านความมั่นคง ประเด็นสำคัญที่คาดว่าจะหารือ การลดหนี้: เร่งกระจายและออกพันธบัตรพิเศษเพื่อทดแทนหนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์: ดำเนินโครงการปรับปรุงชุมชนเมือง (Urban Village Renovation) และการผ่อนคลายนโยบายฝั่งอุปสงค์ การบริโภคสินค้า: ขยายความต้องการบริโภคสินค้าและเพิ่มอุปทานในภาคบริการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี: ยกระดับอุตสาหกรรมและสนับสนุนภาคเอกชน ตลาดทุน: เพิ่มความเชื่อมโยงของตลาดทุน และปฏิรูปวิสาหกิจของรัฐเพื่อเพิ่มผลตอบแทนสำหรับนักลงทุน บทวิเคราะห์โดย ปัณณวิชย์ ฤทธาสิรินันท์ บล.เอเอสแอล

ก.ล.ต. เตรียมปรับเกณฑ์ตรวจข้อมูลลูกค้า-ทบทวนวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์

ก.ล.ต. เตรียมปรับเกณฑ์ตรวจข้อมูลลูกค้า-ทบทวนวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์

          หุ้นวิชั่น - วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 | ฉบับที่ 257 / 2567 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดรับฟังความคิดเห็นหลักการและร่างประกาศเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจมีการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าระหว่างกันเพื่อให้มีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าที่จำเป็นและครบถ้วนมากยิ่งขึ้น สำหรับใช้ประกอบการพิจารณากำหนดและทบทวนวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์ให้แก่ลูกค้าได้อย่างเหมาะสมต่อความสามารถในการชำระหนี้ สถานการณ์ความผิดปกติจากการซื้อขายหลักทรัพย์และการผิดนัดชำระราคาการซื้อหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนในช่วงที่ผ่านมา มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายสัญญาล่วงหน้า (รวมเรียก ผู้ประกอบธุรกิจ) ขาดข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าที่จำเป็นและครบถ้วนในการนำมาใช้ประกอบการพิจารณากำหนดวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์ ส่งผลให้วงเงินรวมที่ลูกค้าของผู้ประกอบธุรกิจได้รับทั้งหมด (กรณีขอวงเงินจากหลายแห่ง) อาจสูงเกินกว่าความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าได้ ก.ล.ต. จึงเห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับตลาดทุนเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจมีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าที่จำเป็นและเพียงพอต่อการนำไปใช้ประกอบการพิจารณากำหนดและทบทวนวงเงินให้แก่ลูกค้าได้อย่างเหมาะสมต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดพฤติกรรมการซื้อขายที่ไม่เหมาะสม และลดโอกาสการผิดนัดชำระราคาค่าซื้อขายหลักทรัพย์ที่อาจส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจ โดยมีสาระสำคัญในการกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องดำเนินการ ดังนี้ (1) ตรวจสอบและแลกเปลี่ยนข้อมูลลูกค้าระหว่างกัน โดยมีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมและประเมินข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้และการวางหลักประกันของลูกค้า เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณากำหนดและทบทวนวงเงินให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย (2) รวบรวม ประเมิน และวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าที่ขอ หรือมีวงเงินสูง หรือลูกค้าที่มีระดับความเสี่ยงสูง จากผู้ประกอบธุรกิจแห่งอื่นที่มีการให้บริการแก่ลูกค้ารายเดียวกัน สำหรับกรณีที่ลูกค้าขอเปิดบัญชีใหม่หรือลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญ โดยต้องดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการชำระหนี้ รวมทั้งมีกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ (3) นำส่งข้อมูลลูกค้าตามที่ได้รับการร้องขอจากผู้ประกอบธุรกิจแห่งอื่น ทั้งนี้ รายละเอียดการดำเนินการในการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าดังกล่าว เช่น ช่องทางและวิธีการตรวจสอบข้อมูลของลูกค้าระหว่างกัน เงื่อนไขของลูกค้าที่ต้องตรวจสอบข้อมูลจากผู้ประกอบธุรกิจแห่งอื่น ชุดข้อมูลของลูกค้าที่ต้องตรวจสอบระหว่างกัน เป็นต้น ให้เป็นไปตามที่สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของก.ล.ต. ก.ล.ต. ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นซึ่งมีรายละเอียดการปรับปรุงหลักการและร่างประกาศในเรื่องดังกล่าวบนเว็บไซต์ ก.ล.ต. (https://www.sec.or.th/TH/Pages/PB_Detail.aspx?SECID=1035) และระบบกลางทางกฎหมาย (http://law.go.th/listeningDetail?survey_id=NDY5MERHQV9MQVdfRlJPTlRFTkQ=) ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจสามารถศึกษาและแสดงความคิดเห็นได้ผ่านช่องทางเว็บไซต์ หรือทาง e-mail : [email protected] หรือ [email protected] จนถึงวันที่ 28 ธันวาคม 2567 _______________________

คาด OPEC เลื่อนแผนเพิ่มกำลังผลิต ชี้ PTTEP, PTT กลุ่มโรงกลั่นรับอานิสงส์

คาด OPEC เลื่อนแผนเพิ่มกำลังผลิต ชี้ PTTEP, PTT กลุ่มโรงกลั่นรับอานิสงส์

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันประกาศเลื่อนประชุมเป็นวันที่ 5 ธ.ค. 24 (เดิม 1 ธ.ค. 24) เพื่อพิจารณาแผนการผลิตน้ำมันดิบ KSS ประเมินการที่ OPEC เลื่อนประชุมมีโอกาสที่กลุ่ม OPEC+ จะเลื่อนแผนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบออกไป ทำให้อุปทานน้ำมันชะลอการเข้าสู่ตลาด มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อราคาน้ำมันระยะสั้น และจิตวิทยาบวกต่อหุ้นน้ำมัน เช่น PTTEP, PTT และกลุ่มโรงกลั่น น้ำมันดิบ Brent +0.62%d-d ปิดที่ USD 73.28/barrel น้ำมันดิบ West Texas +0.23%d-d ปิดที่ USD 68.88/barrel

อินโนพาวเวอร์ ร่วมมือ อาร์ วี คอนเน็กซ์  พัฒนานวัตกรรมพลังงานและเทคโนโลยีขั้นสูง

อินโนพาวเวอร์ ร่วมมือ อาร์ วี คอนเน็กซ์ พัฒนานวัตกรรมพลังงานและเทคโนโลยีขั้นสูง

         หุ้นวิชั่น - บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด และ บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อพัฒนานวัตกรรมพลังงานและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่และสนับสนุนการพัฒนาประเทศในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล            นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยผลักดันนวัตกรรมพลังงานที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมายของเราในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน อีกทั้ง เรายังสามารถนำเทคโนโลยี เช่น อากาศยานไร้คนขับ (UAV) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโครงข่ายสายส่งไฟฟ้า เป็นการต่อยอดไปสู่การส่งมอบข้อมูลให้กับระบบส่งไฟฟ้า เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับบริหารจัดการ ความโปร่งใส และความเชื่อมั่น นอกจากนี้ ความมั่นคงทางไซเบอร์ยังเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่เรามุ่งเน้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ ความร่วมมือนี้ครอบคลุมโครงการสำคัญหลายด้าน ได้แก่ (1) การพัฒนาแพลตฟอร์มและเครื่องมือดิจิทัล เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการและลดระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (2) การสำรวจและพัฒนาโอกาสการจัดการคาร์บอนเครดิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (3) การสำรวจและพัฒนาโอกาสการเพิ่มความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ผ่านการพัฒนาโซลูชันด้านความปลอดภัยทาง ไซเบอร์ (4) การสำรวจและพัฒนาโอกาสการการใช้เทคโนโลยีและระบบวิเคราะห์ภาพขั้นสูงในการสนับสนุนการดำเนินงานเชิงบูรณาการ และ (5) การสำรวจโอกาสเพิ่มเติมในการพัฒนานวัตกรรมพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของทั้งภาคเอกชนและประเทศชาติ            รองศาสตราจารย์ ดร. สุเจตน์ จันทรังษ์ ประธานบริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ กล่าวเสริมว่า ด้วยความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีขั้นสูง เรามั่นใจว่าความร่วมมือครั้งนี้จะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจและประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ข้อตกลงนี้ ทั้งสององค์กรจะผสานจุดแข็งและความสามารถเพื่อร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมและโซลูชันที่ตอบโจทย์ด้านพลังงาน พร้อมเป้าหมายร่วมในการพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ตลอดจนการแลกเปลี่ยนความรู้และทรัพยากร เพื่อสร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในระดับชาติ สำหรับบันทึกข้อตกลงนี้จะมีระยะเวลา 3 ปี โดยทั้งสองฝ่ายจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อผลักดันให้โครงการต่าง ๆ บรรลุเป้าหมาย พร้อมสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

สนค. เกาะติดนโยบายทรัมป์ 2.0 ต่อภาคเกษตรและอาหารโลก

สนค. เกาะติดนโยบายทรัมป์ 2.0 ต่อภาคเกษตรและอาหารโลก

หุ้นวิชั่น - นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษาและติดตามนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง โดยมีกำหนดสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2568 ทำให้เกิดความกังวลอย่างมากต่อมาตรการทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจการค้าโลกและไทย รัฐบาลทรัมป์ยังยึดแนวนโยบายหลัก “Make America Great Again” โดยให้ความสำคัญและถือผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นที่ตั้ง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของประเทศ สำหรับผลกระทบต่อภาคเกษตรและอาหารโลก สนค. ได้ศึกษารายงาน “Trump 2.0: Impacts on Global Food and Agriculture” ของ Rabobank สถาบันการเงินของเนเธอร์แลนด์ที่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจเกษตรและอาหาร ระบุว่า การดำรงตำแหน่งรอบที่ 2 ของประธานาธิบดีทรัมป์ จะสร้างความซับซ้อนให้กับการค้าสินค้าเกษตรและอาหารในระดับโลก และอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการค้า (Trade Relationships) การเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ของการส่งออก (Export Demand) ต้นทุนของธุรกิจและผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้น โดยการกลับมาของทรัมป์เป็นการส่งสัญญาณถึงการเพิ่มอัตราภาษีศุลกากร (Tariff) สำหรับสินค้านำเข้า การยกเลิกกฎระเบียบ (เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม) การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทที่ผลิตสินค้าในสหรัฐฯ และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายที่เคยกล่าวไว้ตอนหาเสียง โดยอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น การขยายตัวของ GDP สหรัฐฯ ที่ช้าลง และการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคและบริษัทผลิตอาหารในสหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยเงินเฟ้อจะเป็นแรงกดดันให้ผู้บริโภคพิจารณาถึงคุณค่าของสินค้ามากขึ้น มุ่งเน้นที่ความสะดวกสบาย เลือกบริโภคสินค้าที่เป็นแบรนด์ร้านค้าปลีก (Private Label) สินค้าหรูหราในราคาไม่แพง (Affordable Luxuries) และออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นครั้งคราว สำหรับความต้องการบริการด้านอาหาร (Food Service) คาดว่าจะฟื้นตัวช่วงกลางปี 2568 เนื่องจากสถานะการเงินผู้บริโภคเริ่มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคสหรัฐฯ จะยังคงเลือกซื้อสินค้าโดยเน้นที่คุณค่าของสินค้าต่อไป สำหรับบริษัทผลิตอาหารในสหรัฐฯ ที่พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ จะมีต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีกำไรลดลง บริษัทอาจต้องปรับส่วนประสมของผลิตภัณฑ์ (Product Mix)[1] ลดการนำเข้า เน้นใช้วัตถุดิบจากในสหรัฐฯ เป็นหลัก โดยเฉพาะบริษัทเล็กอาจปิดกิจการหรือควบรวมกิจการกับบริษัทขนาดใหญ่ สถานการณ์ดังกล่าวจะผลักดันให้บริษัทแสวงหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ อาทิ ปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ ลงทุนด้านเทคโนโลยี ซึ่งจะทำให้เกิดนวัตกรรมและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรม เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน การที่รัฐบาลทรัมป์จะเก็บภาษีกับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศในอัตรา 10-20% และสินค้าจากจีนที่สูงถึง 60% อาจส่งผลให้ประเทศที่ได้รับผลกระทบออกมาตรการตอบโต้ โดยสินค้าประมงและแปรรูปของสหรัฐฯ มักเป็นเป้าหมายหลักในการเก็บภาษีตอบโต้ ซึ่งเมื่อรวมกับการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จะส่งผลเชิงลบต่อการส่งออกสินค้าประมงและประมงแปรรูปของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ห่วงโซ่อุปทานปัจจัยการผลิตทางการเกษตรของสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากจีนมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเคมีเกษตร (Agrochemical Industry) ระดับโลก โดยการผลิตทั่วโลกกว่า 70% มีซัพพลายเชนที่เชื่อมโยงกับจีน (มีสัดส่วน 10% ของการส่งออกยูเรียทั่วโลก และสัดส่วน 15-25% ของการส่งออกฟอสเฟตทั่วโลก) ราคาเคมีเกษตรในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ผลกระทบต่อราคาปุ๋ยของสหรัฐฯ อาจอยู่ในระดับปานกลางหรือเป็นบวก เนื่องจากสหรัฐฯ มีการผลิตปุ๋ยในประเทศเพิ่มขึ้น จะเห็นได้ว่าสงครามการค้าส่งผลกระทบเชิงลบต่อการค้า แต่สินค้าเกษตรหลายชนิดถือเป็นสินค้าจำเป็น ประเทศต่าง ๆ ยังคงต้องการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหาร โดยจะเลือกนำเข้าตามความต้องการจากประเทศที่ให้ราคาดีที่สุด เช่น หากบราซิลมีผลผลิตถั่วเหลืองลดลงจากปัญหาสภาพภูมิอากาศ อาจส่งผลให้การส่งออกถั่วเหลืองของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น แม้ถั่วเหลืองนำเข้าจากสหรัฐฯ อาจมีภาษีนำเข้าที่สูงกว่าเนื่องจากมาตรการตอบโต้ของคู่ค้าก็ตาม ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีการส่งออกไปยังกว่า 190 ประเทศทั่วโลก สำหรับการตอบโต้จากจีน หากสหรัฐฯ เพิ่มภาษีสินค้านำเข้า จีนมีแนวโน้มที่จะตอบโต้โดยมุ่งที่สินค้ากลุ่มธัญพืชและพืชน้ำมัน โดยเฉพาะถั่วเหลือง (การส่งออกถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ไปจีน มีสัดส่วนถึง 51.2% ของมูลค่าการส่งออกถั่วเหลืองทั้งหมดของสหรัฐฯ) โดยในครั้งนี้ ผลกระทบต่อจีนจะไม่รุนแรงเท่าสงครามการค้ารอบที่แล้ว เนื่องจากจีนมีปริมาณสต็อกสำรองในประเทศเพิ่มขึ้น และผู้นำเข้าจีนอาจนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ล่วงหน้า ก่อนจะมีการขึ้นภาษี หรือเปลี่ยนไปนำเข้าถั่วเหลืองจากบราซิลทดแทนหากสงครามการค้าปะทุขึ้น ในส่วนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia: SEA) หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า 20% จะทำให้สินค้าที่นำเข้าจาก SEA มีต้นทุนสูงขึ้น โดยมีสินค้าเกษตรสำคัญที่สหรัฐฯ นำเข้าจากภูมิภาคนี้ เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว กาแฟ ยางพารา ข้าวหอมมะลิ และข้าวขาว อย่างไรก็ตาม คาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายังสหรัฐฯ จะค่อนข้างคงที่ เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่มีการผลิตสินค้าเกษตรเหล่านี้ในประเทศ และมีทางเลือกที่จำกัด ผอ. สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า สงครามการค้า Trump 2.0 ยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรของทรัมป์ แต่ไทยในฐานะผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก โดยมีจีนและสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับที่ 1 และ 2 ต้องติดตามสถานการณ์การค้า นโยบายที่สำคัญ รวมทั้งแนวโน้มการใช้มาตรการและการตอบโต้ของทั้งสหรัฐฯ จีน และประเทศต่าง ๆ ในอนาคตอย่างใกล้ชิด เพื่อแสวงหาโอกาสและเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อไป

น้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าคาด 1.3 ล้านบาร์เรล

น้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าคาด 1.3 ล้านบาร์เรล

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent +0.03%d-d ปิดที่ USD 72.83/barrel, น้ำมันดิบ West Texas - 0.07%d-d ปิดที่ USD 68.72/barrel หลัง EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าตลาดคาดลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล

ค่าเงินบาทวันนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.65บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.65บาท/ดอลลาร์

 หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 30.40-34.65บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง หลังเลขเงินเฟ้อพื้นฐานสหรัฐฯ (Core PCE) ออกมาที่ 3%MOM และ 2.8%YOY เท่าตลาดคาด ส่งผลให้ Treasury yields ปรับลดลงมาต่ำสุดนับตั้งแต่หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ ออกมาที่ 2%MOM ต่ำกว่าตลาดคาด และ GDP ไตรมาส 3 ออกมาที่ 2.8% เท่าตลาดคาด ธนาคารกลางเกาหลีใต้ ลดดอกเบี้ย 25% มาอยู่ที่ 3.0% พร้อมปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีหน้าเหลือ 1.9%

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.55-34.80บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.55-34.80บาท/ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.55-34.80บาท/ดอลลาร์ • ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบเมื่อวานนี้ แม้เผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าบ้างจากเลขส่งออกเดือน ตุลาคม ที่ออกมาที่ 14.6%YOY ดีกว่าตลาดคาดที่ 5.2% โดยเป็นผลจากการส่งออกทองคำและสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวสูง พร้อมปัจจัยฐานต่ำ • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐฯ เดือน พฤศจิกายน ปรับสูงขึ้นมาที่ 111.7 โดยเป็นผลจากความเชื่อมั่นในตลาดแรงงานและตลาดหุ้น • นายโจ ไบเดน แถลงว่าอิสราเอลและกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง ทำให้ราคาน้ำมันลดลง

บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดตัวกองทุน KKP EWUS500-UH เสนอขาย (IPO) วันที่ 27 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม นี้

บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดตัวกองทุน KKP EWUS500-UH เสนอขาย (IPO) วันที่ 27 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม นี้

          หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด (บลจ.เกียรตินาคินภัทร) เล็งเห็นโอกาสการลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกา ที่มีแนวโน้มเติบโตในหลากหลายอุตสาหกรรมจากคาดการณ์ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปีหน้า จึงเปิดเสนอขายกองทุนใหม่ ได้แก่ กองทุนเปิดเคเคพี US500 EQUAL WEIGHT- UNHEDGED (KKP EWUS500-UH) ประเภทไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน โดยมีกลยุทธ์การบริหารการลงทุนแบบเชิงรับ (Passive Management) มุ่งหวังให้ผลตอบแทนสอดคล้องไปกับดัชนี S&P 500 Equal Weight ที่มีรูปแบบการคำนวณน้ำหนักการลงทุนในหุ้นรายตัวด้วยวิธีถ่วงน้ำหนักเท่ากัน (Equal Weighting) และครอบคลุมการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำหนดการเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2567 ด้วยมูลค่าขั้นต่ำในการซื้อเพียง 1,000 บาท            นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นโลกตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 16% จากการที่เฟดเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยและเศรษฐกิจสหรัฐฯ รอดพ้นภาวะถดถอย ซึ่งทั้งสองปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้เติบโตต่อเนื่องไปในปีหน้า และส่งผลให้ผลประกอบการของหุ้นสหรัฐฯ ที่ไม่ใช่ หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 ตัวที่ทรงอิทธิพล หรือที่เรียกว่าหุ้น 7 นางฟ้า เช่น Apple Amazon และ Alphabet มีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นกว่าปีนี้ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่า P/E ของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 Equal Weight ในปีหน้าที่ระดับ 18.2 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีตย้อนหลัง 5 ปี และต่ำกว่า P/E ของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 ที่ 22.48 เท่าแล้ว ทำให้ KKPAM มองว่าการลงทุนในดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 Equal Weight มีความน่าสนใจในการลงทุน จึงได้นำเสนอกองทุนเปิดเคเคพี US500 EQUAL WEIGHT- UNHEDGED (KKP EWUS500-UH) แก่นักลงทุนไทยเพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุน สำหรับ กองทุน KKP EWUS500-UH ระดับความเสี่ยง 6 เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Feeder Fund มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก Invesco S&P 500 Equal Weight ETF ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม และไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (UNHEDGED) โดยกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้สอดคล้องกับดัชนี S&P 500 Equal Weight (ดัชนีอ้างอิง) ซึ่งวัดผลการดำเนินงานของตราสารทุนของบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ โดยดัชนี S&P 500 Equal Weight มีรูปแบบการคำนวณด้วยวิธีถ่วงน้ำหนักเท่ากัน (Equal Weighting) กล่าวคือ ให้น้ำหนักของแต่ละหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบในน้ำหนักที่เท่ากัน ลดการกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่ ช่วยกระจายการลงทุนและครอบคลุมการเติบโตของหลักทรัพย์ในหลากหลายอุตสาหกรรม ในขณะที่ดัชนี S&P 500 มีรูปแบบการคำนวณน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Weighting) ซึ่งจะมีน้ำหนักการลงทุนกระจุกตัวในหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่มากกว่า สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://am.kkpfg.com หรือบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร โทร 02 165 5555 หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง ข้อมูลกองทุน KKP EWUS500-UH : เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่าง วันที่ 27 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2567 มูลค่าขั้นต่ำในการซื้อครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งถัดไป 1,000 บาท คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุน KKP EWUS500-UH จะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ดังนั้น กองทุนจึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ โปรดศึกษาคำเตือนที่สำคัญอื่นและข้อมูลเพิ่มเติมได้ในหนังสือชี้ชวนส่วนข้อมูลกองทุนรวม https://am.kkpfg.com หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง

บล. Zcom ตอกย้ำความแข็งแกร่งทางการเงิน อนุมัติเพิ่มทุน 900 ล้านบาท

บล. Zcom ตอกย้ำความแข็งแกร่งทางการเงิน อนุมัติเพิ่มทุน 900 ล้านบาท

                     หุ้นวิชั่น - บล. Zcom ตอกย้ำความแข็งแกร่งทางการเงิน อนุมัติเพิ่มทุน 900 ล้านบาท  นายประกฤต ธัญวลัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“บล. Zcom”) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 12/2567 เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนและชำระแล้วจำนวน 900 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัทฯ ทั้งนี้ บล. Zcom ได้ดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์แล้วเสร็จในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 โดยทุนจดทะเบียนและชำระแล้วของบริษัทภายหลังการเพิ่มทุน เพิ่มขึ้นจาก 3,879,999,993.60 บาท เป็นทุนจดทะเบียนและชำระแล้วจำนวน 4,779,999,984.00 บาท คณะกรรมการบริษัทฯเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในธุรกิจหลักทรัพย์ไทยได้

บลจ. เอ็กซ์สปริง ผนึกกำลังพันธมิตรระดับโลก GlobalData TS Lombard

บลจ. เอ็กซ์สปริง ผนึกกำลังพันธมิตรระดับโลก GlobalData TS Lombard

           หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด (XSpring Asset Management) ลงนามความร่วมมือกับ บริษัท โกลบอลดาต้า ทีเอส ลอมบาร์ด (GlobalData TS Lombard) บริษัทวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์และการลงทุนระดับโลก เพื่อยกระดับการให้บริการลูกค้าในการแนะนำผลิตภัณฑ์การลงทุนของกองทุนที่ทันต่อสถานการณ์ ภายใต้แนวคิด “Your Trusted Partner in an Evolving Financial World” ผสานจุดแข็งของสององค์กร ทั้งความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน และข้อมูลด้านการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคเชิงลึกทั่วโลก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ของนักลงทุนให้ดียิ่งขึ้น ติดอาวุธการลงทุนให้ลูกค้าครบทุกมิติ เพื่อสร้างการเติบโตให้พอร์ตลงทุน ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนยุคใหม่             นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ GlobalData TS Lombard พันธมิตรที่แข็งแกร่งด้านการวิจัยเศรษฐศาสตร์และการลงทุนระดับโลก ที่มุ่งให้คำแนะนำการลงทุนตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับการลงทุนของกองทุนทั้งในปัจจุบันและอนาคต ด้วยการใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์ที่ทันสมัยจะช่วยยกระดับมาตรฐานในการให้บริการของบริษัทและความรู้ด้านการลงทุนกับลูกค้าครบทุกมิติมากขึ้น ตลอดจนได้รับข้อมูลที่เจาะลึก นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารการลงทุนที่ครอบคลุมและสามารถตัดสินใจเลือกสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาวะที่ตลาดผันผวน นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถขยายโอกาสทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาบริการให้กับลูกค้า ทั้งในเรื่องการเข้าถึงข้อมูล บทวิเคราะห์ กลยุทธ์การลงทุน รวมถึงคำแนะนำลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้อย่างทันที ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในการบริหารพอร์ตให้เติบโต” ทางด้าน บริษัท โกลบอลดาต้า ทีเอส ลอมบาร์ด กล่าวเสริมว่า “เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ บลจ. เอ็กซ์สปริง เพื่อส่งมอบการวิเคราะห์และกลยุทธ์การลงทุนระดับโลกให้กับ บลจ.เอ็กซ์สปริงในการให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้นักลงทุนของ บลจ. เอ็กซ์สปริง สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของตลาดทุนได้อย่างมั่นใจและมีข้อมูลที่พร้อมสำหรับทุกการตัดสินใจ” ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายโอกาสให้กับลูกค้าของ บลจ. เอ็กซ์สปริง ได้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ของกองทุนครอบคลุมทุกมิติ เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในทุกสภาวะของตลาด [PR News]

สถานการณ์แนวโน้ม ราคาน้ำมันวันที่ 25 - 29 พ.ย. 67

สถานการณ์แนวโน้ม ราคาน้ำมันวันที่ 25 - 29 พ.ย. 67

          หุ้นวิชั่น - จากสถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 18 – 22 พ.ย. 67 และแนวโน้มสัปดาห์วันที่ 25 - 29 พ.ย. 67 ตารางราคาน้ำมันเฉลี่ยรายสัปดาห์ [เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ] ตลาดจับตาสงครามรัสเซีย-ยูเครนเสี่ยงยกระดับเป็นสงครามโลก หลังสหรัฐฯ และอังกฤษอนุญาตให้ใช้ขีปนาวุธ วันที่ 23 พ.ย. 67 รมว.กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส นาย Jean-Noël Barrot แถลงอนุญาตให้ยูเครนสามารถใช้ขีปนาวุธ SCALP-EG ของฝรั่งเศส (ระยะการยิง 500 กม.) โจมตีรัสเซียเพื่อป้องกันตัว หลังรัฐบาลสหรัฐฯอนุญาตให้ใช้ขีปนาวุธ Army Tactical Missile System (ATACMS) ซึ่งมีระยะการยิง 300 กม. และรัฐบาลอังกฤษอนุญาตให้ใช้ขีปนาวุธ Strom Shadow ซึ่งมีระยะการยิง 250 กม. วันที่ 21 พ.ย. 67 ประธานาธิบดีรัสเซีย นาย Vladimir Putin แถลงว่ารัสเซียตอบโต้ยูเครนด้วยขีปนาวุธ Oreshnik ซึ่งเป็นขีปนาวุธพิสัยปานกลาง (Intermediate-Range Ballistic Missile - IRBM) ระยะการยิง 3,000 – 5,500 กม. โจมตีเมือง Dnipro ประเทศยูเครน นอกจากนี้ นาย Putin กล่าวตักเตือนชาติตะวันตกว่าการอนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธของชาติตะวันตกนั้นจะถือว่าเป็นคู่ขัดแย้งกับรัสเซียโดยตรง และอาจทำให้สงครามระดับภูมิภาคขยายเป็นสงครามโลก วันที่ 20 พ.ย. 67 ธนาคารแห่งชาติของจีน(People's Bank of China: PBOC) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้าชั้นดี (Loan Prime Rate: LPR) ระยะเวลา 1 ปีอยู่ที่ 1% และ 5 ปีอยู่ที่ 3.6% วาณิชธนกิจ Goldman Sachs คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ Brent เฉลี่ยปี 2568 อยู่ที่ 76 เหรียญต่อบาร์เรล (คงเดิมจากคาดการณ์ในเดือน ต.ค. 67) โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 70-85 เหรียญต่อบาร์เรล หลังคาดว่าอุปทานน้ำมันดิบโลกในปี 2568 มากกว่าอุปสงค์ (Surplus) อยู่ที่ 400,000 บาร์เรลต่อวัน

KSS ราคาน้ำมันมีสัญญาณบวก การบิน ก่อสร้าง โรงไฟฟ้า รับอานิสงส์

KSS ราคาน้ำมันมีสัญญาณบวก การบิน ก่อสร้าง โรงไฟฟ้า รับอานิสงส์

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาดน้ำมันดิบ Brent -2.87% d-d ปิดที่ USD 73.01/barrel, น้ำมันดิบ West Texas -3.23%d-d ปิดที่ USD 68.94/barrel แรงกดดันมาจากตลาดคลายกังวลความตึงเครียดในตะวันออกลางมีสัญญาณบวก ล่าสุด เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำสหรัฐอเมริกา เผยใกล้ว่า อิสราเอลใกล้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่ม Anticommodity อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง TASCO กลุ่มสายการบิน AAV กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, GPSC

สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบ-เบนซินสูงกว่าคาด

สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบ-เบนซินสูงกว่าคาด

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent -0.29%d-d ปิดที่ USD 73.1/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.71%d-d ปิดที่ USD 68.75/barrel รับสหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด ผสานกับสถานการณ์รัสเซีย - ยูเครนไม่ได้มีความรุนแรงใหม่

ดีเดย์ “กองทรัสต์ WHAIR”  เปิดให้ผู้ถือหน่วยเดิมจองซื้อ

ดีเดย์ “กองทรัสต์ WHAIR” เปิดให้ผู้ถือหน่วยเดิมจองซื้อ

          ตอกย้ำการเป็นกองรีทกลุ่มอุตสาหกรรม สำหรับทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล “WHAIR”  ชูความโดดเด่นและศักยภาพในทรัพย์สินหลักที่จะลงทุนเพิ่มเติม ครั้งที่ 5 มูลค่ารวมประมาณ 1,064.75 ล้านบาท ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมของ WHA Group บนพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นทำเลของจุดยุทธศาสตร์หลักสำหรับอุตสาหกรรมและการผลิตของประเทศ เสริมด้วยปัจจัยบวกจากการย้ายฐานการผลิต และ การเติบโตของ FDI ในพื้นที่โซน EEC  สะท้อนถึงอัตราการเช่าพื้นที่ของทรัพย์สินที่ WHAIR ลงทุนในปัจจุบันและทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้งานนี้ “นางสาวจารุชา สติมานนท์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ WHAIR ออกมาประกาศว่า ประมาณการอัตราเงินจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนปีแรก (Dividend Yield) ภายหลังการลงทุนเพิ่มเติม ในครั้งนี้ สูงถึง 8.33%  พร้อมทั้งยังผลักดันให้กองทรัสต์มีมูลค่าทรัพย์สินรวมสูงกว่า 14,000 ล้านบาท           ทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมจองซื้อได้ระหว่างวันที่ 18 – 22 พฤศจิกายน 2567 โดย จองซื้อที่ราคาเสนอขายสูงสุด 6.60 บาทต่อหน่วย ผ่านธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)  ส่วนประชาชนทั่วไปสามารถจองซื้อได้ระหว่างวันที่ 26 – 28 พฤศจิกายน 2567 ผ่าน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ที่ได้รับการแต่งตั้ง ได้แก่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด โดยจองซื้อที่ราคาเสนอขายสุดท้าย (ซึ่งจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง)           และยังแอบกระซิบว่า ในช่วงนี้ที่ดัชนีราคาของ Property Fund & REIT เริ่มทยอยปรับตัวขึ้นยิ่งเป็นจังหวะที่ดี ในการมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ  WHAIR  กองรีทที่มีผลงานคุณภาพดีให้ผลตอบแทน จากการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ได้ยินแบบนี้แล้วหากนักลงทุนพลาดการลงทุนกองรีทที่มีคุณภาพในช่วงดอกเบี้ยขาลง บอกได้คำเดียวว่าตกขบวนการลงทุนแน่นอน

หุ้นไทยรับ 6 DRx ใหม่ อ้างอิงหุ้นสหรัฐฯ เทรด 18 พ.ย.นี้

หุ้นไทยรับ 6 DRx ใหม่ อ้างอิงหุ้นสหรัฐฯ เทรด 18 พ.ย.นี้

          ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับจดทะเบียน DRx 6 หลักทรัพย์ใหม่อ้างอิงหุ้นสหรัฐฯ “AMD80X” “AVGO80X” “ESTEE80X” “MA80X” “NIKE80X” และ “VISA80X” ออกโดยธนาคารกรุงไทย เริ่มซื้อขาย 18 พ.ย. นี้           DRx จำนวน 6 หลักทรัพย์ใหม่อ้างอิงหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สำคัญในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ “AMD80X” อ้างอิงหุ้น Advanced Micro Devices Inc (AMD) บริษัทผู้ผลิต semiconductors เช่น CPU และ GPU สำหรับคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์เกม “AVGO80X” อ้างอิงหุ้น Broadcom Inc (AVGO) ผู้นำในตลาด semiconductors เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเครือข่ายและการสื่อสาร “ESTEE80X” อ้างอิงหุ้น Estee Lauder Companies, Inc. (EL) บริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์บำรุงผม และน้ำหอม แบรนด์ภายใต้บริษัท อาทิ Estee Lauder, Jo Malone, La Mer และ Tom Ford Beauty “MA80X” อ้างอิงหุ้น Mastercard Incorporated (MA) ผู้นำในตลาดการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตทั่วโลก “NIKE80X” อ้างอิงหุ้น Nike Inc. (NKE) บริษัทผู้ผลิตและออกแบบผลิตภัณฑ์กีฬา เช่น รองเท้า เสื้อผ้า และอุปกรณ์ต่าง ๆ “VISA80X” อ้างอิงหุ้น Visa Inc. (V) ผู้นำในตลาดการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตทั่วโลก           ทั้งนี้ DRx ใหม่ทั้ง 6 หลักทรัพย์จะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป           DRx เป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt หรือ DR) ประเภทหนึ่งที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์เสมือนการถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศ ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินบาท ผู้สนใจศึกษารายละเอียด DRx ได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th หรือบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) www.krungthai.com หรือศึกษาผลิตภัณฑ์ DRx เพิ่มเติมได้ที่ www.setinvestnow.com

บลจ.เอ็กซ์สปริง เปิดตัวกองทุน X-PEGINFRA-UI  เสนอขาย 1 ถึง 29 พ.ย.67 ลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บ.

บลจ.เอ็กซ์สปริง เปิดตัวกองทุน X-PEGINFRA-UI เสนอขาย 1 ถึง 29 พ.ย.67 ลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บ.

