หุ้น mai


D ทุ่ม 30ล. ผุดสาขาทำฟันลักชัวรี

D ทุ่ม 30ล. ผุดสาขาทำฟันลักชัวรี

          หุ้นวิชั่น - D คาดแนวโน้มธุรกิจปี 68 สดใส เทรดดิ้งรับอานิสงส์งบรัฐเบิกจ่าย เล็งปีนี้ 400 ล้านบาท ด้านผู้บริหาร "พรศักดิ์ ตันตาปกุล" ควักเงิน 30 ล้าน ผุด 4 สาขาทันตกรรมใหม่ เจาะต่างชาติทำเงิน ปักหมุดโลเคชั่นลักชัวรี ดีเดย์สาขาแรก 1 มีนาคมนี้ พร้อมตั้งเป้ารายได้โต 15-20%           ทพ.พรศักดิ์ ตันตาปกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ D เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า แนวโน้มธุรกิจในปี 2568 มีทิศทางสดใส โดยได้รับแรงหนุนจากการจัดสรรงบประมาณภาครัฐที่คาดว่าจะออกได้ตามกำหนดเวลา หรือในช่วงปลายปี ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการประมูลงานและการใช้จ่ายในภาครัฐให้กลับสู่ภาวะปกติ           สำหรับธุรกิจเทรดดิ้งของ D คาดว่าปี 2568 จะมียอดขายเพิ่มขึ้นแตะระดับ 400 ล้านบาท จากประมาณการปี 2567 ที่ 350 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการประมูลงานในภาคการศึกษาด้านทันตกรรม โดยคณะทันตแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ คาดว่าจะเริ่มเปิดการประมูลเพิ่มขึ้น หลังจากในช่วงโควิดงบประมาณส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในด้านสาธารณสุข           ทั้งนี้ ในแต่ละปี มูลค่าการประมูลงานในภาคการศึกษาทางทันตกรรมคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท โดย D มีส่วนแบ่งงานประมูลเฉลี่ยที่ 100-120 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในปี 2568           ทิศทางธุรกิจทันตกรรมในปี 2568 จะเป็นบวก โดยได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ซึ่งทำให้ค่าใช้บริการไม่สูงมาก อีกทั้งบริษัทตั้งเป้าหมายขยายตลาดไปยังลูกค้าต่างชาติ หลังจากที่ในปีที่ผ่านมา สัดส่วนลูกค้าต่างชาติเติบโตสูงกว่าช่วงก่อนโควิด           ในปี 2568 บริษัทเตรียมเปิดสาขาทันตกรรมเพิ่มอีก 4 แห่งจากปัจจุบันที่มี 16 แห่ง โดยสาขาแรกจะตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิท ซึ่งบริษัทได้เซ็นสัญญาพื้นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะเปิดให้บริการในวันที่ 1 มีนาคม 2568 ภายใต้แบรนด์ "สุไมล์ ซิกเนเจอร์" (Smile Signature)           สำหรับสาขาที่ 2 คาดว่าจะเปิดที่จังหวัดภูเก็ต โดยบริษัทจะใช้แบรนด์ Smile Signature จากเดิมที่มีคลินิกทันตกรรมแบรนด์ BIDC แล้ว และทำเลที่ตั้งจะอยู่ในพื้นที่หาดบางเทา ซึ่งเป็นทำเลลักชัวรีของเกาะภูเก็ต ขณะที่สาขาที่ 3 จะเปิดที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งบริษัทมีสาขาคลินิกทันตกรรม BIDC อยู่แล้วที่ถนนนิมมาน           สาขาที่ 4 บริษัทตั้งเป้าเปิดที่พัทยา โดยทั้ง 3 สาขาในต่างจังหวัดยังอยู่ระหว่างการหาทำเลที่เหมาะสม โดยบริษัทมีแผนจะเปิดสาขาใหม่ทุกไตรมาสในปี 2568 เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ ส่วนงบลงทุนในการเปิดสาขาใหม่ 4 แห่ง คาดจะใช้เงินลงทุนราว 30 ล้านบาท           ทพ.พรศักดิ์ กล่าวต่อว่า ทิศทางการเติบโตในปี 2568 จะอยู่ที่ระดับ 15-20% เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยคาดว่า ค่าใช้จ่ายต่อบิลจะเพิ่มขึ้น 5-10% จากการปรับค่าบริการ รวมถึงการเติบโตของโรงพยาบาลทันตกรรม กรุงเทพ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ “BIDH” ที่ตั้งอยู่ซอยสุขุมวิท 2 ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง การเติบโตนี้สะท้อนถึงการขยายตัวของธุรกิจทันตกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย D ยังคงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มศักยภาพการให้บริการเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำผิด 11 ราย ต่อ บก.ปอศ. กรณีปั่นราคาหุ้น COMAN

ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำผิด 11 ราย ต่อ บก.ปอศ. กรณีปั่นราคาหุ้น COMAN

          หุ้นวิชั่น - วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2568 | ฉบับที่ 5 / 2568 ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำความผิด 11 ราย ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กรณีสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหุ้นของบริษัท โคแมนชี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (COMAN) และรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2564 และดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติม พบพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่ากลุ่มบุคคลรวม 11 ราย ได้แก่ (1) นายอภิมุข บำรุงวงศ์ (2) นายพัสกร ศิลมัฐ (3) นางสาวภัทชนก ธนฤทัยโรจน์ (4) นางสาวชญาดา สุขกสิ (5) นางสุภา วงค์อนุ (6) นายธีรยุทธ เหรียญชัยยุทธ (7) นายสีหราช โลหชิตรานนท์ (8) นายศุภชัย วิเศษไพฑูรย์ (9) นางสาวฉัฐนันท์ ธนาสินวิวัฒน์ (10) นางพนิตานันท์ เติมคุนานนท์ และ (11) นายนิธิศ ศิลมัฐ ซึ่งมีความสัมพันธ์ด้านส่วนตัวและด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ ได้ร่วมกันสร้างราคาและ/หรือปริมาณการซื้อขายหุ้น COMAN ในระหว่างวันที่ 24 พฤษภาคม – 18 มิถุนายน 2564 โดยมีพฤติกรรม เช่น ผลักดันราคา และจับคู่ซื้อขายกันเองในปริมาณมาก เป็นต้น ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ และมุ่งหมายให้ราคาหรือปริมาณการซื้อหรือขายหุ้น COMAN ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด อันเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 244/3 (1) และ (2) ประกอบบทสันนิษฐาน 244/5 และมาตรา 244/6 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ตามแต่กรณี ซึ่งมีระวางโทษตามมาตรา 296 มาตรา 296/1 และมาตรา 296/2 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ           ก.ล.ต. จึงได้กล่าวโทษผู้กระทำผิดทั้ง 11 ราย ต่อ บก.ปอศ. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้รายงานการดำเนินการตามข้างต้นต่อ ปปง. เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป เนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน           ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาต่อไปเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามลำดับ โดย ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดี และจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว

SMD100 ชนะประกวดราคาราว 48 ลบ.  หนุนรายได้ - เสถียรภาพการเงิน

SMD100 ชนะประกวดราคาราว 48 ลบ. หนุนรายได้ - เสถียรภาพการเงิน

          หุ้นวิชั่น - นายวิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) หรือ SMD100 แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทและบริษัทในเครือชนะการประกวดราคาจำนวน 2 โครงการ ดังนี้ บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ขอรายงานการเข้าลงนามสัญญาจัดหาอุปกรณ์การแพทย์กับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (โรงพยาบาลศรีนครินทร์) โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 31,485,000 บาท (สามสิบเอ็ดล้านสี่แสนแปดหมื่นห้าพันบาทถ้วน) ภายใต้สัญญานี้ บริษัทจะจัดหาเครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) จำนวน 900 ชุด ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญที่มีบทบาทในการสนับสนุนการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจ ด้วยอุปกรณ์ดังกล่าวได้รับการออกแบบตามมาตรฐานระดับสากล และสอดคล้องกับความต้องการของโรงพยาบาลชั้นนำ การลงนามในครั้งนี้ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2571 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มอบให้กับบริษัททั้งในด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์และความเชี่ยวชาญในการให้บริการ บริษัทเชื่อมั่นว่าสัญญาดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนการยกระดับคุณภาพการรักษาพยาบาลในประเทศไทยพร้อมเสริมสร้างศักยภาพของบริษัทในฐานะผู้นำด้านอุปกรณ์การแพทย์ในระดับประเทศ บริษัท เอสเอ็มดีเอ็กซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) ได้รับการประกาศเป็นผู้ชนะการประกวดราคาจากโรงพยาบาลบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ในโครงการจ้างเหมาบริการตรวจการนอนหลับจำนวน 4 ห้องตรวจ รวมมูลค่า 16,800,000 บาท (สิบหกล้านแปดแสนบาทถ้วน) โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญ บริษัทฯ จะดำเนินงานตามมาตรฐานที่กำหนดพร้อมสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพบริการทางการแพทย์ในพื้นที่ และขอขอบคุณโรงพยาบาลบางพลีที่ไว้วางใจในคุณภาพการให้บริการ และมีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนในจังหวัดสมุทรปราการ           ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าทั้ง 2 โครงการนี้จะช่วยสร้างเสถียรภาพทางการเงินและรายได้ในระยะยาว ตลอดจนสนับสนุนเป้าหมายการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้น

TPCH ปักธงปี 68 ลุยโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งใน-ตปท. เต็มสูบ

TPCH ปักธงปี 68 ลุยโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งใน-ตปท. เต็มสูบ

          บมจ.ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง (TPCH) เปิดแผนธุรกิจปี 68 ลุยขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เต็มกำลัง ฟากบิ๊กบอส “กนกทิพย์ จันทร์พลังศรี” ระบุ เดินหน้าก่อสร้างโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ในสปป.ลาว ภายในไตรมาส 1/68 พร้อมเร่งขายคาร์บอนเครดิต เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ หนุนอนาคตเติบโตมั่นคง           นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TPCH) ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 บริษัทฯ มุ่งเน้นพัฒนาธุรกิจพลังงานทดแทนในประเทศ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานขยะและโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล ในส่วนของต่างประเทศ แบ่งเป็น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) รวมทั้ง โครงการพลังงานลม ที่ประเทศกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง           ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายผลงานในปีนี้เติบโตจากปีก่อน เนื่องจากสามารถรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล ที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลจำนวน 7 แห่ง ประกอบด้วย CRB, MWE, MGP, TSG, PGP, SGP, PTG มีกำลังการผลิตติดตั้ง 80.7 เมกะวัตต์ รวมทั้ง โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ สยาม พาวเวอร์ นนทบุรี (SPNT)  จำนวน 1 แห่ง กำลังการผลิตติดตั้ง 9.5 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 90.2 เมกะวัตต์           “ในปีนี้ เรามั่นใจว่า จะสามารถทำรายได้ให้เติบโตจากปีก่อน เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายของโรงไฟฟ้าที่ตัดจำหน่ายออกไป นอกจากนี้ มีการควบคุมต้นทุนของค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น ส่วนโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว ยังสามารถเดินเครื่องได้ตามปกติตามแผนงาน ประกอบกับ มีการนำโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทุกโครงการ ได้จดทะเบียนสำหรับคาร์บอนเครดิต และ I-RECs เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ในการขายคาร์บอนเครดิต สนับสนุนผลงานของบริษัทฯ ให้สามารถเติบโตได้ในระยะยาว” นางกนกทิพย์กล่าว           นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TPCH) กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนในต่างประเทศ มีการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ใน สปป.ลาว ซึ่ง TPCH เข้าร่วมลงทุนกับ บริษัท แม่โขง พาวเวอร์ จํากัด (MKP) ในสัดส่วน 40% มูลค่า 12.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบธุรกิจผลิต และจําหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ใน สปป.ลาว ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 100 เมกะวัตต์ กับรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EDL) เรียบร้อยแล้ว คาดว่า จะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 1/2568 โดยมีระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี ส่วนของการลงทุนในประเทศกัมพูชา โดยตั้งเป้าหมายมีกำลังการผลิตของโครงการพลังงานลมประมาณ 50-100 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ประมาณ 180-200 เมกะวัตต์           สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนในประเทศ โดยพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าขยะชุมชน สยาม พาวเวอร์ หนองสาหร่าย (SPNS) กำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขยะชุมชน สยาม พาวเวอร์ นากลาง (SPNK) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ คาดว่า จะเริ่มก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรได้ภายในไตรมาส 1/2568 ขณะที่ มีการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ เพิ่มประมาณ 4 โครงการ ประกอบด้วย SP4-SP7 เป็นโครงการพลังงานขยะชุมชนในรูปแบบ VSPP (Very Small Power Producer)           ปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 110 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล 80.7 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 29.3 เมกะวัตต์ และยังคงเป้าหมายจะมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2569 แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าในประเทศ ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ กำลังการผลิตรวม 150 เมกะวัตต์ รวมถึงโครงการในต่างประเทศ กำลังการผลิต 350 เมกะวัตต์ เป็นโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม [PR News]

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

WINMED สุดเฮง! รับปีมะเส็ง คว้างานเพิ่ม 23 ลบ.

WINMED สุดเฮง! รับปีมะเส็ง คว้างานเพิ่ม 23 ลบ.

             บมจ.วินเนอร์ยี่ เมดิคอล (WINMED) แจกข่าวดีรับปีใหม่ คว้างานประมูลเพิ่มมูลค่ากว่า 23 ล้านบาท เป็นงานชุดอุปกรณ์และน้ำยาสำหรับใช้ทางการแพทย์ ได้แก่ น้ำยาตรวจความปลอดภัยในโลหิต,ตู้เก็บโลหิตและเกล็ดโลหิต, และเครื่องชั่งและเขย่าเกล็ดโลหิต ให้กับกลุ่มภาครัฐ รวมถึงการสั่งน้ำยาตรวจ HPV ต่อเนื่องจากโรงพยาบาลรัฐชั้นนำ ฟากบิ๊กบอส "นันทิยะ ดารกานนท์" แอบกระซิบ ช่วงที่เหลือของปีนี้มีเซอร์ไพรส์ อีกเพียบ รับรองไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวังคร้าบ!!

กรีนโลจิสติกส์มาแรง! LEO-SONIC ตามเทรนด์

กรีนโลจิสติกส์มาแรง! LEO-SONIC ตามเทรนด์

          หุ้นวิชั่น - SCB EIC ส่องแนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ปี 68 มูลค่า 9 แสนล้าน โต 3.4%  ชี้แนวโน้มราคาน้ำมันลด กดต้นทุนร่วง ส่งซิกเทรนด์ Green-LogTech Logistics มาแรง ด้านบอสใหญ่ LEO เดินหน้าขยายธุรกิจตามแนวทาง ESG ยกระดับขนส่งสู่ตลาดโลก           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ระบุถึง แนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ปี 2024-2025 การเติบโตอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความผันผวนธุรกิจโลจิสติกส์ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ท่ามกลางความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้นจากแรงกดดันด้านเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มาพร้อมกับการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้น           ในปี 2567 รายได้ของผู้ให้บริการโลจิสติกส์คาดว่าจะขยายตัว 5.1% (YOY) ตามการฟื้นตัวของการค้าระหว่างประเทศ และอัตราค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์โลกที่ปรับเพิ่มขึ้นจากวิกฤตทะเลแดง           ส่วนในปี 2568 รายได้ของผู้ให้บริการโลจิสติกส์คาดว่าจะเติบโตชะลอตัวอยู่ที่ 3.4% (YOY) คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 9 แสนล้านบาท เนื่องจากความต้องการขนส่งที่ขยายตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการบริโภคภายในประเทศที่เติบโตช้าลง แนวโน้มค่าขนส่งปี 2568           อัตราค่าขนส่งเฉลี่ยในปี 2568 มีแนวโน้มใกล้เคียงกับปี 2567 แต่จะมีความผันผวนมากขึ้น โดยค่าขนส่งทางถนนในประเทศและค่าขนส่งทางอากาศโลกมีแนวโน้มทรงตัว ขณะที่ค่าขนส่งทางเรือคาดว่าจะลดลง ส่วนราคาน้ำมันดิบโลกเฉลี่ยมีแนวโน้มปรับลดลง ซึ่งส่งผลดีต่อการลดต้นทุน แต่ในอีกด้านหนึ่ง อาจทำให้ผู้ให้บริการมีความจำเป็นต้องลดค่าขนส่งเพื่อการแข่งขัน เทรนด์ธุรกิจโลจิสติกส์ที่เติบโต           Green Logistics : การให้บริการโลจิสติกส์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมกำลังเป็นเรื่องสำคัญในระดับโลก ผู้ให้บริการในไทยเริ่มให้บริการ Green Logistics เพิ่มขึ้น           LogTech (Logistics Technology) : การนำเทคโนโลยีมาใช้ยกระดับการบริหารจัดการโลจิสติกส์ให้สะดวกรวดเร็วขึ้น พร้อมลดต้นทุน แนวโน้มการแข่งขันในธุรกิจโลจิสติกส์           การแข่งขันในธุรกิจโลจิสติกส์ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นใน 3 ด้านหลัก           การขยายบริการที่ทับซ้อนกันมากขึ้น ทั้งในประเภทขนส่งและลักษณะสินค้า ซึ่งนำไปสู่การแข่งขันด้านราคา           การแข่งขันด้านคุณภาพในการขนส่ง ท่ามกลางการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น           การแข่งขันในธุรกิจจัดส่งพัสดุที่รุนแรงต่อเนื่อง ทั้งด้านราคาและคุณภาพบริการ ปัจจัยสำคัญที่กระทบธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2568           เศรษฐกิจโลกที่เติบโตชะลอตัว และเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน เช่น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การกีดกันทางการค้า เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ           การเปลี่ยนผ่านสู่การขนส่งคาร์บอนเป็นศูนย์ ซึ่งธุรกิจโลจิสติกส์ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบบริการและยานพาหนะเพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม           การใช้เทคโนโลยี AI ในการขนส่ง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเส้นทาง สภาพอากาศ และจราจร รวมถึงการประสานงานระหว่างผู้ขนส่งกับผู้ว่าจ้าง ธุรกิจโลจิสติกส์ความสำคัญและการแบ่งประเภท           ธุรกิจโลจิสติกส์คือธุรกิจที่ให้บริการจัดการเคลื่อนย้ายสินค้า ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ครอบคลุมบริการที่หลากหลาย เช่น การขนส่งสินค้า การบริหารคลังสินค้าและจัดการสินค้าคงคลัง การบริการด้านพิธีการศุลกากร การจัดเก็บสินค้าและลานตู้สินค้า และการบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ประเภทของผู้ประกอบการโลจิสติกส์แบ่งได้ตามบริการที่ให้ ได้แก่           ผู้ให้บริการขนส่งสินค้า (Freight Transport)           ผู้ให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้า (Freight Forwarder)           ตัวแทนขายระวางสินค้า (Cargo Sale Agent)           ผู้ให้บริการคลังสินค้าและกระจายสินค้า (Warehousing & Distribution)           ผู้ให้บริการเทคโนโลยีโลจิสติกส์ (Logistics Technology)           ผู้ให้บริการ 3PL (Third-Party Logistics) ซึ่งให้บริการโลจิสติกส์หลายประเภทภายใต้ผู้ประกอบการรายเดียว           นอกจากนี้ ธุรกิจโลจิสติกส์ยังแบ่งย่อยตามกลุ่มประเภทการขนส่ง ได้แก่ การขนส่งทางถนน การขนส่งทางน้ำ การขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางราง และแบ่งตามลักษณะสินค้า เช่น สินค้าทั่วไป สินค้าวัตถุอันตราย สินค้าควบคุมอุณหภูมิ พัสดุสินค้า ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ในตลาดหลักทรัพย์ไทย สามารถจำแนกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก           กลุ่มผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางถนนเป็นหลัก เช่น ETL, KIAT, MENA, SJWD ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้า           กลุ่มผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุ (Parcel Delivery) ซึ่งทำหน้าที่จัดส่งพัสดุไปยังผู้บริโภค เช่น KEX และ TPL           กลุ่มผู้ให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าเป็นหลัก (Freight Forwarder) ซึ่งทำหน้าที่จัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ผ่านการนำเข้าและส่งออก รวมถึงจัดการด้านเอกสาร พิธีการศุลกากร และประสานงานระหว่างผู้ใช้บริการกับผู้ขนส่ง เช่น สายเดินเรือ สายการบิน และผู้ให้บริการรถบรรทุก ตัวอย่างผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ ได้แก่ ANI, B, III, LEO, MPJ, NCL, SINO, SONIC และ WICE           ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ธุรกิจโลจิสติกส์ การเติบโตของรายได้ในธุรกิจโลจิสติกส์ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1. ความต้องการขนส่งการค้าระหว่างประเทศของไทย รวมถึงการค้าชายแดนและการผ่านแดน ซึ่งได้รับผลจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย เนื่องจากธุรกิจโลจิสติกส์ส่วนใหญ่ให้บริการกับธุรกิจนำเข้า-ส่งออกในสัดส่วนสูง           การบริโภคภาคเอกชน เช่น การขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศ           มูลค่าตลาด E-commerce ซึ่งมาจากการดำเนินงานจัดส่งพัสดุไปยังผู้บริโภค 2. อัตราค่าขนส่งซึ่งเป็นผลจากสมดุลระหว่างความต้องการขนส่งและความสามารถในการขนส่ง (Transport Capacity) โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปริมาณยานพาหนะขนส่ง ผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ โรคระบาด นโยบายรัฐ และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจทั้งสนับสนุนและสร้างอุปสรรคต่อการขนส่งสินค้า ต้นทุนค่าขนส่งสินค้า โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ซึ่งต้นทุนบางส่วนจะส่งผ่านไปยังผู้ใช้บริการ           ด้าน นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า LEO ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้ โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานที่ให้ความสำคัญกับแนวทาง ESG (Environmental, Social, and Governance) และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์โลกในปัจจุบันและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน           บริษัทยืนยันความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างคุณค่าให้กับสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่เติบโตควบคู่ไปกับการดูแลโลกในระยะยาว           ขณะที่ ดร.สันติสุข โฆษิอาภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC กล่าวกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า SONIC กำลังศึกษาและพัฒนาโมเดลกรีนโลจิสติกส์ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีแผนเปลี่ยนจากการใช้รถบรรทุกน้ำมันเป็นรถบรรทุกไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาราคาค่ารถบรรทุกไฟฟ้าและการประเมินความต้องการของลูกค้า เพื่อให้สามารถรองรับการให้บริการได้อย่างเต็มที่ คาดว่าจะต้องมีรถบรรทุกไฟฟ้าให้บริการลูกค้าราว 3-5 คันในช่วงแรก และกำลังศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องของค่าบริการที่เหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทาง ESG และเสริมสร้างความยั่งยืนในธุรกิจ. รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] LEO ผนึกพาร์ตเนอร์ ลุย Non-Logistic

