หุ้น SET


AWC ผนึก Hotel Okura เปิดสองโรงแรมใหม่ในเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ยกระดับท่องเที่ยวไทยสู่ระดับโลก

AWC ผนึก Hotel Okura เปิดสองโรงแรมใหม่ในเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ยกระดับท่องเที่ยวไทยสู่ระดับโลก

          หุ้นวิชั่น - 26 ธันวาคม 2567, กรุงเทพฯ ประเทศไทย – บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ลงนามข้อตกลงในการพัฒนาและบริหารโรงแรมจำนวน 2 แห่ง กับ Hotel Okura Co., Ltd. เครือโรงแรมระดับโลกที่ผสมผสานวัฒนธรรมการบริการชั้นเลิศแบบญี่ปุ่นเข้ากับที่พักชั้นหนึ่ง และอาหารเลอรส โดยความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกัน รวมถึงความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานของทั้งสององค์กร สู่การพัฒนาโครงการสำคัญแห่งใหม่ 2 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ โรงแรม โอกุระ รีสอร์ท เชียงใหม่ (Okura Resort Chiang Mai) ซึ่งเป็นโรงแรมภายใต้แบรนด์โอกุระแห่งแรกในภาคเหนือของประเทศไทย นำเสนอประสบการณ์เรียวกังสุดหรูภายใต้แบรนด์โอกุระนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นแห่งแรกของโลก และโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา (The Okura Prestige Sukhumvit Bangkok Hotel and Spa) ใจกลางย่านทองหล่อ ด้วยบริการการดูแลสุขภาพองค์รวม พร้อมองค์ประกอบสไตล์ญี่ปุ่นในบรรยากาศลอยฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ใจกลางทองหล่อ หนึ่งในย่านที่มีชีวิตชีวาที่สุดในกรุงเทพฯ โครงการพัฒนาโรงแรมทั้งสองแห่งนี้สะท้อนถึงการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างความสง่างามแบบญี่ปุ่นและมรดกทางวัฒนธรรมไทย เพื่อกำหนดนิยามใหม่ของการบริการระดับลักชัวรีและการให้บริการด้านสุขภาพในประเทศ โดยความร่วมมือเพื่อพัฒนาโรงแรมใหม่นี้มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 7,600 ล้านบาท สอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโต (GROWTH-LED Strategy) ของบริษัท เพื่อสนับสนุนประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก           ความร่วมมือระหว่าง AWC และ Hotel Okura ในครั้งนี้ สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันในการพัฒนาโรงแรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของความยั่งยืน ทั้งยังตอบโจทย์ความต้องการเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เพิ่มขึ้น โดยความร่วมมือในครั้งนี้ได้ผสานจุดแข็งอันโดดเด่นของทั้งสองฝ่ายเพื่อสร้างคุณค่าร่วมกันในฐานะผู้นำด้านการให้บริการระดับลักชัวรี โดยมุ่งนำเสนอประสบการณ์เหนือระดับที่ผสมผสานการบริการอันเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจในแบบญี่ปุ่นเข้ากับความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมของไทยเพื่อต้อนรับนักเดินทางจากทั่วโลก           นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สานต่อความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนานกับ Hotel Okura และขยายพอร์ตโฟลิโอโรงแรมอันโดดเด่นของเราสู่สองเมืองท่องเที่ยวที่มีสีสันที่สุดของประเทศไทย โดยโรงแรม โอกุระ รีสอร์ท เชียงใหม่ จะสร้างนิยามใหม่ให้กับทางการท่องเที่ยวลักชัวรีและยั่งยืนในประเทศ พร้อมผสมผสานมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมอันงดงามของเชียงใหม่ เข้ากับกลิ่นอายการออกแบบและการให้บริการแบบญี่ปุ่นต้นตำรับ ทั้งยังจะเชื่อมต่อกับ โครงการไลฟ์สไตล์เดสทิเนชั่นของ AWC อย่าง “ลานนาทีค เดสทิเนชั่น” เพื่อเสนอประสบการณ์น่าประทับใจ กับการถ่ายทอดความงดงามของอาณาจักรล้านนาอันเป็นเอกลักษณ์เคียงคู่กับความสง่างามในแบบฉบับญี่ปุ่นเพื่อมอบประสบการณ์ประทับใจไม่รู้ลืม ในขณะที่โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา ในย่านทองหล่อจะถูกพัฒนาเป็นโอเอซิสแห่งการพักผ่อนใจกลางเมือง ด้วยบริการด้านสุขภาพองค์รวมและการเข้าพักแบบระยะยาว นำเสนอประสบการณ์การดูแลสุขภาพสไตล์ญี่ปุ่นที่เป็นเอกลักษณ์ในย่านที่มีชีวิตชีวาที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ พร้อมนำเสนอประสบการณ์แบบรีสอร์ทในเมืองด้วยกลิ่นอายแบบบญี่ปุ่นและประสบการณ์เหนือระดับแบบหาที่ไหนไม่ได้ โครงการพัฒนาโรงแรมอันโดดเด่นแห่งใหม่ทั้งสองนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพจากทั่วโลก แต่จะยังช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศและสนับสนุนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกอีกด้วย”           มร. โทชิฮิโระ โอกิตะ ประธานและกรรมการผู้แทน Hotel Okura Co., Ltd., กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้บรรลุอีกหนึ่งความร่วมมือครั้งสำคัญกับ AWC ผ่านการพัฒนาโรงแรมใหม่ในประเทศไทย ต่อเนื่องจากความสำเร็จของ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้นำแบรนด์โอกุระมาสู่เชียงใหม่และภาคเหนือของประเทศไทยเป็นครั้งแรก ด้วยความมุ่งมั่นของเราในการมอบบริการที่พักระดับโลก ที่ผสมผสานความสง่างามของวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ากับเสน่ห์ท้องถิ่น ด้วยเครือข่ายโรงแรมลักชัวรีที่ตั้งอยู่ทั่วโลก ทำให้เราสามารถผสมผสานความงดงามและความละเอียดอ่อนของวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ากับความสะดวกสบายและฟังก์ชันการใช้งานได้อย่างลงตัว และเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งใหม่นี้กับ AWC จะช่วยมอบประสบการณ์พิเศษและบริการที่ยอดเยี่ยมให้แก่ทั้งแขกชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้อย่างแน่นอน”           โรงแรม โอกุระ รีสอร์ท เชียงใหม่ จะเป็นโรงแรมภายใต้แบรนด์โอกุระแห่งแรกในภาคเหนือของประเทศไทย ตั้งอยู่บนถนนช้างคลานซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ โดดเด่นด้วยตลาดและศูนย์การค้า อาหารท้องถิ่น และสีสันยามค่ำคืน ประกอบด้วยห้องพักที่ออกแบบอย่างพิถีพิถันกว่า 200 ห้อง ผสมผสานความหรูหราสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมเข้ากับวัฒนธรรมล้านนาร่วมสมัย พร้อมห้องพักแบบเรียวกังที่ครบครันด้วยเสื่อทาทามิ ชุดยูกาตะ และออนเซ็นส่วนตัว ที่แขกจะสามารถดื่มด่ำไปกับประสบการณ์การพักผ่อนที่ผสมผสานวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ากับมรดกทางประเพณีของภาคเหนือ ตั้งแต่สถาปัตยกรรมไปจนถึงอาหารเลิศรส ทั้งนี้ โรงแรม โอกุระ รีสอร์ท เชียงใหม่ มีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 1 ของปี 2571 โดยจะมาพร้อมกับห้องอาหารญี่ปุ่น-ล้านนาอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ผสานวัตถุดิบท้องถิ่นเข้ากับเทคนิคการทำอาหารแบบญี่ปุ่น เตรียมมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารชั้นเลิศแบบโอมากาเสะและล้านนาไคเซกิ ยิ่งไปกว่านั้น แขกยังจะได้เพลิดเพลินไปกับหลากหลายสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ออนเซ็น สปา ห้องอาหารแบบ All Day Dining คาเฟ่และห้องอาหาร เลานจ์ รูฟท็อปบาร์ และสระว่ายน้ำ           ในขณะที่ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา จะนำเสนอประสบการณ์ด้านสุขภาพแบบองค์รวมและบริการเข้าพักแบบระยะยาวในพื้นที่ทองหล่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในย่านที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ นำเสนอการเข้าพักอันเป็นเอกลักษณ์และการต้อนรับอย่างอบอุ่น กับล็อบบี้ลอยฟ้าและรูฟท็อปบาร์สไตล์ญี่ปุ่นที่มาพร้อมสวนกลางแจ้ง ผสมผสานการดูแลสุขภาพเข้ากับทัศนียภาพอันงดงามของเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพ เพื่อมอบพื้นที่ให้แขกผู้เข้าพักได้ผ่อนคลายและเติมเต็มทั้งร่างกายและจิตใจ มาพร้อมกับบริการและฟีเจอร์บนชั้นดาดฟ้าอื่นๆ อาทิ ห้องอาหารแบบ All Day Dining ห้องอาหารพิเศษต่างๆ  และรูฟท็อปบาร์ที่มอบวิวเมืองแบบพาโนรามา นอกจากนี้ แขกยังสามารถพักผ่อนหย่อนใจได้ที่บริเวณคาบานาสุดหรูริมสระว่ายน้ำ ลิ้มรสหนึ่งในเมนูอาหารเพื่อสุขภาพเพื่อสร้างสมดุลที่ดี รวมไปถึงเมนูซิกเนเจอร์ในรูปแบบของ โอกุระ เพรสทีจ อีกด้วย           โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา ยังนำเสนอห้อง Onsen Suite แบบต้นตำรับ และสัมผัสเสน่ห์เหนือกาลเวลาของห้องพักสไตล์เรียวกังอันเป็นเอกลักษณ์ หรือเลือกพักในห้องแบบตะวันตกที่ความสะดวกสบาย โดยโรงแรมยังมาพร้อมโปรแกรมสุขภาพเฉพาะบุคคลที่ผสมผสานศาสตร์การดูแลสุขภาพแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมเข้ากับเทรนด์สุขภาพสมัยใหม่ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษโดยนักโภชนาการมืออาชีพ พร้อมสัมผัสการดูแลสุขภาพด้วยวารีบำบัด (Hydrotherapy) และการเจริญสติ (Mindfulness) เพื่อคืนพลังให้กับทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งนี้ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา มีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2571 ด้วยห้องพักกว่า 200 ห้อง ผสมผสานองค์ประกอบการออกแบบร่วมสมัยที่นำธรรมชาติมาประยุกต์เพื่อส่งเสริมสุขภาวะที่ดี (Biophilic) ควบคู่กับสุนทรียะแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม นอกจากนี้ โรงแรมยังให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน ด้วยการออกแบบเพื่อประหยัดพลังงาน ลดความร้อนจากภายนอกอาคาร และการติดตั้งระบบจัดการน้ำอีกด้วย           “โรงแรมทั้งสองแห่งจะช่วยเสริมพอร์ตโฟลิโอระดับลักชัวรีของ AWC และสานต่อความสำเร็จของโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ และเรือโอกุระ ครุซ เพื่อร่วมสร้างมาตรฐานใหม่ในด้านการบริการและเวลเนสให้กับประเทศไทย AWC หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ต้อนรับแขกเข้ามาสัมผัสกับการบริการชั้นเลิศ ความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่โรงแรมภายใต้แบรนด์โอกุระแห่งใหม่ทั้งสองนี้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก” นางวัลลภา กล่าวปิดท้าย [PR News]

AU-SPA ขึ้นแท่น Soft Power ไทย

AU-SPA ขึ้นแท่น Soft Power ไทย

หุ้นวิชั่น - KSS คัด Investment Theme ปี 2025 AU-SPA ติดโผ Soft Power หนึ่งในแผนช่วยต่อยอดความสามารถการแข่งขัน ชี้ละคร หนัง มวย อาหาร โดดเด่น ชี้มี Upside ต่อประมาณการระยะกลาง-ยาว ส่วน BBIK หนุน New S Curve ใหม่ ศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไทยมาแรง ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง Investment Theme ปี 2025 : 1) Domestic Recovery: กลุ่มได้ประโยชน์การฟื้นตัวเศรษฐกิจภายใน GDP ไทยปี 2024 คาดเร่งตัวมากสุดของปีในงวด 4Q24F และเติบโตขึ้นต่อเนื่องในปี 2025F ด้วยแรงหนุนการเบิกจ่ายงบรัฐฯ ภาคบริการการท่องเที่ยวกลับสู่ระดับ Pre-COVID และการขับเคลื่อนมาตรการเศรษฐกิจรัฐบาลในส่วนการบริโภคและการลงทุน จะหนุนหุ้นอิงกำลังซื้อ+เศรษฐกิจภายใน (KBANK, SCB, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, MTC, JMT, MOSHI) 2) Thailand New Investment Cycle : สัญญาณการลงทุนรอบใหม่ของไทยเริ่มกลับมา งบลงทุนรัฐฯ+เอกชนกลับมาขยายตัว > 5%y-y ครั้งแรกในรอบ 8.5 ปี ขณะที่ปี 2025F จะเป็นรอบการลงทุนครั้งใหญ่ของประเทศไทยทั้งแรงขับเคลื่อนภาครัฐฯและภาคเอกชน ร่วมกันลงทุนโครงการ Mega Projects และการต่อยอด New S Curve ใหม่ๆ ของประเทศกว่า 1.5-2.0 ล้านล้านบาท ที่จะกลับมาขับเคลื่อนพร้อมๆ กัน i) Mega Projects: การผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงนโยบายที่เกี่ยวข้อง เช่นการซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนจากเอกชนเพื่อผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท และเพิ่มความยืดหยุ่นการขยายโครงข่ายระยะกลางยาว หลังรัฐบาลผ่านช่วงกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นให้เริ่มกลับมาเติบโตได้ โครงสร้างพื้นฐานจะเป็นจุดช่วยต่อยอดให้การเติบโตเศรษฐกิจประเทศระยะกลาง-ยาวแข็งแกร่งและมั่นคงมากขึ้น (BTS, STECON, PYLON, GLOBAL, KTB, SCB, KBANK) ii) Soft Power : หนึ่งในแผนช่วยต่อยอดความสามารถการแข่งขันประเทศของรัฐฯ คือ การนำ Soft Power มาช่วยสร้างความแตกต่าง ทำให้เราคาดจะการผลักดันพลัง Soft Power ไทยที่มีศักยภาพ อาทิ ละคร หนัง มวย อาหาร หุ้นที่มีความเชื่อมโยงกับจุดเด่นดังกล่าวจะมีภาพ Upside ต่อประมาณการระยะกลาง-ยาว (AU, SPA, CENTEL, ONEE, PLANB) iii) Infrastructure Technology : New S Curve ใหม่ของไทยในส่วนการขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล จะยังมีภาพสร้างความเชื่อมั่นได้ต่อเนื่อง อิงข้อมูลล่าสุด เราประเมินกระแสลงทุน Data Center ของไทยใน 4-5 ปีข้างหน้า เฉลี่ย 55% เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนที่เราน าเสนอไว้ราว 45% ขณะที่มีแนวโน้มเติบโตสูงจาก Upside ทั้งฐานเดิมที่มีโอกาสเร่งขึ้นกว่าตลาดคาด จากผลบวก AI Adoption ที่กำลังขับเคลื่อนปริมาณการใช้ข้อมูลในระบบเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) นอกจากนี้ ยังคาดหวังการเข้ามารายใหม่ๆ ในส่วนผู้ให้บริการ Application อาทิ Facebook, Tiktok (WHA, GULF, GPSC, ADVANC, TRUE, DELTA, INSET, BBIK) iv) Entertainment Complex : อีกด้าน New S Curve ของไทยที่จะมีภาพการเดินหน้าเต็มที่ในปี 2025F คาดกลไกการเดินหน้าออกกฎหมายที่เข้ามาเป็นแรงหนุนตลอดทั้งปี จะสร้างความเชื่อมั่นตลาดต่อการต่อยอดนักท่องเที่ยวจากภาพปี 2025F ที่กลับสู่ระดับ Pre-COVID ให้ยกระดับขึ้นไปอีกสอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียที่ต่อยอดได้สำเร็จ อาทิ สิงคโปร์ มาเก๊า (AOT, BTS, VGI, BJC, CPN, AWC, BA, MBK) 3) Winners of Trump 2.0 : แม้ปัจจัยภายนอกปี 2025F คาดมีความผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงนโยบาย Trump 2.0 อย่างไรก็ตาม เราประเมินยังมีชุดหุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์ i) Tradewars mitigation: การเร่งย้ายฐานการผลิตสู่ประเทศที่มีสถานะเป็นกลาง เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบการกีดกันทางการค้า (WHA, AMATA) ii) US Based Business: กลุ่มที่มีฐานธุรกิจอยู่ในประเทศสหรัฐฯ ช่วยให้ได้ประโยชน์ทางบวกจากนโยบายหลัก Trump 2.0 “Make America Greatest Again” (IVL, BANPU, EPG) 4) Turnaround/High Growth 2025F : หุ้นที่ธุรกิจพลิกกลับมาฟื้นตัวหรือเติบโตสูงในปีถัดไปมักให้ผลตอบแทนที่ Outperform ตลาดโดยรวม (JMT, MALEE, INSET, MONO, BTS, VGI, PTTGC, DUSIT, SAWAD, MOSHI, SHR)

TRIS คงอันดับเครดิต GULF ที่ระดับ “A+” พร้อมปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น

TRIS คงอันดับเครดิต GULF ที่ระดับ “A+” พร้อมปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "Positive" จาก “Stable”

          บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “A+” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทอยู่ที่ระดับ “A” พร้อมได้รับการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตจาก “Stable” หรือ “คงที่” เป็น “Positive” หรือ “บวก” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS) เพื่อสะท้อนถึงมุมมองที่เป็นบวกต่อการควบรวมกิจการกับบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH อีกทั้งให้ความเห็นว่าภายหลังการควบรวมกิจการ บริษัทใหม่ (NewCo) จะมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น รวมถึงกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ในระดับสูง ตลอดจนการลงทุนที่มีการกระจายตัวที่ดี           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF กล่าวว่า “การได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ ‘A+’ และแนวโน้มเครดิตมุมมองเป็นบวกจาก TRIS ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจของ GULF ที่มีฐานะการเงินที่มั่นคง กระแสเงินสดที่เสถียร ความเสี่ยงต่ำ และการลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพและหลากหลาย รวมถึงการบริหารการเงินที่มีประสิทธิภาพ การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตจาก ‘Stable’ เป็น ‘Positive’ แสดงให้เห็นว่า TRIS มีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัทหลังการควบรวมกิจการกับ INTUCH โดยเฉพาะสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของ NewCo ที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ที่ลดลง ไม่เพียงแต่มีโอกาสผลักดันให้อันดับเครดิตสูงขึ้นในอนาคตเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้บริษัทขยายการลงทุนได้เพิ่มขึ้น ทำให้ GULF สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่แข่งขันได้ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวต่อไป ซึ่ง GULF มีแผนที่จะออกหุ้นกู้อีกประมาณ 25,000-30,000 ล้านบาทในช่วงต้นปี 2568”           ล่าสุด GULF ยังได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ในระดับสูงสุดที่ ‘AAA’ กลุ่มทรัพยากร จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบการกำกับดูแลกิจการที่ดี การบริหารความเสี่ยงอย่างครอบคลุม และการนำข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG) มาดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน

[ภาพข่าว] WHAUP คว้าเรทติ้งระดับสูงสุด “AAA” หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings 2567

[ภาพข่าว] WHAUP คว้าเรทติ้งระดับสูงสุด “AAA” หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings 2567

          กรุงเทพฯ - บมจ. ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ “WHAUP” ได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ที่ระดับสูงสุด “AAA” เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันและติดอันดับหุ้นยั่งยืนในกลุ่มทรัพยากร (Resources) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 จากการประกาศผลการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเป็น 1 ใน 228 บริษัทจดทะเบียนที่ผ่านเกณฑ์และได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings และเป็น 1 ใน 56 บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการประมินระดับ AAA สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและการให้ความสำคัญต่อเป้าหมายในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การสร้างความเติบโตทางธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) และธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการดูแลและพัฒนาสิ่งแวดล้อม สังคม และยึดหลักธรรมาภิบาล (ESG) สะท้อนการเป็นผู้นำการให้บริการสาธารณูปโภคและพลังงานอย่างยั่งยืน           นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP เปิดเผยว่า การได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ปี 2567 ในกลุ่มทรัพยากร ที่ระดับ AAA ซึ่งเป็นเรทติ้งระดับสูงสุด เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และการติดโผรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น WHAUP ในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับการการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ด้วยการยึดหลักแนวคิดในการดำเนินธุรกิจที่เน้นสร้างความยั่งยืน ควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าให้แก่สิ่งแวดล้อม ชุมชนและสังคม           นอกจากนี้ WHAUP ยังมุ่งมั่นสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ WHA Group ที่ว่า “WHA : We Shape The Future”

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

[ภาพข่าว] SNNP ฮอตไม่หยุด! ติดโผดัชนี sSET และ SETESG

[ภาพข่าว] SNNP ฮอตไม่หยุด! ติดโผดัชนี sSET และ SETESG

          หุ้นวิชั่น - ปลื้มใจแบบไม่มีหยุดพัก! สำหรับ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ (SNNP) ถูกนำเข้าคำนวณในดัชนีของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกปี 2568 (1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2568) ทั้งในดัชนี sSET และ SETESG กลายเป็นหุ้นดาวเด่นในสายตานักลงทุน ซึ่งดัชนี sSET สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่มีสภาพคล่องการซื้อขายสม่ำเสมอและมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยตามกำหนด เตรียมไปอยู่ในเรดาร์นักลงทุนสถาบัน และอาจมีโอกาสได้เข้าลงทุนเพิ่มในอนาคต ส่วนดัชนี SETESG เป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวราคาของกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) ของบริษัทในการตัดสินใจลงทุนควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของบริษัท  โอ้โห! ออร่าจับขนาดนี้ หาจังหวะที่ดีๆ เคาะขวาหุ้น SNNP กันได้เลยคร้าบบ!!

ภาษีความเค็มมาเยือน! RBF ช่วยลูกค้าปรับสูตร

ภาษีความเค็มมาเยือน! RBF ช่วยลูกค้าปรับสูตร

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า กลุ่มอาหารมีข่าวสรรพสามิตเตรียมเก็บภาษีความเค็มภายในปี 2025 โดยจะเก็บแบบขั้นบันได (เค็มมากเก็บมาก เหมือนภาษีน้ำตาล) จะเริ่มที่ขนมขบเคี้ยวที่โซเดียมสูงก่อน ส่วนเครื่องปรุงรสยังไม่เก็บ เป็นผลลบต่อ SNNP และ TKN เบื้องต้นเชื่อว่าผู้ประกอบการเตรียมตัวปรับสูตรกันอยู่แล้ว (เพราะสรรพสามิตมีเตือนมาก่อนหน้า) และมองบวกต่อ RBF เพราะปัจจุบันมีการช่วยลูกค้าปรับสูตร (ทั้งขนมขบเคี้ยวและซอสปรุงรส) ลดโซเดียม แต่ยังคงความอร่อยไว้

SISBโค้งท้ายลุ้นนิวไฮ เจาะฐานปทุมฯ ชูพิกัด 35.75 บาท

SISBโค้งท้ายลุ้นนิวไฮ เจาะฐานปทุมฯ ชูพิกัด 35.75 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุถึง SISB ว่า คาด 4Q67 คาดขยายตัวทั้ง QoQ และ YoY ในช่วงกลางเดือนพ.ย. SISB ได้ประกาศซื้อที่ดินบริเวณถนนเลียบคลองรังสิต จังหวัดปทุมธานี เพื่อเตรียม รองรับการดำเนินกิจการโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ ลำดับที่ 7 มูลค่าการลงทุนราว 300 ล้านบาท โดยที่ดินดังกล่าวอยู่ใกล้โครงการ ศุภาลัย พรีม่า วิลล่า รังสิต-คลอง 3 ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง จะช่วยให้กลุ่มลูกค้าสามารถเข้าถึงโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์อย่างสะดวกยิ่งขึ้น และเป็นการตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้ปกครองและนักเรียนในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการช่วง ส.ค. 69 แนวโน้ม 2H24 มีเป้าหมายเพิ่มจำนวนนักเรียนภายในสิ้นปีนี้ให้มีจำนวน 4,600 คน (9M67 มีทั้งสิ้น 4,587คน) และปีต่อๆไป เพิ่มขึ้นราวๆ 400 คน ในส่วนของราคาค่าเทอมในปี 67/68 มีการเพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่ที่ 5% ทำให้อาจมองได้ว่าจะมีรายได้เติมโตขึ้นในช่วงที่เปิดภาคเรียนใหม่ จำนวนนักเรียน YTD เพิ่มขึ้นมา 390 คนโดยสาขานนทบุรีเพิ่มขึ้นมากสุด สำหรับปัญหาความไม่พร้อมทางภาษาได้มีการปรับปรุงหลักสูตรเพื่อรองรับ นักเรียนจีนที่ทักษะด้านภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง เพื่อให้สามารถเรียนต่อได้จนจบหลักสูตรและลดการปฏิเสธการรับเข้าเรียน     แนวโน้ม 4Q67F คาดว่าจะรายงานกำไรสุทธิราว 250-260 ล้านบาท ขยายตัวทั้ง QoQ และ YoY โดยทำนิวไฮจากจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นตามการเปิดสาขาใหม่ที่นนทบุรี และการปรับค่าเทอมที่สูงขึ้น ช่วยชดเชยความกังวลของจำนวนนักเรียนที่สาขาประชาอุทิศ และธนบุรี ที่ชะลอการเติบโต Bloomberg ประเมินกำไรสุทธิปี 67-68F เท่ากับ 905.1 ล้านบาท +37.3%YoY และ 1.13 พันล้านบาท+25.3%YoY โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 41.77 บาท มูลค่าปัจจุบันซื้อขายบน Fwd PE ที่ 25.3 เท่า เทียบกับการเติบโตเฉลี่ยปี 67-68F ราว 31% จึงมีความน่าสนใจ ส่วนราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ 35.75 บาท

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

ลุ้นส่งออกปีนี้โต 5.2% แตะ 3 แสนล้านดอลล่าร์ แนะสะสม TU-ITC-AAI-DELTA

ลุ้นส่งออกปีนี้โต 5.2% แตะ 3 แสนล้านดอลล่าร์ แนะสะสม TU-ITC-AAI-DELTA

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ชี้ส่งออกไทย พ.ย. ใกล้เคียงตลาดคาดด้านก.พาณิชย์รายงานตัวเลขส่งออกพ.ย. ไทย +8.2%YoY จากตลาดคาดขยายตัว 7-9% ส่วนด้านการนำเข้า +0.9% YoY ส่งผลให้ยังขาดดุลการค้าราว 224 ล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนงวด 11M67 ส่งออก +5.1% YoY นำเข้า +5.7% YoY และขาดดุลการค้า 6.3 พันล้านดอลลาร์สรอ. โดยยังเชื่อมั่นว่าภาพรวมการส่งออกปีนี้มีโอกาสแตะระดับ 5.2% มูลค่าแตะ 3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นมูลค่าการส่งออกที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยหนุนการส่งออกให้ขยายตัวแรงมาจากการส่งออกสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีโดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบที่เติบโตในระดับสูง สอดรับกับกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของโลก ขณะที่การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตยังคงขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง และการปรับตัวฝนเชิงรุกของประเทศต่างๆ เพื่อรองรับความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งความต้องการสินค้าเกษตร และอาหารในตลาดโลก เมื่อพิจารณาตามกลุ่มสินค้า โดยภาพรวมยังขยายตัวได้ทุกกกลุ่ม แบ่งเป็น - สินค้าเกษตร +4.1% YoY ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 : ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง, ยางพารา และไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป - สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร +7.7% YoY ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 : ผลไม้กระป๋องและแปรรูป, อาหารสัตว์เลี้ยง และอาหารทะลกระป๋อง และแปรรูป - สินค้าอุตสาหกรรม +9.5% YoY ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 : เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องปรับอากาศ และส่วนประกอบ,ผลิตภัณฑ์ยาง, อัญมณีและเครื่องประดับ, เครื่องจักรกล และส่วนประกอบ,หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ, เคมีภัณฑ์, รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ            แนวโน้มการส่งออกปี 68 คาดว่าจะขยายตัว 2-3% จากความท้าทายด้านนโยบายการค้าของทรัมป์ แนวโน้มการค้าโลกที่อาจชะลอตัว โดยเฉพาะในยุโรป ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ยังไม่คลี่คลาย อัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวในระดับสูง ตลอดจนความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ในเชิงกลยุทธ์ : แนะนำทยอยสะสมหุ้นในกลุ่มสินค้าที่ยังขยายตัวได้ดี ได้แก่ TUITC AAI DELTA HANA KCE CCET STA STGT NER TEGH PTTGC IVL TOP

ส่องหุ้นกลุ่มอสังหาฯ แนวโน้มปีหน้า รอดหรือร่วง?

ส่องหุ้นกลุ่มอสังหาฯ แนวโน้มปีหน้า รอดหรือร่วง?

         หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ ส่องหุ้นกลุ่มอสังหาฯ โดยประเมินจากการสอบถามเบื้องต้นของเรา พบว่าบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ที่เราศึกษาอยู่ น่าจะรายงานพรีเซล (ยอดจอง) รวมใน 4Q67F ชะลอตัวราว 8-10% QoQ และ 20% YoY ขณะที่ผลประกอบการรวม 4Q67F ที่กําลังจะประกาศก็น่าชะลอตัวในธุรกิจหลักด้วย ตามพรีเซลที่ซบเซา แต่ทว่า การขายสินทรัพย์ของ Land and Houses (LH.BK/LH TB)* อาจช่วยดันกําไรสุทธิของกลุ่มอสังหา ฯใน 4Q67F ให้เติบโต QoQ ด้วยเหตุจากปัจจัยมหภาค เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและ GDP ที่ฟื้นตัว มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ เราเห็นความเสี่ยงด้านลบ(downside) ต่อประมาณการพรีเซลและกําไรทั้งปีของเราในปี 2567F-2568F  นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจในกลุ่มอสังหา ฯ ยังคงมีความระมัดระวังต่อแนวโน้มปี 2568F ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคงให้น้ำหนักลงทุน "เท่ากับตลาด ฯ" ส่วนในระยะสั้น ฝ่ายวิจัยมองว่า AP Thailand (AP.BK/AP TB)*, Quality Houses (QH.BK/QH TB) และ Pruksa (PSH.BK/PSH TB) จะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลดูน่าสนใจอยู่ระหว่าง 5.8-6.4%            ฝ่ายวิจัยประเมินว่ากําไรหลักโดยรวม 4Q67F ที่จะประกาศออกมามีแนวโน้มชะลอตัวจากพรีเซลย่ำแย่ แต่การขายสินทรัพย์ของ LH อาจช่วยดันให้กําไรสุทธิรวม 4Q67F ของกลุ่มเติบโต QoQ (Figure 2) ขณะที่เห็น downside ต่อประมาณการการเติบโตกําไรรวมที่ -22% YoY ในปี2567F และ +9% YoY ในปี 2568F ตามแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคแย่ลงในปีหน้า สําหรับระยะสั้น เรามองว่า AP (แนะนําซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 11.70 บาท), QH (แนะนําถือ ราคาเป้าหมายที่ 2.10 บาท) และ PSH (แนะนําถือ ราคาเป้าหมายที่10.00 บาท) จะมีdividend yield ดูสูงน่าสนใจอยู่ราว5.8-6.4%  ความเสี่ยงด้านบวกประกอบด้วย sentiment ดีขึ้นและความคาดหวังนโยบายใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระตุ้นภาคอสังหา ฯ จากรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านลบได้แก่ ความเป็นไปได้ในการขึ้น ค่าแรงขั้นต่ํา มาตรการควบคุมสินเชื่อทั้งก่อนและหลังด้วยการยืดหนี้สินในระดับสูงของภาคครัวเรือน การเร่งตัวขึ้นของหนี้เสีย NPL และความกังวลปัจจัยเสี่ยงด้านสภาพคล่องของบริษัทผู้พัฒนาอสังหา ฯขนาดกลางถึงรายเล็กหลังจากเกิดการผิดนัดชําระการจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียน หลายรายล่าสุด

KSS คาด SET วันนี้วิ่งต่อ ส่องแนวต้าน 1410 จุด ส่งออกหนุน ADVANC, AOT, MALEE จัดว่าเด็ด!

KSS คาด SET วันนี้วิ่งต่อ ส่องแนวต้าน 1410 จุด ส่งออกหนุน ADVANC, AOT, MALEE จัดว่าเด็ด!

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” ต้าน 1405/1410 จุด รับ 1395/1390 จุด ตลาดหุ้นต่างประเทศวานนี้ส่วนใหญ่ปิดทำการ ส่วน Futures สหรัฐฯเช้านี้ทรงๆ ช่วงที่เหลือของสัปดาห์ ติดตามยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ปัจจัยกำหนดทิศทางตลาดคาดอยู่ที่ภายใน นำโดยยอดส่งออก พ.ย. 24 ดีกว่าคาดเล็กน้อย หนุนขาดดุลการค้า -224 ล้านเหรียญฯ ผสาน คาดดุลบริการยังน่าจะเด่นตามนักท่องเที่ยว พ.ย. 24 +19%y-y, +17%m-m คาดช่วยให้ดุลบัญชีเดินสะพัด พ.ย. 24 บวกต่อเนื่อง 7 เดือน ประกอบกับ ยอดเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐที่กลับมาเป็นแรงหนุนตั้งแต่ ต.ค. 24 โดยรวมหนุน GDP งวด 4Q24 เด่น ขณะที่สัญญาณเม็ดเงินหนุนตลาดหุ้นยังไปในทางบวก เงินบาทแข็งค่า 34.16 +/- บาท ต่างชาติ Net Long TFEX ที่ 7,723 สัญญา สูงสุดใน 4 วัน ผสานคาดเม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศผ่านนักลงทุนสถาบันยังน่าจะมีโมเมนตัมทางบวกช่วงปลายปี คาด SET แกว่งขึ้นต่อ โดยวันนี้มีหุ้นนำ คือ หุ้นที่เป็นเป้าหมายเม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศที่มีแรงหนุนปลายปี ทั้งจากมาตรการรัฐ+ท่องเที่ยวคึกคัก+เงินบาทแข็งค่า หุ้นเข้า SET50 หุ้นส่งออกที่ยอด พ.ย. 24 y-y เร่งขึ้น อาทิ ไก่ น้ำมะพร้าว วันนี้แนะนำ ADVANC, AOT, MALEE

abs

Hoonvision

CK รอลุ้น Double Deck โบรกเคาะพื้นฐาน 27.50บ.

CK รอลุ้น Double Deck โบรกเคาะพื้นฐาน 27.50บ.

         หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า แนะนำซื้อ CK ราคาพื้นฐาน 27.50 บาทต่อหุ้น คงมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานของ CK จาก 1) แม้กำไรปกติ 4Q24E จะชะลอ QoQ จากปัจจัยฤดูกาลของส่วนแบ่งกำไร CKP แต่คาดการณ์แนวโน้มกำไรปกติจะขยายตัว YoY และมีโอกาสสูงกว่าคาด อยู่ที่กรอบราว 170-250 ล้านบาท หนุนโดยการเริ่มงานสายสีส้ม ซึ่ง progress อาจเร็วกว่าเราคาด, 2) backlog ปัจจุบันทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 2.2 แสนล้านบาท และมีโอกาสได้งาน Double Deck 3 หมื่นล้านบาทเพิ่มใน 1Q25E, และ 3) มองว่าผลกระทบค่าแรงไม่มาก หลังคณะกรรมการไตรภาคีมีมติปรับขึ้นค่าแรงพื้นที่ กทม. และปริมณฑลเพียง +2.5% ขณะที่แรงงานของบริษัทได้รับค่าแรงสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำและอัตรา 400 บาทอยู่แล้วเราคงกำไรปกติปี 2024E/25E ที่ 1.6 พันล้านบาท/2 พันล้านบาท (+12% YoY/+21% YoY) แต่ประมาณการปี 2024E อาจมี upside ราว +10% จากแนวโน้มกำไร 4Q24E ดีกว่าเราคาด ขณะที่ปี 2025E จะโตต่อเนื่องตามการรับรู้ backlogราคาหุ้นกลับมา in line กับ SET ใน 1-3 เดือน แม้การเปิดประมูลโครงการใหม่ของรัฐจะล่าช้า เนื่องจากส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอนการเสนอ ครม. แต่บริษัทมีข้อได้เปรียบจาก backlog ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 2.2 แสนล้านบาท ขณะที่ยังมี catalyst จากโครงการ Double Deck รวมถึงปัจจัยหนุนจากแผนซื้อหุ้นคืนถึง 1 มิ.ย. 2025 โดยปัจจุบันยังมีการซื้อคืนเพียง 5%

TU ซื้อหุ้นคืน 3 พันล้าน โบรกเล็งราคาเฉลี่ย15บาท

TU ซื้อหุ้นคืน 3 พันล้าน โบรกเล็งราคาเฉลี่ย15บาท

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน วงเงินไม่เกิน 3 พันล้านบาท และจำนวนหุ้นซื้อคืนไม่เกิน 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.5% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. - 30 มิ.ย. 2025 (ที่มา: SET) มีมุมมองเป็นบวก โดยแผนซื้อหุ้นคืนดังกล่าว imply ราคาซื้อคืนเฉลี่ย 15 บาท/หุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปัจจุบันราว +17% ทำให้มองว่าจะเป็น sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นได้ สำหรับแนวโน้ม 4Q24E เบื้องต้นเราประเมินกำไรปกติจะโต YoY, QoQ หนุนโดยธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงขยายตัวต่อเนื่อง คงกำไรปกติปี 2024E/25E ที่ 5.3 พันล้านบาท/5.6 พันล้านบาท (+6% YoY/+6% YoY) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18.50 บาท อิง SOTP

ปตท.สผ. รักษามาตรฐานการดำเนินงานด้านความยั่งยืนระดับสากลอย่างต่อเนื่อง

ปตท.สผ. รักษามาตรฐานการดำเนินงานด้านความยั่งยืนระดับสากลอย่างต่อเนื่อง

         หุ้นวิชั่น - บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) ยังคงรักษามาตรฐานความยั่งยืนตามแนวทางสากลมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยผลการดำเนินงานที่โดดเด่นครอบคลุมมิติด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) โดยบริษัทได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) เป็นครั้งที่ 10 ในกลุ่มดัชนีโลก (World Index) ประเภทอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซขั้นต้นและครบวงจร (Oil & Gas Upstream & Integrated) รวมทั้งได้รับคัดเลือกให้อยู่ใน The Sustainability Yearbook 2024 จาก S&P Global ติดต่อกันเป็นปีที่ 11 และเป็นสมาชิกของ FTSE4Good Index Series จาก FTSE Russell ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9          นอกจากนี้ ปตท.สผ. ยังได้รับการจัดอันดับจากสถาบันการประเมินต่าง ๆ ได้แก่ ระดับ BBB โดย MSCI ESG Ratings, ระดับ C+ โดย ISS ESG Ratings, ระดับ AA โดย SET ESG Ratings และได้รับการประเมินเป็นบริษัทที่มีความเสี่ยงด้าน ESG ต่ำ เป็นอันดับที่ 30 จากทั้งหมด 301 บริษัทในกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซ (Oil & Gas Producers) โดย Morningstar Sustainalytics’ ESG Risk Ratings อีกด้วย          ปตท.สผ. ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามกรอบแนวคิดด้านความยั่งยืน โดยมี 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การพัฒนาสู่องค์กรแห่งความเป็นเลิศ (High Performance Organization – HPO), การกำกับดูแลกิจการที่ดี การบริหารความเสี่ยง และการกำกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ (Governance, Risk Management, and Compliance – GRC), และการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน (Sustainable Value Creation – SVC) เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ส่งมอบคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระยะยาว พร้อมทั้งสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN SDGs)

ORI ทุบสถิติขายต่างชาติพุ่ง 5,700 ลบ. เล็งโรดโชว์มุ่งตลาดโลก

ORI ทุบสถิติขายต่างชาติพุ่ง 5,700 ลบ. เล็งโรดโชว์มุ่งตลาดโลก

         หุ้นวิชั่น - ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI กวาดยอดขายต่างชาติทั้งปี 2567 กว่า 5,700 ล้าน เติบโต 225% ทุบสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท รัสเซีย-ไต้หวัน ขึ้นแท่นตลาดหลัก เล็งเดินสายโรดโชว์เปิดตลาดใหม่ต่อเนื่อง พร้อมพิจารณาเปิดสำนักงานขายในต่างประเทศ          นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ปี 2567 บริษัทมียอดขายจากตลาดลูกค้าต่างชาติสูงถึง 5,700 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 225% และยังคงทุบสถิติสูงสุดต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงหลัง COVID-19 โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต ถือเป็นตลาดหลักที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากลูกค้าต่างชาติ จนทำให้มียอดขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตสูงถึงกว่า 2,300 ล้านบาท          “เราเดินหน้าเจาะกลุ่มตลาดลูกค้าต่างชาติโดยการเปิดตัว Origin Agent Club จับมือเอเจนท์อสังหาริมทรัพย์ไทยและต่างประเทศกว่า 300 บริษัท พร้อมทั้งเดินสายโรดโชว์ เเละทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียในเเพลตฟอร์มหลากหลายประเทศ ทำให้เราสามารถเข้าถึงตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในทำเลจุดหมายปลายทางชาวต่างชาติอย่างภูเก็ตนั้น เราพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส ที่มีไลฟ์สไตล์ที่ครบถ้วน ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เช่น โครงการ ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด ภูเก็ต บางเทา บีช มิกซ์ยูสแห่งใหม่ ใกล้หาดบางเทาเพียง 400 เมตร ซึ่งประกอบไปด้วย โรงแรม พูลวิลล่าและคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ โดยในส่วนของคอนโดมิเนียม โซ ออริจิ้น บางเทา บีช ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปี สามารถกวาดยอดขายต่างชาติสะสมกว่า 1,300 ล้านบาท ครองแชมป์ยอดขายต่างชาติในพอร์ตขณะนี้” นายพีระพงศ์ กล่าว          ทั้งนี้ นอกจากโครงการในทำเลภูเก็ตนั้น บริษัทยังได้รับการตอบรับจากลูกค้าต่างชาติทั้งโครงการคอนโดมิเนียมลักชัวรี ใจกลางเมือง เช่น ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์ (Origin Thonglor World) เเละ พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (Park Origin Thonglor) รวมถึงโครงการแนวรถไฟฟ้าสถานีอินเตอร์เชนจ์สำคัญ เช่น ออริจิ้น เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ (Origin Place Taopoon Interchange)โดยตลาดลูกค้าหลักระดับท็อป 3 ประกอบด้วย ตลาดรัสเซีย จีน และไต้หวัน          นายธนกร วุฒิพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL กล่าวว่า ในช่วงปี 2568 บริษัทยังคงเดินหน้าเจาะตลาดลูกค้าต่างชาติเพิ่มเติม อาทิ การเปิดรับเอเจนท์รายใหม่ๆ เข้าร่วม Origin Agent Club การเดินสายโรดโชว์ไปยังตลาดประเทศใหม่ๆ การพิจารณาเปิดสำนักงานขายในต่างประเทศ ในประเทศที่มีลูกค้าให้ความสนใจ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้าถึงโครงการได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทจะยังคงเดินหน้าทำงานร่วมกับ Key Agent เพื่อรักษาฐานการเติบโตของตลาดประเทศในโซนเอเชีย เช่น ไต้หวัน ฮ่องกง ควบคู่กันไปด้วย เพื่อนำเสนอโครงการทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญของบริษัทให้ถึงมือกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น          “อสังหาริมทรัพย์ในไทยมีความโดดเด่นหลายด้าน ทั้งราคาที่ยังจับต้องได้ การออกแบบที่ดูทันสมัย ทำเลและสภาพอากาศที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต เรามองว่าอสังหาริมทรัพย์ไทยมีศักยภาพที่จะเจาะตลาดโลกได้ เราจึงยังคงเดินหน้าสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง เพื่อให้อสังหาริมทรัพย์ของเราเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในตลาดโลกมากยิ่งขึ้น” นายธนกร กล่าว          ขณะที่บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย          1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 163 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 3/2567) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 253,516 ล้านบาท          2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร [PR News]