          บลจ.เอ็กซ์สปริง เปิดตัวกองทุน X-PEGINFRA-UI ซึ่งเป็นกองทุนเปิดโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกครั้งแรกในประเทศไทย ที่ร่วมมือกับ Macquarie Asset Management ผู้นำด้านการจัดการสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานระดับโลก กองทุนนี้ออกแบบมาเพื่อนักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษที่มองหาผลตอบแทนที่มั่นคงและการเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนในระยะยาว โดยเปิดเสนอขายเป็นตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 29 พฤศจิกายน ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท ก้าวสำคัญในวิวัฒนาการการลงทุนของไทย สนับสนุนด้วยความเชี่ยวชาญระดับโลก           นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด (XAM) กล่าวว่า "การร่วมมือกับ Macquarie Asset Management เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนไทยเข้าถึงสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญระดับโลกและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว X-PEGINFRA-UI มุ่งเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหลัก เช่น พลังงานสะอาด การขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่สนับสนุนความมั่นคงทางเศรษฐกิจและมีศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืน"           Macquarie Asset Management ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในโครงการนี้ ได้รับการยอมรับในด้านความเชี่ยวชาญในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Macquarie Group สถาบันการเงินชั้นนำระดับโลกที่มีสำนักงานตั้งอยู่ทั่วโลก และมีประสบการณ์กว่า 30 ปีในการบริหารสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน โดยได้รับมอบความไว้วางใจจากสถาบัน รัฐบาล มูลนิธิ และบุคคลทั่วไปให้บริหารสินทรัพย์มากกว่า 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  โอกาสการลงทุนที่มั่นคงท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ           X-PEGINFRA-UI มุ่งเน้นการสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอโดยมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นทั่วไป ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น โครงการพลังงานสะอาด การขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ Macquarie Asset Management มีความเชี่ยวชาญในการคัดสรรและบริหารจัดการเพื่อสร้างความมั่นคงสูงสุด โอกาสการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทย           X-PEGINFRA-UI เปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษในประเทศไทยมีส่วนร่วมในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่มีความยืดหยุ่นสูง ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินปัจจุบัน การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงจะสามารถเป็นตัวป้องกันเงินเฟ้อและสร้างศักยภาพการเติบโตในระยะยาว           "กองทุนนี้เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนไทยมีส่วนร่วมในโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ภายใต้ความเชี่ยวชาญของ Macquarie Asset Management ที่มีชื่อเสียงระดับโลกด้านการบริหารสินทรัพย์ประเภทดังกล่าว" นายยศกร กล่าวเพิ่มเติม           X-PEGINFRA-UI เปิดเสนอขายตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 29 พฤศจิกายน 2567 ด้วยการลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท นักลงทุนที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.xspringam.com หรือติดต่อ XSpring Asset Management ที่หมายเลข 02-030-3730 และสามารถซื้อผ่านตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุนกองทุนรวม (Selling Agent) ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ชั้นนำทั่วประเทศ           คำเตือน: กองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนนี้ในช่วง 3 ปี 3 เดือน ดังนั้น หากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ กองทุน X-PEGINFRA-UI ไม่ถูกจำกัดความเสี่ยงด้านการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไป และมีการลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกและกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รับผลขาดทุนระดับสูงได้เท่านั้น               ในเอกสารฉบับนี้ Macquarie Bank Limited ABN 46 008 583 542 (“Macquarie Bank”) มีสถานะเป็นสถาบันรับฝากเงินที่ได้รับอนุญาตตามวัตถุประสงค์ของ Banking Act ค.ศ. 1959 (ประเทศออสเตรเลีย) โดยหน่วยงานอื่นภายใต้ Macquarie Group มิได้มีสถานะเป็นสถาบันรับฝากเงินในลักษณะดังกล่าว  ทั้งนี้ ภาระผูกพันของหน่วยงานอื่นภายใต้ Macquarie Group มิได้ถือเป็นเงินฝากหรือภาระหนี้สินของ Macquarie Bank และ Macquarie Bank มิได้รับรองหรือให้การรับประกันเกี่ยวกับภาระผูกพันของหน่วยงานอื่นภายใต้ Macquarie Group  นอกจากนี้ หากเอกสารฉบับนี้มีความเกี่ยวข้องกับการลงทุน (1) ผู้ลงทุนอาจได้รับความเสี่ยงด้านการลงทุน (investment risk) ซึ่งรวมถึงความล่าช้าในการชำระเงินลงทุนคืน และการสูญเสียผลกำไรหรือเงินต้น และ (2) Macquarie Bank หรือหน่วยงานอื่นภายใต้ Macquarie Group มิได้รับประกันอัตราผลตอบแทนหรือผลการดำเนินงานในการลงทุน และมิได้รับประกันการชำระคืนเงินต้นสำหรับการลงทุนดังกล่าว           โปรดทราบว่า เอกสารฉบับนี้มิได้จัดทำหรือรับรองโดย Macquarie หรือหน่วยงานอื่นภายใต้ Macquarie Group เอกสารฉบับนี้จัดทำโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด ซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการกองทุนเปิดเอ็กซ์สปริง ไพรเวทอิควิตี้ โครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย

คริปโตหลังเลือกตั้ง จุดเปลี่ยนการเงินโลกยุคใหม่

คริปโตหลังเลือกตั้ง จุดเปลี่ยนการเงินโลกยุคใหม่

           การทะยานขึ้นของราคาบิทคอยน์สู่ระดับสูงสุดใหม่ที่เกินระดับ 88,000 ดอลลาร์หลังการเลือกตั้งขั้นต้นในสหรัฐฯ ไม่เพียงสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ยังเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการเงินโลก ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนทางการเมืองและนโยบายที่กำลังส่งผลกระทบในวงกว้าง จุดเปลี่ยนสำคัญของนโยบายและการยอมรับ            "การเคลื่อนไหวของตลาดในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของราคา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จะกำหนดอนาคตของระบบการเงินโลก เราเห็นการหลอมรวมระหว่างการเงินแบบดั้งเดิมและดิจิทัลที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากนโยบายและการยอมรับในระดับสถาบัน"            การปรับเปลี่ยนทีมงานด้านนโยบายคริปโตของทรัมป์ล่าสุด สะท้อนวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนต่ออนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัล "การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ส่งสัญญาณถึงการยอมรับบทบาทของคริปโตในระดับนโยบาย เราคาดว่าจะเห็นการพัฒนากรอบกฎหมายและกฎระเบียบที่เอื้อต่อนวัตกรรมมากขึ้น โดยยังคงให้ความสำคัญกับการคุ้มครองนักลงทุนและเสถียรภาพของระบบ" การเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศการเงิน            การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ราคาของสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ยังรวมถึงการปรับตัวครั้งใหญ่ของสถาบันการเงินทั่วโลก "เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นเต้นในระบบนิเวศการเงิน สถาบันการเงินกำลังปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าและโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น"            การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี การสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในภาคการเงิน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในระบบการเงินโดยรวม ผลกระทบต่อตลาดทุนโลก            การเปลี่ยนแปลงของตลาดคริปโตกำลังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อโครงสร้างตลาดทุนโลก การทะยานขึ้นของราคาบิทคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ราคา แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในระบบการเงินโลก "เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งในพฤติกรรมของนักลงทุนสถาบัน ที่เริ่มมองคริปโตเป็นส่วนสำคัญของพอร์ตการลงทุนระยะยาว"            ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน เราเห็นการเติบโตของเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ETF ที่อิงกับสินทรัพย์ดิจิทัล การพัฒนาตราสารอนุพันธ์ และผลิตภัณฑ์ structured products ที่ผสมผสานระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลกับสินทรัพย์แบบดั้งเดิม "นวัตกรรมทางการเงินเหล่านี้จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและประสิทธิภาพของตลาด" อนาคตของตลาดการเงินดิจิทัล            การบูรณาการระหว่างตลาดการเงินแบบดั้งเดิมและดิจิทัลกำลังเร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการชำระเงิน และการบริหารความเสี่ยง สถาบันการเงินชั้นนำทั่วโลกกำลังลงทุนอย่างมหาศาลในเทคโนโลยีบล็อกเชนและระบบดิจิทัล เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล            "อนาคตของตลาดทุนจะเป็นการผสมผสานระหว่างระบบดั้งเดิมและดิจิทัลอย่างไร้รอยต่อ" การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการจัดสรรเงินทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่อาจได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ง่ายขึ้น การลดต้นทุนธุรกรรม และการเพิ่มประสิทธิภาพในการระดมทุน บทสรุป: จุดเปลี่ยนของระบบการเงินโลก            การทะยานขึ้นของราคาคริปโตหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นมากกว่าปรากฏการณ์ทางตลาด แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการเงินโลก การผสมผสานระหว่างนโยบายที่เอื้อประโยชน์ การยอมรับจากสถาบัน และการพัฒนาเทคโนโลยี กำลังสร้างรากฐานสำหรับระบบการเงินยุคใหม่            "เรากำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่สำคัญ การเติบโตของตลาดคริปโตไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของราคา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในวิธีที่เราจัดการและเข้าถึงบริการทางการเงิน การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจโลก และจะกำหนดอนาคตของระบบการเงินในทศวรรษหน้า" โดย คุณนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กัลฟ์ ไบแนนซ์

บลจ.ดาโอ เปิดขายกองทุน DAOL-TAIWANEQ รับการโตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไต้หวัน

บลจ.ดาโอ เปิดขายกองทุน DAOL-TAIWANEQ รับการโตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไต้หวัน

          “บลจ.ดาโอ” ชี้ เศรษฐกิจไต้หวันโดดเด่นจากอุตสาหรรมเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ที่มีส่วนสำคัญใน Supply Chain ของโลก หนุนกำไรตลาดเติบโต เป็นจังหวะลงทุน เปิดขาย ‘กองทุนเปิด ดาโอ ไต้หวัน อิควิตี้ (DAOL-TAIWANEQ)’ 14-20 พฤศจิกายน 2567  โอกาสสร้างรับผลตอบแทนจาก Mega Trends ใน AI”           คุณมนชญา รัชตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด หรือ บลจ.ดาโอ (DAOL INVESTMENT MANAGEMENT) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไต้หวันยังเติบโตได้ดี โดยธนาคารกลางไต้หวันคาดการณ์การเติบโตของ Real GDP ในปี 2024 อยู่ที่ 3.82% เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน และคาดการณ์ปี 2025 จะเติบโตที่ 3.08% ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว (GDP per Capita) ของไต้หวันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และคาดว่าจะแซงหน้าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ภายในปีนี้           ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไต้หวัน จะมาจากการพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้มีศักยภาพในการประมวลผลที่สูงขึ้น และการเติบโตอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่คาดว่า จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก 5.27 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 เป็นมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 โดยมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ 5-6% ซึ่งไต้หวันมีส่วนแบ่งตลาดระดับโลกในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ด้านการผลิตชิป (Foundry) อยู่สูงถึง 78%, และมากกว่า 50% ในด้านการบรรจุและทดสอบชิป (IC Packaging and Testing) และมากกว่า 20% ในด้านการออกแบบชิป (IC Design)           นอกจากนี้ ไต้หวันยังมีการลงทุนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์มากกว่า 7.16 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาความสามารถในการประมวลผลของชิปให้สูงขึ้น โดยโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เป็นบริษัทของไต้หวันนั้น คือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company Limited (TSMC) ผู้ผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์อันดับ 1 ของโลก และเป็นผู้นำตลาดด้านการผลิตชิปขั้นสูง โดยปัจจุบัน TSMC เป็นเพียงบริษัทเดียวของโลกที่สามารถผลิตชิปขนาดเล็กที่สุด 3 nm และยังมีแผนการพัฒนาที่จะผลิตชิป 2 nm ภายในปี 2025 ซึ่งจะทำให้มีความสามารถในการทิ้งห่างคู่แข่ง และยากที่จะเลียนแบบได้           นอกจากนั้น ไต้หวันยังมีบริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์  ซึ่งเป็นที่ต้องการในกลุ่มอุปกรณ์สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ขณะที่เทรนด์ของเทคโนโลยี อย่างช่น Internet of Things ,5G , AI และรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) จะยังคงสนับสนุนแนวโน้มการเติบโตนี้ต่อไป           ด้านภาคการส่งออกของไต้หวัน ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไอที ยังเป็นสินค้าส่งออกหลัก ซึ่งกว่า 40% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด เป็นสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ที่ไต้หวันส่งออกให้คู่ค้าหลักอย่างจีน สหรัฐอเมริกา และประเทศในกลุ่มอาเซียน ส่งผลบวกต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกในระยะยาว และส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไต้หวัน           ด้วยเศรษฐกิจไต้หวันที่ยังมีความสามารถในเติบโตสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไต้หวันมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี TWSE มีผลกำไรที่โดดเด่นถึง 35% แซงหน้าตลาดหุ้นหลักในเอเชียทั้งหมด และทำผลงานได้ดีกว่า S&P500 และ Nasdaq 100 ของสหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน           บลจ.ดาโอ มองเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนในตลาดหุ้นไต้หวัน จึงขอแนะนำ กองทุนเปิด ดาโอ ไต้หวัน อิควิตี้ (DAOL-TAIWANEQ) เปิดเสนอขายวันที่ วันที่ 14-20 พฤศจิกายน 2567 (ความเสี่ยงระดับ 6 : ความเสี่ยงสูง) ลงทุนตรงผ่าน iShares MSCI Taiwan ETF (EWT US) ซึ่งเป็น ETF บนตลาด NYSE ARCA ที่บริหารโดย BlackRock, Inc. บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่สุดในโลกและเป็นผู้นำในตลาด ETF มายาวนานกว่า 20 ปี กองทุนมีการลงทุนตามดัชนี MSCI Taiwan 25/50 ในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางหลากหลายกลุ่มธุรกิจตามการเติบโตของเศรษฐกิจไต้หวัน รายชื่อหุ้นบริษัทชั้นนำที่ลงทุน 1.)TAIWAN SEMICONDUCTOR MANUFACTURING 2.)HON HAI PRECISION INDUSTRY LTD 3.)MEDIATEK INC 4.)FUBON FINANCIAL HOLDING LTD 5.)QUANTA COMPUTER INC 6.)DELTA ELECTRONICS INC 7.)CTBC FINANCIAL HOLDING LTD 8.)CATHAY FINANCIAL HOLDING LTD 9.)UNITED MICRO ELECTRONICS CORP 10.)ASE TECHNOLOGY HOLDING LTD           “ด้วยกลยุทธ์แบบ Full Replication เพื่อให้พอร์ตลงทุนออกมาใกล้เคียงกับดัชนีที่สุด ทำให้กองทุน iShares MSCI Taiwan ETF ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 36.51% ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 5.87% ย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 16.36% และย้อนหลัง 10 ปีอยู่ที่ 11.19% (ข้อมูล BlackRock ณ วันที่ 30 กันยายน 2567)”           ปัจจุบันราคาของตลาดหุ้นไต้หวันมีความน่าสนใจ ด้วย Forward PE ของตลาดไต้หวันอยู่ที่ระดับ 17 เท่า ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอินเดีย ขณะที่กำไรปี 2024 และ 2025 มีแนวโน้มเติบโตดี จากเศรษฐกิจไต้หวันที่ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งคาดว่า จะเติบโตมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 ‘กองทุนเปิด ดาโอ ไต้หวัน อิควิตี้’ จึงเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนที่เป็น Mega Trends ใน AI ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 90% ในชิปขั้นสูง” คุณมนชญา กล่าว           สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมพร้อมรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนดาโอ จำกัด (บลจ.ดาโอ) โทรศัพท์ 02-351-1800 กด 2 หรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อหน่วยลงทุน ของ บลจ. ดาโอ  คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต เนื่องจากกองทุนมีการลงทุนในต่างประเทศและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน โดยป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้  ที่มา Asian Development Outlook (ADO) September 2024 IMF as of August 2024 WSTS (Historical and 2024 Forecast Data), A&M (Projection), as of September 2024 Chip shortages: a 5nm European fab is not the answer’, Yole Group, as of September 2024 Taiwan International Trade Administration, as of September 2024 Bloomberg, as of 15 August 2024 [PR News]

ICHI ฟันกำไร 357.3 ลบ. พร้อมปันผล 0.60 บาทต่อหุ้น

ICHI ฟันกำไร 357.3 ลบ. พร้อมปันผล 0.60 บาทต่อหุ้น

          หุ้นวิชั่น - นางอิง ภาสกรนที  รองกรรมการผู้อำนวยการ  บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI แจ้งรายได้ ไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 2,141.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.3 ล้านบาท หรือเท่ากับ 3.1% จาก ช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 2,076.6 ล้านบาท โดยยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น 6.5% จากการเติบโตของกลุ่มตลาดชาพร้อมดื่ม ชาสมุนไพรและน้ำด่าง ส่วนยอดขายต่างประเทศลดลง 36.0% เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาท และปัญหากำลังซื้อภายในของประเทศคู่ค้า สำหรับรายได้จากการขายงวด 9 เดือนปี 2567 และ ปี 2566 เท่ากับ 6,586.3 ล้านบาท และ 5,938.9 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 647.4 ล้านบาท หรือเท่ากับ 10.9% โดยยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น 14.2% จากการเติบโตของกลุ่มตลาดชาพร้อมดื่ม ชาสมุนไพร และน้ำด่าง ส่วนยอดขายต่างประเทศลดลง 23.3% เนื่องจากการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตสินค้า OEM เพื่อส่งออกในไตรมาส 2 การแข็งค่าของเงินบาทในไตรมาส 3 และปัญหากำลังซื้อภายในของประเทศคู่ค้า ต้นทุนขาย           ต้นทุนขายของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2567 เท่ากับ 1,591.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนต้นทุนขายต่อรายได้จากการขายเท่ากับ 74.3% โดยต้นทุนขายในงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 1,554.0 ล้านบาทหรือคิดเป็น 74.8% ของรายได้จากการขาย บริษัทฯ มีอัตราส่วนต้นทุนขายลดลงเล็กน้อย สำหรับต้นทุนขายงวด 9 เดือนปี 2567 และ ปี 2566 เท่ากับ 4,868.8 ล้านบาท และ 4,569.6 ล้านบาทตามลำดับ หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้จากการขาย 73.9% และ 76.9% ตามลำดับ โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนต้นทุนขายลดลงจากการผลิตสินค้าที่มากขึ้นตามความต้องการของตลาด (Economy of Scale) การปรับสูตรการลดน้ำตาลในบางกลุ่มผลิตภัณฑ์ และราคาวัตถุดิบกลุ่มบรรจุภัณฑ์ปรับตัวลดลง ค่าใช้จ่ายในการบริหาร           ค่าใช้จ่ายในการบริหารของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2567 และ ไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 42.0 ล้านบาท และ 35.8 ล้านบาทตามลำดับ โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อยอดขาย เท่ากับ 2.0% และ 1.7% ตามลำดับ ค่าใช้จ่ายในการบริหารมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สำหรับงวด 9 เดือนของปี 2567 และ ปี 2566 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการบริหาร เท่ากับ 148.7 ล้านบาท และ 119.0 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.3% และ 2.0% ของรายได้จากการขายตามลำดับ ค่าใช้จ่ายในการบริหารมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ต้นทุนทางการเงิน           ต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ ไตรมาส 3/2567 และไตรมาส 3/2566 มีจำนวน 0.4 ล้านบาท และ 0.5 ล้านบาท ตามลำดับ ต้นทุนทางการเงินเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย           สำหรับต้นทุนทางการเงินงวด 9 เดือนปี 2567 และปี 2566 มีจำนวน 1.2 ล้านบาท และ 1.4 ล้านบาทตามลำดับ ต้นทุนทางการเงินเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้า           ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2567 และ ไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 0.9 ล้านบาท และ 1.6 ล้านบาท ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนลดลง 0.7 ล้านบาท เนื่องจากมีการใช้งบสื่อสารทางการตลาด           สำหรับงวด 9 เดือนของ ปี 2567 และปี 2566 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าของบริษัทฯ เท่ากับ 13.7 ล้านบาท และ 12.1 ล้านบาท โดยส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาท เนื่องจากการควบคุมค่าใช้จ่ายทางการตลาด การปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ กำไรสุทธิ           กำไรสุทธิของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2567 และ ไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 357.3 ล้านบาท และ 328.0 ล้านบาท หรือ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิของรายได้จากการขาย เท่ากับ 16.7% และ 15.8% ตามลำดับ กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 29.3 ล้านบาท หรือเท่ากับ 8.9%           สำหรับกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 เท่ากับ 1,099.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 16.7% กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่เท่ากับ 805.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 13.6% ของรายได้จากการขาย กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 294.6 ล้านบาทหรือเท่ากับ 36.6%           ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีการอนุมัติการจ่ายเงินปันผล อัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.60 บาทต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) : 22 พ.ย. 2567 และวันที่จ่ายปันผล 06 ธ.ค. 2567           บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ขอเรียนให้ทราบว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ได้มีมติอนุมัติให้เลิกกิจการ บริษัท อิชิตัน เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางตรงในสัดส่วนร้อยละ 100 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป และจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนเลิกกิจการและชำระบัญชีให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดต่อไป โดยการเลิกกิจการของบริษัทย่อยดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของบริษัทฯ แต่อย่างใด เนื่องจากปัจจุบันบริษัทย่อยดังกล่าวไม่ได้ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว

กองทรัสต์ KTBSTMR เตรียมจ่ายผลตอบแทน Q3/67 ย้ำสินทรัพย์คุณภาพแข็งแกร่ง

กองทรัสต์ KTBSTMR เตรียมจ่ายผลตอบแทน Q3/67 ย้ำสินทรัพย์คุณภาพแข็งแกร่ง

           นายพลสิทธิ ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดาโอ รีท แมเนจเมนท์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ‘DAOL REIT’  ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์  เปิดเผยว่า ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เคทีบีเอสที มิกซ์ หรือ ‘KTBSTMR’ ได้พิจารณาจ่ายประโยชน์ตอบแทนไตรมาสที่ 3 ปี 2567 สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 – 30 กันยายน 2567 ในอัตรา 0.1760 บาทต่อหน่วยทรัสต์ เป็นเงินประมาณ 53.06 ล้านบาท หรือ คิดเป็นอัตราเงินจ่ายประโยชน์ตอบแทนแบบปรับปรุงเต็มปี (Annualized) ที่ประมาณ 7.0%/1 เมื่อเทียบกับราคาพาร์ (ที่ 10.00 บาท/หน่วย) และคิดเป็นประมาณ 10.53%/2 เมื่อเทียบกับราคาตลาด (ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ที่ 6.65 บาท/หน่วย)            โดยการจ่ายผลตอบแทนไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ยังสะท้อนถึงการบริหารสินทรัพย์ที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ทำให้ DAOL REIT กำหนดจ่ายประโยชน์ตอบแทนในวันที่ 6 ธันวาคม 2567 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหน่วยที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ตอบแทน (Record Date) ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567            ทั้งนี้ ทรัพย์สินทุกโครงการมีผลประกอบการที่ดีสม่ำเสมอ ส่งผลให้กองทรัสต์มีรายได้สูง แม้ว่าปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในอัตราที่สูง โดยเมื่อพิจารณาข้อมูลในส่วนของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทรัสต์ล่าสุด (ณ วันที่ 30 กันยายน 2567) จะมีมูลค่าต่อหน่วยถึง 10.3389 บาท ซึ่งมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้จัดการกองทรัสต์ มีแผนการเข้าลงทุนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสรรหาทรัพย์สินที่มีศักภาพในการเติบโตของรายได้  เพื่อสร้างกระแสรายได้ของกองทรัสต์ให้สูงขึ้น และมีการเน้นพัฒนาโครงการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม  โดยมีการเริ่มติดตั้งการใช้พลังงานทดแทน อย่างการติดตั้งระบบ Solar energy ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการดำเนินการของกองทรัสต์            “ด้วยการบริหารที่คำนึงถึงคุณภาพ เนื่องจากทรัพย์สินมีศักยภาพสูงมีโอกาสในการเติบโตของรายได้จากการประกอบกิจการที่สูงขึ้น จึงมีการดูแลทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ เพื่อเน้นจุดเด่นของ KTBSTMR ในการกระจายความเสี่ยง ทั้งทางด้านความหลากหลายของประเภททรัพย์สิน  ทำเลที่ตั้งของโครงการ และการกระจายตัวของประเภทอุตสาหกรรม รวมถึงขนาดพื้นที่ของทรัพย์สินด้วย”  นายพลสิทธิ กล่าวว่า            ปัจจุบัน KTBSTMR เป็นกองทรัสต์อิสระแบบผสม ปัจจุบันมีทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวมกว่า 3,765 ล้านบาท มีนโยบายกระจายการลงทุนในทรัพย์สินหลากหลายประเภท ได้แก่ คลังสินค้า (Warehouse) โรงงาน (Factory) อาคารสำนักงาน (Office) ศูนย์การค้าประเภทคอมมูนิตี้มอลล์ (Community Mall)  และ ศูนย์รับฝากข้อมูล (Data Center) เป็นต้น            ในด้านการจัดหาทรัพย์สินเพื่อการลงทุนในอนาคต ทาง DAOL REIT  ได้มีการสรรหาและคัดกรองทรัพย์สินที่มีศักยภาพเพื่อเตรียมความพร้อมในการลงทุนเพิ่มของกองทรัสต์อยู่ตลอดเวลา  และ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้แก่เจ้าของทรัพย์สินในการนำโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้ ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภท อาคารคลังสินค้า / โรงงาน  อาคารศูนย์การค้า  อาคารสำนักงาน  อาคารศูนย์รับฝากข้อมูล(ดาต้าเซ็นเตอร์) โรงแรมทั้งในกรุงเทพหรือต่างจังหวัด หรือ โครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ  ในการนำเสนอให้แก่กองทรัสต์พิจารณาเข้าลงทุน เจ้าของทรัพย์สินสามารถนำส่งข้อมูลเบื้องต้น เพื่อให้บริษัทฯ ได้พิจารณาข้อมูลและนำเสนอโอกาสในการลงทุนที่เหมาะสมแก่เจ้าของทรัพย์สินได้  โดยเจ้าของทรัพย์สินสามารถศึกษารายละเอียดและนำส่งข้อมูลได้เว็บไซด์ของกองทรัสต์ที่ www.ktbstmr.com  หรือ email : [email protected] หรือ ติดต่อผ่าน DAOL Contact Center 02-351-1800 กด 3เมื่อทาง DAOL REIT ได้รับข้อมูลแล้วจะรีบติดต่อไปยังเจ้าของทรัพย์สินเพื่อประสานงานกันต่อไป ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจกองทรัสต์ KTBSTMR เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน สำหรับผู้ที่สนใจกองทรัสต์ KTBSTMR สามารถซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บไซด์ของกองทรัสต์ที่ www.ktbstmr.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม จากบริษัท ดาโอ รีท แมเนจเมนท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผ่าน DAOL Contact Center 02-351-1800 กด 3 หมายเหตุ /1 อัตราเงินจ่ายประโยชน์ตอบแทนปรับปรุงให้เต็มปี = (เงินจ่ายประโยชน์ตอบแทน/ราคาพาร์) x (366/92) /2 อัตราเงินจ่ายประโยชน์ตอบแทนปรับปรุงให้เต็มปี = (เงินจ่ายประโยชน์ตอบแทน/ราคาปิดตลาด ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567) x (366/92) คำเตือน : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน

Webull โบรกฯแรกในไทย เปิดซื้อขายออปชันหุ้นสหรัฐฯ

Webull โบรกฯแรกในไทย เปิดซื้อขายออปชันหุ้นสหรัฐฯ

          บริษัทหลักทรัพย์ วีบูลล์ (ประเทศไทย) จำกัด (Webull Thailand) บริษัทในเครือของ Webull Corporation เจ้าของแพลตฟอร์มการซื้อขายหลักทรัพย์ชั้นนำในสหรัฐฯ ประกาศตัวเป็นโบรกเกอร์รายแรกในประเทศไทยที่ให้บริการซื้อขายออปชันหุ้นสหรัฐฯ การเปิดให้บริการผลิตภัณฑ์ใหม่นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Webull เพิ่งเปิดตัวบริการซื้อขายออปชันดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นโบรกเกอร์รายแรกในประเทศไทยที่ให้บริการดังกล่าว ความสำเร็จครั้งนี้ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดโบรกเกอร์ในประเทศในการขยายโอกาสการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ให้แก่นักลงทุนชาวไทย ตอบรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนรายย่อย เทคโนโลยีทางการเงินที่ทันสมัยได้เข้ามามีบทบาทในประเทศไทย ทำให้นักลงทุนรายย่อยไทยมีความเชี่ยวชาญจนเกิดความต้องการในการเข้าถึงตลาดการลงทุนระดับโลกมากขึ้น           จากประสบการณ์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในประเทศเพื่อนบ้านของบริษัทในเครือ Webull ทำให้ Webull Thailand สามารถเปิดให้บริการซื้อขายออปชันหุ้นสหรัฐฯ ให้นักลงทุนในประเทศได้ นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีอยู่ของ Webull Thailand การเพิ่มบริการซื้อขายออปชันหุ้นสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลราคา Options Price Reporting Authority ("OPRA") และข้อมูล Cboe Global Indices Feed ("CGIF") ได้แบบเรียลไทม์ พร้อมเครื่องมือซื้อขายครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Options Chain ที่แสดงข้อมูลอย่างครบถ้วน การวิเคราะห์สถิติของออปชันแต่ละตัว รวมถึงการวิเคราะห์ความน่าจะเป็นของราคาหุ้นอ้างอิง โดยเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารจัดการการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งในตอนที่หุ้นและดัชนีหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในสภาวะตลาดขาขึ้นและขาลง รวมถึงการต่อยอดการบริหารความเสี่ยงเพื่อยกระดับการจัดพอร์ตลงทุนและผลตอบแทน นักลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อขายออปชันหุ้นสหรัฐฯ ได้หลากหลายรูปแบบบนแพลตฟอร์ม Webull ทั้ง Market Orders, Limit Orders, Stop Orders, Stop-Limit Orders และ Take-Profit Stop Orders           ในเดือนแรกของการเปิดให้บริการ Webull Thailand มอบสิทธิพิเศษให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ฟรีโดยไม่มีค่าคอมมิชชัน การเปิดให้บริการซื้อขายออปชันดัชนีหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นสหรัฐฯ ของ Webull Thailand จะช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและมีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก รวมถึงมอบเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการกระจายกลยุทธ์การลงทุน บริหารความเสี่ยง และสร้างโอกาสในการลงทุนทางเลือก นักลงทุนที่มองหาวิธีลดความเสี่ยงสำหรับพอร์ตการลงทุนที่มีอยู่สามารถใช้ประโยชน์จากออปชันดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ที่เพิ่งเปิดให้บริการบนแพลตฟอร์ม Webull เครื่องมือดังกล่าวยังช่วยเพิ่มศักยภาพของเงินลงทุนด้วยการเพิ่มอัตราทด ทำให้นักลงทุนสามารถลงทุนในมูลค่าที่สูงขึ้นด้วยเงินลงทุนที่น้อยกว่า ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนไทยที่ลงทุนในตลาดสหรัฐฯ มีโอกาสทำกำไรและขาดทุนในระดับที่สูงขึ้น           นายชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Webull Thailand กล่าวว่า “ความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ระดับโลกของ Webull เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราก้าวขึ้นมาเป็นโบรกเกอร์รายแรกในไทยที่ให้บริการออปชันหุ้นสหรัฐฯ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยมีเครื่องมือเพิ่มเติมในการกระจายพอร์ตการลงทุนผ่านผลิตภัณฑ์หุ้นสหรัฐฯ ที่มีอยู่ของเรา นอกจากนี้ ด้วยประสบการณ์และกลยุทธ์ทางการตลาดของเรา เรายังคงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและฟีเชอร์ใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อให้นักลงทุนได้รับประโยชน์สูงสุดจากตลาดทุนและเครื่องมือการลงทุนระดับโลก” โดยการนำเสนอบริการใหม่ครั้งนี้ Webull มุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำธุรกิจโบรกเกอร์ของประเทศไทยด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ทันสมัย ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนไทยโดยเฉพาะ ทั้งนี้ Webull Thailand ได้พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อมอบประสบการณ์การลงทุนแบบไร้รอยต่อและน่าใช้งาน พร้อมเสริมจุดแข็งที่มีอยู่เดิมของแพลตฟอร์ม ทั้งบริการดูแลลูกค้าคนไทยตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ อัตราค่าธรรมเนียมที่คุ้มค่าและมีความโปร่งใส ระบบการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลราคาแบบเรียลไทม์ รวมถึงความสะดวกในการเข้าถึงจากหลากหลายแพลตฟอร์ม           มุมมองและการวิเคราะห์ตลาดจากนายชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Webull Thailand นายชลเดช กล่าวว่า “ในช่วงที่ FED เพิ่งประกาศปรับลดดอกเบี้ย รวมถึงความผันผวนในตลาดทั้งสหรัฐฯ และเอเชียแปซิฟิกที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ การเปิดให้บริการออปชันหุ้นสหรัฐฯ ในไทยจึงถือว่ามาในจังหวะที่เหมาะสม เพราะออปชันเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในตลาดที่ผันผวน ช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถทำกำไรได้จากการเคลื่อนไหวขึ้นลงของราคา ไม่ว่าทิศทางตลาดจะเป็นอย่างไรก็ตาม”           “การที่ FED ตัดสินใจลดดอกเบี้ยครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อความคาดหวังในการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ระยะยาว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ตลอดจนราคาของออปชันระยะยาว ดังนั้น ออปชันหุ้นสหรัฐฯ จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือการลงทุนทางเลือกสำหรับนักลงทุน”           ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับออปชันดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ของ Webull Thailand ได้ที่: https://www.webull.co.th/ [PR News]

ส่องเลือกตั้งสหรัฐฯ จัดพอร์ตหุ้นรับมืออย่างไร?

ส่องเลือกตั้งสหรัฐฯ จัดพอร์ตหุ้นรับมืออย่างไร?

          ถ้าทรัมป์ชนะเลือกตั้งตามโพล           หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักผันผวนก่อนการเลือกตั้ง แต่ปีนี้ S&P 500 ปรับตัวขึ้น 3.6% ในเดือนกันยายน-ตุลาคม ซึ่งแตกต่างจากค่าเฉลี่ย -4.2% ในช่วง 28 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง เช่น การลอบสังหารทรัมป์และการถอนตัวของไบเดน โอกาสชนะของทรัมป์เพิ่มขึ้นจากการใช้แคมเปญที่เน้นประเด็นฟื้นฟูเศรษฐกิจ ลดภาษี และสร้างงาน โดยโพลล์ Real Clear Politics ชี้ทรัมป์นำแฮร์ริส หากพรรครีพับลิกันครองทั้งสองสภา (Republican Sweep) จะเพิ่มโอกาสในการผ่านนโยบายสำคัญของทรัมป์ได้ง่ายขึ้น นโยบายการลดภาษี (TCJA) ลงเหลือ 15% นั้น แม้จะสามารถยื่นร่วมกับการอนุมัติงบประมาณในรูปแบบที่เรียกว่า budget reconciliation ซึ่งกระบวนการนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ถูก filibuster ในวุฒิสภา อย่างไรก็ตาม การผ่านกฎหมายดังกล่าวยังต้องการเสียงโหวตเกินกึ่งหนึ่ง จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีวุฒิสมาชิกรีพับลิกันสายกลาง (moderate Republican senators) จะลังเลหรือไม่สนับสนุนการลดภาษี TCJA เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับหนี้สาธารณะที่สูงเกินกว่า 100% ของ GDP รวมทั้งการขาดดุลงบประมาณถึง 6% ของ GDP ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับสมัยแรกของทรัมป์ที่ขาดดุลเพียง 3.4% อันสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงทางการคลังที่สูงขึ้น ทำให้การผ่านกฎหมายอาจมีความไม่แนนอนในประเด็ตดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน ส่วนนโยบาย Trump 2.0 ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เร็วกว่าก็คือ นโยบายเพิ่มภาษีนำเข้า เพราะเป็นอำนาจของประธานาธิบดี (หากไม่ขัดมาตรา 232 และ 301) ดังนั้น หากมีผลบังคับใช้ ก็จะสร้างความผันผวนต่อตลาดคล้ายกับปี 2018 จากการประเมินปัจจัยต่างๆ ทั้งความเสี่ยงจากนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ การขยายตัวของสงครามในตะวันออกกลาง รวมถึงการตอบสนองของนักลงทุนต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ เป็นที่ชัดเจนว่าปี 2025 อาจไม่ใช่ปีที่ราบรื่นสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในอดีต เหตุการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจในช่วงการเปลี่ยนผ่านของนโยบายรัฐบาลมักสร้างความผันผวนให้กับตลาด ตัวอย่างเช่นในปี 2018 ยุค Trump 1.0 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความผันผวนมากจากปัญหาสงครามทางการค้ากับจีน แม้ว่าในช่วงดังกล่าวนโยบายลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจะมีผลบังคับใช้แล้วก็ตาม ผลกระทบของนโยบายทรัมป์ต่อเศรษฐกิจไทย           สำหรับผลกระทบต่อการค้าไทย เรามองว่าหากมี Trade war ระลอกใหม่เกิดขึ้นจริง ก็น่าจะส่งผลกระทบกับกับสินค้าส่งออกไทย 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์ และกลุ่มที่เสียประโยชน์ ดังต่อไปนี้ กลุ่มที่เสียประโยชน์: แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มย่อย ได้แก่ กลุ่มสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานจีน ได้แก่ สินค้าขั้นต้นและขั้นกลางในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มเกษตร เช่น ส่วนประกอบแผงวงจรพิมพ์ และน้ำยางข้น เป็นต้น อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน สัดส่วนการส่งออกสินค้าขั้นต้นและขั้นกลางในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไปจีนลดลงเหลือเพียง 7% ขณะที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 36% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าดังกล่าวทั้งหมด เท่ากับว่าลดการพึ่งพิงการส่งออกไปยังจีนค่อนข้างมากแล้ว ทำให้ผลกระทบน่าจะน้อยกว่าการขึ้นภาษีในครั้งก่อน ส่วนการส่งออกยางพารา เรามองว่าไทยอาจจะได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากไทยส่งออกยางพาราไปจีนคิดเป็นสัดส่วนถึง 39% ของมูลค่าการส่งออกยางพาราไทยทั้งหมด กลุ่ม Price-sensitive products เช่น ข้าว รวมถึงผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีการแข่งขันสูงในตลาดโลก โดยไทยมีความเสียเปรียบด้านต้นทุน ซึ่งหากสหรัฐฯ เพิ่มภาษีนำเข้ากับทุกสินค้ากับทุกประเทศ ก็น่าจะส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยในกลุ่มดังกล่าว กลุ่มที่ได้ประโยชน์: สินค้าไทยที่มีโอกาสเข้าไปทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ถุงมือยาง ยางรถยนต์ ไปจนถึงหลอดและท่อยาง ซึ่งในส่วนนี้ไทยมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันเหนือประเทศคู่แข่ง เนื่องจากมีแหล่งวัตถุดิบยางพาราในประเทศ ส่วนอีกกลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์ คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นปลาย ซึ่งประกอบด้วยคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ โดยเฉพาะในส่วนของ HDD รวมถึง Semiconductor และ IC ทั้งนี้ แนวโน้มการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ยังมีทิศทางเติบโตที่ดี โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึง 12% ต่อปี (CAGR ในช่วงปี 2023-2033) อันเป็นผลมาจากความต้องการในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเรายังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการที่สหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าทุกประเภทจากทุกประเทศว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เนื่องจากอาจไม่สอดคล้องกับมาตรา 232 และ 301 ดังนี้ มาตรา 232 – กฎหมายนี้ให้อำนาจประธานาธิบดีในการกำหนดอัตราภาษีสำหรับสินค้าที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ มาตรา 301 – ให้อำนาจประธานาธิบดีในการตอบโต้ประเทศที่มีการกระทำการค้าที่ยุติธรรม เช่น การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา           การใช้มาตรการภายใต้กฎหมายทั้งสองนี้ควรมีเหตุผลสนับสนุน และไม่ควรดำเนินการในลักษณะครอบคลุมแบบหว่านแห ดังนั้น ในทางปฏิบัติ การขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าทุกประเภทและทุกประเทศจึงอาจไม่ไปไกลถึงจุดนั้น ส่งผลให้ผลกระทบต่อการค้าไทยจากประเด็นนี้อาจไม่รุนแรงเท่าที่กังวล ผลกระทบต่อตลาดหุ้น           ตลาดหุ้นทั่วโลกมักปรับตัวขึ้นหลังเลือกตั้งสหรัฐฯ แต่รอบนี้อาจต่างออกไป เนื่องจากข้อมูลการเลือกตั้งสหรัฐฯ 4 ครั้งในอดีต ระหว่างปี 2004-2016 ชี้ให้เห็นว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกในช่วง 1-3 เดือนหลังจากนั้น (Post-election rally) โดยมีแรงหนุนจากความคาดหวังต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยแวดล้อมพบว่าจาก 3 ใน 4 ครั้งที่ตลาดปรับตัวขึ้นนั้น เศรษฐกิจโลกอยู่ในวงจร mid cycle ในขณะที่อีก 1 ครั้ง คือในช่วงปี 2008 ที่เศรษฐกิจถดถอย ตลาดกลับให้ผลตอบแทนติดลบ           ข้อสังเกตดังกล่าวทำให้เห็นว่าวงจรเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรนำมาพิจารณาร่วมเพื่อประเมินแนวโน้มผลตอบแทนภายหลังการเลือกตั้ง ด้วยเหตุนี้ การเลือกตั้งปี 2024 จึงอาจให้ผลต่างออกไปจากค่าเฉลี่ยทางสถิติเรื่อง post-election rally เนื่องจากวงจรเศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ใน late cycle และมีแนวโน้มชะลอตัว ประกอบกับความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นโลกรอบนี้มีแนวโน้มผันผวนและอาจให้ผลตอบแทนติดลบในช่วง 3 เดือนหลังการเลือกตั้ง           สำหรับตลาดหุ้นไทย ในกรณีที่แฮร์ริสได้รับชัยชนะ แนวนโยบายส่วนใหญ่คงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันมากนัก จึงทำให้ไม่ต้องประเมินผลกระทบต่างไปจากเส้นทางเดิมมากนัก อย่างไรก็ตาม หากทรัมป์เป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง หุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ มีดังต่อไปนี้ กลุ่มบวกที่ดำเนินธุรกิจในไทย จากโอกาสของการส่งออกสินค้าทดแทนจีน หรือการย้ายฐานการผลิต ได้แก่ กลุ่มถุงมือยาง: STGT อิเล็กทรอนิกส์: DELTA กลุ่มนิคมฯ: WHA, AMATA กลุ่มโรงไฟฟ้าในนิคมฯ: WHAUP กลุ่มบวกที่ดำเนินธุรกิจในเวียดนาม จะได้ประโยชน์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนในเวียดนาม เนื่องจากเวียดนามมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูง และได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต กลุ่มค้าปลีก: BJC, CRC (การบริโภคในเวียดนามมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับภาคการส่งออก เพราะได้รับค่าแรงและการจ้างงานมากขึ้น) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง: SCGD กลุ่มนิคมฯ: WHA, AMATA