[Vision Exclusive] LEO ผนึกพาร์ตเนอร์ ลุย Non-Logistic

          หุ้นวิชั่น - LEO มั่นใจโลจิสติกส์ปี 68 สดใส รับอานิสงส์เศรษฐกิจโลกฟื้น บอสใหญ่ "เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์" เล็ง จับมือพาร์ทเนอร์ใหม่ ขยาย Non-Logistic ใส่เกียร์ลุยเพิ่มสัดส่วนแตะ 35% ดันกำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) โต 20%  พร้อมยกระดับกรีนโลจิสติกส์ ESG ตอบโจทย์โลกและลูกค้า           นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2568 มีแนวโน้มสดใสกว่าปี 2567 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งและเตรียมขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการเร่งสั่งซื้อสินค้าและใช้บริการโลจิสติกส์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ           นอกจากนี้ ฐานลูกค้าส่งออกของบริษัทไปยังสหรัฐฯ ยังคงมีปริมาณการขนส่งที่แข็งแกร่ง ไม่ลดลงจากเดิม จึงมั่นใจว่าธุรกิจโลจิสติกส์ของ LEO จะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันและเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งหากสถานการณ์สงครามในต่างประเทศยุติลงอย่างสมบูรณ์ จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคและเสริมสร้างบรรยากาศเศรษฐกิจให้ดีขึ้น           สำหรับแผนธุรกิจในปี 2568 LEO คาดว่าจะมีการร่วมมือกับพันธมิตรใหม่อีก 2-3 โครงการ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาแผนงานและรูปแบบความร่วมมือ นอกจากนี้ บริษัทให้ความสนใจในการขยายธุรกิจ Non-Logistic โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่ง LEO มีศักยภาพในการบริหารจัดการด้านนี้ให้กับพันธมิตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ           การลงทุนร่วมกับพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ โดยเฉพาะการให้บริการขนส่งสินค้าทุเรียนจากไทยไปยังคุนหมิง ประเทศจีน ผ่านเส้นทางรถไฟความเร็วสูงไทย-ลาว-จีน ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท LaneXang Express ทั้งนี้ บริษัทมองว่าเส้นทางดังกล่าวเป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจ สำหรับปี 2568 บริษัทวางแผนขยายเส้นทางให้บริการเพิ่มเติม โดยจะเปิดเส้นทางใหม่จากไทย ผ่านนครพนมและมุกดาหาร สู่ประเทศเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะกลายเป็นเมเจอร์มาร์เก็ตสำหรับการขนส่งสินค้าทุเรียน รวมถึงสินค้าเกษตรอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการส่งออก           นายเกตติวิทย์ กล่าวต่อว่า ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Non-Logistic เพิ่มขึ้นเป็น 30-35% ของรายได้รวม พร้อมคาดอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) จะเติบโต 15-20% จากการขยายฐานธุรกิจ Non-Logistic ที่มีมาร์จิ้นสูงกว่าธุรกิจหลัก ด้านรายได้รวมของบริษัท แม้ไม่ได้เน้นการเติบโตในเชิงตัวเลขมากนัก เนื่องจากมีความผันผวนตามอัตราค่าระวางเรือ แต่โดยปกติรายได้ของ LEO จะเติบโตเฉลี่ย 10-15% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 บริษัทคาดว่ารายได้รวมจะเติบโตโดดเด่นที่ 20-25% โดยได้รับแรงหนุนจากการรับรู้รายได้เต็มปีจากการขนส่งทางราง และการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดำเนินการในช่วงก่อนหน้า           LEO ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้ โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานที่ให้ความสำคัญกับแนวทาง ESG (Environmental, Social, and Governance) และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์โลกในปัจจุบันและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน           บริษัทยืนยันความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างคุณค่าให้กับสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่เติบโตควบคู่ไปกับการดูแลโลกในระยะยาว รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

[Vision Exclusive] นายกฯ maiA แนะ บจ. ปรับตัวรับศึกแข่งต่างชาติ

[Vision Exclusive] นายกฯ maiA แนะ บจ. ปรับตัวรับศึกแข่งต่างชาติ

          หุ้นวิชั่น - "วิรัฐ สุขชัย" นายกสมาคม maiA แนะนักลงทุนศึกษาธุรกิจก่อนลงทุน ย้อนรอยดูผลงาน 3-5 ปี ยันผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน mai 9 เดือนแรกปี 67 สดใส ชงผู้ประกอบการเร่งปรับตัวรับการแข่งขันต่างชาติ พร้อมเดินหน้ากิจกรรม mai Forum เชื่อมโยงนักลงทุน           นายวิรัฐ สุขชัย นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (maiA) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า แม้ที่ผ่านมา ตลาดทุนจะเผชิญกับปัญหาการชะลอตัวของการระดมทุน การ Forced Sell และผลประกอบการที่ไม่สดใสในบางบริษัท แต่ในภาพรวมของ 9 เดือนแรกปี 2567 ธุรกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีเพียงส่วนน้อยที่ผลประกอบการยังไม่ฟื้นตัว           นายวิรัฐ แนะนำว่า นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัท โดยดูผลประกอบการย้อนหลัง 3-5 ปี เพื่อประเมินศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากปัจจุบันการเติบโตทางธุรกิจเผชิญความท้าทายอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงของภาพรวมเศรษฐกิจและการแข่งขันที่เข้มข้น ไม่เพียงแต่ในประเทศ แต่ยังรวมถึงการแข่งขันกับผู้ประกอบการต่างชาติ เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทย           ธุรกิจบางกลุ่มยังสามารถแข่งขันได้ หากมีการปรับตัวและพัฒนาอย่างเหมาะสม เนื่องจากหลายธุรกิจถูก Disrupt ส่งผลให้การเติบโตเป็นไปได้ยากในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน ดังนั้น ผู้ประกอบการและบริษัทจดทะเบียนจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ สร้างธุรกิจใหม่ หรือขยายไลน์ธุรกิจเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับผู้เล่นต่างชาติ เช่น บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หลายแห่งเดินหน้าปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยบางบริษัทเลือกขยายฐานธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ ขณะที่บางรายมุ่งขยายไลน์ธุรกิจใหม่ๆ หรือเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและบริการ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน แนวทางดังกล่าวสะท้อนถึงความพยายามของบริษัทจดทะเบียนในการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว           ธุรกิจในประเทศจำเป็นต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อรองรับการแข่งขันที่รุนแรงและการเข้ามาของผู้ประกอบการต่างชาติ โดยประเด็นสำคัญในการดำเนินธุรกิจคือเรื่อง สภาพคล่อง ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญ หากธุรกิจมีสภาพคล่องที่ดี การขยายธุรกิจใหม่หรือการปรับตัวเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงจะสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น           นายกสมาคมบ maiA กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน หลังจากที่ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดทุน และทำให้การระดมทุนชะลอตัว ทั้งนี้ การลงทุนในประเทศที่ลดลงในช่วงก่อนหน้านี้ สะท้อนถึงความระมัดระวังของนักลงทุนที่เลือกหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และหันไปลงทุนในตลาดต่างประเทศแทน อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีหน้าอาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และกระตุ้นการลงทุนในตลาดทุนไทยได้มากขึ้น           ในปี 2568 สมาคมจะยังคงมุ่งเน้นการสร้างกิจกรรมเพื่อเชื่อมโยงบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai กับนักลงทุน โดยมีแผนจัดงาน mai Forum ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนได้พบปะนักลงทุนโดยตรง           นอกจากนี้ สมาคมยังเตรียมจัดสัมมนาเพื่อเพิ่มองค์ความรู้ให้แก่บริษัทจดทะเบียน รวมถึงกิจกรรม Visit Company ที่เปิดโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของธุรกิจในตลาด mai อย่างต่อเนื่อง รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

AIRA ชูสินเชื่อยุคดิจิทัล จับมือ NEC ยกระดับ SME

AIRA ชูสินเชื่อยุคดิจิทัล จับมือ NEC ยกระดับ SME

          หุ้นวิชั่น - จากการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างบริษัท เอ็นอีซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (NEC Thailand) และบริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) (AIRA Factoring) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567  NEC Thailand ได้ต่อยอดความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ AIRA Factoring เพื่อยกระดับโซลูชั่นระบบบริหารจัดการสินเชื่อยุคดิจิทัล ด้วย Digital Supply Chain Platform ที่ช่วยให้ธุรกิจการผลิตโดยเฉพาะกลุ่ม SME สามารถมีสภาพคล่องทางการเงิน โดยใช้เพียงเอกสารการเรียกเก็บเงินเป็นหลักทรัพย์ในการขอสินเชื่อเพียง รวมถึงระบบบริหารจัดการในการจ่ายเงินและชำระหนี้ตามข้อกำหนดของแต่ละบริษัท           ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยถือเป็นเส้นเลือดสำคัญของประเทศ สะท้อนได้จากสัดส่วนตัวเลขในผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) สูงถึง 25% ตามรายงาน Manufacturing Production Index (MPI) ประจำปี 2566 ที่จัดทำขึ้นโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เป็นเป้าหมายที่ทำให้ AIRA Factoring เล็งเห็นและให้ความสำคัญในการเข้าสนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบการด้านการผลิต ด้วยการนำเอาโซลูชั่น Supply Chain Finance Solutions ทำให้เกิดความคล่องตัวและสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการเติบโตภาพรวมของเศรษฐกิจทั้งระบบของประเทศไทย Digital Supply Chain Platform โซลูชั่นดูแลสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ           ด้วยความเป็นบริษัทผู้นำด้านโซลูชั่นเทคโนโลยีสารสนเทศของ NEC Thailand มีการร่วมทำงานกันอย่างใกล้ชิดกับ AIRA Factoring บริษัททางการเงินชั้นนำที่ให้บริการด้านสินเชื่อและครบวงจรให้กับกลุ่ม SME ที่ซัพพลายสินค้าให้กับกลุ่มโมเดิร์นเทรด โดยเริ่มขยายเข้าสู่กลุ่ม อุตสาหกรรมยานยนต์ (EV) อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์และบริการทางการแพทย์ และโลจิสติกส์ ที่ได้ประกาศเปิดตัวนำเอาโซลูชั่น Digital Supply Chain Platform เข้ามาใช้ในการดูแลทั้งเรื่องของการให้บริการสินเชื่อรูปแบบต่างๆ ให้กับผู้ประกอบการมาระยะหนึ่งแล้ว           มร. อิชิโร คูริฮาระ  ประธานบริษัท เอ็นอีซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ NEC เปิดเผยว่า  หลังจากบริษัทประกาศเสริมกลยุทธ์ทางธุรกิจจาก IT Partner สู่การเป็นผู้นำด้านโซลูชั่นครบวงจรในโลกธุรกิจดิจิทัล โดยมุ่งโฟกัส Digital Finance เพื่อรองรับความต้องการด้าน Digital Finance โดยเฉพาะ และนำความเชี่ยวชาญของเราเข้าไปสนับสนุนพันธมิตรอย่าง AIRA Factoring เพื่อเสริมศักยภาพในการให้บริการด้านสินเชื่อ โดยอาศัยโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพทำให้การพิจารณาสินเชื่อต่างๆ สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและลดขั้นตอนด้วยระบบอัตโนมัติ           “โซลูชั่น Digital Supply Chain Platform เป็นความร่วมมือระหว่าง NEC Thailand กับ AIRA Factoring หลังจากมีการปรับระบบ Front-end ให้ลูกค้าสามารถสมัครขอรับบริการผ่านช่องทางออนไลน์ได้ และหลังจากลงนามครั้งนี้แล้ว ระบบ Cloud Platform จะเสริม Supply Chain Finance Solutions ที่เข้ามาช่วยทั้งงานด้านบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนภายใน รวมถึงความสามารถในการยื่นขอ Factoring ได้ทุกเวลา โดยผู้ใช้บริการของ AIRA Factoring นั้นสามารถยื่นเอกสาร เช่นใบเรียกเก็บค่าสินค้าเพื่อเป็นหลักฐานในการขอสินเชื่อได้” มร. อิชิโร คูริฮาระ เผย           ซึ่ง NEC เริ่มโครงการพัฒนาระบบการดำเนินงานของ AIRA Factoring ให้เป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบในด้าน Supply Chain Finance ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ระบบ Supply Chain ในภาคการผลิตมีความเคลื่อนไหวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งช่วยเสริมการดำเนินงานประจำวันของ AIRA Factoring ให้มีความรวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น           นายอัครวิทย์ สุกใส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA Factoring สถาบันการเงินผู้ให้บริการสินเชื่อธุรกิจอย่างครบวงจรกล่าวว่า ในปัจจุบันสินเชื่อเพื่อธุรกิจถือเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SME สามารถประคองธุรกิจให้อยู่ต่อไปได้ เพราะเงินทุนเหล่านี้สามารถใช้ในการหมุนเวียนทั้งในการผลิตสินค้าและบริการได้อย่างต่อเนื่อง           ในแง่เชิงธุรกิจ AIRA Factoring คาดการณ์ว่าหลังจากที่นำเอาโซลูชั่น Supply Chain Financing (SCF) จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้ AIRA Factoring เติบโตและขยายยอดการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการมากกว่า 10% ต่อปี จาก 19,000 ล้านบาท ในปี 2567 เป็นต้นไป โดยการสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อปรับปรุงกระบวนการบริหารสินเชื่อ เสริมสร้างความสัมพันธ์กับ supplier และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารกระแสเงินสดให้กับลูกค้า นับว่าจะยังประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทครบทุกภาคส่วน ทั้งผู้ขายสินค้า (Seller), ผู้ซื้อสินค้า (Buyer)และ AIRA Factoring เองก็มีรายได้เพิ่มและสามารถขยายฐานลูกค้าให้เติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย           “AIRA Factoring กำลังเสริมสร้างธุรกิจ SME ไทยให้แข็งแรงมากขึ้น ระบบใหม่ของเรานั้นจะสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่มีสภาพคล่องทางด้านเงินทุน เพราะหากเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ การขอกู้เงินกับสถาบันการเงินเป็นเรื่องยากหรือเป็นไปไม่ได้ แต่หากการมีเอกสารอย่าง Invoice ยื่นประกอบการขอสินเชื่อนั่นหมายความว่า SME รายนั้นๆ มียอดขายจริง นอกจากเราจะสามารถบริการลูกค้าของเราแล้ว ในฐานะของสมาชิกสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจแฟคตอริ่งได้มีการถ่ายทอดความรู้ในเรื่องนี้ไปยังสมาชิก รวมทั้งสถาบันการเงินผู้ให้บริการสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ ให้เห็นถึงความสามารถในโซลูชั่นยุคใหม่ที่สามารถจัดการงานได้รวดเร็วและอัตโนมัติ” นายอัครวิทย์ กล่าวสรุป           การจับมือครั้งนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 โดย AIRA Factoring และ NEC Thailand จะร่วมกันนำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ยั่งยืนซึ่งจะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถก้าวสู่โมเดลเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยมูลค่าเพิ่มได้ [PR News]

ARROW บิ๊กโปรเจ็กต์จ่อ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 6.40 บาท