PR9 คาด Q4 รายได้โตจากผู้ป่วยไทย-ต่างชาติ โบรกแนะ “ซื้อ” ขยับเป้าที่ 29.50 บาท

PR9 คาด Q4 รายได้โตจากผู้ป่วยไทย-ต่างชาติ โบรกแนะ “ซื้อ” ขยับเป้าที่ 29.50 บาท

           หุ้นวิชั่น - บล.เอเอสแอล ระบุ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 รายงานกำไรสุทธิสำหรับงวด 3Q67 ที่ 208.0 ล้านบาท (+48.5%YoY) ตามการเข้าสู่ช่วง high season ของธุรกิจ โดยเป็นรายได้จากกิจการโรงพยาบาล 1,225.6 ล้านบาท (+15.0%YoY) เมื่อแบ่งพิจารณารายได้จาก OPD +10.9%YoY โดยเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของจำนวนผู้เข้ารับบริการและรายได้เฉลี่ยต่อครั้ง และ IPD +20.9%YoY เพิ่มขึ้นจากรายได้เฉลี่ยต่อวันสูงขึ้น และจำนวนวันนอนที่สูงขึ้น ในส่วนของสัดส่วนต้นทุนกิจการโรงพยาบาลในงวด เท่ากับ 63.7% ลดลงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 67.0% โดยหลักสัดส่วนลดลงเนื่องมาจากการประหยัดจากขนาด ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้ เท่ากับ 17.1% ลดลงเมื่อเที่ยบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 18.3%            แนวโน้ม 4Q67 มองว่ายังสามารถปรับตัวขึ้นได้ทั้ง QoQ และ YoY ทั้งนี้มองรายได้เติบโต ทั้งจากคนไทยและต่างชาติ เนื่องจากฐานคนไข้ยังคงต่ำอยู่ทั้งจากกลุ่มกัมพูชา เมียนมา จีน และตะวันออกกลาง แต่ growth มองจะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากฐานที่สูง และปีนี้มีการกระจายรายได้ check up ไปตลอดทั้งปี ส่งผลให้เราคาดการณ์รายได้ที่ 1,256.6 ล้านบาท (+7.0YoY, +2.3QoQ) GPM เท่ากับ 35.3% (ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน/ย่อตัวลงจาก 3Q67 ที่ 36.5%) และคาดกำไรสุทธิที่ 222.8 ล้านบาท (+18.5YoY, +7.1QoQ)            สำหรับแนวโน้มผลประกอบการณ์ในปี 67-69 เรามีมุมมองเป็นบวก คาดการณ์รายได้ตลอดช่วง 3 ปี เท่ากับ 4,643.2 ล้านบาท 4,921.8 ล้านบาท และ 5,167.9 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นการเติบโต 5.5%CAGR ตามแนวโน้มของจำนวนผู้มาเข้ารับบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการประหยัดจากขนาด ทำให้แนวโน้มของ GPM ดีขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 34.5% 35.0% และ35.0% ตามลำดับ (โดยปี 67 ปรับขึ้นจากประมาณครั้งก่อนที่ 34.4%) โดยแนวโน้ม OPD visit เพิ่มขึ้น และ IPD มีการรักษาโรคยากซับซ้อนมากขึ้น อีกทั้งได้ปัจจัยหนุนจากการทำตลาดตะวันออกกลางตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ด้านกำไรสุทธิคาด เท่ากับ 728.9 ล้านบาท 763.7 ล้านบาท และ 801.4 ล้านบาท ตามลำดับ ขยับไปใช้ราคาเหมาะสมปี 68 ที่ 29.50 บาท            แนะนำ “ซื้อ” และขยับไปใช้ราคาเหมาะสมปี 68 ที่ 29.50 บาท/หุ้น (ปรับราคาขึ้นจากปี 67 ที่ 24.00 บาท) ด้วยวิธี Discounted Cash Flow ที่ WACC เท่ากับ 7.7% และมี Terminal growth 3% ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตของรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโรงพยาบาลยังมีโอกาสอีกมากในการทำการตลาดในกลุ่มคนไข้ต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ปัจจัยเสี่ยง: ภาวะเศรษฐกิจ และการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม

ความงามดาวรุ่งปี68 MASTER พร้อมสวย

ความงามดาวรุ่งปี68 MASTER พร้อมสวย

          หุ้นวิชั่น - KResearch เปิด 5 ธุรกิจดาวรุ่งปี 68 อาหาร เครื่องดื่มสุขภาพ, การแพทย์ ความงาม, ท่องเที่ยว/ฮีลใจ, สินค้า    บริการเด็ก, ธุรกิจกรีน/ปล่อยคาร์บอนต่ำ นำเทรนด์ ส่อง MASTER KLINIQ TRP ติดโผ           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) คาดการเติบโตของธุรกิจในปี 2568 ยังเสี่ยงกดดันจากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจการแข่งขันที่รุนแรงต่อเนื่องกับสินค้านำเข้าสังคมสูงอายุกระทบการใช้จ่ายและสภาพอากาศแปรปรวน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า Smart Spending, Self-healing, Sustainability เป็น 3 เทรนด์ผู้บริโภคที่ธุรกิจจะต้องปรับตัวตาม           5 ธุรกิจรุ่งได้แก่ อาหารและเครื่องดื่มสุขภาพ, การแพทย์และความงาม, ท่องเที่ยว/ฮีลใจ, สินค้าและบริการเด็ก, ธุรกิจกรีน/ปล่อยคาร์บอนต่ำ           ขณะที่ 5 ธุรกิจร่วงได้แก่ ผลิตสินค้าแฟชั่นเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่ง, ดีลเลอร์รถยนต์สันดาป, อสังหาริมทรัพย์, Trader ซื้อมาขายไป, ธุรกิจปล่อยคาร์บอนสูง.  หลายปัจจัยแวดล้อมยังคงกดดันการทำธุรกิจในปี 2568           1.เศรษฐกิจเสี่ยงโตชะลอเจ้าของกิจการยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวแม้ว่าอาจได้แรงหนุนบางส่วนจากมาตการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐแต่ด้วยค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงระมัดระวังหรือฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าปี 2568 การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มเติบโต2.4% ชะลอลงจากปี 2567 ที่จะโตราว4.6%           2.แข่งขันรุนแรงต่อเนื่องกับสินค้านำเข้าโดยเฉพาะสินค้าจีนราคาถูกเช่นเหล็กแฟชั่นของใช้ส่วนตัวเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งเป็นต้นซึ่งไทยมีมูลค่านำเข้าสินค้าทั้งหมดจากจีนคิดเป็น 1 ใน 4 ของการนำเข้าสินค้าทั้งหมดรวมถึงยังมีความเสี่ยงจากนโยบายของทรัมป์ที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนและประเทศต่างๆทำให้อาจเห็นการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนมากขึ้นและส่งผลให้ธุรกิจที่ดำเนินกิจการในไทยแข่งขันลำบากสะท้อนจากอัตราการใช้กำลังการผลิต 10 เดือนแรกของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 58% ลดลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมา ที่โตเฉลี่ย 62.5% (ปี 2564-2566)           3.สังคมสูงอายุกดดันการใช้จ่ายไทยจะเข้าสู่ Super-aged Society ในปี 2571 หรือมีจำนวนผู้สูงอายุราว 14 ล้านคนคิดเป็น20% ของประชากรทั้งหมดแต่ผู้สูงอายุกว่า 34% มีรายได้ต่ำกว่า30,000 บาทต่อปีสะท้อนถึงการใช้จ่ายที่จำกัด ขณะเดียวกันค่ารักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจะยิ่งกดดันค่าใช้จ่ายในภาพรวมจากการที่ผู้สูงอายุเสี่ยงเจ็บป่วยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของผู้สูงอายุจะอยู่ที่ราว 37% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดซึ่งมากกว่าช่วงวัยอื่นๆ 3%           4.สภาพอากาศแปรปรวนที่เกิดถี่และรุนแรงขึ้นส่งผลกระทบหรือสร้างความเสียหายต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งภาคเกษตรรายได้ครัวเรือนและธุรกิจรวมถึงสิ่งปลูกสร้าง/ที่อยู่อาศัยนอกจากนี้ยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้หลายประเทศทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้นจนนำมาซึ่งการออกมาตรการต่างๆด้านสิ่งแวดล้อม เช่น CBAM, พ.ร.บ. Climate Change ซึ่งส่งผลกระทบต่อเจ้าของกิจการโดยเฉพาะที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศที่เข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อมเช่นสหภาพยุโรปทำให้มีต้นทุนในการปรับตัวของธุรกิจที่เพิ่มขึ้นและต้องใช้เวลากว่าที่จะได้ผลตอบแทนกลับมาจากการเปลี่ยนผ่านเพื่อตอบรับกับประเด็นนี้ ส่อง 3 เทรนด์ผู้บริโภคที่ธุรกิจจะต้องเร่งปรับตัวตามเพื่อเพิ่มยอดขาย Smart Spending - ใช้จ่ายอย่างรู้ค่า/คุ้มค่าคุ้มราคาแม้ว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคส่วนหนึ่งจะได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐแต่ความสามารถในการใช้จ่ายของครัวเรือนและธุรกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงส่งผลให้ผู้บริโภคยังคงวางแผนใช้จ่ายอย่างระมัดระวังเลือกใช้จ่ายเฉพาะสินค้าที่จำเป็นหรือซื้อสินค้าที่คุ้มค่าคุ้มราคาสะท้อนจากผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ผู้บริโภคกว่า 32% ของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 2 มีค่าใช้จ่ายไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่ปรับพฤติกรรมโดยการลดปริมาณการซื้อสินค้า/ใช้บริการลง เช่น ลดทานข้าวนอกบ้าน/ลดการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นต้น Self-healing - ฮีลใจ/ทันกระแส/มีStoryสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันกดดันให้คนไทยเกิดภาวะเครียดสะสมนำมาซึ่งความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลมากขึ้นซึ่งจากข้อมูลของกรมสุขภาพจิตพบว่ามีผู้ป่วยจิตเวชเข้ารับบริการเพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านคนในปี2558 เป็น 2.9 ล้านคนในปี 2566 แต่คนที่เสี่ยงมีปัญหาอาจสูงถึง 10 ล้านคนโดยเฉพาะในวัยเด็กและเยาวชนรวมถึงวัยทำงาน ดังนั้นธุรกิจสินค้า/บริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจหรือการฮีลใจน่าจะได้รับอานิสงส์เพิ่มขึ้นหากเจ้าของกิจการสามารถปรับตัวได้ทันกับกระแสที่มาไวไปไว Sustainability - กระแสรักษ์โลกตอบโจทย์ตลาดไทยและต่างประเทศการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นทำให้ทั่วโลกรวมถึงไทยตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้นสะท้อนได้จากการสำรวจพบว่าคนไทยกว่า 90%ได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเช่นค่าไฟเพิ่มขึ้นจากอากาศที่ร้อนจัดราคาสินค้าสูงขึ้นจากผลผลิตผันผวนมีปัญหาสุขภาพจาก PM2.5 ดังนั้นธุรกิจที่ปรับตัวรับกับเทรนด์ดังกล่าวก็น่าจะสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้นจากทั้งตลาดไทยและต่างประเทศ เปิดโผ 5 ธุรกิจรุ่ง-ร่วง ปี2568           ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในปี 2568 จะต้องสอดรับไปกับเทรนด์ผู้บริโภคโดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการทำให้สินค้าหรือบริการมีความคุ้มค่าคุ้มราคาและมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวให้ทันกระแสรวมถึงตอบโจทย์เทรนด์ความยั่งยืน ได้แก่           อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ มูลค่าตลาดขยายตัว 5-7% จากการใส่ใจดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุ           การแพทย์และความงาม แม้กำลังซื้อของผู้บริโภคจะยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ แต่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพยังโต 4-6% ตามเทรนด์ใส่ใจสุขภาพและการรักสวยรักงาม           ท่องเที่ยว/ฮีลใจ เช่น สัตว์เลี้ยง คอนเสิร์ต มูเตลู หมีเนย หมูเด้ง มีแนวโน้ม โตตามกระแส Self-health เช่น มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโต 10-15% ตามจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น           สินค้าและบริการเกี่ยวกับเด็ก มูลค่าตลาดขยายตัวราว 4% จากการที่พ่อ แม่ยังคงใส่ใจ และต้องการสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัยให้กับเด็ก           ธุรกิจกรีน/ปล่อยคาร์บอนต่ำ ผลสำรวจพบว่า 58% ของผู้บริโภค เต็มใจที่จะจ่ายสินค้า/บริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งในจำนวนดังกล่าว 37% เต็มใจที่จะจ่ายเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10% เมื่อเทียบกับราคาสินค้าปกติ           ขณะที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ประกอบธุรกิจการแพทยืและความงาม ได้แก่ บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ และ บริษัท เอสเตติก คอนเนค จำกัด (มหาชน) หรือ TRP           ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง MASTER PPA (Purchase Price Allocation) ไม่มีผลในระดับที่มีนัยสำคัญต่อประมาณการ           เพื่อประกอบมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 (ปรับปรุง 2558) เมื่อกิจการมีโอกาสเข้าซื้อหรือมีการควบรวมกิจการ ต้องมีการบันทึกบัญชีโดยการปันส่วนราคาซื้อ (Purchase Price Allocation, PPA) จึงเป็นหน้าที่ของฝ่ายบัญชีที่ต้องหาวิธีการเพื่อหาสินทรัพย์ไม่มีตัวตนต่างๆ เพื่อนำไปบันทึกบัญชีให้ลงตัวใกล้เคียงกับราคาซื้อมากที่สุด ซึ่งหากยังคงเหลือส่วนต่างอยู่อีกโดยที่หาสินทรัพย์ที่จะปันส่วนเข้าไปไม่ได้จึงจะบันทึกเป็นค่าความนิยม หรือ Goodwill นั่นเอง โดยระยะเวลาในการวัดมูลค่าไม่เกินกว่า 1 ปี นับจากวันที่ซื้อ ซึ่งได้กำหนดหลักการและข้อกำหนดทางการเงินสำหรับผู้ซื้อกิจการหรือซื้อเงินลงทุน ดังต่อไปนี้ รับรู้และวัดมูลค่าสินทรัพย์ที่ได้มา หนี้สินที่รับมา และส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมในผู้ถูกซื้อ รับรู้และวัดมูลค่าค่าความนิยม (Goodwill) ที่เกิดขึ้นจากการรวมธุรกิจหรือกำไรจากการ ต่อรองราคาซื้อ และกำหนดข้อมูลที่ต้องเปิดเผยให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถประเมินลักษณะและผลกระทบทางการเงินจากการรวมธุรกิจ           บริษัทร่วมที่ซื้อกิจการมาและไม่อยู่ในระดับที่มีอำนาจควบคุมหรือรวมงบการเงินจะต้องมีการวัดมูลค่าสินทรัพย์ทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนให้ใกล้เคียงกับมูลค่าที่ซื้อมา ซึ่งซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม ทำให้เมื่อมีการวัดมูลค่าต้องมีการปรับเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ดังกล่าวก่อนนำส่วนแบ่งกำไรไปรวมในงบการเงินของผู้ซื้อ เมื่อสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจึงต้องมีการทยอยตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนที่ไปหักออกจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมสินทรัพย์หลักที่มีการวัดมูลค่าเพิ่มขึ้นในบริษัทร่วมของ MASTER ใน 3Q67 ได้แก่ อาคารและอุปกรณ์, ความสัมพันธ์กับลูกค้า (เฉพาะบริษัทที่มีลูกค้าประจำเป็นระยะเวลานาน) และ Trademark           ระยะเวลาในการตัดจำหน่ายอยู่ที่ 5 ปีสำหรับ WIND และ 10 ปีสำหรับบริษัทอื่นๆ และจะเริ่มรับรู้การตัดจำหน่ายก้อนแรกเมื่อซื้อครบ 1 ปี ซึ่งจะสูงกว่าปกติ เพราะเป็นการรับรู้ค่าตัดจำหน่ายของรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ในไตรมาสถัดไปจะทยอยรับรู้เป็นรายไตรมาสหรือ 25% ของที่รับรู้ไปในก้อนแรก ต่อเนื่องจนครบเวลา 5–10 ปีในแต่ละบริษัทร่วม           ใน 3Q67 มีบริษัทที่ซื้อกิจการมาครบ 1 ปี ได้แก่ Rattinan, Kin Corporation, Dr. Chen, และ WIND มูลค่าตัดจำหน่ายรวม 7.2 ล้าน บาท ส่วน 4Q67 ทั้ง 4 บริษัทจะยังคงมีค่าตัดจำหน่ายส่วนนี้อยู่ต่อเนื่อง แต่มูลค่าจะลดลงเพราะมูลค่าจะเป็นรายไตรมาส หรือราว 1.8 ล้าน บาท (เกิดจาก 7.2 ล้านต่อปีหาร 4 ไตรมาส)           ปี 2568 จะมีบริษัทร่วมที่ซื้อกิจการครบ 1 ปี ได้แก่ TYP และ Twinkle Star ในเดือนกุมภาพันธ์, Korawin และ V Square ในเดือนพฤษภาคม เป็นต้น สำหรับมูลค่าจะถูกตัดจำหน่ายเมื่อครบ 1 ปี ไม่สามารถระบุได้ว่าเท่าใด แต่สามารถทราบตัวเลขเบื้องต้นได้จากการจ้างที่ปรึกษาอิสระที่มีความเชี่ยวชาญ มาประเมินมูลค่าที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้น ซึ่งหากมีข้อมูลเพิ่มเติมบริษัทจะแจ้งให้ทราบต่อไป           อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในปี 67–68 ที่รวมผลกระทบจาก PPA แล้วที่ 40–50 ล้าน บาท และ 80–100 ล้าน บาท ตามลำดับ เทียบกับประมาณการของเราที่ 40 ล้าน บาท ในปี 2567 และ 80 ล้าน บาท ในปี 2568 รายการตัดจำหน่ายมูลค่า PPA ที่เกิดขึ้นจึงไม่มีผลต่อประมาณการของเรา และยังคงประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 68.50 บาท ปัจจุบันซื้อขายที่ PER68 ต่ำเพียง 22.7 เท่า คงคำแนะนำ "ซื้อ"           บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง KLINIQ ว่า ฝ่ายวิเคราะห์ลดเป้ารายได้ปี 24F เหลือ 2.94 พันลบ. +29% YoY (เดิม 3.0 พันลบ.) และอัตรากำไรเหลือ 11% (เดิม 13.0%) และปี 25F รายได้ 3.5 พันลบ. +19% และอัตรากำไร 12% จากผลกระทบของสาขาใหม่ที่เปิดเร่งตัวในช่วง 1Q24 จำนวน 10 แห่ง (จากปกติเปิดไตรมาสละ 3-4 แห่ง) ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายและ Breakeven นานกว่าปกติที่เฉลี่ย 3-6 เดือน โดยเฉพาะแบรนด์ L.A.B.X (18% ของรายได้) รายได้ 3Q24 ยังต่ำกว่าเป้าราว 30 ลบ. (LABX มี 21 สาขาหรือต่ำกว่าเป้าเฉลี่ยสาขาละ 4.7 แสนบาท/เดือน จากปกติรายได้ราว 3 ลบ./สาขา/เดือน) ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างปรับกลยุทธ์ทั้ง การเปลี่ยน Presenter, การลดค่าใช้จ่าย รวมถึงการเพิ่มฐานลูกค้าประจำ           มองผ่านจุดต่ำสุดโดยมอง 4Q24F ทิศทางจะดีขึ้น มอง Margin เริ่มฟื้นตัว ทั้งจากสาขาใหม่ที่เริ่มดีขึ้นและศูนย์ศัลยกรรม (15% ของรายได้) ยังเป็นโมเมนตัมเด่น, การคุมค่าใช้จ่ายจะเริ่มเห็นผลมากขึ้น           9M24 เปิดสาขาใหม่ไปแล้ว 15 สาขา แบ่งเป็น THE KLINIQUE 7 สาขา, L.A.B.X 7, L'Ckinic 1 สาขา โดยคาดว่าจะเปิดอีก 6 สาขาใน 4Q24F แบ่งเป็น THE KLINIQUE 2 สาขา, L.A.B.X 3 สาขา และสปา 1 สาขา และแผนปี 25F จะกลับมาเปิดตามปกติ 10 แห่ง (มีทำเลแล้ว 6 แห่ง)           ศูนย์ศัลยกรรมเติบโตสูงต่อเนื่องหลังเริ่ม Breakeven ใน 4Q23 โดย 3Q24 U-rate เฉลี่ยอยู่ราว 43-45% และเกือบ 50% ณ สิ้นไตรมาส เพิ่มจาก 37-39% ใน 2Q24 สามารถทำกำไรสุทธิได้ราว 10 ลบ./ไตรมาส ขณะที่ศูนย์ศัลยกรรมใหม่คาดใกล้ประกาศเร็วๆ นี้ และบริษัทยังวางแผนเปิดทัน 4Q25F (เรายังไม่รวมในประมาณการ)           ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมอง "Slightly negative" ต่อข้อมูลที่ได้รับและเราปรับลดกำไรปี 2024-26F ลงเฉลี่ย 8% จากการปรับรายได้ลดลง โดยกำไรใหม่ปี 2024-25F คาด 305 ลบ. (+6%) และ 360 ลบ. (+18%) ตามลำดับ กำไรปี 25F กลับมาเติบโตดีจากสาขาใหม่ปี 24F เต็มปี ขณะที่สาขาใหม่ปี 25F กลับสู่ระดับปกติ           ระยะสั้น 4Q24F คาดกำไรเบื้องต้น 81 ลบ. (+4% YoY, +4% QoQ) ฟื้นตัวอ่อนๆ ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น           มองหุ้นปรับลงมาสะท้อน Earnings cut จากตลาดจากแนวโน้มสาขาใหม่ 1Q24 ยังฟื้นช้ากว่าคาด โดยอยู่ในโซน Valuation น่าสนใจ มี PER 24F ที่ 21 เท่า (ค่าเฉลี่ย -1SD) แนะนำ "Buy" จาก TP 25F ใหม่ 36.0 บาท อิง PER 22 เท่า (ค่าเฉลี่ย -1SD)           นอกจากนี้ KSS ระบุถึง TRP ว่า กำไรสุทธิ 3Q24 อยู่ที่ 38 ลบ. -10% YoY, +49% QoQ รายได้ทยอยฟื้นจากจุดต่ำสุด โดยมีกำไรพิเศษราว 5 ลบ. จากการลดอัตราภาษีเหลือ 8% จากปกติ 20% เนื่องจากการปรับปรุงรายได้ภาษีจ่าย ขณะที่การดำเนินงานหลัก รายได้ยังลดลง -24% YoY และ -9% QoQ คล้ายกับ 1H24 จากการแข่งขันที่สูงและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยธุรกิจหลักคือ ดึงหน้า (60% ของรายได้) ยังเป็นธุรกิจหลักที่ลดลง แต่รายได้เพิ่มจากการปรับตัว ทั้งเพิ่มธุรกิจใหม่ๆ เช่น ศัลยกรรม (จมูก, กระพุงแก้ม) และความงามอื่นๆ (ผม, ผิวหนัง) ขณะที่ Gross margin อยู่ที่ 53.2% เทียบกับ 3Q23/2Q24 ที่ 54.3%/51.4% และ SG&A/Sales ที่ 25.0% เทียบกับ 3Q23/2Q24 ที่ 22.2%/29.2% ลดลง YoY ทั้งคู่ จากฐานรายได้และการแข่งขัน แต่เป็นภาพฟื้นตัว QoQ           แนวโน้ม 4Q24 ยังฟื้นตัว ส่วนปี 25F คาดฟื้นตัวแต่มี Downside จากการเปิดโรงพยาบาลใหม่ใน 1Q25F กำไร 9M24 คิดเป็น 73% ของทั้งปี 24F ที่ 146 ลบ. (-24%) ยังคงไว้ มองกำไร 4Q24F ยังลด YoY, +QoQ ตามฤดูกาล ขณะที่กำไรปี 25F คาดอยู่ที่ 198 ลบ. +36% แต่มี Downside 10% จากแนวโน้มรายได้ที่ยังเติบโตช้าและแผนเปิดโรงพยาบาลใหม่ใน 1Q25F (ห้องผ่าตัดเพิ่มจากปัจจุบัน 6 ห้อง เป็น 12 ห้อง) คาดจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นราว 10-20 ลบ./ปี ซึ่งแผนปรับปรุงทั้งเพิ่มศัลยกรรมใหม่ ขยายไปกลุ่ม Skin รวมถึงการปรับการตลาดและการขาย มองว่ายังต้องใช้เวลาในการรับรู้จากกลุ่มลูกค้าทั้งกลุ่มเดิม (อายุ 40+)(80% ของรายได้) และกลุ่มวัยรุ่น & คนทำงานช่วงเริ่มต้น (20% ของรายได้)           แนะนำ "Buy" เชิงตั้งรับจาก TP 25F ที่ 11.40 บาท อิง PER 20x หุ้นปรับลง YTD -48% และซื้อขายที่ PER 25F ที่ 16x ซึ่งเป็น Valuation โซนลงทุน แต่ยังมี Downside กำไร 25F จึงแนะนำ "Buy" เชิงตั้งรับจาก TP 25F ที่ 11.4 บาท อิง PER 20 เท่า           ขณะที่ธุรกิจที่มีความเสี่ยงในปี 2568 ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับสินค้ากึ่งคงทนและคงทนที่ถูกกดันจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ อีกทั้งยังต้องแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีน รวมถึงธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนสูงก็มีความเสี่ยงที่ยอดขายลดลงจากเทรนด์ความยั่งยืนที่เติบโต ได้แก่           ธุรกิจผลิตสินค้าแฟชั่น เฟอร์นิเจอร์ ผู้บริโภคยังระวังการใช้จ่าย อีกทั้งยังต้องแข่งกับสินค้านำเข้าทั้งจีน ญี่ปุ่นและเหาหลีทำให้ธุรกิจที่ปรับตัวไม่ทัน เสี่ยงยอดขายหดตัว           ดีลเลอร์รถยนต์สันดาป (ICE) การเปลี่ยนผ่านสู่ EV มากขึ้น กดดันยอดขายรถยนต์สันดาป (ICE) ให้มีแนวโน้มหดตัวลง นอกเหนือไปจากผลกระทบด้านกำลังซื้อ           อสังหาริมทรัพย์ มีแนวโน้มหดตัวจากความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่ยังไม่กลับมา ขณะที่จำนวนยูนิตสะสมที่รอการขายยังสูง           ซื้อมาขายไป หรือ Trader ผู้ผลิตหันมาใช้ช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย  (Omni-channel) ในการเข้าถึงลูกค้าโดยตรง           ธุรกิจปล่อยคาร์บอนสูง โดนกดดันจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นของประเทศคู่ค้า นอกเหนือจากการแข่งกับสินค้านำเข้า เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม ทำให้ธุรกิจมิต้นทุนในการปรับตัวเพิ่มขึ้น

OKJ ขยายสาขา-แบรนด์ โตแกร่ง  แนะ

OKJ ขยายสาขา-แบรนด์ โตแกร่ง แนะ "ซื้อ" เป้า 17 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี เผย OKJ ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มออร์แกนิกของไทย ใช้ความเชี่ยวชาญและห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตผ่านการขยายสาขาเชิงรุก (โอ้กะจู๋) การเพิ่มแบรนด์ใหม่ (Oh! Juice, Ohkajhu Wrap & Roll) และหาช่องทางใหม่ๆ โดยเราคาดการณ์การเติบโตของกำไรที่เฉลี่ย 25% ต่อปี (K-ปี CAGR 2025-27F) ขับเคลื่อนโดยการเติบโตของรายได้ 19% โดยได้แรงหนุนจาก SSSG ที่เป็นบวก การขยายสาขา การเพิ่มแบรนด์ใหม่ และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันซื้อขายที่ 25x PER 2025F และคาดจะลดลงมาอยู่ที่ 19x ในปี 2026F จากการเติบโตของผลประกอบการ เราเริ่มต้นวิเคราะห์ OKJ ด้วยคำแนะนำ "ซื้อ" และราคาเป้าหมาย 17 บาท จากโอกาสการเติบโตที่มีคุณภาพสูง มุ่งเน้นการขยายพื้นที่ให้บริการและแบรนด์ใหม่           บริษัทมีความพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจผ่านหลายกลยุทธ์:           i) ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสาขาโอ้กะจู๋ (90% ของรายได้รวม) จาก 33 สาขาใน 3Q24 เป็น 52 สาขาภายในปี 2570F           ii) OKJ จะมุ่งเน้นการเติบโตของแบรนด์ใหม่ Oh! Juice (ร้านเครื่องดื่ม) และ Ohkajhu Wrap & Roll (เน้นสลัดและแรปสลัด) จาก 17 สาขาในปี 2024 เป็น 62 สาขาภายในปี 2570F คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้ 10% (จากปัจจุบัน 5%)           นอกจากนี้ บริษัทวางแผนเปิดตัวแบรนด์ใหม่ที่เน้นสุขภาพ 1-2 แบรนด์ต่อปี เพื่อขยายการเข้าถึงตลาด OKJ จะใช้ประโยชน์จากพันธมิตรกับผู้ค้าปลีกชั้นนำอย่าง Café Amazon และซูเปอร์มาร์เก็ต โดยมีเป้าหมายสร้างการเติบโตใหม่ในระยะยาว คาดกำไรเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปี (CAGR 2 ปี ในช่วง 2568-2570F)           เราคาดการณ์การเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งใน 4Q24F จากฤดูกาลที่ดี (เทศกาลและวันหยุดยาว) สำหรับบริษัท และ SSSG ที่ยังคงเป็นบวก เราคาดการณ์การเติบโตของกำไรสุทธิ 25% ต่อปี ในช่วงปี 2568-2570F (CAGR 2 ปี) ขับเคลื่อนโดยการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 19% ต่อปี, SSSG 5%, การขยายสาขา และอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น (45.5%) และอัตรากำไรสุทธิ (10.5%) โดยได้แรงหนุนจากสัดส่วนรายได้แบรนด์ที่มาร์จินสูงมากขึ้นและการควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้น เริ่มวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 17 บาท (2525F)           ราคาเป้าหมายของเราอ้างอิง DCF และสมมติฐาน WACC 6.8% (Rf 2.5%, market risk premium 8% และ Beta 1.0) ซึ่งเทียบเท่ากับ 3x PER 2025F ซึ่งน่าสนใจเมื่อพิจารณาจากการคาดการณ์กำไรที่จะเพิ่มขึ้น 51% yoy หุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ 25x PER 2025F และคาดจะลดลงมาอยู่ที่ 19x ในปี 2026F จากการเติบโตของผลประกอบการ ความเสี่ยงหลักได้แก่ การเติบโตของรายได้ที่ช้ากว่าคาด และค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าคาด

โบรกคัดหุ้นเด่น Commerce Sector รับอานิสงส์มาตรการภาครัฐฯ

โบรกคัดหุ้นเด่น Commerce Sector รับอานิสงส์มาตรการภาครัฐฯ

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.หยวนต้า เผย ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต้นปี 2568 ประชุม ครม. นัดสุดท้ายมีมติเห็นชอบ 2 มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจสำคัญ วานนี้ (24 ธ.ค.) ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบ 1. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษีสูงสุด 5 หมื่นบาท แบ่งเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคและการท่องเที่ยว 3 หมื่นบาท สินค้า SMEs และ OTOP อีก 2 หมื่นบาท เริ่มใช้ระหว่าง 15 ม.ค. - 28 ก.พ. 68 ภาครัฐฯ ประเมินจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายราว 7 หมื่นลบ. และ 2. โครงการแจกเงินหมื่นเฟส 2 ให้กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยใช้งบประมาณ 4 หมื่นลบ. คาดจะเริ่มโอนเงินสดให้ทันก่อนตรุษจีนหรือภายในวันที่ 29 ม.ค. 68 4QTD SSSG สินค้าอุปโภคบริโภคยังโตเด่น กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยเริ่มฟื้นตัวได้ อัปเดต 4QTD SSSG หุ้นค้าปลีกใน Coverage ของเรา จะเห็นถึงการฟื้นตัวของภาคการบริโภคหลังเกิดเสถียรภาพทางการเมือง และได้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐฯ รายละเอียดแต่ละ Segment ดังนี้ • กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค: SSSG ใน 4QTD เฉลี่ยอยู่ที่ +2.6% YoY เติบโตดีกว่า +1.8% YoY ใน 3Q67 หนุนจาก CPALL +3-4% YoY และ CPAXT +2-3% YoY ขณะที่ BJC และธุรกิจอาหารของ CRC เป็นบวก 1-3% YoY ดีขึ้นจากติดลบใน 3Q67 หนุนโดย High Season และการแจกเงินหมื่นของภาครัฐฯ • กลุ่มสินค้า Home Improvement: SSSG ใน 4QTD เฉลี่ยอยู่ที่ +0.3% YoY แม้เติบโตดีไม่เท่ากลุ่มสินค้าจำเป็น แต่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเทียบ –5.5% YoY ใน 3Q67 กำลังซื้อดีขึ้นหลังพ้นช่วงฤดูฝนและปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่คลี่คลาย ได้แรงหนุนจากเงินหมื่นบาทและเงินเยียวยาน้ำท่วมของภาครัฐฯ แนวโน้มกำไรปกติ 4Q67 คาดเติบโตดีทั้ง QoQ และ YoY แนวโน้มกำไรปกติ 4Q67 ของกลุ่มค้าปลีกเราคาดเติบโต QoQ และ YoY จาก 1. ช่วง High Season ของการบริโภค กำลังซื้อเพิ่มขึ้นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐฯ โดยมีแรงส่งต่อเนื่องจากการแจกเงินหมื่นให้กลุ่มเปราะบางตั้งแต่ปลาย 3Q67 2. เม็ดเงินจากช่วงเทศกาลหนุนรายได้ภาคท่องเที่ยว สอดคล้องกับ SSSG ที่ยอดขายสาขาท่องเที่ยวจะเติบโตดีกว่าค่าเฉลี่ยทั้งกลุ่ม และ 3. กลยุทธ์หลักของหลายบริษัทคือการเพิ่ม GPM จากการปรับสัดส่วนการขายสินค้าและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น โดยภาพรวมทั้งปี 2567 คาดกำไรปกติกลุ่มค้าปลีกใน Coverage ของเราที่ 5.5 หมื่นลบ. (+18% YoY) คาดภาคการบริโภคในปี 2568 เติบโตดี YoY จากแรงหนุนของมาตรการภาครัฐฯ เราประเมินภาพการบริโภคในประเทศสำหรับปี 2568 จะดีขึ้น YoY ต่อเนื่อง ด้วยแรงหนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นหลัก เช่น มาตรการ Easy e-receipt ที่จะมีผลช่วง 1Q68, มาตรการแจกเงินหมื่นเฟส 2 ภายใน ม.ค. 68 ส่วนเฟส 3 (วงเงินประมาณ 1.4-1.5 แสนลบ.) ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบดิจิทัลวอลเล็ต คาดเห็นความคืบหน้าภายใน 2Q68 เป็นแรงผลักดันกำลังซื้อในช่วง 2H68 อีกทั้งมีปัจจัยหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐฯ ที่ต่อเนื่องขึ้นกว่าปี 2567 และการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยว โดยภาพรวมกำไรของกลุ่มค้าปลีกในปี 2568 เราคาดที่ 6.3 หมื่นลบ. (+13% YoY) คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มค้าปลีก “มากกว่าตลาด” เราคงน้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” ในช่วง 1H68 เราชอบกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและห้างฯ เพราะได้ประโยชน์โดยตรงจากเม็ดเงินของภาครัฐฯ ส่วนกลุ่ม Home Improvement คาดจะเริ่มน่าสนใจช่วง 2H68 ที่ผลประกอบการเติบโตจากฐานต่ำ เราเลือก CRC ([email protected]) เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม คาดกำไรปี 2568 เริ่มกลับมาเติบโต 11% YoY ได้ผลบวกจากมาตรการลดหย่อนภาษีเพราะกลุ่มลูกค้าหลักเป็นผู้เสียภาษีและมียอดใช้จ่ายต่อบิลสูง ส่วน 2H68 คาดธุรกิจ Hardline จะฟื้นตัวตามกลุ่ม Home Improvement สำหรับ CPALL ([email protected]) และ CPAXT ([email protected]) ปัจจุบันหุ้นซื้อขายบน PER68 เพียง 20x และ 24x ตามลำดับ คิดเป็น -2SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต มี Downside จำกัด อาจใช้การทยอยสะสมสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้เพื่อคาดหวังผลการชี้แจงข้อมูลต่อสมาคม บลจ. หากสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กลุ่มนักลงทุนสถาบัน อาจเห็นการฟื้นตัวของราคาหุ้นในระยะถัดไป

KTB จับตาสำรองฯลดลง โบรกชี้ Q4 กำไรพุ่ง65%

KTB จับตาสำรองฯลดลง โบรกชี้ Q4 กำไรพุ่ง65%

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์บล. ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” KTB และราคาเป้าหมายที่ 24.50 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.74x (-0.50SD below 10-yr average PBV) ประมาณการกำไรสุทธิ 4Q24E ที่ 1 หมื่นล้านบาท (+65% YoY, -9% QoQ) โดยกำไรเพิ่มขึ้น YoY จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก (-43% YoY, -10% QoQ) เพราะ 4Q23 มีตั้งสำรองฯจาก ITD และมีรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น (+7% YoY, +3% QoQ) จาก Wealth management ขณะที่กำไรลดลง QoQ เพราะมี OPEX เพิ่มขึ้น +3% QoQ ตามฤดูกาล และมี NIM ลดลงมาอยู่ที่ 3.36% จากไตรมาสก่อนที่ 3.39% ส่วนสินเชื่อรวมตัวเพิ่มขึ้น (+0.4% YoY, +1.0% QoQ) จากสินเชื่อภาครัฐเป็นหลัก ด้าน NPL เพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 3.20% จาก 3Q24 ที่ 3.14% (แต่มีโอกาสดีกว่าคาดหากนำ THAI ออกได้ทันใน 4Q24E โดย %NPL จะลดลงได้ –0.13%) เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E/2025E โดยกำไรสุทธิปี 2024E อยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ +18% YoY จากสำรองฯที่ลดลงกลับมาที่ระดับปกติจากปีก่อนที่ตั้งเยอะมากจาก ITD และคาดปี 2025E กำไรจะอยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท เติบโตได้อีก +7% YoY ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิ 1Q25E จะเพิ่มขึ้น YoY/QoQ จากสำรองฯที่จะลดลงได้อย่างต่อเนื่องราคาหุ้นเพิ่มขึ้น +5% เมื่อเทียบกับ SET ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เพราะได้ Fund flow จากวายุภักดิ์ และ KTB เน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐมากขึ้น ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้ นอกจากนี้ยังมี Coverage ratio ที่ยังอยู่ในระดับสูงถึง 184% ขณะที่ valuation ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับต่ำเพียง PBV ที่ 0.68x (-0.75SD below 10-yr average PBV) ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนกำไรรายไตรมาสที่ยืนเหนือระดับ 1 หมื่นล้านบาท อย่างต่อเนื่องมา 4 ไตรมาสติดกัน โดยเรายังคงเลือก KTB เป็น Top pick ของกลุ่ม

CPALL โบรกปล่อยประเด็นลบ CPAXT คาด Q4 ผลประกอบพีคตาม high season

CPALL โบรกปล่อยประเด็นลบ CPAXT คาด Q4 ผลประกอบพีคตาม high season

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.เอเอสแอล มองแนวโน้ม 4Q24F เป็นช่วงพีคของผลประกอบการตาม high season ของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงได้อานิสงส์จากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างการแจกเงิน 1 หมื่นบาท และ SSSG ยังคงขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่ +3.3% พร้อมทั้งคาดหวังยังคงรักษาระดับของ GPM จากสินค้าพร้อมทาน ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและเพื่อสุขภาพแนวโน้มเติบโต อีกทั้งรักษาระดับ Cost to income ไว้ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้คาดหวังรับรู้รายได้จาก CPAXT ที่ขยายตัวตามการเข้าสู่ช่วง high season ตามฤดูกาลท่องเที่ยว และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้ากลุ่ม HoReCa สั่งซื้อสินค้ามากขึ้น นอกจากนี้ในระยะถัดไป คาดหวังการเกิด synergy หลังการควบรวมกันมากขึ้น ส่วนภาพทั้งปี67-68F เท่ากับ 2.4 หมื่นล้านบาท +29.5%YoY และ 2.7 หมื่นล้านบาท +12.8%YoYตามลำดับ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 80.76 บาท ในเชิง sentiment ประเมินตลาดได้รับรู้ประเด็นลบจากการลงทุนของบริษัทลูกอย่าง CPAXT ไปพอสมควรแล้ว และเชื่อว่าตลาดจะเริ่มกลับมาให้น้ำหนักกับแนวโน้มผลประกอบการที่เติบโต และรับอานิสงส์ที่ประชุม ครม. ล่าสุดได้อนุมัติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ, มาตรการ Easy e-receipt และแจกเงินหมื่นเฟส 2หนุนกำลังซื้อฐานราก ที่เป็นลูกค้าของบริษัท นอกจากนี้ CPALL ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ยัง Laggard ตลาด 8.5% ในรอบ 20 วันที่ผ่านมา มองว่าในระยะสั้นมีโอกาสที่จะเป็นหุ้นเป้าหมายกองทุนวายุภักษ์และ ThaiESGที่จะเข้าซื้อในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี

นักท่องเที่ยวล่าสุดเพิ่ม15% หุ้นรับอานิสงส์ เช็กเลย!

นักท่องเที่ยวล่าสุดเพิ่ม15% หุ้นรับอานิสงส์ เช็กเลย!

           หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวสัปดาห์ที่ผ่านมา (16-22 ธ.ค.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 886,472 คน (+15% WoW/+11% YoY) คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 126,639 คน โดยประเทศมี % เพิ่มขึ้นตามลำดับดังนี้ 1) มาเลเซีย 119,849 คน (+27% WoW/-20% YoY), 2) อินเดีย 52,260 คน (+9% WoW/+27% YoY), 3) รัสเซีย 56,591 คน (+9% WoW), 4) เกาหลีใต้ 47,670 คน (+8% WoW/+4% YoY) และ 5) จีน 131,744 คน (+7% WoW/+37% YoY) โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 11% WoW โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่และเกาหลีใต้ รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะตลาดภูมิภาคยุโรปที่เริ่มเดินทางเข้ามามากขึ้นจากช่วง High season และประเทศไทยเป็นหมุดหมายที่ได้รับความนิยมในช่วง Winter holiday ของนักท่องเที่ยวในทุกกลุ่มตลาด สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-22 ธ.ค. 24 ทั้งสิ้น 34,378,323 คน เพิ่มขึ้น +27% YoY (ที่มา: กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา)             มองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุกประเทศใน Top 5 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวรวมทำจุดสูงสุดตั้งแต่มีการรายงานตัวเลขรายสัปดาห์ (มิ.ย. 23) ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นได้ดีเพราะช่วง High season ของไทย ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวได้ต่อเนื่องอีก +7% WoW และนักท่องเที่ยวรัสเซียมีการเพิ่มขึ้นได้สูงสุดในรอบ 12 สัปดาห์ (CENTEL มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวรัสเซียมากสุดที่ 5% รองลงมาเป็น ERW ที่ 3%) โดยเราประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวรวมเฉลี่ยรายสัปดาห์ในช่วง 23-29 ธ.ค. 24 จะทำจุดสูงสุดได้อย่างต่อเนื่องและจะยังคงเห็นแนวโน้มการเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องจนถึง 1Q24E จากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะตลาดภูมิภาคยุโรป ประกอบกับมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีผลต่อจำนวนที่นั่งเข้าไทย (Seat Capacity) ระหว่างเดือน ก.ค. มาจนถึง ธ.ค. ที่จะเพิ่มขึ้น 10% รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น ขณะที่ในเดือน ธ.ค. 24 ยังมีหลายเทศกาลเข้ามาช่วยหนุน ทั้งนี้ ภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2024E ยังอยู่ในกรอบประมาณการนักท่องเที่ยวรวมและนักท่องเที่ยวจีนที่เราประเมินไว้ โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น เรียงลำดับจากมากไปน้อยตามสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT, SHRคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2024E เพิ่มขึ้น +28% YoY และนักท่องเที่ยวจีน +84% YoY เรายังคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2024E จะอยู่ที่ 36 ล้านคน เพิ่มขึ้น +28% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 6.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง +84% YoY ขณะที่คาดจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2025E จะอยู่ที่ 39 ล้านคน เพิ่มขึ้น +8% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 8 ล้านคน เพิ่มขึ้น +23% YoY Valuation/Catalyst/Risk เราให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” โดย Top pick ของกลุ่มท่องเที่ยวเรายังชอบ AAV, CENTEL และ MINT AAV (ซื้อ/เป้า 3.60 บาท) คาดกำไรปกติ 4Q24E จะดีโดดเด่นจากการเข้าสู่ high season ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารและค่าตั๋วโดยสารจะเพิ่มขึ้นได้ดี CENTEL (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) จาก 4Q24E-1Q25E โตได้ต่อเนื่องจากการเข้าสู่ High season ด้าน Valuation ซื้อขายที่ 2024E EV/EBITDA ที่ 11.7x (-1.25SD below 8-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW ที่ 14.6x ขณะที่กำไรปกติปี 2025E จะเติบโตได้สูงที่สุด (+18% YoY) เมื่อเทียบกับ MINT และ ERW MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) จาก valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2024E EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA ขณะที่คาดกำไรปกติ 4Q24E จะโต YoY ได้ต่อเพราะเป็น High season ที่ไทยและมัลดีฟส์เข้ามาช่วยหนุน ประกอบกับมีแผนการจัดตั้ง REIT ที่จะช่วยลดความผันผวนได้หลาย

ราคาน้ำมันดิบปิดบวก PTT - PTTEP รับอานิสงส์

ราคาน้ำมันดิบปิดบวก PTT - PTTEP รับอานิสงส์

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ราคาน้ำมันดิบ Brent +1.31%d-d ปิดที่ USD 73.58/barrel น้ำมันดิบ West Texas +1.24%d-d ปิดที่ USD 70.1/barrel มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP ขณะที่ ก๊าซธรรมชาติ NYMEX +7.93%d-d ปิดที่ USD3.946/MMBtu เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีรายได้ก๊าซธรรมชาติ อาทิ BANPU

KSS คาด SET วันนี้ไปต่อ มองต้าน 1410 จุด มาตรการรัฐ - ท่องเที่ยว หนุนตลาดฯ

KSS คาด SET วันนี้ไปต่อ มองต้าน 1410 จุด มาตรการรัฐ - ท่องเที่ยว หนุนตลาดฯ

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” ต้าน 1405/1410 จุด รับ 1387/1380 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับขึ้นต่อในวัน Christmas eve (เปิดครึ่งวัน ก่อนปิดวันนี้) ดัชนี S&P500 +1.1% อยู่ในภาวะ Santa's Rally หุ้นเทคโนโลยีนำตลาดต่อ US Bond Yield 10 ปี แม้ขึ้นแตะ 4.62% แต่พักตัวลงปิด 4.59% ชะลอการแข็งค่า US Dollar Index แกว่ง 108 +/- จุด เป็นจิตวิทยาทางบวกต่อตลาดหุ้น Emerging (EM) ขณะที่เอเชียน่าจะเด่นขึ้น หลังจีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนการบริโภค 3 ล้านล้านหยวน (2.4% ของ GDP) คาดส่งผลให้ตลาดคาดหวังทางบวกต่อโอกาสฟื้นตัวเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันบวกเฉลี่ย +1.28% เช่นเดียวกับไทย ครม. วานนี้ที่อนุมัติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 7 หมื่นล้านบาท (0.4% ของ GDP) เงินบาทเช้านี้เคลื่อนไหวแข็งค่า 34.16 บาท ผสาน โมเมนตัมกองทุนในประเทศเริ่มเร่งขึ้น และปีปกติมักเร่งซื้อสัปดาห์สุดท้ายของปี คาดวันนี้ SET ยังมีโมเมนตัมแกว่งขึ้นต่อ หุ้นนำ คือ หุ้น China Plays หุ้น Domestic ที่เป็นเป้าหมายกองทุนภายในระยะยาวที่ได้ประโยชน์มาตรการรัฐ+ท่องเที่ยวเด่น+เงินบาทแข็งค่า และเก็งกำไรหุ้นส่งออกที่คาดยอดส่งออก (วันนี้) ยังออกมาดีจากการเร่งนำเข้าก่อนคุณ Trump รับตำแหน่ง วันนี้แนะนำ ADVANC, AOT, OKJ

NEO โบรกมองราคาหุ้นน่าสน คาดรายได้โตทั้งในและต่างประเทศ

NEO โบรกมองราคาหุ้นน่าสน คาดรายได้โตทั้งในและต่างประเทศ

            หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ ประเมินหุ้น NEO โดยฝ่ายวิจัยเริ่มต้นวิเคราะห์หุ้น NEO โดยให้คําแนะนํา "Outperform" และประเมินราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 40.00 บาท (PER ที่ 12.0x) ขณะที่คาดว่ากําไรจะเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 3 ปีที่ 10% (ปี 2567F-2569F) หนุนจากการเติบโตของรายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการบริหารจัดการสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทดูน่าสนใจด้วยราคาที่ไม่แพง ปัจจุบัน trading ที่PER 2568 ที่9.7 เท่า และมีส่วนลด 45% เมื่อเทียบกับ global peers ฝ่ายวิจัยมองว่า NEO คาดว่าจะมีการเติบโตในระดับปานกลาง (2025F-2026F) พร้อมอัตราเงินปันผลตอบแทน 4% โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของรายได้ที่ 8% และการบริหารค่าใช้จ่าย SG&A ต่อยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทมีจุดแข็งทางการแข่งขันที่ช่วยสนับสนุนตําแหน่งในตลาดระยะยาว ในระยะสั้นบริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เรามองว่าความเสี่ยงขาลงมีจํากัด และหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่PER เพียง 9.7 เท่า หลังจากราคาหุ้นปรับลดลง 30% ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ซึ่งได้สะท้อนความกังวลเรื่องต้นทุนวัตถุดิบไปแล้ว ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่า NEO โดยอิงจาก P/E 12เท่า (-1 S.D. จากค่าเฉลี่ยในอดีต) สะท้อนแนวโน้มระยะสั้นที่ถูกกดดันจากปัจจัยต้นทุน ฝ่ายวิจัยเริ่มต้นศึกษา ด้วยคําแนะนํา "Outperform" สําหรับ NEO ราคาเป้าหมายในปี2025 ที่40.00 บาท

จับตา CBG โบรกลุ้นกำไร Q4 ทำนิวไฮ หนุนทั้งปีโตแรง

จับตา CBG โบรกลุ้นกำไร Q4 ทำนิวไฮ หนุนทั้งปีโตแรง

         หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส ส่อง หุ้น CBG โดย คาด CBG จะมีกำไรสุทธิงวด 4Q67 ที่ 771 ล้านบาท (+4% QoQ, +19% YoY) โดยกำไรที่คาดเติบโตทั้ง QoQ และYoY เนื่องด้วยคาดรายได้รวมสูงขึ้นทั้งจาก เครื่องดื่มชูกำลัง“คาราบาวแดง” ที่ส่วนแบ่งทางการตลาดเชิงปริมาณใน 4QTD67 ทำจุดสูงสุด 25.4% และรายได้รับจ้างจัดจำหน่าย(สุราข้าวหอม)ทำจุดสูงสุดของปี ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าประมาณการกำไรทั้งปี 67 ของเรามี upside ราว 2%-3% ทำให้ ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปี 67-68 รวมทั้งคงราคาเป้าหมายปี68 ที่ 92.75(อิง PER 30.5 เท่า, -1.0 S.D) และคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมี ปัจจัยบวกจากกำไร 4Q67 ที่คาดจะทำจุดสูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส ซึ่งจะทำให้ กำไรรวมทั้งปี 67 โตแรงกว่า 43%YoY และ2) PER ปี68 อยู่ที่ 25.5เท่า ซึ่งต่ำกว่า ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ที่ 31.8 เท่า แต่คาดกำไรปี 68 เติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ย คงคำแนะนำ “Outperform” ให้ราคาเป้าหมายที่ 92.75 บาท

TOP คงอันดับความน่าเชื่อถือ Investment Grade จาก S&P และ Moody’s หลังเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP

TOP คงอันดับความน่าเชื่อถือ Investment Grade จาก S&P และ Moody’s หลังเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP

          หุ้นวิชั่น - เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 บริษัท S&P Global Ratings (S&P) ได้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ที่ระดับ BBB ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ ในระดับน่าลงทุน หรือ Investment Grade  อย่างไรก็ตาม S&P ได้ปรับสถานะการติดตามเครดิตเป็นเชิงลบอันเนื่องมาจากความล่าช้าและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของโครงการ CFP ขณะเดียวกัน ในวันที่ 23 ธันวาคม 2567 บริษัท Moody's Investors Service (Moody's) ได้ประกาศคงอันดับ    ความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ที่ระดับ Baa3 ซึ่งเป็นระดับน่าลงทุน Investment Grade เช่นเดียวกัน โดย Moody's มองว่า   บริษัทฯ มีสภาพคล่องทางการเงินในเกณฑ์ที่ดี และมีการวางแผนมาตรการทางการเงินอย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตาม Moody's ได้ปรับสถานะเป็นมุมมองเชิงลบ จากความล่าช้าและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของโครงการ CFP การได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับน่าลงทุน Investment Grade จากสถาบันทั้งสองแห่งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและเสถียรภาพทางการเงินของบริษัทฯ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและการบริหารจัดการที่มั่นคงในระยะยาว นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นในอนาคต รวมทั้งความสามารถในการดำเนินงานอย่างมั่นคงท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ในอุตสาหกรรม

SEAFCO ยืนหนึ่งฐานราก ขึ้นค่าแรงไม่เป็นปัญหา

SEAFCO ยืนหนึ่งฐานราก ขึ้นค่าแรงไม่เป็นปัญหา

           หุ้นวิชั่น – SEAFCO เผยความสำเร็จในธุรกิจฐานราก เดินหน้ารับงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยาย พร้อมตั้งเป้าขยาย Backlog ทะลุ 3,000 ล้านบาทในปีหน้า ตั้งเป้ารายได้ 2,000 ล้านบาท ชูจุดเด่น ESG และเทคโนโลยีมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมบุกตลาดต่างประเทศ ขึ้นค่าแรงไม่กระทบบริหารจัดการได้ หนุนการเติบโตในระยะยาว!            ดร.ณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO เปิดเผยถึงความก้าวหน้าของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านงานฐานรากมากว่า 50 ปี โดยเน้นงานเสาเข็มเจาะ งานฐานราก และงานโยธา ซึ่งมีความสำคัญต่อโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ในอดีต SEAFCO มีบทบาทสำคัญในโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการ One Bangkok มูลค่าสูงถึง 1,700 ล้านบาท นับเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดที่บริษัทเคยรับผิดชอบ นอกจากนี้ยังมี โครงการดุสิต มูลค่า 1,100 ล้านบาท รวมถึง โครงการไอคอนสยาม และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างรถไฟฟ้าใต้ดิน โครงการใหม่และเป้าหมายการเติบโต            ล่าสุด SEAFCO ได้รับมอบหมายให้ดำเนินโครงการก่อสร้าง รถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยาย มูลค่าแรงงาน 1,200 ล้านบาท โดยจะเริ่มนำอุปกรณ์เข้าสู่พื้นที่ก่อสร้างในเดือนมกราคม 2568 และตั้งเป้าส่งมอบงานภายในระยะเวลา 1 ปี เพื่อสนับสนุนความเร่งด่วนของโครงการนี้            ปัจจุบัน SEAFCO มีงานในมือ (Backlog) มูลค่ากว่า 800 ล้านบาท โดยยังไม่รวมโครงการสายสีส้มส่วนต่อขยาย ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าขยาย Backlog ให้แตะระดับ 3,000 ล้านบาทในปี 2568 เพื่อตอบรับแนวโน้มความต้องการงานก่อสร้างที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น หลังจากที่ภาครัฐมีการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง            สำหรับปี 2567 บริษัทคาดการณ์รายได้รวมที่ประมาณ 1,200-1,300 ล้านบาท ลดลงจากเป้าหมายเดิมเนื่องจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้างในช่วงปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม SEAFCO มั่นใจว่าปี 2568 จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัว โดยตั้งเป้ารายได้รวม 2,000 ล้านบาท ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ บางพื้นที่ บริษัทมองว่าไม่กระทบเพราะสามารถบริหารจัดการได้ ทำให้ต้นทุนไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขับเคลื่อนธุรกิจด้วย ESG และการขยายตลาดต่างประเทศ            ในด้านกลยุทธ์ SEAFCO ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG (Environment, Social, Governance) โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ เช่น เสาเข็มที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการจัดการโครงการที่คำนึงถึงความยั่งยืน            นอกจากนี้ SEAFCO ยังเดินหน้าขยายตลาดในต่างประเทศ โดยมองว่าตลาดต่างประเทศเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างการเติบโต ล่าสุดบริษัทมีแผนที่จะรุกตลาด โครงการรถไฟฟ้าใต้ดินในบังกลาเทศ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสเชิงกลยุทธ์ หลังจากประสบความสำเร็จในงานโครงการที่ประเทศสิงคโปร์            ในระยะยาว SEAFCO ยังเตรียมเสริมศักยภาพด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่และขยายฐานธุรกิจไปยังประเทศที่มีความต้องการโครงสร้างพื้นฐานสูง เช่น เมียนมาร์ ซึ่ง SEAFCO ได้ตั้งสำนักงานมานานกว่า 8 ปี            ด้วยความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมก่อสร้างและแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน SEAFCO มั่นใจในศักยภาพของบริษัทที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในประเทศและต่างประเทศ พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายรายได้ 2,000 ล้านบาทในปี 2568

BIZ ลุ้นเซ็นงานใหม่ 500 ล้านบาทใน Q1/68 หนุนรายได้โต 10%

BIZ ลุ้นเซ็นงานใหม่ 500 ล้านบาทใน Q1/68 หนุนรายได้โต 10%

          หุ้นวิชั่น - BIZ จ่อเซ็นสัญญางานใหม่ 500 ล้านบาท ภายในไตรมาส 1/68 ดันงานในมือเพิ่มขึ้น ส่วนรายได้คาดโต 10% มองผู้ประกันตน รักษามะเร็งได้ทุกโรงพยาบาลประกันสังคม เป็นบวก โอกาสนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพรักษา           นายสมพงษ์ ชื่นกิติญานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิสซิเนสอะไลเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIZ เปิดเผยว่า การที่คณะกรรมการการแพทย์ประกันสังคมมีมติเห็นชอบปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ในสถานพยาบาลรัฐและเอกชนที่มีข้อตกลงกับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) นับเป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับการรักษาโรคมะเร็งด้วยสิทธิประกันสังคม และยังเป็นโอกาสที่บริษัทจะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาโรคมะเร็งให้ดียิ่งขึ้น           สำหรับแผนธุรกิจปี 2568 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตมากกว่า 10% โดยคาดว่าจะยื่นประมูลงานมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มมูลค่างานในมือ (Backlog) จากปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 950 ล้านบาท ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/2568 บริษัทมีโอกาสเซ็นสัญญารับงานใหม่มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท           นายสมพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งในประเทศไทยยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีผู้ป่วยโรคมะเร็งถึง 168,093 ราย และเพิ่มขึ้นเป็น 201,209 รายในปี 2578 ซึ่งถือเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจ           นอกจากนี้ BIZ ยังเดินหน้าพัฒนาโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านการรักษาโรคมะเร็งในจังหวัดชลบุรี ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท แคนเซอร์ อัลลิอันซ์ จำกัด ซึ่ง BIZ ถือหุ้นในสัดส่วน 75% โดยร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษามะเร็ง โรงพยาบาลแคนเซอร์ อัลลิอันซ์ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง เพื่อส่งต่อผู้ป่วยมะเร็งเข้ารับการรักษา           ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากการขยายสิทธิประโยชน์ประกันสังคมและแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น BIZ มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและบริการทางการแพทย์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

GULF – INTUCH ตั้งโต๊ะเทนเดอร์ ADVANC และ THCOM วันที่ 25 ธ.ค.นี้

GULF – INTUCH ตั้งโต๊ะเทนเดอร์ ADVANC และ THCOM วันที่ 25 ธ.ค.นี้

           ตามที่ และ บริษัท อินทัช โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) และ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ได้แจ้งมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2567 ซึ่งได้อนุมัติธุรกรรมการปรับโครงสร้างของบริษัทฯ โดยรวมถึง(ก) ธุรกรรมการได้มาซึ่งหลักทรัพย์ของ ADVANC โดยการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ ADVANC (โดยไม่รวมหุ้นซึ่งผู้ทำคำเสนอซื้อถืออยู่) โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) และ(ข) ธุรกรรมการได้มาซึ่งหลักทรัพย์ของ THCOM โดยการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ THCOM (โดยไม่รวมหุ้นซึ่งผู้ทำคำเสนอซื้อถืออยู่) โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) (ให้เรียกธุรกรรมตาม (ก) และ (ข) รวมกันว่า “การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ฯ”)โดยมีเงื่อนไขบังคับก่อนตามที่บริษัทฯ ได้เปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 และวันที่ 6 กันยายน 2567 นั้น บริษัทฯ ขอเรียนให้ทราบว่า ขณะนี้ บริษัทฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเงื่อนไขบังคับก่อนดังกล่าวได้สำเร็จลงหรือได้รับการผ่อนผัน (แล้วแต่กรณี) บริษัทฯ จึงจะดำเนินการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ฯ โดยบริษัทฯ ได้ยื่นเอกสารคำเสนอซื้อในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ฯ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 24 ธันวาคม 2567 และจะเริ่มทำการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ฯ ของ ADVANC และ THCOM พร้อมกันในวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ต่อไป

UAC รับสินเชื่อ 100 ลบ. จาก ธ.อิสลาม เดินหน้าลงทุนต่อในอินโดฯ และลาว

UAC รับสินเชื่อ 100 ลบ. จาก ธ.อิสลาม เดินหน้าลงทุนต่อในอินโดฯ และลาว

          นางสาวนิลรัตน์ จารุมโนภาส พร้อมด้วยนางสาวอลิสา ชีวะเกตุ กรรมการ บริษัท ยูเอซี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (UACE) บริษัทย่อยของ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) (UAC) ได้ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนสินเชื่อทางการเงิน ระหว่างบริษัท ยูเอซี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (UACE) กับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ibank) วงเงิน 100 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาการกู้ 7 ปี เพื่อสนับสนุนและต่อยอดการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ด้านพลังงานทดแทน ในประเทศอินโดนีเซีย และสปป. ลาว ถือเป็นโครงการแรกของ ibank ที่อนุมัติเงินกู้ให้กับทาง UAC [PR News]

ครม.ไฟเขียวมอเตอร์เวย์ M5 มูลค่า7.99 หมื่นล. CK-STEC-UNIQ-ITD ลุ้นงานใหญ่

ครม.ไฟเขียวมอเตอร์เวย์ M5 มูลค่า7.99 หมื่นล. CK-STEC-UNIQ-ITD ลุ้นงานใหญ่

          หุ้นวิชั่น - Contractor - ครม.อนุมัติลงทุนโครงการมอเตอร์เวย์ M5 สายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต-บางปะอิน ระยะทาง 22 กม. เป็นการร่วมลงทุนรัฐและเอกชนแบบ PPP Gross Cost โดยภาครัฐเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่เอกชนลงทุนก่อสร้าง ระยะเวลาโครงการ 34 ปี เป็นออกแบบและก่อสร้าง 4 ปี และบำรุงรักษา (O&M) 30 ปี คาดการณ์ค่าใช้จ่าย 7.99 หมื่นลบ. โดยเริ่มดำเนินการปี 2025 และเปิดบริการ 2029 เราคาดเป็นการประมูลแยกเป็นสัญญาของงานโยธา และงาน O&M โดยเริ่มจากส่วนของงานโยธาราว 3.1 หมื่นลบ. และมีโอกาสเปิดประมูลผู้รับเหมาใน 1H25 โดยผู้เข้าประมูลหลักคาดเป็น Main Contractor อย่าง CK, STEC, UNIQ, ITD ขณะที่ SEAFCO, PYLON จะได้อานิสงส์ในโอกาส Sub-contract งานเสาเข็ม ที่มา : #Finansia #FSSIA

INET มั่นใจปี 67 โตตามเป้า 20%  ปีหน้ารุกพื้นที่ใหม่ Cloud Service

INET มั่นใจปี 67 โตตามเป้า 20% ปีหน้ารุกพื้นที่ใหม่ Cloud Service

          บมจ.อินเทอร์เน็ตประเทศไทย หรือ INET มั่นใจผลการดำเนินงานปี 2567 เติบโต 20% ตามเป้าหมาย หลังดีมานด์กลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดกลางและเล็กใช้ดิจิทัลขับเคลื่อนธุรกิจ บริการ Cloud Infrastructure และ Cybersecurity พุ่ง และคาดว่าจำนวน VMIs จะมีมากกว่า 60,000  เติบโตมากกว่า 60% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตอกย้ำความเป็นผู้นำ Local Cloud Service และ Digital Platform Service ของประเทศไทย           นางมรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET ผู้ให้บริการ Local Cloud Service และ Digital Platform Service  เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานในปี 2567 คาดว่ารายได้เติบโต 20% ได้ตามเป้าหมาย จากการขยายฐานลูกค้าทั้งภาครัฐและภาคเอกชนกว่า 5,000 ราย ที่มุ่งทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation) โดยการวางระบบโครงสร้างด้าน Cloud Infrastructure และการยกระดับด้านความปลอดภัยและความมั่นคงของข้อมูล (Cybersecurity) รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีคลาวด์โอเพนซอร์ส (Open source Cloud) ที่เจาะตลาดกลุ่มลูกค้าขนาดกลางและเล็กได้ผลตอบรับดีเกินคาด จึงมั่นใจว่าจำนวน VMIs มากกว่า 60,000  เติบโตมากกว่า 60% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา           นอกจากนี้ การเติบโตดังกล่าวยังเป็นผลมาจากความต้องการใช้บริการคลาวด์ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มองค์กรที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ บริษัทฯ จึงเป็นพันธมิตรที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับลูกค้าและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของประเทศให้เติบโตไปพร้อมกัน ขณะเดียวกัน ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรและสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไอทีในประเทศไทย พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งขยายการให้บริการแพลตฟอร์มเซอร์วิส e-tax invoice, CA (Certificate Authority) เพื่อรองรับกับนโยบายลดหย่อนภาษีในช่วงต้นปี 68 อีกด้วย           สำหรับในปี 2568 บริษัทฯ เตรียมแผนกลยุทธ์เชิงรุกในการเปิดพื้นที่ใหม่ และยังคงให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยธุรกิจไทยในการทำ Digital Transformation ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยให้เติบโต

[ภาพข่าว] DTCENT เปิด DTC SHOP แห่งที่ 15 จ.นนทบุรี

[ภาพข่าว] DTCENT เปิด DTC SHOP แห่งที่ 15 จ.นนทบุรี

         บมจ.ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) ผู้นำ GPS Tracking อันดับ 1 ในไทยและระบบ IoT Solutions เดินหน้าเปิดศูนย์บริการ จำหน่าย ติดตั้งซ่อมบำรุงอุปกรณ์ GPS Tracking และกล้องติดรถอย่างครบวงจร (DTC SHOP) ภายใต้คอนเซ็ปต์ รวดเร็ว ครบ จบในที่เดียว ภายในสถานีบริการน้ำมันบางจาก บางบัวทอง 5 ตำบลละหาร อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เป็นแห่งที่ 15 จากปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 14 แห่ง โดยยังคงเป้าหมายที่จะเปิดศูนย์บริการฯ ให้ครบ 20 แห่ง เพื่อให้การบริการเข้าถึงลูกค้าผู้ใช้รถทุกประเภท และให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทย ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ สถานีบริการน้ำมันบางจาก จังหวัดนนทบุรี เมื่อเร็วๆ นี้

PCE ไม่หวั่นราคาน้ำมันปาล์มโลกผันผวน  มั่นใจรายได้ปี 67 โต 10-15%

PCE ไม่หวั่นราคาน้ำมันปาล์มโลกผันผวน มั่นใจรายได้ปี 67 โต 10-15%

          หุ้นวิชั่น -บมจ.เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) ยันไม่ได้รับผลกระทบราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกปรับตัวปรับลดลง เหตุ Stock ภายในไทยต่ำ ขณะที่วิกฤตการณ์น้ำท่วม ทำให้ราคาในประเทศยืนสูงกว่าตลาดโลก ฝ่ายผู้บริหาร "พรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล" มั่นใจรายได้ปี 67 เติบโต 10-15% ตามเป้าหมายที่วางไว้           นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (PCE) ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจรที่มีความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกปรับตัวลดลง แต่ในส่วนของในประเทศไทยนั้นราคายังคงที่ เนื่องจากปัจจุบัน Stock ภายในไทยต่ำ รวมทั้งกับวิกฤตการณ์น้ำท่วม จึงทำให้ราคาน้ำมันปาล์ม (CPO) ไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันปาล์ม (CPO) ในตลาดโลก           "ราคาน้ำมันปาล์มดิบในไทยยังไม่ได้รับผลกระทบจากการลดลงของราคาตลาดโลกเท่าไรนัก เนื่องจากผลผลิตปาล์มสดยังคงลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 4/2567 โดยคาดการณ์ ณ เดือนธันวาคม อยู่ที่ 1 ล้านตัน ลดลงจากเดือนพฤศจิกายนราว 2% และลดลงจากช่วงเดียวกันในปี 2566 ราว 8%"           ทั้งนี้จากการที่ฝนตกหนักในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งเป็นแหล่งปลูกปาล์มน้ำมัน ประกอบกับบางพื้นที่มีน้ำท่วมขังไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลปาล์มสดได้ อาจส่งผลให้ผลผลิตปาล์มสดที่ออกสู่ตลาดมีแนวโน้มต่ำกว่าคาด           ขณะที่ความต้องการน้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศ ณ เดือนธันวาคม ยังคงอยู่ในระดับสูงราว 200,000 ตัน ทั้งจากการอุปโภคในภาคพลังงานและการบริโภคในอุตสาหกรรมอาหารและอื่นๆ ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันปาล์มดิบคงคลังต่ำกว่า 190,000 ตัน แล้ว (ณ วันที่ 20 ธันวาคม 2567)           โดยระดับราคาผลปาล์มสดภายในประเทศในสัปดาห์ที่ผ่านมา เคลื่อนที่อยู่ระหว่าง 7.30-8.60 บาท/กิโลกรัม สำหรับน้ำมันปาล์มดิบระดับราคาภายในประเทศเคลื่อนที่อยู่ระหว่าง 43.25-44.50 บาท/กิโลกรัม ขณะที่ราคาในตลาดโลกปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 4,500 ริงกิตมาเลเซีย/ตัน หรือต่ำกว่า 35 บาท/กิโลกรัม (ไม่รวม Export Tax 10%) ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าราว 7-8%           รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ PCE กล่าวอีกว่า มั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากดีมานด์การใช้น้ำมันปาล์มในประเทศที่ยังคงเติบโต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยประเมินว่าในปี 2567 การบริโภคน้ำมันปาล์มในประเทศ และความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) จะขยายตัวเฉลี่ยระดับ 6-7% ผลักดันให้รายได้รวมในปี 2567 เติบโต 10-15% ตามเป้าหมายที่วางไว้           ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือน ปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการกว่า 21,747.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,051.9 ล้านบาท หรือ 16.3% และมีกำไรสุทธิ 400.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.7% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 214.5 ล้านบาท และสูงกว่ากำไรรวมทั้งปี 2566 ที่อยู่ในระดับ 310.73 ล้านบาท [PR News]

III เปิด

III เปิด"Airport Truck Link" เชื่อม 3 สนามบิน หนุนไทยสู่ HUB การบินภูมิภาค

          ‘บมจ.ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์’ หรือ III ขยับตัวเดินหน้าก่อนใคร เปิดบริการ “Airport Truck Link” หรือบริการขนส่งสินค้าทางอากาศด้วยรถบรรทุกเชื่อมต่อ 3 สนามบินหลัก ‘สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง-ภูเก็ต’ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจจากพื้นที่ระวางขนส่งสินค้าทางอากาศของสายการบินที่สนามบินสุวรรณภูมิไม่เพียงพอ พร้อมหนุนประเทศไทยเป็น HUB การบินของภูมิภาค ล่าสุดเปิดให้บริการวันละ 1 เที่ยว ตลอด 7 วันทำการ และวางแผนเพิ่มเป็นวันละ 2 เที่ยวในต้นปีหน้า  คาดรายได้ไตรมาส 4 โตต่อเนื่อง           นายทิพย์ ดาลาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ชั้นนำระดับภูมิภาค เปิดเผยว่า จากการที่บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOTGA ที่บริษัทเข้าลงทุนผ่านบริษัท เอสเอแอล กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด ได้เปิดให้บริการคลังสินค้ารองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Warehouse) บนพื้นที่ศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้าในเขตปลอดอากรของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โซน 3) บนพื้นที่ 5,000 ตารางเมตร อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่งผลให้มีอัตราการใช้พื้นที่เกินกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว และทำให้บริษัทฯ เห็นโอกาสต่อยอดทางธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศ จึงได้เปิดให้บริการ “Airport Truck Link” หรือบริการขนส่งสินค้าทางอากาศด้วยรถบรรทุกเชื่อม 3 สนามบินหลักของไทย ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง และสนามบินภูเก็ต เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าทั้งจากต่างประเทศและในประเทศเข้าด้วยกันภายใต้การอารักขาของศุลกากร ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการพัฒนาบริการใหม่จากการ Synergy ระหว่างบริษัทและพันธมิตรภายใต้แผนยุทธศาสตร์ Logistics and Beyond           ทั้งนี้ ความต้องการพื้นที่ระวางขนส่งสินค้าทางอากาศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาพื้นที่ระวางสินค้าทางอากาศของไฟล์ทบินต่างประเทศที่ขึ้นลงสนามบินสุวรรณภูมิกลับมีไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไฮซีซั่น  ซึ่งสนามบินภูเก็ตถือเป็นสนามบินที่มีศักยภาพรองจากสนามบินสุวรรณภูมิ มีไฟล์ทบินทั้งจากประเทศในแถบเอเชีย ตะวันออกกลาง และจากทวีปยุโรป บินตรงมายังสนามบินภูเก็ต ขณะที่จังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ไม่มีฐานของอุตสาหกรรมต่างๆ อยู่บริเวณใกล้เคียงเหมือนสนามบินสุวรรณภูมิที่อยู่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่อีสเทิร์นซีบอร์ด ทำให้มีพื้นที่ระวางขนส่งสินค้าทางอากาศที่สามารถนำไปบริหารจัดการเพื่อให้บริการได้เป็นอย่างดี           โดยการเปิดให้บริการ Airport Truck Link ในครั้งนี้ ลูกค้าที่ต้องการใช้พื้นที่ระวางดังกล่าว สามารถโหลดสินค้าที่จะส่งออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ หรือสนามบินดอนเมือง ผ่านการให้บริการขนส่งทางรถบรรทุกของทริพเพิล ไอ เพื่อมาขึ้นเครื่องที่สนามบินภูเก็ตได้ ขณะเดียวกันสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศก็สามารถโหลดลงที่สนามบินภูเก็ต ผ่านการขนส่งด้วยรถบรรทุกต่อมายังสนามบินสุวรรณภูมิ หรือสนามบินดอนเมือง ได้เช่นเดียวกัน เป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในการขายพื้นที่ระวางสินค้าให้กับสายการบินที่บินตรงมายังสนามบินภูเก็ต  นอกจากนี้ยังเป็นช่วยผลักดันนโยบายของภาครัฐที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการบินหรือฮับการบินของภูมิภาค (Aviation Hub) อีกด้วย           ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้เปิดให้บริการ Airport Truck Link แล้ว วันละ 1 เที่ยวตลอด 7 วันต่อสัปดาห์ โดยในเบื้องต้นจะอ้างอิงเวลาในการขนส่งเข้ากับสายการบินที่เข้าร่วมกับบริษัทฯก่อน ทั้งนี้มีสายการบินสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้สามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมความต้องการ  โดยบริษัทฯ ได้เตรียมรถบรรทุก 6 ล้อ และรถเทรลเลอร์ขนาด 20 ฟุต และ 40 ฟุตไว้ให้บริการ ซึ่งจากที่ได้เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีจำนวนสินค้าที่ขนส่งจากสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมืองไปยังสนามบินภูเก็ต ประมาณ 30 ตันต่อวันหรือ 1,000 ตันต่อเดือน คาดว่าในต้นปี 2568 ความต้องการใช้บริการน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 เท่าตัวหรือ 3,000-4,000 ตันต่อเดือน จึงมีแผนเพิ่มเที่ยวรถขนส่งให้บริการเป็น 2 เที่ยวต่อวันตามดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ทั้งนี้คาดว่าจากการเปิดให้บริการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อรายได้และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจของเราได้เป็นอย่างดี

SAWAD ศรีสวัสดิ์ เงินสดทันใจ แนะ 7 ข้อควรรู้ ช่วยลดความเสี่ยงการเงิน

SAWAD ศรีสวัสดิ์ เงินสดทันใจ แนะ 7 ข้อควรรู้ ช่วยลดความเสี่ยงการเงิน

          ศรีสวัสดิ์ เงินสดทันใจ ภายใต้บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ให้คำแนะนำแก่ผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อ โดยชี้ว่าการเตรียมตัวอย่างรอบคอบก่อนยื่นขอสินเชื่อจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดหนี้เสีย และเพิ่มโอกาสให้การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปได้อย่างราบรื่น พร้อมแนะ 7 ปัจจัยสำคัญที่ผู้กู้ควรทราบ ทั้งการวางแผนการเงิน การตรวจสอบอัตราดอกเบี้ย ไปจนถึงการพิจารณาค่าธรรมเนียม เพื่อให้ผู้กู้สามารถจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ           โดยในยุคที่เศรษฐกิจมีความผันผวน อีกทั้งยังมีภัยพิบัติทางธรรมชาติเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง การมีแผนการเงินที่มั่นคงถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก การกู้เงินอย่างมีวินัยนั้นไม่เพียงช่วยให้ผู้กู้บรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ แต่ยังช่วยป้องกันการเกิดปัญหาทางการเงินในอนาคตอีกด้วย 7 ข้อควรรู้ก่อนกู้เงิน วัตถุประสงค์ในการกู้เงิน การกำหนดเป้าหมายชัดเจนในการขอสินเชื่อที่ชัดเจน เช่น การกู้เพื่อลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้ การซื้อบ้าน เงินหมุนเวียน หรือทุนเพื่อการศึกษา และวางแผนจำนวนเงินเท่าที่จำเป็นต้องกู้ เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างรอบคอบ สภาพคล่องทางการเงิน ก่อนตัดสินใจกู้ ควรพิจารณาสภาพคล่องทางการเงินของตนเองว่ามีรายรับเพียงพอหรือไม่ การกู้มากเกินความจำเป็นอาจนำไปสู่ปัญหา โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าภาระหนี้ไม่ควรเกิน 30-40% ของรายได้รวมเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่าย และมีความสามารถในการชำระคืนได้ ประวัติการเงินของผู้กู้ ประวัติการเงินที่ดี เช่น การชำระหนี้ตามกำหนด จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง การตรวจสอบประวัติการเงินและชำระหนี้ตรงเวลาเป็นสิ่งที่ ใช้พิจารณา อัตราดอกเบี้ย ผู้กู้ควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจากหลายแห่ง เพื่อหาเงื่อนไขที่ดีที่สุด ประเภทของดอกเบี้ยต่างๆ การเข้าใจอัตราดอกเบี้ยจะช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายระยะยาว เงื่อนไขการชำระหนี้ ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการผ่อนชำระ เช่น ระยะเวลาการผ่อน ค่างวด และวิธีการชำระเงิน เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระคืนของตนเองอย่างต่อเนื่อง ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ควรตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขอสินเชื่อ เช่น ค่าธรรมเนียมการดำเนินการ ค่าอากรแสตมป์ รวมถึงค่าธรรมเนียมการปิดยอดสินเชื่อก่อนกำหนด ซึ่งทางศรีสวัสดิ์ เงินสดทันใจไม่มีการเรียกเก็บค่าปรับในการชำระหนี้ก่อนกำหนด เงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ ผู้กู้ควรศึกษาเงื่อนไขพิเศษ เช่น การผ่อนผันในกรณีล่าช้า การยืดหยุ่นในการชำระหนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าการชำระหนี้จะไม่สร้างปัญหาทางการเงินในอนาคต           ศรีสวัสดิ์ เงินสดทันใจ พร้อมให้ข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับสินเชื่อที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ผู้กู้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและมีข้อมูลที่ครบถ้วน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินเชื่อและบริการได้ที่ 1652 หรือทางเว็บไซต์ : https://www.sawad.co.th/ หมายเหตุ : * กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว * เงื่อนไขอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด * สินเชื่อรถ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 17.85% – 24% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนสูงสุด 54 งวด * สินเชื่อบ้านที่ดิน อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 14.61% – 15.00% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนสูงสุด 72 งวด

MAJOR สดใส จากหนังผี “ธี่หยด 2” คาดหนุนกำไรงาม

MAJOR สดใส จากหนังผี “ธี่หยด 2” คาดหนุนกำไรงาม

         หุ้นวิชั่น - บล.ฟิลลิป ประเมินหุ้น MAJOR คาด 4Q67 กำไรดีสุดของปี จากภาพยนตร์ร่วมทุน “ธี่หยด 2” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดของปี ประกอบกับรายได้ป๊อปคอร์นและโฆษณาฟื้ นตัวขึ้น q-q ในปี 2568 คาดจะฟื้นตัวได้เมื่อดูจากรายชื่อภาพยนตร์ทั้งฮอลลีวูดที่มีภาพยนตร์ฮี โร่และ Action มากขึ้น ภาพยนตร์ไทยภาคต่อเนื่องที่ทำรายได้ไว้ดีในภาคก่อน ๆ อย่าง สัปเหร่อ 2 และธี่หยด 3 นอกจากนี้ยังควบคุมค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง ราคาพื้นฐาน 20.30 บาท ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาพื้นฐานปี68 ที่ 20.30 บาท ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ ” โดยภาพรวมใน 4Q67 คาดเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปี จากผลบวกภาพยนตร์ร่วมทุน ธี่หยด 2 และได้การฟื้นตัวของรายได้ป๊อปคอร์นและโฆษณา ส่วนในปี 2568 คาดรายได้และกำไรเติบโตเป็น 8,845 ล้านบาทและ 851 ล้านบาท จากปี 2567 คาดไว้ที่ 8,047 ล้านบาท และ 727 ล้านบาท จากภาพยนตร์ทั้งไทยและฮอลลีวูดที่น่าสนใจมากกว่าปี 2567 ส่งผลต่อรายได้ป๊อปคอร์นและโฆษณาให้โตตาม รวมถึงการ ทั้งนี้การ ควบคุมค่าใช้จ่ายที่ทำอย่างต่อเนื่อง ทางฝ่ายใช้ P/E ที่ 18 เท่า จากเดิม 20 เท่า จากกระแสผู้ชมที่คาดเดาได้ยากขึ้น จากในปี 2567 ที่ภาพยนตร์น่าจะทำเงินได้ดีกลับมีรายได้น้อย และภาพยนตร์ที่คาดรายได้น้อยกลับมีรายได้ที่โดดเด่น ราคาพื้นฐานปรับเป็น 20.30 บาท และคาดปันผลอีก 2568 ที่ 0.87 บาท ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