[Vision Exclusive] จัดพอร์ตการลงทุนแบบ VI กระจายความเสี่ยงหุ้นโลก

[Vision Exclusive] จัดพอร์ตการลงทุนแบบ VI กระจายความเสี่ยงหุ้นโลก

          "นายสุธน สิงหสิทธางกูร นักลงทุนนักเน้นคุณค่าหรือ VI  แนะการกระจายลงทุนต่างประเทศช่วยเพิ่มโอกาสและลดความเสี่ยง ปัจจุบันพอร์ตเป็นการลงทุนจีนกว่า 70% พร้อมย้ำจัดประชุมนักวิเคราะห์ ควรเป็นออนไลน์ทุกคนฟังได้ ช่วยเสริมความโปร่งใส ปกป้องสิทธิ์นักลงทุนรายย่อย"           นายสุธน สิงหสิทธางกูร นักลงทุนเน้นคุณค่า(VI) และกรรมการ สมาคมนักลงทุนประเทศไทย เปิดเผยว่า สำหรับการปัจจุบันได้กระจายการลงทุนไปต่างประเทศในสัดส่วนถึง 90% ส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นการลงทุนในประเทศ แม้จะมองว่าในประเทศไทยยังมีโอกาสลงทุนอยู่บ้าง แต่ยอมรับว่าอัพไซด์ของหุ้นในประเทศมีจำกัด เนื่องจากตลาดไม่ได้เผชิญวิกฤตใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นอย่างมาก นอกจากนี้ นักลงทุน VI ในไทยยังมีทักษะและความรู้สูง ทำการบ้านอย่างรอบคอบ ส่งผลให้หุ้นที่มีอัพไซด์สูงเริ่มหายากมากขึ้น นักลงทุนจึงต้องพิจารณาและศึกษาหุ้นอย่างละเอียด           ส่วนพอร์ตการลงทุนต่างประเทศ นับเป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยในการกระจายความเสี่ยง โดยปัจจุบัน ตนเองนั้นได้มีการลงทุนในต่างประเทศหลายประเทศ แต่ประเทศหลักที่เข้าไปลงทุนอย่างจีน และเวียดนามก็สร้างผลตอบแทนได้ดี อย่างในจีน มีการเข้าทยอยลงทุนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และมีการเลือกลงทุนหุ้นหลายตัว ยกตัวอย่างคือ Tencent Music Entertainment Group หรือ TME เป็นบริษัทด้านดนตรีและบันเทิงชั้นนำของจีนที่อยู่ภายใต้เครือ Tencent ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ของประเทศ  ผลตอบแทนที่ผ่านมาทำได้เกินเท่าตัว มองว่าบริษัทในประเทศจีน ส่วนใหญ่เป็นบริษัทระดับ Global มีโอกาสเติบโตได้อีก ทั้งนี้ หุ้นในจีนที่ปรับตัวลดลงในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา กลับมีอัพไซด์สูงขึ้น ทำให้เกิดโอกาสในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน แต่การพิจารณาหุ้นในภาวะวิกฤตต้องมีความรอบคอบ หากเป็นวิกฤตชั่วคราวอาจเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน แต่ต้องมั่นใจว่าไม่ใช่วิกฤตยาวนานซึ่งอาจกลายเป็นความเสี่ยงระยะยาว ทั้งนี้ การลงทุนในประเทศจีนในพอร์ตปัจจุบันของนักลงทุนรายนี้อยู่ที่ 70%           นอกจากนี้แนะนำให้ผู้ลงทุนศึกษาและกระจายธุรกิจในพอร์ตให้หลากหลายมากขึ้น โดยการขยายการลงทุนไปยังหลายประเทศ เพื่อมองเห็นภาพรวมของตลาดในมุมกว้างและค้นหาโอกาสทางธุรกิจที่จะเติบโตในอนาคต หรือเรียกว่าจะเป็น “ยานทิพย์” ที่ช่วยให้เห็นภาพอนาคตของอุตสาหกรรมและสนับสนุนการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีศักยภาพ  โดยการรู้จักหุ้นในหลายอุตสาหกรรมและตลาดต่างประเทศเป็น “S-curve” ที่ช่วยเพิ่มโอกาสและสร้างความมั่นใจในพอร์ตการลงทุนได้มากขึ้น โดยการศึกษาความหลากหลายจะช่วยให้นักลงทุนสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการเลือกหุ้นที่มีศักยภาพสูงและเป็นฐานการเติบโตที่มั่นคง           การลงทุนในหุ้น IPO ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากหุ้น IPO หลายตัวอาจมีการตั้งราคาขายที่สูงและมีพรีเมียมเพิ่มเข้ามาแล้ว ทำให้หุ้นบางตัวอาจไม่ได้มีราคาถูกอย่างที่คาดหวัง นักลงทุนที่สนใจควรตระหนักถึงข้อจำกัดด้านผลตอบแทน และพิจารณาความคุ้มค่าอย่างรอบคอบ โดยควรคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากมีส่วนที่เสียเปรียบในการลงทุน           สำหรับประเด็นเรื่อง การประชุมนักวิเคราะห์ โดยมองว่าอยากจะเสนอแนวทางการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน โดยแนะนำให้การประชุมนักวิเคราะห์จัดในรูปแบบออนไลน์เพื่อให้ผู้ลงทุนทุกรายได้ฟังข้อมูลพร้อมกัน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงข้อมูลและสร้างความโปร่งใส โดยการดำเนินการลักษณะนี้มีอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งช่วยปกป้องสิทธิ์ของนักลงทุนรายย่อย และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ติดตามการถามตอบข้อมูลเชิงลึกจากนักวิเคราะห์ที่เข้าร่วมประชุม           ส่วนเรื่องที่มีการพูดว่านักลงทุนวีไอ ก็มีการเข้าไป "การเยี่ยมชมบริษัท" (Company visit) โดยชี้ว่าการเยี่ยมชมของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) มักมุ่งเน้นศึกษาศักยภาพการเติบโตระยะยาวของบริษัทมากกว่าข้อมูลระยะสั้น ซึ่งแตกต่างจากการประชุมนักวิเคราะห์ที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกในระยะสั้นมากกว่า ทั้งนี้ได้เข้าหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อสะท้อนความกังวลในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลของนักลงทุนรายย่อย รายงานโดย: ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว สำนักข่าว Hoonvision

คริปโตฯ ปลอดภัยหรือไม่?

คริปโตฯ ปลอดภัยหรือไม่?

          เข้าใจความปลอดภัยของคริปโตเคอร์เรนซี: ทำไมการตรวจสอบย้อนกลับจึงสำคัญสำหรับทุกคน? โดย ดร. กร พูนศิริวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และผู้อำนวยการโครงการ Binance TH Academy บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด "คริปโตฯ เอาไว้ฟอกเงิน?" "เงินดิจิทัลติดตามไม่ได้?"           เป็นคำพูดที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ในสังคมไทย แต่ความจริงแล้วเป็นอย่างไร? ในฐานะผู้ที่ทำงานทั้งด้านการศึกษาและกลยุทธ์ในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรงในประเทศไทย ผมพบเจอความเชื่อผิด ๆ นี้อยู่บ่อยครั้ง ตรงกันข้าม ธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซีไม่เพียงสามารถติดตามได้ แต่ยังมีความโปร่งใสมากกว่าระบบการเงินแบบดั้งเดิมเสียอีก ทำความเข้าใจง่าย ๆ เรื่องการตรวจสอบในบล็อกเชน           ลองเปรียบเทียบง่าย ๆ นะครับ ถ้าเราจ่ายเงินสดซื้อของในตลาด เราจะติดตามเงินนั้นได้ยากมาก แต่การใช้คริปโตฯ เหมือนกับการโอนเงินผ่านพร้อมเพย์ที่มีการเก็บประวัติทุกรายการ แต่เพิ่มความพิเศษตรงที่ทุกคนสามารถตรวจสอบได้ เหมือนกับมีสำเนาสมุดบัญชีที่โปร่งใสและแก้ไขไม่ได้ ที่ Binance TH ระบบนี้ช่วยป้องกันการทุจริตได้ดีกว่าระบบเดิม ๆ เสียอีก เทคโนโลยีบล็อกเชนจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น ความปลอดภัยในบริบทประเทศไทยที่เห็นชัดเจน           ความโปร่งใสของบล็อกเชนตอบโจทย์อีกหนึ่งความกังวลที่พบบ่อย นั่นคือเรื่องความปลอดภัย ทุกธุรกรรมบนเครือข่ายคริปโตเคอร์เรนซี เหรียญยอดนิยมอย่าง Bitcoin และ Ethereum ถูกบันทึกถาวร สามารถตรวจสอบได้โดยสาธารณะ และไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ กลไกนี้สร้างความสามารถในการติดตามบน Chain ที่ไม่มีวันถูกทำลาย ซึ่งเหนือชั้นกว่าระบบการเงินทั่วไป           รายงานอาชญากรรมคริปโตล่าสุดจาก Chainalysis (2024) เผยว่าธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซีที่ผิดกฎหมายมีเพียง 0.24% ของปริมาณธุรกรรมคริปโตทั้งหมด การวิเคราะห์บล็อกเชนสมัยใหม่สามารถติดตามรูปแบบการทำธุรกรรมได้อย่างแม่นยำ ทำให้คริปโตเคอร์เรนซีกลายเป็นตัวเลือกที่ไม่เข้าท่าสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ประเทศไทยกับการพัฒนาไปข้างหน้า           ประเทศไทยถือว่าเป็นผู้นำในภูมิภาคเรื่องการกำกับดูแลคริปโตฯ ก.ล.ต. ของเราออกกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ทำให้ผู้ลงทุนไทยได้รับการคุ้มครองที่ดี เทียบเท่าการลงทุนในตลาดหุ้น จากรายงานการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลล่าสุดของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยว่าปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดคริปโตฯ ไทยมีมูลค่าการซื้อขายกว่า 100,000 ล้านบาท โดยทุกธุรกรรมต้องผ่านการตรวจสอบตัวตน (KYC) เหมือนกับการเปิดบัญชีธนาคาร ทำให้ปลอดภัยกว่าการซื้อขายในตลาดต่างประเทศที่ไม่มีใบอนุญาต ทำให้สามารถติดตามธุรกรรมได้ 100%           แนวทางและข้อกำหนดในการขอใบอนุญาตที่ชัดเจนของ ก.ล.ต. ไทย ส่งผลให้ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนบนกระดานเทรดในประเทศต้องรักษามาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง ทั้งนี้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รายงานว่าปีที่ผ่านมา สามารถติดตามธุรกรรมต้องสงสัยได้ถึง 95% นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าระบบคริปโตฯ ไม่ได้เอื้อต่อการทำผิดกฎหมายอย่างที่หลายคนเข้าใจ มองไปข้างหน้า           เทคโนโลยีบล็อกเชนกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว รายงานสินทรัพย์ดิจิทัลปี 2567 ของ World Economic Forum คาดว่าภายในปี 2569 ประสิทธิภาพการตรวจจับธุรกรรมผิดปกติจะพัฒนาขึ้นอีก 300% เมื่อเครื่องมือเหล่านี้พัฒนาขึ้น เราเห็นการเพิ่มขีดความสามารถในการจดจำรูปแบบ การติดตามแบบเรียลไทม์ และโมเดลการประเมินความเสี่ยงขั้นสูง การศึกษาคือกุญแจสำคัญของคนไทย           จากการสำรวจล่าสุดของสมาคมฟินเทคประเทศไทย พบว่า 73% ของนักลงทุนคริปโตชาวไทยระบุว่า ความปลอดภัยและความสามารถในการติดตามตรวจสอบเป็นปัจจัยสำคัญอันดับหนึ่งในการเลือกแพลตฟอร์มการซื้อขาย สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นในผู้ใช้งานในตลาดของเรา ที่ Binance TH Academy เราจึงเน้นการให้ความรู้แบบเข้าใจง่าย ใช้ตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนไทย สรุป           ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนมุมมองเรื่องคริปโตฯ จากความกลัวและความไม่เข้าใจ มาสู่การเรียนรู้และใช้ประโยชน์อย่างถูกต้อง ด้วยกฎระเบียบที่รัดกุมและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ประเทศไทยมีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลของภูมิภาค [PR News]

ก.ล.ต. เตือนประชาชนระวังมิจฉาชีพหลอกลงทุน

ก.ล.ต. เตือนประชาชนระวังมิจฉาชีพหลอกลงทุน

          วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2567 | ฉบับที่ 218 / 2567           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งเตือนประชาชนและผู้ลงทุนให้ระมัดระวังมิจฉาชีพหลอกลวง แอบอ้างเป็นผู้ประกอบธุรกิจชักชวนให้ลงทุน สร้างความเสียหายเป็นมูลค่าสูง พร้อมแนะนำ 3 ข้อสังเกตระมัดระวังก่อนลงทุน           จากสถานการณ์ปัจจุบันพบว่า ภัยหลอกลวงลงทุนได้สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชนเป็นมูลค่าสูงมาก และมักมาพร้อมกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์อย่างแนบเนียน จนทำให้ผู้ถูกชักชวนหลงเข้าใจผิดว่าเป็นการชักชวนโดยบุคคลหรือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาต ทั้งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จากสถิติการดำเนินการของ “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและแจ้งเบาะแส ก.ล.ต. ได้รับแจ้งเบาะแส รวมทั้งสิ้น 3,451 ครั้ง โดยมีบัญชีโซเชียลมีเดียเข้าข่ายหลอกลงทุนที่ประสานผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อปิดกั้น จำนวน 1,877 บัญชี โดยได้ปิดกั้นไปแล้วร้อยละ 99 และส่วนที่เหลือเป็นการให้คำปรึกษาในเรื่องการหลอกลงทุนกรณีอื่น ๆ           สำหรับพฤติการณ์หลอกลวงที่พบในระยะนี้ เช่น มิจฉาชีพมักยิงโฆษณาในพื้นที่โฆษณาของแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เหมือนกับบริษัททั่วไปที่จะยิงโฆษณาเพื่อกระตุ้นการซื้อในสินค้าหรือบริการ โดยภาพและข้อความของโฆษณามักแอบอ้างชื่อ/โลโก้ของบริษัทหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เพื่อให้ประชาชนหลงเข้าใจผิดและคิดว่าเป็นโฆษณาของบริษัทที่อ้างมา พร้อมด้วยข้อความเชิญชวนให้เข้ากลุ่มสนทนาเพื่อรับฟังข้อมูลการลงทุน อาทิ การซื้อขาย Big Lot และเมื่อเข้ากลุ่มมาแล้วหากแสดงความสนใจ มิจฉาชีพจะเข้ามาคุยกับผู้ที่สนใจเป็นการส่วนตัว และโน้มน้าวให้ลงทุนพร้อมกับจัดส่งลิงก์หน้าเว็บไซต์จริงของบริษัทที่นำไปแอบอ้าง เมื่อถึงขั้นตอนการโอนเงินเพื่อเปิดบัญชีซื้อขาย จะส่งลิงก์เว็บไซต์ปลอมและบัญชีธนาคาร (ของเครือข่ายมิจฉาชีพทั้งที่เป็นชื่อบุคคลธรรมดาและนิติบุคล) ที่ไม่ใช่ชื่อของบริษัทที่นำมาใช้แอบอ้าง           นอกจากนี้ ยังพบว่า มีการหลอกลวงที่แนบเนียบขึ้น โดยมิจฉาชีพจะส่งเลขบัญชีโอนเงินที่เป็นชื่อของบริษัทที่นำมาแอบอ้างเพื่อเปิดบัญชีซื้อขายให้กับผู้ที่สนใจ แต่หลังจากนั้นการโอนเงินเพื่อซื้อในครั้งถัด ๆ ไป จะลวงให้โอนเงินค่าซื้อเข้าบัญชีอื่น (ของเครือข่ายมิจฉาชีพทั้งที่เป็นชื่อของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) ที่ไม่ใช่ชื่อของบริษัทที่นำมาใช้แอบอ้าง           ก.ล.ต. จึงแจ้งเตือนประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวังในการรับข้อมูลชักชวนให้ลงทุน โดยฉพาะผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย อย่าหลงเชื่อเมื่อพบความผิดปกติ และควรตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ โดยมีจุดสังเกต 3 ข้อควรระวังก่อนตัดสินใจลงทุน ดังนี้ (1) หากถูกทักส่วนตัวและชักชวนลงทุนในช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น ส่งข้อความในไลน์ส่วนตัว หรือกล่องข้อความส่วนตัวในเฟซบุ๊ก (Messenger) ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นมิจฉาชีพ เพราะผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตส่วนใหญ่มักไม่ชักชวนลงทุนในลักษณะส่วนตัวผ่านโซเชียลมีเดีย (2) หากถูกชักชวนโดยอ้างชื่อ/ภาพของบุคคลใดก็ตามในข้อความโฆษณา ให้สงสัยไว้ก่อนและสอบถามด้วยตัวเองกับบริษัทที่ถูกอ้างชื่อว่า มีบุคคลนั้นเป็นบุคคลากรทำหน้าที่ผู้แนะนำการลงทุนอยู่ในบริษัทจริงหรือไม่ เพราะมิจฉาชีพมักจะแอบอ้างเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือหรือมีชื่อเสียง รวมทั้งต้องตรวจเช็กด้วยว่าบริษัทนั้น ๆ เป็นผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ และ (3) ก่อนโอนเงินชำระค่าเปิดบัญชีซื้อขายหรือค่าซื้อต้องตรวจดูชื่อบัญชีธนาคารปลายทางก่อนโอนทุกครั้งว่า เป็นชื่อบัญชีของบริษัทที่ประสงค์จะลงทุนจริงหรือไม่           นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก ก.ล.ต. กล่าวว่า “ภัยหลอกลวงลงทุนถือเป็นภัยร้ายแรงที่ส่งผลกระทบทางลบต่อประชาชน อีกทั้งยังก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมของประเทศ ซึ่ง ก.ล.ต. ถือเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องภายใต้มาตรการ “ป้อง ปราม ปราบ” ในการให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องการเงินการลงทุน รวมทั้งสามารถป้องกันตนเองจากภัยหลอกลงทุน นอกจากนี้ ยังได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการป้องปรามอีกด้วย เช่น การปิดกั้นแพล็ตฟอร์มหลอกลงทุน เป็นต้น เพื่อยับยั้งหรือจำกัดความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชนไม่ให้ขยายออกวงออกไปให้มากทึ่สุด”           ทั้งนี้ หากสงสัย สามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัท บุคคล ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th/seccheckfirst หรือที่แอปพลิเคชัน “SEC Check First” และหากพบเบาะแสเกี่ยวกับการดำเนินการที่น่าสงสัย หรือสงสัยว่าถูกชักชวนหลอกลงทุน โทรขอคำปรึกษาหรือแจ้งเบาะแสได้ที่ “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” โทร. 1207 กด 22 หรือ เฟซบุ๊กเพจ “สำนักงาน กลต.” หรือ SEC Live Chat ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต.

ก.ล.ต. นับ 1 Filing กองทรัสต์ WHAIR เพิ่มทุนครั้งที่ 4 มูลค่าไม่เกิน 1,118 ล้านบาท

ก.ล.ต. นับ 1 Filing กองทรัสต์ WHAIR เพิ่มทุนครั้งที่ 4 มูลค่าไม่เกิน 1,118 ล้านบาท

          กรุงเทพฯ - สำนักงาน ก.ล.ต เริ่มนับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหน่วยทรัสต์ แบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (แบบไฟลิ่ง) สำหรับการออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มเติม จำนวนไม่เกิน 120 ล้านหน่วย เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารโรงงาน คลังสินค้า พื้นที่อาคารรวมทั้งสิ้น 40,172 ตารางเมตร ในนิคมอุตสาหกรรม WHA Group มูลค่าการลงทุนเพิ่มเติมไม่เกิน 1,118 ล้านบาท   พร้อมชูศักยภาพจุดยุทธศาสตร์โรงงานและคลังสินค้าให้เช่าชั้นนำของไทย ตั้งอยู่ในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พื้นที่นำร่องในเฟสแรกเป็นต้นแบบ “สมาร์ท ซิตี้” หนุนมูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์ฯ สูงกว่า 14,000 ล้านบาท หลังลงทุนแล้วเสร็จปลายปี 2567           นางสาวจารุชา สติมานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ WHAIR เปิดเผยว่า ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล หรือ WHAIR  เป็นกองรีทในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปัจจุบันลงทุนในทรัพย์สินประเภทโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า โดยทรัพย์สินตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมของ WHA Group ณ สิ้นไตรมาส 2 ของปี 2567 WHAIR มีพื้นที่ทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการในปัจจุบัน 428,818 ตารางเมตร มีมูลค่าสินทรัพย์รวม 13,121.56 ล้านบาท และทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการในปัจจุบันมีอัตราการเช่าสูงถึง 93.5%           สำหรับทรัพย์สินที่กองทรัสต์ WHAIR จะเข้าลงทุนในครั้งนี้ เป็นการลงทุนในทรัพย์สินคุณภาพสูง ของกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เป็นจุดเชื่อมต่อด้านการขนส่งสินค้าของประเทศในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ ท่าเรือแหลมฉบัง และถนนสายหลัก ทำให้การขนส่งและการกระจายสินค้ามีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านของระยะเวลาในการเดินทางและต้นทุน           โดยทรัพย์สินที่กองทรัสต์ WHAIR จะเข้าลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ เป็นการลงทุนในสิทธิการเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารโรงงาน คลังสินค้า จำนวน 10 ยูนิต ใน 4 โครงการ พื้นที่รวมทั้งหมด 40,172 ตารางเมตร โดยสรุปข้อมูลแยกตามที่ตั้งของทรัพย์สินได้ ดังต่อไปนี้ สิทธิการเช่าที่ดินและอาคารประเภทโรงงานจำนวน 6 ยูนิต ประกอบด้วยโรงงานแบบ Detached Building จำนวน 3 ยูนิต และโรงงานแบบ Attached Building จำนวน 3 ยูนิต ในโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 1 สิทธิการเช่าที่ดินและอาคารประเภทโรงงานแบบ Detached Building จำนวน 1 ยูนิต ในโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 สิทธิการเช่าที่ดินและอาคารประเภทโรงงานแบบ Attached Building จำนวน 1 ยูนิต ในโครงการดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์พาร์ค 1 สิทธิการเช่าที่ดินและอาคารประเภทคลังสินค้าจำนวน 2 ยูนิต ในโครงการดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์พาร์ค 3           “ความโดดเด่นของกองทรัสต์ WHAIR คือสัดส่วนทรัพย์สินภายหลังการลงทุนเพิ่มเติมกว่า 90% ตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนผลักดันให้เป็นพื้นที่นำร่องในเฟสแรกเป็นต้นแบบ “สมาร์ท ซิตี้” ส่งผลให้กลุ่มนักลงทุนทั้งคนไทย และต่างชาติ ให้ความสนใจเช่าทั้งโรงงาน และคลังสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวในระยะยาว นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่จุดยุทธศาสตร์ศูนย์กลางการดำเนินธุรกิจซึ่งเป็นหัวใจหลักด้านโลจิสติกส์ที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย” อีกทั้งนิคมอุตสาหกรรมของ WHA ใน Eastern Seaboard เป็นพื้นที่ลงทุนของกลุ่มคลัสเตอร์ยานยนต์และชิ้นส่วน และเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญของประเทศไทย อาทิเช่น BYD, Changan, Mazda, Ford, Isuzu, Great Wall Motor และ MG เป็นต้น ซึ่งการเติบโตขึ้นของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV Cars) ในทำเลนี้ทำให้โรงงานและคลังสินค้าของ WHAIR ได้รับอานิสงค์จากความต้องการพื้นที่เช่าโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า จากธุรกิจที่เป็น Supply Chain ของ ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ           ด้าน นางสาวจิตติสา เจริญพานิช ผู้บริหารงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)  ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินแและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ WHAIR เปิดเผยว่า การเพิ่มทุนของกองทรัสต์ WHAIR ในครั้งนี้ เป็นการลงทุนในจังหวะที่มีสัญญาณเชิงบวกจากการปรับลดของอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลก ซึ่งส่งผลต่อการฟื้นตัวในดัชนีราคาของกลุ่ม Property Fund & REIT ที่ทยอยปรับตัวในช่วงที่ผ่านมา โดยทรัพย์สินที่กองทรัสต์ WHAIR ลงทุนเพิ่มเติมในครั้งที่ 5 เป็นโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าสำเร็จรูป ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมของ WHA Group ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ปัจจุบันได้รับอานิสงค์จากการย้ายฐานการผลิต และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เป็นอานิสงค์บวกโดยตรงต่อทรัพย์สินประเภทโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าของ WHAIR โดยจะเห็นได้จากทรัพย์สินหลักที่ลงทุนในปัจจุบันที่มีอัตราการเช่า ณ สิ้นไตรมาส 2 ที่ผ่านมาที่ 93.5% และทรัพย์สินหลักที่จะลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 5 มีอัตราการเช่าเต็มพื้นที่ 100% สะท้อนถึงทรัพย์สินที่ดีมีคุณภาพ และศักยภาพในการสร้างรายได้ ทั้งนี้ ภายหลังการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินครั้งนี้ จะส่งผลให้กองทรัสต์ WHAIR มีมูลค่าทรัพย์สินรวมสูงกว่า 14,000 ล้านบาท และมีพื้นที่เช่าภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 468,990 ตารางเมตร  โดยการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินครั้งนี้จะเพิ่มรายได้ให้แก่กองทรัสต์ และโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาวให้แก่ผู้ลงทุน           ปัจจุบัน สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหน่วยทรัสต์ แบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (แบบไฟลิ่ง) แล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหน่วยทรัสต์และร่างหนังสือชี้ชวนการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมสำหรับการเพิ่มทุนครั้งที่ 4 ให้มีผลบังคับใช้ และคาดว่าจะสามารถเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนได้ภายในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2567 [PR News]

ตลาดทุนไทยปี 2567 คึกคัก! IPO 25 หลักทรัพย์ มูลค่ากว่า 22,000 ลบ.

ตลาดทุนไทยปี 2567 คึกคัก! IPO 25 หลักทรัพย์ มูลค่ากว่า 22,000 ลบ.

           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. รายงาน สรุปภาวะตลาดทุน พบว่า ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 มีการระดมทุนเสนอขาย IPO จำนวน 25 หลักทรัพย์ มูลค่ารวม 22,078.65 ล้านบาทโดยมีคำขอที่ได้รับอนุญาตและพร้อมเสนอขาย 16 หลักทรัพย์ อยู่ระหว่างการพิจารณาคำขอ 20 หลักทรัพย์และอยู่ระหว่าง Pre-consult 68 หลักทรัพย์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการระดมทุนผ่านตลาดทุนต่อเนื่อง            สำหรับการระดมทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล มีคำขอ ICO อยู่ระหว่าง Pre-consult 17 บริษัท (ผลรวมสะสมการระดมทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งสิ้น 3 บริษัท มูลค่า 5,065.23 ล้านบาท) การระดมทุนผ่าน Crowdfunding ในปี 2567 (1 ม.ค. - 31 ส.ค. 67) มีบริษัทที่ดำเนินการสำเร็จแล้ว 678 บริษัท มูลค่ารวม 3,407.31 ล้านบาท (ผลรวมสะสมการระดมทุนผ่าน Crowdfunding มูลค่า 15,320.92 ล้านบาท)การเสนอขายหลักทรัพย์วงแคบของ SME (1 ม.ค. - 31 ส.ค. 67) จำนวน 4 บริษัท มีมูลค่า 165.27 ล้านบาท (มีผลรวมสะสมจนถึงปัจจุบัน 26 บริษัท มูลค่า 509.35 ล้านบาท) และการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ของ SME จำนวน 2 บริษัท โดยมีมูลค่าเสนอขาย 52.80 ล้านบาท (ผลรวมสะสมจนถึงปัจจุบัน 6 บริษัท โดยมีมูลค่าการระดมทุนรวม 274.70 ล้านบาท)            สำหรับตราสารหนี้ภาคเอกชน มีการออกตราสารหนี้ระยะยาวมูลค่า 636,222.60 ล้านบาทแบ่งเป็นตราสาร Investment Grade 599,279.10 ล้านบาท และ High Yield Bond 36,943.50 ล้านบาท (1 ม.ค. - 31 ส.ค. 67) ตั้งแต่ต้นปี 67 มีการออกเสนอขายตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนแล้ว จำนวน 11 บริษัท มูลค่า 112,372.70 ล้านบาท (ผลรวมสะสม 35 บริษัท มูลค่า 828,835.96 ล้านบาท)            สำหรับกองทุนรวม (ม.ค. - ก.ย. 2567) มีการเสนอขาย IPO จำนวน 546 กองทุน มูลค่ารวม 1,389,313 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการเสนอขายกองทุนรวมประเภทตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนในประเทศสำหรับผู้ลงทุนรายย่อย IPO ที่อยู่ระหว่างพิจารณา หมวดบริการ บมจ. อินสไปร์ ไอวีเอฟ IVF บมจ. โรงพยาบาลนครธน NKT บมจ. วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ VBYOND บมจ. มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง MOTHER บมจ. โฮม สุขภัณฑ์ HOMESK บมจ. มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) MRDIYT บมจ. สกิลเลน เทคโนโลยี SKILL บมจ. โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล HANN บมจ. แอลที่เอ็มเอช LTMH หมวด สินค้าอุตสาหกรรม บมจ.วาย.เอส.เอส. (ประเทศไทย) YSS บมจ.ยูนิคพลาสติก อินดัสตรี UNIX บมจ. สมาร์ททีทีซี STTC หมวด อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เรซิเดนซ์LHRREIT ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซี.พี.ทาวเวอร์CPTREIT ทรัสต์เพื่อการลุงทุนในสิทธิ์การเช่าอสังหาริมทรัพย์ ควอลิตี เฮ้าส์ บิสซิเนส คอมเพล็กซ์  QHBREIT ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อิสสระ ISSARA ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เคพีเอ็น KPNREIT ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และ สิทธิการเช่า เอ็มเอฟซี อินดัสเตรียล อินเวสเมนท์ MII สินค้าอุปโภคบริโภค บมจ. พีเคเอ็น อินเตอร์โฮลดิ้ง PKN บมจ. สกิน ลาบอราทอรี่ SKIN ในปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. รายงานว่าบริษัทที่ได้รับการอนุมัติ IPO มี จำนวน 16 แห่ง แยกตามหมวด บริการ บมจ. ยัสปาล JPC บมจ. อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง IROYAL บมจ. บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น BOON บมจ. เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ MPJ อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง บมจ. บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป BKA ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล TIREIT ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สิริภิญโญ SIRIPRT สินค้าอุปโภคบริโภค ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า แอ็กซ์ตร้า ฟิวเจอร์ ซิตี้ AXTRART บมจ. สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ SNPS บมจ. ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล TMAN ธุรกิจการเงิน บมจ. อัลฟาแคปปิตอล พาร์ทเนอร์ส กรุ๊ป ACPG บมจ. เงินเทอร์โบ TURBO เทคโนโลยี บมจ. ฟอร์ท อีเอ็มเอส FEMS บมจ. บลู โซลูชั่น BLUE บมจ. โปร อินไซด์ PIS รายละเอียดเพิ่ม ที่ https://www.sec.or.th/TH/Pages/MONTHLYREPORT-CAPITALMARKET.aspx

ก.ล.ต. สั่งเพิกถอนใบอนุญาตนายสิทธิพงศ์ จุมปาลี 10 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่ไม่ซื่อสัตย์

ก.ล.ต. สั่งเพิกถอนใบอนุญาตนายสิทธิพงศ์ จุมปาลี 10 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่ไม่ซื่อสัตย์

วันพุธที่ 16 ตุลาคม 2567 | ฉบับที่ 214 / 2567           ก.ล.ต. สั่งเพิกถอนการให้ความเห็นชอบผู้แนะนำการลงทุนรายนายสิทธิพงศ์ จุมปาลี เป็นเวลา 10 ปี กรณีปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ซื่อสัตย์สุจริต ทำให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของลูกค้าโดยมิชอบ ขณะกระทำผิดสังกัดธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับรายงานการตรวจสอบจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา และตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมพบว่า ระหว่างปี 2565 – 2566 นายสิทธิพงศ์ ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้ลงทุนโดยมิชอบ จำนวน 11 ราย เป็นเงินรวม 19,950,000 บาท* โดยให้ลูกค้าถอนเงินและมอบเงินสด และ/หรือโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของนายสิทธิพงศ์เพื่อซื้อหน่วยลงทุน และให้ลูกค้าลงนามในคำสั่งซื้อหน่วยลงทุน แต่นายสิทธิพงศ์ไม่ได้ทำรายการตามความประสงค์ของลูกค้า รวมทั้งจัดทำรายงานการลงทุนและแจ้งผลตอบแทนเพื่อให้ลูกค้าเชื่อว่าได้ลงทุนจริง ทำให้ลูกค้าได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ นายสิทธิพงศ์ยังหลอกลูกค้าบางรายให้ลงทุนต่อ โดยให้ข้อมูลว่าหน่วยลงทุนที่ลูกค้าถืออยู่ครบกำหนดและให้ลูกค้าลงนามในใบคำสั่งสับเปลี่ยนการถือหน่วยลงทุน หรือเมื่อลูกค้าต้องการไถ่ถอนหน่วยลงทุน นายสิทธิพงศ์จะให้ลูกค้าลงนามในใบคำสั่งขายคืนหน่วยลงทุนและโอนเงินจากบัญชีส่วนตัวของนายสิทธิพงศ์เข้าบัญชีของลูกค้า           ก.ล.ต. พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของนายสิทธิพงศ์เป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือให้บริการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้ลงทุนโดยมิชอบ อันเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน** ก.ล.ต. จึงเพิกถอนการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนตราสารซับซ้อนประเภท 2*** และกำหนดระยะเวลาในการรับพิจารณาคำขอความเห็นชอบของนายสิทธิพงศ์เป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนในคราวต่อไป เป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2567****           ทั้งนี้ ในการพิจารณากำหนดระยะเวลาข้างต้น ก.ล.ต. ได้นำปัจจัยดังต่อไปนี้มาใช้ประกอบการพิจารณาด้วย ได้แก่ บทบาทความเกี่ยวข้องและพฤติกรรมของบุคคลที่ถูกพิจารณา การลงโทษที่บุคคลนั้นได้รับไปแล้ว ผลกระทบ ความเสียหายหรือผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น การแก้ไขหรือการดำเนินการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือขัดขวางการปฏิบัติงานของ ก.ล.ต. และประวัติหรือพฤติกรรมในอดีตอื่นใดที่แสดงถึงความไม่เหมาะสมที่จะเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน           ก.ล.ต. ขอย้ำให้ผู้ลงทุนตรวจสอบรายการซื้อขายหน่วยลงทุนที่ดำเนินการแล้วเสร็จทันทีจากหลักฐานการซื้อขายที่ออกโดยธนาคารหรือบริษัทจัดการลงทุน และตรวจสอบรายงานการถือหน่วยลงทุนและบัญชีเงินฝากอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งในการโอนเงินลงทุนจะต้องโอนเข้าบัญชีของผู้ประกอบธุรกิจเท่านั้น โดยไม่โอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของผู้แนะนำการลงทุน เพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจเกิดจากการทุจริตได้ หมายเหตุ: * ปัจจุบันลูกค้าได้รับชดใช้เงินคืนแล้ว 10 ราย และมีลูกค้า 1 รายอยู่ต่างประเทศ ซึ่งธนาคารอยู่ระหว่างการติดต่อประสานงาน ** ข้อ 23(1) เป็นลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนตามข้อ 31(1) แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทลธ. 8/2557 เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ลงวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทลธ. 48/2560 เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน (ฉบับที่ 7) ลงวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560 *** ผู้แนะนำการลงทุนตราสารซับซ้อนประเภท 2 หมายถึง ผู้แนะนำการลงทุนที่ให้คำแนะนำแก่ผู้ลงทุนในผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนที่ไม่มีความซับซ้อน และหน่วยลงทุนหรือตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อน เช่น หน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ หน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่มีการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง **** หมายความว่า หากนายสิทธิพงศ์มายื่นคำขอความเห็นชอบเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนในช่วงระยะเวลา 10 ปี นับจากวันที่ 17 ตุลาคม 2567 ก.ล.ต. จะไม่รับพิจารณาคำขอดังกล่าวของนายสิทธิพงศ์

[PR News] ‘LHSC’ จองซื้อกองรีท 4-8 พ.ย.นี้   ลงทุนเพิ่ม “เทอร์มินอล 21 พัทยา”

[PR News] ‘LHSC’ จองซื้อกองรีท 4-8 พ.ย.นี้ ลงทุนเพิ่ม “เทอร์มินอล 21 พัทยา”