ARROW บิ๊กโปรเจ็กต์จ่อ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 6.40 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง ARROW ว่า กำไรสุทธิ 3Q24 เท่ากับ 44.6 ล้านบาท +106.0% QoQ และ +12.3% YoY ผลประกอบการใน 3Q24 มีรายได้จากการขายและบริการเท่ากับ 353.5 ล้านบาท +19.7% QoQ ตามงานโครงการของลูกค้า ประกอบกับมีการปรับราคาขายขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับราคาเหล็กในตลาดโลก แต่ยังลดลง -3.4% YoY ส่วนใหญ่เกิดจากลูกค้ามีการชะลอคำสั่งซื้อสินค้า           ด้านอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27.8% เพิ่มขึ้นจาก 23.4% ในไตรมาสก่อน และ 21.4% ใน 3Q23 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบเหล็กมีราคาลดลงในช่วงปลายปี 23 ขณะที่บริษัทมีการเพิ่มยอดขายเพื่อให้ผลิตสินค้าได้เต็มกำลังการผลิต ในส่วนของ %SG&A อยู่ที่ 12.2% ดีขึ้นจาก 15.3% ในไตรมาสก่อนจากการควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเพิ่มขึ้นจาก 8.8% ใน 3Q23 เนื่องจากมีบันทึกรายการขาดทุนจากการด้อยค่าสิทธิการใช้ที่ดินในโรงหล่อเหล็กของบริษัทย่อยจำนวน 5.9 ล้านบาท ส่งผลให้ 3Q24 บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 44.6 ล้านบาท +106.0% QoQ และ +12.3% YoY ทั้งนี้ กำไรสุทธิ 9M24 เท่ากับ 94.9 ล้านบาท เติบโต +29.8% YoY คิดเป็น 80.5% ของประมาณการทั้งปี คาดผลประกอบการยังได้แรงหนุนจากโครงการภาครัฐ           คาดแนวโน้มผลประกอบการ 4Q24 ขยายตัวต่อเนื่อง โดยลูกค้าที่ชะลอคำสั่งซื้อสินค้าในงวด 3Q24 คาดว่าจะมารับรู้ในไตรมาสนี้ ขณะที่ผลประกอบการปี 25 คาดได้แรงหนุนจากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐที่รอประมูล เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้และสายสีส้มด้านตะวันตก โครงการสนามบินอู่ตะเภาส่วนต่อขยาย และโครงการก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายวิเคราะห์คงประมาณการกำไรสุทธิปี 24-25 เท่ากับ 117.8 ล้านบาท และ 126.8 ล้านบาท เติบโต +37.5% YoY และ +6.8% YoY ตามลำดับ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 25 เท่ากับ 6.40 บาท           ฝ่ายวิเคราะห์เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้างตามการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล ประเมินราคาเหมาะสมอิง PER ที่ 13 เท่า (ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี) และประมาณการ EPS อยู่ที่ 0.49 บาท ได้ราคาเหมาะสมปี 25 ที่ 6.40 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

abs

Hoonvision

WARRIX รายได้จ่อทำสถิติสูงสุด แนะ “ซื้อ” เป้า 4.70 บาท

WARRIX รายได้จ่อทำสถิติสูงสุด แนะ “ซื้อ” เป้า 4.70 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง WARRIX ว่า แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 4.70 บาท คาดงวด 4Q67 คาดรายได้จากการขายจำนวน 468 ลบ. +9%QoQ, +19%YoY เป็นไตรมาสที่บริษัทมีรายได้สูงสุดของปี เติบโตจากสินค้า Licensed การขายเสื้อทีมชาติไทย ซึ่งมีโปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2024 ระหว่างวันที่ 8 ธ.ค. 67 ถึงวันที่ 5 ม.ค. 68 และสินค้า Non-Licensed เช่น สินค้าคลาสสิก สินค้าคอลเลกชัน และสินค้าทำตามคำสั่ง (Made to Order) มีสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น (%GPM) ที่ระดับ 49.9% จากระดับ 50.0% ใน 3Q67 และ 48.3% ใน 4Q66 จากการควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น ส่งผลให้เราคาดกำไรสุทธิที่ 58.6 ลบ. +7%QoQ, +6%YoY หากกำไรเป็นไปตามที่ฝ่ายวิเคราะห์คาด จะทำให้ประมาณการกำไรปี 67 มีอัพไซด์ คงคาดการณ์รายได้ในปี 67 และปี 68 ที่ 1,576 ลบ. +29%YoY และ 1,891 ลบ. +20%YoY ตามลำดับ จากการเติบโตของทั้งกลุ่มสินค้า Licensed และ Non-Licensed จากการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย และการขายผ่านช่องทางออนไลน์ คงสมมติฐาน %GPM ปี 67 ที่ระดับ 47.9% และปี 68 ที่ระดับ 48.0% โดยคาดมีค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายที่ปรับตัวขึ้น ส่งเสริมการขายผ่านช่องทาง Modern Trade ค่าโฆษณาและค่าจ้างพรีเซนเตอร์ ค่าใช้จ่ายในการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada, TikTok รวมถึงค่าเช่าพื้นที่สำหรับการเปิด Shop ตามห้างสรรพสินค้า ส่งผลให้ใฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคาดกำไรสุทธิปี 67 และปี 68 เท่ากับ 124 ลบ. -2.6%YoY และ 141 ลบ. +13.6%YoY ตามลำดับ ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี Prospective PER ที่ระดับ 20x ซึ่งอยู่ในระดับ -1SD ของบริษัทในช่วงปีที่ผ่านมา โดยคาดว่ากำไรปี 68 จะเติบโต 14%YoY และคาดการณ์กำไรต่อหุ้นปี 68 เท่ากับ 0.235 บาทต่อหุ้น ทำให้ได้ราคาเหมาะสมปี 68 เท่ากับ 4.70 บาท มี upside จากราคาปัจจุบันราว 27% คิดเป็น Forward P/E ปี 68 ที่ 16x ขณะที่คาด Dividend Yield ในอนาคตราว 2.8% ต่อปี ฝ่ายวิเคราะห์จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

DHOUSE รุกหนักค้าปลีก อสังหาฯสารคามฟื้นแรง

DHOUSE รุกหนักค้าปลีก อสังหาฯสารคามฟื้นแรง

           หุ้นวิชั่น - บิ๊กบอส DHOUSE "พงศ์พจน์ เลิศรุ้งพร" ฉายภาพอสังหาฯสารคามฟื้น หลัง 9 เดือนปี 67 กวาดรายได้เฉียด 180 ล้านบาท เล็งผุดโปรเจ็กต์ใหม่ 200 ล้านบาท ปักธงรายได้โต 30-40% กางแผนขยายพื้นที่ร้านค้าปลีกทำเงิน คาดรับทรัพย์รายได้ประจำเพิ่ม 30 ล้านบาท ล่าสุดตั้ง DAOL GBS UOBKH PST ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/68 อัตราดอกเบี้ย 7.50% ต่อปี เสนอขาย 14-16 ม.ค. นี้            นายพงศ์พจน์ เลิศรุ้งพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ DHOUSE เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดมหาสารคามเริ่มฟื้นตัวชัดเจน โดยจะเห็นจากผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 178.41 ล้านบาท ซึ่งเติบโตแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน และคาดว่ารายได้ทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าหมาย ขณะที่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 มีการเติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับ 3 ไตรมาสก่อนหน้า            สำหรับปี 2568 DHOUSE ตั้งเป้ารายได้เติบโต 30-40% จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการรับรู้รายได้ประจำจากสถานีบริการน้ำมันและร้านค้าปลีกภายในสถานีบริการน้ำมัน  “ปตท. ยูพาร์ค ขามเรียง” ใกล้มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ภายใต้การบริหารของบริษัท ดี เอนเนอร์จี แอนด์ รีเทล จำกัด โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจสถานีบริการน้ำมันในอัตรา 40:60            นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายรายได้ประจำด้วยการพัฒนาพื้นที่ร้านค้าปลีกในรูปแบบ ไนท์มาร์เก็ต โดยใช้พื้นที่ต่อจากสถานีบริการน้ำมันจำนวน 80 ไร่ สำหรับเฟสแรกจะใช้พื้นที่ประมาณ 30 ไร่ และอยู่ระหว่างการเจรจากับร้านค้าและร้านอาหารแบรนด์อินเตอร์เพื่อนำมาเสริมความหลากหลายของพื้นที่บริการ            DHOUSE เตรียมขยายธุรกิจร้านค้าปลีกในรูปแบบไนท์มาร์เก็ต คาดความชัดเจนของแผนการพัฒนาจะเริ่มเห็นในไตรมาส 2/2568 และคาดว่าจะพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวแล้วเสร็จภายในปี 2569 พื้นที่ใหม่นี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้จากธุรกิจร้านค้าปลีกประมาณ 20-30 ล้านบาทต่อปี จากปัจจุบันที่มีรายได้ในกลุ่มนี้อยู่ที่ 150-170 ล้านบาท กลยุทธ์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในระยะยาว            นายพงศ์พจน์ กล่าวต่อว่า DHOUSE วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2568 เป็นโครงการบ้านเดี่ยวบนพื้นที่ 20 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 200 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 3/2568 เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยในจังหวัดมหาสารคามที่เริ่มฟื้นตัว            ปัจจุบัน DHOUSE มีโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ เดอะ แกรนด์ คาแนล, แกรนด์ บิซ, พฤกภิรมย์ ศาลากลาง, และ U PARK HOME รวมมูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท            นอกจากนี้ บริษัทมียอดรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) อยู่ที่ 25 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนและรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งพยายามควบคุมอัตราการปฏิเสธสินเชื่อไม่ให้เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมียอดปฏิเสธสินเชื่อต่ำกว่า 10% กลยุทธ์ดังกล่าวสะท้อนความมั่นใจของบริษัทในการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาค พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในตลาดมหาสารคามอย่างต่อเนื่อง            ล่าสุด บริษัทแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เพื่อเสนอขายหุ้นกู้เสี่ยงสูงมีประกันของบริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2568 ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ. 2570 และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนก่อนครบกำหนด อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ มูลค่าไม่เกิน 135 ล้านบาท โดยมีหลักประกันเป็นที่ดินในจำนวน 48 โฉนด รวมพื้นที่ 251 ไร่ 1 งาน 41.90 ตารางวา ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้จะต้องดำรงมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันรวมกันไม่ต่ำกว่า 1.4 เท่า ของมูลค่ารวมของหุ้นกู้ที่ยังมิได้ไถ่ถอนทั้งหมดตลอดอายุหุ้นกู้            สำหรับวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ เพื่อนำเงินระดมทุนที่ได้ไปใช้ในการพัฒนาโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โครงการเดอะ แกรนด์ คาแนล และ โครงการพฤกภิรมย์ ศาลากลาง โดยมุ่งเน้นพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ มีความพร้อมด้านสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงเพื่อชำระคืนหุ้นกู้ DHOUSE252A            การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้เป็นการเสนอขายให้แก่กลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ (Institutional and High Net Worth Investor: II&HNW) กำหนดวันจองซื้อระหว่างวันที่ 14-16 มกราคม 2568 และ สามารถออกหุ้นกู้ในวันที่ 17 มกราคม 2568            สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2568 มีผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดยมีธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้ และ บริษัท เอ็มเอสซี อินเตอร์เนชั่นแนล ลอว์ ออฟฟิศ จำกัด เป็นที่ปรึกษากฎหมาย รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

TACC เสิร์ฟ “ชาเขียวมะลิ

TACC เสิร์ฟ “ชาเขียวมะลิ" คลายร้อน คาดหนุนรายได้โต Double-Digit

            หุ้นวิชั่น - บมจ. ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ (TACC) พร้อมเสิร์ฟ “ชาเขียวมะลิ” เครื่องดื่มคลายร้อน เติมความสดชื่น ในกลุ่มเครื่องดื่มเย็นในโถกด ที่ร้าน 7-Eleven ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 9 ม.ค.- 5 มี.ค. 68 ฟากผู้บริหาร “ชัชชวี วัฒนสุข“ มั่นใจตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่ชื่นชอบรสชาติชาเขียวที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผสานกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิ ดื่มแล้วสดชื่น ผ่อนคลาย และคลายร้อนได้อย่างดีเยี่ยม คาดผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ ช่วยผลักดันรายได้ปีนี้เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนในระดับ Double-Digit             นายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) (TACC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมส่งเครื่องดื่มเย็นในโถกดรสชาติใหม่ “ชาเขียวมะลิ” ที่ร้าน 7-Eleven พร้อมกันทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 9 มกราคม - 5 มีนาคม 2568 หรือสั่งง่ายๆ ผ่าน #7DELIVERY อีกหนึ่งช่องทางความสะดวกสบาย คาดว่าจะช่วยผลักดันยอดขายปีนี้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 ในระดับ Double-Digit ทั้งนี้ เครื่องดื่มคลายร้อนสุดพิเศษ “ชาเขียวมะลิ” ที่เตรียมวางจำหน่ายในร้าน 7-ELEVEN มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จากการคัดสรรชาเขียวคุณภาพชั้นดี ผสานกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิ “มั่นใจว่า ชาเขียวมะลิ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบเครื่องดื่มชาเขียวที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ให้ความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย ให้รสชาติเข้มข้นของชาเขียวมะลิ ตามด้วยรสหวานและฝาดชาที่กำลังพอดี  โดย TACC ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเครื่องดื่มรสชาติใหม่ร่วมกับ CPALL ในฐานะ Key Strategic Partner ที่คาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้ของบริษัทฯ ในปี 2568 เติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 ตามเป้าหมายที่วางไว้ในระดับ Double-Digit เช่นเดียวกัน” นายชัชชวี กล่าวในที่สุด             ปัจจุบัน TACC ยังคงเดินหน้านโยบายการสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจหลักเพื่อสร้างการเติบโตต่อเนื่องอย่างมั่นคงและยั่งยืน ให้ความสำคัญในด้านการพัฒนาเครื่องดื่มรสชาติใหม่ออกสู่ตลาดร่วมกับพันธมิตรหลักทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อช่วยผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้น และรองรับความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงบริหารจัดการต้นทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทั้งทางตรงและทางอ้อม [PR-News]

InnovestX ผนึก BBIK พัฒนาแอป ยกระดับเทรดสินทรัพย์ตลาดทั่วโลก

InnovestX ผนึก BBIK พัฒนาแอป ยกระดับเทรดสินทรัพย์ตลาดทั่วโลก

          บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) เรือธงด้านการลงทุนภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ร่วมมือกับ บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร มาเป็นส่วนหนึ่งในการวางโรดแมปทำ Architecture & Tech Modernization เพื่อช่วยวางเฟรมเวิร์กและโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนา ‘แอปพลิเคชัน InnovestX’ สำหรับซื้อขายสินทรัพย์บนช่องทางดิจิทัล ซึ่งครอบคลุม    หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุน และสินทรัพย์อื่น ๆ มุ่งสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้านการลงทุนที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์นักลงทุนอย่างครบครัน โดย InnovestX ถือเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตของลูกค้า      อย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 1 ล้านราย           นายวีรภัทร จันทรวรรณกูล Chief Technology Officer บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด    กล่าวว่า แอป InnovestX เป็นแอปพลิเคชันการลงทุน ที่ออกแบบโดยนักลงทุน เพื่อนักลงทุน ลูกค้า InnovestX สามารถลงทุนได้ครบทุกสินทรัพย์ ในปัจจุบันพบว่าความต้องการของนักลงทุนไม่ได้จำกัดแค่หุ้นไทย แต่มองหาโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์อื่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้จากจำนวนผู้ลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา InnovestX เล็งเห็นว่าการมีเครื่องมือการลงทุนที่ดี เทียบเท่ามาตรฐานสากลเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีให้มีความมั่นคง ในขณะเดียวกันต้องมีความยืดหยุ่น สามารถรองรับความต้องการของนักลงทุนในอนาคตได้อย่างรวดเร็ว เพราะสิ่งสำคัญของนักลงทุนคือเวลา การลงทุนต้องมีความราบรื่น และรวดเร็ว แอป InnovestX ใหม่จึงได้รับการพัฒนาโครงสร้าง Platform ด้วยแนวคิด 2 ประการ ได้แก่ 1) Future-ready Architecture ออกแบบสถาปัตยกรรมแบบ Modular เพื่อให้สามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในอนาคตได้อย่างยืดหยุ่น และสามารถปรับปรุงเพิ่มเติมได้เป็นส่วน ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ    มีความปลอดภัยระดับธนาคาร แข็งแกร่งและรวดเร็ว 2) Fast Innovation การปรับโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี พร้อมปรับเปลี่ยนฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้ทันท่วงทีและตอบโจทย์นักลงทุนได้อย่างรวดเร็ว โดยมุ่งเน้นให้มี Performance ที่ดี เพื่อให้เกิดประสบการณ์การใช้งานที่ดี รวดเร็วในการส่งคำสั่ง ถูกต้องแม่นยำ และราบรื่น และมาพร้อมกับความแข็งแกร่งด้านความปลอดภัย และความเชื่อมั่นในฐานะบริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX เป็นหัวใจสำคัญ (Seamless, Secure, Reliable)           นายวีรภัทร กล่าวเสริมว่า จากความมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง  ทำให้ InnovestX มองหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาแอปพลิเคชันด้านการลงทุน โดย Bluebik                มีประสบการณ์ทั้งในแง่การให้คำปรึกษาและการพัฒนาระบบซื้อขายหลักทรัพย์และสินทรัพย์อื่น ๆ มีประสบการณ์ตรงในการพัฒนาแพลตฟอร์มลงทุนให้กับลูกค้ารายอื่นในต่างประเทศ มีเฟรมเวิร์กที่สามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงมีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง จึงมั่นใจว่าจะสามารถเข้ามาเสริมการยกระดับ ‘แอปพลิเคชัน InnovestX’ ในครั้งนี้ให้มีความเป็นมาตรฐานระดับสากลมากยิ่งขึ้น           นายปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า Bluebik รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากทาง InnovestX ให้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีเพื่อการซื้อขายผลิตภัณฑ์การลงทุน (Financial Trading Technology) และช่วยปรับปรุงพัฒนาระบบ (Architecture & Tech Modernization) ให้กับ ‘แอปพลิเคชัน InnovestX’ ที่ทาง InnovestX พัฒนาอยู่ โดยจาก ความเชี่ยวชาญของ Bluebik ในการพัฒนา Large-Scale Application จะสามารถช่วยวางรากฐานระบบของแอปพลิเคชันให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงที่ระบบจะทำงานผิดพลาด และสร้างประสบการณ์การใช้งาน (User Experience) ที่ดีให้กับนักลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาทาง Bluebik มีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับธนาคารและบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่มาแล้วหลายแห่ง           มร. มาร์ติน ซิมป์สัน ผู้อำนวยการ บริษัท บลูบิค โกลบอล จำกัด (ฺBluebik Global) ในฐานะ Technical Director ของทีมผู้พัฒนาเทคโนโลยี EDNA (Event-Driven Nano Service Architecture) ระบุว่า Bluebik ได้นำเทคโนโลยี EDNA เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นเทคโนโลยีแกนหลักของ ‘แอปพลิเคชัน InnovestX’ โดย EDNA เป็นเฟรมเวิร์กในการทำงานกับ Microservice ที่เป็นการแบ่งระบบออกเป็นส่วนย่อย ๆ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการพัฒนา ซึ่ง EDNA เป็นกรอบการทำงานที่ช่วยให้ทีมพัฒนาหลายทีมสามารถทำงานร่วมกันบนกรอบเดียวกัน เนื่องจากมองเห็นภาพรวมของระบบได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ง่ายต่อการดูแลและแก้ไขเมื่อระบบเกิดข้อผิดพลาด อีกทั้งมีความยืดหยุ่นสูงสามารถรองรับการใช้งานจำนวนมากและรองรับการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ของ ‘แอปพลิเคชัน InnovestX’ ได้ในอนาคต โดยก่อนหน้านี้ Bluebik ได้พัฒนาและนำ EDNA ไปประยุกต์ใช้งานจริงสำหรับการพัฒนาแพลตฟอร์มให้กับธุรกิจและสถาบันการเงินมาแล้วในหลายประเทศ           ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่าง InnovestX และ Bluebik ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนแวดวง       การลงทุนของไทย ด้วยการสร้างนวัตกรรมการลงทุน โดยเฉพาะการพัฒนาแอปพลิเคชันการลงทุนที่ตอบโจทย์ได้ทุก  ความต้องการในอนาคต เพื่อให้นักลงทุนไทยสามารถคว้าโอกาสการลงทุนในตลาดทั่วโลกได้ ด้วยแพลตฟอร์มที่ทัดเทียม Global Standards ไม่ใช่แค่ Execution Platform แต่เป็นแอปพลิเคชันที่นำแต้มต่อของการลงทุนต่างประเทศทั่วโลกมาไว้ในมือคนไทยทุกคนไทย           ในแง่ของการพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์นั้น Bluebik มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบขนาดใหญ่ อาทิ โมบายแบงก์กิ้ง (Mobile Banking) ระบบซื้อขายหลักทรัพย์และสินทรัพย์ดิจิทัล ระบบลงทะเบียนขนาดใหญ่ และระบบ Large-Scale & Super App เป็นต้น โดย Bluebik เป็นบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้านดิจิทัล      ทรานส์ฟอร์เมชันแบบครบวงจร ซึ่งให้บริการตั้งแต่การให้คำปรึกษาทางด้านกลยุทธ์ (Management Consulting)      การให้คำปรึกษาและพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Excellence and Delivery) การพัฒนาระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่และปัญญาประดิษฐ์ (Big Data and Artificial Intelligence) การให้คำปรึกษาด้านความมั่นคงปลอดภัย    ทางไซเบอร์ (Cybersecurity) และระบบบริหารจัดการทรัพยากรองค์กร (Enterprise Resource Planning: ERP)      โดย Bluebik มีผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลกว่า 1,000 คน ใน 4 ประเทศ เพื่อให้บริการองค์กรชั้นนำขนาดใหญ่ในหลากหลายภาคอุตสาหกรรม และหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก [PR News]