MENA ลุยเพิ่ม Utilization ดันมาร์เก็ตแชร์พุ่ง

MENA ลุยเพิ่ม Utilization ดันมาร์เก็ตแชร์พุ่ง

          บมจ.มีนาทรานสปอร์ต (MENA) เปิดแผนขับเคลื่อนธุรกิจปี 68 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้รถ (Utilization) จาก fleet ที่มีอยู่ รองรับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ขยายตัว พร้อมเพิ่มมาร์เก็ตแชร์รถมิกเซอร์ (Mixer) เน้นให้ความสำคัญกับ ESG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ฟากซีอีโอ “สุวรรณา ขจรวุฒิเดช”ตั้งเป้ารายได้โตเกิน 10%  สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง รับอานิสงส์ธุรกิจโลจิสติกส์ทุกประเภทขยายตัว ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาลง และภาคอุปโภคและบริโภคยังเติบโต รวมถึงบริษัท ทีดี เอ็ม ลอจิสติกส์ จำกัด (TDM) มีแผนขยาย Fleet รถจำนวนมาก เพื่อรองรับการขยายสาขาของบริษัท ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด (CJ)  หนุนอนาคตเติบโตอย่างมั่นคง           นางสุวรรณา ขจรวุฒิเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีนาทรานสปอร์ต จำกัด (มหาชน) (MENA) ผู้นำธุรกิจให้บริการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถมิกเซอร์ (Mixer) และรถเทรลเลอร์ (Trailer) รายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่าทิศทางธุรกิจและผลการดำเนินงานในปี 2568  คาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากปี 2567 เนื่องจากธุรกิจโลจิสติกส์มีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยเฉพาะธุรกิจให้บริการรถมิกเซอร์ที่มีโอกาสเติบโตสูงจากอุตสาหกรรมก่อสร้างฟื้นตัวขานรับการขยายตัวของการลงทุนของภาครัฐและเอกชน  ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ปี 2568 ไว้ไม่ต่ำกว่า 10% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้รถ (Utilization) จาก Fleet ที่มีอยู่           ทั้งนี้ ปัจจุบัน Utilization ของรถ Mixer อยู่ที่ประมาณ 800 ลูกบาศก์เมตรต่อไตรมาสต่อคัน (Q per Car) ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ เคยทำได้ถึง 920 Q per Car ต่อไตรมาส ดังนั้นหากการลงทุนของภาครัฐและเอกชนยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นก็จะสามารถเพิ่ม Q per Car ได้ ซึ่งก็จะส่งผลให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น           สำหรับแผนการดำเนินงานปี 2568 นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจให้เติบโตได้ตามแผนที่วางไว้แล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับ ESG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน  อีกทั้งยังมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพของบุคลากร และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารงานเพิ่มขึ้น   รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้รถขนส่งที่มีอยู่ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) โดยเฉพาะรถ Mixer           นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาด เช่น รถ EV  ที่ปัจจุบันมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM)  ที่เป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญภายใต้นโยบาย European Green Deal ที่ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในสหภาพยุโรปและประเทศคู่ค้า  โดยบริษัทฯ มองว่าเป็นโอกาสที่ดี ดังนั้นการลงทุนใน EV จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกับคู่ค้า           ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า ทิศทางอุตสาหกรรมการก่อสร้างปี 2568 เชื่อว่าจะดีกว่าปีก่อน โดยเฉพาะการลงทุนของภาครัฐที่เริ่มส่งสัญญาณปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ประกอบกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาลง และภาคอุปโภคและบริโภคที่ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง  ขณะที่บริษัท ทีดี เอ็ม ลอจิสติกส์ จำกัด (TDM)   ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ MENA มีแผนในการขยาย Fleet รถเป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับการขยายสาขาของบริษัท ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด (CJ)  ดังนั้นธุรกิจโลจิสติกส์ คาดว่าน่าจะสดใสไปในทิศทางเดียวกัน [PR News]

บล.หยวนต้า ส่องหุ้น SIRI คาด Q4 เด่นสุด ลุ้นทั้งปีทำนิวไฮ

บล.หยวนต้า ส่องหุ้น SIRI คาด Q4 เด่นสุด ลุ้นทั้งปีทำนิวไฮ

                   หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า ส่องหุ้น SIRI ฝ่ายวิจัยประเมินยอด Presales 4Q67 ลดลง YoY อย่างไรก็ดี คาดเติบโต QoQ ทำจุดสูงสุดในปี ตามการเปิดโครงการใหม่ อีกทั้ง คาดยอด Presales ทั้งปี 2567 จะเติบโต YoY ทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยมีแรงหนุนสำคัญจากสินค้าแนวราบระดับบนขึ้นไป  ฝ่ายวิจัยคาดกำไรปกติ 4Q67 เร่งตัวขึ้น QoQ และ YoY จากการโอนที่เร่งตัวขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล การใช้กลยุทธ์ทางการตลาดกระตุ้นการโอนก่อนจบปี รวมถึงการรับรู้ขาดทุน ของธุรกิจโรงแรมที่จะหายไปจากการขายส่วนลงทุนในธุรกิจโรงแรม The Standard ออกไปตั้งแต่ 2 ต.ค. 67 นอกจากนี้ ใน 4Q67 จะมีการบันทึกกำไรพิเศษของรายได้ ส่วนแรก (Upfront) มูลค่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (5.0 พันลบ.) ที่มีการขายส่วน ลงทุนใน The Standard ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิ 4Q67 เติบโต QoQ และ YoY ฝ่ายวิจัยมองแนวโน้มการเปิดโครงการใหม่ปี 2568 ของบริษัทฯ จะเน้นสินค้าระดับบนขึ้นไป (Luxury, Ultra Luxury) มากขึ้นจากเดิม อีกทั้ง มีโอกาสที่บริษัทฯ จะเพิ่มสัดส่วน โครงการใหม่ในหัวเมืองท่องเที่ยวเน้น อุปสงค์จากชาวต่างชาติมากขึ้น โดยคาดจำนวนการเปิดโครงการใหม่ลดลง YoY ขณะที่มูลค่าโครงการเปิดใหม่เพิ่มขึ้น YoY ทั้งนี้ SIRI มีฐานลูกค้า Luxury – Ultra Luxury แข็งแกร่งจากทั้งลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ส่งผลให้สามารถรักษาส่วนแบ่งในตลาดได้แม้การแข่งขันรุนแรง นอกจากนี้SIRI มีสัดส่วนสินค้าระดับบนเป็นหลัก ทำให้ได้รับผลกระทบจากการปล่อยสินเชื่อเข้มงวดน้อยกว่ากลุ่มฯ ฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี2568 ที่ 2.14 บาท

NER คว้า CSR-DIW Award 2024  ต่อเนื่อง 3ปี

NER คว้า CSR-DIW Award 2024 ต่อเนื่อง 3ปี

          นางสาวปาร์ย อรรถพิสาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพัฒนาความยั่งยืน รับโล่รางวัลและเกียรติบัตร CSR-DIW Award 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สำหรับโครงการส่งเสริมโรงงานอุตสาหกรรมให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนเพื่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (CSR-DIW to achieve SDGs) ประจำปี 2567 จัดโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม           ด้านรางวัล CSR-DIW Continuous Award สะท้อนความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงความยั่งยืน ปฏิบัติตามมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้ประกอบอุตสาหกรรม ส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมดูแลชุมชน ตลอดจนการปฏิบัติตามมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่มีต่อสังคม ดำเนินธุรกิจอยู่ร่วมกับชุมชนโดยรอบได้อย่างยั่งยืน พัฒนาสู่ความเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว และสอดคล้องตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง           บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายที่จะเดินหน้าพัฒนาธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมตามเกณฑ์มาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการ (CSR-DIW) ในทุกพื้นที่โรงงานของ NER โดยเน้นการดำเนินงานที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ การกำกับดูแลการที่ดีและการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนในสังคมอย่างแท้จริง [PR News]

ขึ้นค่าจ้างน้อยกว่าคาด หุ้นตัวไหนโบรกปรับกำไร upside เช็กเลย!

ขึ้นค่าจ้างน้อยกว่าคาด หุ้นตัวไหนโบรกปรับกำไร upside เช็กเลย!

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.เคจีไอ เผย วานนี้คณะกรรมการค่าจ้างมีมติเห็นชอบการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2568 โดยให้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มในอัตราวันละ 7-55 บาท ดังนี้ 1. วันละ 400 บาท ใน 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ ได้แก่ จ.ภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง และ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี (เพิ่มขึ้น 8-16%) 2. วันละ 380 บาท ใน อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา (เพิ่มขึ้น 9-10%) 3. วันละ 372 บาท ในเขตท้องที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 6 จังหวัด (เพิ่มขึ้น 2.5%) 4. จังหวัดที่เหลือให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 2.0% ทั้งนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป           บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ มองเป็นบวก การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นหลายอัตราข้างต้นถือว่าน้อยกว่าที่เคยเป็นข่าวว่าจะปรับขึ้นเป็น 400 บาททั่วประเทศ คาดกระทบต่อบริษัทในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่เราศึกษาจำกัด เพียง 0-2% ของประมาณการกำไรสุทธิในปี 2568 ซึ่งน้อยกว่าที่เราเคยประเมินอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทที่เราได้เคยให้สมมติฐานค่าจ้างขั้นต่ำที่ 400 บาท และทำให้มี upside จากประมาณการกำไร ได้แก่ BTG* (+8%), SUN (+6%), GFPT (+6%), AU (+5%), TFG (+4%) และ CPF* (+3%) ทั้งนี้เมื่อประกอบกับการพิจารณาแนวโน้มกำไรในปี 2568F เราเลือก BTG (TP 22.80 บาท) และ SUN (TP 5.15 บาท) เป็นหุ้นเด่น โดยหากรวมผลบวกจากค่าจ้างขั้นต่ำที่ปรับขึ้นน้อยกว่าคาด จะทำให้ปีหน้ากำไรสุทธิเติบโต 33% และ 16% ตามลำดับ

SISB มั่นใจรายได้ตามเป้า มุ่งขยายโรงเรียนสาขา 7

SISB มั่นใจรายได้ตามเป้า มุ่งขยายโรงเรียนสาขา 7

หุ้นวิชั่น - นายยิว ฮอค โคว (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ,นางสาวสุนันทา ลีลาแสงสาย (ขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี และคุณศุภกร อุณหไพบูลย์ (ซ้าย) นักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) (SISB) ถ่ายภาพร่วมกันในงาน Analyst Meeting สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 โดยมั่นใจรายได้ปี 2567 เติบโตตามเป้าหมาย จากจำนวนนักเรียนทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาเรียนมากขึ้น พร้อมทุ่มงบลงทุน 300 ล้านบาท เดินหน้าขยายโรงเรียนนานาชาติสาขาใหม่แห่งที่ 7 ในจังหวัดปทุมธานี รองรับจำนวนนักเรียนใหม่ที่เพิ่มขึ้น คาดเปิดให้บริการเดือนสิงหาคม ปี 2569 ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

AAV กำไรปกติQ4โตโดด ขานรับธุรกิจ high season

AAV กำไรปกติQ4โตโดด ขานรับธุรกิจ high season

หุ้นวิชั่น -บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ยังคงแนะนำ “ซื้อ” AAV ราคาเป้าหมาย 3.60 บาท อิง 2025E core PER ที่ 15.5 เท่า คิดเป็น -1SD จากค่าเฉลี่ย PER ช่วงก่อนโควิดในปีที่มีกำไรปกติ จากการ update กับบริษัทยังคงมองเป็นบวก จาก 1) ผู้โดยสาร ต.ค.-พ.ย. จะอยู่ที่ 1.7/1.8 ล้านคน (3Q24 เฉลี่ยเดือนละ 1.6 ล้านคน) ขณะที่เราประเมินในเดือน ธ.ค. จะเพิ่มเป็น 2.0 ล้านคน ส่งผลให้ 4Q24E จะมีผู้โดยสาร 5.5 ล้านคน (+8% YoY, +12% QoQ) และทั้งปี 2024E จะมีผู้โดยสารที่ 20.8 ล้านคน +10% YoY, 2) load factor เดือน ต.ค.-พ.ย. จะยังทรงตัวดีที่ 90%+/- (4Q23 = 90%, 3Q24 = 90%), 3) ค่าตั๋วโดยสารเฉลี่ย 4Q24E จะดีขึ้นเป็น 2.0-2.1 พันบาท เพิ่มจาก 3Q24 ที่ 1.85 พันบาท และ 4) จะได้ผลบวกจากต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลง ซึ่งคิดเป็น 30%-40% ของต้นทุนรวม นอกจากนั้น ประเมิน 1Q25E AAV จะได้ประโยชน์จากโครงการ Easy E-Receipt 2025 ที่จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว และคาดว่าสายการบินไทยแอร์เอเชีย (TAA) จะเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ หลังมีการจัดทำระบบ e-Receipt แล้ว โดยหากเป็นไปตามเงื่อนไขเดิม คาดว่าจะสามารถนำค่าตั๋วโดยสารมาลดหย่อนภาษีได้ เฉพาะเที่ยวบินในประเทศที่จองและเดินทางในช่วงระยะเวลาโครงการ โดยจะต้องซื้อตั๋วโดยสารโดยตรงกับ TAAเรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 2024E/25E ที่ 2.6/3.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2023 ที่มีกำไรปกติ 167 ล้านบาท จากจำนวนผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 20.8/22.2 ล้านคน (+10% YoY/+7% YoY)          สำหรับกำไรปกติ 4Q24E จะดีขึ้นเป็นระดับ 900-1,100 ล้านบาท (กำไรปกติ 4Q23 = 877 ล้านบาท, 3Q24 = 11 ล้านบาท) และจะยังคงดีขึ้นต่อเนื่องใน 1Q25E เนื่องจากเข้าสู่ช่วง high season, มีจำนวนเครื่องบินให้บริการเพิ่มขึ้น และค่าตั๋วโดยสารเฉลี่ยที่จะปรับตัวดีขึ้นราคาหุ้น outperform SET +6%/+28% ใน 3 เดือน และ 6 เดือน จากกำไร 9M24 ที่ดีขึ้น แต่ underperform SET -2% ในช่วง 1 เดือน ทั้งนี้ เรายังแนะนำ ซื้อ จากกำไรปกติ 4Q24E-1Q25E จะดีขึ้นมากต่อเนื่อง ทำให้เราประเมินว่าราคาหุ้นจะยัง outperform SET ได้ และยังมี catalyst จากโครงการ Easy E-Receipt ที่จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วง 1Q25E

BTS เงินสดคล่อง หลัง BMA จ่ายหนี้

BTS เงินสดคล่อง หลัง BMA จ่ายหนี้

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี คาดการจ่ายเงินจาก BMA จะช่วยเพิ่มกระแสเงินสด บทวิเคราะห์ยืนยันคำแนะนำ "ซื้อ" สำหรับหุ้น BTS และปรับราคาเป้าหมายตามวิธี SOTP ขึ้นเป็น 6.49 บาท (จาก 5.59 บาท) หลังรวมการชำระหนี้ด้วยเงินสด 14.5 พันล้านบาทที่ BTS คาดว่าจะได้รับจาก BMA ในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าหนี้คงค้างจะลดลงเหลือ 150 พันล้านบาทจาก 165 พันล้านบาทหลังการชำระหนี้ 14.5 พันล้านบาท และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนจะลดลงจาก 3.69 เท่า เหลือ 3.34 เท่า ในกรณีที่ดีที่สุด หาก BMA ชำระหนี้เพิ่มอีก 30 พันล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนจะลดลงเหลือ 2.7 เท่า BMA อาจชำระเงิน 14.5 พันล้านบาท สำหรับหนี้ O&M ให้ BTS ในสัปดาห์นี้ • ตามรายงานในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น BMA มีแนวโน้มที่จะชำระเงิน 14.5 พันล้านบาท (รวมดอกเบี้ย) ให้กับ BTS สำหรับบริการ O&M ในอดีตในสัปดาห์นี้ หลังการประกาศงบประมาณเพิ่มเติมในราชกิจจานุเบกษาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ BMA อาจพิจารณาชำระหนี้ที่เหลืออีกประมาณ 30 พันล้านบาทสำหรับบริการ O&M • ข่าวนี้สอดคล้องกับความคิดเห็นของเราที่มีต่อ BTS เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ BMA อาจชำระหนี้ที่เหลืออยู่ แม้ว่าบริษัท KT จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล โดยอ้างว่า NACC ระบุว่าสัญญา O&M ไม่สามารถบังคับใช้ได้ • ผลกระทบต่อกำไรขาดทุนน้อย: BTS วางแผนที่จะใช้เงินที่ได้รับเพื่อลดหนี้ (ประมาณ 167 พันล้านบาท) ซึ่งจะลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม BTS ได้บันทึกรายได้ดอกเบี้ยจากหนี้ O&M ไว้แล้ว ดังนั้น ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลงจะชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงในอนาคต • การชำระหนี้ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มราคาเป้าหมายของเรา เนื่องจาก BTS ต้องกู้ยืมเงินเพื่อดำเนินงาน O&M ในโมเดลของเรา เราได้รวมรายได้ที่ยังไม่ได้รับ 31 พันล้านบาทจาก BMA เท่านั้น ขณะที่หนี้ที่ BMA มีต่อ BTS สำหรับบริการ O&M อยู่ที่ประมาณ 45.5 พันล้านบาท ดังนั้น เราจึงเพิ่มเงินอีก 14.5 พันล้านบาทในโมเดลของเรา ยืนยันคำแนะนำ "ซื้อ" พร้อมปรับราคาเป้าหมายตาม SOTP ขึ้นเป็น 6.49 บาท (จาก 5.59 บาท) • ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 6.49 บาท (จาก 5.59 บาท) หลังรวมเงินสด 14.5 พันล้านบาทจาก BMA และสมมติว่า BTS จะใช้เงินดังกล่าวทั้งหมดเพื่อลดหนี้

SANTA RALLY เริ่มมา! โบรกจับตา 8 หุ้นลงลึก ต่างชาติช้อป

SANTA RALLY เริ่มมา! โบรกจับตา 8 หุ้นลงลึก ต่างชาติช้อป

          หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส จับตาหุ้นไทย ลุ้น SANTA RALLY หาหุ้นที่ต่างชาติดักซื้อวานนี้ SANTA RALLY มีโอกาสหนุนหุ้นไทยในช่วงท้ายของปี อีกทั้งข้อมูลสถิติ 5 ปี ย้อนหลังกับ SANTA RALLY (24 ธ.ค. – สิ้นปี) SET INDEX ปรับตัวขึ้นทุกปี เฉลี่ยราว +1.53% ดังนั้นสัปดาห์นี้ อาจเห็นการรีบาวน์ขึ้นของ SET ได้โดยวางกรอบแนวต้านรายสัปดาห์ไว้ที่ 1400-1420 จุด อีกทั้งวานนี้เริ่มเห็นสัญญาณบวกจาก FLOW ต่างชาติที่ซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทย 2.3 พันล้านบาท โดย 10 หุ้นที่ต่างชาติซื้อมากสุด คือ BCP BDMS BGRIM KCE BH GULF KTB SAWAD SCGP IVL ซึ่งจะเห็นได้ว่าหุ้นส่วนใหญ่ที่ต่างชาติซื้อ มักสร้าง ผลตอบแทนเป็นบวกเสมอ ขณะที่ระยะถัดไป สิ่งที่นักลงทุนต้องพิจารณา คือ กำไรงวด 4Q67 ของบริษัทจดทะเบียนที่ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่ามีโอกาสเติบโต QOQ และ YOY จากฐานที่ต่ำกว่า ปกติ(ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท)จึงทำให้มีโอกาสเห็น SET ยังสามารถ OUTPERFORM ตลาดหุ้นอื่นๆได้ในระยะถัดไป            สรุป SANTA RALLY เริ่มมา ดังวานนี้ที่ต่างชาติซื้อสุทธิ 2.3 พันล้านบาท หนุน SET เขียวขจี +1.60% ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงสั้น แนะนำหุ้นที่พื้นฐานลงลึกที่ ต่างชาติให้ความสนใจ อาทิ BCP BDMS BGRIM KCE BH KTB SAWAD SCGP เป็นต้น

โฟกัส KTB-KBANK สินเชื่อรายใหญ่-รัฐแกร่ง

โฟกัส KTB-KBANK สินเชื่อรายใหญ่-รัฐแกร่ง

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า สินเชื่อเดือน พ.ย. 24 เพิ่มขึ้นได้ดีที่ +0.6% MoM จากสินเชื่อรายใหญ่และภาครัฐ ภาพรวมสินเชื่อเดือน พ.ย. 24 ทั้ง 7 ธนาคารที่เรา cover อยู่ที่ 10.7 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น +0.7% MoM ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อรายใหญ่และสินเชื่อภาครัฐ ส่วนสินเชื่อรายย่อยที่มาจากสินเชื่อเช่าซื้อยังคงลดลงต่อเนื่อง โดยธนาคารที่มีสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ BBL เพิ่มขึ้น +1.4% MoM จากสินเชื่อรายใหญ่เป็นหลัก รองลงมาเป็น KTB เพิ่มขึ้น +1.2% MoM จากสินเชื่อภาครัฐเป็นหลัก และ KBANK +1.0% MoM จากสินเชื่อรายใหญ่และรายย่อย ขณะที่ธนาคารที่มีสินเชื่อลดลงมากที่สุด MoM คือ KKP -0.7% MoM ลดลงจากสินเชื่อเช่าซื้อทั้งในส่วนของรถใหม่และรถมือสอง รองลงมาเป็น SCB -0.4% MoM จากสินเชื่อทุกประเภท แต่บริษัทลูกๆอย่าง AutoX และ Monix ยังคงเพิ่มขึ้นได้อยู่ ขณะที่ TTB ทรงตัว MoM จากสินเชื่อรายใหญ่และสินเชื่อ High yield ยังเพิ่มขึ้น แต่สินเชื่อรายย่อยและ SME ยังลดลง ส่วนภาพรวมของเงินฝากเดือน พ.ย. 24 อยู่ที่ 12.6 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น +0.2% MoM โดยธนาคารที่เงินฝากเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ BBL เพิ่มขึ้น +1.0% MoM รองลงมาเป็น KBANK, KTB เพิ่มขึ้น +0.5%, +0.2% จากเงินฝาก CASA เป็นหลัก ส่วนเงินฝากที่ลดลงมากที่สุดคือ SCB -2.3% MoM จากเงินฝากทุกประเภท โดยมี saving ลดลงมากที่สุด รองลงมาเป็น TTB -1.1% MoM จากเงินฝากประจำที่ลดลง (ที่มา: ข้อมูลบริษัท)            มองเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคาร มีมุมมองเป็นบวกต่อสินเชื่อในเดือน พ.ย. 24 ที่เพิ่มขึ้นได้ดีที่ +0.6% MoM จากเดือน ต.ค. 24 ที่เพิ่มขึ้น +0.2% MoM โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อรายใหญ่และภาครัฐเป็นหลัก ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อยังลดลงตามทิศทางของยอดขายรถยนต์ที่มีการปรับตัวลดลงและจากกำลังซื้อชะลอตัว รวมถึงหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ทำให้กลุ่มธนาคารมีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ขณะที่เราคาดว่าสินเชื่อรายใหญ่และภาครัฐจะมี Momentum ที่เพิ่มขึ้นได้ในช่วงเดือน ธ.ค. 24 ตามโครงการใหญ่ๆของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ภาพรวมการประมาณการการเติบโตของสินเชื่อรวมทั้งปี 2024E ของกลุ่มที่ +0.8% YoY น่าจะมี downside เล็กน้อยเพราะ 11M24 อยู่ที่ -1.0% YTD ด้าน NPL คาดว่ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าจะทยอยเพิ่มขึ้นไม่น่ากังวลมากนัก เพราะแต่ละธนาคารมีการตั้งสำรองฯจำนวนมากมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และมีการทยอยขายหนี้เสียออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยคาด NPL ในปี 2024E จะอยู่ที่ 3.29% จาก 2.92% ในปี 2023 คงน้ำหนักเป็น “มากกว่าตลาด” เลือก KTB,           KBANK เป็น Top pick ขณะที่ BBL จะได้รับผลบวกจากสินเชื่อที่เติบโตได้สูงสุดในเดือน พ.ย. 24 เราให้น้ำหนักการลงทุนของกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่าตลาด” เพราะแนวโน้มการเติบโตของกำไรปี 2024E-2025E จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องอีก 5-6% YoY ขณะที่ valuation ยังถูก โดยเทรดที่ระดับเพียง 0.65x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) ขณะที่ยังคงเลือก KTB, KBANK เป็น Top pick ขณะที่ BBL จะได้รับผลบวกจากสินเชื่อที่เติบโตได้สูงที่สุดในเดือน พ.ย. 24 - KTB ราคาเป้าหมายที่ 24.50 บาท อิง PBV 2025E ที่ 0.85x (-0.75SD below 10-yr average PBV) เพราะกำไรสุทธิปี 2024E อยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ +18% YoY ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q24E จะเพิ่มขึ้น YoY แต่จะลดลง QoQ จาก OPEX ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และ KTB เน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐมากขึ้น ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้ - KBANK ราคาเป้าหมายที่ 176.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (-1.00SD below 10-yr average PBV) เพราะคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีขึ้น และเราคาดหวัง JV AMC กับ BAM จะช่วยลด NPL ได้ในระยะยาว และคาดกำไร 4Q24E จะเพิ่มขึ้น YoY จากสำรองฯที่ลดลง โดยปัจจุบันซื้อขายเพียง 0.66x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) ถูกกว่า SCB ที่ 0.81x PBV

KSS คาด SET “Sideways up” ส่องต้าน 1400 จุด แนะ BTS, CRC, KTB

KSS คาด SET “Sideways up” ส่องต้าน 1400 จุด แนะ BTS, CRC, KTB

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” ต้าน 1395/1400 จุด รับ 1375/1370 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯฟื้นต่อ ดัชนี S&P500+0.73% หุ้นเทคโนโลยีนำ หนุนเศรษฐกิจสหรัฐประคองได้และไม่ร้อนแรงจนเกินไป ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ธ.ค. 24 ปรับตัวลดลงมาที่ 104.7 จุด ต่ำกว่าคาด vs prev. 112 จุด (vs ช่วงเศรษฐกิจถดถอยอยู่ในช่วง 86-90) ประเมินปัจจัยต่างประเทศเป็นกลางถึงบวกอ่อนๆ จากนี้ 8c W1 ต่างประเทศจะเริ่มเข้าสู่ช่วงวันหยุด SET น่าจะถูกขับเคลื่อนปัจจัยภายใน วันนี้ (24 ธ.ค.) การประชุม ครม. คาดอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการ Easy E-Receipt, Digital Wallet เฟส 2 และอาจจะมีเรื่องใหม่ คือ การปรับเพิ่มค่าแรง หลังคณะกรรมการไตรภาคีสรุปเรื่องวานนี้ปรับเพิ่มเฉลี่ยทั่วประเทศ +2.9% โดยมี 4 จังหวัดที่แตะ 400 บาท vs เดิมตลาดมองการปรับทั้งประเทศสู่ 400 บาท ประเมินเป็นบวกต่อแรงกดดันต้นทุนต่ำคาด ขณะที่รายงานส่งออกพรุ่งนี้ (25 ธ.ค.) คาดออกมาบวกจากการเร่งส่งออกก่อน Trump 2.0 ผสาน สัญญาณยอดสินเชื่อกลุ่มธนาคาร พ.ย. 24 ขยายตัว 2 เดือนติดบ่งชี้ภายในฟื้นตัว ยังเอื้อ SET วันนี้ โดยมีหุ้นนำ หุ้น Domestic อาทิ ธนาคาร ค้าปลีก ท่องเที่ยว และ หุ้นส่งออกคาดมีแรงเก็งกำไรก่อนรายงานยอดส่งออก วันนี้แนะนำ BTS, CRC, KTB

จับตาหุ้น ‘ค้าปลีกไอที’ รับเต็ม E-Receipt  โบรกเคาะ ADVICE เด่น

จับตาหุ้น ‘ค้าปลีกไอที’ รับเต็ม E-Receipt โบรกเคาะ ADVICE เด่น

         หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี คาดว่ามาตรการ "e-Receipt" จะถูกเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์นี้ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญในระยะสั้น สำหรับกลุ่มธุรกิจค้าปลีกไอที เนื่องจากราคาหุ้นของกลุ่มธุรกิจนี้ปรับตัวในแดนบวกตอบรับมาตรการ ดังกล่าวมาโดยตลอดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ภายหลังจากที่นโยบายนี้ได้รับการอนุมัติ คงคำแนะนำ "BULLISH" สำหรับกลุ่มธุรกิจค้าปลีกไอที หุ้นตัวไหนได้รับอานิสงส์? ด้วยความคาดหวังว่ามาตรการ "e-Receipt" จะได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุนในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกไอทีโดยมองว่าจะเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาหุ้นในระยะสั้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า นอกจากนี้ยังคงเชื่อว่าปี 2025จะเป็นปีทองสำหรับกลุ่มธุรกิจนี้ จากปัจจัยการเปลี่ยน/อัพเกรด สินค้าไอทีของผู้บริโภค รวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ADVICE ยังคงเป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่ม เนื่องจากปัจจุบันบริษัทซื้อขายที่ระดับ P/E ต่ำสุดที่12.4 เท่า เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในกลุ่มที่มีระดับ P/E ที่สูง กว่า 15 เท่า แนะนำ “ซื้อ” หุ้น ADVICE โดยมีราคาเป้าหมายที่7.70 บาท

WHA ย้ำศักยภาพนิคมฯ ไทย ลุยกรีนโลจิสติกส์-อุตสาหกรรมใหม่ปี 68

WHA ย้ำศักยภาพนิคมฯ ไทย ลุยกรีนโลจิสติกส์-อุตสาหกรรมใหม่ปี 68

          หุ้นวิชั่น-WHA ย้ำไทยยังเนื้อหอม ชูจุดเด่นโครงสร้างพื้นฐานครบครัน แรงงานฝีมือ และซัพพลายเชนแข็งแกร่ง ดันยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมพุ่งกว่า 2,500 ไร่ในปีนี้ พร้อมลุยพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ EV และดาต้าเซ็นเตอร์ เดินหน้าผลักดันกรีนโลจิสติกส์ ยกระดับ ESG รับมือเมกะเทรนด์และดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกในปี 2568          นายณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ปิดเผยว่าภาพรวมธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมไทยก็มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง หากเปรียบเทียบยประเทศไทยและเวียดนามถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในด้านนิคมอุตสาหกรรม แต่ต่างก็มีจุดเด่นที่ตอบโจทย์ลูกค้าคนละกลุ่ม โดยประเทศไทยมีความได้เปรียบในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบน้ำ ไฟฟ้า ขนส่ง โทรคมนาคม รวมถึงระบบซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง ตลอดจนแรงงานฝีมือ (Skill Labor) ที่ได้รับการยอมรับ อีกทั้งกฎเกณฑ์ทางกฎหมายยังมีความมั่นคงและเสถียรภาพ ในขณะเดียวกัน เวียดนามมีจุดเด่นในเรื่องของแรงงานที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมต้นทุนต่ำ จึงจับกลุ่มลูกค้าต่างกลุ่มกัน อุตสาหกรรมที่ได้รับความนิยมมาลงทึนในไทย ได้แก่ ยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งรวมกันคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของฐานอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ขยายฐานอุตสาหกรรมใหม่: โอกาสการเติบโตในไทย          ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ต้อนรับอุตสาหกรรมใหม่ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเหมาะสมและศักยภาพในการรองรับการลงทุนใหม่ๆ ด้านราคาที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กลุ่ม WHA Corporation มีการขายที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากก่อนช่วงโควิด-19 ที่ขายได้ประมาณ 1,000 ไร่ หรือมีการเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เพื่อรองรับดีมานด์จากนักลงทุนหลากหลายประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น และยุโรป โครงสร้างธุรกิจ WHA และเป้าหมายการเติบโต          WHA Corporation มีโครงสร้างธุรกิจ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจโลจิสติกส์: ครอบคลุมพื้นที่กว่า 3 ล้านตารางเมตร 2. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม: ดำเนินงานในนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด 12 แห่ง 3. ธุรกิจน้ำและไฟฟ้า: มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมเกือบ 1,000 เมกะวัตต์ 4. ธุรกิจดิจิทัล: มุ่งเน้นนำ AI มาช่วยลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสรายได้ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล          รายได้ของ WHA แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ รายได้จากการขาย และรายได้ประจำ โดยสัดส่วนอยู่ที่ 50:50 แต่ในบางช่วงรายได้จากการขายที่ดินอาจสูงขึ้นตามยอดขายที่ดินที่เพิ่มขึ้น ผลประกอบการและทิศทางอนาคต          ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ธุรกิจโลจิสติกส์มีการเติบโตต่อเนื่อง และยอดขายที่ดินปีนี้มีการปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2,500 ไร่ ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตที่แข็งแกร่ง          สำหรับปี 2568 บริษัทคาดการณ์ว่าภาพรวมจะดีต่อเนื่อง พร้อมผลักดันแนวคิดกรีนโลจิสติกส์ (Green Logistics) และยกระดับมาตรฐาน ESG ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก

SC ขายหุ้น SC L1 ให้โตเกียวทาเทโมโนะ ร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์

SC ขายหุ้น SC L1 ให้โตเกียวทาเทโมโนะ ร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์

          หุ้นวิชั่น - บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ขายหุ้นในบริษัท เอสซี แอล1 จำกัด (SC L1) จำนวน 2,450,000 หุ้น รวมมูลค่า 17,150,000 บาท ให้แก่บริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ TTT เพื่อร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยมีรายละเอียดดังนี้: • ชื่อบริษัท: บริษัท เอสซี แอล1 จำกัด (SC L1) • ทุนจดทะเบียน: 50,000,000 บาท (แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 5,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท) • โครงสร้างการถือหุ้น: 1. SC Asset ถือหุ้น 50.99% และบุคคลธรรมดา 0.01% 2. TTT ถือหุ้น 49% วัตถุประสงค์ของการลงทุน           เพื่อร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยความร่วมมือครั้งนี้คาดว่าจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของทั้งสองบริษัท และตอบสนองความต้องการของตลาดที่อยู่อาศัยในอนาคต.

ปตท. คว้าอันดับ 1 โลกความยั่งยืนจาก S&P Global พร้อมมุ่งมั่นเติบโตยั่งยืนระดับโลก

ปตท. คว้าอันดับ 1 โลกความยั่งยืนจาก S&P Global พร้อมมุ่งมั่นเติบโตยั่งยืนระดับโลก

          หุ้นวิชั่น - วันนี้ (23 ธันวาคม 2567) – ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ได้รับคะแนนการประเมินด้านความยั่งยืน (Corporate Sustainability Assessment : CSA) ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2567 เป็นอันดับที่ 1 ของโลก ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Upstream & Integrated (OGX) และได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีโลก (World Index) และดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 13 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ดำเนินธุรกิจบนหลักการ “ยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีพันธกิจในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย สร้างการเติบโตควบคู่กับการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก           นอกจากนี้ บริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. นํ้ามัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI อีกด้วย           Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) เป็นดัชนีหลักทรัพย์ของบริษัทชั้นนำระดับสากลกว่า 3,500 บริษัททั่วโลก ที่ผ่านการประเมินความยั่งยืนขององค์กร (Corporate Sustainability Assessment: CSA) และคัดกรองโดย S&P Global ถือเป็นดัชนีที่ใช้ประเมินการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลจากผู้ลงทุนสถาบันและกองทุนต่าง ๆ ทั่วโลก

ก.ล.ต. กล่าวโทษอดีตประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร TSF กับพวกรวม 6 ราย ต่อ บก.ปอศ. กรณีทุจริต

ก.ล.ต. กล่าวโทษอดีตประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร TSF กับพวกรวม 6 ราย ต่อ บก.ปอศ. กรณีทุจริต

          หุ้นวิชั่น - วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2567 | ฉบับที่ 281 / 2567 ก.ล.ต. กล่าวโทษอดีตประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทรีซิกตี้ไฟว์ จำกัด (มหาชน) (TSF) กับพวกรวม 6 ราย ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กรณีกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่บริษัท พร้อมทั้งรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับรายงานจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในปี 2563 และได้ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ในระหว่างปี 2560 - 2561 นายอรัญ อภิจารี ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร TSF* และกรรมการ บริษัท ทีเอสเอฟ เอ็กซ์ตร้า จำกัด (บริษัทย่อย) ในขณะนั้น มีการทุจริตผ่านบริษัทย่อย โดยการทำสัญญาติดตั้งสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์บริเวณตู้โทรศัพท์สาธารณะกับบริษัท จี.ไอ.เอส.พาร์ค (ประเทศไทย) จำกัด (GISP) (สัญญาหลัก) โดยระบุให้บริษัทย่อยจ่ายเงินค่ารับโอนสิทธิ จำนวน 3 ล้านบาท ให้ GISP แต่เงินดังกล่าวถูกโอนกลับไปให้นายอรัญ ต่อมาบริษัทย่อยทำสัญญาเพิ่มเติมจากสัญญาหลัก เพื่อจ่ายเงินค้ำประกัน จำนวน 50 ล้านบาท ให้ GISP แต่เงินดังกล่าวถูกโอนไปให้บริษัท ไลเกอร์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (Liger) และโอนต่อไปยังบุคคลอื่นอีกหลายทอดตามคำสั่งของนายอรัญ การกระทำของนายอรัญจึงเป็นการกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่ TSF และบริษัทย่อย โดยมี (1) นางสาวมินทร์ฐิตา ปนาวัฒน์ธนยศ (2) นางสาวกาญจนกร เตชะพันธ์ (3) นางสาวโศภชา เจริญสุข (4) GISP และ (5) Liger เป็นผู้ช่วยเหลือสนับสนุน           การกระทำของนายอรัญและพวกเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 311 มาตรา 313 และมาตรา 281/2 วรรคสอง ประกอบมาตรา 89/7 มาตรา 89/24 และมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แล้วแต่กรณี ก.ล.ต. จึงได้กล่าวโทษผู้กระทำความผิดทั้ง 6 ราย ต่อ บก.ปอศ. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป           พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้รายงานการดำเนินการข้างต้นต่อ ปปง. เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป เนื่องจากความผิดดังกล่าว เข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน           การถูกกล่าวโทษข้างต้นมีผลให้ผู้ถูกกล่าวโทษเข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจและไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนตลอดระยะเวลาที่ถูกกล่าวโทษดำเนินคดี นับตั้งแต่วันที่ ก.ล.ต. มีหนังสือกล่าวโทษบุคคลดังกล่าวต่อ บก.ปอศ.**           ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาต่อไปเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามลำดับ โดย ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดี และจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว หมายเหตุ : * ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัท ทรีซิกตี้ไฟว์ จำกัด (มหาชน) (TSF) จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2566 ** ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 3/2560 เรื่อง การกำหนดลักษณะขาดความน่าไว้วางใจของกรรมการและผู้บริหารของ ลงวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

GPSC คว้าผู้ผลิต-ขายไฟฟ้า FiT ปี 2565-73 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง

GPSC คว้าผู้ผลิต-ขายไฟฟ้า FiT ปี 2565-73 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง

          หุ้นวิชั่น - นางพรรณพร ศาสนนันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน  บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) หรือ GPSC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าบริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ผลิตและขายไฟฟ้าตามโครงการการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2567 ประเภท พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน รวมคิดเป็นกำลังการผลิตเสนอขายจำนวน 192.88 เมกะวัตต์ หรือมีกำลังการผลิตคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทฯ เป็นจำนวน 97.19 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) รายละเอียดดังนี้: ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนของกลุ่มบริษัทฯ และได้มีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินการโครงการตามแผนพลังงานหมุนเวียนของประเทศ เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ได้ตามเป้าหมาย