          LHSC กองรีทโครงการศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 จากกลุ่ม บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เตรียมจัดโรดโชว์นักลงทุนรายย่อยให้ข้อมูลรายละเอียดการเพิ่มทุนเพื่อลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ผ่่านระบบออนไลน์วันทีี่ 16 ตุลาคมนี้ รับชมทาง Facebook: Wealthy Thai พร้อมเปิดให้ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมและประชาชนทั่วไปจองซื้อวันที่ 4-8 พฤศจิกายนนี้ เตรียมลงทุนเพิ่มเติมใน “โครงการศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา” แลนด์มาร์คของพัทยาเหนือและมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยถึง 99% หนุนประมาณการอัตราจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนอยู่ที่ 9.5%           นางสาวจิตติสา เจริญพานิช ผู้บริหารงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายร่วม เปิดเผยว่า ในจังหวะที่อัตราดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดและมีแนวโน้มลดลง ทำให้ราคาของกลุ่ม REITs โดยเฉพาะกองที่มีผลการดำเนินงานที่ดี มีรายได้จากการลงทุนในทรัพย์สินที่เติบโต เริ่มมีการทยอยปรับตัวขึ้นของราคา ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนในการเลือกลงทุนในกองรีทคุณภาพในจังหวะนี้ โดยทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ หรือ LH Shopping Centers Leasehold Real Estate Investment Trust (LHSC) กองรีทในกลุ่มรีเทล ที่ปัจจุบันลงทุนในโครงการ “ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 อโศก” และกำลังจะเพิ่มทุนเพื่อขยายพอร์ตทรัพย์สินเพิ่มเติม ในโครงการ “ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา” ซึ่งศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 ทั้ง อโศก และพัทยา เป็น ศูนย์การค้า Tourist Mall ที่รายได้ของโครงการได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการขยายตัวภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันอย่างชัดเจน โดย LHSC มีประมาณการอัตราการจ่ายประโยชน์ตอบแทนในปี 2568 ภายหลังการเพิ่มทุน สูงถึง 9.5% โดย LHSC จะเข้าลงทุนในสิทธิการเช่าโครงการ “ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา” ระยะเวลาประมาณ 24 ปี โดยมีมูลค่าลงทุนไม่เกิน 5,700 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง) และมีแหล่งเงินทุนมาจากการออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนมูลค่ารวมไม่เกิน 3,190 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะมาจากเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหน่วยทรัสต์ และแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (แบบไฟลิ่ง) มีผลใช้บังคับแล้ว           ทั้งนี้ ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมของ LHSC ที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยทรัสต์ ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2567 (XR วันที่ 16 ตุลาคม 2567) และประชาชนทั่วไป จองซื้อพร้อมกันวันที่ 4-8 พฤศจิกายน 2567 ที่ราคาเสนอขายสูงสุดซึ่งจะประกาศผ่านเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 29 ตุลาคม 2567 โดยสำหรับผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมสามารถจองซื้อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และสำหรับประชาชนทั่วไปสามารถจองซื้อได้ที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)           นายยศวีร์ สุทธิกุลพานิช ผู้บริหารสายงาน Investment Banking and Capital Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายร่วม กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ภาพรวมตลาดหุ้นไทยก็กลับมาคึกคัก มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่สูงขึ้น แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมที่มากขึ้นจากนักลงทุนทุกประเภท โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ หรือ Fund Flow ได้พลิกกลับมาเป็นการซื้อสุทธิแล้ว จากที่เป็นการขายสุทธิในช่วง 2 ไตรมาสแรก นอกจากนั้น ตลาดหุ้นไทยจะได้รับปัจจัยสนับสนุนต่อเนื่องในไตรมาส 4 ทั้งจากเงินลงทุนใหม่จากกองทุนวายุภักษ์ กองทุน Thai ESG และการเข้าสู่ไฮซีซั่นด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย           การลงทุนในกองรีท LHSC จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากทั้งทรัพย์สินปัจจุบันของกอง คือ โครงการศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 อโศก และทรัพย์สินที่เตรียมจะลงทุนเพิ่มเติม คือ โครงการศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา เป็นโครงการที่มีทั้ง คนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก และการลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้ จะเป็นการกระจายทำเลการลงทุนสู่เมืองท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก เพื่อเสริมความแข็งแกร่งแก่ผลการดำเนินงานและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ LHSC           นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LH Fund) ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ กล่าวว่า LHSC ได้รับปัจจัยบวกจากภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยที่เติบโตได้ดี โดยช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแล้ว 17.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณ 35% จากช่วงครึ่งแรกของปี 2566 และคาดการณ์ทั้งปี 2567 อยู่ที่ 36 ล้านคน ขณะที่ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะโครงการศูนย์การค้าระดับไพร์มในพัทยา ที่มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 สูงมากกว่า 90%  โดยโครงการศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ LHSC จะลงทุนเพิ่มเติม มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยสูงถึง 99% โดยโครงการตั้งอยู่บริเวณวงเวียนปลาโลมาใจกลางพัทยาเหนือ สามารถเข้าออกได้หลายเส้นทาง และใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ เพียง 1 ชั่งโมงครึ่ง มีที่จอดรถให้แก่ผู้ใช้บริการมากกว่า 2,000 คัน และอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา และใกล้กับโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา           ดร.ณัฐกวิน เจียมโชติพัฒนกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ กล่าวว่า โครงการศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 อโศก ซึ่งเป็นทรัพย์สินปัจจุบันของกองทรัสต์ ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เทอร์มินอล 21 บนทำเลใจกลางเมืองอโศก-สุขุมวิท จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้า BTS อโศก และ MRT สุขุมวิท รวมถึงแวดล้อมด้วยโรงแรมระดับ 4 – 5 ดาว คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน สถานศึกษา ศูนย์ประชุมนานาชาติ โดยโครงการมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 98% และผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 LHSC มีรายได้จากลงทุนรวม 696.3 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจากการลงทุน รวม 321.4 ล้านบาท เติบโตกว่า 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกแล้วรวม 0.527 บาทต่อหน่วย และด้วยศักยภาพของศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา ที่กองทรัสต์จะเข้าลงทุนเพิ่มเติมจะเข้ามาช่วยเพิ่มขนาดสินทรัพย์ของกองทรัสต์ เสริมสภาพคล่องและสร้างโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นให้แก่นักลงทุนด้วย

[ภาพข่าว] ตลาดหลักทรัพย์ฯ สัญจร จ. ขอนแก่น

[ภาพข่าว] ตลาดหลักทรัพย์ฯ สัญจร จ. ขอนแก่น

           ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัด ตลาดหลักทรัพย์ฯ สัญจร จ. ขอนแก่น “หาโอกาสในตลาดหุ้น สร้างพอร์ตลงทุนให้เติบโต” โดยมี รินใจ ชาครพิพัฒน์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมด้วยผู้บริหารองค์กรพันธมิตรและวิทยากรร่วมเปิดงาน เมื่อ 5 ต.ค. 2567 มีผู้เข้าร่วมอย่างคับคั่งต่อเนื่องตลอดวันกว่า 1,000 คน สะท้อนความตื่นตัวด้านการวางแผนการเงิน เรียนรู้ผลิตภัณฑ์และมองหาทางเลือกลงทุนทั้งหุ้นไทย หุ้นนอก กองทุนรวม และตราสารอนุพันธ์ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุ 20-40 ปี และมีสัดส่วนกว่า 60% ของผู้เข้าชมงาน โดยปีนี้กลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินสายสัญจรภูมิภาคแล้ว 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี เชียงใหม่ และขอนแก่น ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ผู้ลงทุนสามารถติดตามความรู้การลงทุนและข่าวสารกิจกรรมต่าง ๆ ได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.setinvestnow.com

[PR News] “ทรู คอร์ปอเรชั่น” ออกหุ้นกู้ชุดใหม่ ดอกเบี้ย 2.95–4.10%ต่อปี เครดิต “A+”

[PR News] “ทรู คอร์ปอเรชั่น” ออกหุ้นกู้ชุดใหม่ ดอกเบี้ย 2.95–4.10%ต่อปี เครดิต “A+”

          กรุงเทพฯ : 8 ตุลาคม 2567 - บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป จำนวน 5 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง [2.95 - 4.10]% ต่อปี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21-22 และ 25 พฤศจิกายน 2567 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้           นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 ของทรู คอร์ปอเรชั่นแสดงถึงความสำเร็จต่อเนื่องจากการควบรวมทรูและดีแทค ด้วยกำไรสุทธิ (หลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ) 2.4 พันล้านบาท และ EBITDA ที่เติบโตเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน สะท้อนการเติบโตของรายได้จากธุรกิจหลักและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ  เรายังมุ่งสู่การเป็นผู้นำโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่ยั่งยืน เน้นการใช้ AI และระบบอัตโนมัติเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร  นอกจากนี้ การลงทุนในเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุม 92% ของประชากร จะช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทและสร้างคุณค่าแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน”           บริษัทฯ และหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 ซึ่งสะท้อนถึงสถานะผู้นำทางการตลาด (market position) ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ เสริมทัพด้วยโครงข่ายทั่วประเทศ ชุดคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม และชื่อแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย  อีกทั้งปัจจัยบวกจากประโยชน์ที่คาดว่า จะเกิดขึ้นจากการควบรวม รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯที่คาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอีกด้วย           ทางด้านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสะสมหุ้นกู้ที่มีคุณภาพก่อนที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเริ่มปรับตัวลดลง โดยเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 ที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยปรับลดลง 0.50% และส่งสัญญาณที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ สำหรับประเทศไทย แม้ว่าการประชุมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% แต่ก็มีโอกาสที่ กนง. จะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯประกาศลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยการประชุมครั้งต่อไปคือวันที่ 16 ตุลาคม 2567 ช่วงเวลานี้จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง และด้วยอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A+ แนวโน้ม “คงที่” ของทรู น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน”           หุ้นกู้ครั้งนี้จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุหุ้นกู้ระหว่าง 2 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทั้งนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21-22 และ 25 พฤศจิกายน 2567 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ซึ่งบริษัทฯ หวังว่าหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนหุ้นกู้ทุกชุดที่ผ่านมาของบริษัทฯ โดยหุ้นกู้ทั้ง 5 ชุดที่เสนอขาย มีรายละเอียดดังนี้ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [2.95 - 3.10]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.25 - 3.40]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.65 – 3.80]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.80 – 3.95]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.95 – 4.10]% ต่อปี ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป           ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai Digital Banking ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004 บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)           สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

[PR News] แรบบิท ประกันชีวิต เปิดแผนไตรมาส 4 เจาะทุกกลุ่มเจเนอเรชัน

[PR News] แรบบิท ประกันชีวิต เปิดแผนไตรมาส 4 เจาะทุกกลุ่มเจเนอเรชัน

          แรบบิท ประกันชีวิต เปิดแผนไตรมาส 4 เจาะทุกกลุ่มเจเนอเรชัน รับดีมานด์ตลาดประกันโตต่อเนื่อง พร้อมส่ง 2 แคมเปญใหญ่ ‘ผู้ใช้แรงเงิน จัดการเงินก่อนที่เงินจัดการเรา – โปรโมชันกรมมะธอย’ เร่งดันยอดส่งท้ายปี           กรุงเทพฯ 8 ตุลาคม 2567- บริษัท แรบบิท ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ Rabbit Life เร่งเครื่องกระตุ้นยอดขายในไตรมาสที่ 4 รับดีมานด์ตลาดประกันชีวิตโตครึ่งปีแรก 67 กว่า 3.8% เดินหน้าเปิดแผนการตลาดเชิงรุกเน้นเจาะทุกกลุ่มเจเนอเรชัน ภายใต้วิสัยทัศน์ “คิดแตกต่าง เพื่อยกระดับชีวิต” ด้วยประกันชีวิตที่ตอบโจทย์และเข้าใจง่าย” ชู 3 แกนกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1. ประกันที่ง่ายเข้าใจทุกความต้องการ 2.ประกันที่เข้าถึงง่าย และ 3.ประกันที่นำเสนอผลประโยชน์สูงสุด พร้อมอัดแคมเปญส่งเสริมการตลาดแบบจัดเต็ม ทั้งการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “ผู้ใช้แรงเงิน จัดการเงินก่อนที่เงินจัดการเรา” และครั้งแรกกับ ตัวแทนของกรมธรรม์ในรูปแบบอาร์ตทอย “กรม-มะ-ธอย” ซึ่งเป็นครั้งแรกของการ Collab กับศิลปินไทยชื่อดัง NEWYEAR รับกระแสอาร์ตทอยมาแรง ที่เตรียมไว้ให้ลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ตามเงื่อนไขที่กำหนด รวมถึงนำเสนอผลิตภัณฑ์สุดพิเศษสำหรับการลดหย่อนภาษีอย่าง Hero 10/3 เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำเรื่องประกันลดหย่อนภาษี นำเสนอประกันของคนรุ่นใหม่ที่ทันสมัย เข้าใจง่าย และครอบคลุมทุกความต้องการอย่างแท้จริง           นายกรณ์ ชินสวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แรบบิท ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในปัจจุบันยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากผลวิเคราะห์ของสมาคมประกันชีวิตไทยเผยว่าในครึ่งปีแรก 2567 มีอัตราเติบโตสูงขึ้นถึง 3.8% คิดเป็นมูลค่าเบี้ยประกันถึง 3.1 แสนล้าน และในช่วงไตรมาสสุดท้ายของทุกปี ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งสิ่งที่ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญและมองหามากขึ้นคือผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบริหารจัดการทั้งเรื่อง Lifestyle, สุขภาพ และการลดหย่อนภาษี  ที่มาพร้อมกับผลประโยชน์ที่คุ้มค่าและคุ้มครองชีวิตได้ทุกมุม ทั้งนี้แรบบิท ประกันชีวิตในฐานะผู้นำประกันที่คิดเพื่อตอบโจทย์ ให้ทุกชีวิตดีแบบก้าวกระโดด ได้เล็งเห็นถึงโอกาสสำคัญในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ผ่าน 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ ประกันที่ง่ายเข้าใจทุกความต้องการ ตอกย้ำจุดยืนการคิดผลิตภัณฑ์จากมุมมองและความต้องการของลูกค้า (Customer Centric) ให้ “แรบบิท ประกันชีวิต” พร้อมเป็นประกันที่เข้าใจทุกความต้องการเรื่องการจัดการเงินและชีวิตของคน New Gen พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจง่าย ดอกจันน้อย และไม่ซับซ้อน ประกันที่เข้าถึงง่าย นำเสนอผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางออนไลน์ (Internet Sale) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็วและได้ง่ายดายผ่านเว็บไซต์ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนั้นลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ พร้อมรับคำปรึกษาและคำแนะนำผลิตภัณฑ์ได้จากตัวแทนขายในทุกช่องทาง อาทิ ตัวแทนประกันชีวิต, นายหน้าประกันชีวิต, ที่ปรึกษาทางการเงิน และช่องทางการขายทางโทรศัพท์ ประกันที่นำเสนอผลประโยชน์สูงสุด นำเสนอผลิตภัณฑ์แนวใหม่ที่มาพร้อมกับผลประโยชน์สุดคุ้มค่า และคุ้มครองอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งช่วยในการลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย อาทิ ผลิตภัณฑ์ Hero 10/3 ฮีโร่ตัวใหม่ ที่จะมอบความสบายใจเรื่องลดหย่อนภาษีได้ในระยะยาว พร้อมกันนี้บริษัทยังได้เตรียมกิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกเจเนอเรชันในช่วงไตรมาสที่ 4 ส่งความคุ้มค่าช่วงท้ายปีแบบจัดหนักจัดเต็ม อาทิ การเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “ผู้ใช้แรงเงิน จัดการเงินก่อนที่เงินจัดการเรา” ภาพยนตร์โฆษณาที่เข้าใจทุกคนว่า “เงิน คือทุกอย่างของชีวิต” พร้อมช่วยแนะแนวทางจัดการเงินก่อนที่เงินจัดการเรา หากไม่รีบจัดการเงินตั้งแต่ตอนนี้ นอกจากนี้แรบบิท ประกันชีวิต ยังเข้าใจถึงเทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน ดึงศิลปินไทยชื่อดัง NEWYEAR มาร่วม Collab ครั้งแรกในการทำโปรโมชันสุดพิเศษ โดยให้ NEWYEAR มาร่วมออกแบบ “กรม-มะ-ธอย” ครั้งแรกกับตัวแทนของกรมธรรม์ในรูปแบบอาร์ตทอย รับกระแสอาร์ตทอยที่ยังมาแรง เอาใจลูกค้าประกันที่เป็นนักสะสมตัวยง และปิดท้ายด้วยแคมเปญโฆษณาประกัน Hero 10/3 เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำเรื่องประกันลดหย่อนภาษี นำเสนอประกันของคนรุ่นใหม่ที่ทันสมัย เข้าใจง่าย และครอบคลุมทุกความต้องการอย่างแท้จริง เพื่อตอบทุกโจทย์ความต้องการด้านลดหย่อนภาษี “แรบบิท ประกันชีวิตมีความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจที่เน้นให้ความสำคัญกับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ทั้งนี้เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดีไซน์กลยุทธ์ใหม่ที่สอดคล้องกับอินไซต์ของผู้บริโภค และเทรนด์ความต้องการในปัจจุบันผ่านกิจกรรม และการจัดทำแคมเปญต่างๆ จะสามารถดันยอดขายผลิตภัณฑ์ในไตรมาสสุดท้ายนี้โตขึ้นกว่า 30 %” นายกรณ์ กล่าวสรุป สามารถอัปเดตข้อมูลข้อมูลข่าวสาร และโปรโมชันต่างๆ ของแรบบิท ประกันชีวิตได้ที่เว็บไซต์ Rabbit Life  www.rabbitlife.co.th

“ตลาดหุ้นจีน” ส่งสัญญาณปรับฐาน โอกาสทองลงทุนยาว

“ตลาดหุ้นจีน” ส่งสัญญาณปรับฐาน โอกาสทองลงทุนยาว

          ตลาดหุ้นจีนมีโอกาสปรับฐานในเร็ว ๆ นี้ หลังราคาดีดขึ้นมาแรงและนักลงทุนอาจเปลี่ยนไปจับตานโยบายด้านการคลังที่อาจจะตามมาภายหลัง รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่มองการปรับฐานคือโอกาสลงทุนระยะยาว ส่วนสินทรัพย์อื่นที่น่าสนใจคือราคาน้ำมันดิบจากความตึงเครียดระว่างอิหร่านและอิสราเอล รวมทั้ง ‘บิทคอยน์’ ที่สถิติในอดีตระบุว่าปีที่เกิด Bitcoin Halving ไตรมาสสุดท้ายของปีจะสร้างผลตอบแทนได้ดีเสมอ           นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า มองตลาดหุ้นจีนอาจเข้าสู่การปรับฐานในเร็ว ๆ นี้ จากปัจจัยลบที่เข้ามากดดันตลาดตลอดเดือนตุลาคม หลังราคาตลาดหุ้นจีนพุ่งแรงในช่วงสั้นจนสัญญาณทางเทคนิคบอกว่าเข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ทำให้มีโอกาสสูงที่จะมีแรงเทขายในช่วงสั้น           ขณะที่นโยบายด้านการเงินที่รัฐบาลจีนสั่งการลงมาทั้งในด้านของการลดดอกเบี้ยเงินกู้อสังหาริมทรัพย์ การลดเงินสำรองของธนาคาร ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าเศรษฐกิจจีนจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง แต่อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้กลับไปอยู่ในระดับเดียวกันกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เมื่อนักลงทุนซึมซับกับนโยบายการเงินไปหมดแล้วอาจมีการเทขายทำกำไรในตลาดหุ้น           นอกจากนี้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะมีผลต่อตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะหากโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี เพราะมีจุดยืนนโยบายต่างประเทศที่กีดกันธุรกิจจากจีนเป็นหลัก           “ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมาในครั้งนี้อาจจะเป็นการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่หากจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้อย่างเต็มตัวจำเป็นจะต้องมีนโยบายอื่นเข้ามาสนับสนุน โดยสำนักข่าวต่างประเทศเริ่มให้น้ำหนักว่ารัฐบาลจีนอาจจะออกนโยบายทางการคลังเข้ามาเสริม ซึ่งน่าจะเป็นแรงผลักดันที่มากพอทำให้ตลาดหุ้นจีนกลับมามีแนวโน้มขาขึ้นอย่างเต็มตัว”           นายณพวีร์ กล่าวว่า ในเดือนนี้ ผู้ที่ถือหุ้นจีนมาตั้งแต่ต้นทางอาจพิจารณาขายทำกำไรออกไปก่อนบางส่วนเพื่อล็อคกำไร ส่วนผู้ที่ยังไม่มีหุ้นจีนเลยอาจอาศัยจังหวะที่ตลาดปรับฐานทยอยเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานดี เพื่อลงทุนระยะยาวมากกว่าหนึ่งปีขึ้นไปได้ โดยมองว่าตลาดหุ้นจีน หากสามารถกลับมาเป็นขาขึ้นได้อย่างเต็มตัวจะปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่องหลายเดือน           ด้านอุตสาหกรรมที่น่าสนใจในการลงทุน มองกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ถือว่าปรับตัวขึ้นได้แรงที่สุดจากนโยบายของรัฐบาลที่ออกมานั้นส่งผลดีต่อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มากที่สุด อย่างไรก็ตามกลุ่มเทคโนโลยีถือว่าปรับตัวขึ้นมาได้แรง โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนทั้งในจีนและสหรัฐฯ อย่าง Alibaba, Baidu, Pinduoduo ส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ อย่าง Yum China ก็ถือว่าน่าสนใจเช่นกัน           สำหรับสินทรัพย์อื่นให้จับตากรณีอิหร่านและอิสราเอลเกิดความตึงเครียดระหว่างกันอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันกลับมาเป็นขาขึ้นได้อีกครั้ง หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบ Brent ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และล่าสุดราคาดีดตัวขึ้นมาต่อเนื่อง ถ้าหากสามารถผ่านแนวต้านที่ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ อาจจะกลับขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดเดิมที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้เช่นกัน           ขณะที่ “บิทคอยน์” มีโอกาสจะเป็นขาขึ้นตลอดไตรมาส 4/2567 นี้ จากสถิติในอดีต ปีที่เกิด Bitcoin Halving ราคาบิทคอยน์จะสร้างผลตอบแทนได้อย่างดีตลอดสามเดือนสุดท้ายของปี โดยบิทคอยน์ได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มปรับลดดอกเบี้ยลง และนโยบายการหาเสียงของผู้สมัครท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มุ่งส่งเสริมด้านคริปโต โดยสามารถสะสมได้ที่แนวรับ 60,000 ดอลลาร์ และมีเป้าหมายในช่วงสิ้นปีนี้ที่ระดับ 80,000 ดอลลาร์           ส่วนตลาดหุ้นไทยมีโอกาสสูงที่จะสิ้นสุดแนวโน้มขาลง โดยมีปัจจัยหนุนจากการตั้งกองทุนรวมวายุภักษ์เข้ามาประคองตลาด แต่ยังไม่สามารถคาดหวังการกลับมาเป็นขาขึ้นได้อย่างเต็มตัว โดยยังต้องจับตาการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไป และต้องคัดเลือกหุ้นที่จะเข้าลงทุนเป็นรายตัว โดยกลุ่มที่น่าสนใจคือการท่องเที่ยว ซึ่งได้รับผลบวกจากช่วงไตรมาสสี่ที่เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวสูงที่สุด           ทั้งนี้ ภาพรวมการลงทุนหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในระยะยาวจะส่งผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ แต่ระยะสั้นตลาดยังกังวลเรื่องของภาวะเศรษฐกิจถดถอย นักลงทุนยังต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่จะประกาศออกมาหลังจากนี้ แต่ในภาพรวมถือว่าทั้งตลาดหุ้น ทองคำ สินทรัพย์ดิจิทัล จะมีแนวโน้มที่สดใสในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

[PR News] บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดตัวกองทุน KKP SIB-H และ KKP SIB-UH

[PR News] บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดตัวกองทุน KKP SIB-H และ KKP SIB-UH

          บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดตัวกองทุน KKP SIB-H และ KKP SIB-UH ขยายโอกาสสร้างผลตอบแทนให้พอร์ตกับตราสารหนี้ต่างประเทศ ที่เน้นลงทุนในสหรัฐ เสนอขายครั้งแรก (IPO) วันที่ 8 – 16 ตุลาคมนี้           บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด (บลจ.เกียรตินาคินภัทร) มองเห็นโอกาสการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ช่วยในการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุน จึงเปิดเสนอขาย 2 กองทุนใหม่ล่าสุด ได้แก่ กองทุนเปิดเคเคพี สตราทิจิค อินคัม บอนด์ เฮดจ์ (KKP SIB-H) และกองทุนเปิดเคเคพี สตราทิจิค อินคัม บอนด์ อันเฮดจ์ (KKP SIB-UH) ที่เน้นลงทุนในกองทุนหลัก Neuberger Berman Strategic Income Fund ซึ่งมุ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทหรือรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา ด้วยกลยุทธ์การบริหารกองทุนแบบเชิงรุก (Active Management) โดยเปิดเสนอขายทั้งประเภทป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเกือบทั้งหมด (HEDGED) และไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (UNHEDGED) เพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุน ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท กำหนดการเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 8 – 16 ตุลาคม 2567           นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า แม้ FED จะเริ่มวัฎจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว แต่การปรับลดคาดว่าจะเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยประมาณการอัตราดอกเบี้ยของ FED (FED Dot Plot) ชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ในช่วง 4.25%-4.5% ในสิ้นปีนี้และช่วง 3.25%-3.5% ในปีหน้า ตามคาดการณ์เศรษฐกิจเติบโตลดลงแต่ไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย (Soft landing) ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปีในปัจจุบันที่ 3.74% เป็นระดับที่ไม่ต่ำเกินไป ทำให้มองว่าการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศมีความน่าสนใจทั้งในเรื่องอัตราดอกเบี้ยจากการลงทุนและการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว บลจ.เกียรตินาคินภัทร จึงได้นำเสนอกองทุน KKP SIB-H และ KKP SIB-UH แก่นักลงทุนไทยเพื่อเป็นทางเลือกการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ           สำหรับ กองทุน KKP SIB-H และ KKP SIB-UH ระดับความเสี่ยง 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Feeder Fund มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก Neuberger Berman Strategic Income Fund ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุนหลักจะลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทหรือรัฐบาล ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทหรือรัฐบาลนอกสหรัฐอเมริกา ความน่าสนใจของกองทุนหลักคือ เป็นกองทุน Multi-Sector Bond ที่ลงทุนได้แบบยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนอายุเฉลี่ยของตราสารและอุตสาหกรรมได้ตามสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้สามารถลงทุนในตราสารหนี้ได้หลากหลายประเภท รวมถึงมีทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ยาวนานเฉลี่ยกว่า 25 ปี           กองทุน KKP SIB-H จะทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยง (Hedging) ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ ส่วนกองทุน KKP SIB-UH จะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยง (Hedging) ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ           สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 305 9559 หรือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทรทุกสาขา หรือ https://am.kkpfg.com หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง ข้อมูลกองทุน KKP SIB-H และ KKP SIB-UH : เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่าง วันที่ 8-16 ตุลาคม 2567 มูลค่าขั้นต่ำในการซื้อครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งถัดไป 1,000 บาท คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุน KKP SIB-H จะทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเกือบทั้งหมด (ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ) กองทุนจึงอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนในส่วนที่ไม่ได้ทำการป้องกันความเสี่ยงไว้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุน KKP SIB-UH จะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ดังนั้น กองทุนจึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ โปรดศึกษาคำเตือนที่สำคัญอื่นและข้อมูลเพิ่มเติมได้ในหนังสือชี้ชวนส่วนข้อมูลกองทุนรวม https://am.kkpfg.com หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง

ขุนคลังชี้หุ้นไทยพ้นบ่วง  VAYU1 ฟื้นความเชื่อมั่น

ขุนคลังชี้หุ้นไทยพ้นบ่วง VAYU1 ฟื้นความเชื่อมั่น

          หุ้นวิชั่น- “กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง” นำหน่วยลงทุนประเภท ก. เข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใต้ชื่อย่อ ‘VAYU1’  หลังกระแสตอบรับล้นหลามจากผู้ลงทุนรายย่อยและผู้ลงทุนสถาบันในการเสนอขายหน่วยลงทุนที่ผ่านมา ชูอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ 3 % ต่อปี และขั้นสูงไม่เกิน 9 % ต่อปี คงที่ตลอด 10 ปี ขุนคลังชี้ ปัญหาอุปสรรคการลงทุนเริ่มคลี่คลายแล้ว           นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้วางแนวทางการระดมทุนผ่านหน่วยลงทุนประเภท ก. ของ “กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง” หรือ “VAYU1” เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนและความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ หลังจากตลาดทุนไทยมีความผันผวนในช่วงที่ผ่านมา การนำหน่วยลงทุนประเภท ก. เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เชื่อว่ากองทุนฯ จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุนของประเทศตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนฯ           สำหรับการเปิดการซื้อขายวันแรกเป็นไปอย่างน่าพอใจ โดย ‘VAYU1’ มีอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% ต่อปี และสูงสุดไม่เกิน 9% นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังเพิ่มขึ้นจากการทำงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่ปรับปรุงกติกาต่างๆ ให้เหมาะสมมากขึ้น ส่งผลให้คาดว่ามีเม็ดเงินลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง           นายพิชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยยังมีเงินทุนในรูปแบบเงินฝากและตราสารหนี้ (Fixed Income) ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนจากตราสารหนี้คงที่ไปสู่ตราสารที่มีอัตราผลตอบแทนแบบลอยตัว (Floating) มากขึ้น ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลงในส่วนของการส่งเสริมการลงทุน แม้เคยมีอุปสรรคในช่วงที่ผ่านมา แต่ขณะนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย และต้องติดตามว่ามาตรการใดจะถูกปรับใช้เพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุน นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังดำเนินมาตรการเข้มงวดสำหรับผู้ลงทุนที่ไม่เหมาะสม           นายพิชัยยังกล่าวว่า ประสิทธิภาพของเครื่องจักรทางเศรษฐกิจปัจจุบันจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ โดยเฉพาะการดึงดูดนักลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งหากทำสำเร็จ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตลาดได้มากขึ้น สำหรับกรอบเงินเฟ้อของไทย ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้และต่ำกว่ากรอบล่าง ซึ่งจำเป็นต้องมีการพิจารณาปรับเพื่อให้สอดคล้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกรอบเงินเฟ้อที่เหมาะสมในภูมิภาคนี้อยู่ที่ประมาณ 2-3% ซึ่งสูงกว่าไทยเล็กน้อย           นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ในนามของคณะกรรมการกำกับการดำเนินงานกองทุนรวมวายุภักษ์ กล่าวว่า ภายหลังจากที่กองทุนฯ เสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้าลงทุนในตลาดทุนผ่านการลงทุนในกองทุนฯ ทำให้กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เป็นหนึ่งในกองทุนรวมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ประมาณ 5 แสนล้านบาท และด้วยการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนฯ เชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการเงินที่ได้จากการเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. จำนวน 1.5 แสนล้านบาท และส่งเสริมให้กองทุนฯ มีผลการดำเนินงานที่มั่นคงมากขึ้น และสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้แก่นักลงทุน           นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง กล่าวว่า ขอขอบคุณผู้ลงทุนรายย่อย และผู้ลงทุนสถาบันทุกราย สำหรับการตอบรับการเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. ของกองทุนฯ อย่างล้นหลาม ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการ และผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ที่แข็งแกร่งในระยะยาว สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. กองทุนฯ ได้เริ่มนำไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ ภายใต้กรอบนโยบายการลงทุนของกองทุนฯ แล้ว โดยเน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน

‘สมาคมนักวางแผนการเงินไทย’ (TFPA) หนุนคนไทยออมก่อนใช้เพื่อการเกษียณ

‘สมาคมนักวางแผนการเงินไทย’ (TFPA) หนุนคนไทยออมก่อนใช้เพื่อการเกษียณ

          ‘สมาคมนักวางแผนการเงินไทย’ หรือ TFPA พร้อมช่วยเหลือคนไทยวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอย่างมีคุณภาพ จับมือ “กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ” และ “กองทุนการออมแห่งชาติ” จัดกิจกรรม Workshop การวางแผนการเงิน 3 กลุ่มอาชีพ “ข้าราชการ-อาชีพอิสระ-พนักงานประจำ” ให้ความรู้และฝึกวางแผนการเงินเบื้องต้นกับนักวางแผนการเงิน CFP ส่งเสริมคนไทยออมก่อนใช้ พร้อมต่อยอดเตรียมจัดกิจกรรม Financial Planning Clinic ให้คำปรึกษาวางแผนการเงินออนไลน์           นายวิโรจน์ ตั้งเจริญ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย (Thai Financial Planners Association – TFPA) เปิดเผยว่า ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) แล้วในปี 2567-2568 เนื่องจากมีสัดส่วนประชากรสูงอายุ (ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป) 20% ของประชากรทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบว่าผู้สูงอายุที่ไม่มีรายได้หลังเกษียณมีสัดส่วนถึง 21.1% และมีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี 84.2% สอดคล้องกับผลสำรวจจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่าคนไทย 30% ไม่มีเงินเก็บเพื่อการเกษียณ และ 60% มีเงินเก็บไม่ถึง 200,000 บาท จากแนวคิดที่ยังไม่ตระหนักถึงการออมเงินไว้ใช้จ่ายในอนาคต หรือขาดความรู้ในเรื่องการวางแผนการเงินและการลงทุน รวมถึงขาดวินัยทางการออม หากไม่เปลี่ยนพฤติกรรมอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม           สมาคมนักวางแผนการเงินไทยต้องการส่งเสริมให้คนไทยตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนการเงินและมีวินัยในการออม เพื่อเตรียมพร้อมก่อนการเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย จึงได้ร่วมกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จัดการอบรม Workshop การวางแผนการเงินสำหรับ 3 กลุ่มอาชีพ ได้แก่ “ข้าราชการ” “อาชีพอิสระ” และ “พนักงานประจำ” เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนการเงินในแต่ละอาชีพ โดยผู้เข้าร่วมอบรมสามารถนำไปวางแผนการเงินที่เหมาะสมกับตนเองได้ เนื่องจากแต่ละอาชีพมีที่มาของรายได้ การหักค่าใช้จ่าย ตลอดจนสวัสดิการที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การวางแผนการเงินมีความแตกต่างกัน เช่น การวางแผนภาษี การวางแผนประกัน เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมนี้มีผู้เข้าร่วมจาก 3 กลุ่มอาชีพ อายุ 20-60 ปี รวม 145 คน           โดย “กลุ่มอาชีพพนักงานประจำ” นักวางแผนการเงิน CFP มีคำแนะนำเพื่อเตรียมตัวเกษียณ ได้แก่ 1) การไม่พึ่งพิงรายได้ทางเดียวโดยหากิจกรรมที่ชอบเพื่อสร้างรายได้ 2) ควรทำประกันสุขภาพให้เพียงพอเพื่อรองรับชีวิตหลังการเกษียณ 3) ทำประกันบำนาญเพื่อช่วยจัดการค่าใช้จ่ายคงที่ 4) ศึกษาและวางแผนจัดการภาษีก่อนและหลังเกษียณ และ 5) จัดพอร์ตการลงทุนเพื่อการเกษียณอย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันแนะนำให้เริ่มต้นวางแผนการเงินด้วยการทำบัญชีรายรับรายจ่าย ตั้งเป้าหมายเงินออม เก็บเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน วางแผนประกันภัยเพื่อปกป้องความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ไม่ก่อหนี้เกินตัวและรีบแก้ไขเมื่อมีหนี้เกินตัว รวมถึงแยกหนี้ดี เช่น หนี้บ้าน-คอนโดฯ ออกจากหนี้เลวจากการซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็น เริ่มต้นวางแผนเกษียณให้เร็วที่สุด และสุดท้ายคือจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมและหมั่นหาความรู้อยู่เสมอ           ทั้งนี้ ควรวางแผนลดหย่อนภาษีเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย อาทิ กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) นำมาใช้ลดหย่อน ได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ หรือไม่เกิน 200,000 บาท กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ /กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท โดยทั้งหมดนี้นำมาใช้ลดหย่อนรวมกันได้ไม่เกิน 500,000 บาท และกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) นำมาใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้หรือไม่เกิน 300,000 บาท นอกจากนี้ หลังจากเกษียณอายุ ควรแบ่งการลงทุนเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. กลุ่มความเสี่ยงต่ำ มีสภาพคล่องสูง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในระยะ 0-3 ปี เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ระยะสั้น คาดหวังผลตอบแทน 0.25-1.5% 2. กลุ่มความเสี่ยงต่ำ-ปานกลาง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในอีก 4-7 ปี เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ คาดหวังผลตอบแทน 4% 3. กลุ่มความเสี่ยงปานกลาง-สูง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในช่วงเกินกว่า 7 ปีข้างหน้า เช่น พอร์ตกองทุน คาดหวังผลตอบแทน 6% ซึ่งพอร์ตการลงทุนในกลุ่มที่ 2 และ 3 เมื่อมีอายุถึง 82 ปี และ 86 ปีตามลำดับ ให้ย้ายเงินลงทุนมายังกลุ่มเสี่ยงต่ำทั้งหมดและคงไว้ตลอดชีวิต           ส่วน “กลุ่มอาชีพข้าราชการ” ซึ่งเป็นกลุ่มอาชีพที่มีความมั่นคงอาจมีคำถามว่าทำไมยังต้องวางแผนการเงิน จากที่สมาคมฯ ได้จัดกิจกรรม Workshop การวางแผนการเงิน พบว่ากลุ่มอาชีพข้าราชการได้มีการเตรียมพร้อมวางแผนทางการเงินมาระดับหนึ่ง ส่วนใหญ่เข้าใจว่าสวัสดิการที่มีอยู่เพียงพอต่อชีวิตหลังวัยเกษียณแล้ว แต่อาจไม่ได้นึกถึงการปกป้องความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ไม่ได้ทำประกันชีวิต เพราะเมื่อเสียชีวิตแล้วสวัสดิการที่ได้รับก็จะสิ้นสุดไปด้วย ทำให้ครอบครัวได้รับผลกระทบเนื่องจากขาดรายได้ ดังนั้นเพื่อให้ครอบครัวสามารถอยู่ต่อโดยไม่ลำบากจึงจำเป็นต้องวางแผนการเงินล่วงหน้า           นอกจากนี้ ควรฝึก 5 นิสัยเพื่อให้เก็บเงินได้รวดเร็วขึ้น ได้แก่ เลี่ยงสร้างหนี้ ตั้งเป้าหมายการออมที่ชัดเจน ตั้งงบประมาณต่างๆ ที่จะใช้ต่อเดือน บันทึกรายรับรายจ่ายอย่างง่าย และใช้เครื่องมือทางการเงินให้ถูกต้อง ตลอดจนควรแบ่งสัดส่วนเงินให้ชัดเจนด้วยเทคนิค “โหล 6 ใบ” ใบแรก แบ่งเงิน 55% เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ใบที่สอง 10% เพื่อเป็นเงินเก็บสำรอง ใบที่สาม 10% เพื่อพัฒนาตนเอง ใบที่สี่ 10% เพื่ออิสรภาพทางการเงินโดยนำไปลงทุน เช่น หุ้น กองทุน อสังหาริมทรัพย์ ใบที่ห้า 10% เพื่อให้รางวัลตนเอง และใบที่หก 5% เงินเพื่อการให้           ขณะที่ “กลุ่มอาชีพอิสระ”  ซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอน แต่มีรายจ่ายถาวร จึงให้เริ่มต้นทำรายรับรายจ่ายล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี และให้กำหนดเงินเดือนตนเองเสมือนพนักงานประจำเพื่อให้มีวินัยการเงินมากขึ้น มีการสร้างแผนสำรองเงินสดยามฉุกเฉินระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี และออมเงิน 20-40% ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย วางแผนการเงินระยะยาวเมื่อต้องใช้เงินก้อนใหญ่ และป้องกันรายจ่ายก้อนใหญ่ด้วยประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง วางแผนเกษียณอายุโดยไม่ละเลยการออมและลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่ลดหย่อนภาษีได้ เช่น SSF, RMF นอกจากนี้ ควรเตรียมเงินเพื่อเสียภาษีให้เพียงพอ โดยผู้ที่คาดว่าจะมีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาท ต้องเตรียมตัวยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และหมั่นทบทวนปรับแผนการเงินอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง           “หลายคนเข้าใจผิดว่าการเตรียมความพร้อมเพื่อการเกษียณ เป็นเรื่องของคนอายุมากหรือใกล้เกษียณ  แต่การเกษียณแบบมีความสุขต้องอาศัยการวางแผนระยะยาวตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน เพราะการวางแผนเมื่อใกล้เกษียณ จะกดดันตัวเองและอาจไม่ทันการณ์อีกด้วย ” นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทยกล่าว           นอกจากนี้ สมาคมฯ เตรียมจัดกิจกรรม Financial Planning Clinic บริการให้คำปรึกษาวางแผนการเงินผ่านระบบออนไลน์กับนักวางแผนการเงิน CFP แบบรายบุคคลแก่ประชาชนที่สนใจ โดยร่วมบริจาคเงิน 500 บาทแก่สภากาชาดไทย ซึ่งเงินบริจาคสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า เพื่อรับสิทธิ์รับคำปรึกษา ระยะเวลา 1 ชั่วโมง ในวันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2567 แบ่งเป็น 3 รอบ ได้แก่ เวลา 9.00-10.00 น. เวลา 10.15-11.15 น. และเวลา 11.30-12.30 น. รวม 30 สิทธิ์ สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ - 9 ตุลาคม 2567 หรือจนกว่าสิทธิ์จะเต็ม โดยแนบสลิปเงินบริจาคและเลือกรอบเวลา พร้อมกรอกข้อมูลผ่านแบบฟอร์มที่ https://www.surveymonkey.com/r/9MHV5NS โดยสมาคมฯ จะแจ้งยืนยันการลงทะเบียน และช่องทางเข้าร่วมกิจกรรมทางอีเมลที่ได้ลงทะเบียนไว้ หรือสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.tfpa.or.th หรือ Facebook สมาคมนักวางแผนการเงินไทย           ด้านนายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า ในปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ คนไทยมีอายุยืนยาวขึ้น นับว่าเป็นโจทย์ที่สำคัญของ กบข. ที่จะทำให้สมาชิกมีเงินใช้ที่เพียงพอในวัยเกษียณ จึงได้เดินหน้าให้ความรู้การเงินการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการ กบข. สัญจรพบสมาชิก ทั้งในรูปแบบ online และ offline รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ (GPF e-learning) ให้สมาชิกได้เข้าศึกษาบทเรียนการเงินการลงทุนผ่านช่องทาง online ของ กบข. ในครั้งนี้ กบข. ยังได้ร่วมกับสมาคมนักวางแผนการเงินไทย จัดกิจกรรมอบรมด้านการวางแผนการเงินจากนักวางแผนการเงิน CFP เพื่อให้สมาชิก กบข. ได้มีโอกาสได้รับข้อมูลการบริหารจัดการเงินอย่างเป็นระบบจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง           นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า กอช. จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง เป็นกองทุนภาคสมัครใจ ที่ส่งเสริมการออมในระยะยาวให้กับนักเรียน นักศึกษา ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่มีอายุตั้งแต่ 15 – 60 ปี สามารถออมเงินได้ตามความสมัครใจ ขั้นต่ำตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 30,000 บาทต่อปี และรัฐสมทบสูงสุด 100% แต่ไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี และไม่จำเป็นต้องออมเป็นประจำเท่ากันทุกเดือน ทั้งนี้ กอช. ยังส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา เริ่มออมกับกอช. ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเมื่อเข้าระบบการทำงาน อาทิ เป็นข้าราชการก็จะมีกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือ พนักงานบริษัทเอกชนมีประกันสังคม ก็จะยังได้รับสิทธิออมเงินต่อเนื่อง จนถึงอายุ 60 ปีบริบูรณ์ และยังออมคู่ขนานได้ เป็นกองทุนที่มีความยืดหยุ่น ที่สำคัญรัฐบาลค้ำประกันผลตอบแทน ให้ในอัตราไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน เฉลี่ย 7 ธนาคาร และยังสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาทต่อปี นับว่า เป็นทางเลือกการออมที่คุ้มค่า ผู้ที่สนใจสมัครเป็นสมาชิก กอช. สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น กอช. หรือทางไลน์แอด กอช. @nsf.th เพื่อตรวจสอบสิทธิและสมัครสมาชิก เพียงระบุเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก และหมายเลขโทรศัพท์มือถือของตนเอง หรือสอบถามเพิ่มเติม ได้ที่สายด่วนเงินออม 02-049-9000           “เราพร้อมยกระดับชีวิตยามเกษียณ ให้กับกลุ่มอาชีพอิสระ ได้มีความมั่นคงในชีวิต ด้วยการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างความตระหนักรู้ในการออมเงิน ยกระดับการเรียนรู้วิถีใหม่ ในโลกยุคดิจิทัล อันจะนำไปสู่การลดความเลื่อมล้ำในสังคม ให้ประชาชนเตรียมพร้อมเข้าสู่วัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ เพื่อมีรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี อีกทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณของภาครัฐในการดูแลผู้สูงอายุได้อีกด้วย” นางสาวจารุลักษณ์ กล่าว