MPJ แย้มข่าวดี! รุกขยายลานตู้ คาดเพิ่มรายได้ 52%

MPJ แย้มข่าวดี! รุกขยายลานตู้ คาดเพิ่มรายได้ 52%

            หุ้นวิชั่น - นายจีระศักดิ์ มานะตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPJ เปิดเผยว่า แนวโน้มปริมาณการส่งออกและนำเข้าของไทยยังเติบโตต่อเนื่อง โดยใน ไตรมาส 4 ที่ผ่านมา มีปริมาณการขนส่งสินค้าที่สูงตามเป้าหมายของบริษัทฯ ทั้งในส่วนธุรกิจ Freight Forwarding และ ธุรกิจลานตู้คอนเทนเนอร์ที่เป็นธุรกิจหลัก และ คาดว่าปริมาณการค้าระหว่างประเทศ จะเติบโตต่อเนื่อง ตามที่นักเศรษฐศาสตร์ของภาครัฐและเอกชนได้คาดการณ์ไว้             บริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPJ เตรียมขยายธุรกิจขยายลานตู้ คอนเทนเนอร์ผ่านบริษัทลูก คือ MPJDC ที่จะขยายพื้นที่ลานตู้คอนเทนแนอร์ที่ย่านแหลมฉบัง บนพื้นที่ 19-1-48 ไร่ (30,992 ตร.ม.) เป็นพื้นที่ส่วนขยาย เพื่อรองรับปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ที่มีความหนาแน่น จากการใช้พื้นที่ เดิมเต็มพื้นที่การให้บริการ และรองรับการเพิ่มจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ ที่จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นในอนาคต โดย บริษัทจะใช้งบประมาณการลงทุนประมาณ 164 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 6 เดือน โดยจะเริ่ม เปิดดำเนินงานส่วนต่อขยายได้ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ คาดว่าจะเพิ่มรายได้ธุรกิจให้บริการลานตู้ คอนเทนเนอร์ ในอัตราร้อยละ 52 เมื่อใช้ประโยชน์เต็มพื้นที่ ขณะเดียวกัน MPJ ยังมีแผนที่จะเปิดลานตู้ฯ เพิ่มในเขตกรุงเทพฯ เพื่อขยายธุรกิจลานตู้ให้ครบวงจร โดยขณะนี้อยู่ระหว่างจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสม สำหรับการลงทุนของบริษัท สำหรับ งวด 9 เดือนปี 2567 MPJ มีรายได้รวม 745 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12 % จาก 665 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 69.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.70% จาก 58.25 ล้านบาท [PR-News]

[Vision Exclusive] VCOM ไอทีตื่นตัว-เทคโนโลยี AI ฮอต!

[Vision Exclusive] VCOM ไอทีตื่นตัว-เทคโนโลยี AI ฮอต!

          หุ้นวิชั่น - VCOM เอไอขับเคลื่อนธุรกิจ โฟกัสฐานเสริมแกร่ง แม่ทัพใหญ่ "ทรงศรี ศรีรุ่งเรืองจิต" ปักธงรายได้ปีมะเส็งชน 2 พันล้านบาท จับตางานรัฐทยอยออกหลักร้อยล้านบาท ส่งซิกตลาด CLM ฟื้น เชื่อสาถบันลงทุนระบบต่อเนื่อง           นางทรงศรี ศรีรุ่งเรืองจิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท วินท์คอม เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ VCOM เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า เป้าหมายรายได้ของบริษัทในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท โดยจะมุ่งเน้นการขยายตัวในด้าน Artificial Intelligence (AI) หรือปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดไอทีในปีนี้ VCOM ได้เตรียมทีมงานเพื่อรองรับการเติบโตของ AI อย่างเต็มที่ เนื่องจาก AI ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ทุกองค์กรกำลังนำมาใช้เพื่อพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น           ปัจจุบัน VCOM เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Distributor) สำหรับ Oracle และยังเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตชั้นนำอื่นๆ เช่น Hitachi Vantara, Palo Alto Networks, Informatica, Splunk, CrowdStrike, Pure Storage, KnowBe4, Cloudera, Stellar Cyber และ Menlo Security ซึ่งล้วนเป็นแบรนด์ระดับสากลที่มีระบบรองรับการให้บริการด้าน AI และสามารถเจาะกลุ่มธุรกิจทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะกลุ่มที่กำลังตื่นตัวในการนำ AI เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการธุรกิจ           สำหรับทิศทางการลงทุนในโปรเจ็กต์ภาครัฐในปี 2568 คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งการลงทุนในโครงการต่างๆ ชะลอตัว โดยคาดว่าโครงการใหม่ในปีนี้จะมีมูลค่าที่ระดับหลักร้อยล้านบาท           ขณะที่ในประเทศ CLM กัมพูชาและเมียนมาร์ คาดว่าจะมีการขยายตัวที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกัมพูชาที่ในปีก่อนประสบปัญหาเรื่องการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้ลูกค้าหลักของ VCOM ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน ไม่ขยายการลงทุนมากนัก รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] SONIC ขนส่งคึกคัก บาทอ่อนหนุนส่งออก

[Vision Exclusive] SONIC ขนส่งคึกคัก บาทอ่อนหนุนส่งออก

          หุ้นวิชั่น - SONIC บาทอ่อนหนุนส่งออก จับตานโยบายการค้าระหว่างประเทศ เล็งเจาะฐานใหม่ทำเงิน พร้อมตั้งเป้าโตแบบ Organic  10% พร้อมรับทรัพย์คลังสินค้าใหม่เต็มปี ชี้มาร์จิ้นสูง บอสใหญ่ "สันติสุข โฆษิอาภานันท์" ย่องศึกษาโปรเจ็กต์ใหม่เสริมศักยภาพ อวดกระแสเงินสดแน่น 400 ล้านบาท           ดร.สันติสุข โฆษิอาภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC กล่าวกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า แนวโน้มการอ่อนค่าของอัตราแลกเปลี่ยนจะส่งผลดีต่อการส่งออก โดยคาดว่าแนวโน้มการขนส่งจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นหลังจากหยุดเทศกาลปีใหม่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปี 2568 จะมีเทศกาลตรุษจีน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มีการส่งออกสินค้าและปริมาณการขนส่ง (วอลุ่ม) เพิ่มขึ้นจากช่วงปัจจุบัน           ในขณะเดียวกัน ภาพรวมของการขนส่งในปี 2568 ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายการค้าของประธานาธิบดีคนใหม่ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่อาจส่งผลกระทบต่อการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ           แม้ปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออกไปยังตลาดอเมริกาเพียงเล็กน้อย รองลงมาจากการส่งออกไปยังอาเซียน แต่หากพิจารณาในด้านอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) การส่งออกไปอเมริกามีมาร์จิ้นที่สูงกว่าอาเซียน อย่างไรก็ตาม หากเกิดกรณีที่สหรัฐฯ ปิดกั้นการค้าระหว่างประเทศ เชื่อว่าลูกค้าจะปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ และ SONIC จะขยายการขนส่งไปยังประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ประเทศในภูมิภาคอเมริกาใต้และแอฟริกา           สำหรับแผนการเติบโตในปี 2568 คาดว่าธุรกิจโลจิสติกส์หรือขนส่งจะเติบโตได้ประมาณ 10% โดยไม่รวมกับธุรกิจ Non-Logistic ซึ่งเป็นการเติบโตแบบ Organic           ในส่วนของธุรกิจ Non-Logistic บริษัทกำลังเดินหน้าเจรจาเพื่อหาทางเลือกในการเพิ่มโปรเจ็กต์ใหม่ๆ เพื่อเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ พร้อมกันนี้ SONIC ยังมีสภาพคล่องทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีกระแสเงินสดจำนวน 400 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอต่อการขยายธุรกิจในอนาคต           ดร.สันติสุข กล่าวต่อว่า ในปี 2568 บริษัทจะเริ่มรับรู้ผลการลงทุนในธุรกิจแวร์เฮ้าส์ (คลังสินค้า) เต็มปี หลังจากที่ได้เข้าซื้ออาคารคลังสินค้าจากบริษัท หยังกี้ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยมูลค่าการลงทุนไม่เกิน 161 ล้านบาท โดยคาดว่าในปี 2568 อัตราการใช้พื้นที่ (utilization) ของคลังสินค้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 100% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 60%  และบริษัทคาดว่าธุรกิจคลังสินค้าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากมีอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) สูงถึง 60-70% ซึ่งสูงกว่าธุรกิจขนส่ง           บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาและมองหาโปรเจ็กต์ใหม่ๆ ในการลงทุนทั้งในธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจพลังงาน รวมถึงธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เพื่อเสริมศักยภาพในการเติบโตในอนาคต รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

YGG เปิดทางพันธมิตรร่วมธุรกิจเสริมทัพยกระดับสู่ตลาดโลก

YGG เปิดทางพันธมิตรร่วมธุรกิจเสริมทัพยกระดับสู่ตลาดโลก

          “อิ๊กดราซิล กรุ๊ป” เปิดแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว เดินหน้าพัฒนาผลงานคุณภาพสูง ยกระดับสู่ตลาดโลก พร้อมเปิดทางหาพันธมิตรเสริมทัพ สร้างความมั่นคงแข่งแกร่งและยั่งยืนระยะยาว  มั่นใจการเพิ่มทุน ช่วยเสริมสภาพคล่อง เป็นจุดเริ่มต้นขับเคลื่อนบริษัทสู่ยุคใหม่           นายธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG เปิดเผยว่า การที่คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนในครั้งนี้  จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงิน ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัท และที่สำคัญเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทได้ขยายขอบเขตการดำเนินงาน  โดยเน้นการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ พร้อมทั้งต่อยอดความสำเร็จจากประสบการณ์ที่ผ่านมา   และยังสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจเดิม เสริมสร้างนวัตกรรมเพิ่มเติม รวมถึงการขยายตลาดเพิ่มทั้งในประเทศ และต่างประเทศ           สำหรับแผนยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจของบริษัท จะมีการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเดินหน้าพัฒนาโครงการเกมและภาพยนตร์ใหม่ที่มีศักยภาพสูง เน้นการใช้ IP ที่มีเอกลักษณ์และการเล่าเรื่องที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเอเชีย  และเพิ่มนวัตกรรมในทุกกระบวนการผลิต โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง GAME Engine และ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI           ส่วนธุรกิจเดิมพัฒนาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น  โดยเสริมทัพบริการในทุกส่วนงานทั้ง VFX, แอนิเมชัน และเกม ให้มีมาตรฐานระดับโลก   พร้อมทั้งขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดจีนและตลาดเอเชีย   ซึ่งเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว           นายธนัช กล่าวอีกว่า เพื่อให้บริษัทมีฐานะทางการเงิน และมีรายได้มั่นคง จึงเพิ่มขยายด้านการตลาด โดยเน้นบุกการตลาดระดับโลก โดยเฉพาะการส่งออกแอนิเมชันและเกม  ไปยังแพลตฟอร์มชั้นนำ เช่น Steam, PS, และ Xbox   และสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงผู้บริโภค           “เราจะใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาในการบริหารจัดการที่รัดกุม สร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น รวม ทั้งยกระดับระบบภายในองค์กรเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ  การเพิ่มทุนครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนบริษัทสู่ยุคใหม่ เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นคงทางธุรกิจ พร้อมสร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ผู้ถือหุ้นและพันธมิตรของเรา ผมมั่นใจว่าด้วยประสบการณ์และทีมงานที่แข็งแกร่ง สามารถเดินหน้าสู่ความ สำเร็จที่ยั่งยืนได้  สร้างผลกำไรและการเติบโตในระยะยาว” นายธนัช กล่าว [PR News]

PIS เคาะราคาไอพีโอ 3บ. เปิดจองซื้อ 9-10,13 ม.ค.นี้ มั่นใจกระแสแรง!

PIS เคาะราคาไอพีโอ 3บ. เปิดจองซื้อ 9-10,13 ม.ค.นี้ มั่นใจกระแสแรง!

            บมจ.โปร อินไซด์ (PIS) เคาะราคาไอพีโอ 3 บาท/หุ้น จำนวน 140 ล้านหุ้น เปิดจองซื้อระหว่างวันที่  9-10 และ 13 ม.ค.68 คาดลงสนามเทรดตลาด mai วันที่ 20 ม.ค.นี้ มั่นใจกระแสตอบรับท่วมท้น  ตอกย้ำผู้นำเทคโนโลยีอัจฉริยะ ยกระดับประเทศ ส่งเสริมคนไทยอยู่ดีมีความสุข พร้อมนำเงินระดมทุนวางเป็นหลักค้ำประกันกับสถาบันการเงินขอออก LG ให้กับงานโครงการ-ใช้เป็นทุนหมุนเวียน ชูจุดเด่นทีมงานมีความเชี่ยวชาญด้านไอที-ชื่อเสียงและผลงานในอดีต เพิ่มโอกาสคว้าบิ๊กโปรเจค หนุนผลงานโตต่อเนื่อง             นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) เปิดเผยว่า PIS เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 140 ล้านหุ้น มูลคาที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 25.93% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯในครั้งนี้             โดยกำหนดวันจองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 9-10 และ 13 มกราคม 2568 นี้ และได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ โดยมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 2 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด นอกจากนี้ระหว่างวันที่ 11 – 12 มกราคม 2568 สามารถจองซื้อผ่านระบบออนไลน์ของบริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด             ดร.วรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ PIS กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 140 ล้านหุ้น กำหนดราคา IPO ที่หุ้นละ 3 บาท และจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจเทคโนโลยี (TECH) ในวันที่ 20 มกราคม 2568 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "PIS"             “การกำหนดราคา IPO ของ PIS ในครั้งนี้ ถือเป็นระดับราคาเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ รวมถึงโอกาสการเติบโตสูงจากการเข้าประมูลงานโครงการไอทีของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่มีการเปิดประมูลต่อเนื่องทุกปี เพื่อยกระดับประเทศ ทำให้คนไทยอยู่ดีมีความสุข ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมในการเข้าร่วมประมูล เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต สอดคล้องนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะช่วยผลักดันแนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน”             นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) กล่าวว่า ภายหลังการระดมทุน บริษ้ทฯมีแผนนำเงินไปวางเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงิน เพื่อใช้ในการขอออกหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee: LG) ให้กับงานโครงการ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในงานโครงการแก่ลูกค้าหน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมั่นใจว่า PIS จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยม             นอกเหนือจากทีมงานของ PIS ที่มีความรู้ความสามารถและมีความเชี่ยวชาญ สำหรับการให้บริการแก่ลูกค้า โดยมีวิศวกรในการดำเนินงานมากกว่า 100 คน ในจำนวนนี้มีวิศวกรที่ผ่านการทดสอบและได้ใบรับรอง (Certificate) ชั้นสูงจากผลิตภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศได้แก่ Cisco Certificate, VMware Certificate, Huawei Certificate และ Verint Certificate เป็นต้น ส่งผลให้ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ในการนำผลิตภัณฑ์นั้นๆ มาติดตั้งเป็นส่วนประกอบของโซลูชั่นให้แก่ลูกค้าได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งสามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ในอนาคต อีกทั้ง ยังมั่นใจว่าจากชื่อเสียงและผลงานในอดีตของบริษัทฯจะมีส่วนสำคัญในการช่วยให้สามารถเข้าร่วมงานที่มีมูลค่าสูง             ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในงวด 9 เดือนปี 2567 มีรายได้รวม 988.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.38% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 67.88 ล้านบาท

[Vision Exclusive] ZIGA เจาะฐาน B2C ทำเงิน ดีมานด์ใช้เหล็กติดลมบน

[Vision Exclusive] ZIGA เจาะฐาน B2C ทำเงิน ดีมานด์ใช้เหล็กติดลมบน

          หุ้นวิชั่น - ZIGA เดินเกมเจาะ B2C ปั๊มมาร์จิ้นเข้าพอร์ตเพิ่ม ชี้ดีมานด์ใช้เหล็กโตต่อ แถมกลุ่ม B2B ส่งสัญญาณ ลุยลงทุนบิ๊กโปรเจ็กต์ เชื่อหนุนยอดติดลมบน ด้านบอสใหญ่ "ศุภกิจ งามจิตรเจริญ" โชว์ Backlog 500 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 5-15%           นายศุภกิจ งามจิตรเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ZIGA เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ทิศทางธุรกิจในปี 2568 บริษัทจะมุ่งต่อยอดจากธุรกิจที่มีอยู่ หลังจากที่ได้ขยายฐานและเจาะกลุ่ม B2C (Business to Consumer) หรือกลุ่มผู้ใช้งานโดยตรงมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งทำให้ภาพรวมผลประกอบการของ ZIGA โดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม           ในปี 2568 กลุ่ม B2C ของบริษัทจะมีการขยายตัวต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทสามารถรับรู้พฤติกรรมการใช้เหล็กจากทั้งการทำการเกษตรและการใช้งานในภาคครัวเรือน เช่น ฟาร์มวัวและคอกกระบะ ซึ่งการเจาะกลุ่ม B2C ช่วยให้บริษัทสามารถรับรู้พฤติกรรมผู้บริโภคได้ชัดเจน และสามารถสต็อกสินค้าพร้อมจำหน่าย โดยจะช่วยเพิ่มอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) ได้ดีขึ้น           นอกจากนี้ ในปี 2568 ZIGA คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากนโยบายและโครงการลงทุนต่างๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้ารางคู่ ซึ่งจะเป็นโปรเจ็กต์ใหม่ที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตให้กับบริษัท           ปัจจุบัน ZIGA มีงานในมือ หรือ Backlog อยู่ที่ประมาณ 300-500 ล้านบาท และคาดว่าจะทยอยส่งมอบได้ภายในปี 2568 โดยสำหรับปี 2568 บริษัทคาดยอดขายจะเติบโตในช่วง 5-15% แม้ว่าตัวเลขการเติบโตจะไม่สูงมาก แต่จะให้ความสำคัญกับการบริหารกระแสเงินสดและการเก็บเงิน เพื่อให้บริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี           สัดส่วนรายได้ปี 2568 คาดว่าจะมาจากกลุ่ม B2C ราว 60% และ B2B ประมาณ 40% โดยบริษัทเน้นการเจาะฐานลูกค้าผู้ใช้โดยตรงในกลุ่ม B2C ซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องในปี 2568 ทั้งนี้ แม้ว่าทุกกลุ่มธุรกิจ (BU) จะมีการเติบโตที่ดี แต่กลุ่ม B2C คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างมีนัยสำคัญจากการมุ่งเน้นการให้บริการแก่ลูกค้าผู้ใช้โดยตรง           นายศุภกิจ กล่าวต่อว่า ธุรกิจขุดเหมืองบิทคอยน์ของบริษัทยังคงดำเนินการต่อเนื่อง เนื่องจากราคาบิทคอยน์ในปัจจุบันได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง และบริษัทได้ตัดค่าเสื่อมของเครื่องขุดไปหมดแล้ว ขณะที่ต้นทุนในการดำเนินงานขุดบิทคอยน์นั้น บริษัทใช้ไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ ซึ่งทำให้ไม่มีต้นทุนด้านการใช้จ่ายไฟฟ้า           ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนเครื่องขุดบิทคอยน์จากปัจจุบันที่มี 200 เครื่อง เนื่องจากเห็นช่องว่างในการขยายธุรกิจในส่วนนี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับบริษัทในอนาคต           อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 บริษัทมีรายได้ที่ 449.71 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 18.78 ล้านบาท           รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