THG ปัด “หมอบุญ” ไม่เกี่ยว “จิณณ์ เวลบีอิ้ง ฯ”  พร้อมชี้แจงงบการเงินรวม

THG ปัด “หมอบุญ” ไม่เกี่ยว “จิณณ์ เวลบีอิ้ง ฯ” พร้อมชี้แจงงบการเงินรวม

          หุ้นวิชั่น - นางสาวจินดา อริยพรพงศ์ เลขานุการบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) หรือ THG ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงบการเงินรวมของบริษัทฯ สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 และโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ นั้น คณะกรรมการบริษัทฯ ได้ประชุมกันเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 โดยได้พิจารณาข้อสอบถามเพิ่มเติมของตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนี้ 1.การตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตจากการดำเนินงานของบริษัทฯ           ตามงบการเงินรวมของบริษัทฯ สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทฯ ได้ตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตจากการดำเนินงานของบริษัทฯ (“ค่าเผื่อฯ”) รวมทั้งสิ้นจำนวน 336 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 343 เมื่อเทียบกับงบการเงินรวมของบริษัทฯ สำหรับปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 นั้น บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงสาเหตุและรายละเอียดตามกลุ่มลูกหนี้ค่าเผื่อฯ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้           1.1 กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19           บริษัทฯ และบริษัทย่อย ได้แก่ บจ. โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง บมจ. โรงพยาบาลราษฎร์ยินดี บจ. ตรังเวชกิจ และ บจ. ธนบุรี เวลบีอิ้ง (“บริษัทย่อยฯ”) มีลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 ซึ่งรับรู้ค่าเผื่อฯ ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวนรวม 284 ล้านบาท           สาเหตุของการรับรู้ค่าเผื่อฯ ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวนรวม 284 ล้านบาท นั้นเป็นเพราะที่ผ่านมา บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ ประสบปัญหาเกี่ยวกับการได้รับชำระเงินจากหน่วยงานภาครัฐ ในส่วนของการเบิกจ่ายจากการให้บริการรักษาพยาบาลในช่วงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยในช่วงปี 2564 – 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อย โดยเฉพาะ บจ. โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง (“THB”) ได้รับรู้รายได้จากการให้บริการผู้ป่วยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมีการประมาณการส่วนลดเพื่อสะท้อนจำนวนเงินที่คาดว่าจะได้รับชำระ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลและอัตราที่ได้รับชำระจริงในอดีต โดยใช้อัตราส่วนที่คาดว่าจะได้รับชำระในช่วงระหว่างร้อยละ 29 ถึงร้อยละ 60 ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นไปตามหลักความระมัดระวัง และเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป           ในปี 2567 เนื่องจากบริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ ได้รับรู้รายได้โดยรับรู้ประมาณการส่วนลดซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลและอัตราส่วนลดที่เกิดขึ้นจริงแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 มีสถานะค้างชำระนานเกินกว่า 365 วัน และการชำระหนี้จากหน่วยงานภาครัฐที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าบริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ จะติดตามทวงถามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเหตุให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ ต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงในการไม่ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนในอนาคต           ดังนั้น เพื่อสะท้อนความเสี่ยงทางการเงินอย่างเหมาะสมและระมัดระวัง บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ จึงได้ตั้งค่าเผื่อฯ จำนวนร้อยละ 75 ของมูลหนี้คงเหลือ           อย่างไรก็ตาม หากภายในสิ้นปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ ยังไม่ได้รับการชำระหนี้ค้างจากหน่วยงานภาครัฐสำหรับลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ จะพิจารณาตั้งค่าเผื่อฯ เพิ่มเติมเป็นร้อยละ 100 ของมูลหนี้คงเหลือ ซึ่งจะมีมูลค่าประมาณ 81 ล้านบาท การพิจารณาตั้งค่าเผื่อฯ ดังกล่าวสะท้อนถึงการประเมินความเสี่ยงผลขาดทุนด้านเครดิตและเป็นการดำเนินการตามหลักความระมัดระวัง           1.2 ลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วยซึ่งรับผิดชอบชำระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วยตนเอง           ในปี 2566 บริษัทย่อยของบริษัทฯ รายบริษัท โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง จำกัด (“THB”) ได้บันทึกบัญชีลูกหนี้คงค้างในกลุ่มลูกหนี้ค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 42 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลทางบัญชีอย่างละเอียดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 บริษัทฯ ได้พิจารณาแล้วว่ารายการดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงที่อาจไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ เพื่อให้การบันทึกบัญชีสะท้อนถึงสภาพการณ์ที่แท้จริงและสอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง บริษัทฯ จึงได้ตัดสินใจตั้งค่าเผื่อฯ ไว้เต็มจำนวนสำหรับยอดลูกหนี้ดังกล่าว           ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับรายการลูกหนี้ดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ในรูปแบบของรายการอันควรสงสัย และได้จัดส่งรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“สำนักงาน ก.ล.ต.”) แล้ว           1.3 ลูกหนี้การค้าอื่น และลูกหนี้อื่น           ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 บริษัทย่อยของบริษัทฯ ราย บจ. ตรังเวชกิจ ตั้งค่าเผื่อฯ จำนวน 1 ล้านบาทสำหรับรายการลูกหนี้การค้าอื่น ซึ่งเป็นการตั้งค่าเผื่อฯ เพิ่มเติมสำหรับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งค้างชำระนานเกินกว่า 180 วัน เพื่อสะท้อนถึงสถานการณ์ด้านเครดิตของลูกหนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลง ในช่วงเวลาเดียวกัน THB ได้ตั้งค่าเผื่อฯ เป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาทสำหรับรายการลูกหนี้อื่น โดยบริษัทฯ พิจารณาแล้วเห็นว่ารายการดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้และถือเป็นรายการอันควรสงสัย           ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการเปิดเผยข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 และจัดส่งรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการดังกล่าวไปยังสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว           ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทฯ เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้น และมีความเห็นเพิ่มเติมดังนี้ การตั้งค่าเผื่อฯ สำหรับลูกหนี้กลุ่ม COVID-19 เป็นการดำเนินการตามหลักความระมัดระวัง แม้ว่าลูกหนี้จะเป็นหน่วยงานภาครัฐ สำหรับลูกหนี้อื่นนั้น บริษัทฯ ได้ดำเนินการเช่นเดียวกัน และอยู่ระหว่างการดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของบริษัทฯ การตั้งค่าเผื่อฯ ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพคล่องของกลุ่มบริษัทฯ เนื่องจากผลประกอบการจากการดำเนินงานตามปกติ (ไม่รวมการบันทึกบัญชีค่าเผื่อฯ) ไม่ได้ประสบภาวะขาดทุนจากการดำเนินงานแต่อย่างใด           การพิจารณาตั้งค่าเผื่อฯ นั้น บริษัทฯ ได้มีการหารือร่วมกับผู้สอบบัญชีเป็นประจำทุกปี โดยยึดหลักความระมัดระวังที่สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เป็นกระบวนการที่เป็นไปตามปกติของการดำเนินธุรกิจ หากมีความจำเป็นต้องตั้งค่าเผื่อฯ หรือรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่า บริษัทฯ จะพิจารณาและดำเนินการตามมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อมูลทางการเงินสะท้อนถึงสถานะและผลการดำเนินงานของบริษัทฯ 2.รายการกับ Bewell Saigon Health Clinic Company Limited           ในปี 2566 บริษัทฯ ได้เข้าทำข้อตกลงร่วมทุนกับ IFF Holdings Joint Stock Company เพื่อจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้ง โดย IFF Holdings Joint Stock Company จะถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 60 และบริษัทฯ (หรือบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากบริษัทฯ) จะถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 40 (“บริษัทโฮลดิ้ง”) และบริษัทโฮลดิ้งจะถือหุ้นร้อยละ 100 ใน Bewell Saigon Health Clinic Company Limited (“Bewell”) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นในประเทศเวียดนามเพื่อดำเนินธุรกิจคลินิกตรวจสุขภาพเชิงลึก โดย IFF Holdings Joint Stock Company มิได้เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ แต่อย่างใด           ในปี 2566 และ 2567 บริษัทฯ ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินในรูปแบบเงินให้กู้ยืมแก่ Bewell เพื่อใช้สำหรับการตกแต่งสถานที่ ซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือ และการเช่าพื้นที่สำหรับการตั้งคลินิก ระยะเวลาเงินกู้ไม่เกิน 12 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ณ ปัจจุบัน Bewell มีภาระหนี้คงค้างประมาณ 49 ล้านบาท (เทียบเป็นเงินบาทไทย) นอกจากนี้ ผู้ร่วมทุน IFF Holdings Joint Stock Company ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ Bewell เช่นกัน จำนวนประมาณ 12.5 ล้านบาท (เทียบเป็นเงินบาทไทย) พร้อมทั้งสนับสนุนในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่ทางการเงิน เช่น การจัดหาสถานที่ การบริหารและควบคุมกระบวนการก่อสร้าง ตลอดจนการจัดเตรียมความพร้อมของสถานที่และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง           สำหรับเงินกู้บางส่วนซึ่งบริษัทฯ ได้ให้แก่ Bewell จำนวนประมาณ 12.6 ล้านบาท ซึ่งครบกำหนดชำระแล้วนั้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาแปลงหนี้ดังกล่าวเป็นเงินลงทุนในบริษัทโฮลดิ้ง และ/หรือ Bewell โดยมีกำหนดเป้าหมายในการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2568           ในส่วนของใบอนุญาตดำเนินการคลินิกของ Bewell นั้น บริษัทฯ คาดการณ์ว่า Bewell จะได้รับใบอนุญาตภายในไตรมาสแรกของปี 2568           ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทฯ           คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้น และมอบหมายให้ฝ่ายบริหารดำเนินการติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด และรายงานผลให้คณะกรรมการบริษัทฯ ทราบในการประชุมคณะกรรมการคราวถัดไป เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการเป็นไปตามแผนงานที่กำหนด 3.รายการเกี่ยวกับหนี้ของบริษัทฯ           จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ซึ่งไม่เป็นไปตามคาดการณ์ รวมถึงรายการพิเศษที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินตามที่กำหนดไว้ในสัญญาที่บริษัทฯ ทำไว้กับ Credit Guarantee and Investment Facility, a trust fund of the Asian Development Bank (“CGIF”) ในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ของบริษัทฯ ได้นั้น ไม่มีผลทำให้ผู้ค้ำประกันหนี้สามารถเพิกถอนการค้ำประกันหนี้ได้ และไม่มีผลทำให้บริษัทฯ ตกเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ตามหนี้แต่อย่างใด ทั้งนี้ ผลจากการไม่สามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าวได้ ทำให้บริษัทฯ มีภาระต้องชำระค่าปรับให้แก่ CGIF ตามข้อกำหนดในสัญญา ซึ่งถือเป็นมาตรฐานปกติของสัญญาประเภทนี้ ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับ CGIF เพื่อขอผ่อนปรนเงื่อนไขบางประการในสัญญา ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะได้รับข้อสรุปดังกล่าวภายในไตรมาสแรกของปี 2568           ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทฯ           คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้น และมอบหมายให้ฝ่ายบริหารเจรจาผ่อนปรนเงื่อนไขบางประการกับ CGIF เพื่อให้บริษัทฯ ไม่ต้องมีภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นมากนัก 4.รายการเกี่ยวกับโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้           4.1 สถานะและความคืบหน้าของการขายโครงการ           บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (“ธนบุรี เวลบีอิ้ง”) ยังคงดำเนินการขายโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ตามปกติ ซึ่งโครงการมีจำนวนห้องทั้งหมด 494 ห้อง ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 โครงการมีจำนวนห้องที่ ยังไม่ได้ขายจำนวน 234 ห้อง โดย ธนบุรี เวลบีอิ้ง ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น การออกบูธประชาสัมพันธ์โครงการ และการนำเสนอโครงการผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างความรับรู้ในตัวโครงการอย่างสม่ำเสมอ           และในเดือนธันวาคม 2567 ธนบุรี เวลบีอิ้ง เตรียมโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจำนวน 3 ห้อง อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ธนบุรี เวลบีอิ้ง ได้รับผลกระทบจากข่าวต่าง ๆ ในทางลบ ทำให้ลูกค้ายกเลิกการซื้อกรรมสิทธิ์ห้องชุดจำนวน 2 ห้อง และขายกรรมสิทธิ์ห้องชุดสำเร็จเพียง 1 ห้อง           4.2 การเปลี่ยนการบันทึกโครงการจากสินทรัพย์หมุนเวียนไปเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน           รายการซึ่งมีการเปลี่ยนการบันทึกโครงการจากสินทรัพย์หมุนเวียนไปเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนคือที่ดินที่ ธนบุรี เวลบีอิ้ง ได้จัดสรรไว้สำหรับการพัฒนาโครงการ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เฟส 2 และ 3 ในอนาคต โดยที่ดินดังกล่าวมีขนาดพื้นที่ 28,469.44 ตร.ว. มูลค่าต้นทุน 840.39 ล้านบาท ซึ่งเดิมจัดอยู่ในประเภทสินทรัพย์หมุนเวียน           อย่างไรก็ตาม หลังจากการประเมินสถานการณ์โดยรอบคอบ บริษัทฯ เห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความเป็นไปได้สูงที่จะยังไม่มีการเริ่มต้นก่อสร้างหรือพัฒนาในระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า ซึ่งตามมาตรฐานบัญชี หากสินทรัพย์ไม่สามารถสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะเวลาสั้น และมีลักษณะการถือครองเพื่อการพัฒนาในระยะยาว บริษัทฯ จำเป็นต้องปรับปรุงการจัดประเภทของที่ดินดังกล่าวจาก “สินทรัพย์หมุนเวียน” เป็น “สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน” เพื่อให้สะท้อนถึงลักษณะการใช้งานจริง และสอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต           4.3 การขายห้องชุดของโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน           ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2567 ธนบุรี เวลบีอิ้ง มีรายได้รอการรับรู้จำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการขายห้องชุดแบบตกแต่งครบ (Fully Furnished) ให้กับบริษัท ราชธานีพัฒนาการ (2014) จำกัด ซึ่งราคาขายดังกล่าวได้รวมค่าเฟอร์นิเจอร์ไว้ด้วย แต่เนื่องจากการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ยังไม่แล้วเสร็จ ธนบุรี เวลบีอิ้ง จึงยังไม่สามารถรับรู้รายได้ในส่วนค่าเฟอร์นิเจอร์ตามมาตรฐานบัญชีได้           ต่อมาบริษัทดังกล่าวได้ขอยกเลิกการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ และ ธนบุรี เวลบีอิ้ง ได้หักกลับลบหนี้ระหว่างรายการค้างรับและรายการค้างจ่าย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเสร็จสิ้นในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดรายได้รอการรับรู้จำนวน 20 ล้านบาทนี้ ไม่ถือเป็นหนี้สินทางบัญชีอีกต่อไป           ความเห็นคณะกรรมการบริษัทฯ           คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้น และมอบหมายให้ฝ่ายบริหารเน้นย้ำให้สาธารณชนรับทราบว่านายแพทย์บุญ วนาสิน ไม่ได้มีส่วนร่วมในการลงทุนในโครงการดังกล่าว โดยโครงการนี้เป็นการลงทุนโดย ธนบุรี เวลบีอิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นเกือบทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงปัจจุบัน           บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าข้อมูลข้างต้นจะช่วยเพิ่มความชัดเจนแก่นักลงทุน ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นในหลักการบริหารจัดการที่โปร่งใส และมุ่งมั่นสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างยั่งยืนในระยะยาว

CPAXT ยันลงทุน The Happitat เพียงโครงการเดียว

CPAXT ยันลงทุน The Happitat เพียงโครงการเดียว

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี เผย CPAXT ชี้แจงข้อมูลเพิ่มย้ำเข้าลงทุนโครงการ The Happitat เพียงโครงการเดียวไม่ ลงทุนในโครงการอื่นๆ ใน The Forestias ย้ำการเข้าลงทุนเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและเกณฑ์ของตลาดฯ ราคาเข้าลงทุนใช้วิธี Income Approach ซึ่งต่ำกว่าวิธี Cost Approach เฉลี่ยที่ 1.2 หมื่นล้านบาทจึงมองเป็นราคาเข้าลงทุนที่สมเหตุสมผล แต่พร้อมน้อมรับ ข้อคิดเห็น, คำแนะนำ และความห่วงใยจากทุกภาคส่วน

[ภาพข่าว] ADVICE ขึ้นแท่นเข้าคำนวณดัชนี sSET ปี 68

[ภาพข่าว] ADVICE ขึ้นแท่นเข้าคำนวณดัชนี sSET ปี 68

          นายณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) หรือ ADVICE เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 20 บริษัทฯ ที่เข้าคำนวณในดัชนี sSET รอบครึ่งปีแรกของปี 2568 (1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2568) ซึ่งสะท้อนถึงหุ้น ADVICE ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทุกกลุ่มทั้งในและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free-Float) และมีจำนวนหุ้นซื้อขายเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด สอดรับกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ที่แข็งแกร่ง และมีศักยภาพเติบโตสูง           ทั้งนี้ ADVICE มีแผนการดำเนินงานเพื่อสร้างการเติบโตที่ชัดเจน โดยในปี 2568 รายได้กลุ่มมือถือเติบโตเด่นจากทั้งกลุ่ม Apple และ Andriod จำนวนสาขา Standalone Apple ในต่างจังหวัด ตั้งเป้าไว้ที่ 8 สาขา ณ สิ้นปี 2567 และมีเป้าหมายเพิ่ม 30 สาขา ณ สิ้นปี 2568 เทียบกับ ณ สิ้น Q3/67 ที่มีเพียง 3 สาขา ทั้งนี้ การขยายสาขา Apple จะเป็นปัจจัยหลักหนุนการเติบโตของรายได้กลุ่มมือถือในปี 2568 ซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูง มีอัตราการทำกำไรที่ดีให้แก่บริษัทฯ สะท้อนผ่านผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งตามเป้าหมายที่ได้วางแผนไว้ ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจโดยมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

TOP ย้ำชัดCFPเดินต่อได้ ปันผลปกติไม่ต้องเพิ่มทุน

TOP ย้ำชัดCFPเดินต่อได้ ปันผลปกติไม่ต้องเพิ่มทุน

          หุ้นวิชั่น - TOP เคลียร์เงินลงทุนเพิ่มในโครงการ CFP มาจากเงินสด รวมทั้งการออกหุ้นกู้และเงินกู้ยืม บริษัทฯ เชื่อมั่นว่ามีแหล่งเงินเพียงพอเดินหน้าโครงการฯ ยันไม่ต้องเพิ่มทุน พร้อมจ่ายปันผลตามผลประกอบการปกติ “บัณฑิต” ย้ำ กระบวนการทำงานยึดหลักสากล โปร่งใส และเป็นธรรม แม้อัตราผลตอบแทน IRR ลดเหลือ 7% แต่ยังสูงกว่าต้นทุน  นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)หรือ TOP เปิดเผยว่า สำหรับงบประมาณลงทุนส่วนเพิ่มของโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือCFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาท ที่บริษัทฯ จะใช้ในการดำเนินการก่อสร้าง บริษัทฯ มีแผนจัดหาเงินทุนประกอบด้วย 1. เงินสดคงเหลือและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2025-2027 2.การออกหุ้นกู้ หรือการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งพิจารณาหาเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ เช่น การออก ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน รวมถึงการบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยบริษัทขอยืนยันว่าไม่มีแผนการเพิ่มทุนจากการเพิ่มงบประมาณในการก่อสร้างโครงการในครั้งนี้แต่อย่างใด“บริษัทฯ มั่นใจว่างบประมาณที่ขอเพิ่มเติมเพียงพอต่อการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จ โดยได้ศึกษาและประเมินร่วมกับที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้วยความระมัดระวังว่าสามารถดำเนินโครงการนี้ได้ตามงบประมาณที่วางไว้บริษัทฯ จะบริหารจัดการงบประมาณให้ดีที่สุด อีกทั้งจากการศึกษาและประเมินของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระถึงแม้อัตราผลตอบแทนการลงทุนระดับโครงการในปัจจุบันจะลดลงจากการประเมินในช่วงการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนของกิจการ เมื่อโครงการเสร็จจะทำให้ไทยออยล์มีผลประกอบการทางการเงิน ทั้งในส่วนรายได้ ผลกำไร และฐานะทางการเงินดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นในระยะยาว” นายบัณฑิต กล่าว นายบัณฑิต กล่าวต่อไปอีกว่า การก่อสร้างโครงการฯ ที่ต้องเลื่อนออกไปกว่า 3 ปี เป็นผลมาจากการดำเนินงาน ขั้นตอนที่เหลือเป็นส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชื่อมต่อระบบของโครงการฯ ที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน ดังนั้นก่อนเปิดดำเนินการ จึงต้องทำการทดสอบระบบจนกว่าจะมั่นใจว่าสามารถเปิดดำเนินการได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ การก่อสร้างหน่วยกลั่นใหม่ที่ทำหน้าที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยเปลี่ยนน้ำมันเตาและยางมะตอยให้เป็น น้ำมันอากาศยานและดีเซลไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด เนื่องจากปัญหาการหยุดงานของกลุ่มบริษัทรับเหมาช่วงอัน เนื่องมาจากไม่ได้รับค่าจ้างค้างจ่ายจากผู้รับเหมาหลัก UJV ทำให้การดำเนินโครงการต้องสะดุดจนต้องปรับระยะเวลาดำเนินโครงการออกไป อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ บริษัทฯ ได้พยายามหาทางแก้ไขเพื่อให้การดำเนินงานกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุดเพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปให้แล้วเสร็จ คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถสรุปเวลาให้แน่ชัดขึ้นในปี 2568 นายบัณฑิต กล่าวอีกว่า การเพิ่มเงินงบประมาณก่อสร้างโครงการครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมส่วนใหญ่มาจากเงินสดคงเหลือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และการกู้ยืม ดังนั้นบริษัทฯ ยังคงพิจารณาจ่ายเงินปันผลตามนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิของงบการเงิน ภายหลังจากการหักทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของ บริษัทฯ และตามกฎหมายได้ นายบัณฑิต กล่าวอีกว่า โครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่มีมูลค่าสูง บริษัทฯ ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ในการตรวจรับงานและการจ่ายเงินโครงการฯ ต้องเป็นไปตามหลักสากลและเงื่อนไขในสัญญา มีการตรวจสอบความถูกต้องทั้งในส่วนปริมาณงานและคุณภาพงานจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกส่วน รวมทั้งจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการที่มีความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างเป็นผู้ประเมินและตรวจรับงาน และจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการฯ ให้การดำเนินการเป็นไปตามหลักสากลในการบริหารโครงการขนาดใหญ่ “ขอยืนยันว่าไทยออยล์ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลสำหรับการดำเนินธุรกิจกับผู้มีส่วนได้เสียอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีหน่วยตรวจสอบภายในเพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการทำงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม” นายบัณฑิต กล่าวทิ้งท้าย ด้าน นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการเงินและบัญชี บมจ.ไทยออยล์ (TOP)  เปิดเผยถึง การเพิ่มงบประมาณลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (CFP) อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ปรับลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 12% เหลือ 7% โดยเป็นผลจากการเพิ่มต้นทุนเงินลงทุนและดอกเบี้ย ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้พิจารณาร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินอิสระแล้วว่า แม้อัตราผลตอบแทนจะลดลง แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนของกิจการ ขณะเดียวกัน อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ยังคงได้รับการบริหารให้อยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ไม่เกิน 1 เท่า เพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงินและเสถียรภาพในระยะยาว การดำเนินการดังกล่าวสะท้อนถึงความรอบคอบของบริษัทฯ ในการบริหารจัดการงบประมาณ และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้นว่าโครงการ CFP จะส่งผลเชิงบวกต่อผลประกอบการของบริษัทฯ ในอนาคต

[ภาพข่าว] BTG คว้า 2 รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ปี67

[ภาพข่าว] BTG คว้า 2 รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ปี67

            กรุงเทพฯ – 23 ธันวาคม 2567 – “บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)” หรือ BTG บริษัทอาหารครบวงจรชั้นนำของไทย คว้า 2 รางวัล อุตสาหกรรมดีเด่น ประจำปี 2567 ประเภทการเพิ่มผลผลิต โดยกระทรวงอุตสาหกรรม สะท้อนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วยแนวอุตสาหกรรมวิถีใหม่ มุ่งสู่ความสำเร็จใน 4 มิติคือ 1.ความสำเร็จทางธุรกิจ 2.การดูแลสังคมโดยรอบโรงงานอุตสาหกรรม 3.การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ไทย-ประชาคมโลก และ4.การกระจายรายได้ให้กับประชาชนเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น               เกณฑ์ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับการดำเนินงานทางธุรกิจของเบทาโกร ภายใต้หลัก ESG (Environmental, Social, Governance) สะท้อนถึงการเป็นบริษัทอาหารครบวงจรชั้นนำของไทย มุ่งมั่นเพิ่มคุณค่าชีวิตทุกคนด้วยอาหารที่ดีกว่า เพื่อชีวิตที่ยั่งยืน             โดยมีนายถวิล ทองทศ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักการผลิตเนื้อสัตว์แปรรูปสัตว์ปีกและอาหารปรุงสุก และนายธันว์ บุญมา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักการผลิตเนื้อสัตว์แปรรูปสุกร เป็นตัวแทน บริษัท บี. ฟู้ดส์ โปรดักส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จ.ลพบุรี และ บริษัทเบทาโกรอุตสาหกรรม จำกัด เข้ารับรางวัลจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติ สร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ประกอบการที่พัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมและชุมชนโดยรวมของประเทศ

SCG ผนึก Serendix   ขยายศักยภาพ “SCG 3D Printing Mortar”

SCG ผนึก Serendix  ขยายศักยภาพ “SCG 3D Printing Mortar”

          บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด ในเครือ SCG นำโดย นางสาวกัลยา วรุณโณ Green Solution and New Business Marketing Director และ Mr. Hiroyasu KOMA, CEO of Serendix หนึ่งใน Startup เครือข่ายผู้ประกอบการ 3D Printing ประยุกต์ใช้สร้างบ้านรายแรกจากประเทศญี่ปุ่น ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อขยายศักยภาพ SCG 3D Printing Mortar เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติด้วยปูนมอร์ตาร์รับการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้างทั่วโลก           สำหรับความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติด้วยปูนมอร์ตาร์ (SCG 3D Printing Mortar) พร้อมทั้งการวางแผนการดำเนินงานตั้งแต่การกำหนดทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ การพัฒนารูปแบบธุรกิจ การขยายตลาด รวมถึงการผลักดันใช้ในโครงการต่างๆ ได้หลากหลายประเภทการใช้งาน ด้วยการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจร่วมกันที่แข็งแกร่งที่จะช่วยขยายโอกาส และความสามารถการทำตลาดของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติปูนมอร์ตาร์ให้เหมาะสมกับรูปแบบการก่อสร้างสำหรับการใช้งานของแต่ละประเทศ           SCG 3D Printing Mortar ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์การก่อสร้างยุคใหม่ ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นด้านคุณภาพ ความแข็งแรงทนทาน รองรับการสร้างชิ้นงานที่มีความซับซ้อน ตั้งแต่การออกแบบเส้นสายความโค้งไปจนถึง การก่อสร้างอาคารหลายชั้น ลดข้อผิดพลาดในการทำงาน สามารถควบคุมการต้นทุนการก่อสร้าง รวมถึงลดการใช้ทรัพยากรและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อันเป็นหนึ่งในแนวทาง “SCG Inclusive Green Growth” ที่ใช้นวัตกรรมกรีนต่อยอดร่วมกับพันธมิตร ตอบโจทย์ในด้านความรวดเร็ว ความแม่นยำ และความคุ้มค่า โดยการเป็นพันธมิตรครั้งนี้ไม่เพียงมุ่งเน้นที่การขยายตัวของงานก่อสร้างเท่านั้น แต่ยังเป็นการปรับตัวต่อความต้องการของตลาดยุคใหม่ที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบต่อการใช้ทรัพยากร และมุ่งสู่ความยั่งยืนในการดำเนินงาน ทางธุรกิจต่อไป [PR News]

[ภาพข่าว] DRT ‘ตราเพชร’ ได้รับรองมาตรฐาน ISO 3 ฉบับ

[ภาพข่าว] DRT ‘ตราเพชร’ ได้รับรองมาตรฐาน ISO 3 ฉบับ

          นายสาธิต สุดบรรทัด (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT รับมอบประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐาน ISO 3 ฉบับ ได้แก่ ISO 9001:2015 ระบบการบริหารคุณภาพ (Quality Management System : QMS), ISO 14001:2015 ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (Environmental Management System : EMS) และ ISO 45001:2018 ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (Occupational health and safety Management System : OH&SMS) จาก นายเติมยศ เมนะรัตน์ (ที่ 4 จากซ้าย) Business Development Manager บริษัท บีเอสไอ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด โดยการรับรองมาตรฐานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทฯ มีการจัดการด้านคุณภาพอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน รวมถึงมีการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีและมุ่งมั่นในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้า พนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียว่าบริษัทฯ มีการจัดการที่มีประสิทธิภาพและมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน

MOSHI มั่นใจ Q4 SSSG พุ่ง 20% คอลเลกชันคอลแลปหนุน

MOSHI มั่นใจ Q4 SSSG พุ่ง 20% คอลเลกชันคอลแลปหนุน

          ‘บมจ. โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น’ หรือ MOSHI ผู้นำในธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการออกคอลเลกชัน Collaboration Project ร่วมกับศิลปินและบุคคลที่มีชื่อเสียง ตลอดทั้งปี 2567 ส่งท้ายปี 67 ด้วยคอลเลกชันสุดพิเศษ Jukka and Friend ดันรายได้เติบโตทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 20% สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของสินค้าและกลยุทธ์ทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จ เดินหน้านำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้กว่า 15,000 SKUs มากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา แย้มผลงานไตรมาส 4 ทุบสถิติทำ SSSG (QTD) พุ่งทะยานกว่า 20%           นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจค้าปลีกที่มุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบเป็นเลิศและโดดเด่นด้วยความน่ารัก ประณีต คุณภาพดี ในราคาที่ผู้บริโภคสามารถจับต้องได้ เพื่อส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าในทุกๆ วัน ด้วยการนำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายครอบคลุมทั้งของใช้ในบ้าน ตุ๊กตา เครื่องเขียน เครื่องแต่งกาย กระเป๋า แฟชั่น อุปกรณ์เสริมความงาม เครื่องสำอาง อุปกรณ์ IT ของเล่น ขนม อุปกรณ์สัตว์เลี้ยง และหมวดอื่นๆ ที่นำเสนอสินค้าที่กำลังเป็นที่นิยมตามความต้องการของผู้บริโภค บริษัทฯ มีความโดดเด่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของตลาด มีความคล่องตัวในการปรับตัวตามเทรนด์ พร้อมทั้งมีศักยภาพทางการตลาดที่โดดเด่น ส่งผลให้สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม           ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของผู้บริโภค เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด โดยตลอดทั้งปี MOSHI ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 15,000 รายการ (SKUs) ถือว่ามากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา นับเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายทั้งในด้านรูปแบบและการออกแบบ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ อีกทั้ง บริษัทฯ ยังได้พัฒนา Collection Collaboration Project ออกผลิตภัณฑ์ K-POP Merchandise คาแรกเตอร์ NCT Dream คอลเลกชัน Moshi x NCT DREAM DREAM( )SCAPE และ คาแรกเตอร์ TEN ในคอลเลกชัน “Moshi Moshi x TEN & CANELE” ซึ่งช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้าและเชื่อมโยงกลุ่มเป้าหมายให้ได้รู้สึกใกล้ชิดกับไอดอลที่ตัวเองชื่นชอบมากยิ่งขึ้น           นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ร่วมทำ Collaboration กับ Designer ชาวไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยได้ร่วมกับ ศิลปินครีเอเตอร์แบรนด์ 'Butterclub' (บัตเตอร์คลับ) และ ศิลปินครีเอเตอร์แบรนด์ Fluffy Omelet (ฟลัฟ ฟี่ ออม เล็ต) และได้ทำจัดทำคอลเลกชันสุดพิเศษลาย Hello Kitty ครบรอบ 50 ปี และลายสุดพิเศษของกลุ่มตัวละครซานริโอ้ จัดจำหน่ายเฉพาะในงานนิทรรศการ Hello Kitty Exhibition Celebration of Friendship and Sario Characters the Funtastic Exhibition ณ House of Illumination เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 7 ซึ่งดำเนินการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับพันธมิตร โดยการลงทุนครั้งนี้ ถือเป็นการศึกษาโอกาสทางธุรกิจใหม่และสามารถขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนวัยทำงานที่เป็นแฟนคลับ Hello Kitty ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพ พร้อมกันนี้ ยังได้มีวางจำหน่ายสินค้ากล่องสุ่มลิขสิทธิ์และอาร์ตทอยส์จำนวนมาก เพื่อรองรับความต้องการของตลาด Blind Box และ Model Toys ที่เป็นเทรนด์มาแรงมากในปีนี้           ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MOSHI กล่าวเพิ่มว่า ในช่วงส่งท้ายปี 2567 บริษัทฯ ได้เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ Jukka and Friends ต้าวน้อนจระเข้และแก๊งเพื่อนสุดน่ารัก ซึ่งจะยกขบวนความคิ้วท์มาที่ร้าน Moshi Moshi โดยมีครบทั้ง หมอนรองคอ, ผ้าห่ม, กิ๊บ, พวงกุญแจ, พรม และอีกเพียบ! ราคาเริ่มต้นเพียง 39 บาทเท่านั้น เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป สามารถติดตามรายละเอียดข้อมูลสาขาร้าน Moshi Moshi ที่ร่วมรายการได้ที่ Facebook Fanpage Moshi Moshi: https://www.facebook.com/moshimoshi.jp และ ช่องทางออนไลน์ Shopee: https://shopee.co.th/moshimoshi_officialshop           อย่างไรก็ตาม คอลเลกชันทั้งหมดที่ได้ออกในปีนี้ จะช่วยเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าและสามารถกระตุ้นยอดขาย ผลักดันผลการดำเนินงานในปี 2567 ให้เติบโตได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 20% ขณะเดียวกันอัตราการเติบโตดังกล่าว ยังมาจากการที่ MOSHI มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและความยืดหยุ่น โดยนำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์คุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้ ประกอบกับมีการขยายสาขาให้ครอบคลุมกว่า 60 จังหวัด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลดีต่อเติบโตของยอดขายจากร้านสาขาใหม่และสาขาเดิม โดยเฉพาะการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ในไตรมาส 4/67 ที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น โดยเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% (QTD) อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ พร้อมเดินหน้ายกระดับประสบการณ์ลูกค้า การเพิ่มการรับรู้แบรนด์ผ่านกิจกรรมการตลาด การปรับปรุงประสิทธิภาพต้นทุน การปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับความเป็นเลิศในห่วงโซ่อุปทานและความสามารถทางการตลาดที่แข็งแกร่ง เพื่อรักษาผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอและความสามารถในการแข่งขันในตลาด ขณะเดียวกัน ยังได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ทั้งการกลับมาของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ ส่งผลดีต่อกำลังซื้อให้ฟื้นตัวตามไปด้วย [PR News]

BGRIM ครองตำแหน่งเรตติ้งสูงสุด SET ESG Rating ระดับ AAA

BGRIM ครองตำแหน่งเรตติ้งสูงสุด SET ESG Rating ระดับ AAA

          หุ้นวิชั่น - บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ยังคงเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการติดอันดับสูงสุด AAA ในการประเมิน "SET ESG Ratings" ประจำปี 2567 และอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี (Doing Business with Compassion) โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ บี.กริม ยึดถือมาตลอด 146 ปี ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  “ความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งสร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี (Empowering the World Compassionately) เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคม พร้อมเติบโตเคียงคู่ไปกับประเทศไทยและภูมิภาค ผ่านการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนครอบคลุมมิติเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม ภายใต้หลักบรรษัทภิบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนการเรียนรู้แก่เยาวชนในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ผ่านโครงการ B.Grimm School Camp โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยแห่งประเทศไทย และโครงการอาชีวศึกษาทวิภาคี ซึ่งได้สร้างโอกาสให้เยาชนรวมกว่า 178,794 คน ในการเข้าถึงองค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้โครงการ Save the Tigers ยังเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ บี.กริม เพาเวอร์ในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและฟื้นฟูระบบนิเวศ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ” ในปีนี้ บี.กริม เพาเวอร์ เป็นหนึ่งใน 56 บริษัทที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุด AAA จากทั้งหมด 228 บริษัทจดทะเบียนที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน SET ESG Ratings โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผลประเมินนี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ลงทุนใช้ควบคู่กับข้อมูลอื่น ๆ ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งในขณะเดียวกันปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ยังคงมีบทบาทเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในการส่งเสริมศักยภาพในการเติบโตขององค์กร ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตลอดปีที่ผ่านมา บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับการยอมรับในระดับประเทศและระดับสากลผ่านการจัดอันดับและรางวัลด้านความยั่งยืนจากองค์กรและหน่วยงานชั้นนำด้านความยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ อาทิการจัดอันดับใน S&P Global Sustainability Yearbook 2023 ด้วยคะแนน Top 10% ของกลุ่มบริษัทผู้นำระดับโลก การได้รับอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB จาก MSCI ESG Rating            นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน “FTSE4Good Index Series” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 และได้รับรางวัล Sustainability Disclosure Awards จากสถาบันไทยพัฒน์ ติดต่อกันเป็นปีที่ ตลอดจนได้รับการประเมินโครงการ CGR ในระดับดีเลิศ โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ติดต่อกันเป็นปีที่ 5  ด้วยปรัชญาและความมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี บี.กริม เพาเวอร์ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2593 เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับโลกและคนรุ่นหลังต่อไป

TQM ติดกลุ่มหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings เป็นปีที่ 4 ซ้อน

TQM ติดกลุ่มหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings เป็นปีที่ 4 ซ้อน

        หุ้นวิชั่น - บริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) หรือ TQM ผู้นำในธุรกิจนายหน้าประกันภัยและประกันชีวิต พร้อมด้วยธุรกิจการเงิน และเทคโนโลยีแพลตฟอร์มเพื่อตอบโจทย์ฐานลูกค้า ได้รับการประเมินเป็นหนึ่งในหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ระดับ A โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน แสดงถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ TQM  โดยบริษัทยึดมั่นและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social and Governance หรือ ESG) มาโดยตลอด  ทั้งนี้บริษัทในกลุ่ม ทีคิวเอ็ม อัลฟา มุ่งเน้นเน้นมาตรฐานการดำเนินงานที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธานบริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า "การได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ระดับ A ซึ่งปีนี้เราได้รับการจัดอันดับขึ้นมาจากปีที่แล้วด้วย เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ TQM ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG มาโดยตลอด TQM จะยังคงพัฒนามาตรฐานการกำกับดูแลทุกบริษัทในกลุ่มให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืน ยึดหลักหลักธรรมาภิบาลที่ดี และยืนยันถึงวิสัยทัศน์การดำเนินงานที่โปร่งใส เชื่อถือได้ และยึดมั่นในการพัฒนาที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม”

“มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนการช่วยเหลือผู้ป่วย และอุปกรณ์ทางการแพทย์”

“มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนการช่วยเหลือผู้ป่วย และอุปกรณ์ทางการแพทย์”

         หุ้นวิชั่น - ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ และ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มอบการสนับสนุนศูนย์โปรตอนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อการรักษามะเร็งด้วยอนุภาคโปรตอน เอื้อให้ผู้ป่วยทุกคนได้รับการรักษาที่ดีที่สุดและเข้าถึงง่ายที่สุด   โดยมี รองศาสตราจารย์นายแพทย์ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย รับมอบ มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งสานพลังความร่วมมือกับองค์กรภาคีทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับคนไทย

ท่องเที่ยวคึกคัก โบรกชอบ AOT AWC BJC CPALL

ท่องเที่ยวคึกคัก โบรกชอบ AOT AWC BJC CPALL

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ข้อมูลจากสeนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่า นักท่องเที่ยวช่วงปลายปีเร่งขึ้น 19 ธ.ค. อยู่ที่ 1.25 แสนคน vs ช่วง 1-15 ธ.ค. 24 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.05 แสนคน ขณะที่หนุน YTD (1 ม.ค. -19 ธ.ค. 24) อยู่ที่ 33.96 ล้านคน หากช่วงที่เหลือของปียังอยู่ในโมเมนตัมดังกล่าว นักท่องเที่ยวทั้งปีคาดอยู่ในกรอบตลาดประเมิน 35.5-36 ล้านคน ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นท่องเที่ยว หุ้นอิงภาคบริการ อาทิ AOT AWC BJC CPALL

MASTER ติดอันดับ FTSE SET Shariah Index

MASTER ติดอันดับ FTSE SET Shariah Index

          หุ้นวิชั่น - ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ FTSE SET Index Series มีผล 23 ธ.ค. 2567 นี้ โดย บมจ. มาสเตอร์ สไตล์  หรือ MASTER ติดอันดับ FTSE SET Shariah Index ครองใจด้านความงามด้วยนิยาม Be a Better You ในฐานะผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ผู้นำอันดับต้นของอุตสาหกรรมด้านความงามในไทยและเอเชีย พร้อมก้าวเป็น Regional Company ด้าน CEO "ลภัสรดา เลิศภานุโรจ" เผยหุ้น MASTER เข้าคำนวณดัชนีครั้งนี้ สะท้อนถึงมาตรฐาน-ความน่าเชื่อถือของบริษัท เข้าตานักลงทุน ที่สนใจธุรกิจศัลยกรรมความงาม  นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ ฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่ใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index Series โดย MASTER เป็นหนึ่งในหลักทรัพย์ที่เข้าใหม่ในการเข้าคำนวณ FTSE SET Shariah Index (FSTSH) ตอกย้ำผลการดำเนินงานที่เติบโตและความน่าเชื่อถือของบริษัทในสายตาของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยดัชนีนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป หุ้น MASTER ได้เข้ารับคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี FTSE SET Shariah Index ในครั้งนี้ สะท้อนถึงมาตรฐานและความน่าเชื่อถือของบริษัท ส่งผลให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ด้านธุรกิจความงามในภูมิภาค ด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจนและความเป็นผู้นำในด้านนี้ MASTER ที่พร้อมเดินหน้าขึ้นเป็น Regional Company อย่างมั่นคง ตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางด้านศัลยกรรมความงามในเอเชีย “MASTER ในฐานะผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าคำนวณในดัชนี FTSE SET Shariah Index (FSTSH) ซึ่งการได้รับเลือกในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความโปร่งใสและมาตรฐานของ MASTER ว่ามีความน่าเชื่อถือและมีคุณภาพ ในฐานะองค์กรที่ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และการเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีนี้ช่วยให้ MASTER เป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในตลาดโลก ตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมศัลยกรรมความงาม ด้วยมาตรฐานการบริหารจัดการที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล” นางสาวลภัสรดา กล่าว สำหรับดัชนี FTSE SET Shariah Index เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการลงทุนตามหลักศาสนาอิสลาม ใช้อ้างอิงในการออกผลิตภัณฑ์การเงิน เช่น ETF และกองทุนอิสลาม พร้อมช่วยเพิ่มโอกาสในการพัฒนาสินค้าการเงินใหม่ๆ  ให้ตลาดทุนไทยน่าสนใจในระดับภูมิภาคและสากล ดัชนีนี้คัดเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง (Liquidity screening) กระจายหุ้นดี (Free float adjusted) และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) เหมาะสำหรับการลงทุนแบบยั่งยืน (Sustainability Investment) นางสาวลภัสรดา กล่าวเสริมว่า MASTER กำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค (Regional Company) ในธุรกิจศัลยกรรมความงาม ด้วยจุดโดดเด่น ด้านทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมความงามที่มีประสบการณ์ พร้อมให้บริการลูกค้า ตั้งแต่หัตถการศัลยกรรมเสริมจมูก ศัลยกรรมยกคิ้ว ศัลยกรรมปรับโครงหน้า ดูดไขมัน  การดูแลสุขภาพชาย การดูแลผิวพรรณ และการปลูกผม ทั้งนี้โรงพยาบาลมาสเตอร์พีชได้รับการรับรองภายใต้มาตรฐานโรงพยาบาล ทำให้เป็นที่ไว้วางใจสำหรับลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สอดคล้องกับความนิยมด้านศัลยกรรมความงามในกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในภูมิภาค ตอกย้ำด้วยผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลดำเนินงาน 9 เดือน มีรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาลอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท เติบโต 8.9% จากปี 2566  และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 303 ล้านบาท เติบโต 20% จากปี 2566 และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เป็น 20.21% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ทำได้ 18.40% นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดผลดำเนินงานไตรมาส 4/2567 เป็นช่วงสำคัญที่ผลักดันทั้งรายได้และกำไร โดยคาดเห็นการเติบโตที่โดดเด่นจากลูกค้าต่างชาติ ด้วยแรงหนุนจากลูกค้าต่างประเทศเทศ นำโดย  อินโดนีเซีย เมียนมาร์ กัมพูชา และลาว เข้ามาสนับสนุนการเติบโตของบริษัท โดย MASTER มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน [PR News]

คืบแผนเปิด Entertainment Complex หุ้นไหนเด่น เช็กจ้ะ!

คืบแผนเปิด Entertainment Complex หุ้นไหนเด่น เช็กจ้ะ!