ก.ล.ต. ร่วมเปิดตัว “โครงการ Your Data ข้อมูลของคุณ สู่บริการทางการเงินที่ตอบโจทย์”

ก.ล.ต. ร่วมเปิดตัว “โครงการ Your Data ข้อมูลของคุณ สู่บริการทางการเงินที่ตอบโจทย์”

           นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ และนางวรัชญา ศรีมาจันทร์ รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมงานเปิดตัว “โครงการ Your Data ข้อมูลของคุณ สู่บริการทางการเงินที่ตอบโจทย์” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ธปท. ก.ล.ต. และ คปภ. ในการพัฒนากลไกให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้สิทธิส่งข้อมูลของตนที่อยู่กับผู้ให้บริการและหน่วยงานต่าง ๆ ไปยังผู้ให้บริการที่ต้องการใช้บริการ ได้อย่างสะดวกและปลอดภัยผ่านช่องทางดิจิทัล เพื่อได้รับบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์มากขึ้น โดยได้รับเกียรติจากนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐและสมาคมผู้ให้บริการทางการเงินร่วมแสดงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนโครงการนี้ร่วมกัน เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2567 ณ ห้องภัทรรวมใจ ธนาคารแห่งประเทศไทย            นางวรัชญา กล่าวว่า โครงการนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาตลาดทุนให้ตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนในการสร้างสุขภาวะทางการเงินที่ดี หรือ financial well-being โดยเป็นการสร้างกลไกให้ผู้ใช้บริการทางการเงินสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลเดิมของตนเองเพื่อเข้าถึงบริการทางการเงินได้สะดวกขึ้น หรือรวมข้อมูลสถานะการเงินการลงทุนเพื่อนำไปบริหารจัดการทางการเงินของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก.ล.ต. จะร่วมกับภาคธุรกิจเพื่อกำหนดรูปแบบ มาตรฐานของข้อมูล รวมถึงระบบเชื่อมโยงข้อมูล และส่งเสริมให้เกิด aggregator ที่ช่วยรวบรวม จัดประเภท วิเคราะห์ วางแผนการลงทุนและให้คำแนะนำ เพื่อนำไปสู่การลงทุนหรือการจัดการลงทุนที่ตรงกับความต้องการและเป้าหมายของผู้ลงทุน อันจะช่วยเสริมสร้างความสามารถจัดการลงทุนและการบริหารจัดการด้านการเงินของผู้ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยเพิ่มความมั่งคั่งได้อย่างเหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการ

[PR News] KKPS คว้ารางวัลไพรเวทแบงก์ยอดเยี่ยม

[PR News] KKPS คว้ารางวัลไพรเวทแบงก์ยอดเยี่ยม

           บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) คว้ารางวัล Best Private Bank in Thailand จากเวที Triple A Private Capital Awards 2024 ซึ่งจัดขึ้นโดย The Asset นิตยสารการเงินชั้นนำแห่งเอเชีย ด้วยกลยุทธ์ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจงแต่ละราย            นายณฤทธิ์ โกสาลาทิพย์ ประธานสายงานที่ปรึกษาและบริหารการลงทุนลูกค้าบุคคล เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาแวดวงการลงทุนอาจต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ แต่ธุรกิจ Private Bank ของบล.เกียรตินาคินภัทร ได้พยายามมุ่งมั่นนำเสนอบริการที่จะพาลูกค้าก้าวผ่านความท้าทายและตอบโจทย์ครอบคลุมทุกมิติของความต้องการ จนสามารถคว้ารางวัลจากหลายสถาบันอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปี รวมถึงล่าสุดคือ The Triple A Private Capital Award - Best Private Bank in Thailand จาก The Asset นิตยสารการเงินชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย            “กลยุทธ์สำคัญคือการมุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง นำไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยไม่เพียงจำกัดอยู่ที่ความเป็นบริษัทหลักทรัพย์ขององค์กร แต่ยังผนวกเอาจุดแข็งของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรในทุกส่วนมาเสริมศักยภาพจนกลายเป็นบริการที่ครอบคลุมได้ทุกความต้องการ เช่น การให้คำแนะนำและบริหารการลงทุนส่วนบุคคล การบริหารสภาพคล่อง ไปจนถึงการแนะนำกระบวนการเข้าสู่ตลาดทุน (IPO) การควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions) การบริหารความเสี่ยง หรือการส่งต่อธุรกิจและทรัพย์สินให้แก่ทายาท            นอกจากนี้ บล.เกียรตินาคินภัทร ยังพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ทัดเทียมมาตรฐานระดับสากลอยู่ตลอด และจับมือกับพันธมิตรที่มีความชำนาญ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการและโอกาสการลงทุนไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบหรือภูมิภาคใดของโลก การได้รับรางวัลในครั้งนี้นับเป็นการการันตีถึงศักยภาพการให้บริการด้าน Private Bank ขององค์กร ขอขอบคุณลูกค้าที่เชื่อมั่นในบล.เกียรตินาคินภัทรและไว้วางใจใช้บริการมาอย่างต่อเนื่อง เราจะมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าคนสำคัญของเราต่อไป”            ทั้งนี้ Triple A Private Capital Awards เป็นเวทีที่มอบรางวัลให้กับสถาบันการเงินชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีความโดดเด่นในด้านการบริหารจัดการความมั่งคั่ง การให้คำปรึกษาการลงทุน และบริการด้านการลงทุนต่างๆ ซึ่งจัดขึ้นมามากกว่า 20 ปี พิจารณาและตัดสินโดยคณะบรรณาธิการของ The Asset และจากบทวิจัยประสบการณ์ของลูกค้าในอุตสาหกรรมการเงิน

[PR News] บลจ.ดาโอ ชวนลงทุนหุ้นสหรัฐฯ

[PR News] บลจ.ดาโอ ชวนลงทุนหุ้นสหรัฐฯ

          “บลจ.ดาโอ” เปิดเสนอขาย กองทุนเปิด ดาโอ ยูเอส อิควิตี้ โกรท (DAOL-USEQG) สร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากบริษัทของสหรัฐฯ กับโอกาสการเติบโตบน Mega Trends 8 ธีมหลักภายใต้การบริหารจากผู้จัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญ Baillie Gifford  เปิดขาย IPO วันที่ 3-10 ตุลาคม 2567           คุณนิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด หรือ บลจ.ดาโอ (DAOL INVESTMENT MANAGEMENT) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจลงทุน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ปัจจัยสนับสนุนหลัก คือ การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% มาอยู่ที่ 4.75-5.00% ในการประชุมครั้งล่าสุดเดือนกันยายน 2567 พร้อมกับถ้อยแถลงประธาน FED ที่ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้แข็งแกร่ง ไม่เห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในขณะนี้ ขณะเดียวกัน FED Dot Plot ก็บ่งชี้ว่า FED มีโอกาสลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 4.00-4.25% ในปี 2567 และอีก 4 ครั้งในปี 2568 สู่ระดับ 3.00-3.25% ซึ่งถือว่าจะเป็นการเข้าสู่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลงหลังดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา           คาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะมีผลให้อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตร (Bond Yield) ปรับตัวลดลงตาม ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่ถูกลง Valuation มีโอกาสได้รับการ Rerating เพิ่มขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มหุ้นที่อัตราการเติบโตโดดเด่น (Growth Stock) ทั้งนี้เมื่อดูจากสถิติย้อนหลังในอดีต จะเห็นได้ว่ากลุ่มดังกล่าวจะเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดหลัง FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างเช่น หุ้นเติบโตในกลุ่ม บริการด้านการสื่อสาร (Communication Services) และกลุ่มเทคโนโลยี ที่มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ +3.46%, +1.49 ในหนึ่งสัปดาห์หลังการปรับลดดอกเบี้ย,  +3.83%, +6.42% ในหนึ่งเดือนถัดมา และ +7.10%, +1.91% ในสามเดือนถัดมา ในขณะที่ดัชนี S&P 500 มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ -0.56%, +2.45% และ +2.10% ตามลำดับ           นอกจากนี้ยังคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ปี 2567 คาดเติบโต 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็นการเติบโตสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2564 และคาดการณ์เติบโตต่อเนื่องในปี 2568 เป็น 15% กลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ดี ได้แก่ Info Tech , Comm Services และ Consumer Discretionary ซึ่งจัดเป็นหุ้นในกลุ่ม Growth Stock           บลจ.ดาโอ จึงขอแนะนำโอกาสลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ผ่าน ‘กองทุนเปิด ดาโอ ยูเอส อิควิตี้ โกรท (DAOL-USEQG)’ เปิดเสนอขายวันที่ วันที่ 3-10 ตุลาคม 2567 (ความเสี่ยงระดับ 6 : ความเสี่ยงสูง)  ลงทุนผ่าน กองทุนหลัก Baillie Gifford Worldwide - US Equity Growth Fund ซึ่งบริหารจัดการโดย Baillie Gifford ที่มีความเชี่ยวชาญการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ กองทุนมีนโยบายลงทุนในหุ้นเติบโตชั้นดีของสหรัฐอเมริกาในหลากหลายกลุ่มธุรกิจตามการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศสหรัฐฯ มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาว (Investment Horizon 5 ปีขึ้นไป)           ทั้งนี้ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่มองโอกาสเติบโตในอนาคต ผู้จัดการกองทุนเล็งเห็นการเติบโตจาก Mega Trends 8 ธีมที่น่าสนใจ ได้แก่ 1.) การซื้อ-ขายสินค้าและบริการ 2.) การสร้างเนื้อหา และใช้อัลกอริธึมเพื่อดึงดูดผู้บริโภค 3.) การทำธุรกิจรูปแบบใหม่ และมีความแตกต่าง 4.)ธุรกิจการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม 5.)ธุรกิจที่พัฒนาและนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการขนส่ง 6.) ธุรกิจการจัดสรรเงินทุนกับธุรกิจ 7.)ธุรกิจการเรียนออนไลน์และการศึกษาแบบดิจิทัล และ 8.)ธุรกิจทางการเงินและบริการที่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล ตัวอย่างหุ้นที่กองทุนหลักเลือกลงทุน The Trade Desk บริษัทเทคโนโลยีด้านการโฆษณาออนไลน์ Amazon.com บริษัทอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ ขายสินค้ำหลากหลายประเภท Meta Platforms บริษัทเทคโนโลยีที่พัฒนาและให้บริการโซเชียลมีเดีย NVIDIA บริษัทเทคโนโลยีออกแบบผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกราฟิกการ์ด Shopify แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่สร้างร้านค้าออนไลน์           “ด้วยกลยุทธ์ลงทุนแบบ Bottom-up เน้นหาบริษัทที่เป็นหุ้นเติบโตมีความสามารถเพิ่มผลตอบแทน และสร้างมูลค่าให้กับกองทุน ทำให้กองทุน Baillie Gifford Worldwide US Equity Growth Fund ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 6.7% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 21.5% ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ -15.3% และย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 10.6% (ที่มา Baillie Gifford ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567)”           “การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเมื่อพิจารณาระดับราคาหุ้น แม้ว่าดัชนี S&P500 ได้พุ่งทำจุดสูงสุดใหม่หลายครั้งในปีนี้ แต่หากไม่รวมหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 จะพบว่า ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ Forward P/E ประมาณ 19.2 เท่า ซึ่งต่ำกว่าดัชนี S&P500 โดยรวมที่ 21.3 เท่า ดังนั้นด้วยความโดดเด่นของบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโต อีกทั้งการลงทุนเชิงรุกที่เน้นลงทุนระยะยาวในหุ้นบริษัทที่มีการเติบโตที่โดดเด่น จำนวน 30-50 หลักทรัพย์ในพอร์ต ‘กองทุนเปิด ดาโอ ยูเอส อิควิตี้ โกรท (DAOL-USEQG)’ จึงเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจาก Mega Trends ในอนาคต ที่ บลจ.ดาโอ อยากแนะนำ ” คุณนิสารัตน์  กล่าว สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมพร้อมรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด (บลจ.ดาโอ) โทรศัพท์ 02-351-1800 กด 2 หรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อหน่วยลงทุน ของ บลจ. ดาโอ คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต เนื่องจากกองทุนมีการลงทุนในต่างประเทศและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน โดยป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ที่มา Projection Materials, Federal Open Market Committee, Board of Governors of the Federal Reserve System released, as of September 2024 CME Group as of 19 September 2024 FirstCall, I/B/E/S, FactSet, and Goldman Sachs Global Investment Research as of 6 September 2024 Bloomberg as of 19 September 2024 Baillie Gifford As at 30 June 2024

โบรกคาด SET แกว่งตัวในกรอบ จับตาค่าเงินบาทเป็นปัจจัยสำคัญ | หุ้นวันนี้ (3 ตุลาคม 67)

โบรกคาด SET แกว่งตัวในกรอบ จับตาค่าเงินบาทเป็นปัจจัยสำคัญ | หุ้นวันนี้ (3 ตุลาคม 67)

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย (จํากัด) มหาชน ประเมิน SET Index วันนี้ (3 ตุลาคม 67) เทรดไซด์เวย์... เนี่องจาก นักลงทุนติดตามสถานการณ์ใน ตอ.กลาง ล่าสุดเช้านี้ อิสราเอลยิงจรวดโจมตีกรุงเลบานอน เพื่อตอบโต้การโจมตีใหญ่ของอิหร่านเมื่อวันอังคาร อย่างไรก็ดี ตลาดน้ำมันดิบไม่ได้ตอบสนองมากนัก ราคาน้ามันดิบ WTi ปิดเกือบไม่เปลี่ยนแปลง           ดัชนีค่าเงินดอลล่าร์ฯ แข็งค่าต่อ หลังจากตัวเลขจ้างงานเอกชน ADP payrolls +1.43 แสนคน (สูงกว่า consensus คาดที่ +1.20 แสนคน) และชี้ว่าภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังดีอยู่ทิศทางของค่าเงินบาทกลับมาเป็นประเด็นของตลาด... หากคืนนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานและ ISM ภาคบริการ ออกมาดีกว่าคาด อาจดันดอลล่าร์ฯ แข็งต่อและกดเงินบาทให้อ่อนลง           นอกจากนี้ นักลงทุนควรติดตามจุดยืนของ กนง. หลังจากประธานสมาคม ธ.ไทย เตรียมเสนอ กนง. ลดดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สาหรับกลยุทธ์สั้น แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่อ่่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้อโดยเฉพาะกลุ่มที่ราคายัง laggard เช่นอสังหาฯ รวมทั้งหุ้นหลักที่เป็นเป้าหมายของกองทุนวายุภักษ์ด้วย

อย่าลืม! กองทุน Thai ESG ลดภาษี 3แสนบาทต่อคนต่อปี

อย่าลืม! กองทุน Thai ESG ลดภาษี 3แสนบาทต่อคนต่อปี

          หุ้นวิชั่น - ใกล้สิ้นปีแล้ว เชื่อว่าผู้ลงทุน ประชาชนทั่วไป จะเริ่มมองหาตัวช่วยลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกจากการซื้อประกันในประเภทต่าง ๆ ที่นำมาช่วยประหยัดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กองทุนรวมก็เป็นหนึ่งตัวเลือกที่หลาย ๆ คนนิยมลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วยเช่นกัน ปัจจุบันไทยมีกองทุนรวมที่เป็นเครื่องมือช่วยประหยัดภาษีมีอยู่ 3 ประเภท คือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) ที่กำลังจะหมดอายุในสิ้นปี 2567 และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งแต่ละกองทุนต่างมีความน่าสนใจและได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่แตกต่างกัน           แต่ที่น่าสนใจในมุมของสิทธิประโยชน์ทางภาษีและผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการจัดตั้งกองทุนรวมดังกล่าวคงหนีไม่พ้น Thai ESG ที่กระทรวงการคลัง ก.ล.ต. และ ตลท. ได้ร่วมแถลงข่าวเกี่ยวกับเงื่อนไขใหม่ของกองทุนรวมดังกล่าวเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยที่กระทรวงการคลังได้พิจารณาเพิ่มวงเงินลงทุนสำหรับการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจาก 1  แสนบาทต่อคนต่อปี เป็น 3 แสนบาทต่อคนต่อปี สำหรับปีภาษี 2567-2569 และลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี จากเดิม 8 ปี โดยกระทรวงการคลัง จะประเมินผลมาตรการนี้อีกครั้งเมื่อสิ้นสุดปี 2569           นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังได้ปรับปรุงเกณฑ์เพื่อเพิ่มความน่าสนใจของ Thai ESG โดย Thai ESG ขยายขอบเขตการลงทุนให้กว้างขึ้น ส่งผลให้ Thai ESG สามารถจัดสรรเงินลงทุนไปยังกิจการไทยที่มีศักยภาพและมีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลในระดับดีเลิศได้เพิ่มขึ้นจากเดิม โดยในส่วนของการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีธรรมาภิบาล (Governance) ในระดับดีเลิศ จะต้องมีคุณสมบัติครบทั้ง 3 องค์ประกอบ ดังนี้ด้วย มีธรรมาภิบาลที่ดีเลิศ โดยได้รับ CGR ซึ่งจัดทำโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ตั้งแต่ 90 คะแนนขึ้นไป มีการเปิดเผยเป้าหมายและแผนการเพิ่มมูลค่าบริษัท (Corporate value up plan) เช่น บริษัทที่มีแผนยกระดับด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น มีการเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารกับผู้ลงทุน เช่น การเข้าร่วมกิจกรรม SET Opportunity day กับผู้ลงทุน/นักวิเคราะห์การเปิดเผยความคืบหน้าของแผน Value up เป็นต้น           ต้องบอกว่า การที่หลักเกณฑ์ใหม่ของ Thai ESG กำหนดให้ บจ. เปิดเผยแผนและเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าบริษัท (Corporate value up plan) โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี นับจากวันที่ได้เปิดเผยแผน เช่น แผนดำเนินการที่ชัดเจนเพื่อเข้ารับการประเมินจากผู้ประเมินผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนตามมาตรฐานสากล หรือการมีเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ชัดเจน เป็นต้น นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนที่มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนเพิ่มขึ้นแล้ว ยังส่งเสริมให้ บจ. ตระหนักถึงความสำคัญของการยกระดับธรรมาภิบาล และมีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายของ UN SDGs และเป็นไปตามเป้าประสงค์ของภาครัฐด้วย           หลักเกณฑ์ใหม่ยังเสริมบทบาทหน้าที่ของ บลจ. ที่ต้องใช้ความระมัดระวัง ความรับผิดชอบ เพื่อประโยชน์ของผู้ลงทุน (fiduciary duty) ตั้งแต่การปรับปรุงให้ บลจ. มีหน้าที่กำหนดนโยบายและกลยุทธ์การลงทุนเพื่อคัดเลือกทรัพย์สินที่มีคุณภาพเพื่อการลงทุนของ Thai ESG และมีกระบวนการในการบริหารจัดการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ (responsible investment) รวมถึงการคัดเลือกผู้ประเมินผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนตามมาตรฐานสากล (ผู้ประเมินฯ) ที่จะเป็นผู้คัดเลือกหุ้นที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม (environment) และความยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อการลงทุนของกองทุน Thai ESG โดยที่ผู้ประเมินฯ ก็จะต้องมีความน่าเชื่อถือด้วย กล่าวคือ เป็นตลาดซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของ World Federation of Exchanges (WFE) หรือสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นอิสระ           มาถึงตรงนี้ พอจะเห็นภาพรวมผลประโยชน์ของ Thai ESG ตามเงื่อนไขใหม่กันแล้ว โดย ก.ล.ต. มุ่งหวังว่า Thai ESG จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยยกระดับธรรมาภิบาลและเพิ่มความน่าสนใจของกิจการในตลาดหลักทรัพย์ไทยควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการออมเป็นการลงทุนระยะยาวในตลาดทุน เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวสำหรับผู้ลงทุน นอกเหนือจากการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืนต่อไป ที่มา ฝ่ายสื่อสารองค์กร และ ฝ่ายนโยบายธุรกิจจัดการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

อิหร่านโจมตีอิสราเอล จะเกิดสงครามไหม? จัดพอร์ตหุ้นรับมืออย่างไร

อิหร่านโจมตีอิสราเอล จะเกิดสงครามไหม? จัดพอร์ตหุ้นรับมืออย่างไร

          หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ ระบุว่า จากกรณี อิหร่าน ยิงขีปนาวุธเข้าใส่อิสราเอล ประมาณ 23.00 น. วานนี้ (1) มองว่า นักลงทุนจะมีความกังวลว่า จะบานปลายหรือไม่ ราคาสินทรัพย์ safe haven (ทองคา พันธบัตร) ปรับตัวขึ้น แต่สินทรัพย์เสี่ยง(หุ้นและ commodity ยกเว้นน้ามัน) มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลง จากความกลัวสงครามกระทบเศรษฐกิจโลก อ่านรายละเอียดเพิ่ม คลิก วิเคราะห์ผลต่อตลาดไทย-กรณีอิหร่านโจมตีอิสราเอล

ก.ล.ต. เตือนผู้ถือหุ้น SABUY

ก.ล.ต. เตือนผู้ถือหุ้น SABUY

          ก.ล.ต. เตือนผู้ถือหุ้น SABUY ไปใช้สิทธิออกเสียงการเข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญในบริษัท LOCKBOX และ LOCKVENT ซึ่ง IFA เห็นว่าผู้ถือหุ้นไม่ควรอนุมัติการเข้าทำรายการ วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2567 | ฉบับที่ 203 / 2567           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นบริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (SABUY) ศึกษาข้อมูลและไปเข้าร่วมประชุมและใช้สิทธิออกเสียงในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ตุลาคม 2567 เกี่ยวกับการเข้าลงทุนในหุ้นสามัญในบริษัท ลอคบอกซ์ กรุ๊ป จำกัด (LOCKBOX) และบริษัท ลอคบอกซ์ เวนเจอร์ส จำกัด (LOCKVENT) ซึ่งจะชำระค่าตอบแทนด้วยการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SABUY โดยที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) ให้ความเห็นว่าผู้ถือหุ้นไม่ควรอนุมัติการเข้าทำรายการลงทุนดังกล่าว           ตามที่ SABUY จะจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ตุลาคม 2567 เพื่อพิจารณาวาระการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนและใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ รวมทั้งวาระการลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทอื่นโดยหุ้นสามัญเพิ่มทุนส่วนหนึ่งจำนวน 360 ล้านหุ้น จะเสนอขายให้แก่บริษัท โฮลดิ้ง แอล โค จำกัด เพื่อจ่ายชำระค่าหุ้นสามัญของ LOCKBOX และ LOCKVENT รวมมูลค่า 360 ล้านบาท ทั้งนี้ IFA เห็นว่า ผู้ถือหุ้นไม่ควรอนุมัติการเข้าทำรายการลงทุนใน LOCKBOX และ LOCKVENT เนื่องจากปัญหาสภาพคล่องในปัจจุบันของ SABUY ที่จำเป็นต้องได้รับเงินทุนมาเพื่อชำระหนี้สินที่มีนัยสำคัญในระยะสั้น ดังนั้น การออกและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนของ SABUY ในการทำธุรกรรมดังกล่าวโดยไม่ได้รับเงินทุนในทันที จึงไม่ได้แก้ปัญหาสภาพคล่อง และไม่ได้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้นของ SABUY ในสถานการณ์ปัจจุบัน           นอกจากนี้ ในการประชุมผู้ถือหุ้นตามที่กล่าวข้างต้น SABUY จะขออนุมัติออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ (1) บริษัท Insignia Holding Limited (Insignia) (ซึ่งนางสาวเกษรา โล่ห์ทองคำ ถือหุ้นร้อยละ 100) จำนวน 350 ล้านหุ้น พร้อมใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญโดยไม่คิดมูลค่า จำนวน 350 ล้านหน่วย และ (2) นายวริศ ยงสกุล จำนวน 50 ล้านหุ้น พร้อมใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญโดยไม่คิดมูลค่า จำนวน 50 ล้านหน่วย โดยมีอัตราใช้สิทธิ 1 หน่วยต่อ 1 หุ้นสามัญ อายุ 2 ปี ราคาใช้สิทธิ 1.20 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือเป็นการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อบุคคลในวงจำกัด ที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากมีผลกระทบต่อส่วนแบ่งกำไรหรือสิทธิออกเสียงของผู้ถือหุ้น (EPS/Control Dilution) เกินร้อยละ 25 และมีผลให้ Insignia กลายเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงสูงสุดใน SABUY ทั้งนี้ IFA เห็นว่าราคาเสนอขายหุ้นและใบสำคัญแสดงสิทธิ ตลอดจนราคาใช้สิทธิข้างต้นไม่เหมาะสม เนื่องจากเป็นการเสนอขายในราคา           ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของหุ้น SABUY ซึ่ง IFA ประเมินด้วยวิธีปรับปรุงมูลค่าตามบัญชีที่หุ้นละ 1.38 บาท อย่างไรก็ดี เนื่องจาก SABUY มีข้อจำกัดในการดำเนินกิจการจากการมีมูลค่าหนี้สูงและอาจผิดนัดชำระหนี้ และด้วยข้อจำกัดด้านสภาพคล่อง อันส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาว (going concern) SABUY จึงมีความจำเป็นในการได้รับเงินทุนจากการเสนอขายหุ้นให้บุคคลดังกล่าว IFA จึงเห็นว่าผู้ถือหุ้นควรอนุมัติรายการดังกล่าว เนื่องจากมีความจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อ SABUY           ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบของ SABUY เห็นว่า การเข้าทำรายการดังกล่าว มีความเหมาะสม สมเหตุสมผล และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของ SABUY และผู้ถือหุ้น โดยรายการเข้าลงทุนใน LOCKBOX และ LOCKVENT เป็นการสรรหาธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะสร้างกระแสเงินสด นอกจากนี้ นายอิทธิชัย พูลวรลักษณ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน LOCKBOX และ LOCKVENT จะเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้บริหารของ SABUY           ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นศึกษาข้อมูลโดยละเอียด วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ ความเสี่ยงและผลกระทบที่จะได้รับจากการมีมติอนุมัติหรือไม่อนุมัติ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมกับสอบถามผู้บริหาร SABUY เพื่อให้ได้รับข้อมูลครบถ้วนในการประกอบการตัดสินใจ           อนึ่ง รายการข้างต้นต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง โดยไม่นับรวมส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย

[PR News] 19 ซีอีโอเข้าชิงรางวัล SET Awards ประจำปี 67

[PR News] 19 ซีอีโอเข้าชิงรางวัล SET Awards ประจำปี 67

         ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร จัดงาน SET Awards ประจำปี 2567 โดยในปีนี้มี 19 ซีอีโอเข้าชิงรางวัล CEO Awards และ 88 บริษัทเข้าชิงกลุ่มรางวัล Business Excellence และ 39 บริษัทเข้าชิงกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence สะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการดำเนินธุรกิจที่โดดเด่น ท่ามกลางปัจจัยรอบด้านที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและมีความท้าทาย ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญด้านความยั่งยืน เพื่อเป็นองค์กรต้นแบบในตลาดทุน พร้อมประกาศผลและมอบรางวัล 30 ต.ค. นี้           นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ และวารสารการเงินธนาคาร จัดงานประกาศผลและมอบรางวัล SET Awards ประจำปี 2567 เพื่อเชิดชูบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และผู้บริหารสูงสุดของบริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นในด้านต่าง ๆ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มรางวัล คือ กลุ่มรางวัล Business Excellence และกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence          “งาน SET Awards จัดขึ้นเพื่อมอบรางวัลยกย่องบริษัทที่โดดเด่นทั้งศักยภาพทางธุรกิจและความยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินธุรกิจท่ามกลางความท้าทายของปัจจัยรอบด้านที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน สู่การเป็นองค์กรต้นแบบแก่ภาคธุรกิจต่าง ๆ ในการพัฒนาคุณภาพองค์กร สร้างนวัตกรรม สร้างผลประกอบการที่ดี ควบคู่กับการดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดย SET Awards เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ยังเป็นโอกาสที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 มุ่งสร้างอนาคตเพื่อโอกาสของทุกคน สำหรับ SET Awards ปีนี้มีซีอีโอ 19 ท่านเข้าชิงรางวัล CEO Awards ในขณะที่มี 88 บริษัทผ่านการคัดเลือกและเข้าชิงในกลุ่มรางวัล Business Excellence และ 39 บริษัทเข้าชิงในกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence” นายอัสสเดชกล่าว          นายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานบรรณาธิการ วารสารการเงินธนาคาร ผู้ร่วมก่อตั้งรางวัล SET Awards และหนึ่งในคณะทำงานผู้ทรงคุณวุฒิ กล่าวถึงรางวัล SET Awards ว่ามีจำนวนบริษัทที่สมัครเข้าชิงรางวัลต่างๆ เพิ่มขึ้นทุกปี สะท้อนถึงความสำคัญของรางวัล SET Awards ที่ได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วนในตลาดทุน และเชื่อว่ารางวัล SET Awards จะเป็นแรงจูงใจสำคัญให้บริษัทพัฒนาความเป็นเลิศทางธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาความยั่งยืน เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรต้นแบบของตลาดทุนไทย          คณะทำงานผู้ทรงคุณวุฒิในการตัดสินรางวัล SET Awards ประจำปี 2567 ได้แก่ นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ นายเสรี จินตนเสรี นายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ นายยุทธ วรฉัตรธาร นางภัทรียา เบญจพลชัย นายธีรนันท์ ศรีหงส์  นายอัสสเดช คงสิริ              นายศรพล ตุลยะเสถียร และเลขานุการคณะทำงาน นายอำนวย จิรมหาโภคา          รางวัล SET Awards แบ่งเป็น 2 กลุ่มรางวัล ได้แก่ กลุ่มรางวัล Business Excellence สำหรับบริษัทที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจ การจัดการภายใน และการสร้างนวัตกรรมภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงธุรกรรมทางการเงินในตลาดทุนที่โดดเด่น ประกอบด้วย 8 รางวัล ได้แก่ 1) Best CEO Awards และ Young Rising Star CEO Awards 2) Best Company Performance Awards 3) Best REIT Performance Awards 4) Deal of the Year Awards 5) Best Investor Relations Awards 6) Best Innovative Company Awards 7) Best Securities Company Awards 8) Best Asset Management Company Awards และกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence สำหรับบริษัทที่มุ่งสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ประกอบด้วย 2 รางวัล ได้แก่ 1) Sustainability Awards และ 2) Supply Chain Management Awards ที่สำคัญยังมีรางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จ SET Awards of Honor สำหรับบริษัทหรือบุคคลที่สามารถรักษาความยอดเยี่ยมได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป          พิธีประกาศผลและมอบรางวัล SET Awards ประจำปี 2567 จะจัดขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้สนใจสามารถรับชมการถ่ายทอดสดผ่านช่องทางออนไลน์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ Facebook & Youtube: SET Thailand ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.set.or.th/setawards

NRF ชู 'โครงการวิจัยถ่านชีวภาพ' สู่อาวุธลับรักษ์โลก

NRF ชู 'โครงการวิจัยถ่านชีวภาพ' สู่อาวุธลับรักษ์โลก

          บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ผู้นำด้านการผลิตอาหารอย่างยั่งยืน ได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาและวิจัยเกี่ยวกับโครงการต้นแบบการผลิตถ่านชีวภาพจากเตาเผาวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งโครงการนี้เป็นความร่วมมือกับสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรเหลือทิ้งจากการเกษตร เช่น ซังข้าวโพด ลำต้น ตอ ใบ และเปลือกข้าวโพด มาเปลี่ยนให้เป็นถ่านชีวภาพ (ไบโอชาร์) ที่สามารถช่วยลดปัญหาการเผาและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Negative) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ           นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF เผยว่า โครงการนี้เกิดขึ้นจากปัญหาหมอกควันที่เกิดจากการเผาวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรในภาคเหนือ ซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง และจังหวัดใกล้เคียง การเผาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซพิษอื่น ๆ ส่งผลให้เกิดฝุ่นละออง PM2.5 ในปริมาณที่สูง ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้           ด้วยเหตุนี้ NRF จึงได้สนับสนุนสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ ในการวิจัยและพัฒนาต้นแบบเตาเผาถ่านชีวภาพที่สามารถรองรับวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรได้มากถึง 50 กิโลกรัมต่อวัน โดยมีรูปแบบการเผาที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การใช้ฟืน การใช้น้ำมันพืชใช้แล้ว และถ่านอัดแท่ง ซึ่งสามารถควบคุมอุณหภูมิในการเผาได้ถึง 700 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ยังมีการออกแบบระบบชุดอบวัตถุดิบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตถ่านชีวภาพอีกด้วย           ผลที่คาดหวังจากโครงการนี้คือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยถ่านชีวภาพที่ได้จากกระบวนการนี้สามารถนำไปใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีในแปลงเกษตร ช่วยกักเก็บคาร์บอนในดินและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนการผลิตในภาคเกษตรกรรม นอกจากนี้การพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวยังสามารถขยายผลไปสู่การใช้งานในระดับชุมชนและเกษตรกรรายย่อยได้ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว           การสนับสนุนจาก NRF ในโครงการนี้ไม่เพียงแค่เป็นการลดปริมาณการเผาและหมอกควัน แต่ยังเป็นการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่มุ่งเน้นการใช้วัสดุที่มีอยู่แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ NRF มุ่งหวังว่าโครงการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนานวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ที่สามารถขยายผลไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ และเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาในระดับนานาชาติต่อไป           NRF เชื่อมั่นว่า การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาทางสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงแต่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศ แต่ยังช่วยส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหภาพยุโรป (EU) ได้กำหนดมาตรการทางสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น การเป็นประเทศที่สามารถผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการรักษาความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับเกณฑ์ซื้อขายหน่วยลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 มีผล 1 ตุลาคม 67