ก.ล.ต.ไฟเขียว นับหนึ่งไฟลิ่ง MOTHER ขายไอพีโอ 86 ล้านหุ้น

ก.ล.ต.ไฟเขียว นับหนึ่งไฟลิ่ง MOTHER ขายไอพีโอ 86 ล้านหุ้น

          ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง MOTHER เตรียมเสนอขายไอพีโอ จำนวน 86 ล้านหุ้น เดินหน้าเสริมศักยภาพการขยายธุรกิจรองรับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต คาดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ไตรมาสแรกปี 2568            นายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ วาณิชธนกิจ บริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) จำนวน 86 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 30.07 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท โดยคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดธุรกิจบริการ ภายในไตรมาสแรกปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวที่เป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวพอดี           ปัจจุบัน บริษัทดำเนินธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ผ่านสำนักงานใหญ่และร้านสาขา ชื่อ “Mother Supermarket” และ “Mother Marche” จำนวน 20 สาขา แบ่งเป็น “Mother Supermarket” จำนวน 10 สาขา และ “Mother Marche” จำนวน 10 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดกระบี่ สุราษฎร์ธานี และพังงา รวมถึงมีศูนย์กระจายสินค้ารวม 2 แห่ง ตั้งอยู่ที่สำนักงานใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ และอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อเป็นศูนย์รวมและกระจายสินค้าอุปโภคบริโภคไปยังร้านสาขาของบริษัท           การระดมทุนครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มศักยภาพการเติบโต การเพิ่มโอกาสการขยายธุรกิจให้แข็งแกร่ง ตลอดจนการขยายการให้บริการแก่กลุ่มลูกค้า เพื่อการเติบโตของรายได้ในอนาคต โดยบริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เพื่อ 1.ขยายสาขา 2.ชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และ 3.เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ           ด้าน นายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER กล่าวว่า บริษัทเริ่มต้นจากร้านโชห่วยห้องแถวเล็กๆ ในจังหวัดกระบี่ ก่อนขยายการลงทุนสู่ธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคและบริโภคในรูปแบบ Supermarket แห่งแรกของจังหวัดกระบี่ โดย "Mother Supermarket” และ “Mother Marche" มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “ประหยัด ทันสมัย ใกล้บ้านคุณ” จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคมากกว่า 10,000 รายการ ประกอบด้วย สินค้าอุปโภค สินค้าบริโภค สินค้าของสดและอาหารแช่แข็ง ให้กับลูกค้าในพื้นที่ นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ           จุดเด่นของ MOTHER ที่มีประสบการณ์มากกว่า 40 ปี ด้วยทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และศักยภาพ ทำให้บริษัทมีความเข้าใจในวิถีการดำเนินชีวิตและความต้องการสินค้าของคนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีการปรับกลยุทธ์ทางการค้าเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลา โดยมุ่งเน้นการคัดสรรสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลจากผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าที่น่าเชื่อถือ ทำให้ "Mother Supermarket” และ “Mother Marche" เป็นที่ยอมรับจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศจนถึงปัจจุบัน พร้อมสร้างการเติบโตของรายได้และผลกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง           สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี (2564-2566) บริษัทมีรายได้ 1,123.08 ล้านบาท 1,195.47 ล้านบาท 1,252.90 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 18.44 ล้านบาท 13.84 ล้านบาท และ 15.99 ล้านบาท ตามลำดับ           ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 959.38 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขาย 952.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.64% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจังหวัดกระบี่เพิ่มขึ้น และมีกำไรสุทธิ 12.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  28.10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน           “การระดมทุนครั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตของ MOTHER รวมถึงเพิ่มศักยภาพและขยายธุรกิจให้แข็งแกร่ง ภายใต้วิสัยทัศน์ “บริษัทมุ่งมั่นเละพัฒนาให้เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตรูปแบบใหม่ที่ทันสมัย” โดยมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนารูปแบบ รูปลักษณ์ของร้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการที่ทันสมัยของลูกค้า รวมทั้งพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และทักษะควบคู่คุณธรรม และพัฒนาซุปเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่นไปสู่ระดับมาตรฐานสากล เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทในอนาคต และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 40% ของกำไรสุทธิฯ” นายเอกพงศ์ กล่าว [PR News]

[ภาพข่าว] TM แนะนำสินค้าใหม่ “รถเข็นใช้ในห้องน้ำ”

[ภาพข่าว] TM แนะนำสินค้าใหม่ “รถเข็นใช้ในห้องน้ำ”

          บริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ TM โดย ดร.สุนทรี จรรโลงบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แนะนำรถเข็นคร่อมสุขภัณฑ์ รุ่น sw-21w   เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่เดินเข้าห้องน้ำด้วยตัวเองไม่ได้ เพื่อเพิ่มความสะดวกดีกว่าการเคลื่อนย้ายด้วยวิธีการอุ้มหรือประคองเข้าห้องน้ำ สามารถใช้รถเข็นคร่อมสุขภัณฑ์นำผู้สูงอายุเข้าห้องน้ำได้อย่างปลอดภัย ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรง ผลิตจากอลูมิเนียม เคลือบสี ไม่เป็นสนิม ดีไซน์สวยงามและป้องกันเชื้อโรค ที่นั่งผลิตจากยูเรเธนโฟม มีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และทำความสะอาดง่าย ล้อหน้าและล้อหลังเป็นยางตันไม่ต้องสูบลม เบรคล็อคล้อสองข้างเป็นระบบ Foot Brake Wheel Lock นอกจากนี้แล้วราวกั้นยังสามารถใช้เป็นที่พักแขน ช่วยพยุงได้ และที่พักเท้าออกแบบให้สามารถสวิงออกด้านข้างได้ ตัวรถเข็นมีความสูง 86.5 เซนติเมตร และกว้าง 55 เซนติเมตร  สามารถรับน้ำหนักได้ถึง 100 กิโลกรัม           สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ร้าน TM CARE SHOP โทรศัพท์ 02-933-6119 ต่อ 8101 / 8102 เปิดให้บริการจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. รวมทั้งติดต่อผ่านช่องทาง Line@ : @tmcareshop และ FacebookPage https://www.facebook.com/TMCARESHOP/   หรือ  www.tmcare-shop.com

YGG เล็งเพิ่มทุน Private Placement 250 ล้านหุ้น ให้ผู้ลงทุน 6 ราย

YGG เล็งเพิ่มทุน Private Placement 250 ล้านหุ้น ให้ผู้ลงทุน 6 ราย

          หุ้นวิชั่น - ผู้สื่อข่าวรายงาน นายธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า การเพิ่มทุนจดทะเบียน การออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ซึ่งเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน การออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ครั้งที่ 2 (YGG-W2) ด้วยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 ได้มีมติที่สำคัญดังต่อไปนี้: มีมติให้นำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 เพื่อพิจารณาและอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 45,001,406.50 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 346,000,000.00 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 300,998,593.50 บาท โดยการตัดหุ้นสามัญจดทะเบียนที่ยังไม่ได้จำหน่ายจำนวน 90,002,813 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งเป็นหุ้นเหลือจากการจัดสรรไว้เพื่อ: การออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) จำนวน 2 หุ้น รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ ครั้งที่ 1 (YGG-W1) จำนวน 90,000,000 หุ้น รองรับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 2,811 หุ้น ตามที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 และการแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท ข้อ 4. เพื่อให้สอดคล้องกับการลดทุนจดทะเบียนของบริษัท โดยมีรายละเอียดดังนี้: ข้อ 4. ทุนจดทะเบียน จำนวน 300,998,593.50 บาท (สามร้อยล้านเก้าแสนเก้าหมื่นแปดพันห้าร้อยเก้าสิบสามบาทห้าสิบสตางค์) แบ่งออกเป็น 601,997,187 หุ้น (หกร้อยหนึ่งล้านเก้าแสนเก้าหมื่นเจ็ดพันหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดหุ้น) มูลค่าหุ้นละ 0.50 บาท (ห้าสิบสตางค์) มีมติให้นำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 เพื่อพิจารณาและอนุมัติการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ครั้งที่ 2 (YGG-W2) (“ใบสำคัญแสดงสิทธิ YGG-W2”) จำนวนไม่เกิน 141,999,532 หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) โดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราการจัดสรรเท่ากับ 6 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ YGG-W2 (ในกรณีมีเศษให้ปัดทิ้งทั้งจำนวน) โดยมีอัตราการใช้สิทธิเท่ากับ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น และมีราคาการใช้สิทธิเท่ากับ 3.00 บาท (เว้นแต่ในกรณีที่มีการปรับอัตราและราคาการใช้สิทธิ) มีมติให้นำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 เพื่อพิจารณาและอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 195,999,766.00 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 300,998,593.50 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 496,998,359.50 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 391,999,532 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท มีมติให้นำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 เพื่อพิจารณาและอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 391,999,532 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีรายละเอียดการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังนี้: การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 250,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในลักษณะการเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) จำนวน 6 ราย โดยมีรายละเอียดดังนี้: นายพิรัส ศิริขวัญชัย จำนวน 10,000,000 หุ้น รศ.นพ.สมศักดิ์ เชาว์ศิษฐ์เสรี จำนวน 20,000,000 หุ้น นางทัศน์ดาว ชมเชย จำนวน 30,000,000 หุ้น นายเธียรชัย ลีสิรวงศ์ จำนวน 35,000,000 หุ้น นางสาวอัครภิทย์ตา มีชัยวงค์ จำนวน 75,000,000 หุ้น นายกิตติ ดุษฎีพฤฒิพันธุ์ จำนวน 80,000,000 หุ้น           ในการนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติเสนอวาระต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นโดยกำหนดราคาเสนอขายหุ้นไว้อย่างชัดเจน ในราคาเสนอขายหุ้นละ0.5400 บาท รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 135,000,000 บาท ซึ่งไม่ เข้าข่ายเป็นการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ในราคาต่ำกว่าร้อยละ 90 ของราคาตลาดตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 28/2565 เรื่อง การอนุญาตให้บริษัทจดทะเบียนเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อบุคคลในวงจำกัด ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2565(รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) (“ประกำศ ทจ. 28/2565”) โดย “ราคาตลาด” หมายถึง ราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ย้อนหลังไม่น้อยกว่า 7 วันทำการติดต่อกันแต่ไม่เกิน 15วันทำการติดต่อกัน ก่อนวันที่คณะกรรมการบริษัทมีมติเสนอวาระต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติให้บริษัทออกและเสนอขายหุ้นต่อบุคคลในวงจำกัด โดยราคาตลาดในช่วงระหว่าง 13 วันทำการติดต่อกัตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2568 มีราคาเท่ากับหุ้นละ 0.5998 บาท

[Vision Exclusive] KK ท่องเที่ยวหนุนยอดต้นปีคึก

[Vision Exclusive] KK ท่องเที่ยวหนุนยอดต้นปีคึก

           หุ้นวิชั่น - KK ท่องเที่ยวหนุนยอดต้นปีคึกคัก ด้านบอสใหญ่ "กวิศพงษ์ สิริธนนนท์สกุล" ตั้งเป้ายอดขายโต 10% จับตาธุรกิจพลังงาน Q2/68 พร้อมใส่เกียร์เปิดสาขาใหม่ 2 แห่ง จากสิ้นปี 67 ที่ 38 สาขา            นายกวิศพงษ์ สิริธนนนท์สกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ KK เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ทิศทางธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งของ KK ในต้นปี 2568 จะสดใส โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการที่นักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซียเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคใต้และอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา ส่งผลให้ยอดจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่คึกคัก            คาดว่าช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 จะมีผลประกอบการที่ดีกว่าปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีการขยายสาขามากขึ้น พร้อมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการเลือกตั้งที่ส่งผลให้การใช้จ่ายในพื้นที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ยอดขายรวมในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตจากปี 2567 ที่ 10% โดยการเติบโตนี้จะมาจากการขยายสาขาใหม่และการเติบโตของยอดขายในสาขาเดิม (Same Store Sales Growth) โดยไม่รวมกับผลการลงทุนในบริษัท สราญ เอ็นเนอร์ยี่เทค จำกัด ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นผลชัดเจนในไตรมาส 2/2568 สำหรับแผนการขยายสาขาในปี 2568 บริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่อีก 2 แห่ง จากปัจจุบันที่มี 38 แห่ง โดยจะเน้นขยายสาขาในจังหวัดสงขลา หลังจากภาพรวมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวและกลับมาคึกคักอีกครั้ง. รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] TMILL ล็อกเป้าภูธร เดินเกมกำลังผลิต 80%

[Vision Exclusive] TMILL ล็อกเป้าภูธร เดินเกมกำลังผลิต 80%

          หุ้นวิชั่น - TMILL ตั้งเป้ากำลังผลิต 80% เดินหน้าเจาะตลาดภูธร ชี้ดีมานด์แป้งสาลียังคงเติบโตตามการบริโภคอาหารในประเทศ ฟากผู้บริหารชูธงยอดขายปีมะเส็งโต 5%           นางแววตา กุลโชตธาดา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TMILL เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจผลิตและจำหน่ายแป้งสาลีในปี 2568 คาดว่าจะมีการเติบโตที่ดีขึ้นจากปี 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากต้นทุนที่ปรับตัวดีขึ้น แม้ราคาขายจะยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า ทั้งนี้ แนวโน้มความต้องการแป้งสาลียังคงเติบโตตามการบริโภคอาหารในประเทศ บริษัทตั้งเป้าหมายการผลิตในปี 2568 ไว้ที่ 75-80% จากปี 2567 ซึ่งมีอัตราการผลิตประมาณ 70% ต้นๆ โดยจะมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าในภูมิภาคต่างๆ มากขึ้น เนื่องจากสัดส่วนรายได้จากภูมิภาคยังค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับยอดขายรวมของบริษัท แม้ว่าการขยายฐานลูกค้าในภูมิภาคจะใช้เวลาในการเจรจาและทดสอบระบบเพื่อให้ลูกค้าทดลองใช้แป้งสาลีของ TMILL           สำหรับเป้าหมายยอดขายในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 5% โดยบริษัทจะยังคงมุ่งบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพเพื่อเสริมสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต ลูกค้าหลักยังคงอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร โดยมียอดขายให้กับผู้ประกอบการผลิตขนมบิสกิต ขนมขบเคี้ยว และขนมปัง คิดเป็นสัดส่วน 25-30% ของยอดขายรวม ขณะที่กลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีสัดส่วนประมาณ 20% ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่มีความสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจบริษัท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] LTS เบิกฤกษ์งานใหม่ปี68  ไอที-ดาต้าเซ็นเตอร์จ่อ

[Vision Exclusive] LTS เบิกฤกษ์งานใหม่ปี68 ไอที-ดาต้าเซ็นเตอร์จ่อ

          หุ้นวิชั่น - LTS เล็งงานใหม่ปี 68 สมาร์ทโฮม ดาต้าเซ็นเตอร์จ่อร้อยล้าน บอสใหญ่ "ภัฏ ตรัสโฆษิต" คาดกลุ่มไอทีรายได้โตเท่าตัว ชี้กระแสมาแรง เดินหน้าให้เช่า GPU มูลค่า 230 ล้านบาท คืบแผนซื้อเครื่อง GPU 8 เครื่อง ไม่เกิน 90 ล้านบาท คาดเริ่มมกราคมนี้ พร้อมบุ๊กยอดทันที           นายภัฏ ตรัสโฆษิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า LTS อยู่ระหว่างการติดตามและดำเนินงานในหลายโครงการที่คาดว่าจะสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2568 โดยมีโครงการสำคัญที่อยู่ในสายงานและในขั้นตอนการประมูล รวมถึงงานสมาร์ทโฮมที่คาดว่าจะได้งานใหม่ 3-4 โครงการ มูลค่ารวม 20-40 ล้านบาท หลังจากที่มีการรอสรุปจากพาร์ทเนอร์และลูกค้า ขณะเดียวกัน งานดาต้าเซ็นเตอร์ก็ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย LTS คาดว่าจะได้งานใหม่จากการขยายตัวของกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์อีก 2-3 แห่งในปีนี้ ซึ่งมีมูลค่าตั้งแต่ 70 ล้านบาทไปจนถึง 100 ล้านบาท การได้รับงานเหล่านี้คาดว่าจะช่วยเสริมการเติบโตของบริษัทในปี 2568 ได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ขณะที่ ล่าสุด บริษัทมีความคืบหน้าในการลงทุน หลังจากบริษัทย่อยไปลงทุนซื้อเครื่อง GPU จำนวน 8 เครื่อง มูลค่าไม่เกิน 90 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทคู่สัญญาได้ผ่านการคัดเลือกจากการจัดซื้อจัดจ้างและมีกระบวนการตรวจสอบข้อมูลตามลำดับขั้นตอนที่ถูกต้อง โดยบริษัทจะนำเครื่อง GPU จำนวน 8 เครื่อง ไปให้มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล (“CMKL University”) เช่าใช้งานเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูล และการบริหารจัดการด้านนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ต่อไป คาดโครงการดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนมกราคม 2568 และรับรู้เป็นรายได้ตรามสัญญา หรือเฉลี่ยปีละ 70 กว่าล้านบาท จากมูลค่าสัญญา 3 ปี ที่ 230 ล้านบาท ขณะนี้บริษัทกำลังติดตามและดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อรับงานใหม่และโครงการเพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายในการขยายช่องทางหารายได้ประจำเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ตามแผนการเติบโตที่ได้วางไว้ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและขยายฐานรายได้ของบริษัทในระยะยาว           นายภัฏ กล่าวต่อว่า บริษัทคาดว่ารายได้จากกลุ่มไอทีในปี 2568 จะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากการลงทุนในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ โดยบริษัทได้เริ่มรับรู้รายได้จากกลุ่มไอทีในช่วงกลางปี 2567 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2568 ขณะเดียวกัน รายได้รวมของบริษัทในปี 2568 คาดจะเติบโตได้เท่าตัวเช่นเดียวกัน รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] GFC เทรนด์ฝากไข่มาแรง ดีเดย์เปิดสาขาพระราม9