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) รมช. คลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) คาดว่า กระทรวงการคลังจะเสนอ ครม. ราวต้นปี 2025 เราประเมินความคืบหน้าดังกล่าวจะหนุนตลาดเริ่ม เชื่อมั่นต่อโอกาสเติบโตภาคบริการระยะกลางเพิ่มขึ้น ประเมินหุ้นเด่นในธีมเด่นดังกล่าว AWC, BTS, VGI, AOT, BA, MBK ระยะสั้นเน้น BTS ที่กำลังเข้าสู่ช่วง Turnaround เป็นอีกแรงเสริม และ AWC

ชง ครม.สัปดาห์นี้ Easy E-Receipt เช็กด่วน!หุ้นรับอานิสงส์

ชง ครม.สัปดาห์นี้ Easy E-Receipt เช็กด่วน!หุ้นรับอานิสงส์

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) E-Receipt : รมช.คลัง ชง ครม. สัปดาห์นี้ออกมาตรการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษี5 หมื่น เริ่ม 15 ม.ค. – 28 ก.พ. 25 เพิ่มสิทธิใช้จ่ายการท่องเที่ยว คาดเงินหมุนเวียนในระบบ 7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ในวงเงิน 50,000 บาทนั้น แบ่งการใช้จ่ายเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.) การใช้สำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภค วงเงิน 30,000 บาท และเพิ่มเติมสามารถในแพ็คเกจการท่องเที่ยวได้เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเดินทาง การใช้จ่ายการท่องเที่ยว เช่น แพ็คเกจทัวร์และการจองโรงโรม เป็นต้น 2.) การใช้จ่ายผ่านกลุ่มวิสาหกิจชุมชุน และโอท็อป วงเงิน 20,000 บาท เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มเอสเอ็มอีและชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีความเข็งแข็งขึ้น           อิงหลักเกณฑ์ใหม่ เราประเมินผลบวกมาตรการทั่วถึงมากขึ้น ทั้งกลุ่มค้าปลีก เน้นกลุ่มที่มียอดขาย ต่อบิลสูง CRC, HMPRO, BJC, COM7 บัตรเครดิต KTC ท่องเที่ยว เน้น AWC, CENTEL และกลุ่ม ธนาคารที่มีฐานสินเชื่อ SME ต่อสินเชื่อรวมสูง เน้น KBANK, SCB, BBL

STA กำไรปี68โตต่อ แนะ

STA กำไรปี68โตต่อ แนะ "ซื้อ" เคาะพื้นฐาน 22.25 บ.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี –STA มองกําไรปี 2568 โตต่อเนื่อง EUDR หรือ เกณฑ์ EU Deforestation-free Products Regulation การตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบของหลายสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงยางซึ่งเดิมจะเริ่มบังคับใช้ปลายปี 2567 และในต้นเดือน ต.ค. 2567 มีการประกาศเลื่อนการใช้เกณฑ์ EUDR ออกไป 1 ปี เป็นปลายปี 2568 ทางฝ่ายมองการ เลื่อน EUDR เป็น Sentiment เชิงลบต่อ Supply ในระยะสั้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยางล้อแบรนด์ญี่ปุ่น จีน และอินเดีย ชะลอการสั่งซื้อ อย่างไรก็ตามผู้บริหาร STA แจ้งการ เลื่อน EUDR ไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยส าคัญ นอกจากนี้ทางฝ่ ายคาดปริมาณขายยาง EUDR เร่งตัวขึ้นในช่วง 2H68 เพื่อเตรียมส่งมอบวัตถุดิบในปี 2569 ส าหรับ Demand (ยาง EUDR และ Non- EUDR) ในปี 2568 คาดขยายตัวจาก 1) การเร่งซื้อวัตถุดิบเพื่อไปสต๊อกก่อนการบังคับใช้ของกฎEUDR จากลูกค้าผู้ผลิตยางล้อ2) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก 3) การขยายตัวของอุตสาหกรรมขั้นปลาย เช่นอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าในจีนและยุโรป , ถุงมือยาง , อุปกรณ์การแพทย์ และ 4)แนวโน้มราคานheมันต้นปี 2568 คาดทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตยางสังเคราะห์สูง ผู้ผลิตหันมาใช้ยางธรรมชาติมากขึ้น สeหรับสถานการณ์ราคายางพาราในตลาด SICOM ที่ผ่านมา พบว่าราคายางแท่ง (STR20) ปรับตัวสูงขึ้น ทางฝ่ายมีมุมมองเชิงบวกต่อ อุตสาหกรรมยางพาราในปี 2568 เหตุจากราคายางพาราในตลาด SICOM มีแนวโน้มสูงขึ้น ได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการยางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ทางฝ่ ายคาดในปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ1,356 ล้านบาท โต 29.1% y-y มีแรงหนุนจาก 1) แนวโน้มการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคายางพาราคาในตลาด SICOM จากการเร่งตัวของความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ยางแท่ง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์2) การขยายตัวของ Demand ผลิตภัณฑ์น้ำยางข้นในอุตสาหกรรมถุงมือยาง ตามทิศทางความต้องการใช้ถุงมือยางและผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากก ลังการผลิตส่วนเกินตามการเร่งขยายกำลังการผลิตในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดโรค COVID-19 เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา 3) คาดแนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนในช่วง 1H68 คาด Demand เพิ่ม แม้เลื่อน EUDR เกณฑ์ EU Deforestation-free Products Regulation (EUDR) คือ การตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบของหลายสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงยางที่จะต้องมาจากพื้นที่ปลอดจากตัดไม้ทำลายป่าและ ไม่รุกล้าพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งเดิมจะเริ่มบังคับใช้ปลายปี 2567 และในต้นเดือน ต.ค. 2567 มีการประกาศเลื่อนการใช้เกณฑ์ EUDR ออกไป 1 ปี เป็ นปลายปี 2568 ทางฝ่ายมองการเลื่อน EUDR เป็นSentiment เชิงลบต่อ Supply ในระยะสั้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยางล้อแบรนด์ญี่ปุ่ น จีน และอินเดีย ชะลอการสั่งซื้อยาง EUDR อย่างไรก็ตามผู้บริหาร STA แจ้งการเลื่อน EUDR ไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก STA ยังคงมีคำสั่งซื้อยาง EUDR จากผู้ผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่ นอกจากนี้ทางฝ่ายคาดปริมาณขายยาง EUDR เร่งตัวขึ้นในช่วง 2H68 เพื่อเตรียมส่งมอบวัตถุดิบในปี 2569 คาดกำลังการผลิตยาง EUDR ในครึ่งหลังของปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 84,400 ตันต่อไตรมาส หรือ 20% ของกำลังการผลิต ส าหรับ Demand (ยาง EUDR และ Non-EUDR) ในปี 2568 คาดขยายตัวจาก 1) การเร่งซื้อวัตถุดิบเพื่อไปสต๊อกก่อนการบังคับใช้ของกฎ EUDR จากลูกค้าผู้ผลิตยางล้อ 2) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก 3) การขยายตัวของอุตสาหกรรมขั้นปลาย เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าในจีนและยุโรป , ถุงมือยาง , อุปกรณ์การแพทย์ และ 4) แนวโน้มราคาน้ำมันต้นปี 2568 คาดทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตยางสังเคราะห์สูง ผู้ผลิตหันมาใช้ยางธรรมชาติมากขึ้น มองกำไรปี 2568 โตต่อเนื่อง จากสถานการณ์ราคายางพาราในตลาด SICOM ที่ผ่านมา พบว่าราคายางแท่ง (STR20) ปรับตัวสูงขึ้น โดย 11 เดือนแรกของปี 2567 ค่าเฉลี่ยราว 165-170 Cent/kg ทางฝ่ายมีมุมมองเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมยางพาราในปี 2568 เหตุจากราคายางพาราในตลาด SICOM มีแนวโน้มสูงขึ้น ทางฝ่ายประมาณการราคายางพาราในตลาด SICOM ปี 2568 มีค่าเฉลี่ยราว 175-180 Cent/kg โดยปรับตัวสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยของปี 2567 ได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการยางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ต้องใช้ยางส าหรับผลิตยางล้อ (Tires) ซึ่งเติบโตตามการฟื้ นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังสถานการณ์ COVID-19 และการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ราคาพื้นฐานปี 68 ที่ 22.25 บาท/หุ้น อิงวิธี DCF ทางฝ่ายประเมินราคาหุ้น โดยใช้ DCFอยู่ที่ 22.25 บาท เนื่องจากเป็นบริษัทฯ ที่มั่นคงและเป็นบริษัทฯที่ใหญ่ ทางฝ่ายคาดปี 2567 มีกำไรสุทธิ 1,050 ล้านบาท เติบโต 341.7% y-y และคาดในปี 2568บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,356 ล้านบาท โต 29.1% y-y หนุนจากความต้องการยางพาราที่เพิ่มสูงขึ้น ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะชิ้นส่วนยานยนต์และตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV)ทางฝ่ายคาดราคาพื้นฐานปี 68 อยู่ที่ 22.25 บาท/หุ้น ราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาพื้นฐาน คงคำแนะนำ “ซื้อ”

HMPROหลังน้ำท่วม โบรกว่าไง เช็กเลย!

HMPROหลังน้ำท่วม โบรกว่าไง เช็กเลย!

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุว่า HMPRO แนวโน้ม 4Q67 ขยายตัวดี QoQ จาก SSSG ที่ดีขึ้น ผลประกอบการในงวด 3Q67 ดีกว่าคาดเล็กน้อย โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1.4 พันล้านบาท -6% YoY ทำ New low ในรอบ 3 ปีจากรายได้ที่ลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากช่วงฤดูฝนที่ตกหนักกว่าปกติ สถานการณ์น้ำท่วม และกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง ทำให้ SSSG ในห้าง HMPRO อยู่ที่ -5.8% และ MegaHome อยู่ที่ -3.0% รวมถึงได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ค่าธรรมเนียมดอกเบี้ยหลังออกหุ้นกู้ในช่วงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง และการทำโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการขาย ด้านแนวโน้ม 4Q67F คาดว่าจะขยายตัวดี QoQ จาก SSSG ที่ดีขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือเริ่มคลี่คลายและได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ทำให้มีการกลับมาซ่อมแซมที่อยู่อาศัยมากขึ้น ขณะที่ในงวดนี้ไม่ได้รับผลกระทบของการปรับปรุงพื้นที่สาขาพฤกษ์ นอกจากนี้แนวโน้ม GPM มีโอกาสขยับขึ้นแตะระดับ 28% (9M67 อยู่ที่ 26.5%, 3Q67 อยู่ที่ 27.1%) จากการเพิ่มสินค้าของ Own brand และแนวโน้มบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในงวดนี้จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าขึ้น นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดสาขา Hompro และ MegaHome รวม 4 สาขา ส่วนเป้าหมายจะเปิดเพิ่มอีก 8 สาขา รวมถึงจะมีกการเพิ่มสาขา Hybrid (เชื่อมสาขา Hompro และ MegaHome)          ด้าน Bloomberg consensus ประเมินกำไรสุทธิในงวด 4Q67F ที่ 1.77 พันล้านบาท (+23% QoQ, +2% YoY) และงวดปี 67-68F เท่ากับ 6.6 พันล้านบาท +3% YoY และ 7.1 พันล้านบาท +7% YoY ตามลำดับ มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 11.97 บาท โดยในเชิง Valuation ซื้อขายบน FWD PE ที่ 17.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 21.4 เท่า ส่วนในเชิง sentiment คาดรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ได้แก่ Easy E-receipt รอบใหม่ และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ช่วยหนุนกำลังซื้อ และ SSSG ให้ขยายตัว

GPSC คว้า 4 โครงการ รวม 193 MW โดย กกพ. เพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียน

GPSC คว้า 4 โครงการ รวม 193 MW โดย กกพ. เพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียน

         หุ้นวิชั่น - GPSC ผ่านการคัดเลือกโดย กกพ. เป็นผู้พัฒนาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT ของผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน 4  โครงการโดยเป็นกำลังการผลิตกว่า 193 เมกะวัตต์  จากโครงการร่วมทุน เฮลิออส 1 เฮลิออส 2  เฮลิออส 4 และไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ หนุนเพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเข้าระบบ รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เดินหน้าสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศ นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า GPSC ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการประกาศผลการคัดเลือกการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed -in Tariff (FiT) ปี 2565 -2573 จำนวน 4 โครงการ โดยมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 193 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของผู้ผลิตพลังงานพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน โดยมีผู้ที่ได้รับการคัดเลือกทั้งสิ้น จำนวน 64 ราย รวม 1,580 เมกะวัตต์ ที่กำหนดให้มีการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) ตั้งแต่ปี 2569-2573 สำหรับโครงการที่ได้รับการคัดเลือก จาก กกพ. ประกอบด้วย บริษัท เฮลิออส 1 จำกัด (Helios 1) กำลังการผลิต 48.6  เมกะวัตต์, บริษัท เฮลิออส 2  จำกัด (Helios 2) กำลังการผลิต  61.4 เมกะวัตต์ บริษัท เฮลิออส 4 จำกัด (Helios 4) กำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ ซึ่ง GPSC ถือหุ้นร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในสัดส่วน 50% และบริษัทร่วมทุนระหว่าง GPSC และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ภายใต้บริษัท ไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ จำกัด (IRPC-CP) โดย GPSC ถือหุ้นสัดส่วน 51% กำลังการผลิต 74.88 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ Helios 1 และ Helios 2 มีกำหนด SCOD ในปี 2569 และ Helios 4 และ IRPC-CP มีกำหนด SCOD ในปี 2571 นับเป็นความสำเร็จของการเพิ่มโอกาสในการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ที่ GPSC ได้เข้าไปมีส่วนเสริมสร้างเสถียรภาพการจัดหาและพัฒนาพลังงานของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล ที่มีแนวทางการขับเคลื่อนในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) สำหรับโครงการที่ GPSC ได้รับการคัดเลือก เป็นผู้พัฒนาโครงการในครั้งนี้ จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 โดยแต่ละโครงการจะต้องยอมรับเงื่อนไขการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน​ 14​ วัน​ นับถัดจากวันที่ประกาศผลการคัดเลือก​ อย่างไรก็ดี จากการได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของธุรกิจ GPSC ที่มีเป้าหมาย ในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเกินกว่า 50% ของกำลังการผลิตในปี 2573 ซึ่ง GPSC เป็นบริษัทด้านนวัตกรรมพลังงานที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาพลังงานสะอาดที่หลากหลาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้บริษัทฯ มีความพร้อมในการจัดหาพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  และมีส่วนในการสนับสนุนให้ประเทศไทยมีพลังงานสะอาด เพื่อรองรับการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ เพื่อให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)” [PR News]

SSP สุดสตรอง! EXIM BANK รับเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน-ค้ำประกันหุ้นกู้

SSP สุดสตรอง! EXIM BANK รับเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน-ค้ำประกันหุ้นกู้

          หุ้นวิชั่น - SSP สุดสตรอง! EXIM BANK รับเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน-ค้ำประกันหุ้นกู้หนุนความเชื่อมั่น - ช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยเล็งออกหุ้นกู้ค้ำประกัน Green Projects ดันพอร์ตโรงไฟฟ้าเติบโต 2 เท่า            บมจ.เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (SSP) ประกาศความสำเร็จครั้งแรกร่วมกับ EXIM BANK ลงนามสัญญาให้บริการที่ปรึกษาทางการเงิน ครอบคลุมการค้ำประกันหุ้นกู้ (Bond Guarantee) สำหรับการออกหุ้นกู้ค้ำประกัน Green Projects ฟากบิ๊กบอส “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” ระบุความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการเสริมความแข็งแกร่งของแหล่งเงินทุน เพิ่มความเชื่อมั่น ช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ย  เพื่อการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทุกรูปแบบ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมเดินหน้าทยอย COD โครงการโรงไฟฟ้าในมือตั้งแต่ปี 68 ต่อเนื่องยาวอีก 5 ปี หนุนพอร์ตโรงไฟฟ้าเติบโต 2 เท่าตัว           นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SSP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ลงนามกับ EXIM BANK ในสัญญาให้บริการที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ครอบคลุมการค้ำประกันหุ้นกู้ (Bond Guarantee) เพื่อสนับสนุนการลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของ “กลุ่มเสริมสร้าง” ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ จากผู้ค้ำประกันที่มีอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ AAA(tha) ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ทำให้เข้าถึงกลุ่มนักลงทุนสถาบัน ช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับบริษัทฯ ทั้งนี้ นับว่าเป็นโอกาสสำคัญของ SSP ที่มี EXIM BANK ให้การสนับสนุนในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ในบทบาท Green Development Bank ให้คำปรึกษาทางการเงิน จัดหาเงินทุนสำหรับโครงการ Green Projects รวมถึงค้ำประกันหุ้นกู้ (Bond Guarantee) แก่ SSP ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG)  ครอบคลุมในทุกมิติ ขณะที่ กลุ่มเสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น ถือเป็นผู้ประกอบการพลังงานทดแทนชั้นนำของไทยที่มีศักยภาพและมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการในมือที่ดำเนินการอยู่กว่า 283 เมกะวัตต์ ทั้งในและต่างประเทศ และยังมีโครงการใหม่ที่จ่อทยอย COD ตั้งแต่ปี 2568 ในประเทศไทย 170.5 เมกะวัตต์ จากการชนะการประมูลโครงการพลังงานทดแทน PDP 1 รวมไปถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 150 เมกะวัตต์ ในประเทศฟิลิปปินส์ ที่บอร์ดได้อนุมัติการลงทุนไปล่าสุด และโครงการอื่นๆ รวมกว่า 400 MW “ตลอดปี 2567 ถือเป็นปีที่บริษัทฯ มีพัฒนาการการการเติบโตตามเป้าหมาย ตั้งแต่การเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนในโครงการร่มเกล้าวินฟาร์ม ขนาด 45 เมกะวัตต์ ครบ 100% ในเดือนมีนาคม ช่วยสนับสนุนรายได้และช่วยทดแทนการอ่อนตัวลงของรายได้โครงการโซล่าร์ฟาร์ม SPN ที่อยู่ระหว่างการ Repowering ในส่วนของปี 2568 บริษัทฯ จะทยอย COD เริ่มด้วยโซล่าร์ฟาร์มในญี่ปุ่น Leo 2 ขนาด 22 เมกะวัตต์ มั่นใจพอร์ทเติบโตต่อเนื่องมุ่งสู่ 1 GW ภายในปี 2575 “นายวรุตม์ กล่าว

SJWDไฮซีซั่นหนุนโค้งท้าย จับตาปี 68 ติดเครื่องวิ่งต่อ เป้า 16.80 บ.

SJWDไฮซีซั่นหนุนโค้งท้าย จับตาปี 68 ติดเครื่องวิ่งต่อ เป้า 16.80 บ.

หุ้นวิชั่น          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ SJWD (ซื้อ/เป้า 16.80 บาท) 4Q24E เข้าสู่ high season, 2025E ภาพรวมธุรกิจดีขึ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 16.80 บาท อิง 2025E core PER ที่ 29 เท่า (-0.25SD below 5-yr average PER) มองเป็นบวกจาก group conference call (20 ธ.ค.) จาก outlook ที่ดีขึ้นดังนี้: 1) SJWD ประเมินกำไร 4Q24E จะดีขึ้น QoQ เพราะเป็นช่วง high season 2) ธุรกิจห้องเย็นเติบโตดีสุด โดย 4Q24E จะมี occupancy rate เพิ่มขึ้นเป็น > 75% (เทียบ 3Q24 ที่ 72%) ส่วนปี 2025E จะเพิ่มเป็น 72-75% จากปี 2024E ที่ 70-72% โดยจะมีคลังห้องเย็นใหม่เพิ่มอีก 4 แห่ง 3) ธุรกิจคลังสินค้าทั่วไปจะกลับมาดีขึ้นใน 4Q24E หลังคลังใหม่มีลูกค้าใช้บริการเต็ม และปี 2025E จะมีคลังใหม่เพิ่ม 4) ธุรกิจ Oversea จะดีขึ้นต่อเนื่องทั้งจากธุรกิจปัจจุบัน และ SCG Inter Vietnam เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2024 5) กอง REIT คลังสินค้า ALPHA คาดว่าจะเสนอขายได้ราว 3Q25E และ 6) ตั้งเป้า M&A ปีละ 2 ดีล โดยจะเห็นความชัดเจนอย่างน้อย 1 ดีลกลางปี 2025E ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2024E/25E ที่ 851/1,053 ล้านบาท (+9% YoY/+24% YoY) เบื้องต้นเรา ประเมินกำไรปกติ 4Q24E ใกล้เคียง 3Q24 ที่ 256 ล้านบาท อย่างไรก็ตามกำไร 4Q24E จะมี upside โดยเฉพาะจากธุรกิจห้องเย็น, คลังสินค้าทั่วไป, Oversea และ Automotive รวมถึง effective tax rate จะยังต่ำไม่เกิน 10% (3Q24 = 3%, ปกติ 20%) จาก tax benefit ขณะที่ปี 2025E จะกลับมาเติบโตโดดเด่นจากธุรกิจหลักที่ยังขยายตัว, ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่จะยังปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่าย SG&A ได้ดีขึ้นต่อเนื่องจากแผนลดต้นทุน ราคาหุ้น underperform SET -23% ในช่วง 6 เดือน จากกำไรปกติ 1H24 ที่ชะลอตัว และยัง underperform SET -8% ในช่วง 3 เดือน ทั้งนี้เรายังแนะนำซื้อจาก outlook 4Q24E และปี 2025E ที่จะกลับมาสดใสมากขึ้น รวมถึงมี upside จากดีล M&A ที่อยู่ระหว่างการศึกษาอีกหลายดีล ด้านราคาหุ้นน่าสนใจปัจจุบันเทรดที่ 2025E core PER 17.7 เท่า คิดเป็น -1.25SD

KSS คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1380 จุด แนะ GULF, ADVANC, CRC

KSS คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1380 จุด แนะ GULF, ADVANC, CRC

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1375/1380 จุด รับ 1360/1352 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัว ดัชนี S&P500 +1.09% หนุนจากรายงานเงินเฟ้อ PCE พ.ย. 24 ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่ำกว่าตลาดคาด +2.4%y-y, +0.1%m-m บรรเทาความกังวล Fed ให้สัญญาณเข้มงวดวงจรดอกเบี้ยล่าสุด ผสาน สภาสหรัฐผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวทันก่อนสหรัฐต้อง Shutdown โดยรวมช่วยให้ US Bond Yieldอายุ 10 ปีชะลอการขึ้น คือ ปรับลง -4 bps ปิดที่ 4.52 % Dollar Index กลับมาอ่อนค่า 107.8 จุด คาดบวกต่อจิตวิทยาลงทุนตลาดหุ้น Emerging Markets (EM) ที่เผชิญแรงกดดันดังกล่าวตลอดสัปดาห์ก่อน รวมถึง SET ที่เงินบาทกลับมาแข็งค่าสู่ 34.28 +/- บาท ขณะที่สัปดาห์นี้แรงขับเคลื่อนหลักจะมาจากภายใน โดยเฉพาะการอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เม็ดเงินลงทุนระยะยาวเข้ามามากขึ้น หลัง SET ปรับลงมาอยู่ในโซนลงทุน Current และ Forward Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.09% และ 4.82% > AVG. + 1 S.D. ที่ 4.05% ที่มักเป็นจุดกลับตัวกรณีไม่มีวิกฤติ ผสาน จิตวิทยาต่างประเทศเป็นบวก วันนี้คาด SET Rebound ได้ หุ้นนำ คือ กลุ่มที่แรงกดดัน Yield ลดลง (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อHigh Yield) หุ้น Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว) และหุ้นในธีม Entertainment Complex วันนี้แนะนํา GULF, ADVANC, CRC

โค้งท้ายปี มีหวัง?  จับตาตลาดหุ้นไทยขยับ!

โค้งท้ายปี มีหวัง? จับตาตลาดหุ้นไทยขยับ!

         หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส ส่องตลาดหุ้นไทย จากสัปดาห์ที่แล้ว เป็นสัปดาห์ที่ SET INDEX ลงแรงสุดของปี -4.65% ด้วยปัจจัยกดดันเข้ามากระจุกตัวพร้อมกัน ความกังวลการเมืองไทยนอกสภาร้อนแรง, FED ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในปีหน้าจาก 4 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง, และหุ้นใหญ่ที่มีปัจจัยเฉพาะตัวกดดัน เป็นต้น อย่างไรก็ตามสัปดาห์นี้ คาดหวัง SET มีโอกาสรีบาวน์หลังลงมาลึก มี PBV เพียง 1.3 เท่า คาดหวังแรงหนุนจาก EASY E-RECEIPT 5 หมื่นบาทต่อคน และค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าขึ้น หลังตัวเลข PCE สหรัฐออกมาต่ำคาด หนุน FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้าสัปดาห์สุดท้ายของปี เหมือนกับ 3 ปีที่ผ่านมา ส่วนเม็ดเงินจากกองทุนมีโอกาสไหลเข้าน้อยประเมินราว 3 พันล้านบาท ในเดือนนี้ เนื่องจากนักลงทุนเอนเอียงไปซื้อกองทุน THAI ESG ประเภท ตราสารหนี้มากขึ้น ขณะที่เดียวกันยังเห็นการ REDEMPTION จากกองทุน LTF สลับมาซื้อ THAI ESG อีกประเมินจากปัจจัยแวดล้อม SET INDEX มีโอกาสเกิด TECHNICAL REBOUND คาดกรอบ 1360-1380จุด TOP PICK เลือก ERW, CRC และ ADVANC

PTT-PTTEP ลุยลงทุน5ปี ปักธงพลังงานสะอาด

PTT-PTTEP ลุยลงทุน5ปี ปักธงพลังงานสะอาด

           หุ้นวิชั่น - PTT อัดงบ 54,463 ล้านบาท 5 ปี! เดินหน้าขยายท่อก๊าซ  เสริมแกร่งความมั่นคงพลังงาน ศึกษาและแสวงหาโอกาสในการขยายการลงทุน ด้าน  PTTEP ประกาศแผนลงทุน 5 ปี (2568-2572) วงเงินรวม 1.74 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เน้นขยายธุรกิจพลังงานสะอาด พลังงานลมนอกชายฝั่ง ไฮโดรเจน และเทคโนโลยี CCS มุ่งสู่เป้าหมายปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593            นางสาวภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)หรือ PTT รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (“ปตท.”) ขอเรียนให้ทราบว่า คณะกรรมการ ปตท. ในการประชุมครั้งที่ 12/2567 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติงบลงทุน 5 ปี (ปี 2568 - 2572) ของ ปตท. และบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น ร้อยละ 100 วงเงินรวม 54,463 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้            ปตท. มีการลงทุนในธุรกิจหลัก (Core Business) เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานควบคู่กับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ ปตท. “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” โดยเงินลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 64 ของงบลงทุน 5 ปี            โครงการหลักที่สำคัญ ได้แก่ โครงการท่อส่งก๊าซฯ บางปะกง – โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7รวมถึงการลงทุนเพื่อแสวงหาโอกาสในการขยายธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศอย่างครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน            ขณะเดียวกัน ปตท. ยังมีการลงทุนผ่านบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น ร้อยละ 100 เช่นการลงทุนของบริษัทในกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ การลงทุนในธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และ โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3            นอกจากนี้ ปตท. ยังคงศึกษาและแสวงหาโอกาสในการขยายการลงทุนในอนาคต เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันตามวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของกลุ่ม ปตท.            ด้านนางชนมาศ ศาสนนันทน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ขอแจ้งแผนการดําเนินงานประจําปี 2568 ของ ปตท.สผ. และบริษัทย่อย (ปตท.สผ.) ภายใต้แผนกลยุทธ์ Drive-Decarbonize-Diversify เพื่อขับเคลื่อนและเพิ่มมูลค่าธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียม และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 รวมถึงขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) โดยจัดสรรงบประมาณประจําปี 2568 รวมทั้งสิ้น 7,819 ล้านดอลลาร์ สรอ. ประกอบด้วยรายจ่ายลงทุน (Capital Expenditure) จํานวน 5,299 ล้านดอลลาร์ สรอ. และรายจ่ายดําเนินงาน (Operating Expenditure) จํานวน 2,520 ล้านดอลลาร์ สรอ.            เป้าหมายการดําเนินงานของบริษัทในปี 2568 ยังคงมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไทย ควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งและขยายการลงทุนในธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียมในต่างประเทศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยให้ความสําคัญกับแผนงานหลัก ดังนี้ 1.เพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมจากโครงการปัจจุบัน โครงการผลิตหลักที่สําคัญเพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทย ได้แก่ โครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ) โครงการจี 2/61 (แหล่งบงกช) โครงการอาทิตย์ โครงการเอส 1 โครงการคอนแทร็ค 4 โครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย โครงการซอติก้า และ โครงการยาดานา ในประเทศเมียนมา ที่มีการนําก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้เข้ามาใช้ในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีโครงการผลิตหลักในต่างประเทศที่สําคัญ เช่น โครงการในประเทศมาเลเซีย โครงการในประเทศโอมาน โดยได้จัดสรรรายจ่ายลงทุนจํานวน 3,676 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อสนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว            นอกจากนี้ ยังมีแผนงานสําหรับกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยครอบคลุม Scope 1 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง) และ Scope 2 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน) ในธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียมที่ ปตท.สผ. เป็นผู้ดําเนินการ (Operational Control) พร้อมทั้งกําหนดเป้าหมายระหว่างทาง (Interim Target) ในการลดปริมาณความเข้มของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emission Intensity) จากปีฐาน 2563 ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 และร้อยละ 50 ภายในปี 2573 และ 2583 ตามลําดับ โดยได้ตั้งงบประมาณสําหรับกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2568 ทั้งสิ้นจํานวน 77 ล้านดอลลาร์ สรอ. 2.เร่งผลักดันโครงการหลักที่อยู่ในระยะพัฒนา (Development Phase) โครงการหลักที่อยู่ในระยะพัฒนา ได้แก่ โครงการสัมปทานกาชา โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 โครงการโมซัมบิก แอเรีย 1 รวมถึงโครงการพัฒนาในประเทศมาเลเซีย เช่น โครงการมาเลเซีย เอสเค405บี โครงการมาเลเซีย เอสเค417 โครงการมาเลเซีย เอสเค438 โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุนเป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 1,464 ล้านดอลลาร์ สรอ. 3.เร่งดำเนินการสำรวจในโครงการปัจจุบัน ทั้งโครงการที่อยู่ในระยะสำรวจ โครงการในระยะพัฒนา รวมถึงโครงการที่ดำเนินการผลิตแล้ว เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุนจำนวน 127 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับการเจาะหลุมสำรวจและประเมินผลของโครงการในประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และประเทศเมียนมา            ปตท.สผ. ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยได้เริ่มดำเนินการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน จึงได้สำรองงบประมาณ 5 ปี (2568-2572) เพิ่มเติมจากงบประมาณข้างต้นอีกจำนวน 1,747 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อรองรับการขยายการลงทุนในธุรกิจ พลังงานลมนอกชายฝั่ง, ธุรกิจดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS as a Service), ธุรกิจเชื้อเพลิงไฮโดรเจน และการลงทุนในธุรกิจและเทคโนโลยีผ่านบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานในรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC)            ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมขององค์กรในช่วงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำในอนาคต พร้อมกับการดูแลสังคมและชุมชนโดยรอบพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัท เพื่อสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายต่อไป

[Vision Exclusive] ขนมขบเคี้ยวไทย 5 หมื่นล. SNNP เจ้าตลาด-เป้า 20.8 บ.

[Vision Exclusive] ขนมขบเคี้ยวไทย 5 หมื่นล. SNNP เจ้าตลาด-เป้า 20.8 บ.

           หุ้นวิชั่น - KResearch ส่องยอดขายขนมขบเคี้ยว 50,400 ล้านบาท หรือโต 2% ชี้ปังกรอบ - บิสกิตมาแรงค้าปลีกหนุน ฟากผู้บริหาร SNNP "วิโรจน์ วชิรเดชกุล" ฉายภาพธุรกิจปี 68 ติดเครื่องวิ่งต่อ เล็งอัดงบการตลาดกระตุ้นยอดซื้อ โบรกลุ้นโค้งท้ายกลับมา New High เคาะราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 68 ที่ 20.80 บาท            ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) ปี 2568 ยอดขายขนมขบเคี้ยวไทยคาดอยู่ที่ 50,400 ล้านบาท หรือโต 2% ชะลอจากปี 2567 ที่โต 6% โดยกลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด ซึ่งเป็นตลาดหลักจะโตได้ไม่มากที่ราว 1.4% ตามจำนวนผู้เดินทางท่องเที่ยวและจำนวนผู้ใช้การสตรีมวิดีโอที่เติบโตชะลอ รวมถึงจำนวนอีเวนต์ใหญ่ที่ลดลง            ขณะที่ยอดขายขนมขบเคี้ยวกลุ่มที่เติบโตได้สูงกว่าภาพรวมตลาดในปี 2568 คือ กลุ่มขนมปังกรอบและบิสกิตที่โต 2.7% แรงหนุนจากความเป็นเมืองและจำนวนร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่เพิ่มขึ้น และกลุ่มขนมขบเคี้ยวที่ทำจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช คาดโต 2.4% จากเทรนด์การบริโภคที่ดูแลสุขภาพมากขึ้น            ตลาดขนมขบเคี้ยวไทยแบ่งเป็น 3 กลุ่มตามยอดขาย คือ กลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายมากที่สุดราว 51% ตามมาด้วยกลุ่มขนมปังกรอบและบิสกิต 36% และกลุ่มขนมที่ทำจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช 13%            ผู้บริโภคมักจะบริโภคขนมขบเคี้ยวในช่วงเวลาทำกิจกรรมท่องเที่ยวหรือสังสรรค์ร่วมกับผู้อื่นเป็นหลัก หรือ “We Time” คิดเป็น 54% ของเวลาทั้งหมดที่บริโภคขนมขบเคี้ยว และอีก 46% จะบริโภคในเวลาที่ใช้อยู๋กับตัวเองหรือ “Me Time”            ตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศมีการแข่งขันสูง ทั้งจากจำนวนผู้เล่นมากรายและสินค้าที่เข้ามาเพิ่มเติม โดยปัจจุบันผู้เล่นในตลาดขนมขบเคี้ยวของไทยมีจำนวนมากกว่า 590 ราย (เฉพาะนิติบุคคลจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า) และด้วยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ของตลาดขนมขบเคี้ยวที่สูงราว 20-35% ส่วนหนึ่งมาจากราคาวัตถุดิบที่เป็นสินค้าเกษตรที่มีราคาไม่สูง ทำให้สร้างมูลค่าเพิ่มได้ดี จึงจูงใจให้มีผู้เล่นเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก และทำให้ตลาดขนมขบเคี้ยวมีการแข่งขันรุนแรง (Red Ocean)            ทั้งนี้ การแข่งขันที่รุนแรงมาจากผู้เล่นรายใหญ่ด้วยกันเองเป็นหลัก เนื่องจากรายใหญ่มี Economy of Scale รวมถึงมีสินค้าหมุนเวียนตลอด ไม่อยู่นิ่ง มีการคิดค้นนวัตกรรม/ความสร้างสรรค์ ด้วยการออก รสชาติหรือไลน์โปรดักส์ใหม่ๆ แม้ผลิตภัณฑ์เดิมจะยังได้รับความนิยม แต่การสร้างสีสันให้แบรนด์และตลาดยังเป็นแรงหนุนสำคัญของธุรกิจ อีกทั้งผู้เล่นรายใหญ่ยังบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายด้านการตลาดได้ จึงสามารถจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายได้อย่างสม่ำเสมอ นำไปสู่การรับรู้แบรนด์ของผู้บริโภคและหนุนให้เกิดการบริโภค ขณะที่ผู้เล่นรายเล็กจะแข่งขันในตลาดได้ยากกว่า แม้ผู้เล่นรายใหญ่จะครองตลาดได้ แต่ในแง่การแข่งขันของผลิตภัณฑ์ก็ไม่ง่ายนัก เพราะต้องแข่งขันกันเองระหว่างผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวที่มีความหลากหลาย และยังต้องแข่งข้ามผลิตภัณฑ์ด้วยอย่างอาหารทานเล่นอื่นในตลาด เช่น ขนมหวาน ติ่มซ่า เฟรนช์ฟรายส์ ลูกชิ้น เป็นต้น ส่งผลให้ตลาดขนมขบเคี้ยวเติบโตได้จำกัดตามการเพิ่มความถี่ในการบริโภคที่ทำได้ยาก ทำให้ผู้เล่นบางรายมักทำการตลาดเพื่อดึงดูดและสร้างสีสันในการกระตุ้นยอดขายโดยเฉพาะในกลุ่มเป้าหมายหลักอย่างวัยรุ่น เช่น ออกของสะสมอย่างการ์ดเกม ซึ่งเป็นที่นิยม รวมถึงเหรียญ สติกเกอร์ และตุ๊กตา เป็นต้น            ขณะที่ขนมขบเคี้ยวนำเข้าที่หลากหลายรวมถึงอาหารฟาสต์ฟู้ดสัญชาติจีนและเกาหลีอย่างไก่ทอดที่เป็นที่นิยม ก็เข้ามาตีตลาดไทยเพิ่มขึ้น จะยิ่งทำให้การแข่งขันของตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศรุนแรงขึ้นอีก ทั้งนี้ ขนมขบเคี้ยวนำเข้าแม้จะมีปริมาณไม่มาก แต่ในปี 2563-2566 พบว่า ปริมาณการนำเข้าขนมปังกรอบและเวเฟอร์เติบโตเฉลี่ยกว่า 8% ต่อปี และในช่วง 10 เดือนแรกปี 2567 โตถึง 11% ส่วนการส่งออกขนมขบเคี้ยวไทยที่มีสัดส่วนปริมาณราว 18% ก็มีความเสี่ยง โดยในปี 2564-2566 ปริมาณส่งออกขนมขบเคี้ยวไทยหดตัวเฉลี่ย 0.5% ต่อปี และแม้ในช่วง 10 เดือนแรกปี 2567 จะพลิกโตเป็นบวกที่ 7% แต่ไปข้างหน้าก็ยังต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะในตลาดจีน ที่มีทั้งแบรนด์ขนมเก่าและใหม่ในตลาดจำนวนมาก อีกทั้งยังมีราคาถูก จะเป็นปัจจัยกดดันการส่งออกขนมขบเคี้ยวของไทย            กลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด เป็นตลาดใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยมันฝรั่งทอดกรอบและขนมขบเคี้ยวประเภทต่างๆ โดยในปี 2568 คาดว่ายอดขายขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดจะขยายตัวที่ 1.4% ชะลอจาก 4.2% ในปี 2567 (รูปที่ 5) ทั้งนี้ แม้จะเป็นกลุ่มที่เติบโตได้น้อยกว่าภาพรวมตลาด แต่ด้วยขนมกลุ่มนี้มีลักษณะของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง (Brand Power) หรือพลังของแบรนด์ที่ทำให้ผู้บริโภคมีความภักดีต่อแบรนด์สูง จึงช่วยหนุนและรักษาระดับยอดขายให้ยังครองส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่ที่สุดในตลาดขนมขบเคี้ยว สะท้อนจากมันฝรั่งทอดกรอบของผู้เล่นรายใหญ่ ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นสุดยอดแบรนด์ทรงพลังที่สุดในกลุ่มขนมขบเคี้ยวในงาน The Most Powerful Brands of Thailand 2567 กลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด            คาดว่าจะมียอดขายเติบโตในปี 2568 ตามการขยายตัวของจำนวนผู้เดินทางท่องเที่ยวในไทยทั้งคนไทยและคนต่างชาติ แต่คงมีแนวโน้มเติบโตช้าลงจากฐานที่สูงในปี 2567 ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 จำนวนคนไทยเดินทางท่องเที่ยวเติบโตที่ 9.4% ขณะที่จำนวนคนต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวเติบโตสูงถึง 22.9% โดยมีค่าใช้จ่ายในหมวดอาหารและเครื่องดื่มซึ่งรวมถึงขนมขบเคี้ยวของคนต่างชาติคิดเป็น 23% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)            นอกจากนี้ ผู้บริโภคมักนิยมบริโภคขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดไปพร้อมกับการสตรีมวิดีโอและการมีอีเวนต์ใหญ่ ซึ่งในปี 2568 จำนวนผู้ใช้การสตรีมวิดีโอของไทยเพื่อรับชมภาพยนตร์ รายการทีวี วิดีโอ YouTube และการถ่ายทอดสด เช่น กีฬา เพลง เป็นต้น มีแนวโน้มเติบโตแต่คงชะลอลง ประกอบกับในอีกด้านหนึ่ง ด้วยจำนวนอีเวนต์ใหญ่ในปี 2568 ที่ลดลงเหลือเพียงกีฬาซีเกมส์ช่วงปลายปี เทียบกับปี 2567 ที่มีทั้งกีฬาโอลิมปิกและฟุตบอลยูโร ทำให้ภาพรวมการบริโภคขนมขบเคี้ยวกลุ่มนี้เติบโตได้ไม่มาก ทั้งนี้ ในช่วงที่มีการจัดฟุตบอลโลกจะช่วยหนุนการบริโภคขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดของไทยให้เพิ่มขึ้นราว 2 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันที่ไม่มีการจัดฟุตบอลโลก            อย่างไรก็ตาม ในส่วนของวัตถุดิบซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตหลักราว 30% ของต้นทุนการผลิตรวม โดยในปี 2568 ราคาวัตถุดิบหลักอย่างมันฝรั่งมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนของธุรกิจเพิ่มขึ้น จึงลดโอกาสในการทำการตลาดของธุรกิจเพื่อกระตุ้นยอดขาย เช่น การทำโปรโมชั่น (รางวัล ส่วนลด) สะท้อนจากค่าใช้จ่ายในการขายที่ลดลง ซึ่งสวนทางกับราคาวัตถุดิบทำให้การแข่งขันด้านราคาทำได้อย่างจำกัด กลุ่มขนมปังกรอบและบิสกิต            ประกอบด้วยขนมปังกรอบและบิสกิต (แครกเกอร์ คุกกี้ และเวเฟอร์) โดยในปี 2568 คาดว่ายอดขายขนมปังกรอบและบิสกิตจะขยายตัวที่ 2.7% ชะลอจาก 8.7% ในปี 2567 ขนมปังกรอบและบิสกิตคาดว่าจะมียอดขายเติบโตในปี 2568 จากแรงหนุนของความเป็นเมือง ซึ่งมีความเร่งรีบในการบริโภคเพื่อรองท้องหรือทดแทนมื้ออาหารหลัก สะท้อนผ่านจำนวนคนในเมืองของไทยที่เพิ่มขึ้นในปี 2563-2566 เป็น 37.6 ล้านคน จากปี 2559-2562 ที่ 35.2 ล้านคน (ข้อมูลจาก Our World in Data)สอดคล้องกับปริมาณขายขนมปังกรอบและแครกเกอร์ที่เพิ่มขึ้นเป็น 8.5 หมื่นตัน จาก 8.3 หมื่นตัน            นอกจากนี้ ผู้บริโภคไทยมักซื้อขนมปังกรอบและบิสกิตผ่านช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่เป็นหลัก โดยเฉพาะในไฮเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อที่มีสัดส่วนสูงถึง 56% ของช่องทางขายทั้งหมด            อย่างไรก็ดี ตลาดขนมปังกรอบและบิสกิตจะได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบหลักบางรายการในปี 2568 ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก จากการคาดการณ์ของ World Bank โดยเฉพาะราคาน้ำตาล คาดเพิ่มขึ้น 2.2% และราคาเนยคาดเพิ่มขึ้น 6.4% ซึ่งจะกระทบทิศทางการทำการตลาดของธุรกิจคล้ายกับกรณีของกลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดดังกล่าวข้างต้น กลุ่มขนมที่ทำมาจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช            ประกอบด้วยขนมขบเคี้ยวที่ทำมาจากสาหร่าย เนื้อปลา/ปลาหมึก/กุ้ง/หมู/ไก่ และถั่ว โดยในปี 2568 คาดว่ายอดขายขนมที่ทำมาจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช จะขยายตัวที่ 2.4% ชะลอจาก 5.6% ในปี 2567            ขนมที่ทำมาจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช คาดจะมียอดขายเติบโตในปี 2568 จากแรงหนุนของกระแสรักสุขภาพมากขึ้น เช่น บริโภคโปรตีนมากขึ้น รวมถึงการบริโภคโซเดียมที่ลดลง ซึ่งแม้ขนมกลุ่มสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืชจะมีปริมาณโซเดียมใกล้เคียงกับกลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดในน้ำหนักที่เท่ากัน แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการขนมกลุ่มสาหร่ายรายใหญ่ได้ลดโซเดียมลง 50% ขณะที่ขนมกลุ่มมันฝรั่งทอดรายใหญ่ลดโซเดียมลง 30% ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนหันมาบริโภคขนมกลุ่มสาหร่ายทดแทนมากขึ้น            อย่างไรก็ตาม ความต้องการขนมขบเคี้ยวที่ทำจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืชของคนต่างชาติที่ซื้อเป็นของฝาก โดยเฉพาะสาหร่ายทอดที่เป็นของฝากยอดนิยม จะมีแนวโน้มเติบโตช้าลงตามจำนวนคนต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวไทยที่โตชะลอ โดยมีค่าใช้จ่ายในการซื้อของฝาก ซึ่งรวมถึงขนมขบเคี้ยวของคนต่างชาติราว 18% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) ขณะที่ผู้ประกอบการในห่วงโซ่ขนมขบเคี้ยวไทยอยู่ที่ในตลาดหลักทรัพย์ ประกอบไปด้วย BJC CHAO CH KCG NSL PM SNP SNNP SORKON TKN TU            นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้นำด้านเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวในประเทศไทย เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า คาดว่าตลาดขนมขบเคี้ยวในปี 2568 จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 โดยประมาณ 3-5% ขึ้นอยู่กับแต่ละกลุ่มสินค้า ขณะที่ภาพรวมในปี 2567 SNNP ยังคงเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในกลุ่มเจเล่พร้อมดื่ม และเบนโตะ ซึ่ง SNNP มีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ในกลุ่มเบนโตะสูงถึง 70% ส่วนกลุ่มเจเล่พร้อมดื่ม บริษัทสามารถผลักดันการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ            สำหรับแผนการตลาดในการจำหน่ายขนมขบเคี้ยวในปี 2568 บริษัทจะดำเนินการตลาดแต่ละแบรนด์เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 โดยทั่วไป สินค้าที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงหรือได้รับความนิยมมักจะต้องใช้งบประมาณในการโฆษณาเพื่อส่งเสริมการตลาดและกระตุ้นยอดขาย ขณะที่กลยุทธ์การตลาดในแต่ละกลุ่มสินค้าอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการเจาะตลาดและกลุ่มเป้าหมายของสินค้านั้น ๆ เบื้องต้นบริษัทวางงบการตลาดปี 2568 ไว้ไม่เกิน 3% ของยอดขาย            บริษัทคาดว่าเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 จะอยู่ในช่วงตัวเลข 2 หลัก (Two-Digit Growth) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนการตลาดเพื่อผลักดันยอดขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง            ด้านบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาด SNNP กำไรใน 4Q67 คาดกลับมาทำ New High อีกครั้ง            คาดกำไรปกติใน 4Q67 ของ SNNP เบื้องต้นอยู่ในกรอบ 170-180 ล้านบาท กลับมาทำ New High ได้อีกครั้ง หนุนจาก 1) การเข้าสู่ช่วง High season ของทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงการได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐฯ ที่เข้ามาช่วยหนุนกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงท้ายปี 2) คำสั่งซื้อในเวียดนามที่คาดจะสามารถเห็นการฟื้นตัว QoQ ได้ หนุนจากการปรับโครงสร้างการกระจายสินค้าที่เสร็จสิ้นไปแล้วกว่า 80% ส่งผลให้ผู้จัดจำหน่ายบางส่วนเริ่มกลับมาสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น แต่อาจยังลดลงหากเทียบ YoY เนื่องจากกำลังการผลิตในปัจจุบันที่จำกัด 3) การรับรู้ผลของการเพิ่มผู้จัดจำหน่ายรายที่ 2 ในฟิลิปปินส์เต็มไตรมาส ขณะที่ GPM คาดสูงขึ้นต่อเนื่อง QoQ หนุนจาก U-rate ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากทั้งโรงงานในไทยและเวียดนาม            นอกจากนี้ในปัจจุบันบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้จัดจำหน่ายรายที่ 3 ในฟิลิปปินส์ที่มีความชำนาญด้านการจัดจำหน่ายในร้าน Traditional Trade ซึ่งทางผู้บริหารให้ข้อมูลว่าจะสามารถเซ็นสัญญากับผู้จัดจำหน่ายดังกล่าวได้ภายใน 4Q67-1Q68 ซึ่งเป็น Upside ที่ยังไม่รวมอยู่ในประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์            คาดจะสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง YoY หนุนจาก 1) ยอดคำสั่งซื้อจากเวียดนามที่คาดกลับเข้าสู่ระดับปกติใน 1Q68 จากการเพิ่มการทำงานของเครื่องจักรเป็น 2 กะ (16 ชม.) จากในช่วง 4Q67 ที่ 1 กะ (8 ชม.) และ 2) การรับรู้ผลของการเพิ่มผู้จัดจำหน่ายรายที่ 3 เต็มไตรมาส รวมถึง GPM ที่คาดจะปรับตัวสูงขึ้นต่อ QoQ จาก U-rate ของโรงงานในเวียดนามที่ดีขึ้นและ Product Mix ที่ดีขึ้นเนื่องจากอัตรากำไรของเวียดนามสูงกว่าไทย            ฝ่ายวิเคราะห์คงประมาณการกำไรปกติปี 2567 ที่ 667 ล้านบาท (+4.8% YoY) และคาดว่ากำไรจะยังสามารถเติบโตได้ต่อในปี 2568 เป็น 772 ล้านบาท (+15.8% YoY) โดยเป็นผลมาจาก 1) ยอดขายในเวียดนามที่กลับเติบโตจากการปรับกลยุทธ์การกระจายสินค้าที่สิ้นสุดลง รวมถึงการเพิ่มระยะเวลาการผลิตของเครื่องจักรตั้งแต่ 1Q68 2) ยอดขายในฟิลิปปินส์ที่เติบโตจากการรับรู้ผลของการเพิ่มผู้จัดจำหน่ายเต็มปี และ 3) ยอดขายในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการออกสินค้าใหม่มากขึ้น            คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ที่ 20.80 บาท อิง PE ที่ 22.0 เท่า โดยราคาหุ้นในปัจจุบันซื้อขายบน PER67-68 เพียง 16.8 เท่า และ 14.6 เท่า ตามลำดับ จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนปัจจัยลบจากยอดขายในเวียดนามที่อ่อนแอไปมากแล้ว เชิงกลยุทธ์แนะนำสะสม