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับเกณฑ์ซื้อขายหน่วยลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 มีผล 1 ตุลาคม 67

          ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับปรุงเกณฑ์รองรับการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวม และกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง (VAYU1) ให้มีความเหมาะสม และเป็นประโยชน์แก่ผู้ลงทุน โดยปรับปรุงระยะเวลาการเปิดเผย NAV และวัน Book Closing Date / Record Date พร้อมทั้งปรับปรุงเกณฑ์ราคาขายชอร์ตให้แก่ Market Maker ของ VAYU1 และช่วงราคา (Tick Size) ในการซื้อขาย VAYU1 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ปรับปรุงระยะเวลาในการเปิดเผยข้อมูลของกองทุนรวมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะของกองทุนรวม เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างเพียงพอ ปรับปรุงให้ บลจ. เปิดเผยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ทุกวันทำการ ปรับปรุงการแจ้งวัน Book Closing Date หรือ Record Date รวมทั้งการแจ้งเปลี่ยนแปลงวันให้สิทธิดังกล่าว แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ไม่น้อยกว่า 5 วันทำการก่อนวันให้สิทธิ ปรับปรุงเกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายหน่วยลงทุนของ VAYU1 เพื่อผู้ลงทุนสามารถซื้อขายได้ในราคาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับราคาหลักทรัพย์อ้างอิง ให้ Market Maker ที่ขึ้นทะเบียนของ VAYU1 สามารถขายชอร์ต VAYU1 ได้โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องราคาขายชอร์ต เพื่อสนับสนุนการทำหน้าที่ดูแลสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขาย VAYU1 ได้ในราคาที่สอดคล้องกับหลักทรัพย์อ้างอิง ปรับปรุง Tick Size สำหรับการซื้อขาย VAYU1 ให้เป็นขั้นบันไดเช่นเดียวกับหุ้น เช่น ราคาเสนอซื้อขาย 10 บาท แต่ไม่ถึง 25 บาท มี Tick Size 10 บาท และราคาเสนอซื้อขาย 25 บาท แต่ไม่ถึง 100 บาท มี Tick Size 0.25 บาท เป็นต้น           ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเกณฑ์ที่มีการปรับปรุงได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th ภายใต้หัวข้อ “กฎเกณฑ์และการกำกับ” และ “หนังสือเวียนส่วนที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์จดทะเบียน”

โบรกแนะ

โบรกแนะ "ซื้อ" VRANDA (Bloomberg consensus 9.64 บาท) คาดแนวโน้ม Q3-Q4/67 โตต่อจาก high Season

          หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ออกบทวิเคราะห์ ระบุถึง ทิศทางธุรกิจ บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ VRANDA โดยมอง Outlook ของรายได้ธุรกิจโรงแรมในช่วง Q3/67 และ Q4/67 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา และช่วงเดียวกันกับปีก่อนจากการเริ่มเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจท่องเที่ยว           สำหรับปี 67 บริษัทตั้งเป้ารายได้ธุรกิจโรงแรมราว 1,225 ลบ. +8% YoY และปี 68 ราว 1,700 ลบ. +39%YoY ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตมาจากการเปิดโรงแรมแห่งใหม่คือ วีรันดา รีสอร์ท ภูเก็ต และการเพิ่มจำนวนห้องพัก จำนวน 20 ห้องที่โรงแรม ร็อคกี้ บูติค รีสอร์ท เกาะสมุย           ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของรายได้ในปี 67 และ 68 ของบริษัททั้งจากธุรกิจโรงแรม และธุรกิจพัฒนาอสังหำาริมทรัพย์ โดย Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 67 ราว 94 ลบ. พลิกจากขาดทุน -141 ลบ. ในปี 66 และคาดกำไรปี 68 ราว 106 ลบ. +13% YoY โดยกำไรในช่วงครึ่งแรก 67 คิดเป็น 39% ของประมาณการปี 67 มีราคาเหมาะสมเฉลี่ย 9.64 บาท จึงแนะนำ "ซื้อ"

หุ้นกู้ RT ชูดอกเบี้ยสูงสุด 7.50% เล็งขาย 4-6 พ.ย. 67

หุ้นกู้ RT ชูดอกเบี้ยสูงสุด 7.50% เล็งขาย 4-6 พ.ย. 67

          หุ้นวิชั่น - ก.ล.ต. อนุมัติแบบแสดงรายการข้อมูลของบริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ RT เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ระยะยาว ครั้งที่ 1/2567 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด ได้แก่ ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ. 2569 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.25% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ และ ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ. 2570 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ (II&HNW) ด้านวัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น รองรับโอกาสการเข้ารับงานโครงการก่อสร้างภาครัฐ-เอกชน และ การชำระคืนหนี้หุ้นกู้ RT252A กำหนดวันจองซื้อ 4-6 พ.ย. 2567 และเสนอขายวันที่ 7 พ.ย. 2567           นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM เปิดเผยว่า จากที่บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการ หรือ ไฟลิ่ง ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ระยะยาวของ บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 โดยขณะนี้ ก.ล.ต. ได้อนุมัติร่างแบบแสดงรายการข้อมูลดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2567           ด้านรายละเอียดของหุ้นกู้ระยะยาว บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2567 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด ได้แก่ ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ. 2569 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.25% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ และ ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ. 2570 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้           นายชวลิต ถนอมถิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ RT ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านวิศวกรรมโยธา งานขุดเจาะอุโมงค์ และ ธรณีเทคนิคครบวงจร เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) จำนวน 7,332 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567) ซึ่งสามารถดำเนินงานก่อสร้างได้ตามแผนและรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง           อีกทั้ง บริษัทยังคงติดตามสถานการณ์การเข้าประมูลงานก่อสร้างโครงการภาครัฐและเอกชนอย่างใกล้ชิด โดยเตรียมความพร้อมด้านการเงิน เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตของ Backlog ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกันบริษัทมุ่งเน้นพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน การจัดการต้นทุนก่อสร้าง และ บริหารแรงงานในแต่ละโครงการ เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่ดีขึ้น           ด้านนายสุริยา ธรรมธีระ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อนำเงินระดมทุนที่ได้เป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นของบริษัท โดยเป็นการเสริมความแข็งแกร่งทางด้านการเงินเพื่อรองรับการดำเนินงานก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชน ที่จะได้จากการเข้าประมูลในอนาคต และ การชำระคืนหนี้หุ้นกู้ RT252A           ทั้งนี้ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ได้มีการวางแผนเพื่อปรับกลยุทธ์การระดมทุนหุ้นกู้ในครั้งนี้ ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ รวมถึงสอดรับความต้องการของนักลงทุนในปัจจุบัน โดยกำหนดวันเสนอขายหุ้นกู้ชุดดังกล่าว จากเดิมในระหว่างวันที่ 1-3 ตุลาคม 2567 เป็นวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2567 และกำหนดการออกหุ้นกู้ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567           โดยเสนอขายแก่ กลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่  (Institutional Investor and High Net Worth Investor: II&HNW) ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ สยามเวลธ์ จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โดยมีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้ และ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้

โบรกเชียร์ “ซื้อ” CH เคาะเป้า 3.50 บาท

โบรกเชียร์ “ซื้อ” CH เคาะเป้า 3.50 บาท

          หุ้นวิชั่น - FSS และ GLOBLEX แนะนำ “ซื้อ” CH ด้วยราคาเป้าหมาย 3.50 บาท มั่นใจธุรกิจโตต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ พร้อมรับอานิสงส์คําสั่งซื้อจากตลาดสหรัฐอเมริกา ก่อนเกิดสงครามการค้า สหรัฐ-จีน ประกอบกับเป็นช่วง High season ธุรกิจ ด้าน CH มั่นใจแนวโน้มโตแกร่ง เตรียมเปิดคลังจัดเก็บวัตถุดิบใหม่ หนุนการผลิต ควบคู่การบริหารจัดการต้นทุน ดันธุรกิจครึ่งปีหลังโดดเด่น FSS มอง CH เติบโตก้าวกระโดด ประเมินราคาเป้าหมาย 3.50 บาท           บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ FSS ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังคงแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมายที่ 3.50 บาท อิงจากกําไรช่วงไตรมาส 2/2567 ที่ 196% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567ก่อน และเพิ่มขึ้น 374% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ดีกว่าที่คาดไว้ถึง 20% สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 69.3 ล้านบาท จากอัตรากําไรขั้นต้นที่สูงกว่าคาด โดยทําได้สูงถึง 23.0% ส่งผลให้กําไรปกติงวดครึ่งปีแรก 2567 โตก้าวกระโดดกว่า 9 เท่าจากครึ่งแรกของปีก่อน เป็น 92.6 ล้านบาท           และยังคงแนะนำ “ซื้อ” ปัจจัยสนับสนุนจาก ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัท อีกทั้งกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักอย่างผลไม้อบแห้ง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ (มีอัตรากําไรขั้นต้น 23.5% สูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารแม้จะเพิ่มขึ้น ตามยอดขายแต่ยังควบคุมได้ดี ดอกเบี้ยจ่ายสูงขึ้นแต่ไม่มีนัยยะต่อผลประกอบการ ฐานะการเงินแกร่งเพราะเพิ่งเพิ่มทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ Net IBD/E ตํ่า 0.2x GLOBLEX แนะนำ CH ด้วยราคาเป้าหมาย 3.50 บาท           บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ที่เติบโตอย่างมาก จากการใช้  กลยุทธ์ด้านราคา และการผลิตที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วงครึ่งปีแรก 2567 บริษัทได้รับคำสั่งซื้อครอบคลุมเป้ารายได้ปี 2567 ที่ 1,900 ล้านบาท รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/2567 ที่ 71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 และเพิ่มขึ้น 230% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เมื่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น 26%           เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 และ เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยหลักมาจากการขายผลไม้อบแห้งเพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 และเพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะการขายในประเทศที่เติบโตสูงเพิ่มขึ้น 74% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 และ เพิ่มขึ้น 91% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 22%) และการขายในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567  และเพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 78%) ขณะที่บริษัทคงราคาขายให้เท่ากับปีก่อน จึงเป็นราคาที่แข่งขันได้ ประกอบกับเป็นช่วง High season ทำให้มีคำสั่งซื้อจำนวนมาก นอกจากนี้บริษัทสามารถบริหารค่าใช้จ่ายได้ อย่างมีประสิทธิภาพมีเปอร์เซ็นต์ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเท่ากับ 9.5% ลดลงจาก 11.1% ในช่วงไตรมาส 1/2567 และ 9.6% ใน ไตรมาส 2/2566 ส่งผลให้มีอัตรากำไรสุทธิที่ 11% เพิ่มขึ้น 4% ในช่วงไตรมาส 2/2566 และ 7% ในช่วงไตรมาส 1/2567 โดยครึ่งปีแรก 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 105 ลบ. เพิ่มขึ้น 560% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ตาม GLOBLEX ได้วิเคราะห์ราคาเป้าหมายไว้ที่ 3.50 บาท และแนะนำ “ซื้อ”           นายศักดา ศรีแสงนาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจริญอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ CH ผู้ผลิตและจำหน่ายผลไม้และอาหารแปรรูป ได้แก่ ผลไม้อบแห้ง ปลากระป๋อง และขนมเพื่อสุขภาพ เปิดเผยทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 แนวโน้มเติบโตดีโดดเด่นทั้งรายได้และกำไร โดยมีเป้าหมายรายได้ วางไว้ 1,900 ล้านบาท จากปัจจัยสนับสนุนด้านสภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ปรับตัวดีขึ้น อีกทั้ง ภาคการท่องเที่ยวในประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นในช่วงไฮซีซัน ส่งเสริมให้การบริโภคอาหารแปรรูปและขนมมีความคึกคักขึ้น ช่วยสร้างยอดขายและสามารถทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 3/2567 เป็นต้นไป           นอกจากนี้ ยังคงเดินหน้าขยายฐานลูกค้ารับผลิตสินค้าตามแบบที่ลูกค้ากำหนด OEM แบบ One Stop Service ชูจุดแข็งนวัตกรรมการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ด้วยเครื่องจักรและระบบบริหารจัดการที่ทันสมัย ในราคาที่คุ้มค่ามีความหลากหลายของดีไซน์ พร้อมผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปเพื่อวางจำหน่าย รวมถึงการวางกลยุทธ์ ทั้งด้านการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานระดับสากล และนวัตกรรมการจัดเก็บวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ส่งผลให้มีวัตถุดิบเพียงพอต่อคำสั่งซื้อทั้งปี โดยปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนรายจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ผลไม้อบแห้ง 89% ปลากระป๋อง 10% ขนมเพื่อสุขภาพ 1%” นายศักดา กล่าว

[PR News] BKV บริษัทย่อยบ้านปู เปิดราคา IPO ที่ 18 ดอลลาร์ เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก

[PR News] BKV บริษัทย่อยบ้านปู เปิดราคา IPO ที่ 18 ดอลลาร์ เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก

          เดนเวอร์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2567–BKV Corporation (“BKV”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปู ("BANPU")ได้แจ้งราคาเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO Price) จำนวน 15,000,000  หุ้น ที่ราคา 18 เหรียญสหรัฐ ต่อหุ้น และนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนใน New York Stock Exchange (NYSE) โดยหลักทรัพย์ดังกล่าวสามารถทำการซื้อขายผ่าน NYSE เป็นครั้งแรกในวันที่ 26 กันยายน 2567 (ตามเวลาท้องถิ่นในสหรัฐอเมริกา) โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “BKV” คาดว่าการปิดรายการการจำหน่ายหุ้น IPO จะดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 27 กันยายน 2567 หลังจากปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว           คำแถลงการจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหุ้น IPO นี้ได้ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา (U.S. SEC) แล้ว และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 โดยสามารถดาวน์โหลดหนังสือชี้ชวนจากเว็บไซต์ของ U.S. SEC www.sec.gov โดยค้นหาภายใต้ชื่อ BKV Corporation           นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บ้านปูให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศยุทธศาสตร์ โดยมี BKV เป็นกุญแจสำคัญในการเดินหน้าธุรกิจก๊าซธรรมชาติเพื่ออำนวยประโยชน์ที่ยั่งยืนให้แก่ลูกค้า นักลงทุน และผู้มีส่วนได้เสีย เราภูมิใจและตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งกับก้าวต่อไปที่ยิ่งใหญ่ของบริษัทฯ ทั้งนี้ บ้านปูยังมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนเป้าหมายในการลดคาร์บอน (Decarbonization) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และคงความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจด้วยเป้าหมายในการส่งมอบนวัตกรรมโซลูชันพลังงานที่สะอาดและเชื่อถือได้ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก”           ภายใต้การบริหารงานของ BKV ธุรกิจพลังงานของบ้านปูในสหรัฐฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 เริ่มต้นจากการดำเนินกิจการก๊าซธรรมชาติจากแหล่งก๊าซบาร์เนตต์ (Barnett) ในรัฐเท็กซัส และแหล่งก๊าซมาร์เซลลัส (Marcellus) ในรัฐเพนซิลเวเนีย ต่อยอดสู่บริษัทร่วมทุน BKV-BPP ลงทุนในกิจการของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ Temple II ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Combined Cycle Gas Turbines: CCGT) นอกจากนี้ BKV ยังดำเนินโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) และการพัฒนาก๊าซธรรมชาติที่มีคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon-Sequestered Gas: CSG) ด้วยคุณภาพระดับพรีเมียม รวมทั้งการร่วมทุนกับ BKV-BPP Power ในการจัดสรรพื้นที่ที่มีอยู่เดิมในพื้นที่แหล่งก๊าซบาร์เนตต์ รัฐเท็กซัส ก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Ponder Solar)

[PR News] ก.ล.ต. จับมือตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดงานสัมมนาสนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลที่ดี ยกระดับความเชื่อมั่นในตลาดทุน

[PR News] ก.ล.ต. จับมือตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดงานสัมมนาสนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลที่ดี ยกระดับความเชื่อมั่นในตลาดทุน

          ก.ล.ต. จับมือตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดงานสัมมนา “สร้างภูมิคุ้มกันบริษัทจดทะเบียนด้วย 3 lines of defense” สนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลที่ดี ยกระดับความเชื่อมั่นในตลาดทุน           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) จัดสัมมนาหัวข้อ “สร้างภูมิคุ้มกันบริษัทจดทะเบียนด้วย 3 lines of defense” ภายใต้โครงการบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์เข้มแข็ง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและส่งเสริมการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียน สอดคล้องแนวทางในการยกระดับความเชื่อมั่นในตลาดทุนผ่านการเปิดเผยข้อมูลที่ดี โดยมีกรรมการและผู้ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมงานมากกว่า 400 คน เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567           การจัดงานสัมมนาในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนตระหนักถึงความสำคัญของ 3 lines of defense ต่อการกำกับดูแลกิจการที่ดี พร้อมทั้งเข้าใจถึงแนวทางในการทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ สามารถข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน รวมถึงสื่อสารให้บริษัทจดทะเบียนเข้าใจถึงความคาดหวังต่อการเปิดเผยข้อมูลที่ดีที่สะท้อนภาพการดำเนินงานที่ผ่านมาและการดำเนินงานต่อไปในอนาคตที่ชัดเจนของบริษัทจดทะเบียน ผ่านมุมมองของผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์ตรงในการเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียน โดยมีนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. และนายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกล่าวเปิดงาน และมีผู้เข้าร่วมงานสัมมนามากกว่า 400 คน           “ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการทำหน้าที่ของ 3 lines of defense ได้แก่ คณะกรรมการบริษัท คณะกรรมการตรวจสอบ และผู้สอบบัญชี ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบหลักในการกำกับและส่งเสริมการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ งานสัมมนาในครั้งนี้ จึงเน้นส่งเสริมในเรื่องการสร้างความตระหนักรู้ในบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบและความท้าทายในการทำงานระหว่างกัน รวมถึงแนวทางในการแก้ไขสภาพปัญหาต่าง ๆ และ การเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ ที่บริษัทจดทะเบียนอาจต้องเผชิญในอนาคต นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลที่ดีของบริษัทจดทะเบียนเพื่อยกระดับความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย เพื่อให้เป็นที่ดึงดูดของผู้ลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ โดยเน้นด้านส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลที่เพียงพอ ถูกต้อง เชื่อถือได้ ชัดเจน เข้าใจง่าย และทันเวลา โดยผู้ลงทุนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้อย่างเท่าเทียมกัน และข้อมูลที่เปิดเผยต้องสะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานที่ผ่านมาและการดำเนินการต่อไปในอนาคตด้วย” เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าว           ภายในงาน ได้จัดเสวนาในประเด็นความสำคัญและการทำงานร่วมกันของ 3 lines of defense มุมมองภาพรวมและมุมมองต่อสภาพปัญหาในตลาดทุนไทย พร้อมทั้งแนวทางในการแก้ไขสภาพปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมเสวนา ได้แก่ คุณสุรศักดิ์ ดุษฎีเมธา รองผู้จัดการใหญ่และผู้บริหารสายงานตรวจสอบ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), คุณสิริวิภา สุพรรณธเนศ กรรมการตรวจสอบของบริษัทจดทะเบียน, คุณรัตนา จาละ Country Managing Partner สำนักงานอีวาย, คุณวิน พรหมแพทย์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย, คุณไพบูลย์ ดำรงวารี ผู้ช่วยเลขาธิการสายระดมทุน ก.ล.ต. และ คุณศมานันท์ สงเคราะห์ราษฎร์ ผู้อำนวยการฝ่ายผู้ออกหลักทรัพย์ 2 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมแบ่งปันประสบการณ์และมุมมองในเรื่องดังกล่าว           ทั้งนี้ งานสัมมนาในครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้โครงการบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์เข้มแข็ง มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับ การกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ และส่งเสริมให้บุคลากรของบริษัทจดทะเบียนตระหนักถึงบทบาทและหน้าที่ของตนเองซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อตลาดทุนไทย ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรับชมการสัมมนาย้อนหลังได้ที่เว็บไซต์ “บริษัทจดทะเบียนเข้มแข็ง” www.sec.or.th/StrengthenCG

ปตท.-KBANK-ออร์บิกซ์ เทค ออกหุ้นกู้ Q-Bond ครั้งแรกในไทย ชูนวัตกรรมบล็อกเชน

ปตท.-KBANK-ออร์บิกซ์ เทค ออกหุ้นกู้ Q-Bond ครั้งแรกในไทย ชูนวัตกรรมบล็อกเชน

          ปตท. ผนึก กสิกรไทย - ออร์บิกซ์ เทค ออกหุ้นกู้ Q-Bond ครั้งแรกในไทย ชูนวัตกรรมบริหารจัดการหุ้นกู้ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน           วันนี้ (24 กันยายน 2567) – นางสาวพรรณนลิน มหาวงศ์ธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (กลาง) พร้อมด้วย ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย (ซ้าย) และ นายญาณวิทย์ รักษ์ศรี กรรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์บิกซ์ เทคโนโลยี แอนด์ อินโนเวชั่น จำกัด (ออร์บิกซ์ เทค) (ขวา) ประกาศความสำเร็จจากการที่ ปตท. ออกและเสนอขายหุ้นกู้ Q-Bond รุ่นอายุ 1 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.38% มูลค่าการเสนอขายรวม 500 ล้านบาท โดยมีธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย นายทะเบียน และผู้ลงทุน และมีออร์บิกซ์ เทค เป็นผู้พัฒนาและดูแลระบบแอปพลิเคชัน ภายใต้โครงการ Q-Bond (Bond data on Quarix chain) โดยเป็นการนำ Quarix Blockchain มาใช้ประกอบการทำธุรกรรมตราสารหนี้เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ทั้งการจัดเก็บข้อมูล การคำนวณมูลค่าการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นของตราสารหนี้ที่ผู้ลงทุนจะได้รับในวันครบกำหนดไถ่ถอน ผ่านระบบงาน Q-Bond ตลอดจนมีการนำเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Q-money) ใน Quarix Blockchain มาใช้ชำระมูลค่าตราสารหนี้ จ่ายคืนดอกเบี้ยและเงินต้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและขั้นตอนในการทำธุรกรรม รวมถึงทำให้การจัดเก็บข้อมูลมีความถูกต้อง ครบถ้วน รวดเร็ว และโปร่งใส นับเป็นความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินภายใต้กรอบ Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่สะท้อนภาพการเป็นผู้นำในตลาดทุนของ ปตท. และเป็นก้าวสำคัญที่ภาคธุรกิจและภาคการเงินจับมือเป็นฟันเฟืองหลักในการพัฒนาตลาดทุนไทยให้เดินหน้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างทัดเทียมระดับสากลต่อไป

[PR News] WEH ยื่นไฟลิ่งขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ยสูง 7.25%

[PR News] WEH ยื่นไฟลิ่งขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ยสูง 7.25%

          WEH ยื่นไฟลิ่งเตรียมขายหุ้นกู้ครั้งที่ 2/67 ดอกเบี้ยสูง [7.00-7.25]% พัฒนา 9 โรงไฟฟ้าพลังงานลม ย้ำจุดยืนผู้นำธุรกิจ           บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ยื่นไฟลิ่ง บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่  โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) ต่อ ก.ล.ต. เตรียมเปิดขายหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2567 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 2 ปี 6 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2570 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ [7.00-7.25] ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ เสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน และหรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ วัตถุประสงค์เพื่อใช้ลงทุนในโครงการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจปัจจุบัน เพื่อใช้ในการขยายกิจการ และลงทุนในโครงการใหม่ และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน คาดกำหนดวันเสนอขาย 29-31 ต.ค. 2567 และออกตราสารวันที่ 1 พ.ย. 2567           นายณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ WEH ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม อันดับ 1 ของไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นร่างแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ครั้งที่ 2/2567 อายุ 2 ปี 6 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2570 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ [7.00-7.25] ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้           วัตถุประสงค์ในการเสนอขายหุ้นกู้ WEH เพื่อใช้ขยายกิจการ ลงทุนในโครงการใหม่ และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยจะลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม รวม 9 โครงการ ประกอบด้วย โครงการพลังงานลม 1 โครงการ ที่เตรียมลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กำลังการผลิตตามสัญญา 89.7 เมกะวัตต์ ยังมีโครงการพลังงานลม 2 โครงการ ที่เข้าร่วมคัดเลือกตามประกาศรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รอบที่ 2 ของภาครัฐ และอีก 6 โครงการที่พัฒนาต่อเนื่อง เพื่อเข้าร่วมคัดเลือกตามประกาศรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในทุกรอบ ที่ภาครัฐมีประกาศ           ทั้งนี้ บริษัทฯ มีจุดแข็งในด้านรายได้ที่มั่นคง และมีความสามารถในการทำกำไรสูง ไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2564 -2566) บริษัทฯมีรายได้มากกว่า 10,000 ล้านบาท และกำไรมากกว่า 5,000 ล้านบาท อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทฯมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ดำเนินงานแล้ว รวม 8 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้ง 717 เมกะวัตต์ ทั้งหมดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ให้กับกฟผ. เรียบร้อยแล้ว ภายใต้สัญญา PPA ระยะยาว ในจำนวนนี้มี 6 โครงการ ที่ยังได้รับเงินส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จำนวน 3.5 บาทต่อกิโลวัตต์ ซึ่งครอบคลุมอายุหุ้นกู้ชุดใหม่นี้ ดังนั้นการลงทุนตามวัตถุประสงค์การใช้เงินจากการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้จึงเป็นการลงทุนในธุรกิจเดิมที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญเพื่อต่อยอดการเป็นผู้นำด้านพลังงานทางเลือกต่อไปในอนาคต           “เรามุ่งขยายการลงทุนในโครงการพลังงานลมและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่เราเป็นผู้บุกเบิก เป็นผู้นำ มีความเชี่ยวชาญ และมีผลประกอบการแข็งแกร่งอยู่แล้ว การลงทุนนี้อยู่ภายใต้แผนธุรกิจ ระยะ 5 ปี ตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตไฟฟ้า เพิ่มเป็น 1,500 เมกะวัตต์ จากปัจจุบัน 717 เมกะวัตต์ เพื่อขยายฐานรายได้ไปที่ระดับ 13,000 ล้านบาทต่อปี จากปัจจุบันที่มากกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี โดยพยายามรักษาระดับกำไรที่ร้อยละ 40-50 ต่อปี”           นายชัยพัชร์ นาคมณฑนาคุ้ม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้สนับสนุนการยื่นไฟลิ่งและหนึ่งในผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ กล่าวว่า บริษัทยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ครั้งที่ 2/2567 ต่อ ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2567 ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการขออนุมัติจาก ก.ล.ต. คาดว่าจะกำหนดวันจองซื้อในช่วงระหว่างวันที่ 29-31 ต.ค. 2567 และออกหุ้นกู้ในวันที่ 1 พ.ย. 2567           สำหรับผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ร่วม มีจำนวน 8 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)           โดยมี ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้ และ บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้

‘กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง’ ความต้องการล้น เช็คผล 25 ก.ย. - จ่อเทรดวีค2 ต.ค.นี้

‘กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง’ ความต้องการล้น เช็คผล 25 ก.ย. - จ่อเทรดวีค2 ต.ค.นี้

          หุ้นวิชั่น - ‘กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง’ หรือ VAYU1 ประกาศจำนวนหน่วยลงทุนเสนอขายสุดท้ายที่ 15,000 ล้านหน่วย ชูผลตอบรับดีมานด์ล้น มากกว่ามูลค่าที่ต้องการระดมทุนสูงสุดที่ 150,000 ล้านบาท            “กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง” ประกาศจำนวนหน่วยลงทุนเสนอขายสุดท้ายที่ 15,000 ล้านหน่วย หลังความต้องการจาก ผู้ลงทุนทุกประเภทมากกว่ามูลค่าที่ต้องการระดมทุนสูงสุดที่ 150,000 ล้านบาท ผู้ลงทุนรายย่อยตรวจสอบผลการจัดสรรหน่วยลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 เวลา 9.00 น.ทางเว็บไซต์ของ SETTRADE และคาดว่าหน่วยลงทุนประเภท ก. ของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนตุลาคมนี้           นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะ บริษัทจัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง หรือ VAYU1 เปิดเผยว่า การเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนประเภท ก. ของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง (“กองทุนฯ”) เมื่อวันที่ 16–20 กันยายน 2567 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ลงทุนรายย่อย และได้รับความสนใจอย่างมากจากการสำรวจความต้องการจองซื้อของผู้ลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) เมื่อวันที่ 18-20 กันยายน 2567 โดยมีมูลค่าความต้องการรวม มากกว่ามูลค่าที่ต้องการระดมทุนสูงสุดที่ 150,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อกองทุนฯ การกำหนดกลไกคุ้มครองเงินลงทุนและผลตอบแทน รวมทั้งกลไกในการบริหารความเสี่ยงของกองทุนฯ ซึ่งส่งผลให้กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เป็นทางเลือกการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ล่าสุดจึงกำหนดจำนวนหน่วยลงทุนเสนอขายสุดท้ายที่ 15,000 ล้านหน่วย (ราคาเสนอขายหน่วยละ 10 บาท)           นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะ บริษัทจัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง กล่าวว่า ผู้ลงทุนรายย่อยที่จองซื้อหน่วยลงทุนประเภท ก. ที่จัดสรรด้วยวิธี Small Lot First สามารถตรวจสอบผลการจัดสรรหน่วยลงทุนได้ตั้งแต่วันพุธที่ 25 กันยายน 2567 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ของ SETTRADE (www.settrade.com/ipo/VAYU1) ส่วนผู้ลงทุนสถาบันเริ่มจองซื้อวันที่ 25-27 กันยายน 2567 และคาดว่าหน่วยลงทุนประเภท ก. ของกองทุนฯ จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนตุลาคม 2567 โดยใช้ชื่อ VAYU1 ในการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งผู้ที่ต้องการลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนประเภท ก. ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทุกวันทำการ โดยราคาหน่วยลงทุนในตลาดรองจะเป็นไปตามกลไกของราคาตลาด           คำเตือน: การลงทุนในกองทุนฯ มีความเสี่ยง และผู้จองซื้อควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนอย่างรอบคอบ และทำความเข้าใจลักษณะของสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนฯ มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจบริษัทจัดการ ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุนฯ นี้ ไม่ใช่กองทุนรวมมีประกันเงินลงทุนและผลตอบแทน กองทุนฯ ไม่มีนโยบายนำเสนอการลงทุนผ่านการส่งลิงก์ส่วนตัวใดๆ กรุณาติดตามช่องทางการจองซื้ออย่างเป็นทางการจากกองทุนฯ เท่านั้น

"พาณิชย์ผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล ยกระดับศักยภาพ CLMVT สู่ความยั่งยืน"

เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดงานสัมมนาเชิงวิชาการ CLMVT Forum 2024: CLMVT’s Catalyst for Digital Growth ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพฯ เพื่อนำเสนอผลการดำเนินโครงการ CLMVT Forum ขับเคลื่อนการพัฒนาด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับภาครัฐในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล และแนวทางสำหรับภาคเอกชนในการปรับตัวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน           นายวิชานัน นิวาตจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งเสริมศักยภาพด้านการค้า และเป็นบ่อเกิดของภาคอุตสาหกรรมที่สามารถ สร้างการเติบโตและมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลให้กับภูมิภาค CLMVT จึงได้จัดสัมมนาเชิงวิชาการในวันนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้ และหารือแนวทางความร่วมมือในการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลในกลุ่มประเทศ CLMVT โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม จากกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย จำนวนกว่า 225 ราย ภายในงานสัมมนาประกอบด้วยการเสวนา 4 ช่วง โดยในช่วงที่ 1 Mega Trends driven under Digital Wave ได้รับเกียรติจากวิทยากรจากภาควิชาการและองค์ระหว่างประเทศ ได้แก่ National University of Laos, ASEAN Secretariat, World Economic Forum และ ESCAP ที่ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์และความสำคัญของดิจิทัล ทั้งในระดับโลกและภูมิภาค โดยวิทยากรต่างมีความเห็นตรงกันว่าควรให้ความสำคัญในด้านการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection) และความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) เนื่องจากเป็นรากฐานสำคัญ  ที่ส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ นำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่น (Trust) และสร้างระบบนิเวศที่ดีต่ออนาคตของ   เศรษฐกิจดิจิทัล เนื่องจากปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนในการใช้ข้อมูลทางการค้า ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้านเทคโนโลยีของโลกนั้นย่อมส่งผลต่อการปรับตัวของกลุ่มประเทศ CLMVT อย่างมีนัยสำคัญเพื่อเป็นการยกระดับการพัฒนาด้วยเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน         การเสวนาช่วงที่ 2 ในหัวข้อ Digital Economy in the Eyes of Government ได้รับเกียรติจากวิทยากรจากหน่วยงานภาครัฐของกลุ่มประเทศ CLMVT ได้แก่ Ministry of Science and Technology จากเมียนมา Ministry of Technology and Communication จาก สปป.ลาว Ministry of Commerce จากกัมพูชา Ministry of Industry and Trade จากเวียดนาม และสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม   ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ ความเห็น และมุมมองของภาครัฐต่อการพัฒนาด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล โดยความท้าทายสำคัญที่กลุ่มประเทศ CLMVT ล้วนเผชิญ และอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อมุ่งไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล คือ การมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลภายในประเทศที่ครอบคลุม และการพัฒนาทักษะแรงงานไปสู่การเป็นบุคลากรดิจิทัลร่วมกับการดึงดูดผู้มีความสามารถที่โดดเด่นทางดิจิทัล (Digital Talents) ภายในประเทศ เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล (Digital Transformation) ทั้งจากฝั่งภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้ ทิศทางการพัฒนาด้านดิจิทัลในมุมมองของภาครัฐกลุ่ม CLMVT ชี้ให้เห็นว่า ภาครัฐต้องมีการผลักดันทั้งในด้าน Digital Economy Digital Society และ Digital Government ไปพร้อม ๆ กันทั้งองคาพยพ เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของประเทศให้เศรษฐกิจและสังคมได้พัฒนาเติบโตอย่างเหมาะสม ในช่วงบ่าย เป็นการเสวนาในหัวข้อที่ 3 Digital Economy in the Eyes of Private Sector เป็นการเสวนาในมุมมองของภาคเอกชนจากวิทยากรจากภาคเอกชนของประเทศ CLMVT บางส่วนอันได้แก่ Myanmar Digital Economy Association, AI Forum จาก Cambodia และสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย โดยการเสวนาในช่วงนี้ได้ตกผลึกความเห็นในมุมมองของภาคเอกชนว่า นอกเหนือไปจากประเด็น   ด้านโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและสตาร์ทอัพ โดยอาจดำเนินการ   ในรูปแบบการบ่มเพาะผู้ประกอบการและการสร้างทัศนคติแบบดิจิทัล (Digital Mindset) รวมทั้งควรมีการให้แรงจูงใจในการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล ทั้งนี้ กลุ่มประเทศ CLMVT ยังคงมีโอกาสสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลให้เติบโตอีกมาก ผู้แทนจากภาคเอกชนจึงได้นำเสนอช่องว่างความต้องการอื่น ๆ เช่น การพัฒนาระบบการชำระเงินดิจิทัล (Digital Payment)  การพัฒนาระบบยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรม (Authentication) และการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันในกลุ่มประเทศ CLMVT เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการจัดทำนโยบายต่อไป การเสวนาในหัวข้อที่ 4 Trade Cooperation and Agreement under the Spinning of Digital Economy Era ได้รับเกียรติจากวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในด้านความตกลงด้านการค้าและเศรษฐกิจดิจิทัล จากหลากหลายองค์กร ได้แก่ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สถานทูตแคนาดา World Economic Forum และธนาคารไทยพาณิชย์ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือด้านดิจิทัล ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถของประเทศในกลุ่มประเทศ CLMVT ให้มีศักยภาพทัดเทียมประเทศอื่น ๆ ทั้งนี้ ภายใต้มุมมองที่เกี่ยวข้องกับความตกลงด้านดิจิทัลชี้ให้เห็นว่า การค้าดิจิทัล (Digital Trade) คืออนาคตของการค้า เนื่องจากมูลค่าการค้าบริการแบบดิจิทัลของโลก ในปี 2565 สูงถึง 3.82 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 54 ของมูลค่าการค้าบริการรวมของโลก ดังนั้น การค้าดิจิทัลจึงเป็นประเด็นระดับโลก ที่ภูมิภาค CLMVT ต้องให้ความสำคัญและควรมุ่งเป้าการพัฒนาความร่วมมือตามมาตรฐานความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลที่ก้าวหน้าในระดับโลก เพื่อปรับใช้ทั้งใน CLMVT และใน ASEAN โดยความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลต่าง ๆ (DEAs) รวมถึง Digital Economy Framework Agreement (DEFA) ของอาเซียนมีหัวข้อการเจรจาดิจิทัลที่สำคัญต่าง ๆ อาทิ การเคลื่อนย้ายข้อมูลข้ามพรมแดน ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และข้อบังคับให้ต้องเก็บข้อมูลในประเทศ อย่างไรก็ตาม การสรุปข้อตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลเหล่านี้ มีความท้าทายด้านการปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความสอดคล้องกัน (Regulatory Harmonization) ควบคู่ไปกับการรักษา ความยืดหยุ่นในการพัฒนา ตลอดจนการกำกับดูแลและการดำเนินตามพันธกิจของหน่วยงานต่าง ๆ ในแต่ละประเทศ รอง ผอ.สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า กุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มประเทศ CLMVT คือ เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ทรัพยากรมนุษย์ และอื่น ๆ ดังนั้นการผลักดันการพัฒนาประเทศด้วยเศรษฐกิจดิจิทัลจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกภาคส่วน ทั้งในประเทศไทยและระหว่างกลุ่มประเทศ CLMV ควรหันมาให้ความสำคัญ ข้อมูลและองค์ความรู้จากงานสัมมนาในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงและต่อยอดข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ให้ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาด้วยเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป

กลยุทธ์การลงทุนหุ้นต่างประเทศรายวัน

กลยุทธ์การลงทุนหุ้นต่างประเทศรายวัน

          หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ออกบทวิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นเอเชียบวกเช้านี้ (CSI300 + 0.55%, HSI +0.58%) หลังธนาคารกลางจีน (PBoC) มีมติอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติม 74.5 พันล้านหยวนและมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย RRP 14 วันลง 10bps สู่ระดับ 1.85% ซึ่งอาจเป็นไปเพื่อเสริมสภาพคล่องในระบบก่อนวันหยุดชาติจีนในช่วงต้นเดือน ต.ค.           ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบในวันศุกร์ (S&P500 -0.19%) ราคาทองคำยังพุ่งต่อเนื่องในวันศุกร์ +1.22% แตะระดับ 2,622 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่น่าสนใจในการกระจายความเสี่ยง ซึ่งมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนเป็นบวก (ทั้งในกรณี Soft landing และ Recession) ในระยะ 6 - 12 เดือนข้างหน้า หลัง Fed มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ตลาด (FedWatch Tool) กลับมาให้น้ำหนักว่า Fed จะลดดอกเบี้ยใน “อัตราปกติ” ที่ 25bps ในครั้งหน้า (6 - 7 พ.ย.) หลังล่าสุดได้มีการหั่นดอกเบี้ยลงในอัตรา 50bps ในการประชุมสัปดาห์ก่อน แต่แสดงความมั่นใจว่ายังไม่เห็นสัญญาณ Recession ซึ่งในครั้งนี้ Fed มี มุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจที่ “แตกต่างอย่างมาก” หากเทียบกับรอบการผ่อนคลายนโยบายการเงินในอดีตที่เริ่มต้นการปรับลดดอกเบี้ยลงครั้งแรกในอัตรา 50bps สัปดาห์นี้ติดตาม 1) รายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะ PMI ภาคการผลิตและภาคบริการของประเทศหลัก รวมทั้งดัชนีการใช้จ่ายส่วนบุคคลของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเลขที่ NBER ใช้ประเมินโอกาสเกิด Recession 2) การเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP ของญี่ปุ่น โดยการเลือกหัวหน้าพรรค LDP คนใหม่ (27 ก.ย.) อาจนำไปสู่การยุบสภาและเลือกตั้งทั่วไป ครั้งใหม่ซึ่งตลาดคาดว่าอาจเกิดขึ้นเร็วสุดได้ในช่วงเดือน ต.ค. และอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ BoJ อาจยังไม่รีบเร่งตัดสินใจในเรื่องนโยบายการเงิน หลัง BoJ มีมติคงอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ค่าเงิน JPY อ่อนค่า เนื่องจากนาย Ueda ส่งสัญญาณว่า “รอประเมินโมเมนตัมเศรษฐกิจโลก รวมถึงสหรัฐฯ” ให้มั่นใจก่อนสักระยะ           ขณะที่ยังหนุนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ หากภาพเศรษฐกิจและราคาเป็นไปตามที่ประเมินไว้ ข่าวหุ้นอัพเดท: ASML, FedEx, Novo Nordisk, PDD, Mercedes Benz, Mercado Libre, Kering, Infineon, Amazon

ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศ ให้ กกพ.รับซื้อพลังงานทดแทน เฟส 2 เริ่ม 2,180 เมกะวัตต์

ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศ ให้ กกพ.รับซื้อพลังงานทดแทน เฟส 2 เริ่ม 2,180 เมกะวัตต์

          ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศ ให้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. รับซื้อพลังงานทดแทน เฟส 2 เริ่ม 2,180 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น ลม 600 เมกะวัตต์ และโซล่า 1,580 เมกะวัตต์ ให้สิทธิ์ผู้ผ่านคุณสมบัติรอบแรกเข้าร่วม สำหรับบริษัทในตลาดหุ้น ที่มีโครงการเดิมที่ไม่ผ่านการคัดเลือกรอบแรก จะนำกลับมาประมูลใหม่ ในเฟสนี้ ได้แก่ GULF: มีโครงการขนาด 1,000-2,000 เมกะวัตต์ GUNKUL: มีโครงการขนาด 300 เมกะวัตต์ GPSC: มีโครงการขนาด 300-400 เมกะวัตต์ BGRIM: มีโครงการขนาด 100-200 เมกะวัตต์ อ่านรายละเอียดเพิ่ม ที่ https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/44438.pdf

ธอส.หนุนลงทุนวายุภักษ์ เพิ่มการออมปันผลแกร่ง

ธอส.หนุนลงทุนวายุภักษ์ เพิ่มการออมปันผลแกร่ง

          หุ้นวิชั่น- ธอส. สนับสนุนคนไทยลงทุนผ่านกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เพิ่มทางเลือกในการออม รับผลตอบแทนสูง 3.0% – 9.0% ต่อปี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พร้อมส่งเสริมคนไทยออมเงิน ตามนโยบายการออมของกระทรวงการคลัง โดยลงทุนผ่านกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เพื่อลงทุนในหุ้นที่มีคะแนน ESG Rating สูง สอดคล้องนโยบายการเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืนของ ธอส. รับผลตอบแทนการลงทุนสูง 3.0% – 9.0% ต่อปี โดยเปิดจองซื้อ ผ่าน 2 ช่องทาง คือ จองซื้อผ่านช่องทางสาขาของธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ และจองซื้อออนไลน์ผ่าน Money Connect บนแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 20 กันยายน 2567 เวลา 16.00 น.           นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” โดยตลอดระยะเวลากว่า 71 ปี ได้สนับสนุนให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 4.4 ล้านครอบครัว ขณะเดียวกัน ธอส. ยังพร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงการคลังในการส่งเสริมการออมให้กับคนไทย เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้สูงขึ้น ดังนั้น ธอส. จึงพร้อมสนับสนุนคนไทยลงทุนผ่านกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง ตามที่กระทรวงการคลัง มีนโยบายเปิดขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ซึ่งเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. แก่ผู้ลงทุนรายย่อยราคาหน่วยละ 10 บาท เริ่มต้นที่ 1,000 หน่วย หรือ เท่ากับ 10,000 บาท รวมมูลค่ากองทุนประมาณ 100,000 – 150,000 ล้านบาท โดยธนาคารกรุงไทย ได้รับแต่งตั้งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนการขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง และหน่วยลงทุนประเภท ก. โดยเปิดให้ลูกค้าประชาชนจองซื้อผ่าน 2 ช่องทาง คือ จองซื้อผ่านช่องทางสาขาของธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ และจองซื้อออนไลน์ผ่าน Money Connect บนแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 20 กันยายน 2567 เวลา 16.00 น.           กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ถือเป็นทางเลือกในการออมให้กับบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย ที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย และมีอายุไม่น้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์ หรือนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือกองทุนส่วนบุคคลของผู้ลงทุนรายย่อย และกลุ่มที่ 2 ผู้ลงทุนสถาบันและนิติบุคคลเฉพาะกลุ่ม โดยกองทุน ฯ มีนโยบายลงทุน 3 ประเภท คือ หลักทรัพย์สภาพคล่อง หลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในไทยและต่างประเทศ ที่เน้นลงทุนในกิจการที่มีความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ อาทิ หุ้นในกลุ่ม SET100 ที่มีคะแนน ESG Rating สูง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืนของ ธอส. ขณะที่การจ่ายเงินปันผลจะจ่ายอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง แต่ไม่น้อยกว่าอัตราขั้นต่ำที่กำหนดไว้ร้อยละ 3 ต่อปี และไม่เกินอัตราขั้นสูงที่กำหนดไว้ร้อยละ 9 ต่อปี กำหนดเป็นอัตราคงที่ตลอด 10 ปี           ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน โดยกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจบริษัทจัดการ ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือ ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ และกองทุนฯ นี้ ไม่ใช่กองทุนรวมมีประกันเงินลงทุนและผลตอบแทน โดยผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดหนังสือชี้ชวนเพื่อศึกษารายละเอียดก่อนทำการจองซื้อหน่วยลงทุน

อยากเลือกลงทุนกองทุนรวม กองทุนแบบไหนที่ใช่? เลือกลงทุนที่เหมาะกับเรา

อยากเลือกลงทุนกองทุนรวม กองทุนแบบไหนที่ใช่? เลือกลงทุนที่เหมาะกับเรา

          เรื่องราวที่หลายคนอยากรู้ สำหรับผู้เริ่มสนใจลงทุนในกองทุนรวม แต่เลือกไม่ถูกว่าจะลง (ทุน) กองไหนดี ประมาณว่า เดินเข้ามาถึงประตูสู่การลงทุน แต่ยังยืนงงในดงกองทุนรวมนับพันกองอยู่           คีย์เวิร์ดของคำตอบนี้ คือ “รู้จักตัวเอง” ที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถค้นหากองทุนที่ใช่ เพราะคนแต่ละคนล้วนมีมุมมอง แนวคิด การใช้ชีวิต ความจำเป็น และความสนใจ ที่แตกต่างกัน ฉะนั้น การตัดสินใจเลือกลงทุนในกองทุนรวม จึงต้องรู้จักตัวเองใน 2 เรื่อง คือ เป้าหมายการเงินคืออะไร และยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ตั้งเป้าหมายการเงินให้ปังด้วยหลัก SMART           เป้าหมายการเงิน ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะการเลือกกองทุนรวมเท่านั้น แต่เป็นส่วนสำคัญของการวางแผนการเงินในชีวิตเลยทีเดียว เพราะการมีเป้าหมายการเงินที่ชัดเจน จะเพิ่มโอกาสช่วยให้เราวางแผนการเงิน ได้สำเร็จมากขึ้น ซึ่งเราจะเห็นภาพว่า เราต้องการเงินเพื่ออะไร จำนวนเท่าใด เป้าหมายระยะสั้น กลาง หรือยาว โดยแต่ละเป้าหมายจะรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน ซึ่งเราเริ่มต้นตั้งเป้าหมายการเงินที่ดีได้ ด้วยหลัก SMART ที่ประกอบด้วย R S : Specific ชัดเจน โดยเป้าหมายควรจะระบุได้ชัดเจนและเข้าใจได้ R M : Measurable วัดผลได้ ด้วยการกำหนดเป็นจำนวนเงินที่ชัดเจน R A : Achievable รู้วิธีที่ทำให้เป้าหมายสำเร็จได้ R R : Realistic อยู่บนความเป็นจริง สมเหตุสมผล R T : Time - bound มีกรอบเวลาชัดเจน ว่าเป้าหมายนั้นกำหนดระยะเวลาเมื่อใด ตัวอย่างการตั้งเป้าหมาย SMART เช่น           (S) ฉันจะออมเพื่อเกษียณ           (M) เป็นเงิน 10 ล้านบาท           (A) ฝากธนาคาร ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี = 22,013 บาท/เดือน หรือลงทุนกองทุนรวมผสมผลตอบแทนเฉลี่ย 5% = 12,016 บาท/เดือน หรือลงทุนกองทุนรวมตราสารทุน ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% = 6,710 บาท/เดือน           (R) แบ่งเงินออมมาจากเงินเดือนและอาชีพเสริม           (T) ภายในเวลา 30 ปี หรือ 360 เดือน           ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ในส่วนของ (A) หรือวิธีการที่จะทำให้เป้าหมายสำเร็จ มีได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับการยอมรับความเสี่ยง ซึ่งหากรับความเสี่ยงได้สูง ด้วยระยะเวลายาวถึง 30 ปี อาจนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนหรือกองทุนรวมหุ้น ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี จะลดการออมต่อเดือนเหลือ 6,710 บาท หรือ 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับการฝากธนาคาร ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี และถ้าออมมากขึ้นก็มีโอกาสถึงเป้าหมาย เร็วขึ้นอีกด้วย รู้การยอมรับความเสี่ยงตัวเองนั้นสำคัญยิ่งยวด           นอกจากการกำหนดเป้าหมายการเงินที่ชัดเจนตามหลัก SMART จะช่วยเราเลือกกองทุนที่เหมาะกับเราได้ ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญและต้องนำมาดูประกอบด้วยเสมอ คือ การยอมรับความเสี่ยงของแต่ละคน เพราะแต่ละคนยอมรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน แม้จะอายุเท่ากันหรือมาจากครอบครัวเดียวกันก็ตาม หากคนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เมื่อราคาสินทรัพย์ลดลง อาจรับการสูญเสียเงินไม่ไหวและเกิดการวิตกกังวล ต่างจากคนที่รับความเสี่ยงได้สูงที่สามารถรับไหวเมื่อราคาสินทรัพย์ลดลง เพราะเป็นความเสี่ยงที่ตัวเองพึงพอใจและรับได้           ดังนั้น ก่อนเริ่มลงทุนต้องเช็กก่อนว่า เรายอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหนจาก การทำแบบประเมินความเสี่ยง (suitability test) เพื่อช่วยให้เราสามารถเลือกกองทุนรวมที่เหมาะสมกับเราได้ ซึ่งการประเมินความเสี่ยง จะพิจารณาจากการยอมรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน (Risk Profile) ใน 2 มิติ ได้แก่ ความสามารถในการรับความเสี่ยง (Ability to take risk) ประเมินจากปัจจัยที่สะท้อนความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง เช่น อายุ ระยะเวลาลงทุน ภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สิน ประสบการณ์ลงทุน เป็นต้น ความเต็มใจในการรับความเสี่ยง (Willingness to take risk) ประเมินจากปัจจัยที่สะท้อนความเต็มใจในการรับความเสี่ยง ได้แก่ ทัศนคติเกี่ยวกับการรับความเสี่ยง เช่น สามารถรับผลขาดทุนได้มากน้อยเท่าไหร่ รวมถึงความอดทนต่อความผันผวนหรือการขาดทุน เป็นต้น           การพิจารณาการยอมรับความเสี่ยงจะต้องดูจากหลายปัจจัยร่วมกัน จึงจะออกมาเป็นผลของการยอมรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล ที่แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ เสี่ยงต่ำ เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง เสี่ยงสูง และเสี่ยงสูงมาก           ระดับการยอมรับความเสี่ยงนี้จะช่วยบอกเราว่า เราสามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้น หรือทรัพย์สินทางเลือกอย่างทองคำ หรือน้ำมัน) ได้สัดส่วนประมาณเท่าใด เช่น ผู้รับความเสี่ยงได้ต่ำ ควรมีสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงในพอร์ตประมาณ 10% ขณะที่ผู้ที่รับความเสี่ยงได้เสี่ยงสูงมาก อาจมีสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงในพอร์ตได้สูงถึง 80% โดยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนั้น ก็มาจากความคาดหวังที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นนั่นเอง           ข้อควรรู้ คือ ระดับการยอมรับความเสี่ยงของคนเรานั้น “เปลี่ยนแปลงได้”  ดังนั้น ควรทบทวนการรับความเสี่ยงตัวเองอย่างน้อยทุก 1 - 2 ปี ซึ่งจะดีต่อการวางแผนลงทุนและปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้วย กองทุนรวมแบบไหน “ใช่” สำหรับเรา           เพราะผลิตภัณฑ์การลงทุนแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะ ความเสี่ยง และผลตอบแทนแตกต่างกัน กองทุนรวมมีการจัดระดับความเสี่ยงของกองทุนรวม ตั้งแต่เสี่ยงต่ำระดับ 1 ไปจนถึงเสี่ยงสูงระดับ 8  กองทุนรวมซึ่งกระจายลงทุนในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ก็มีโอกาสและความเสี่ยงที่หลากหลายตามนโยบายการลงทุน ตอบโจทย์ ผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้แตกต่างกัน เช่น ถ้าผู้ลงทุนมีเป้าหมายการเงินระยะยาว และรับความเสี่ยงได้สูง ก็อาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นหรือกองทุนรวมตราสารทุนดังที่กล่าวไปแล้ว แต่หากเป็นคนที่รับความเสี่ยงจากหุ้นได้น้อย ก็อาจลดความเสี่ยงลงด้วยการเลือกกองทุนรวมผสม ซึ่งจะมีความผันผวนน้อยกว่ากองทุนรวมหุ้น เพราะมีการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ อสังหาฯ จึงช่วยกระจายหรือลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียวได้           ในทางกลับกันถ้าผู้ลงทุน มีเป้าหมายระยะสั้น ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ การเลือกลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินหรือกองทุนรวมพันธบัตรก็จะเหมาะสมกว่า           แต่ถ้าใครยังไม่มีเป้าหมายการเงินเพื่อลงทุนในกองทุนรวม ลองตั้งเป้าหมาย “ออมเพื่อเกษียณ” ดูไหม??           อย่าเพิ่งคิดว่า อายุยังน้อย เป้าหมายเกษียณช่างไกลตัวเกินไป ไม่จริงเลย เพราะการออมเพื่อเกษียณยิ่งเริ่มเร็วยิ่งได้เปรียบ เพราะหากออม/ลงทุนสม่ำเสมอ จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ย/ผลตอบแทนทบต้น มีเวลาให้เงินทำงาน และด้วยความที่อายุยังน้อย จึงรับความผันผวนของการลงทุนระหว่างทางได้           ปัจจุบันมี 2 ประเภทกองทุนที่โดดเด่นในด้านการลงทุนระยะยาว และได้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี คือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่มีนโยบายหลากหลายให้เลือก ทั้งการลงทุนในประเทศ ต่างประเทศ ในหุ้น หรือตราสารหนี้ หรือจัดพอร์ตเป็นธีม ก็มีให้เลือกเช่นกัน           หรือถ้าใครต้องการออมต่อเนื่องระยะยาว ได้ลดหย่อนภาษี และสนับสนุนธุรกิจรักษ์โลกไปด้วย ก็ลองพิจารณา กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ที่เป็นกองทุนเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยล่าสุดกองทุน Thai ESG ได้ปรับปรุงเงื่อนไขใหม่ โดยขยายวงเงินลดหย่อนภาษีเป็น 3 แสนบาทต่อคนต่อปี ลดระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุน เหลือ 5 ปี สำหรับการลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2569           อย่างไรก็ตาม เราไม่จำเป็นต้องลงทุนในกองทุนรวมเพียงกองเดียวเท่านั้น หากเรามีรายได้เพิ่มขึ้น มีเป้าหมายมากกว่า 1 เป้าหมาย ก็สามารถลงทุนในกองทุนรวมอื่นเพิ่มเติม เช่น เป้าหมายระยะสั้น และเป้าหมายนั้นมีความสำคัญสูง เช่น เก็บเงินเรียนต่อปริญญาโท ในอีก 2 ปี ก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน หรือกองทุนพันธบัตรที่เน้นปลอดภัยไม่ผันผวน เป็นต้น           แต่ที่สำคัญกว่า.. ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลของแต่ละกองทุนรวมอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ซึ่งสามารถศึกษาได้จากหนังสือชี้ชวนกองทุนรวม หรือ Fund Fact Sheet เพื่อหากองทุนรวมที่เหมาะสมและตอบโจทย์เรามากที่สุด แล้วใน fund fact sheet มีข้อมูลอะไรบ้าง ตอนหน้าจะพาไปเจาะลึกลายแทงขุมทรัพย์ข้อมูลกองทุนรวมกัน โดย นางสาวสาริกา อภิวรรธกกุล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาและส่งเสริมความรู้ตลาดทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

Check list IPO

Check list IPO

Check list IPO           รู้หรือไม่! ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ตลาดหุ้นไทยมีการระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) มาแล้วรวม 22 หลักทรัพย์ มูลค่ารวมกว่า 20,733.35 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ มีหลักทรัพย์ 14 หลักทรัพย์ได้รับอนุญาตและพร้อมเสนอขายแล้ว (ไม่รวมกองทรัสต์เพื่อการลงทุน) ขณะที่อีก 21 หลักทรัพย์กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา และยังมีคำขอเสนอขายจากบริษัทอื่นๆ ที่อยู่ในขั้นตอน Pre-consult อีกถึง 70 หลักทรัพย์ สะท้อนให้เห็นถึงความต่อเนื่องและความเชื่อมั่นในการระดมทุนผ่านตลาดทุนไทย           สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการเสนอขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเงิน, กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดลิสต์บริษัท IPO ที่อยู่ระหว่างอนุมัติคำขอ IPO และเตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ประกอบไปด้วย 1.บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ จำนวนหุ้นที่ IPO : ไม่เกิน 159,000,000 หุ้น ราคา PAR : 0.50 บาท ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)   2.บริษัท ยัสปาล จำกัด (มหาชน) หรือ JPC จำนวนหุ้นที่ IPO : ไม่เกิน 156,000,000 หุ้น หุ้น ราคา PAR : 0.50 บาท ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)   3.บริษัท บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BOON จำนวนหุ้นที่ IPO : ไม่เกิน 320,000,000 หุ้น ราคา PAR : 1.00 บาท ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)   4.บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE จำนวนหุ้นที่ IPO : ไม่เกิน 268,000,000 หุ้น ราคา PAR : 0.50 บาท ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด   5.บริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SNPS จำนวนหุ้นที่ IPO : 105,000,000 หุ้น ราคา PAR : 1.00 บาท ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) 6.บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (มหาชน) หรือ TMAN จำนวนหุ้นที่ IPO : ไม่เกิน 71,430,000 หุ้น ราคา PAR : 0.75 บาท ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)   7.บริษัท อัลฟาแคปปิตอล พาร์ทเนอร์ส กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ACPG จำนวนหุ้นที่ IPO : ไม่เกิน 1,007,640,000 หุ้น ราคา PAR : 2.00 บาท ที่ปรึกษาทางการเงิน : ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)   ขณะที่หลักทรัพย์เตรียมเข้าระดมทุนในตลาดเอ็ม เอ ไอ (mai) ประกอบไปด้วย   1.บริษัท อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ IROYAL จำนวนหุ้นที่ IPO : 58,000,000 หุ้น ราคา PAR : 0.50 บาท ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด   2.บริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPJ จำนวนหุ้นที่ IPO : 53,000,000 หุ้น ราคา PAR : 0.50 บาท ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด   3.บริษัท ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย จำกัด (มหาชน) หรือ TATG จำนวนหุ้นที่ IPO : 100,000,000 หุ้น ราคา PAR : 1.00 บาท ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด   4.บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA จำนวนหุ้นที่ IPO : 60,000,000 หุ้น ราคา PAR : 0.50 บาท ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด   5.บริษัท เอสอีไอ เมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ SEI จำนวนหุ้นที่ IPO : ไม่เกิน 50,000,000 หุ้น ราคา PAR : 0.50 บาท ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัท อวานการ์ด แคปปิตอล จำกัด   6.บริษัท บลู โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BLUE จำนวนหุ้นที่ IPO : ไม่เกิน 60,000,000 หุ้น ราคา PAR : 1.00 บาท ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัท สีลม แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด   7.บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIS จำนวนหุ้นที่ IPO : 140,000,000  หุ้น ราคา PAR : 0.50 บาท ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด             ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานจากตลาดหลักทรัพย์พบว่า บริษัท เอสอีไอ เมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ SEI สถานะการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Effective เปิดเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) โดยมีกรอบระยะเวลาเสนอขาย ระหว่างวันที่ 16-18 กันยายน 2567 ที่ระดับราคา 3.10 บาทต่อหุ้น           ขณะที่ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ ระบุในแบบไฟลิ่ง (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนดราคาหุ้น IPO ที่หุ้นละ 6.70 บาท โดยกำหนดระยะเวลาจองซื้อหุ้น วันที่ 23-25 กันยายน 2567   ที่มา : https://www.set.or.th/th/home    : https://www.sec.or.th/TH/Pages/Home.aspx   รายงานโดย มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว HOONVISION

ก.ล.ต. ปรับหลักเกณฑ์ขายโทเคนดิจิทัล

ก.ล.ต. ปรับหลักเกณฑ์ขายโทเคนดิจิทัล

          ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การอนุญาตเสนอขายโทเคนดิจิทัลแบบกลุ่ม (shelf filing) เพื่อรองรับการระดมทุนของอุตสาหกรรม soft power ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การอนุญาตเสนอขายโทเคนดิจิทัลแบบกลุ่ม (shelf filing) และการปรับปรุงสัดส่วนและมูลค่าการเสนอขายต่อผู้ลงทุนรายย่อย เพื่อรองรับการระดมทุนของกลุ่มอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (soft power) ช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศ โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2567 เป็นต้นไป           ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์ shelf filing และการปรับปรุงสัดส่วนและมูลค่าการเสนอขายต่อผู้ลงทุนรายย่อย เพื่อเพิ่มทางเลือกและความยืดหยุ่นในการขออนุญาตเสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชน (ICO) ให้ภาคเอกชนสามารถเลือกใช้ได้สอดคล้งลักณะของโทเคนดิจิทัล และเพื่อให้ข้อกำหนดเกี่ยวกับการระดมทุนรวมจากผู้ลงทุนรายย่อยมีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับลักษณะของโครงการ โดยยังมีการคุ้มครองผู้ลงทุนอย่างเพียงพอเหมาะสม อันเป็นการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการระดมทุน ซึ่ง ก.ล.ต. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการและร่างประกาศการปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้วเสร็จเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และผู้เกี่ยวข้องส่วนใหญ่เห็นด้วย ก.ล.ต. จึงออกประกาศเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ข้างต้น โดยมีสาระสำคัญดังนี้ (1) หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขออนุญาต ICO แบบกลุ่ม (shelf filing) กำหนดให้โทเคนดิจิทัลที่สามารถเสนอขายแบบ shelf filing ต้องเป็นโทเคนดิจิทัลที่เป็นโครงการซึ่งมีทรัพย์สินอ้างอิงหรือทรัพย์สินที่ลงทุนในลักษณะเดียวกันหรือโครงการในทำนองเดียวกันตามที่ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด ได้แก่ โครงการในกลุ่มอุตสาหกรรม soft power เช่น ดนตรี ภาพยนตร์ ละคร ศิลปะ เป็นต้น โดยผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายแบบ shelf filing จะสามารถเสนอขายโทเคนดิจิทัลได้โดยไม่จำกัดมูลค่าและจำนวนครั้งที่เสนอขายภายในระยะเวลา 2 ปีนับแต่วันที่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ การยื่นคำขออนุญาต แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายโทเคนดิจิทัล (แบบ filing) การชำระค่าธรรมเนียม และข้อกำหนดเกี่ยวกับ ICO จะต้องเป็นไปตามที่ประกาศกำหนด (2) ยกเว้นการกำหนดสัดส่วนและมูลค่าการเสนอขายโทเคนดิจิทัลรวมต่อผู้ลงทุนรายย่อยกรณีที่เป็นโครงการในกลุ่มอุตสาหกรรม soft power จากเดิมที่มีการจำกัดมูลค่าการระดมทุนรวมต่อผู้ลงทุนกลุ่มดังกล่าวไว้           ทั้งนี้ การออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าว* ได้เผยแพร่ลงในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2567 เป็นต้นไป           นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก ก.ล.ต. กล่าวว่า “ก.ล.ต. ในฐานะเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการพัฒนาตลาดทุน เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีมาใช้ในตลาดทุน โดยเฉพาะด้านการระดมทุนของกิจการผ่านเครื่องมือที่หลากหลายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ การปรับปรุงหลักเกณฑ์ในครั้งนี้ ก.ล.ต. คาดัว่า จะมีส่วน่วยส่งเสริมโครงการในกลุ่มของาหกรรม soft power ให้เข้าถึงแหล่งทุนในตลาดทุนได้สะดวกขึ้น ตลอดจนเป็นหนึ่งในกลไกที่จะช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรม soft power สามารถสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (creative economy) ของประเทศให้เติบโตก้าวหน้าต่อไป” ______________________ หมายเหตุ: * ประกาศที่เกี่ยวข้องจำนวน 5 ฉบับ ดังนี้ ประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 26/2567 เรื่อง การเสนอขาย โทเคนดิจิทัลต่อประชาชน (ฉบับที่ 13) (https://publish.sec.or.th/nrs/10366s.pdf) และตารางการมี ผลใช้บังคับของแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายโทเคนดิจิทัล (https://publish.sec.or.th/nrs/10367s.pdf) ประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 27/2567 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการให้ความเห็นชอบผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ฉบับที่ 12) (https://publish.sec.or.th/nrs/10370s.pdf) ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สจ. 24/2567 เรื่อง การกำหนดลักษณะและประเภทของโทเคนดิจิทัลที่สามารถเสนอขายแบบกลุ่ม (https://publish.sec.or.th/nrs/10371s.pdf) ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สจ. 25/2567 เรื่อง การเสนอขาย โทเคนดิจิทัลที่ไม่ต้องกำหนดมูลค่าสูงสุดของการเสนอขายรวมต่อผู้ลงทุนที่มิใช่ผู้ลงทุนสถาบัน ผู้ลงทุน รายใหญ่พิเศษ หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ (https://publish.sec.or.th/nrs/10372s.pdf) ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สจ. 26/2567 เรื่อง หลักเกณฑ์ ในรายละเอียดเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลของผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ฉบับที่ 2) (https://publish.sec.or.th/nrs/10373s.pdf) และตารางแนบท้ายประกาศ (https://publish.sec.or.th/nrs/10374s.pdf)

[ภาพข่าว] IMPACT จับเทรนด์เทคฯ ปั้นศูนย์ประชุมนวัตกรรม

[ภาพข่าว] IMPACT จับเทรนด์เทคฯ ปั้นศูนย์ประชุมนวัตกรรม

          เดินทางบินลัดฟ้าคุยงานต่อเนื่อง สำหรับ “พอลล์ กาญจนพาสน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ อิมแพ็ค โกรท (IMPACT Growth REIT) ล่าสุดปักหมุดไปประเทศจีน พร้อมดูงานศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าที่เซินเจิ้น ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางสำหรับการจัดงานนานาชาติที่ให้ความสำคัญในด้านเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) เพื่อการปฏิรูปงานบริหารอาคารอัจฉริยะ โดยเตรียมนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการด้านต่างๆ ทั้งการเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มมูลคาทางการตลาด สนสนุนการขยายงาน ขยายรายได้ค่าเช่า และประสบการณ์ลูกค้าในการใช้บริการที่ดียิ่งขึ้น หวังยกระดับ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ศูนย์แสดงสินค้า นิทรรศการ และการประชุมชั้นนำอันดับ 1 ของประเทศไทย ให้เป็น Smart Exhibition รวมถึง การพูดคุยถึงโอกาสใหม่ๆ เพื่อต่อยอดความร่วมมือในอนาคต

ยอดนักท่องเที่ยวฟื้นชัด เปิดโผหุ้นรับอานิสงส์

ยอดนักท่องเที่ยวฟื้นชัด เปิดโผหุ้นรับอานิสงส์

          ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.กรุงศรี มองเชิงบวกต่อยอดนักท่องเที่ยว สัปดาห์ที่ 37/24 ฟื้น +19% w-w เป็นครั้งแรกในรอบ 5 สัปดาห์ จากการเดินทางล่วงหน้าก่อนวันหยุดยาวในหลายประเทศ ขณะเดียวกันราคาน้ำมันลดลง -2% w-w และค่าเงินแข็งค่า +0.36 บาท/USD w-w เป็น Upside ต่อผลประกอบการหุ้นกลุ่มสายการบิน เราคงน้ำหนัก Bullish กลุ่มการบิน เลือก BA (Buy, TP 25.75) และ AOT (Buy, TP 64.5) เป็นหุ้น Top pick กลุ่มฯ ยอดนักท่องเที่ยว สัปดาห์ที่ 37/24 (9-15 ก.ย. 24) ยอดนักท่องเที่ยวกลับมาฟื้นเด่น +19% w-w           ยอดนักท่องเที่ยว สัปดาห์ที่ 37/24 ที่ 0.64 ล้านคน (+35% y-y +19% w-w) และคิดเป็นสัดส่วน 94% to Pre-COVID ยอดนักท่องเที่ยวฟื้นเด่น +19% w-w จาก 4 สัปดาห์ก่อนหน้าลดลง w-w ต่อเนื่อง จากการเดินทางล่วงหน้าก่อนวันหยุดต่อเนื่องในสัปดาห์ัดไปหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น รวม 37 สัปดาห์แรกปี 24 มียอดนักท่องเที่ยว 24.81 ล้านคน เพิ่ม +32% y-y แนวโน้มสัปดาห์ถัดไป คาดยอดนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มทรงตัว w-w ราคาน้ำมัน Jet Fuel อยู่ที่ 82.57 USD/Barrel (16 ก.ย.) ลดลง -2% w-w และราคาน้ำมันเฉลี่ยใน 3Q24 (qtd) อยู่ที่ 93.23 USD/Barrel (-17% y-y -5% q-q) อัตราแลกเปลี่ยน 33.26 บาท/USD (17 ก.ย.) แข็งค่าขึ้น 0.36 บาท/USD w-w และแข็งค่าขึ้น 3.50 บาท/USD จากสิ้นงวด 2Q24 ที่ 36.76 บาท/USD บล.กรุงศรี มอง Positive ยอดนักท่องเที่ยวรายสัปดาห์กลับมาฟื้น w-w เป็นครั้งแรกในรอบ 5 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม เป็นไปตามฤดูกาล และฟื้นมากจากนักท่องเที่ยวมาเลเซียซึ่งเป็นการเดินทางภาคพื้นดินมากกว่าครึ่ง เราคาดยอดนักท่องเที่ยว ปี 24F ที่ 34.1 ล้านคน (+21% y-y) โดยอาจมี Upside ราว 3-4% เป็น 35-36 ล้านคน และคาดปี 25F ยอดนักท่องเที่ยวที่ 39.8 ล้านคน (+17% y-y) ราคาน้ำมันเฉลี่ย 3Q24F ต่ำกว่าคาด -8% (vs เราคาด 101 USD/Barrel) เป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการ 3Q24F ของ AAV และ BA ราว 250 ลบ. และ 50 ลบ. ตามลำดับ ค่าเงินบาทแข็งค่า 3.50 บาท จากสิ้นไตรมาสก่อน คาดทำให้ผู้ประกอบการสายการบินอย่าง AAV และ BA ที่มีหนี้สกุลเงิน USD มีโอกาสบันทึกกำไรพิเศษจากอัตราแลกเปลี่ยนใน 3Q24F มากกว่า 2 พันลบ. และ 200 ลบ. ตามลำดับ ยังคงน้ำหนัก Bullish กลุ่มการบิน เลือก BA (Buy, TP 25.75) และ AOT (Buy, TP 64.5) เป็นหุ้น Top pick กลุ่มฯ เรามองหุ้นสายการบินยังมี Catalyst บวกจาก High season ใน 4Q24F-1Q25F และราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าคาด เราเลือก BA เนื่องจากมีความเสี่ยงจากการแข่งขันน้อยกว่า AAV และมี Gimmick จากโอกาสลงทุน Entertainment complex นอกจากนี้เรามองหุ้นสนามบิน (AOT) จะเด่นในปี 2025F จากไม่มีความเสี่ยงจากการแข่งขันเหมือนหุ้นสายการบินที่การแข่งขันมีแนวโน้มสูงขึ้นในปีหน้า ประกอบกับหุ้น AOT ยังมี Upside risk จากหลายโครงการที่จะชัดเจนใน 2H24F นี้ ส่วน AAV (Buy, TP 2.86) จะโดดเด่นจากการเก็งกำไรตามการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันและค่าเงินที่เป็น Upside ต่อผลประกอบการ และ SAV (Buy, TP 25.75) เก็งกำไรจากโอกาสได้สัมปทาการบิหารจรางอากาศที่ประเทศลาวซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน ก.ย.-ต.ค. 24 นี้ ที่มา บล.กรุงศรี

เปิด 10 คำศัพท์ หุ้น 'IPO' ต้องรู้ก่อนลงสนาม!

เปิด 10 คำศัพท์ หุ้น 'IPO' ต้องรู้ก่อนลงสนาม!