[Vision Exclusive] GFC เทรนด์ฝากไข่มาแรง ดีเดย์เปิดสาขาพระราม9

          หุ้นวิชั่น - "เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์" ดีเดย์เปิด "GFC Rama 9 International" 6 ม.ค.68  ต้อนรับลูกค้าบริการ ใน นอกประเทศ คาดหลังตรุษจีนต่างชาติตบเท้าเข้าใช้บริการแน่น ด้านบิ๊กบอส "กรพัส อัจฉริยมานีกูล" ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 20% ชี้เทรนด์ฝากไข่มาแรง ด้านโบรกเคาะเป้า GFC ที่ 8.30 บาท           นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GFC ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เปิดเผยกับ ทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า  วันจันทร์ที่ 6 มกราคม นี้ GFC เตรียมเปิดให้บริการสาขาพระราม 9 หรือ GFC Rama 9 International ซึ่งจะเป็นสาขาใหม่ที่สำคัญในกรุงเทพฯ โดยมีกำหนดการจัดงาน Grand Opening ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ สาขานี้จะยกระดับการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากอย่างครบวงจร และถือเป็นหนึ่งในจุดสำคัญในการผลักดันกรุงเทพฯ สู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ในอนาคต สาขานี้จะรองรับผู้ใช้บริการทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยคาดว่าหลังจากช่วงเทศกาลตรุษจีน ปริมาณผู้ใช้บริการจากต่างชาติจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากประเทศจีน ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการ (Demand) ที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจาก GFC ได้ไปร่วมงานแฟร์และแต่งตั้งตัวแทน (Agent) เพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนรายได้ของ GFC ในปี 2568 โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของรายได้จะอยู่ที่ประมาณ 20% ในปีนี้ ดีมานด์ผู้เข้าใช้บริการในประเทศ หรือคนไทยกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากสิ้นสุดปีมังกร ซึ่งเป็นปีที่ประชากรต้องการมีบุตรสูง อย่างไรก็ตาม กระแสการฝากไข่เพื่อเป็นหลักประกันในการมีบุตรในอนาคต กลายเป็นเทรนด์ของผู้หญิงยุคใหม่และเป็นกลยุทธ์ในการวางแผนมีบุตร ทำให้จำนวนผู้ที่สนใจฝากไข่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ GFC Ubon สาขาอุบลราชธานี เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ (Grand Opening) ในวันที่ 19 มกราคม 2568 จากปัจจุบันเปิดให้บริการเต็มรูปแบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสาขาดังกล่าวสามารถรองรับผู้เข้ารับการรักษาได้ครอบคลุมในพื้นที่อุบลฯ และจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากในโซนพื้นที่ดังกล่าวมีอัตราผู้เข้ารับคำปรึกษาผู้มีบุตรยากเป็นจำนวนมาก และเชื่อว่าจะสามารถขยายฐานและเพิ่มโอกาสการเติบโตของกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ได้เพิ่มขึ้น ด้าน  บล.กรุงศรี ระบุปรับคำแนะนำเป็น Buy สำหรับ GFC ยังคง TP25F ที่ 8.30 บาท เนื่องจากคาดกำไรสุทธิ 4Q24F ฟื้นตัว q-q จากการใช้บริการเพิ่มขึ้น และผลบวกปรับขึ้นราคาเต็มไตรมาส ส่วนปี 25F คาดกำไรสุทธิ (+7%y-y) เติบโตต่อเนื่อง มีปัจจัยบวกปรับขึ้นราคาและ 2 สาขาใหม่เปิดบริการเต็มปี ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขาย PE ปี 25F เทียบเท่า Forward PE ใกล้เคียง -2.0SD ปรับคำแนะนำเป็น Buy ราคาเป้าหมาย (TP25F) ที่ 8.30 บาท ปรับคำแนะนำเป็น Buy (เดิม Trading Buy) สำหรับ GFC คงราคาเป้าหมายปี 25F ที่ 8.30 บาท วิธี DCF WACC 8.7% คิดเป็น Imply PE ปี 25F ที่ 21 เท่า ขณะที่ราคาหุ้น GFC ซื้อขาย PE ปี 25F เฉลี่ย 17 เท่า เทียบเท่า Forward PE ใกล้เคียง -2.0SD เรามองเป็นโอกาสลงทุนเมื่อพิจารณาแนวโน้มกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย +15%CAGR 25 ปี 2025 จะมี S-curve ใหม่จากการขยายตลาดกลุ่มต่างชาติ ผู้บริหารระบุ เดือน ม.ค.25 สาขาพระราม 9 จะพร้อมให้บริการเต็มรูปแบบ หลังได้ใบอนุญาตให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ ในเดือน ธ.ค.24 โดยช่วงแรกจะให้บริการ 2 ห้องตรวจ (vs Full Phase ที่ 12 ห้อง) รองรับการให้บริการราว 25-30 เคสต่อเดือน ช่วยเพิ่มศักยภาพรับลูกค้าจากปัจจุบันมีเพียงสาขาพระราม 3 ซึ่งมีอัตราใช้บริการเฉลี่ย 70-80% นอกจากนี้ GFC อยู่ระหว่างเจรจาเอเจนซีจีนมากกว่า 1 ราย ผู้บริหารมองว่าจะชัดเจนและเริ่มส่งลูกค้าช่วงต้นปี 25F พร้อมตั้งเป้าหมายรายได้ปี 25F เติบโตเกิน 15% กรณีรวมรายได้จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติ เรามองว่าในปี 25F การเปิดสาขาพระราม 9 เต็มปีทำให้ GFC สามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้เพียง 1% คาด 4Q24F กำไรสุทธิฟื้นตัว q-q และปี 25F เติบโตต่อเนื่อง 7%y-y เดือน ต.ค.-พ.ย.24 ทิศทางการใช้บริการดีขึ้นจาก 3Q24 มีปัจจัยบวกการทำโปรโมชั่นต่อเนื่อง ประกอบกับสาขาอุบลราชธานีให้บริการเต็มไตรมาส (vs เริ่มให้บริการ 15 ส.ค.24) และสาขาพระราม 9 เริ่มให้บริการ นอกจากนี้ปลาย 3Q24 มีการปรับขึ้นราคา 10% เราคาด 4Q24F จะมีกำไรสุทธิราว 18 ลบ. (-19%y-y +11%q-q) ฟื้นตัว q-q ตามทิศทางรายได้ (-4%y-y +4%q-q) ส่วนปี 24F คาดมีกำไรสุทธิ 81 ลบ. (+5%y-y) และปี 25F คาดกำไรสุทธิ 87 ลบ. (+7%y-y) เติบโตต่อเนื่อง มีปัจจัยบวกปรับขึ้นค่าบริการและเปิดสาขาพระราม 9 เต็มปี (สมมติฐานปี 25F สาขาพระราม 9 เริ่มมีรายได้ลูกค้าต่างชาติใน 2H25F มีจำนวนเคสเฉลี่ย 5 เคสต่อเดือน) รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

WARRIX ไฮซีซั่นหนุน แนะ

WARRIX ไฮซีซั่นหนุน แนะ "ซื้อ" โบรกเคาะเป้า 4.70 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง ประเด็นสำคัญในการลงทุน WARRIX ว่า คาดกำไรสุทธิในงวด 4Q67 ราว 58.6 ล้านบาท +7% QoQ, +6% YoY คาดรายได้เติบโต +9% QoQ, +19% YoY และ %GPM ที่ทรงตัวในระดับสูง คาดการณ์บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการจำนวน 468 ล้านบาท +9% QoQ, +19% YoY ซึ่งเป็นไตรมาสที่บริษัทมีรายได้สูงสุดของปี (High season) เติบโตทั้งจากสินค้า Licensed จากการขายเสื้อทีมชาติ ซึ่งมีโปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2024 (ASEAN Mitsubishi Electric Cup 2024) ระหว่างวันที่ 8 ธ.ค. 67 ถึงวันที่ 5 ม.ค. 68 และสินค้า Non-Licensed เช่น สินค้าคลาสสิค สินค้าคอลเลคชั่น และสินค้าทำตามคำสั่ง (Made to Order)           ฝ่ายวิเคราะห์มีสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น (%GPM) ที่ระดับ 49.9% จากระดับ 50.0% ใน 3Q67 และ 48.3% ใน 4Q66 จากการควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น คาดอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้รวม (%SG&A/Total Sales) ระดับ 34.1% เพิ่มขึ้นจาก 31.3% ใน 4Q66 แต่ทรงตัว QoQ ส่งผลให้เราคาดกำไรสุทธิที่ 58.6 ล้านบาท +7% QoQ, +6% YoY คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 12.4% หากกำไรเป็นไปตามที่เราคาด จะทำให้ประมาณการกำไรปี 67 มีอัพไซด์ คงประมาณการกำไรสุทธิปี 67 และปี 68 ตามเดิมที่ 124 ล้านบาท และ 141 ล้านบาท ตามลำดับ คงคาดการณ์รายได้ในปี 67 และปี 68 ที่ 1,576 ล้านบาท +29% YoY และ 1,891 ล้านบาท +20% YoY ตามลำดับ จากการเติบโตของทั้งกลุ่มสินค้า License และ Non-License จากการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย และช่องทางออนไลน์ คงสมมติฐาน %GPM ปี 67 ที่ระดับ 47.9% และ %GPM ปี 68 ที่ระดับ 48.0% คงสมมติฐาน %SG&A/Total Sales ปี 67 ที่ระดับ 38.3% และปี 68 ที่ระดับ 38.8% เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายที่ปรับตัวขึ้น ทั้งส่งเสริมการขายผ่านช่องทาง Modern Trade ค่าโฆษณาและค่าจ้างพรีเซนเตอร์ ค่าใช้จ่ายในการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada, TikTok รวมถึงค่าเช่าพื้นที่สำหรับการเปิด Shop ตามห้างสรรพสินค้า ส่งผลให้ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคาดกำไรสุทธิปี 67 และปี 68 เท่ากับ 124 ล้านบาท -2.6% YoY และ 141 ล้านบาท +13.6% YoY ตามลำดับ โดยกำไรช่วง 9M67 คิดเป็น 74% ของประมาณการปี 67 คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 68 เท่ากับ 4.70 บาท (PE Ratio 20x)

LTS แจ้งความคืบหน้า แผนซื้อเครื่อง GPU มูลค่าไม่เกิน 90 ล.

LTS แจ้งความคืบหน้า แผนซื้อเครื่อง GPU มูลค่าไม่เกิน 90 ล.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายกิตติพงษ์ วิมลโนช รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า อ้างถึงที่ LTS. 011/2567 เรื่อง แจ้งรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน)เกี่ยวกับบริษัทย่อยไปลงทุนซื้อเครื่อง GPU โดยเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) ("บริษัท") ขอแจ้งให้ทราบว่าบริษัท ไลท์อัพ เอไอ โซลูชั่น จำกัด ซึ่งมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้ซื้อเครื่อง GPU จำนวน 8 เครื่อง มูลค่าไม่เกิน 90 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทคู่สัญญาได้ผ่านการคัดเลือกจากการจัดซื้อจัดจ้างและมีกระบวนการตรวจสอบข้อมูลตามลำดับขั้นตอนที่ถูกต้อง ทั้งนี้ การทำรายการข้างต้นไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ.20/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน (และที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม) และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติงานของบริษัทจดทะเบียนในรายการที่เกี่ยวโยง พ.ศ. 2546 (และที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม)           โดยบริษัทจะนำเครื่อง GPU จำนวน 8 เครื่อง ไปให้มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล (“CMKL University”) เช่าใช้งานเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูล และการบริหารจัดการด้านนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ต่อไป

MAGURO แบรนด์ใหม่ฮอต ดันกำไรปี 68 ชน 141 ล.เป้า 26 บาท

MAGURO แบรนด์ใหม่ฮอต ดันกำไรปี 68 ชน 141 ล.เป้า 26 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง MAGURO ว่า 2 แบรนด์ใหม่ได้รับการตอบรับดี ได้แก่ Tonkatsu Aoki ที่ได้รับการตอบรับดีมาก คิวยาวทุกวัน มีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 4 สาขาในปี 2025E และ CouCou มีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 1 สาขาในปี 2025E นอกจากนี้ MAGURO ยังมีแผนเปิดแบรนด์ใหม่เพิ่มอีก 2 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์อาหารญี่ปุ่นและอาหารประเภทอื่น โดยคาดรายได้ในปี 2025E จากแบรนด์ใหม่จะอยู่ที่ 132 ล้านบาท และ NPM 9-10% EARNINGS OUTLOOK แนวโน้มกำไร 4Q24E ทำ All Time High ต่อ เราคาดกำไร 4Q24E จะทำ All Time High ต่อเนื่อง (เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิอยู่ในกรอบ 32-38 ล้านบาท) จากการขยาย 6 สาขา เปิดแบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์ และเข้าสู่ high season คาดรายได้ทำ All Time High ต่อเนื่อง และ SSSG เป็นบวก ทั้งนี้ SSSG เดือน ต.ค. +2-3% คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E/2025E คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 95 ล้านบาท (+31% YoY) และกำไรปกติปี 2024E ที่ 101 ล้านบาท (+39% YoY) และประเมินกำไรสุทธิปี 2025E ที่ 141 ล้านบาท (+49% YoY) PERFORMANCE & VALUATION แนะนำ "ซื้อ" และราคาเป้าหมายปี 2025E ที่ 26.00 บาท อิง 2025E PER 23.5x

[Vision Exclusive] KTMS ปักธงปีมะเส็ง เป้ารายได้ 800ล้าน

[Vision Exclusive] KTMS ปักธงปีมะเส็ง เป้ารายได้ 800ล้าน

หุ้นวิชั่น - แม่ทัพหญิง "กาญจนา พงศ์พัฒนะเดชา" กางแผนธุรกิจปีมะเส็ง ปักธงรายได้แตะ 800 ล้านบาท ใส่เกียร์ขยายศูนย์ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมอีก 10 แห่งทำเงิน จากสิ้นปี 67 ที่ 36 สาขา วางงบลงทุนไว้ที่ 200 ล้านบาท ชี้จำนวนผู้ป่วยเฉลี่ยโต 10-15% ต่อปี พร้อมก้าวสู่ผู้นำบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมแบบ One-stop Services           นางสาวกาญจนา พงศ์พัฒนะเดชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ KTMS เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า บริษัทคาดว่าธุรกิจให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมในปี 2568 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอัตราการเติบโตจะอยู่ในระดับ 20-30% หรือเพิ่มขึ้นเป็น 800 ล้านบาท จากการขยายสาขาอีกประมาณ 7-10 สาขา จากสิ้นปี 2567 ที่มีจำนวนสาขา 36 สาขา บริษัทได้ตั้งงบลงทุนสำหรับปี 2568 ไว้ที่ 200 ล้านบาท เพื่อขยายศูนย์ให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยและผู้เข้าใช้บริการ รวมถึงอัตราการครองเตียงจะอยู่ที่ประมาณ 80% ซึ่งเป็นอัตราที่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ จำนวนผู้ป่วยโรคไตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นปีละ 10-15% ตามเทรนด์ของผู้สูงอายุในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้การเติบโตของธุรกิจยังคงแข็งแกร่งในอนาคต โดยคนไข้โรคไตในระยะแรกจะเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และหากคนไข้ดูแลรักษาสุขภาพไม่ดี จะเข้าสู่ระยะที่ 5 อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจากกรณีดังกล่าว ส่งผลให้ KTMS จึงต้องเร่งขยายศูนย์ให้บริการ ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม บริษัทจะมุ่งเน้นการขยายสาขาและเพิ่มเครื่องไตเทียมให้กระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อให้บริการที่ครอบคลุมทั้งในภาคเหนือ, ภาคใต้, ภาคอีสาน และภาคกลาง รวมถึงในเขตเมือง และในเขตอำเภอ เพื่อให้ใกล้ผู้ป่วยมากที่สุด โดยจากแผนการขยายธุรกิจดังกล่าวทำให้บริษัทคาดว่ารายได้รวมในปี 2567 จะเป็นไปตามแผน นอกจากนี้บริษัทพร้อมก้าวสู่หนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมแบบ One-stop Services ระดับ TOP 3 ตามเป้าหมายที่วางไว้ รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[ภาพข่าว] KJL ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14001:2015

[ภาพข่าว] KJL ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14001:2015

          บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ในฐานะผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ตู้ไฟและรางไฟ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายในทุกอุตสาหกรรม เพื่อเป็นผู้นำในการพัฒนาโซลูชั่นด้านพลังงานไฟฟ้าที่ยั่งยืน ล่าสุดได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14001:2015 ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลสำหรับองค์กรที่มุ่งมั่นสนับสนุนด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่จะยกระดับการทำงานให้เป็นไปอย่างมืออาชีพ และครอบคลุมในทุก ๆ มิติ พร้อมทั้งตอกย้ำความเชื่อมั่นการให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง

SMD100 ผนึกศูนย์การแพทย์ธรรมศาสตร์ ลุย Sleep Test Center

SMD100 ผนึกศูนย์การแพทย์ธรรมศาสตร์ ลุย Sleep Test Center

          หุ้นวิชั่น - SMD100 ผนึกศูนย์การแพทย์ธรรมศาสตร์ ลุย Sleep Test Center ดีเดย์เปิดให้บริการ 20 ม.ค.68 นี้ คาดสร้างรายได้ 375 ล้านบาท ยกระดับบริการเทียบเท่ามาตรฐานสากล ตั้งเป้าคว้า AACI พร้อมนำเทคโนโลยีสุดล้ำ ขยายฐานลูกค้า สอดรับดีมานด์ล้น           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD100 ขอแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินโครงการ ศูนย์ตรวจการนอนหลับครบวงจร (Sleep Test Center) ณ ศูนย์การแพทย์ธรรมศาสตร์ (Thammasat Healthcare Center - THAMC) ซึ่งเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างบริษัท และศูนย์การแพทย์ธรรมศาสตร์ เพื่อยกระดับศักยภาพการให้บริการตรวจการนอนหลับในประเทศไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานระดับสากล           สัญญาระหว่างบริษัท และศูนย์การแพทย์ธรรมศาสตร์ได้ลงนามเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567 โดยมีผลให้เริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2568 และบริษัทคาดว่าศูนย์ตรวจการนอนหลับครบวงจรจะสามารถเปิดให้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2568 เป็นต้นไป รายละเอียดโครงการ           การเปิดให้บริการ ศูนย์ตรวจการนอนหลับครบวงจร คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในช่วงปลายเดือนมกราคม 2568 โดยศูนย์จะติดตั้ง เครื่องตรวจการนอนหลับ PSG Type I จำนวน 11 เครื่อง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดในปัจจุบัน           โดยบริษัทเป้าหมายการรับรองมาตรฐานระดับโลก บริษัทตั้งเป้าหมายให้ศูนย์ตรวจการนอนหลับได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก AACI (Accreditation Association for Ambulatory Health Care International) ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพการให้บริการและตอกย้ำมาตรฐานระดับสากล           ขยายศักยภาพเตียงตรวจการนอนหลับ เดิมทีโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติมีเตียงสำหรับตรวจการนอนหลับจำนวน 5 เตียง โครงการนี้เพิ่มเตียงอีก 11 เตียงในศูนย์การแพทย์ธรรมศาสตร์ รวมเป็น 16 เตียง ช่วยลดคิวรอจาก 6 เดือนลงอย่างมีนัยสำคัญ           รายได้ที่คาดการณ์จากโครงการ เป็นรายได้จากค่าบริการตรวจการนอนหลับและการจำหน่ายเครื่องช่วยหายใจ CPAP คาดว่าจะสร้างรายได้รวมประมาณ 375 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาสัญญา 5 ปี โดยบริษัทมีมุมมองเชิงบวกต่อการขยายฐานลูกค้าและความต้องการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ผลกระทบเชิงบวกต่อธุรกิจและสังคม           เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพ การเปิดศูนย์ตรวจการนอนหลับครบวงจรครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจและรักษาภาวะการนอนหลับที่มีคุณภาพสูง ลดปัญหาการรอคิว และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย           เสริมสร้างผลประกอบการของบริษัท โครงการนี้คาดว่าจะสร้างรายได้ต่อเนื่องและมั่นคงตลอดระยะเวลา 5 ปี พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดอุปกรณ์ช่วยหายใจ CPAP และเสริมความเชื่อมั่นในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีการแพทย์           และตอกย้ำมาตรฐานระดับโลกและมีเป้าหมายการรับรองมาตรฐานระดับโลก AACI จะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับศูนย์ตรวจการนอนหลับครบวงจร และยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้านสุขภาพของประเทศไทย

LTS คาดกำไร Q4 ทำสถิติ จ้องได้งานหนุนรายได้ราว 800 ลบ.