วิเคราะห์ผู้เล่นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์: HANA [HoonVision x FynCorp]

วิเคราะห์ผู้เล่นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์: HANA [HoonVision x FynCorp]

เซมิคอนดักเตอร์ในไทย เริ่มก้าวสู่อุตสาหกรรมต้นน้ำ           หากพูดถึงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนสำคัญในอุปกรณ์ คงหนีไม่พ้น เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นแผงวงจรควบคุมและประมวลผลข้อมูลในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกือบทุกชนิด ปัจจุบัน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โดยเฉพาะการผลิตชิป ถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของโลกที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยมูลค่าตลาดที่ถูกคาดว่าจะสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2573 ตามความต้องการใช้ AI, Data Center, IoT, EV, เครื่องมือแพทย์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งต้องใช้หน่วยประมวลผลที่ทำจากเซมิคอนดักเตอร์เป็นส่วนประกอบหลัก           หากดูจากห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในส่วนกลางน้ำ (Midstream) และปลายน้ำ (Downstream) ซึ่งจะเป็นขั้นตอนการผลิตชิ้นส่วนประกอบ (components) และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (finished goods) เช่น การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ (OSAT) การผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) โดยในปี 2566 BOI รายงาน ไทยมียอดส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 2.5 ล้านล้านบาท หรือ 25% ของการส่งออกทั้งหมด โดยเป็นมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์ เช่น วงจรรวม (IC) เซมิคอนดักเตอร์ไดโอด และอุปกรณ์ต่างๆ มูลค่า 5.1 แสนล้านบาท           นอกจากนี้ การขอรับส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นอย่างมากในไทยช่วง 2 ปีมานี้ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา จีน ยุโรป ไต้หวัน และญี่ป่น จนในปี 2567 รัฐบาลได้ประกาศ นโยบายสส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ (บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์) ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มที่สำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในประเทศ           บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ ตั้งเป้าดึงเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปี (2568-2572) เพื่อยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงในภูมิภาค ซึ่งในเดือนธันวาคม 2567 บริษัท ยูนิค อินทิเกรตเต็ด เทคโนโลยี ผู้ผลิตอุปกรณ์และโมดูลสำหรับเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับต้นน้ำ ภายใต้กลุ่ม Foxsemicon Integrated Technology Inc. (FITI) ในเครือของ Foxconn เข้ามาตั้งฐานการผลิตแห่งที่ 4 ของโลกในไทย ด้วยเงินลงทุนในเฟสแรก 10,500 ล้านบาท โดยตั้งโรงงาน 2 แห่งที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และนิคมอมตะซิตี้ ระยอง ซึ่งบริษัทมีโรงงานอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา           ดังนั้น การที่ FITI เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย จะเป็นขั้นตอนที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดในห่วงโซ่อุปทาน เช่น การออกแบบวงจรรวม (IC Design) และการผลิตแผ่นเวเฟอร์ (Wafer Fabrication) และจะเป็นโอกาสในการสร้างพันธมิตรที่ดีของผู้เล่นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในไทยได้ อีกทั้ง ในปี 2567 นี้ ผู้เล่นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่าง HANA ได้มีแผนร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตชิป (Wafer Fabrication) แห่งแรกในไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือเป็นจุดสำคัญที่ไทยจะเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับต้นน้ำ HANA: 1 ใน 50 บริษัทรับจ้างผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลก           บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) (HANA) ซึ่งบริษัทแม่ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2521 และได้เข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 บริษัทและบริษัทย่อยให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร (Electronics Manufacturing Service: EMS) แก่ลูกค้า (Original Equipment Manufacturer: OEM) ผ่านฐานการผลิตรวมทั้งสิ้น 7 แห่ง ตั้งอยู่ที่ประเทศไทย จีน สหรัฐอเมริกา กัมพูชา และเกาหลี ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักของ HANA แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ การผลิตและประกอบแผงวงจร “PCBA” การผลิตและประกอบและทดสอบวงจร “IC” และการผลิตและประกอบ RFID และ Liquid Crystal on Silicon “LCOS”           1) ผลิตภัณฑ์ประเภทแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCBA) - Printed Circuit Board Assembly Source: 56-1 One Report 2566           PCBA เป็นการประกอบแผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ลงบนแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่เป็นฐานสำหรับยึดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเชื่อมต่อวงจรให้แผ่นวงจรไฟฟ้าให้สามารถทำงานได้ โดย HANA มีโรงงานผลิต PCBA 3 แห่ง อยู่ที่จังหวัดลำพูน ประเทศไทย ที่เมืองเจียซิง ประเทศจีน และจังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา 2) ผลิตและทดสอบการทำงานของผลิตภัณฑ์แผงวงจรไฟฟ้ารวม (IC Assembly) Source: 56-1 One Report 2566           แผงวงจรไฟฟ้ารวม (IC) คือ สารกึ่งตัวนำที่ประกอบด้วยส่วนประกอบวงจร เช่น ตัวต้านทาน (Resistor) ตัวเก็บประจุตัวเหนี่ยวนำ ทรานซิสเตอร์ ไดโอด เป็นต้น ซึ่งเชื่อมต่อด้วยสายไฟวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการพัฒนาขนาดที่เล็กลง โดยโรงงานประกอบ IC ของบริษัทมี 3 แห่ง ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย เมืองเจียซิง ประเทศจีน และที่จังหวัดชุงชองบุกโด ประเทศเกาหลีใต้ 3) การผลิตและประกอบ RFID Source: 56-1 One Report 2566           RFID หรือ Radio Frequency Identification คือ อุปกรณ์แสดงตำแหน่งหรือระบุตัวตน ด้วยการอ่านรหัสคลื่นวิทยุ ใช้สำหรับรับส่งข้อมูลอย่างรวดเร็วแบบไร้สาย ส่วน Microdisplay เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการเปลี่ยนสัญญาณทางไฟฟ้าเป็นสัญญาณภาพที่มีความละเอียดสูง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ LCoS (Liquid Crystal on Silicon) อุปกรณ์ MEMS หรือ HTP (High-Temperature Polysilicon) ซึ่งใช้เป็นชิ้นส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ เช่น แว่นตาแสดงภาพเหมือน (Virtual and Augmented Reality Goggles) เครื่องฉายภาพ (Multimedia Projector) เป็นต้น โดยโรงงานผลิตตั้งอยู่ที่ เมืองทวินส์เบิร์กและโซลอน รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา โครงสร้างรายได้           บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ PCBA เป็นหลัก คิดเป็น 61% ของรายได้จากการขายทั้งหมดในปี 2566 ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์ IC Assembly หรือ 33% ส่วน RFID & Microdisplay มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 6% ซึ่งแบ่งรายได้ตามประเทศที่ตั้งหน่วยการผลิตได้ตามรูปด้านล่าง Source: 56-1 One Report 2566 สภาพตลาดและการแข่งขัน           HANA ถือว่าเป็น 1 ใน 50 บริษัทรับจ้างผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลก ซึ่งมีเพียงไม่กี่ผู้เล่นในไทยที่ทำธุรกิจเช่นนี้ แต่ถ้าดูผู้เล่นในไทยที่ผลิต PCBA จะเป็น SMT, Benchmark, Fabrinet และ SVI ส่วนคู่แข่งในด้าน IC Assembly ได้แก่ UTAC และ SMT ขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่นอกประเทศที่ให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร อย่างเช่น IMI, Flextronics, Solectron, Plexus และ Pemstar นี้ บริษัทหลีกเลี่ยงที่จะแข่งขันโดยตรง โดยเน้นการรับจ้างผลิตและประกอบชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์ประเภทไมโครอิเล็กทรอนิกส์ การร่วมทุนกับกลุ่ม ปตท. ลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งแรกในไทยภายใน 2 ปี ยังอยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์           บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ และกลุ่ม ปตท. มีแผนร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตชิปชนิดซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) แห่งแรกของไทย (Wafer Fabrication) ภายใต้ บริษัท เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (FT1) ภายหลังที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมจาก BOI ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 และออกบัตรส่งเสริมในเดือนสิงหาคม 2567 โดยโรงงานจะถูกก่อสร้างในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ จังหวัดลำพูน ด้วยระยะเวลาก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักร 2 ปีโดยประมาณ และคาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงไตรมาสแรก ปี 2570 Source: 56-1 One Report 2566           บริษัท เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น จำกัด มีแผนลงทุนกว่า 11,500 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตชิปต้นน้ำแห่งแรกในประเทศไทย เป็นชิป (Wafer) ชนิดซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) เป็นวัตถุดิบชนิดใหม่ มีคุณสมบัติแตกต่างจากชิปทั่วไปที่ผลิตจากซิลิคอน ตรงที่มีความสามารถทนไฟขั้นสูงสามารถแปลงแรงดันไฟฟ้ากำลังสูง เหมาะกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้งานในวงกว้างตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ในครัวเรือน อุปกรณ์ Cloud Computing อินเวอร์เตอร์ไฟฟ้า EV/OBC รวมทั้งในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ซึ่งทำให้ SiC มีความยากในการผลิตและต้นทุนสูง           อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ความต้องการในอุตสาหกรรม (FT1 Business Demand) ที่ชะลอตัวลงในปัจจุบัน ทำให้บริษัทยังคงจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดจนกว่าจะถึงช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 ถึงความเหมาะสมที่จะตัดสินใจลงทุน ระยะเวลาเริ่ม รวมถึงมูลค่าเงินที่จะลงทุนในโครงการ Risk Factors ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ราคาขายและอุปสงค์ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจในตลาดโลกที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ เช่น สงครามการค้า ภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย สภาพเศรษฐกิจที่คาดว่าจะถดถอยและปัญหาพลังงาน           อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านนี้ โดยการรักษาฐานลูกค้าและกระจายการผลิตสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และจากนโยบายการค้าของสหรัฐที่ทำให้เกิดความเสียเปรียบทางธุรกิจสำหรับโรงงานผลิตในจีน บริษัทจึงปรับกลยุทธ์โดยมุ่งเน้นลูกค้าในจีนเป็นหลัก ทั้งนี้ สงครามการค้าอาจสร้างโอกาสทางธุรกิจให้โรงงานในประเทศที่เหลือของบริษัท ความเสี่ยงของระบบห่วงโซ่อุปทาน ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตสามารถเกิดขึ้นได้อีกโดยเฉพาะจากปัจจัยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ ขณะที่ห่วงโซ่อุปทานโลกมีความซับซ้อนและบูรณาการมากขึ้น ทำให้บริษัทมีการประสานงานและทำงานอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์ในส่วนวัตถุดิบและชิ้นส่วนหลักในการผลิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นคู่ค้าที่เป็นพันธมิตร ความเสี่ยงของฐานลูกค้ารายใหญ่ ถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงหลักที่กลุ่มฐานลูกค้ารายใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีสาระสำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ การเปลี่ยนเจ้าของกิจการหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการกระจายความเสี่ยงโดยมีสัดส่วนสินค้าที่ผลิต กระจายตัวอยู่ในตลาดที่หลากหลายในอุตสาหกรรมและมีสัดส่วนการกระจายการพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่ด้วยการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้น โดยลูกค้ารายใหญ่ที่สุดมียอดขายไม่เกินร้อยละ 20 ของยอดขายกลุ่มบริษัท หุ้น HANA           หุ้น HANA มี Market Cap อยู่ที่ 21,514.41 ล้านบาท (อิงข้อมูล ณ วันที่ 19 ธันวาคม 67) หรือเป็นอันดับที่ 4 ให้หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) โดยผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 ยังคงได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นส่งผลต่อต้นทุนเพิ่ม ทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลง รวมถึงการตั้งด้อยค่าสินค้าคงคลัง ขณะที่ความต้องการใน SiC ยังคงอ่อนตัวลงและราคาลดลงจากการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ชะลอตัว รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับภาษี EV ที่กระทบต่อการผลิตที่ตลาดจีน           อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3 ปี 2567 หน่วยงานพาวเวอร์ มาสเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ในเกาหลีใต้ (PMS) และหน่วยงานฮานา เทคโนโลยี (HTI) ในสหรัฐอเมริกามียอดขายเพิ่มขึ้น 40% YoY และ 20% YoY ตามลำดับ Unit: THB Million           ในด้านเงินปันผล บริษัทมีนโยบายการจ่ายปันผลตั้งแต่ 30% ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวมหลังหักเงินสำรองต่างๆทุกประเภท ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการลงทุนและกระแสเงินสด โดยล่าสุด (13 ธันวาคม 67) บริษัทได้จ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.25 บาทต่อหุ้น (DPS) ซึ่งมูลค่าที่ลดลงอาจเกิดจากการวางแผนเก็บเงินสดไว้ลงทุน อย่างเช่นการสร้างโรงงาน หรือเน้นการเติบโตในระยะยาวมากกว่า รายละเอียดเพิ่มเติม ที่ https://app.visible.vc/shared-update/8ebd9f84-5a2d-47c2-a2c5-068bd4084898

PTTEP รุกแอลจีเรีย! ทุ่มซื้อหุ้น 34% โครงการ Touat

PTTEP รุกแอลจีเรีย! ทุ่มซื้อหุ้น 34% โครงการ Touat

        หุ้นวิชั่น - บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ขอแจ้งว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 บริษัท PTTEP SG Holding Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขาย (Sale and Purchase Agreement: SPA) เพื่อเข้าซื้อหุ้นทุนในสัดส่วนร้อยละ 34 ในบริษัท E&E Algeria Touat B.V. จากบริษัท ENGIE International Corporation B.V. (ENGIE) ทั้งนี้ การซื้อขายจะมีผลสมบูรณ์เมื่อบรรลุเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในสัญญาครบถ้วน รวมถึงการได้รับอนุมัติจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะมีผลสมบูรณ์ภายในไตรมาส 2 ปี 2568 ซึ่งจะส่งผลให้ ปตท.สผ. ถือสัดส่วนการลงทุนทางอ้อมในโครงการ Touat ที่ร้อยละ 22.1 ทั้งนี้ ผู้ร่วมทุนอื่นในโครงการประกอบด้วยบริษัท Eni Energy Touat Holding B.V. (บริษัทย่อยของ ENI) และบริษัท SONATRACH S.P.A. (บริษัทน้ำมันแห่งชาติของประเทศแอลจีเรีย) ซึ่งถือสัดส่วนร้อยละ 42.9 และ 35 ตามลำดับ โครงการ Touat เป็นโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract: PSC) ตั้งอยู่ในแหล่งปิโตรเลียมบนบก Timimoun ในประเทศแอลจีเรีย โดยมีประมาณการปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติคงเหลือ 1.92 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และก๊าซธรรมชาติเหลว (Condensate) คงเหลือ 5.4 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ (ณ วันที่ 1 มกราคม 2567) โครงการดังกล่าวได้เข้าสู่ระยะการผลิตแล้วตั้งแต่ปี 2562 และปัจจุบันมีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ประมาณ 435 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน พร้อมทั้งมีโอกาสในการเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคต การเข้าลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ ปตท.สผ. ในการขยายการลงทุนในต่างประเทศ โดยประเทศแอลจีเรียเป็นประเทศที่มีศักยภาพปิโตรเลียมสูง รวมถึงมีความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและตลาดรองรับการส่งออกก๊าซธรรมชาติ อีกทั้งโครงการยังมีความเสี่ยงในระดับต่ำ เนื่องจากอยู่ในระยะผลิตแล้ว เมื่อการซื้อขายมีผลสมบูรณ์ จะสามารถเพิ่มรายได้ ปริมาณการผลิต และปริมาณสำรองปิโตรเลียม ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้กับ ปตท.สผ. ได้ทันที เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเติบโตของบริษัทต่อไป

BEC ขายเงินลงทุนใน BID จำนวน 499,993 หุ้น

BEC ขายเงินลงทุนใน BID จำนวน 499,993 หุ้น

          หุ้นวิชั่น - นายนพดล เขมะโยธิน รองกรรมการผู้อำนวยการ สำนักงานการเงินและบัญชี บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ")หรือ BEC แจ้งต่อ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 11/2567 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ ขายเงินลงทุนทั้งหมดที่บริษัทฯ ถืออยู่ในบริษัท บีอีซี อินเตอร์เนชั่นแนล ดิสทริบิวชั่น จำกัด ("BID") จำนวน 499,993 หุ้น (คิดเป็นร้อยละ 99.99 ของทุนจดทะเบียน) ให้กับบุคคลธรรมดา ซึ่งไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน ในราคารวมทั้งสิ้น 5,000 บาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียที่แสดงในงบการเงินรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 โดยมีรายละเอียดของรายการดังนี้ วัน เดือน ปีที่เกิดรายการ: ภายในเดือนธันวาคม 2567 คู่สัญญาที่เกี่ยวข้อง บริษัทฯ และผู้ซื้อไม่ถือเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน วัตถุประสงค์ เป็นการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยตามแผนบริหารการลงทุนของบริษัท เนื่องจาก BID เกิดผลขาดทุนสะสมสูงกว่าทุนจดทะเบียน ปัจจุบันไม่ได้ประกอบธุรกิจและมีภาระค่าใช้จ่ายในการคงสภาพบริษัท ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ ลดภาระค่าใช้จ่ายในการคงสภาพบริษัท รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการชำระบัญชีเพื่อปิดบริษัท ลักษณะรายการ การคำนวณขนาดของรายการสามารถคำนวณได้ตามเกณฑ์สูงสุด คือ เกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน (ตามงบการเงินรวมของบริษัทฯ ที่สอบทานแล้วสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2567) และไม่มีรายการที่เกิดขึ้นย้อนหลัง 6 เดือนที่ผ่านมา โดยขนาดรายการที่คำนวณได้มีขนาดรายการเท่ากับร้อยละ 0.98 ซึ่งต่ำกว่าร้อยละ 15 จึงไม่เข้าข่ายที่จะต้องรายงานสารสนเทศตามประกาศรายการได้มาหรือจำหน่ายไปตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ.20/2551 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีหน้าที่รายงานการจำหน่ายบริษัทย่อยตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการเปิดเผยสารสนเทศและการปฏิบัติการใดๆ ของบริษัทจดทะเบียน พ.ศ.2560 เนื่องจากเป็นกรณีที่บริษัทจดทะเบียนจำหน่ายไปซึ่งเงินลงทุนในบริษัทอื่น ซึ่งเป็นผลให้บริษัทอื่นนั้นสิ้นสภาพในการเป็นบริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียน มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทนที่ไดมา 5,000 บาท

BCPG ตั้ง รวี บุญสินสุข เป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีผล  1 ม.ค. 68

BCPG ตั้ง รวี บุญสินสุข เป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีผล 1 ม.ค. 68

หุ้นวิชั่น - ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG ในการประชุม ครั้งที่ 16/2567  เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 มีมติแต่งตั้ง นายรวี บุญสินสุข ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (Chief Executive Officer & President) ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป [PR News]

ORI ยื่นไฟลิ่งหุ้นกู้ใหม่ขาย 10-13 ก.พ. 68

ORI ยื่นไฟลิ่งหุ้นกู้ใหม่ขาย 10-13 ก.พ. 68

          ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI ยื่นไฟลิ่งเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ล็อตใหม่ 3 รุ่น คาดเปิดขายระหว่างวันที่ 10 – 11 และวันที่ 13 ก.พ.นี้ ระดับความน่าเชื่อถือ “BBB+/Stable” จากทริสเรทติ้ง กางพอร์ตที่อยู่อาศัย 9 เดือน ยอดขายแกร่ง 26,849 ล้าน ทะลุ 77% ของเป้าหมายทั้งปี พร้อมแบ็คล็อกแกร่ง 47,329 ล้าน กรุงเทพฯ-ปริมณฑล-EEC-ภูเก็ต คาดทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 จาก 3 โครงการร่วมทุนสร้างเสร็จใหม่มูลค่าโครงการกว่า 7,430 ล้าน คว้าอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ในระดับ “AAA” พร้อมรับการประเมิน CGR ระดับ 5 ดาวต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจอย่างต่อเนื่องและมั่นคง           นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนทั่วไป และ ผู้ลงทุนสถาบัน (Public Offering) โดยหุ้นกู้ที่ออกจำหน่ายมีจำนวน 3 รุ่น ได้แก่ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 1 เดือน 8 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.40-4.50% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.85% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 5.15% ต่อปี โดย เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ทริสเรทติ้ง ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” คาดว่าจะเสนอขายหุ้นกู้ 3 ชุดดังกล่าวในวันที่ 10-11 และ 13 ก.พ. 2568 นี้           ที่ผ่านมา ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.2567) บริษัทมียอดขายโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งกลุ่มบ้านจัดสรรภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI และคอนโดมิเนียมภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL และบริษัทอื่นๆ ในเครือ รวมกันกว่า 26,849 ล้านบาท หรือคิดเป็นราว 77% ของเป้าหมายทั้งปี           ขณะเดียวกัน บริษัทยังมียอดโอนกรรมสิทธิ์จากทั้งกลุ่มโครงการร่วมทุน (Joint Venture หรือ JV) และกลุ่มโครงการที่ไม่ได้ร่วมทุน (Non-JV) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นยอดโอนกรรมสิทธิ์สะสม 9 เดือน 10,502 ล้านบาท เมื่อประกอบกับรายได้จากธุรกิจที่นอกเหนือจากที่อยู่อาศัยที่บริษัทได้วางรากฐานกระจายพอร์ตไว้อย่างต่อเนื่อง อาทิ ธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์ดัง 11 แห่ง ธุรกิจคลังสินค้าหลากทำเลเปิดดำเนินการแล้วรวมกว่า 270,414 ตร.ม. ส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งเครือในช่วงดังกล่าวสะสมอยู่ที่ 1,318 ล้านบาท           “เรายังมียอดขายรอรับรู้รายได้ หรือ แบ็คล็อก ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 สูงถึง 47,329 ล้านบาท เนื่องจากที่ผ่านมาเราได้กระจายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ตลอดจนหัวเมืองท่องเที่ยวศักยภาพอย่างภูเก็ต ซึ่งช่วยส่งเสริมให้เรามีทยอยรับรู้รายได้ได้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจนถึงราวปี 2571” นายพีระพงศ์ กล่าว           ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 4/2567 บริษัทจะมีโครงการร่วมทุนสร้างเสร็จใหม่ทั้งสิ้น 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 7,430 ล้านบาท ซึ่งมีแบ็คล็อกจาก 3 โครงการดังกล่าวแล้วกว่า 80% ได้แก่ 1.ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น (Origin Plug & Play Sirindhorn Station) คอนโดมิเนียมเจาะตลาด Gen Y-Gen Z แห่งแรกของบริษัทในฝั่งธนบุรี ใกล้ MRT สิรินธร 2.โซ ออริจิ้น พหล 69 สเตชั่น (So Origin Phahol 69 Station) คอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว เพียง 50 เมตร และใกล้สนามบินดอนเมือง และ 3.ไนท์บริดจ์ สเปซ สุขุมวิท-พระราม 4 (Knightsbridge Space Sukhumvit-Rama 4) คอนโดมิเนียมใกล้ BTS พระโขนง           นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า การกระจายพอร์ตธุรกิจของบริษัทไปสู่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจคลังสินค้า ตลอดจนธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ถือเป็นทิศทางที่บริษัทให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน โดยแนวโน้มของกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเข้ามามีส่วนช่วยสร้างสมดุล และสร้างรายได้ให้แก่ให้พอร์ต โดยในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. 2567 โรงแรมในเครือมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยถึง 75% ธุรกิจคลังสินค้ามีอัตราการเช่าเฉลี่ยถึง 90%           จากผลการดำเนินงานที่ต่อเนื่องและมั่นคง ใส่ใจสังคมและชุมชนรอบข้าง ส่งผลให้บริษัทได้รับคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ติดอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ถึง 4 ปีซ้อน พร้อมทั้งได้รับการปรับระดับจาก AA ในปี 2566 สู่ระดับ “AAA” สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทด้านความยั่งยืน พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และความมุ่งมั่นของบริษัทในการรักษามาตรฐานผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน พัฒนาองค์กรให้เติบโต บริหารงานภายใต้หลักบรรษัทภิบาล ขณะเดียวกัน ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ยังได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการในรายงาน Corporate Governance Report of Thai Listed Companies หรือ CGR ประจำปี 2567 ของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) โดยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) ต่อเนื่องถึง 5 ปีซ้อนอีกด้วย           ขณะที่บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย           1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 163 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 3/2567) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 253,516 ล้านบาท           2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก           3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์           4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร [PR News]

[ภาพข่าว] NOBLE คว้า SET ESG Ratings ปี 67 ระดับสูงสุด “AAA”

[ภาพข่าว] NOBLE คว้า SET ESG Ratings ปี 67 ระดับสูงสุด “AAA”

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ-บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ “NOBLE” ติดอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 เรทติ้งสูงสุด ระดับ “AAA” และติดรายชื่อหุ้นยั่งยืน 3 ปีซ้อน ตอกย้ำการเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นพัฒนาและขับเคลื่อนธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ภายในแนวคิด “Live Different” ตามกรอบ ESG           นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน บริษัท จดทะเบียนที่ติดอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2567 เรทติ้งสูงสุด ระดับ “AAA” ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และติดรายชื่อหุ้นยั่งยืน 3 ปีซ้อน สะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทจดทะเบียนที่มุ่งเน้นพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการพัฒนาแนวปฏิบัติของธุรกิจในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (ESG) สอดรับกับนโยบายความยั่งยืนขององค์กร ภายในแนวคิด “Live Different” ด้วยแนวคิดและมุมมองในการดำเนินธุรกิจที่เป็นประโยชน์ในทุกมิติของการใช้ชีวิตคนเมืองที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เพื่อการยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยสู่การพัฒนา อย่างยั่งยืน ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)  

ITC โบรกคาด Q4 ยอดขายทะลุเป้า สินค้า Premium ยืนได้ไม่หวั่นภาษี Trump – OECD

ITC โบรกคาด Q4 ยอดขายทะลุเป้า สินค้า Premium ยืนได้ไม่หวั่นภาษี Trump – OECD

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.ฟิลลิป  เผยยอดขายของ ITC ปี 67 คาดทะลุเป้าจากคำสั่งซื้อที่เติบโต และมีแนวโน้มเพิ่ม Payout Ratio แม้เผชิญความเสี่ยงด้านภาษี Global Minimum Tax ของ OECD และภาษีนำเข้าจากสหรัฐ อย่างไรก็ตาม คาดว่าคุณภาพสินค้า Premium ของ ITC และต้นทุนที่ต่ำกว่าผู้ผลิตในสหรัฐยังเป็นแก่นหลักในการแข่งขันท่ามกลางการกีดกันทางการค้าและความเสี่ยงด้านภาษีที่รายล้อม แนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาพื้นฐานปี 68 ที่ 34.25 บาท คาดยอดขายปี 67 ทะลุเป้า ลุ้นเพิ่มปันผล           ใน 4Q67 ยอดสั่งซื้อสินค้าในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมโตขึ้น y-y โดยบริษัทขนส่งสินค้าลงเรือแล้วกว่า 74% ของยอดสั่งซื้อ ทางฝ่ายคาดว่ายอดขาย 4Q67 อยู่ที่ 5,279 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.0% q-q และ 11.2% y-y ประมาณการยอดขายรวมปี 67 อยู่ที่ 18,310 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6% y-y (Company Guidance: +15-17%) ทั้งนี้ บริษัทเคยกล่าวว่าอาจเพิ่ม Payout Ratio หากยอดขายทั้งปีถึงเป้า หากบริษัทคง Payout Ratio ที่ 79% คาดว่าเงินปันผลจากผลประกอบการปี 67 อยู่ที่ 1.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ประมาณ 4.5% โดยบริษัทจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.40 บาทต่อหุ้นไปแล้ว และคาดจ่ายที่เหลือ 0.60 บาทต่อหุ้น แต่ในกรณีที่บริษัทตัดสินใจเพิ่ม Payout Ratio เป็น 90% คาดว่าจะจ่ายที่เหลือ 0.75 บาทต่อหุ้น รวมทั้งสิ้น 1.15 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ประมาณ 5.2% อย่างไรก็ตาม การเพิ่มหรือไม่เพิ่ม Payout Ratio ต้องรอมติที่ประชุม AGM ต้นปี 68 ยังยืนได้ท่ามกลางพายุภาษีจาก Trump และ OECD           เนื่องจากไทยได้ดุลการค้าสหรัฐมากสุดเป็นลำดับที่ 11 และอาหารสัตว์เลี้ยงส่งออกของไทยคิดเป็น 34.8% ของการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของสหรัฐ ทำให้มีความเสี่ยงถูกเพิ่มภาษีนำเข้า 10-20% ตามนโยบายของทรัมป์ที่ต้องการลดการขาดดุลการค้า มีแนวโน้มที่ภาระภาษีนี้จะถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภคผ่านการขึ้นราคาสินค้า และคาดว่าโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า และสินค้าส่วนมากเป็นกลุ่ม Economy จึงไม่ได้แข่งขันโดยตรงกับสินค้า Premium ของ ITC ที่เป็นเซกเมนต์ส่งออกหลักไปยังสหรัฐ           ในส่วนภาษี Global Minimum Tax 15% ของ OECD อาจถูกนำมาใช้ในไทย ซึ่ง ITC มี Effective Tax Rate ที่ 3-5% แต่มีรายได้ไม่ถึง 750 ล้านยูโร จึงยังไม่เข้าเงื่อนไขดังกล่าว คาดว่าปลอดภัยจนกว่าจะถึงปี 71 ที่รายได้คาดการณ์อาจเพิ่มจนถึงเกณฑ์ อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องเตรียมพร้อมหากการเติบโตทำให้บริษัทเข้าสู่เงื่อนไขในอนาคต ราคาพื้นฐานปี 68 ที่ 34.25 บาทต่อหุ้น           โดยวิธี DCF ประเมินราคาพื้นฐานหุ้นด้วยวิธีการ Discounted Cash Flow จาก Free Cash Flow to Equity (FCFE) โดยกำหนดค่า Beta ที่ 0.79 สำหรับปี 2568-2570 และใช้ Adjusted Beta ที่ 0.86 ในปี 2571 เป็นต้นไป สำหรับคำนวณ Terminal Value โดยมี Required Rate of Return for Equity (re) ที่ 6.5% สำหรับปี 2568-2570 และ 6.8% สำหรับปี 2571 เป็นต้นไป และมี Sustainable Growth Rate สำหรับปี 2571 ที่ 2.5% โดยใช้ Estimated Retention Ratio และ ROE เฉลี่ยของกลุ่มบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน           ด้วยตัวธุรกิจที่อยู่ใน Mega Trend ทำให้คาดว่ามีความต้องการสินค้ามากขึ้นในอนาคต ราคาพื้นฐานสำหรับปี 2568 อยู่ที่ 34.25 บาทต่อหุ้น แนะนำ “ซื้อ”

HMPRO โบรกคาด Q4 ฟื้นตัว

HMPRO โบรกคาด Q4 ฟื้นตัว "Easy E -receipt" หนุนโตต่อ แนะ “ซื้อ” เป้า 9.85 บาท

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.ฟิลลิป คาด SSSG ของ HomePro ฟื้นตัวดีขึ้นใน 4Q67 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและฤดูกาลท่องเที่ยวที่มีการจับจ่ายใช้สอยในช่วงปีใหม่ ส่งผลให้ยอดขายดีขึ้นตามความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สำหรับต้นปี 68 รัฐบาลเตรียมออกโครงการ "Easy E-receipt" กระตุ้นกำลังซื้อผ่านการลดหย่อนภาษี ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่ม Commerce โดยเฉพาะสินค้าประเภท Durable Goods ใน HomePro ช่วยหนุนยอดขายใน 1Q68 ได้ดีจากความต้องการซื้อทดแทนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาพื้นฐานปี 68 : 9.85 บาทต่อหุ้น คาด SSSG 4Q67 ฟื้นตัวดี           ใน 4Q67 คาดว่า SSSG – HomePro จะอยู่ในช่วงลบ low-single digit และในส่วน SSSG – MegaHome อยู่ที่บวก mid-single digit คาดมี SSSG รวมอยู่ที่ -0.1% ทางฝ่ายประมาณการยอดขายใน 4Q67 จะอยู่ที่ 16,845 ล้านบาท +5.7% q-q, -0.2% y-y คาดโตขึ้น q-q จากปัจจัยบวก 2 เรื่อง ได้แก่ เงินกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ฤดูกาลท่องเที่ยว           ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในช่วงก่อนปีใหม่ ซึ่งได้สอดคล้องกับค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมที่เริ่มฟื้นตัวจาก 3Q67 โดยเห็นได้จากค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม (CCI) จากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ในเดือนพฤศจิกายนปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 53.2 จุดจากระดับ 52.9 จุดในเดือนตุลาคม นับเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ทั้งนี้ คาดยอดขายรวมปี 67 อยู่ที่ 67,836 ล้านบาท -0.65% y-y รัฐบาลชง Easy E-receipt กระตุ้นกำลังซื้อต้นปี 68           กระทรวงการคลังมีแผนเสนอโครงการ “Easy E-receipt” เตรียมนำเข้าที่ประชุม ครม. ในวันที่ 24 ธ.ค. 67 โดยโครงการนี้ให้ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท โดยเป็นใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ 30,000 บาท และใบเสร็จปกติอีก 20,000 บาท เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค คาดเริ่มใช้ได้ ม.ค. 68 ทางฝ่ายคาดว่าโครงการนี้เป็นผลดีกับกลุ่ม Commerce โดยเฉพาะสินค้าที่เป็น Durable Goods ที่เป็นสัดส่วนหลักของสินค้าใน HomePro คาดสามารถกระตุ้นยอดขายใน 1Q68 ได้ เนื่องจากโครงการนี้จะกระตุ้น Demand ในอนาคต เร่งให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าใหม่ทดแทนของเก่าเพื่อที่จะได้ลดหย่อนภาษีไปในตัว ราคาพื้นฐานปี 68 ที่ 9.85 บาทต่อหุ้น           โดยวิธี DCF ประเมินราคาพื้นฐานหุ้นด้วยวิธีการ Discounted Cash Flow จาก Free Cash Flow to Equity (FCFE) โดยกำหนดค่า Beta ที่ 1.67 สำหรับปี 2568-2570 และใช้ Adjusted Beta ที่ 1.45 ในปี 2571 เป็นต้นไป โดยมี Required Rate of Return for Equity (re) ที่ 10.0% สำหรับปี 2568-2570 และ 9.1% สำหรับปี 2571 เป็นต้นไป และมี Sustainable growth rate สำหรับปี 2571 ที่ 1.3% ทางฝ่ายมองว่ายอดขาย 4Q67 ของ HomePro จะเพิ่มขึ้น q-q และมีปัจจัยบวกจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy E-receipt จากรัฐบาลช่วง 1Q68 ที่จะเสริมโมเมนตัมเชิงบวกของ HomePro ได้อย่างต่อเนื่อง ราคาพื้นฐานสำหรับปี 2568 อยู่ที่ 9.85 บาทต่อหุ้น แนะนำ “ซื้อ”