          รู้หรือไม่ ! การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นหรือที่เรียกกันว่า "IPO" (Initial Public Offering) เป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถระดมทุนจากนักลงทุนทั่วโลกได้อย่างกว้างขวางและเปิดเผยมากขึ้น นับเป็นก้าวสำคัญสำหรับบริษัทที่ต้องการขยายธุรกิจ เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน หรือเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตาของนักลงทุน การจดทะเบียนในตลาดหุ้นไม่ได้เป็นเพียงการเปิดขายหุ้นให้กับนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทจากการเป็นองค์กรส่วนตัวไปสู่การเป็นองค์กรที่มีส่วนร่วมกับสาธารณะ           การนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นมักจะได้รับความสนใจอย่างสูงจากนักลงทุน เนื่องจากเป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้ลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพสูงตั้งแต่ช่วงแรก การลงทุนใน IPO อาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้นทั่วไป หากบริษัทนั้นสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างเติบโตและมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง           ในขณะเดียวกัน IPO ก็เ็นช่วงเวา่บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทาย เพราะนอกจากจะต้องจัดเตรียมเอกสารและข้อมูลที่โปร่งใสแล้ว ยังต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากตลาดหลักทรัพย์ หน่วยงานกำกับดูแล รวมถึงนักลงทุน นอกจากนี้ การเข้าจดทะเบียนยังทำให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงินและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสให้กับสาธารณะ           ทั้งนี้ IPO เป็นกลไกสำคัญที่สามารถช่วยให้บริษัทเติบโตและก้าวสู่ระดับสากลได้อย่างรวดเร็ว และเป็นก้าวแรกของบริษัทที่มุ่งมั่นจะสร้างความสำเร็จและชื่อเสียงในระดับโลก           วันนี้ทีมข่าวหุ้นวิชั่นจะพาเพื่อน ๆ นักลงทุนมาทำความรู้จักกับคำศัพท์เทคนิคในวงการ "หุ้น" ที่หลายคนอาจเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่ามันหมายถึงอะไรบ้าง งั้นมาดูกันเลยว่ามีคำไหนบ้างที่ควรรู้จักก่อนจะลุยตลาดหุ้นไปด้วยกัน! IPO      - IPO ย่อมาจาก Initial Public Offering คือ การเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก Underwriter      - Underwriter หรือ ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ คือ บริษัทหลักทรัพย์ที่ทำหน้าที่รับจองและจัดสรรหุ้นให้ประชาชนที่มาจองซื้อหุ้น IPO Filing      - ไฟลิ่ง หรือ หนังสือชี้ชวน ซึ่งจะบอกรายละเอียดที่สำคัญของหุ้นให้ผู้ลงทุนศึกษาก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น IPO เช่น ข้อมูลบริษัท รายละเอียดการจองหุ้น Scrip vs Scripless      - Scrip คือ ใบหุ้น เป็นหนึ่งในวิธีเลอกรหุ้น IPO หากเลือกรบวิธี ใบหุ้นจะถูกจัดส่งทางไปรษณีย์      - Scripless คือ เป็นหนึ่งในวิธีเลือกรับหุ้น IPO โดยเป็นการถือครองหลักทรัพย์ในรูปแบบที่ไม่มีใบหุ้น TSD      - ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ หรือ Thailand Securities Depository (TSD) เป็นศูนย์กลางในการรับฝากหลักทรัพย์ด้วยระบบไร้ใบหลักทรัพย์ (Scripless) บัญชี 600      - บัญชี 600 คือ บัญชีบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ เป็นบัญชีที่ให้ผู้ลงทุนฝากหุ้นไว้กับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (TSD) กรณีที่ไม่ต้องการถือใบหุ้นและยังไม่มีพอร์ตลงทุน P/E ratio      - พี/อี เรโช หรือ Price to Earnings Ratio คือ การนำราคาหุ้นในตลาดปัจจุบัน (กรณีของหุ้น IPO คือราคาเสนอขายหุ้น IPO) หารด้วยกำไรสุทธิต่อหุ้น เพื่อดูว่าราคาที่ซื้อขายปัจจุบันสูงกว่ากำไรของบริษัทไปกี่เท่า ซึ่งเป็นวิธีที่ผู้ออกนิยมในการกำหนดราคาหุ้น IPO Small Lot First      - คือ การจัดสรรหุ้น IPO ให้ผู้จองซื้อในรอบแรกด้วยจำนวนจองซื้อขั้นต่ำอย่างเท่าเทียมกัน Greenshoe Option      - คือ เครื่องมือที่ช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้น IPO ในช่วงแรกที่เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จากการจัดสรรหุ้นเกินกว่าจำนวนที่จัดจำหน่าย First Trading Day      - คือ วันแรกที่ผู้ลงทุนจะสามารถนำหุ้น IPO ไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์   ที่มา : https://www.smarttoinvest.com/

จับตาการประชุม ครม. วันนี้ เก็งกำไรหุ้น Domestic Play

จับตาการประชุม ครม. วันนี้ เก็งกำไรหุ้น Domestic Play

แนะนำติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดการณ์ประเด็นสำคัญที่จะมีการนำเสนอในวันนี้ ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือน้ำท่วมภาคเหนือและแผนฟื้นฟู – คาดเป็นบวกต่อหุ้น DOHOME, GLOBAL, TASCO, DCC, DRT การพิจารณาแจกเงิน 10,000 บาทให้กลุ่มเปราะบางตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน และกำหนด Timeline โครงการเฟส 2 – คาดเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค และไฟแนนซ์ เช่น CPALL, CPAXT, BJC, SABINA, OSP, TIDLOR, MTC กระทรวงคมนาคมเสนอโครงการลงทุนมอเตอร์เวย์ 2 เส้นทางและขยายเส้นทางรถไฟสายสีแดง รวมมูลค่า 9.4 หมื่นล้านบาท – คาดเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น CK, STEC การประชุมนี้มีความสำคัญต่อตลาดหุ้นในกลุ่ม Domestic Play โดยนักลงทุนควรติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินโอกาสในการลงทุน ที่มา : บริษัท หลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด

[PR News] ‘วายุภักษ์ 1’ เปิดจองแล้วถึง 20 ก.ย.นี้ ก.ล.ต. ชี้ตอบโจทย์ตลาดทุน

[PR News] ‘วายุภักษ์ 1’ เปิดจองแล้วถึง 20 ก.ย.นี้ ก.ล.ต. ชี้ตอบโจทย์ตลาดทุน

          ‘กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง’ เปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศจองซื้อ 16 - 20 ก.ย.นี้ ขั้นต่ำ 1,000 หน่วย หรือ 10,000 บาท จัดสรรด้วยวิธี Small Lot First เพื่อความเท่าเทียม           เป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าจับตา ล่าสุด “กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง” พร้อมเปิดให้ผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็น “ผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศ” จองซื้อหน่วยลงทุนประเภท ก.ตั้งแต่วันที่ 16 – 20 กันยายน 2567 ที่ราคาหน่วยละ 10 บาท จองซื้อขั้นต่ำ 1,000 หน่วย หรือ 10,000 บาท ด้วยวิธี Small Lot First (ผู้จองซื้อจำนวนขั้นต่ำได้รับจัดสรรก่อน) เพื่อความเท่าเทียมกัน ผู้สนใจสามารถจองซื้อและรับหนังสือชี้ชวนได้ ผ่านสำนักงาน สาขา และ/ หรือช่องทางออนไลน์ (เฉพาะรายที่เปิดจองซื้อทางออนไลน์) ของบริษัทจัดการและผู้สนับสนุนการขายหน่วยลงทุน 8 ราย ได้แก่ บ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน), บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารออมสิน งานนี้ ‘ชวินดา หาญรัตนกูล’ ผู้บริหาร บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ ‘ธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์’ ผู้บริหาร บลจ.เอ็มเอฟซี ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เชื่อว่าผู้ลงทุนจะให้การตอบรับที่ดี จากจุดเด่นด้านอัตราผลตอบแทนที่จะได้รับเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ไม่น้อยกว่า 3% ต่อปี และไม่เกินกว่า 9% ต่อปี จากกลไกการคุ้มครองผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. รวมถึงยังมีกลไกคุ้มครองเงินลงทุนของหน่วยลงทุนประเภท ก. ที่มีสิทธิได้รับชำระคืนเงินลงทุนแบบ Waterfall Structure ก่อนผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. อีกทั้ง กลไกบริหารความเสี่ยง ตามที่กำหนดในหนังสือชี้ชวน นอกจากนี้ยังสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนประเภท ก. ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทุกวันทำการ หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นที่เรียบร้อย           นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้ข้อมูลว่า “กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ที่เสนอขายกับผู้ลงทุนประเภทหน่วย ก. นั้น ก.ล.ต. เห็นว่า กองทุนนี้มีประโยชน์ต่อตลาดทุน เนื่องจากเป็นกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นของ รัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชนชั้นนำของไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสการลงทุน ให้แก่ประชาชนทั่วไป ซึ่งสอดคล้องกับบทบาท ด้านหนึ่งของ ก.ล.ต. คือการสร้างความมั่นคง ทางการเงินให้กับประชาชนไทย ด้วยการส่งเสริม การลงทุนระยะยาว โดยการเปลี่ยน การออมเป็นการลงทุน ซึ่งจะตอบโจทย์ financial well-being ได้ ภายใต้ความรู้ความเข้าใจ เรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เหมาะสมของผู้ลงทุน           อย่างไรก็ดี งทุนรวมที่นดโครงสร้างบแทนในลักษณะ waterfall เช่นเดียวกับ กองทุนรวมวายุภักษ์ 1 มักมีหน่วยลงทุนหลาย class ซึ่งแต่ละ class สามารถกำหนด ให้มีลักษณะและเงื่อนไข ที่แตกต่างกันได้ โดยรวมถึงการที่หน่วยลงทุนบาง class ได้รับเงินปันผลก่อน หรือได้รับเงินปันผล ในอัตราที่แตกต่างกัน หรือสามารถขายคืนหน่วยลงทุนก่อนผู้ถือหน่วยลงทุน class อื่นได้ด้วย           โครงสร้างดังกล่าว มีผลให้บาง class ได้รับผลตอบแทนและการขายคืนหน่วยลงทุนก่อน class อื่น เพื่อลดโอกาสที่จะขาดทุน (downside loss) ซึ่งมักมีข้อจำกัดที่จะได้รับผลตอบแทน ในอัตราที่สูงกว่าอัตราที่กำหนด (upside gain) ในทางกลับกัน class อื่น จะเพิ่มโอกาส ในการได้รับผลตอบแทนต่ำกว่า class ที่มีสิทธิก่อนหน้า แต่ได้เพิ่มโอกาส ในการได้รับ upside ที่สูงขึ้น           กองทุนรวมประเภทข้างต้นนี้ จึงมีการออกแบบ โครงสร้างผลตอบแทน การจัดการความเสี่ยง ในรูปแบบ ที่เป็นทางเลือก ในตลาดทุนไทย นอกเหนือจากประโยชน์ที่มีมืออาชีพมาบริหารจัดการลงทุน ให้เป็นไปตามนโยบายที่ระบุแล้ว           ดังนั้น หลักการสำคัญคือ บลจ. ต้องเปิดเผยข้อมูลโครงสร้างหรือลักษณะดังกล่าว ไว้อย่างชัดเจนในโครงการจัดการกองทุนรวมและหนังสือชี้ชวน เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้ลงทุน เลือกลงทุนได้ตรงตามความต้องการ รวมทั้งการดำเนินการต่าง ๆ ของผู้เกี่ยวข้อง ต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของ ก.ล.ต. และกำกับกระบวนการขาย (sale conduct) ให้ผู้ขายให้ข้อมูล และคำอธิบายตามหนังสือชี้ชวนให้ครบถ้วน”

[PR News] เฟดลดดอกเบี้ยลงทุนอะไรดี จับตาบิทคอยน์

[PR News] เฟดลดดอกเบี้ยลงทุนอะไรดี จับตาบิทคอยน์

          หุ้นวิชั่น - คาดธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มลดดอกเบี้ย ส่งผลบวกต่อทุกสินทรัพย์ในระยะยาว มองเดือนกันยายนเป็นจังหวะทยอยสะสม “หุ้นเทคโนโลยี – หุ้นไทย – บิทคอยน์”   ส่วนบิทคอยน์มีสัญญาณบวกจากสถิติเดิม ปีที่เกิด Halving ราคาจะสิ้นสุดการพักฐานในเดือนนี้ ก่อนจะสร้างผลตอบแทนเป็นบวกสามเดือนติดต่อกัน           นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้าวัตกรรมการลงทุนรูบใหม่ เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตาในเดือนกันยายนนี้ คือการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 -19 กันยายนนี้ โดยประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณมาก่อนหน้านี้แล้วที่การประชุมแจ็คสันโฮลว่านโยบายการเงินมีโอกาสที่จะเปลี่ยนทิศทางมาเป็นการลดดอกเบี้ยถ้าหากตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนแอลง           ทั้งนี้ การประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non-Farm Payroll) สัปดาห์ที่ผ่านมาออกมาต่ำกว่าที่คาดค่อนข้างมาก ทำให้ตลาดมีความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยจนต้องลดดอกเบี้ยในอัตรา 0.5% ในการประชุมเดือนนี้ทันที จึงเกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นและสินทรัพย์อื่น ๆ           อย่างไรก็ตามคาดว่าตลาดได้ซึมซับกับข่าวและความน่าจะเป็นที่จะใช้ยาแรงด้วยการลดดอกเบี้ย 0.5% ไปแล้ว ถ้าหากการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ หรือ CPI Index ในสัปดาห์นี้ออกมาต่ำกว่าที่คาดมากก็ไม่น่าจะสร้างความตกใจให้กับตลาดได้มากกว่านี้           “ในระยะกลาง การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มที่จะลดดอกเบี้ยลงจะเป็นผลดีต่อตลาดการลงทุนทั้งหมด แต่ในระยะสั้นอาจยังมีความผันผวน ถึงอย่างไรการที่ตลาดหุ้นและสินทรัพย์การลงทุนอื่นปรับฐานลงมาในช่วงเดือนกันยายน ถือเป็นโอกาสในการทยอยเข้าสะสม เพราะจากสถิติทุกปี เดือนกันยายนตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด แต่หลังจากนั้นในไตรมาสที่สี่จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นอย่างดี”           โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq หากมีการปรับฐานลงมา มองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ทั้ง 7 ตัว รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเอไออื่น ๆ เพราะภาพรวมของการประกาศผลประกอบการของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเอไอ ยังคงทำได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดทั้งหมด รวมทั้งยังมองการเติบโตต่อนไตรมาสต่อป แต่ราคาหุ้นปรับัวลมาเป็นไปตามภาวะตลาด           อาทิ หุ้น Nvidia ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น 122% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของไตรมาสที่ผ่านมา กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า และรายได้จากธุรกิจศูนย์ข้อมูลของ Nvidia ซึ่งรวมถึงโปรเซสเซอร์ AI เพิ่มขึ้น 154% จากปีที่ผ่านมา เป็นแรงหนุนสำคัญให้กับหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ           ขณะที่หุ้น Tesla นักลงทุนกำลังมองข้ามยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตลดลง และให้ความสำคัญกับการเปิดตัวธุรกิจใหม่ คือ Robotaxi หรือ แท็กซี่แบบไร้คนขับ ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้และทำกำไรให้กับ Tesla ในยุคต่อไป           ด้านสินทรัพย์อื่น ๆ ที่จะได้ประโยชน์จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงเดือนกันยายนสามารถที่จะทยอยเข้าลงทุนได้ เช่น ทองคำ และบิทคอยน์ จากสถิติที่ผ่านมา ปีที่เกิดการ Halving และมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ราคาบิทคอยน์จะจบการปรับฐานในเดือนกันยายนและจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกตลอดสามดือนสุดท้ายของปี และยังมีโอกาสที่จะเป็นขาขึ้นต่อเนื่องในปี 2025 จึงสามารถทยอยเข้าสะสมได้ โดยมีแนวรับไม่ต่ำกว่า 49,000 ดอลลาร์           ทางด้านตลาดหุ้นไทย เริ่มมีปัจจัยบวกเข้ามาไม่ว่าจะเป็นการได้รัฐบาลใหม่ การตั้งกองทุนวายุภักษ์ จนทำให้ดัชนี SET Index ปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในแง่ทางเทคนิคมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นแตะ 1,500 จุด ในปีนี้ เพราะมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในรูปแบบของการเก็งกำไรไปจนถึงสิ้นปีนี้ได้ แต่หลังจากนั้นต้องจับตาการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ว่าจะทำให้จีดีพีสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง หรือไม่

เงินนอกไหลเข้าชูKBANK โบรกเคาะเป้าราคาเท่าไร?

เงินนอกไหลเข้าชูKBANK โบรกเคาะเป้าราคาเท่าไร?

ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บทวิเคราะห์ บล. DAOL ระบุว่า Fund flow ไหลเข้าต่อเนื่อง หนุนราคาหุ้น outperform ต่อ ยังคงเลือก KBANK เป็น Top pick และมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นจาก แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงวันที่ 20 ส.ค.-9 ก.ย. 24 ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท จาก 2 ปีก่อน ที่ขายต่อเนื่องมากว่า 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งกลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการซื้อหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง KBANK โดย Foreign limit ปัจจุบันยังมี Foreign Available เหลืออีกราว 3.70% (88 ล้านหุ้น) เทียบกับช่วงวันที่ 1 ส.ค. 24 ที่อยู่ที่ 6.10% (145 ล้านหุ้น) แสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติยังสามารถเข้าซื้อหุ้น KBANK ได้อีก ได้ประโยชน์จาก Flow จากการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ และกองทุน TESG เพราะ KBANK ได้ ESG rating ที่ AAA เงินปันผลงวด 1H24 ที่มากกว่าคาด โดยจ่ายที่ 1.50 บาทต่อหุ้น มากกว่าคาดที่ 0.50 บาทต่อหุ้น (ซึ่งเราคาดเท่ากับงวด 1H23) ท าให้เรามีความหวังว่า 2024E จะมีโอกาสที่จะจ่ายเงินปันผลและ Dividend payout มากกว่าที่เราคาดไว้ที่ 7.3 บาทต่อหุ้นได้ ซึ่งจะหนุนให้ ROE มีโอกาสมากกว่าคาดได้และ มีแผนการจัดการ NPL ที่ชัดเจน โดยล่าสุด ได้มีประกาศจัดตั้งบริษัท JV AMC กับ BAM เพราะจะช่วยให้มีการขายหนี้ได้ในราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้น และ NPL จะลดลงได้ในระยะยาว นอกจากนี้จะช่วยหนุนให้มีกำไรเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตได้ (เทียบกับ JKAMC มีกำไรสุทธิปี 23 ที่ 1.08 พันล้านบาท) ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E/2025E เพิ่มขึ้น +7%/+6%, คาดกำไร 3Q24E จะโต YoY ได้ต่อเนื่อง กำไรสุทธิ 1H24 คิดเป็น 60% จากประมาณการทั้งปีทำให้เรามีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E/2025E เพิ่มขึ้น +7%/+6% จากการปรับกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้นปีละ 3-4 พันล้านบาท ทำให้ได้กำไรสุทธิอยู่ที่ 4.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +13% YoY จากสำรองฯที่ลดลงเป็น หลัก ขณะที่เราคาดก าไร 3Q24E จะอยู่ที่ราว 1.15-1.20 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น YoY จากส ารองฯที่ลดลง แต่จะลดลง QoQ เพราะฐานกำไรจากเงินลงทุนที่สูงในไตรมาสก่อนและ NIM ลดลง แนะนำ “ซื้อ” KBANK แต่ปรับราคาเป้าหมายโดยการ Rollover ไปเป็นปี 2025E ได้ที่ 176.00 บาท บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (-1.00SD below 10-yr average PBV) จากเดิมที่ 155.00 บาท อิง 2024E PBV ที่ 0.65x (-1.25SD below 10-yr average PBV) จากการปรับกำไรขึ้น และ PBV เพิ่มขึ้นตามเงินปันผลและ ROE ที่เพิ่มขึ้น

เปิดรายชื่อหุ้น Small & Mid Cap อิงกระแส Vayuphak 1

เปิดรายชื่อหุ้น Small & Mid Cap อิงกระแส Vayuphak 1

VAYU1 เปิดกว้างให้ลงทุนในหุ้น Small & Mid Cap ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีคะแนน ESG สูง.สำหรับหุ้นที่กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง จะเปิดกว้างให้มีการลงทุนในหุ้น Small & Mid Cap ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีคะแนน ESG สูง เพื่อเปิดกว้างให้กับผู้บริหารกองทุนต่างๆ ได้มีตัวเลือกในการเข้างลงทุนมากขึ้น จากเดิมมีข้อจำกัดการลงทุนเพียงแค่หุ้นในกลุ่ม SET50 หรือ SET100 เท่านั้นDAOL ได้คัดหุ้น Small & Mid Cap ที่มีโอกาส outperform SET โดยเลือกจาก1) หุ้น Small & Mid Cap ปรับขึ้นมาไม่มาก (% return) ตั้งแต่ SET ลงไปต่ำสุดครั้งสุดท้ายในวันที่ 6 August 2024 (SET Index = 1274 pts), และยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับราคาในวันที่ SET จุดสุดครั้งสุดท้าย วันที่ 3 January 2023 (SET Index = 1679 pts)2) มี ESG rating สูง (A, AA, AAA) 3) มีปัจจัยพื้นฐานดีมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วงปี 2025 และ จ่ายเงินปันผลTop picks for small & mid cap. stocks: OSP, BGRIM, SJWD, CENTEL, SCGP, GPSC ,PPGC ,IVLไทม์ไลน์ที่คลังจะเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. กองทุนรวมวายุภักษ์ 1 (VAYU1) มีรายละเอียดดังนี้-วันที่ 16-20 กันยายน 2567: เปิดให้ “ประชาชนรายย่อย” จองซื้อ-วันที่ 18-20 กันยายน 2567: เปิดให้ “นักลงทุนสถาบัน” จองซื้อ-วันที่ 23 กันยายน 2567: ทราบผลจัดสรรหน่วยลงทุน-วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป: กองทุนฯเริ่มเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นไทย-วันที่ 15 ตุลาคม 2567: หน่วยลงทุนเข้าไปเทรดได้

[Vision Exclusive] “THCOM พลิกโฉมสู่อาณาจักร Space Tech ปั้นธุรกิจดาวเทียมสู่การเติบโตยั่งยืน” 

[Vision Exclusive] “THCOM พลิกโฉมสู่อาณาจักร Space Tech ปั้นธุรกิจดาวเทียมสู่การเติบโตยั่งยืน” 

          ไทยคม ผู้นำธุรกิจดาวเทียมแห่งเอเชีย และผู้ให้บริการด้านสื่อสารผ่านดาวเทียมครบวงจร ก่อตั้งแต่ปี 2534 ที่ผ่านมาผู้นำธุรกิจดาวเทียมแห่งเอเชีย และผู้ให้บริการด้านสื่อสารผ่านดาวเทียมครบวงจร บริษัทประกอบธุรกิจในกลุ่มธุรกิจหลัก 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. ธุรกิจดาวเทียมและบริการที่เกี่ยวเนื่อง 2. ธุรกิจอินเทอร์เน็ตและสื่อ 3. ธุรกิจโทรศัพท์ในต่างประเทศ 4. ธุรกิจร่วมทุนอื่น  โดยบริษัทพยายามผลักดันบริษัทในการก้าวเป็น Space Tech Company (ผู้ให้บริการชั้นนำในภูมิภาคด้านเทคโนโลยีอวกาศ) สร้างความเติบโต ทั้งในกาวเทียมสื่อสาร ่งเป็นธุรกิจหลัก และในธุรกิจด้านเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ ที่ไทยคมนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอวกาศ มาสร้างสรรค์บริการใหม่ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า           นายปฐมภพ  สุวรรณศิริ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM เปิดเผยว่า  ธุรกิจ Space Tech  จะเป็นธุรกิจที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาบริษัทเดินดำเนินโครงการหลายด้าน เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘CarbonWatch’ ซึ่งเป็นเครื่องมือแรกในประเทศไทยและอาเซียนที่ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก สำหรับการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในภาคป่าไม้ โดยใช้เทคโนโลยีสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) ร่วมกับปัญญาประดิษฐ์  * CarbonWatch เติบโต  โดยแพลตฟอร์ม ‘CarbonWatch’ สามารถใช้ประเมินคาร์บอนในพื้นที่ป่า 2 ประเภท ได้แก่ ป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ ในภาคเหนือและภาคกลางของประเทศไทย และนับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจเอกชนมีส่วนร่วมในการปลูก ฟื้นฟู และดูแลป่า เพื่อใช้ประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ซึ่งจะนำไปสู่การขับเคลื่อนในระดับประเทศสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ในปี 2065 บนฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน           รวมถึงธุรกิจดาวเทียมวงโคจรระดับต่ำ (LEO: Low Earth Orbit Satellite)เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ Space Tech ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมา ไทยคมได้ร่วมมือกับบริษัท โกลบอลสตาร์ จำกัด (Globalstar, Inc.) ้นำับโลด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียมละซูชัน IoT จากสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน มีลูกค้าจำนวนมากที่สนใจใช้บริการดาวเทียม LEO สำหรับ IoT อาทิ การบริการด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยว การเดินเรือ การระบุตำแหน่ง เป็นต้น  ดังนั้นบริษัทคาดว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Space Tech  จะเพิ่มเป็น 20-30% ภายในระยะเวลา 3-5 ปี จากปัจจุบันไม่ถึง 5%            สำหรับธุรกิจดาวเทียม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของไทยคม ยังคงมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้ข้อมูลที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่โครงข่ายไฟฟ้าเข้าถึงได้ยาก ซึ่งยังคงมีความจำเป็นต้องพึ่งพาดาวเทียมในการสื่อสารและเชื่อมต่อข้อมูล ทำให้ธุรกิจดาวเทียมมีความสำคัญอย่างมาก เดินหน้าสร้างดาวเทียม           นอกจากนี้ บริษัทได้เดินหน้าขยายการลงทุนเพิ่มเติม โดยมีแผนการปล่อยดาวเทียมไทยคม 9 และไทยคม 9A เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในช่วงต้นปี 2568 และยังมีแผนเปิดตัวดาวเทียมไทยคม 10 ที่จะให้บริการในช่วงปลายปี 2570 รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว สำนักข่าว Hoonvision

[PR News] MR. D.I.Y. ยื่นไฟลิ่ง เตรียมขาย IPO

[PR News] MR. D.I.Y. ยื่นไฟลิ่ง เตรียมขาย IPO

            "มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ประเทศไทย" ยื่นไฟลิ่ง ก.ล.ต. เตรียมเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 981,482,654 หุ้น แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) และ ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินร่วม เพื่อเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย             "บมจ.มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย)" หรือ MR. D.I.Y. ผู้นำธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 981,482,654 หุ้น ชูความพร้อมของธุรกิจในการก้าวเข้าสู่บทใหม่ในฐานะบริษัทมหาชน เพื่อเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) และธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินร่วม             กลุ่มบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “MR. D.I.Y.”) เป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไปที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย โดยให้บริการลูกค้ากว่า 77 ล้านคนทั่วประเทศไทยต่อปี ในปี 2566 MR. D.I.Y.  เปิดสาขาแรกเมื่อปี พ.ศ. 2559 และเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีสาขารวมทั้งสิ้น 802 สาขา ครอบคลุม 74 จังหวัด ทั่วประเทศไทย และมีการจ้างพนักงานกว่า 9,700 คน (ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567)  MR. D.I.Y. นำเสนอสินค้าประมาณ 15,000 รายการ ใน 5 แผนกหลัก ได้แก่ (1) เครื่องใช้ในครัวเรือน (2) อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (3) เครื่องใช้ไฟฟ้า (4) เครื่องเขียนและอุปกรณ์กีฬา (5) ของเล่น และหมวดหมู่อื่นๆ MR. D.I.Y. มีระบบการจัดการสินค้าที่มีประสิทธิภาพจากการจัดหาสินค้าร่วมกับเครือข่าย ส่งผลให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ทำให้มีต้นทุนค่าสินค้าต่อหน่วยลดลงสำหรับผู้บริโภค อีกทั้งยังมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนคุณภาพชีวิตที่ดีแก่คนไทยทั่วประเทศ ด้วยการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายในราคาถูกคุ้มเสมอ (Always Low Prices) พร้อมความสะดวกสบายผ่านร้านค้าที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ             นายชิน กวานกุ้ย เจ้าหน้าที่บริอง MR. D.I.Y.  เปิดเผยว่า ในปี 2567 MR. D.I.Y.  ฉลองครบรอบ 8 ปี แห่งความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ในช่วงเวลาดังกล่าวบริษัทฯ ได้เห็นศักยภาพการเติบโตที่สูงในธุรกิจสินค้าอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว โดยบริษัทฯ มีการขยายสาขาใหม่ในปี 2564 จำนวน 121 สาขา ในปี 2565 จำนวน 158 สาขา และในปี 2566 จำนวน 184 สาขา โดยคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 36.3% ต่อปีในปี 2564 - 2566             ตามรายงานวิจัยตลาดของ Frost & Sullivan พบว่า MR. D.I.Y. เป็นผู้นำตลาดที่โดดเด่นในธุรกิจสินค้าอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์โดยมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 7.4% สะท้อนให้เห็นถึงรากฐานที่มั่นคง ในขณะเดียวกันตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดที่มีตัวเลขตัวเดียวยังบ่งบอกถึงโอกาสในการเติบโตในอนาคตอีกด้วย เมื่อพิจารณาถึงโอกาสดังกล่าว บริษัทฯ จึงมุ่งมั่นทุ่มเทในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทย ด้วยกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุม การยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และการขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนและพัฒนาสังคมผ่านการสร้างงานและความร่วมมือกับผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายท้องถิ่น             นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า “บมจ.มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย)” หรือ MR. D.I.Y. ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) โดยปัจจุบัน บมจ.มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) มีทุนจดทะเบียน 3,038.5 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 6,077,097,000 หุ้น[1] มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 2,798.5 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 5,597,097,000 หุ้น และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 981,482,654 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 16.31% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการอกแเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้             นายกนต์ธีร์ ประเสริฐวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า  “MR. D.I.Y.” เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไป ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ซึ่งยังมีระดับการแข่งขันที่ต่ำ (Underpenetrated) และเติบโตอย่างรวดเร็ว  จากทิศทางของอุตสาหกรรมค้าปลีกสินค้าอุปกรณ์ตกแต่งบ้านโดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 5.1% ตั้งแต่ปี 2566 - 2571[2] สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของ MR. D.I.Y. มีวัตถุประสงค์นำเงินไปใช้ในการลงทุนเพื่อพัฒนาและขยายธุรกิจของบริษัทฯ ชำระเงินกู้ของบริษัทฯ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไปสำหรับการดำเนินงานของบริษัทฯ

AU ขนมหวานเป้าไกล 10.20 บาท

AU ขนมหวานเป้าไกล 10.20 บาท

          รู้หรือไม่ "After you" เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย โดยเฉพาะในวงการร้านอาหารและขนมหวาน และยังเป็นบริษัท Listed company จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันที่ 23 ธันวาคม 2559 ที่ราคา IPO 4.50 บาท ราคาพาร์ 0.10 บาท มีชื่อย่อใน mai คือ "AU"           สำหรับลักษณะธุรกิจของ AU คือ 1.ร้านขนมหวาน 2. การขายสินค้าและวัตถุดิบ 3. การขายและการจัดงานนอกสถานที่ 4. ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ โดยโครงสร้างล่าสุดไตรมาส 2/2567 สัดนร้านขนมหวาน อยู่ที่ 89.4% การขายสินค้าและวัตถุดิบ อยู่ที่ 6.1% การขายและการจัดงานนอกสถานที่ อยู่ที่ 3.2% และ ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ อยู่ที่ 1.3%           ส่วนการเติบโต AU 3 ปีย้อนหลัง งบปี 2564 มีรายได้ 628.83 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4.45 ล้านบาท งบปี 2565 มีรายได้ 954.47 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 118.48 ล้านยบาท งบปี 2566 มีรายได้ 1,233.76 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 178.17 ล้านบาท ขณะที่งบ 6 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้แล้ว 724.92 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 126.86 ล้านบาท            ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีจำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ฝ่ายวิเคราะห์มองการเติบโตของ AU จะเติบโตทั้งสาขาใหม่และช่องทางใหม่ โดยรายได้จากการขายผ่านร้านสะดวกซื้อมีนัยสําคัญมากขึ้น จากปัจจัยขับเคลื่อนหลักคือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ "ขนมปังเนยโสด" ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะเพิ่มการขายไปยังสาขาภาคใต้ จากปัจจุบันกรุงเทพและปริมณฑล และการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทั้งสินค้าของบริษัทเองและสินค้าร่วมกับแบรนด์ เช่น ขนมปังเลเยอร์ Ezy Bake x After You ซึ่ง AU จะรับรู้รายได้จากการขายน้ําผึ้งและส่วนแบ่งจากยอดขายสินค้าร่วมแบรนด์            ทั้งนี้คาดสัดส่วนรายได้จากขายสินค้าและวัตถุดิบให้กับช่องทางอื่นจะเพิ่มขึ้นจาก 6% ของรายได้รวมในปี 2567 เป็น 9% ในปี  2568 โดยบริษัทตั้งเป้าระยะยาวไว้ที่ 20-25% ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการผลประกอบการขึ้น สะท้อนรายได้จากช่องทางใหม่และคาดมาร์จิ้นดีขึ้น ในเดือนกรกฎาคม SSSG ยังคงเป็นบวกแต่ชะลอตัวลงจาก 15% ในครึ่งปีแรก 2567 เนื่องจากฐานที่สูงในปีที่แล้ว           ขณะที่แนวโน้มครึ่งหลังปียังคงเป็นบวก หนุนโดยการเปิดตัวสินค้าใหม่และอัตรากําไรที่มีดีขึ้น ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกําไรปี 2568-2570 ขึ้น 11-15% จากคาดรายได้ส่วนเพิ่มจากช่องทางร้านสะดวกซื้อ 46-117 ล้านบาทและกําไรทธิ 7-17 ล้านบาท จากการขยายงทางร้านสะดวกซื้อ โดยคาดจําหน่ายในร้าน 7-Eleven ในกรุงเทพฯ 7,000 สาขา ด้วยอัตรากําไรขั้นต้นที่ระมัดระวังที่ 20%            และการปรับเพิ่มประมาณการอัตรากําไรขั้นต้นเป็น 66.3% จากประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นและการประหยัดต่อขนาด และฝ่ายวิเคราะห์ปรับราคาเป้าหมายไปยังปี 2568 ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 10.20 บาท (DCF) ราคาหุ้น AU ปรับตัวลดลง 16% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน จากความกังวลเรื่องกําลังซื้อที่อาจกระทบต่อกลุ่มธุรกิจอาหาร            อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าการปรับตัวลงนี้ยังไม่สะท้อนแนวโน้มกําไรที่แข็งแกร่งของบริษัท จากการวางตําแหน่งแบรนด์ที่แข็งแกร่ง Same Store Sales Growth (SSSG) ที่เป็นบวก สัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น (คิดเป็น 30% ของรายได้รวม) และการขยายสู่ช่องทางใหม่ๆ            ฝ่ายวิเคราะห์ ยังคงคําแนะนํา "ซื้อ" โดยปรับราคาเป้าหมายเป็น 10.20 บาท (จากเดิม 10 บาท) อิงจากวิธี DCF ทั้งนี้ ความเสี่ยงหลักคือโอกาสที่การเติบโตของรายได้อาจชะลอตัวและต้นทุนที่อาจสูงขึ้น           ด้าน บริษัทหลักทรัพย์อินโนเวสท์เอกซ์จำกัด ระบุว่า AU สร้างสถิติกําไรสุทธิ รายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่   73 ล้านบาท ดีกว่าตลาดคาด โดยเติบโต 68.7% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ 34.2% ไตรมาสก่อนหน้า จากปัจจัยหนุนจาก ยอดขายรวมที่  เพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ 10.7% ไตรมาสก่อนหน้า หลังยอดขายสาขาเดิมยังคงเติบโตเด่น 14.9% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ 12% ไตรมาสก่อนหน้า จากการเปิดตัวเมนูใหม่ซึ่งได้ กระแสตอบรับที่ดี           อีกทั้งได้อานิสงส์จากภาวะอากาศปีนี้ที่ร้อนจัดและการเพิ่มขึ้นของลูกค้าต่างชาติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จึงทําให้มีลูกค้าใช้บริการในร้านเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังรับรู้ยอดขายจากสาขาใหม่ที่มีเพิ่ม    6 สาขา ากไตรมาส 2/2566  และ อัตรากําไรขั้นต้นยู่ที่ 66.4% เพิ่ม จาก 64.3% ในไตรมาส 2/2566 และทรงตัวจากไตรมาส 1/2567 ส่วน SG&A/Sales อยู่ที่ 43.1% ลดลงจาก 47.0% ในไตรมาส 2/2566 และ 47.2% ในไตรมาส 1/267 หลังเกิดผลประหยัดต่อขนาดจากยอดขายเติบโตดีและมีการคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น           AU เผยอยู่ระหว่างทบทวนปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของรายได้ป นี้ซึ่งตั้งไว้ที่ 15% จากปีก่อน หลังครึ่งปีหลัง 2567 เติบโตแล้ว 27.2% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยครึ่งปีหลังปี 2567 มีแผนขยายสาขาร้าน After You อีก 6-8 สาขา เพื่อให้บรรลุเป้าปีนี้ที่จะเปิดสาขาใหม่ 10 สาขา (ครึ่งปีแรก 67 เปิด 2 สาขาใหม่และปิด 1 สาขาเก่า) ซึ่งเน้นทําเลที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและย่านชุมชนที่มีกําลังซื้อสูง            พร้อมขยายแฟรนไชส์ After You ในต่างประเทศเพิ่ม 1 สาขา คือ เมืองพนมเปญ กัมพู ชา (เปิด ก.ย. 67) จากปัจจุบันที่มี 2 สาขาในฮ่องกง ที่เหล่ย์ต๊งก๊ายและแอร์ไซด์ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างการเติบโตในระยะยาว            ส่วนร้านลูกก๊อมีแผนขยายสาขา 5 แห่งในห้างสรรพสินค้าที่ กทม. (ครึ่งปีแรก 67 มีเปิด 5 สาขาใหม่) และยังมีแผนเพิ่ม ช่องทางจําหน่ายสินค้าในร้านสะดวกซื้อและช่องทางค้าปลีกอื่นๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มโอกาสเติบโต โดยล่าสุด ก.ค. 67 ได้วางขายขนมปังเนยโสดเป็นครั้งแรกในร้าน 7-11              ฝ่ายวิเคราะห์ มองกําไรสุทธิครึ่งปีแรก 2567 คิดเป็น 59% ของประมาณการทั้งปีซึ่งสูงเกินไป จากยอดขายและมาริ์จิ้นดีกว่าคาด บวกกับครึ่งปีหลัง 2567 คาดผลการดําเนินงานจะยังเติบโตต่อเนื่อง แรงหนุนจากการมีแผนเปิดตัวเมนูใหม่ๆ โดยเฉพาะผลไม้ตามฤดูกาลซึ่งมักจะมีกระแสตอบที่ดี            อีกทั้งยังจะรับรู้ยอดขายเพิ่มเติมจากสาขาเปิดใหม่และช่องทางขายใหม่ในร้าน 7-11  ซึ่งคาดจะช่วยหนุนมาร์จิ้นให้ปรับตัวดีขึ้นจากเกิดผลประหยัดต่อขนาดเพิ่มขึ้น ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับเพิ่มประมาณการจากเดิมราว 22% โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2567 AU จะมีกําไรสุทธิ 261 ล้านบาท เติบโตเด่น 46.5% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักาว Hoonvision

BGRIM มุ่งสู่ 1 หมื่นเมกะวัตต์

BGRIM มุ่งสู่ 1 หมื่นเมกะวัตต์

          บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM  ภายใต้แกนนำของ ดร.ฮาราลด์  ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดย BGRIM  เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ด้วยวิสัยทัศน์ “สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี” บริษัท ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานโดยมุ่งเน้นการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมและพลังงานหมุนเวียน พร้อมกับมีการดูแลรักษาสิ่งว้อมอย่างตอเนื่อง เพื่อก้าวสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน ตลอดจนส่งเสริมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้           การเติบโตของ บี.กริม.พาวเวอร์ เป็นไปตามแนวทางการเติบโต สู่เป้าหมายกำลังการผลิตที่ 10,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 โดยมีสัดส่วนโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากกว่าร้อยละ 50.0 ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ควบคู่ไปกับการจัดการโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง ตลอดจนการลดการปล่อยคาร์บอนตามแนวทางขององค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ในการรักษาอุณหภูมิให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส (สำหรับประเทศในกลุ่ม Non-OECD) เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ภายในปี 2593            ครอบคลุมทั้งโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง และพัฒนา ล่าสุดมีความก้าวหน้าด้านการพัฒนาโซลูชันด้านพลังงาน ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา กำลังการผลิต 35 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ การเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง Nakwol 1 และ 2 ในสาธารณรัฐเกาหลี ที่ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัท           ยิ่งไปกว่านั้น บี.กริม เพาเวอร์ ได้เข้าซื้อหุ้น Amatera Renewable Energy Corporation เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ มีกำลังการผลิตติดตั้ง 65 เมกะวัตต์ ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ตลอดจนการขยายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศญี่ปุ่น ที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลงทุนในพลังงานสะอาด นอกเหนือจากโครงการที่กล่าวมา โครงการอื่นที่อยู่ระหว่างการพัฒนาทั่วโลก จะนำพา บี.กริม เพาเวอร์ เป็นบริษัทผู้ผลิตลังงานั้นนำ ในการปลี่ยนผ่านสู่ังงานสะอาดในอนาคตที่ดีกว่าเดิม           โดยลูกค้า  บี.กริม เพาเวอร์ จำหน่ายไฟฟ้าให้แก่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในประเทศไทย ได้แก่ กฟผ. กฟภ. กฟน. และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในต่างประเทศ ได้แก่ EDL, EVN, EDC, TNB, และ KEPCO รวมถึงจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และน้ำ เพื่อการอุตสาหกรรมให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม            ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนามากกว่า 1 กิกะวัตต์ โดยในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 มีกำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 3 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อู่ตะเภา เฟสหนึ่ง 2. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ GIFU ในประเทศญี่ปุ่น และ 3. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม แบบติดตั้งบนบก KOPOS ในสาธารณรัฐเกาหลี รายงานโดย :  ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว สำนักข่าว Hoonvision