MTC สินเชื่อโตเด่น NPL ลดสวนทางกลุ่ม

MTC สินเชื่อโตเด่น NPL ลดสวนทางกลุ่ม

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.ฟิลลิป ระบุว่า MTC ใช้กลยุทธ์ในการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในการขยายสินเชื่อ และทำให้กลายเป็น Non-bank ที่มีสาขามากที่สุดในประเทศ และสินเชื่อของ MTC โดดเด่นกว่ากลุ่มมาโดยตลอด และในปี 67 ก็ยังโดดเด่นกว่า ในขณะที่คุณภาพสินทรัพย์กลับดีสวนทางกับกลุ่ม นอกจากนี้ยังมองว่า MTC จะได้ประโยชน์จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง รวมไปถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของรัฐบาล ยังคงประมาณการกำไร และยังคงราคาพื้นฐาน 53 บาท แนะนำ “ทยอยซื้อ” ขยายสินเชื่อผ่านการขยายสาขา จนเป็น Non-bank ที่มีสาขามากที่สุด           กลยุทธ์การปล่อยสินเชื่อของ MTC คือการไปเปิดสาขาในชุมชน โดย ณ สิ้น 3Q67 MTC มีสาขาอยู่ทั้งหมดถึง 8,031 สาขาทั่วประเทศ และทำให้ MTC เป็นผู้ประกอบการ Non-bank ที่มีสาขามากที่สุดในไทย และยังมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีกปีละ 500-600 สาขา และถึงแม้จะมีการเปิดสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง แต่สินเชื่อเฉลี่ยต่อสาขาก็ไม่ได้ปรับลดลง และกลับเพิ่มสูงขึ้นได้จากปี 57 ที่มีสินเชื่อเฉลี่ยต่อสาขา 16.9 ล้านบาท เพิ่มมาเป็น 19.5 ล้านบาท ณ 3Q67 สินเชื่อโตเด่นกว่ากลุ่มมาอย่างต่อเนื่อง           ที่ผ่านมา MTC มีการปล่อยสินเชื่อที่โดดเด่นกว่ากลุ่มมาโดยตลอด โดยตั้งแต่ปีที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 53 จนถึงสิ้นปี 66 MTC มีสินเชื่อเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 46% ต่อปี จะมีเพียงปี 65 ที่ SAWAD มีการโอนสินเชื่อมาจากธ.ออมสิน และปี 66 ที่ "เงินสดทันใจ" ซื้อหุ้นคืนมาจากธนาคารอื่น ทำให้ MTC ชะลอการปล่อยสินเชื่อลงเพื่อลดความเสี่ยง ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อของ MTC น้อยกว่า SAWAD แต่ในปี 67 MTC กลับมาปล่อยสินเชื่อได้โดดเด่นกว่ากลุ่มอีกครั้ง โดย 3Q67 MTC สามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่ม 10.99% YTD ในขณะที่ SAWAD สินเชื่อหดตัว 2.47% YTD และ TIDLOR ปล่อยได้เพิ่ม 4.85% YTD และมองว่าด้วยมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ ของรัฐบาลจะทำให้กลุ่มรากหญ้ามีสภาพคล่องมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งความต้องการสินเชื่อ และคุณภาพสินทรัพย์ของ MTC ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง           กนง. เริ่มมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตั้งแต่การประชุมในครั้งก่อน และถึงแม้ว่าการประชุมรอบล่าสุดในวันที่ 18 ธ.ค. 67 จะมีการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ แต่ก็คาดว่าในปี 68 จะมีการปรับลดลงได้อีก ทำให้คาดว่า MTC จะได้ประโยชน์ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาลง โดยต้นทุนดอกเบี้ยนั้นคิดเป็น 22% ของต้นทุนทั้งหมดของ MTC ที่ผ่านมาในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของ MTC ลดต่ำลง และหากอัตราดอกเบี้ยกลับมาเป็นขาลง คาดว่าจะช่วยทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของ MTC รวมไปถึงผลประกอบการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ อาจไม่ใช่บริษัทที่ NPL ต่ำสุด แต่คุณภาพสินทรัพย์ดีสวนทางกลุ่ม           ถึงแม้ว่า MTC จะไม่ใช่บริษัทที่มี NPL ต่ำที่สุด โดย ณ 3Q67 จะมี NPL อยู่ 2.82% ในขณะที่ TIDLOR มี NPL เพียง 1.88% และ SAWAD มี NPL 3.39% แต่คุณภาพสินทรัพย์ของ MTC กลับดีสวนทางกับกลุ่ม ในขณะที่คู่แข่งมี NPL เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ MTC กลับสามารถลด NPL ลงมาได้แล้ว 5 ไตรมาสติดต่อกัน โดยสามารถลดจาก 3.36% ใน 2Q66 เหลือ 2.82% ใน 3Q67 และมองว่าด้วยการแจกเงิน 10,000 บาท รวมไปถึงมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของรัฐ จะทำให้ลูกหนี้ของ MTC มีความสามารถในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น และทำให้ NPL ลดลงได้ต่อ คงประมาณการ คงราคาพื้นฐาน แนะนำ “ทยอยซื้อ”           ทางฝ่ายยังคงประมาณการกำไรปี 67 ของ MTC ไว้ที่ 5.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.8% Y-Y และคาดว่าปี 68 การที่สินเชื่อจะโตต่อเนื่อง ต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลง รวมไปถึงการตั้งสำรองที่อาจจะลดลงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นอีก 25% Y-Y เป็น 7.3 พันล้านบาท ยังคงราคาพื้นฐานไว้ที่ 53 บาท แนะนำ “ทยอยซื้อ”

COM7 เข้าดัชนี SET 50 นำสินค้าเทคโนโลยี มุ่งความยั่งยืน

COM7 เข้าดัชนี SET 50 นำสินค้าเทคโนโลยี มุ่งความยั่งยืน

          บมจ.คอมเซเว่น (COM7) ได้รับเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็น 1 ใน 4 หุ้นใหม่ที่เข้าคำนวณดัชนี SET50 ในรอบครึ่งปีแรก 2568 พร้อมเดินหน้าวางกลยุทธ์นำสินค้าเทคโนโลยีตอบโจทย์ผู้บริโภค และความยั่งยืน           นายณรงค์ ศรีวรรณวิทย์ Chief Business Officer บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 เปิดเผยว่า COM7 ได้รับเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้เป็น 1 ใน 4 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าคำนวณดัชนี SET50 ในรอบครึ่งปีแรก พ.ศ. 2568 (1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2568) เป็นผลจากความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่เหมาะสมและแข็งแกร่ง ตอกย้ำผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าเทคโนโลยีที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ พร้อมกับ เดินหน้ากระจายการลงทุนไปยังธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์ในอนาคต เพื่อเพิ่มศักยภาพของ COM7 ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ตลอดจน สร้างความเชื่อมั่นและความน่าสนใจ ในการลงทุนจากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากดัชนี SET50 เป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหลักทรัพย์ที่มี ขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้เปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุน (Performance Benchmark) หรือใช้เป็นดัชนีอ้างอิง (Underlying Index) ในการออกตราสารทางการเงินต่าง ๆ           อย่างไรก็ดี ในปีนี้ COM7 ได้รับรางวัลด้านความยั่งยืนจากตลาดหลักทรัพย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ประกอบด้วย ได้รับการประเมิน SET ESG Ratings 2024 ยกระดับที่ “AA”  รวมทั้ง คว้ารางวัล CGR 2024 ระดับ 5 ดาว “ดีเลิศ” ต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน และได้รับรางวัล CAC ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 ตอกย้ำความมุ่งมั่นองค์กรโปร่งใส ต่อต้านคอร์รัปชัน สอดรับเทรนด์การลงทุนของโลก นักลงทุนให้ความสำคัญในการจัดสรรการลงทุนบนหลัก ESG มากขึ้นเรื่อยๆ โดย COM7 ให้ความสำคัญทั้งในมิติของสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance)           รวมทั้ง การนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน มุ่งสู่ความยั่งยืนมากขึ้น และอยู่ในอุตสาหกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และพลังงานสะอาด ซึ่งในปีนี้ ได้เข้ามาต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งเป็นธุรกิจไฮมาร์จิ้น สอดรับกับการเติบโตของยุค Digital Transformation ด้วยการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่ม Solar Cell รวมถึงการจับมือ Amazon Web Services (AWS) เพื่อร่วมมือกันขยายฟีเจอร์ใหม่ๆ รองรับการเติบโตในตลาด Cloud Service ให้กับลูกค้ากลุ่ม SME

[Gossip] NEO เข้าคำนวณดัชนี sSET มุ่ง FMCG แห่งนวัตกรรมเอเชีย

[Gossip] NEO เข้าคำนวณดัชนี sSET มุ่ง FMCG แห่งนวัตกรรมเอเชีย

          หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อไตรมาส 2 ที่ผ่านมาหมาดๆ หุ้น NEO ก็อยู่ในโฟกัสของนักลงทุนรายย่อย-สถาบัน ส่งผลให้การซื้อขายมีความสม่ำเสมอ สภาพคล่องดี ล่าสุดได้เข้าคำนวณดัชนี sSET รอบใหม่ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 (1 ม.ค.– 30 มิ.ย. 2568) โดยเป็น 1 ใน 20 หลักทรัพย์ใหม่ที่ได้รับการคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังผ่านเกณฑ์การพิจารณามีสภาพคล่องไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 และมีสัดส่วนการซื้อขายในแต่ละเดือนไม่น้อยกว่า 0.5% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลังตามรอบทบทวน เพื่อให้แน่ใจว่าการซื้อขายของหุ้นบริษัทนั้นมีความต่อเนื่อง แบบนี้ต้องยกนิ้วให้กับ “สุทธิเดช ถกลศรี” CEO บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) ที่วางรากฐาน NEO ไว้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ๆ มุ่งผลักดันให้บริษัทสู่ FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ส่งผลให้หุ้น NEO มีพื้นฐานแข็งแกร่งและอยู่ในความสนใจของนักลงทุน

[ภาพข่าว] DRT คว้า SET ESG Ratings ปี 2567 ระดับ AA

[ภาพข่าว] DRT คว้า SET ESG Ratings ปี 2567 ระดับ AA

          ตอกย้ำการเป็นบริษัทที่รักษามาตรฐานการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนได้เป็นอย่างดี สะท้อนจากการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งในปีนี้ ‘สาธิต สุดบรรทัด’ ซีอีโอ บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร หรือ DRT นำบริษัทฯ ผ่านเกณฑ์การประเมินที่ระดับ ‘AA’ ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างได้อีกครั้ง นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของบริษัทฯ จากการนำหลัก ESG และแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินธุรกิจ เพื่อลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมกับดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี

NKT เทรด SET วันแรก ชู 3 โครงการมุ่งโตระดับประเทศ

NKT เทรด SET วันแรก ชู 3 โครงการมุ่งโตระดับประเทศ

           “บมจ.โรงพยาบาลนครธน” หรือ NKT เข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เดินหน้า 3 โครงการหลักตามแผน ทั้งการก่อสร้างโครงการโรงพยาบาลนครธน 2 เพื่อมุ่งเน้นให้บริการแก่ผู้ประกันตนตามสิทธิประกันสังคม โครงการนครธน ลองไลฟ์ เซ็นเตอร์ เพื่อเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงแบบองค์รวม และโครงการขยายจำนวนเตียงให้บริการของโรงพยาบาลนครธนอีก 110 เตียง รวมเป็น 260 เตียง เพื่อขยายฐานผู้เข้ารับบริการและเพิ่มศักยภาพการเติบโตแก่บริษัทฯ            รองศาสตราจารย์ ญาณเดช ทองสิมา ประธานกรรมการบริษัท บริษัท โรงพยาบาลนครธน จำกัด (มหาชน) หรือ NKT เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่บริษัทฯ ได้เข้าจดทะเบียนและซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันนี้ (20 ธันวาคม 2567) โดยใช้ชื่อย่อ NKT ในการซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัทฯ จะมุ่งขยายการลงทุนตามแผนงานที่วางไว้รวมถึงดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ เพื่อจะก้าวไปสู่การเป็น “หนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำระดับประเทศ” โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างและขยายการลงทุน 3 โครงการหลัก เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตจากการขยายฐานผู้เข้ารับบริการในโรงพยาบาลนครธนและการก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ ได้แก่ 1) โครงการโรงพยาบาลนครธน 2 บนถนนเอกชัย จำนวน 151 เตียง คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนที่เกี่ยวข้องประมาณ 900 ล้านบาท และจะเปิดให้บริการแก่ผู้รับบริการทั่วไปที่ชำระเงินเองในระยะเริ่มแรก และเริ่มรับรู้รายได้ประมาณปลายปี 2568 หลังจากนั้นจะยื่นขออนุญาตเป็นโรงพยาบาลประกันสังคมในช่วงต้นปี 2569 และคาดว่าจะเปิดให้บริการรักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตนตามสิทธิประกันสังคมได้ประมาณปี 2570 2) โครงการนครธน ลองไลฟ์เซ็นเตอร์ ซึ่งจะตั้งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลนครธน เพื่อจะเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงแบบองค์รวม คาดว่าจะมีค่าใช้จ่าย ฝ่ายทุนที่เกี่ยวข้องประมาณ 557 ล้านบาท และคาดว่าจะเปิดดำเนินการประมาณปี 2569 และ 3) โครงการขยายจำนวนเตียงให้บริการของโรงพยาบาลนครธนอีก 110 เตียง จากปัจจุบัน 150 เตียง รวมเป็น 260 เตียง คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนที่เกี่ยวข้องประมาณ 414 ล้านบาท และคาดว่าจะทยอยเปิดให้บริการปี 2568-2570 ซึ่งทั้ง 3 โครงการมีความคืบหน้าตามแผนงานที่วางไว้ ขณะที่โรงพยาบาลนครธน บนถนนพระรามที่ 2 ที่สร้างรายได้หลักแก่บริษัทฯ มีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นด้านทำเลที่ตั้งของโรงพยาบาลที่มีศักยภาพจะเป็น “เขตเมืองแห่งใหม่” (New Urbanized District) ของกรุงเทพฯได้ในอนาคต เนื่องจากเป็นหนึ่งในเขตพื้นที่อยู่อาศัยชั้นดีและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงพระรามที่ 2 เป็นถนนสายหลักที่มุ่งสู่ฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ และใช้เดินทางสู่ภาคใต้ของประเทศไทย อีกทั้งสามารถเชื่อมต่อสู่ย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ ด้วยทางด่วน และมีการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ตลาดนัด และซุปเปอร์มาร์เก็ต จำนวนมาก นอกจากนี้ โรงพยาบาลนครธนตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ราชการสำคัญ เช่น สำนักงานเขตบางขุนเทียน และสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางขุนเทียน เป็นต้น            ดร.วิศาล สายเพ็ชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลนครธน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลนครธน เป็นหนี่งในโรงพยาบาลชั้นนำของพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก ที่มีความสามารถรักษาโรคที่มีความซับซ้อน (โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ) ซึ่งโรงพยาบาลระดับตติยภูมิส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก โดยโรงพยาบาลนครธนมีศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง 20 ศูนย์ อาทิ ศูนย์สมองและระบบประสาท ศูนย์หัวใจ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ศูนย์กระดูกสันหลัง ศูนย์มะเร็ง ศูนย์ทันตกรรม เป็นต้น และมีแผนกการรักษาผู้ป่วย 1 แผนก ได้แก่ แผนกไตเทียม โดยบริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์การเติบโต ประกอบด้วย 1) มุ่งมั่นก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำในระดับประเทศ 2) พัฒนาคุณภาพการให้บริการด้วยบุคลากรและทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ 3) นำเทคโนโลยีมาใช้บริหารจัดการองค์กร 4) ขยายขอบเขตการให้บริการภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ 5) ต่อยอดความแข็งแกร่งของ Brand Image และพัฒนาความไว้วางใจจากผู้ใช้บริการ 6) ขยายธุรกิจผ่านเครือข่ายของโรงพยาบาลและธุรกิจด้านสุขภาพอื่นๆ และ 7) ขยายการให้บริการแก่กลุ่มผู้รับบริการชาวต่างชาติ โดยได้แต่งตั้งตัวแทนด้านการตลาดในเมียนมา เพื่อเป็นศูนย์กลางติดต่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายและผู้ที่สนใจเข้ารับบริการทางการแพทย์ สามารถเดินทางมาประเทศไทยเพื่อรับบริการที่โรงพยาบาลนครธนได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงขยายการทำการตลาดไปยังประเทศกัมพูชาและบังกลาเทศอีกด้วย            นายยศวีร์ สุทธิกุลพานิช ผู้บริหารสายงาน Investment Banking and Capital Market ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า บมจ.โรงพยาบาลนครธน มีศักยภาพการเติบโตที่ดี เนื่องจากมีจุดเด่นที่หลากหลาย อาทิ สามารถให้บริการรักษาโรคที่มีความซับซ้อนและโรคทั่วไป ทำเลที่ตั้งในบริเวณพระราม 2 ที่มีศักยภาพเป็นเมืองแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ในอนาคต มีความร่วมมือกันพันธมิตรชั้นนำจัดตั้งศูนย์การแพทย์เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ และมีฐานลูกค้าจำนวนมาก ฯลฯ ประกอบกับการเสนอขายหุ้น IPO ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินเพื่อรองรับการขยายธุรกิจต่อไป            นายคงสิทธิ์ หันจางสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 1 บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ บมจ.โรงพยาบาลนครธน ในช่วงที่ผ่านมาที่ราคาเสนอขายสุดท้ายที่ 7.80 บาท คิดเป็นมูลค่าการระดมทุนทั้งสิ้น 1,053 ล้านบาท ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากจุดเด่นของโรงพยาบาลนครธน ที่เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำของพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก โดยโรงพยาบาลฯ มีแผนขยายฐานผู้เข้ารับบริการชาวต่างชาติ และมีแผนขยายการทำการตลาดแก่ลูกค้าต่างชาติ รวมถึงอยู่ระหว่างลงทุนเพิ่มจำนวนเตียงให้บริการในโรงพยาบาลนครธน และก่อสร้างโครงการใหม่ ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ปี 2564 – 2566 มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจาก 1,551.67 ล้านบาท เป็น 2,036.89 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย (CAGR) 14.57% ต่อปี และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 183.24 ล้านบาท เป็น 282.29 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย (CAGR) 24.12% ต่อปี จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาล ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลัก รวมถึงการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้รวม 1,521.34 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 190.38 ล้านบาท [PR News]

หุ้นท่องเที่ยวรับโชค ได้ประโยชน์  ‘Easy E-Receipt’ เช็กเลย!

หุ้นท่องเที่ยวรับโชค ได้ประโยชน์ ‘Easy E-Receipt’ เช็กเลย!

หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ ส่องหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Easy E-Receipt มองกลุ่ม Tourism (ERW, CENTEL, MINT, SHR) และร้านอาหาร (MAGURO, OKJ) ได้ผลบวกจากค่าที่พักโรงแรมสามารถนำมาหักภาษีได้และคาดเห็นมีโรงแรมเข้าร่วมโครงการมากขึ้น ส่วน CENTEL และ MINT จะได้ประโยชน์เพิ่มเติมจากร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการ และกลุ่มร้านอาหาร MAGURO และ OKJ ได้ผลบวกจากโอกาสมียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นจากโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ กลุ่ม Commerce (กลุ่มผู้ค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกซ์,  IT และห้างสรรพสินค้าจะได้ผลบวกมากสุด) มองบวกต่อโครงการ Easy e-Receipt ที่จะช่วยหนุนให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยประเมินว่ากลุ่มค้าปลีกที่มี basket size ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม Home improvement (HMPRO, GLOBAL) และผู้ค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกซ์ IT (COM7)จะได้ผลบวกมากสุด และ ห้างสรรพสินค้า (CRC,CPN) จาก traffic ที่สูงขึ้น จากระยะเวลาโครงการที่ไม่นาน บนสมมติฐานระยะเวลาโครงการเหมือนกับในปี 2024 ที่ผ่านมาที่ให้สามารถใช้จ่ายได้ไม่ได้นานมากรวมทั้งสิ้นที่ 46 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. 2024 แต่มีการให้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีในปี 2024 ที่สูงขึ้น เป็น 50,000 บาท (ปี 2024 = 50,000 บาท, ปี 2023 = 40,000 บาท, ปี 2022 = 30,000 บาท) ฝ่ายวิจัยแนะ Top picks จากประเด็นข้างต้นคือ HMPRO (ซื้อ/13.00 บาท), CRC (ซื้อ/45.00 บาท), CPN (ซื้อ /72.00 บาท), CENTEL (ซื้อ /44.00 บาท), MAGURO (ซื้อ /26.00 บาท) 

[ภาพข่าว] “SNPS” คว้า 2 รางวัลใหญ่ Prime Minister’s Industry Award 2024

[ภาพข่าว] “SNPS” คว้า 2 รางวัลใหญ่ Prime Minister’s Industry Award 2024

          ดร.ธีรญา กฤษฎาพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SNPS ผู้นำนวัตกรรมสารสกัดจากธรรมชาติ ผลิตและจำหน่ายสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ดำเนินธุรกิจมามากว่า 25 ปี ได้เข้าร่วมพิธีรับมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2567 (The Prime Minister’s Industry Award 2024)  รับรางวัลรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น ประเภทบริหารธุรกิจสู่สากล ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติจาก นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นประธานในพิธี นอกจากนี้ทาง บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น จำกัด (บริษัทในเครือ) ยังได้รับรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น ประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์

RS มุ่ง Sustainable Life Enriching  ใช้ Entertainmerce โตยั่งยืน

RS มุ่ง Sustainable Life Enriching ใช้ Entertainmerce โตยั่งยืน

          บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์เอส กรุ๊ป "RS" ในฐานะองค์กรเอกชนชั้นนำที่มุ่งเน้นการส่งมอบความสุขผ่านงานบันเทิง สินค้าและบริการเพื่อสุขภาพอย่างครบวงจรให้แก่ผู้บริโภคและสัตว์เลี้ยง ภายใต้โมเดลธุรกิจ Entertainmerce ซึ่งนอกจากสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ยังให้ความสำคัญกับการทำงานด้านความยั่งยืนโดยใส่ใจและมีความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามนโยบายขององค์การสหประชาชาติ ภายใต้กรอบ ESG (Environmental, Social and Governance) ซึ่งกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจของธุรกิจในเครือ อาร์เอส กรุ๊ป ต้องอยู่บนพื้นฐานของการสร้างการเติบโตและยั่งยืนภายใต้แนวคิด Sustainable Life Enriching  ซึ่งมาจากความเชี่ยวชาญทางธุรกิจและประสบการณ์ของพนักงานและผู้บริหาร โดยเน้นการดำเนินการอย่างยั่งยืน ใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ เสริมสร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Enhance Health and Wellbeing) ที่อาร์เอส กรุ๊ป เราเชื่อว่าทุกชีวิตมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้องค์กรเติบโต จึงมุ่งมั่นในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนและสัตว์เลี้ยงให้มีความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดี (Consumer Health and safety) ครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพกายและใจ ด้วยมาตรฐานและนวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับระดับโลก โดย สุขภาพคน มีการสร้างสรรค์และส่งมอบผลิตภัณฑ์นวัตกรรม (Innovation Development) ด้านสุขภาพที่หลากหลายให้แก่ผู้บริโภค เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมด้วยบริการที่ไม่เพียงแต่ดูแลเฉพาะรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังช่วยสร้างความรื่นรมย์ต่อจิตใจอีกด้วย ด้าน สุขภาพสัตว์ ได้ยกระดับคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงในฐานะสมาชิกสำคัญของครอบครัว ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่ได้รับการพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีชีวิตที่มีความสุข แข็งแรง และได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมในทุกช่วงวัย สนับสนุนการลงทุนด้านสังคม (Contribute to Social Investment) อาร์เอส กรุ๊ป พร้อมที่จะแบ่งปันความบันเทิง ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญจากบุคลากรที่หลากหลาย ด้วยการส่งมอบโอกาสและสนับสนุนความเท่าเทียมในสังคม มุ่งสร้างความสุขที่ยั่งยืน ผ่านการต่อยอดความรู้และเพิ่มทักษะในการทำงาน เพื่อนำไปปรับใช้ในโลกยุคปัจจุบัน ผ่านโครงการและกิจกรรมต่างๆ ดังนี้ โครงการ RS Have A Seat เป็นโครงการที่แบ่งปันพื้นที่พิเศษในกิจกรรมบันเทิงต่างๆ ของ อาร์เอส กรุ๊ป ให้กับกลุ่มเยาวชนและกลุ่มเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงวัย หรือผู้พิการ เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงประสบการณ์ความบันเทิงเต็มรูปแบบ ช่วยเติมเต็มความสุข รอยยิ้ม และสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต (Social Inclusion) สำหรับปีนี้ ได้มอบสิทธิพิเศษให้กับ สมาชิกกลุ่มจ้างวานข้า มูลนิธิกระจกเงา ร่วมสนุกในคอนเสิร์ต “RS Meeting Concert 2024 Dance Marathon 2 ยกกำลัง...เต้น จำนวน 30 คน, ผู้พิการและผู้ช่วยพิการ จากโครงการกาลพลิก จำนวน 50 คน ร่วมชมวาไรตี้ซีรีส์คอนเสิร์ต “ยัยตัวร้ายกับนายหัวโจก” และล่าสุด ทีมพนักงานกวาด จากสำนักเขตจตุจักร จำนวน 40 คน เข้าร่วมชมคอนเสิร์ต อำพลฟูดส์ presents DAN - BEAM DREAM 2 BE CONCERT 21st CENTURY DADDY’S CLUB โครงการ RS Young Blood อาร์เอส กรุ๊ป แบ่งปันความเชี่ยวชาญขององค์กร เปิดโอกาสให้เยาวชนเข้ามาศึกษาดูงาน และเรียนรู้จากประสบการณ์จริง เพื่อเสริมสร้างทักษะและแรงบันดาลใจในการก้าวสู่เส้นทางอาชีพในอนาคต (People Development) ไม่ว่าจะเป็นการลงนาม MOU จับมือ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ เปิดหลักสูตร “Entertainmerce”, การเปิดบ้านต้อนรับคณะอาจารย์และเจ้าหน้าที่สำนักงานวิทยทรัพยากรและสถานีวิทยุจุฬา Chula Radio, เปิดสตูดิโอ COOLfahrenheit และช่อง 8 ให้นิสิตคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ สัมผัสประสบการณ์จริง เป็นต้น RS Nearby ช่วยชุมชนบอกต่อของดี โครงการส่งเสริมธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อยในชุมชนย่านจตุจักรในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมรายได้ให้แก่ชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อยย่านจตุจักร (Local Economic Development) จากการเป็นสื่อกลางในการโปรโมตของดีในชุมชนผ่านสื่อต่างๆ ของอาร์เอส กรุ๊ป ทั้งทางสื่อโซเชียลมีเดียของบริษัทฯ และการนำเสนอคอนเทนต์ผ่านรายการปากท้องต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 8 รวมถึงการประชาสัมพันธ์ในช่วงต่างๆ ของสถานีเพลง COOLfahrenheit ซึ่งเป็นการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับร้านค้าและผลิตภัณฑ์คุณภาพในชุมชนให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย เขตจตุจักร กิจกรรม People Development ที่มุ่งมั่นพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรในองค์กร ด้วยการเพิ่มทักษะและความรู้ใหม่ๆ ผ่าน RS Learning Center พร้อมกับการดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ เพื่อให้พนักงานทุกคนสามารถเติบโตและก้าวหน้าไปพร้อมกับองค์กร มีทั้งกิจกรรมเวิร์คช็อป “RS Healthy Mind for Healthy Engagement สร้างภูมิคุ้มกันจิตใจ, กิจกรรมเติมเต็มความรู้ด้านความยั่งยืน RS Group Sustainability Training สร้างการตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อม (Protect our Planet) อาร์เอส กรุ๊ป เชื่อว่าการสร้างโลกที่ยั่งยืนจะนำไปสู่อนาคตที่สดใส และส่งผลดีต่อธุรกิจและสังคม เราจึงมุ่งสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมใช้ทรัพยากรอย่างรับผิดชอบเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่โลกใบนี้ (Environmental Preservation) โดยผลักดันให้องค์กรลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง และลดสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 จึงตั้งเป้าดำเนินธุรกิจตามแนวปฏิบัติ RS Net Zero และตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่การดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่การลดการใช้พลังงานและการจัดการคัดแยกขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการพัฒนากระบวนการธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและลดผลกระทบต่อโลกในระยะยาว Low Carbon Event สร้างสรรค์ มิวสิคเฟสติวัลคาร์บอนต่ำ ที่มุ่งเน้นการจัดระเบียบการแยกขยะภายในงาน สนับสนุนให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแยกขยะเพื่อส่งเข้าสู่ระบบจัดการอย่างถูกวิธี และลดขยะในงานไม่ให้เกิดปัญหากับชุมชนหรือสิ่งแวดล้อม ปราศจากการฝั่งกลบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปี พ.ศ.2567 มีการจัดเทศกาลดนตรี COOL Summer Fest 2024 ณ ชายหาดชะอำ จังหวัดเพชรบุรี จัดการขยะรวม 1,187 กิโลกรัม และเทศกาลดนตรี COOL Windy Fest 2024 จัดการขยะรวม 894 กิโลกรัม RS Green Army การมีส่วนร่วมในการลดการใช้พลังงานและลดขยะในองค์กร โดยพนักงานทุกคนยังเป็นกระบอกเสียงสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ และเชิญชวนให้ทุกคนร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน อาทิ ความร่วมมือลดใช้พลังงานในองค์กร, กิจกรรม #ฮาวทูทิ้ง สะสมฝาขวดน้ำเพื่อส่งเข้าสู่ระบบรีไซเคิล โดยปีนี้สามารถรวบรวมฝาขวดน้ำได้มากถึง 70 กิโลกรัม Green Packaging เป็นการสร้างมาตรฐานในการดำเนินธุรกิจคอมเมิร์ซที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม โดยให้ความสำคัญในการผลิตสินค้าที่ปราศจากสารตกค้างที่อันตราย และคัดเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองว่าไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งแบรนด์ vitanature+ ได้ปรับบรรจุภัณฑ์มาเป็น PCR (Post-Consumer Recycled Plastic), Hato Pet Wellness เลือกใช้บรรจุภัณฑ์แบบ รีฟิลทุกสาขาเพื่อลดขยะ Contribution คืนชีพขวดพลาสติก PET1 จากขยะสร้างสรรค์ใหม่ให้กลายเป็นกระเป๋าจากเส้นใย รีไซเคิล โดยนำรายได้ทั้งหมดไปสมทบทุนสนับสนุนการดูแลสัตว์ทะเลหายากและระบบนิเวศ ร่วมมือกับคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมกว่า 300,000 บาท โดยทำต่อเนื่องปีนี้เป็นปีที่ 3 แล้ว           ทั้งนี้ อาร์เอส กรุ๊ป พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตควบคู่กับการดูแลสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ด้วยความมุ่งมั่นนำความเชี่ยวชาญของแต่ละธุรกิจในเครือ ทั้งการสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก (Inspire) กับทุกธุรกิจ สร้างการป้องกันและผลกระทบเชิงลบ (Prevent) ด้วยสินค้าและบริการ สร้างความเชื่อมโยงระหว่างองค์กรกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Connect) และการสร้างโอกาสและการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม (Access) มุ่งสู่การเป็น Sustainable Life Enriching ที่พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนรวมถึงสัตว์เลี้ยงผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกมิติอย่างยั่งยืน           ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสาร และความเคลื่อนไหวต่างๆ ของ อาร์เอส กรุ๊ป ได้ทาง www.rs.co.th และ https://www.facebook.com/RSGROUPOFFICIAL

หุ้น รพ. แนวโน้มปีหน้า รอด หรือ ร่วง ?

หุ้น รพ. แนวโน้มปีหน้า รอด หรือ ร่วง ?

        หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิจัย คงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่ม รพ. "มากกว่าตลาด" เนื่องจาก กลุ่ม รพ. มีความ defensive มีความเสี่ยงต่ำในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป แนวโน้มปี2568 คาดผลประกอบการยังเติบโตดี ภาพระยะกลางถึงยาว มองเป็นบวกจากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ภาครัฐสนับสนุนให้ เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ฝ่ายวิจัย เลือก BCH (TP20.40บาท) และ BDMS (TP37.60บาท) เป็นหุ้น Top pick และแนะนำ “ซื้อ” มองว่าราคาปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป สำหรับ BDMS คาดปี 2568 เติบโตดีต่อเนื่อง ตามการเติบโตของ Center of Excellence การขยาย ฐานลูกค้าต่างประเทศเพิ่ม BCH ในปี 2568 คลายปมประเด็นประกันสังคมสำหรับอัตราการเบิกจ่ายเงินชดเชยโรคร้ายแรง และคาดว่าลูกค้าคูเวตจะกลับมารักษา ราคาลงสะท้อนข่าวลบมากไป เลือก BDMS และ BCH เป็นหุ้นเด่น คงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่ม รพ. ”มากกว่าตลาด” เนื่องจาก กลุ่ม รพ. มีความdefensive มีความเสี่ยงต่ำ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป จากประเด็น Co-payment ซึ่งมองว่ากระทบจำกัด แนวโน้มปี2568 คาดผลประกอบการยังเติบโตดี ภาพระยะกลางถึงยาวมองเป็นบวกจากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ภาครัฐสนับสนุนให้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ฝ่ายวิจัยเลือก BCH(TP20.40บาท) และ BDMS (TP37.60บาท) เป็นหุ้น Top pick ด้วย แนวโน้มผลประกอบการปี 2568 ที่คาดเติบโตดี ขณะที่ราคาปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากไป

TIDLOR  เคาะจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.438 บาทต่อหุ้น

TIDLOR เคาะจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.438 บาทต่อหุ้น

           บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR หรือ บริษัทฯ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 มีมติอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 เป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.438 บาท คิดเป็น 40% ของกำไรสุทธิ เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการปรับโครงสร้างการถือหุ้น และนโยบายการจัดสรรเงินทุนของผู้ถือหุ้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 6 มกราคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 17 มกราคม 2568            นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า “เนื่องจากที่ผ่านมาเรา มีผลประกอบการที่ดีและกำไรสะสมในระดับสูง ประกอบกับสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง สภาพคล่องทางการเงินสูง รวมถึงมีความมั่นใจกับการดำเนินธุรกิจในปี 2568 บริษัทฯ จึงเห็นถึงความเหมาะสมของการจ่ายปันผลรอบพิเศษในครั้งนี้”            นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้รับทราบความคืบหน้าของแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการของบริษัทฯ โดยปัจจุบัน สำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุมัติคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์พร้อมการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของ ติดล้อ โฮลดิ้งส์ แล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในปัจจุบัน ติดล้อ โฮลดิ้งส์ และผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการขออนุญาตและการเห็นชอบอื่น ๆ เพื่อดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการของบริษัทฯ จากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องเลื่อนกระบวนการแลกหุ้น (Tender Offer) เป็นภายในปี 2568 ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีด้านนายหน้าประกันภัย (InsurTech Platform) เพื่อเดินหน้าต่อยอดให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนยังคงสามารถร่วมลงทุนกับหลักทรัพย์ TIDLOR ได้ตามปกติ            นายปิยะศักดิ์ มั่นใจว่าการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ธุรกิจนายหน้าประกันภัยยังคงเติบโตได้ดี ขณะที่ธุรกิจสินเชื่อกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า และยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถควบคุม NPL Ratio ให้ไม่เกิน 2% ตามกรอบที่วางไว้ ซึ่งปัจจุบัน NPL Ratio ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอีกด้วย            ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถติดตามข้อมูลการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการ และการแลกหุ้น ได้ที่เว็บไซต์ www.tidlorinvestor.com หรือ www.set.or.th [PR News]

SPAไฮซีซั่นท่องเที่ยว หนุนกำไรพอง แนะ

SPAไฮซีซั่นท่องเที่ยว หนุนกำไรพอง แนะ "ซื้อ" เป้า 8.50 บ.

 หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง SPA ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น การขยายสาขาผลักดันผลประกอบการใน 4Q24 ฝ่ายวิเคราะห์มองว่า SPA เป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน 2024YTD มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 33.4 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 27% YoY, คิดเป็น 90% ของระดับก่อนโควิด) และนักท่องเที่ยวจีนกลับมาแล้ว 65% ของระดับก่อนโควิด ซึ่งส่งผลบวกต่อ SPA เนื่องจากลูกค้าต่างชาติสร้างรายได้ถึง 70% ของรายได้รวม โดยนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออกคิดเป็น 50% ของรายได้ SPA ทั้งนี้ แรงส่งจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวคาดว่าจะช่วยรักษาระดับ SSSG ให้ใกล้เคียงกับ 3Q24 ที่ 8% นอกจากนี้ SPA ยังขยายสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา ทำให้สิ้นปี 2024F จะมีสาขารวม 79-80 สาขา (เพิ่มจาก 77 สาขาในไตรมาส 3/24 เทียบกับที่เรา คาดการณ์ไว้ที่ 79 สาขา) สำหรับปี 2025F บริษัทได้คัดเลือกทำเลสำหรับสาขาใหม่แล้ว 4-5 แห่ง และอยู่ระหว่างเจรจาเพิ่มเติม คาดกำไรเติบโต YoY, QoQ ใน 4Q24F ด้วยแนวโน้ม SSSG ที่เป็นบวกและผลจากการขยายสาขา คาดว่ากำไรหลักใน 4Q24F จะเติบโต QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล สำหรับเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากใน 4Q23 บริษัทมีบันทึกรายการสิทธิประโยชน์ทางภาษีจำนวน 56 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าว เราคาดกำไรก่อนภาษีของ SPA ใน 4Q24F จะเติบโต YoY ทั้งนี้ ผลประกอบการ 9M24 อยู่ที่ 217 ล้านบาท (+13% YoY) คิดเป็น 69% ของประมาณการทั้งปีของเรา ดังนั้น เรายังคงประมาณการผลประกอบการ โดยคาดอยู่ที่ 313 ล้านบาท สำหรับปี 2024F และ 365 ล้านบาท (+16% YoY) สำหรับปี 2025F คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท (DCF) ปัจจุบัน SPA ซื้อขายอยู่ที่ 25x 2025F PER คิดเป็น -1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต โดยเราคาดผลประกอบการเติบโตเฉลี่ย 16% ต่อปีระหว่างปี 2024-2026F ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว การขยายสาขาและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น ดังนั้น ยังคงแนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมาย 8.50 บาท

ราคาน้ำมันปิดลบ ชี้หุ้นสายการบิน AAV รับอานิสงส์

ราคาน้ำมันปิดลบ ชี้หุ้นสายการบิน AAV รับอานิสงส์

  หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent -0.98% d-d ปิดที่ USD 72.67/barrel น้ำมัน WTI -0.91%d-d ปิดที่ USD 69.38/barrel แรงกดดันจากคาดการณ์ Demand การบริโภคน้ำมัน จากมุมมองธนาคารกลางสำคัญมีโอกาสลดดอกเบี้ยในระยะยาวช้าลง และ Dollar index แข็งค่าแรงเป็นปัจจัยกดดัน มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ แต่ในทางตรงข้ามจะบวกต่อหุ้นสายการบิน AAV กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ฯลฯ

KSS คาด SET สร้างฐาน ต้าน 1394 จุด จับตาค้าปลีก ลุ้นมาตรการรัฐ

KSS คาด SET สร้างฐาน ต้าน 1394 จุด จับตาค้าปลีก ลุ้นมาตรการรัฐ

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้“แกว่งสร้างฐาน” ต้าน 1390/1394 จุด รับ 1367/1362 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังถูกปรับสถานะจาก ผลประชุม Fed ดัชนีS&P500 รีบาวน์ก่อนปิดทรง -0.09% รายงานเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังแข็งแกร่ง GDP งวด 3Q24 +3.1%q-q สูงกว่าตลาดคาด และ prev. 3.0% ขณะที่ยอดขอรับสวัสดิการว่างงาน (Initial Jobless Claims) ที่ 2.2 แสนราย ดีกว่าตลาดคาดเล็กน้อย vs prev. 2.42 แสนราย และสนับสนุนมุมมองดอกเบี้ยตาม Dot Plot ใหม่ของ Fed ทำให้US Bond Yield 10 ปียังแกว่งขึ้นอีก +5 bps มาปิดที่ 4.56% ขณะที่ Dollar Index เร่งขึ้นมาปิดที่ 108.1 จุด สูงสุดในรอบ 2 ปีทำให้เงินบาทแกว่งตัวอ่อนค่า 34.5-34.6 บาท กอปรกับปัจจัยลบเฉพาะตัวของ TOP (เพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP) ต่อกลุ่มพลังงาน กลยุทธ์เน้น Selective คาดหุ้นนำตลาดจะอยู่ในกลุ่มจิตวิทยา Yield สหรัฐสูงหนุน อาทิ ธนาคาร ประกัน หุ้นค้าปลีกที่จะได้ประโยชน์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วน Easy E-Receipt และ Digital Wallet เฟส 2 (เข้า ครม. สัปดาห์ หน้า) กลุ่มได้จิตวิทยาบวกเงินบาทอ่อนค่า และหุ้น Defensive วันนี้แนะนํา KTB, CRC, COM7

รัฐจ่อออกโครงการ “ลดหย่อนภาษี” โบรกเคาะหุ้นได้อานิสงค์

รัฐจ่อออกโครงการ “ลดหย่อนภาษี” โบรกเคาะหุ้นได้อานิสงค์

 หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี เจาะหุ้นค้าปลีก หลังมีข่าว รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการ ลดหย่อนภาษีกระตุ้นการบริโภคในประเทศ โครงการ อีซี่ อี-รีซีท (easy e-receipt) ต่อที่ประชุม คณะรัฐมนตรี(ครม.) ในวันที่ 24 ธ.ค.นี้โดยรายละเอียดโครงการจะใช้หลักเกณฑ์เดิม สามารถลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท สำหรับปีภาษี2025 เริ่มดำเนินงาน เดือนม.ค. 25 ผสานกับ ที่กระทรวงการคลังจะเสนอ ครม. อนุมัติมาตรการ Digital Wallet เฟส 2 พร้อมกัน อิงเม็ดเงิน โครงการ Easy E-Receipt ที่รัฐฯประเมินผลบวกรอบก่อน ที่รัฐฯสูญเสียภาษี 1.0 หมื่นล้านบาท แต่..ช่วยเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียน 7.0 หมื่นบาท ผสาน เม็ดเงิน Digital Wallet อีกราว 4.0 หมื่นล้านบาท ฝ่ายวิจัยประเมินเม็ดเงินทั้ง 2 ส่วน คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP อยู่ราว 0.5%+/- จากฝั่งการบริโภคช่วงต้นปี2025 ในส่วนการบริโภคภาคเอกชน และบวกต่อหุ้นค้าปลีก ระยะสั้นเน้น CPALL, BJC, CRC, COM7

บอร์ด TOP ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณ เร่งเดินหน้าโครงการ CFP

บอร์ด TOP ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณ เร่งเดินหน้าโครงการ CFP

        หุ้นวิชั่น - “บอร์ดไทยออยล์” ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณโครงการพลังงานสะอาด (CFP) วงเงิน 63,028 ล้านบาท พร้อมเตรียมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น 21 ก.พ. ปีหน้า ยืนยันผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ ได้ประโยชน์สูงสุด อีกทั้งเพิ่มความแข็งแกร่งและมั่นคงด้านพลังงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ           นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ นัดพิเศษ ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ได้มีมติเห็นชอบเพิ่มงบประมาณในโครงการพลังงานสะอาด   (Clean Fuel Project หรือ CFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาท และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922 ล้านบาท การเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP ครั้งนี้ จะนำไปใช้เพื่อการก่อสร้าง การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ส่วนที่เหลือ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าที่ปรึกษาต่างๆ เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จ    และสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย ที่เกี่ยวข้อง และประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 น. เพื่อขอมติจากผู้ถือหุ้นในการอนุมัติการเพิ่มงบประมาณในโครงการ CFP ดังกล่าว “โครงการ CFP จะทำให้ไทยออยล์มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 400,000 บาร์เรลต่อวัน และสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นโครงการขนาดใหญ่ ปัจจุบันดำเนินการไปแล้วกว่า 90% เมื่อโครงการสำเร็จจะสามารถตอบโจทย์การเติบโตทางกลยุทธ์ในระยะยาว ทำให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ทำให้ไทยออยล์สามารถแข่งขันได้ และเป็นผู้นำ   ในภูมิภาคซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ ในระยะยาว  หากโครงการเดินหน้าต่อจะทำให้ซัพพลายเชน รวมถึงบริษัทรับเหมาก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีงานทำ          มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง” นายบัณฑิตฯ กล่าว