LTS คาดกำไร Q4 ทำสถิติ จ้องได้งานหนุนรายได้ราว 800 ลบ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.หยวนต้า ระบุ LTS Cycle เพิ่งเริ่มต้น คาดกำไร 4Q24 ทำระดับสูงสุดใหม่ เราคาดกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 24 ลบ. (+14.0% QoQ, +265.5% YoY) ทำระดับสูงสุดใหม่ จากรายได้ที่คาดว่าจะทำระดับสูงสุดใหม่เช่นกันที่ 182 ลบ. (+12.7% QoQ, +180.8% YoY) โดยหลักคาดว่ายังได้แรงหนุนจากงานด้าน IT Solution แต่ลดลง QoQ เพราะมีงาน Commissioning ใน 3Q24 แต่การเติบโต QoQ หนุนโดยงานโครงการขนาดใหญ่ที่มีการส่งมอบงานจำนวนมากในช่วงก่อนปิดปี คาดรายได้ส่วนนี้ที่ราว 50 ลบ. เพิ่มขึ้น 249.7% QoQ และ 163.2% YoY นอกจากนี้ยังเป็นช่วง High season ของธุรกิจอุปกรณ์ส่องสว่างด้วย ขณะที่ GPM คาดที่ 30.1% เพิ่มขึ้นจาก 25.9% ใน 3Q24 เพราะไม่มีงาน Commissioning ซึ่งมี GPM ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย NVIDIA x Siam AI = Siam AI x LTS           Siam AI มีแผนใช้เงินลงทุนในธุรกิจ GPU Server เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ต้องการจะตั้ง Server ในไทย ในช่วง 3 ปีข้างหน้าราว 1.0 แสนลบ. หลังเป็น NCP ของ NVIDIA รายแรกในไทย และเป็นประเทศที่มีศักยภาพในด้าน Data center อันดับต้นๆ ของภูมิภาค โดยในปี 2025 มีปริมาณความต้องการในมือแล้วอย่างน้อยกว่า 5,000 เครื่อง ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนด้าน Commissioning ไม่น้อยกว่า 1 ลบ./เครื่อง และ LTS เป็นเพียงรายเดียวที่ Siam AI มอบงานให้ในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเรายัง Conservative ให้โอกาสได้งานเพียง 15% ของมูลค่างาน           นอกจากนี้ เรารวมประมาณการจากธุรกิจการเช่า GPU Server ให้กับ CMKL ไว้ในประมาณการจำนวน 8 เครื่อง มูลค่างาน 230 ลบ. เป็นเวลา 3 ปี ยังไม่รวมโอกาสในการเพิ่มจำนวนเครื่องและโอกาสจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ โดย LTS จะเน้นให้เช่า GPU โดยการลงทุนเครื่องในพื้นที่ของ Siam AI เพื่อให้เช่าต่อ จับกลุ่มสถาบันการศึกษาและเอกชนที่เป็นขนาดไม่ใหญ่มาก ส่วน Siam AI จะให้บริการแก่ลูกค้ารายใหญ่ ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 2025 เพิ่มขึ้น 63% เป็น 145 ลบ. (+86.3% YoY) ปรับราคาเป้าหมายปี 2025 ขึ้นแบบ Conservative … คงคำแนะนำ "ซื้อ" ประมาณการกำไรของเรายัง Conservative เนื่องจาก ยังให้โอกาสได้งาน Commissioning เพียง 15% หรือ 700–800 ลบ. แต่ในความเป็นจริง LTS มีศักยภาพรับงานได้เองทั้งหมด เพราะทำหน้าที่เป็น Project manager ที่ส่งต่องานให้ Subcontractor รายอื่นได้ ยังไม่รวมโอกาสการให้เช่า GPU Server เพิ่มเติมทั้งจากลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ผลของการปรับกำไรปี 2025 ขึ้น และอิง PER ที่ 30 เท่าเช่นเดิม ทำให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2025 เพิ่มขึ้นเป็น 21.00 บาท มี Upside gain 36.4% คงคำแนะนำ "ซื้อ" ซื้อขายที่ PER2025 เพียง 22.0 เท่า

[Vision Exclusive] เก็งหุ้นรับอานิสงส์ Easy-E receipt HL-TNP มาแน่!

[Vision Exclusive] เก็งหุ้นรับอานิสงส์ Easy-E receipt HL-TNP มาแน่!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน  บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด คาดหุ้นได้ประโยชน์ Easy-E receipt :   บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) หรือ HL และ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP            นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยกับ ทีมข่าวหุ้น ว่า มาตรการ Easy E-Receipt ซึ่งจะเริ่มต้นในช่วงต้นปี 2568 ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2567 คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับ HL และ TNP ได้ เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลก่อนหน้านี้ที่เป็นการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ขณะที่โครงการ Easy E-Receipt จะเป็นมาตรการกระตุ้นกลุ่มคนที่มีรายได้และต้องการลดหย่อนภาษี ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจของบริษัทที่เกี่ยวข้องในระยะสั้น           ภก.ธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) หรือ HL เปิดเผยว่า มาตรการ Easy E-Receipt ครั้งก่อน ดันยอดขายให้ HL เพิ่มขึ้นเกือบ 30% ในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่มาตรการในปี 2568 คาดจะไม่ต่างกันกับครั้งก่อน โดยบริษัทจะสต็อกสินค้าให้เพียงพอต่อการขาย เพราะร้านยาที่สามารถเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt มีจำนวนไม่มาก และ HL คือหนึ่งในร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ อีกทั้งบริษัทจะพยายามทำโปรโมชั่น เพื่อดึงฐานลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น           บริษัทคาดว่าโครงการ Easy E-Receipt จะช่วยผลักดันยอดขายในไตรมาส 1/2568 ให้เติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในช่วงที่การท่องเที่ยวอยู่ในไฮซีซั่น ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตได้เช่นกัน โดย HL มีสาขาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยวถึง 10 สาขา           ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตามและคาดว่าจะสนับสนุนการเติบโตโดยรวมของ HL ได้แก่ การปล่อยสินค้านวัตกรรมใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ โดยจะมีสินค้าผลิตภัณฑ์ใหม่จำนวนกว่า 10 SKU ซึ่งสินค้านวัตกรรมเหล่านี้คาดว่าจะช่วยผลักดันอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้เพิ่มขึ้น เนื่องจากสินค้านวัตกรรมมีมาร์จิ้นสูงกว่า 50%.           ด้านเภสัชกรหญิงอมร พุฒิพิริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP เปิดเผยว่า คาดว่าโครงการ Easy E-Receipt จะได้รับอานิสงส์บ้าง แต่คาดว่าจะไม่มาก เนื่องจากกำลังซื้อของผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีในพื้นที่จังหวัดเชียงรายอาจจะไม่สูงเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น ๆ อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการแจก เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท และมีความพร้อมในการให้บริการจากสาขาทั้งหมด 50 แห่ง ณ ปัจจุบัน รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Gossip] EURO ลุยขยายตลาดไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรี!

[Gossip] EURO ลุยขยายตลาดไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรี!

          บมจ.ยูโร ครีเอชั่นส์ (EURO) พร้อมเสิร์ฟสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรี! หลังคว้าสิทธิ์ตัวแทนจำหน่าย Bang & Olufsen (B&O) แบรนด์เครื่องเสียงไฮเอนด์สัญชาติเดนมาร์กในรูปแบบ Mono-brand stores แต่เพียงผู้เดียวในไทย ด้านบอสใหญ่ “เควิน กัมบีร์” เร่งเปิดโชว์รูมสำหรับ B&O ในโซนทองหล่อและเซ็นทรัลเอ็มบาสซีช่วงไตรมาส 2/2568 นี้ สอดรับแผนธุรกิจแถมรับผลดี 2 เด้ง ขยายฐานสินค้า พร้อมขยายฐานลูกค้าเก่า และดึงดูดกลุ่มใหม่ เพิ่มโอกาสเติบโตสู่ตลาดไลฟ์สไตล์เต็มพิกัด!

WARRIX เก็บเกี่ยวผลลงทุนเต็มปี่ โบรกชี้เป้า 7.35 บ. แนะ

WARRIX เก็บเกี่ยวผลลงทุนเต็มปี่ โบรกชี้เป้า 7.35 บ. แนะ "ซื้อ"

          หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า ส่งแนวโน้ม WARRIX  ปี 68 คาดเติบโตทุกไตรมาส สินค้า ช่องทางการขายใหม่หนุนยอด แถมงบรัฐหนุนเสื้อโปโล พร้อมเก็บเกี่ยวผลลลงทุนเต็มปี ดีดลูกคิดกำไรแตะ 201 ล้านบาท หรือ +28.8% แนะนำ "ซื้อ" ชี้ราคาเหมาะสม 7.35 บาท           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ WARIX ว่า คาดกำไร WARIX ไตรมาส 4/67 ทำระดับสูงสุด           คาดกำไร WARIIX ไตรมาส 4/67 ทำระดับสูงสุดจากปัจจัยฤดูกาล มีการจัดการแข่งขันกีฬาหลายประเภท ยอดขายในมาเลเซียเติบโต รวมถึงสิงคโปร์ทำกำไรต่อเนื่อง นอกจากนี้คาดว่าจะไม่มีการตั้งด้อยค่าสนิทรัพย์สูงเหมือนไตรมาส 4/66 หากเป็นไปตามคาดจะทำให้กำไรปี 2567 อยู่ในกรอบประมาณการ แต่มีโอกาสสูงกว่า Consensus อยู่ราว 20% คาดกำไรปี 2568 โต YoY ทุกไตรมาส           บริษัทยังคงยืนยันเป้ารายได้ที่ 2,700 ล้านบาทในปี 2569 เทียบกับประมาณกาของฝ่ายวิเคราะห์ ซึ่ง Conservative กว่าคาดว่าจะถึงได้ในปี 2571 และ GPM มีโอกาสสูงกว่า 50% เทียบกับประมาณการของฝ่่ายวิเคราะห์ที่ 49.2-49.4% ถึงปี 2571 ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทปรับกลยุทธ์ดังนี้ 1) ด้านรายได้ในประเทศเพิ่มสินค้าใหม่ เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านสาขาของตัวเอง และตลาดออนไลน์ 2) การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐฯที่ไม่สะดุดหนุนรายได้สินค้ากลุ่มเสื้อโปโลองค์กร 3) รายได้จากต่างประเทศมีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายที่มีศักยภาพสูง และพื้นที่ในมาเลเซียและสิงคโปร์ รวมถึงยังให้การสนับสนุนทีมฟุตบอลในสิงคโปร์ และกัมพูชาต่อเนื่อง ทำให้เกิดน Brand Awareness และ 4) ในจีนคาดว่าจะเริ่มส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในช่วงฤดูร้อน ขณะที่เริ่มทยอยสั่งซื้อสินค้าในจีนผ่าน Himaxx ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนต่อชิ้นต่ำกว่าสั่งผลิตเอง ทำให้ GPM สูงขึ้น หรือสามารถจัดโปรดมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายได้ดีขึ้น           ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าปี 2568 จะเป็นปีที่เริ่มผลิดอกออกผลของสิ่งที่ได้ลงทุนไปในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และเป็นปัจจัยให้หุ้นปรับตัวลงกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้า           แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 7.35 บาท           ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 201 ล้านบาท (+28.8% YoY) โดยหากบริษัทยังยืนยนัเป้ารายได้ 2,700 ล้านบาท ในปี 2569 ทำให้ปี 2568 รายได้ควรสูงกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1,881 ล้านบาท และ GMP สูงกว่าฝ่ายวิเคราะห์ที่คาด 49.2% จึงมองว่าประมาณการกำไรปี 2568 ของฝ่ายวิเคราะห์มี Upside risk มากกว่า Downside risk ณ ราคาปิดวันที่ 16 ธ.ค. ราคาหุ้นซื้อขาย PER68 เพียง 11.6 เท่า ให้ปันผล 3.4% ต่อปี แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 7.35 บาท

CHO ลุยส่งมอบรถลำเลียงอาหารสายการบินต่างประเทศ ชูปี 68 อุตสาหกรรมการบินโต

CHO ลุยส่งมอบรถลำเลียงอาหารสายการบินต่างประเทศ ชูปี 68 อุตสาหกรรมการบินโต

            นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ช ทวี (CHO) เปิดเผยว่า “ในปี 2567 นี้อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวอย่างมากหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากความต้องการเดินทางเพิ่มขึ้นทั่วโลก ประเทศต่าง ๆ ส่งสัญญาณบวกทั้งจำนวนผู้เดินสารและปริมาณขนส่งสินค้าทางอากาศที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) คาดการณ์ว่าปี 2568 รายได้รวมของทางอุตสาหกรรมการบินทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.007 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 34.24 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจสายการบินมีแนวโน้มเร่งขยายฝูงบิน เพิ่มเที่ยวบินและเพิ่มจุดบินเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดและรายได้ในระยะยาว ถือเป็นปัจจัยบวกมายังบริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ผลิตที่ผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบ และผลิตยานยนต์เชิงพาณิชย์สำหรับระบบสนับสนุนท่าอากาศยาน ได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ เช่น ประเทศเกาหลีใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ) นิวซีแลนด์ เป็นต้น ล่าสุดบริษัทได้ส่งมอบรถลำเลียงอาหารสำหรับเครื่องบิน (X-Catering) ให้แก่ลูกค้าในประเทศเกาหลีใต้ จำนวน 18 คัน มูลค่ารวมกว่า 142 ล้านบาท และมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าสำหรับส่งมอบปี 2568 แล้วกว่า 51 คัน มูลค่ารวม 350 ล้านบาท             โดยรถลำเลียงอาหารสำหรับเครื่องบินที่ได้ส่งมอบให้ลูกค้านั้น ถือเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ที่สร้างจากความเชี่ยวชาญและความมุ่งมั่นในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มีจุดเด่นในการออกแบบครอบคลุมการใช้งานสำหรับเครื่องบินครอบคลุมทุกการใช้งาน ด้วยระบบการทำงานที่เที่ยงตรง สามารถรักษาอุณหภูมิและความสะอาดของอาหารที่บรรทุกอยู่ภายใน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและมีการสั่งซื้อซ้ำมาอย่างต่อเนื่องหลายปี โดยส่งออกไปยังกลุ่มลูกค้าหลักในประเทศแถบเอเชียตะวันออกและตะวันออกกลาง เช่น เกาหลีใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการจากอุตสาหกรรมการบินที่เริ่มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อมั่นว่าจะทำให้มีคำสั่งซื้อมายังบริษัทเพิ่มขึ้นและส่งเสริมผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ " นายสุรเดช กล่าว [PR News]

หนุ่ม กรรชัย ผนึก 88TH  พา LYO คว้า Prime Minister’s Export Award 2024

หนุ่ม กรรชัย ผนึก 88TH พา LYO คว้า Prime Minister’s Export Award 2024

          หุ้นวิชั่น -  หนุ่ม กรรชัย พาร์ทเนอร์ “LYO” (ไลโอ) และ นพรัตน์ มาลัยวงค์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท 88(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ 88TH เจ้าของ “LYO” สร้างความสำเร็จด้วยการคว้ารางวัล Prime Minister’s Export Award 2024 ในสาขาแบรนด์ไทยยอดเยี่ยม จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่มีผลงานโดดเด่นด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์จนเป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ โดยมี นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้มอบรางวัล ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล รางวัลนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงการทำงานที่มีจุดหมายร่วมกัน ซึ่งขับเคลื่อนและเสริมจุดแข็งให้ “LYO” เติบโตอย่างต่อเนื่อง           โดย นพรัตน์ มาลัยวงค์ กล่าวว่า “รางวัล Prime Minister’s Export Award 2024 เป็นเครื่องยืนยันว่าเรากำลังก้าวมาถูกทาง ความสำเร็จนี้เกิดจากความตั้งใจและความมุ่งมั่นในการพัฒนา LYO ให้เติบโตอย่างมั่นคง ด้วยมาตรฐานและคุณภาพที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค เราจะเดินหน้าต่อไป เพื่อขับเคลื่อนตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะให้เป็นที่ยอมรับและครองใจผู้บริโภคไทย พร้อมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายตลาดสู่กลุ่มประเทศ CLMV และสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายในปี 2568”           ด้าน “หนุ่ม กรรชัย” กำเนิดพลอย กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมเชื่อว่าสินค้าที่สะท้อนภูมิปัญญาไทยและวัตถุดิบคุณภาพ ควรถูกนำเสนอให้ตลาดสากลได้รู้จักมากขึ้น เราให้ความสำคัญกับการผลิตอย่างมีมาตรฐาน คาดว่าผลิตภัณฑ์ LYO จะสามารถสร้างความสนใจและความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคต่างชาติได้” [PR News]

หยวนต้าคัดดาวเด่น ICT BBIK-SECURE ติดเทรนด์ 

หยวนต้าคัดดาวเด่น ICT BBIK-SECURE ติดเทรนด์ 

          หุ้นวิชั่น - "หยวนต้า" มองธุรกิจ ICT หุ้นกลาง-เล็ก ฝั่ง Cyber Security, Digital Transformation และ Gadget Play เติบโตโดดเด่น คาดกำไรพุ่งแรง ชูหุ้นเด่น BBIK และ SECURE ติด Mega Trend           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึงแนวโน้มธุรกิจกลุ่ม TCT ว่า แนวโน้มไตรมาส 4/67 เด่นเป็นรายตัว           แนวโน้มไตรมาส 4/67 กลุ่ม Mobile Operators คาด TRUE และ ADVANC กำไรปกติเติบโตทั้ง QoQ และ YoY แต่ TRUE จะเด่นกว่า เพราะมีแรงส่งการลดต้นทุนซ้ำซ้อนที่มากกว่า ส่วน THCOM คาดกำไรปกติยังไม่มีนัยสำคัญ หุ้นขนาดกลาง ขนาดเล็ก กลุ่ม Cyber security , digital Transformation และ Gadget Play คาดกำไรปกติเติบโตต่อเนื่อง QoQ หุ้นที่กำไรปกติเด่นกว่ากลุ่มและราคาหุ้นยังน่าสนใจเน้นไปที่ SYNEX , BBIK และ SECURE           กลุ่ม Mobile Operators เริ่มตึงตัว           ราคาหุ้นกลุ่ม Mobile Operators ปัจจุบันซื้อขายที่ EV/EBITDA band 1.0SD ไม่ถูกเหมือนในช่วงต้นปี 2567 อย่างไรก็ดีฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าหุ้นจะยังเด่นกว่าตลาดในช่วง 6 เดือนจากนี้จาก 1) แนวโน้มกำไรของกลุ่มที่ยังดี 2) แรงส่ง Bond yield ขาลงในปี 2568 และ 3) โอกาสถูกปรับประมาณการกำไรเพิ่มอีกรอบของตลาดหลัง ADVANC ได้แรงส่งผู้ถือหุ้นใหม่ NewCo ส่วน TRUE มีโอกาสที่จะทำ Synergy ได้เร็วกว่าที่ตลาดคาด ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินยังไปได้ต่อได้ในกรอบราว 15-20%  ฝ่ายวิเคราะห์ชอบ TRUE ที่กำไรปกติมีโอกาสเกิด Upside Risk ได้มากกว่า ADVANC ส่วนปัจจัยที่ต้องระมัดระวังคือกาปรระมูลคลื่นความถี่ในช่วงกลางปี 2568           เน้นหุ้นขนาดกลาง ขนาดเล็กที่ได้ Mega Trend 1) ตัวแทนที่ได้ปรับประโยชน์จากการเข้ามาลงทุนของ Data Center ระดับโลกในประเทศไทย เลือก INSET (สร้าง Data Center) SYMC (ให้บริการเชื่อมต่อ Data ระหว่างเทศ) เป็นต้น 2) ตัวแทนการเติบโตของตลาด AI ในประเทศไทย การเข้าสู่ตลาดของสินค้าในกลุ่ม AI ทั้ง Gadget และ AI Service เต็มปีเป็นแรกในปี 2568 ฝ่ายวิเคราะห์เลือก SYNEX เป็นตัวแทน Theme ดังกล่าว 3) ผู้เล่นที่จะได้รับประโยชน์จากการเข้าสู่ตลาดของงาน Virtual Bank ผู้ได้รับอนุญาต Virtual Bank 3 รายในเดือน มิถุนายน 68 จะต้องขึ้นบริการภายในกลางเดือน มิถุนายน 69 เหลือเพียง 1 ปี จากวันที่ได้รับอนุญาต ฝ่ายวิเคราะห์เลือก BBIK และ SECURE เป็นตัวแทน Theme ดังกล่าว           คงน้ำหนัก Neutral เลือก SYMC เป็นหุ้นเด่น           ราคาหุ้นกลุ่ม ICT ปรับขึ้นมามาก ทำให้นักงทุนต้องมีความระมัดระวังในการลงทุนเพิ่มขึ้น เน้นการเลือกหุ้นรายตัวที่ราคายังมี Upside และต้องหาจังหวะทยอยลดน้ำหนักหุ้นที่ขึ้นร้อนแรงจน Upside จำกัด ฝ่ายวิเคราะห์เลือก SYMC (BUY TP 12.70 THB) เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม

D ต่างชาติตบเท้าเข้าใช้บริการ โบรกแนะ

D ต่างชาติตบเท้าเข้าใช้บริการ โบรกแนะ "ซื้อ" เป้าปี 68 ที่ 3.80 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุถึง D ว่า บริษัทรายงานงบ 3Q67 มีกำไรสุทธิ 10.2 ล้านบาท (ลดลง 7.5 ล้านบาท หรือ -42.7%YoY) โดยเป็นรายได้จากธุรกิจทันตกรรม 162.8 ล้านบาท (ลดลง 4.2 ล้านบาท หรือ -2.5%YoY) แบ่งเป็นรายได้จากลูกค้าคนไทย 61.7 ล้านบาท (-18.1%YoY) ลดลงเนื่องมาจากการชะลอตัวลงของกาลังซื้อในประเทศ ด้านลูกค้าต่างชาติ (+10.3%YoY) เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ขณะที่รายได้จากธุรกิจจาหน่ายวัสดุอุปกรณ์และอุปกรณ์ทางทันตกรรม 82.6ล้านบาท (+29.5%YoY) ด้านอัตรากาไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ38% ใกล้เคียงกันกับช่วงเดียวกันปีก่อน ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเท่ากับ 61.1 ล้านบาท(เพิ่มขึ้น7.2ล้านบาทหรือ+13.4%)โดยหลักเพิ่มขึ้นจากค่าโฆษณายาสีฟัน Elite Smile 3 ล้านบาทและการเพิ่มขึ้นของค่าคอมมิชชั่นจากการขายการเปลี่ยนแปลงช่วง 3Q67 บริษัทได้มีการ rebranding จากคลินิกทันตกรรม smile signature เป็น Dental Planet จำนวน 5 สาขา ได้แก่ รังสิต อ่อนนุช พหลโยธินรามอินทราและเซ็นทรัลเวสเกตตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 67 แนวโน้ม 4Q67 และปี 2568 แนวโน้ม 4Q67 คาดการณ์รายได้ 238 ล้านบาท (+12.1%YoY, -3.0%QoQ) และกำไรสุทธิ เท่ากับ 11.1 ล้านบาท (+9.7%QoQ, +30.4%YoY) ทั้งนี้มองว่ารายได้ลูกค้าคนไทยยังมีแนวโน้มชะลอตัวเล็กน้อย QoQ และ YoY เนื่องมาจากผลกระทบทางเศรษฐกิจทาให้ลูกค้ามีการตัดสินใจที่ช้าลงด้านรายได้ลูกค้าต่างชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น YoY แต่ทรงตัว QoQ ด้านรายได้จากธุรกิจจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์และอุปกรณ์ทางทันตกรรม คาดทรงตัว QoQ แต่ลดลง YoY ขณะที่คาดอัตรากาไรขั้นต้นและและอัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารใกล้เคียงกับช่วง 3Q67 ขณะที่แนวโน้มปีหน้ามองภาพลูกค้าคนไทยจะฟื้นตัวขึ้นได้เล็กน้อยตามสภาพทางเศรษฐกิจขณะที่ลูกค้าต่างชาติเติบไตได้จากเทรนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพผ่านโรงพยาบาล BIDH เป็นหลัก รวมถึงเติบโตจากแผนการขยายสาขาคลินิก ราว 3 สาขา คาดการณ์รายได้และกำไรปีหน้า เท่ากับ 980 ล้านบาท (+3.0%)และ69 ล้านบาท (+23.8%)ตามลำดับ ประเมินราคาเหมาะสมปี 2568 เท่ากับ 3.80 บาท อิง PE ที่ 19 เท่าใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปีทั้งนี้มองว่าระดับPE ที่ถูกde-rating ลงมาเมื่อเทียบกันกับช่วงก่อนโควิดได้สะท้อนภาวะทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความเป็นRed Ocean ของคลินิกทันตกรรมในพื้นที่กรุงเทพมหานครไปมากแล้วปัจจัยเสี่ยง:ความเสี่ยงจากการแข่งขันของธุรกิจทันตกรรม, ความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลกระทบต่อกาลังซื้อและความเสี่ยงจากการฟ้องร้องจากความผิดพลาดในการรักษา

AU ขนมหวานฮอต! ปี68 กำไรโตต่อ เป้า 13.50 บาท

AU ขนมหวานฮอต! ปี68 กำไรโตต่อ เป้า 13.50 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง ว่า AU “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 13.50 บาท “คาดกำไร 4Q67 โตต่อเนื่อง YoY QoQ และปรับประมาณการกำไรปี 67 เพิ่มขึ้น 10% เติบโต 66%YoY” งวด 3Q67 มีกำไร 83 ลบ. +55%YoY +15%QoQ (เติบโตดีกว่าที่คาดว่าจะทรงตัว QoQ) โดยมีรายได้428 ลบ. +27%YoY +14%QoQ มีปัจจัยเติบโตหลักจาก 2 ส่วนธุรกิจ คือ1) ธุรกิจร้านขนมหวาน After You (สัดส่วน 82%) +17%YoY จากการขยายสาขาสู่61 สาขา (+2 สาขาYoY +0 สาขา QoQ) ประกอบกับ SSSG คงเติบโต 4.5% และยอดขายต่อบิลที่สูงขึ้นจากกำลังซื้อที่เติบโตดีและกระแส Viral ในสินค้ากลุ่มโทสต์จากชาวมาเลเซีย และ 2) ธุรกิจขายสินค้า (สัดส่วน 15%) +182%YoY เติบโตดีจากการเริ่มวางขาย "ขนมปังเนยโสด" ในร้าน 7-Eleven เมื่อช่วง ก.ค.ที่ผ่าน มาซึ่งได้กระแสตอบรับดีมาก ส่วน %GPM ลดลงเล็กน้อยสู่ 65.4% (3Q66 = 66.0%, 2Q67 = 66.5%) จากการวางขายสินค้าในร้านสะดวกซื้อที่มีอัตราก าไรต่ ากว่า ทั้งนี้9M67 มีก าไร210 ลบ. +60%YoY และคิดเป็น 78% ของประมาณการทั้งปี67 เดิมที่268 ลบ. +51%YoY           คาดกำไร 4Q67 เติบโตต่อเนื่องทั้ง YoY และ QoQ จากการเข้าสู่ High Season และปรับประมาณการกำไรปี 67 เพิ่มขึ้น 10% สู่ 296ลบ. +66%YoY : โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศในช่วงปลายปีและฤดูกาลท่องเที่ยวของต่างชาติ สะท้อน SSSG เดือนต.ค.-พ.ย.ที่ผ่านมายังเป็นบวก โดยหลักยังคงได้แรงหนุนจากสาขาภาคใต้ (หาดใหญ่) ที่ได้รับกระแส Viral ในสินค้ากลุ่มโทสต์จากชาวมาเลเซีย รวมทั้งปัจจัยหนุนเฉพาะตัว คือ 1) ธุรกิจร้านขนมหวานยังมีแผนขยายสาขาอีก 2 สาขา โดยเน้นเปิดในพื้นที่ที่มีก าลังซื้อสูงและคนหนาแน่น 2) เพิ่งเปิด AfterYou สาขาแรกที่พนมเปญ 3) รีแบรนด์ร้าน Mikka Cafe เป็น Mikka Coffee Roasters เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า Premium มากขึ้น 4) เปิดร้านแบบ Pop-up Store ตามสถานที่ท่องเที่ยว และ 5) ร่วมมือกับ "การบินไทย" ให้บริการเสิร์ฟขนมปังแบรนด์ After You(มีสัญญาจนถึงช่วงพ.ค.68)           ทั้งนี้ เราปรับประมาณการรายได้และกำไรปี 67 เพิ่มขึ้น 10% สู่ 1,592 ลบ. +31%YoY และ 296 ลบ. +66%YoY ตามลำดับ สะท้อนกำไร 3Q67 สูงกว่าคาด 14% และก าไร 9M67 คิดเป็น 78% ของประมาณการเดิม คาดการณ์กำไรปี 68 ราว 332 ลบ. +12%YoY : คาดการณ์รายได้และกำไรปี 68 ราว 1,810 ลบ. +14%YoY และ 332 ลบ. +12%YoY ตามลำดับ จากปัจจัยสนับสนุนหลัก 2 ประการ คือ 1) แผนขยายสาขา After You ราว 7-10 สาขา สู่ทั้งหมด 70-73 สาขา และ 2) รับรู้รายได้จากการวางขายสินค้าในร้าน 7-Eleven เต็มปี รวมทั้งแผนการเพิ่มกำลังการผลิตให้ครอบคลุมร้าน 7-Eleven 14,000 สาขา คาดแล้วเสร็จภายในช่วง 1Q68 โดยหากเทียบกับช่วง 3Q67 ที่มีรายได้จากกลุ่มดังกล่าวราว 30 ลบ./ไตรมาส ซึ่งปัจจุบันครอบคลุม 7-Eleven เพียง 8,000-9,000 สาขา ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเราประเมินเบื้องต้นหากวางจำหน่ายสินค้าครอบคลุม 7-Eleven ทุกสาขา คาดจะทำให้มีรายได้ส่วนเพิ่มราว 150-200 ลบ./ปี (เฉพาะกลุ่มสินค้าขนมปังเนยโสด ยังไม่รวมแผนการนำสินค้าอื่นๆเข้ามาขายเพิ่มเติม)           นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆเพิ่มเติม อาทิ การขยายในตลาดต่างประเทศทั้งในรูปแบบการขายแฟรนไชส์ หรือหา Distributor เพื่อจำหน่ายสินค้า (ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจา) การทยอยออกสินค้าใหม่ๆ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy e-receipt ซึ่งจะเริ่มใช้สิทธิช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ.68           คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเหมาะสม 13.50 บาท อัพไซต์ 26% คงประเมินราคาเหมาะสมของ AU ที่ 13.50 บาท ด้วยวิธี Discounted Cash Flow (DCF) บนสมมติฐาน WACC 8% และ Terminal Growth 3% โดยแม้ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ PE 34x สูงกว่ากลุ่มที่ราว 25-30x (PE: M = 16x, ZEN = 24x, MAGURO = 33x, OKJ = 44x) แต่บริษัทมีศักยภาพการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีจากนี้ราว 10-20% ต่อปี จากแบรนด์ที่ติดตลาด แผนการขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ การวางขายสินค้าใน Modern Trade ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ได้รับกระแสนิยมทุกปี โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 26% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

[ภาพข่าว] GFC เปิดบ้านต้อนรับสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) ส่งท้ายปี

[ภาพข่าว] GFC เปิดบ้านต้อนรับสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) ส่งท้ายปี

หุ้นวิชั่น - นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ รองประธานกรรมการ  นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายอมร ไตรรัตน์อัศว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน  บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GFC ให้การต้อนรับสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมกิจการ GFC Rama 9 International ส่งท้ายปี 2567 พร้อมอัปเดตทิศทางธุรกิจรวมถึงความพร้อมในการเปิดให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยาก ทั้ง 2 สาขาใหม่ โดยช่วงต้นปี 2568 เตรียมเปิด Grand Opening สาขา GFC Ubon ในวันที่ 19 ม.ค.68 ขณะที่ GFC Rama 9 International เตรียม Grand Opening ในวันที่ 21 ก.พ.68 ส่งผลให้ 2568 GFC มีสาขาสำหรับรองรับลูกค้าได้ครบ 3 สาขา ซึ่งตอกย้ำถึงแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป

CPANEL ปี68 ฟื้นตัวแรง ดีมานด์ผนังสำเร็จรูปฮอต!

CPANEL ปี68 ฟื้นตัวแรง ดีมานด์ผนังสำเร็จรูปฮอต!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง CPANEL ว่า "มุมมองเป็นกลาง" แนวโน้มรายได้ฟื้นตัวในปี 68           งวด 3Q67 บริษัทมีขาดทุนสุทธิ -11 ลบ. พลิกเป็นขาดทุน จากกำไร 13 ลบ. ใน 3Q66 และ กำไร 9 ลบ. ในงวด 2Q67 โดยมีรายได้จากการขาย 39 ลบ. -62%YoY, -57%QoQ เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และความล่าช้าของงบประมาณภาครัฐ ส่งผลต่อปริมาณการขายแผ่นผนัง และแผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป มี %GPM ที่ระดับ 5.9% ลดลงจาก 38.1% ใน3Q66 และระดับ 33.0% ใน 2Q67 สาเหตุหลักเกิดจากการประหยัดต่อขนาด (Economiesฃof Scale) ที่ลดลง เนื่องจากบริษัทเริ่มด าเนินงานในโรงงานผลิตแห่งใหม่ ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังผลิต (Utilization rate) ที่ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 26% จากระดับ 65% และ 63% ในงวด 3Q66 และ 2Q67 ตามลำดับ ช่วง 9M67 มีรายได้จากการขาย 226 ลบ. -31%YoY และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 8 ลบ. -83%YoY ณ วันที่ 2 ธันวาคม 67 มี Backlog 1422 ลบ. ประมาณการรับรู้รายได้ในปี 68-69 จ านวน 1,385 ลบ.           ความเห็น มีมุมมองเป็นกลางต่อ Outlook ของบริษัท เนื่องจากคาดว่ารายได้ในงวด 4Q67 จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับในงวด3Q67 แต่คาดรายได้จะฟื้นตัวแรงในปี 68 จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่มีความต่อเนื่อง และดีมานด์การก่อสร้างทั้งโครงการแนวราบ และโครงการแนวสูงฟื้นตัว โดยราคาหุ้นปัจจุบันซื้อ-ขาย บน P/E ที่ระดับ 24x สูงกว่า sector วัสดุก่อสร้างมี P/E ที่ระดับ 17x จึงแนะนำ “ถือ”

PRI เปิดตัวทีมผู้บริหาร รุกบริการอสังหาฯเลี้ยงสัตว์ครบวงจร

PRI เปิดตัวทีมผู้บริหาร รุกบริการอสังหาฯเลี้ยงสัตว์ครบวงจร

          หุ้นวิชั่น - กระแส Pet Humanization แรงไม่หยุด! บมจ.พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น หรือ PRI ต่อยอดแนวคิด Happy Maker จัดทัพทีม Happy “PETS” Maker สร้างมาตรฐานใหม่ควบคู่ไปกับกลุ่มบริษัทหรือนักพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มคนโสด กลุ่มคู่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีบุตร รวมถึงกลุ่มคนสูงวัยที่เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา พร้อมทุ่มเทเอาใจใส่ดูแลเลี้ยงดูผูกพันเหมือนเป็นบุตรหลานไม่ต่างจากสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว (Pet Parent) โดยทีม Happy “PETS and PAL” Maker พร้อมเติมเต็มความสุขสมบูรณ์แบบในทุกช่วงเวลาของคุณและสัตว์เลี้ยงแสนรัก เปิดตัวทีมผู้บริหารและทีมงาน ผลักดันงานบริหารและบริการ ขึ้นแท่น PRIMO NO.1 HAPPY “PETS and PAL” MAKER           นายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทพรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI เปิดเผยว่า เทรนด์ Pet Humanization ที่ผู้บริโภคนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยง และดูแลเอาใจใส่เสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี เห็นได้จากมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยในปี 2567 โดย ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics เผยให้เห็นถึงมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงสูงถึงประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 12.4% จากปี 2566 สอดคล้องกับผลการวิจัยของ The 1 Insight และ CRC VoiceShare ที่ระบุว่า การเลี้ยงสัตว์ในบ้านมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับอัตราการเกิดของประชากรไทยที่ลดลงในทุกๆ ปี ซึ่งมีผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงกว่า 65% ที่เป็นกลุ่ม Pet Parent           จากกระแสความนิยมดังกล่าว พรีโม เชื่อว่าจะยังคงมีอย่างต่อเนื่องและจะส่งผลต่อการให้บริการที่อยู่อาศัยในโครงการเพื่อเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet Friendly) ด้วยเช่นกัน พรีโม ในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ฟอร์มทัพเปิดตัวทีม Happy “PETS and PAL” Maker ก้าวสู่ No.1 ของผู้ให้บริการและการจัดการอสังหาริมทรัพย์ด้านเลี้ยงสัตว์ ซึ่งทีมงานได้ทุ่มเทและให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้ และการบริการอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อยกระดับการบริหารและการบริการโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เลี้ยงสัตว์ได้ให้มีมาตรฐาน เกินความต้องการของกลุ่มลูกค้า โดยดำเนินงานภายในองค์กร รวมถึงร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำของประเทศไทยในกลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เพื่อสู่เป้าหมายการสร้างสรรค์ความสุขในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับการอยู่อาศัยของสัตว์ลี้ยง และทุกคนในทุกมิติ ตั้งแต่ก่อนจนถึงหลังอยู่อาศัย           “เรามองว่าเทรนด์นี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและจะเกิดขึ้นกับทุกคนในทุกช่วงอายุ รวมถึงกลุ่มมิลเลนเนียลหรือกลุ่มคน Gen Y ที่ปัจจุบันมักจะมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเอง ดังนั้นการเปิดตัวทีมใหม่ ทีม Happy “PETS and PAL” Maker จะเข้ามาเสริมทัพความแข็งแกร่งให้กับพรีโม เพื่อให้ครอบคลุมงานด้านบริการครบทุกมิติแบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น” นายสุรินทร์กล่าวย้ำ           พร้อมกันนี้นายสุรินทร์ยังได้ระบุว่า การทรานส์ฟอร์มทีมงาน สร้างทัพใหม่ รวมไปถึงการปรับตัว เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ผ่านทีม Happy “PETS” Maker ที่ประกอบด้วย  คุณประสิทธิ์ จรัสวิชากร ผู้บริหารสายงานธุรกิจบริหารอาคารและชุมชน, คุณมลนภา ปั้นบุญ ผู้บริหารสายงานธุรกิจบริหารอาคารและชุมชนระดับพรีเมี่ยม, คุณลักษณา แสงมณี ผู้บริหารสายงานการขายงานตกแต่ง, คุณอรุณ ศิริจานุสรณ์ ผู้บริหารสายงานบริหารงานก่อสร้าง, คุณอิงครัต ไตรทรัพย์ ผู้บริหารสายงาน Service Innovation, คุณธนพนธ์ โรจน์ทินกร ผู้บริหารพรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น, คุณปีณิตา ศิลปะสุวรรณ ผู้บริหารสายงานธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ และคุณรวิศชา วัฒนเลิศอุดม เลขานุการคณะกรรมการบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน ชู “ 7S ” ภายใต้ Primo Happy Pettival เพื่อสร้างความสุขที่ไม่มีวันหยุด ในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของสัตว์เลี้ยงในทุกมิติ           พรีโม ทรานส์ฟอร์มทีมงาน รวมไปถึงการปรับตัว เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ผ่านทีม Happy “PETS and PAL”  Maker ก้าวสู่ No.1 ของผู้ให้บริการและจัดการอสังหาริมทรัพย์ด้านเลี้ยงสัตว์ เติมเต็มความสุขสมบูรณ์แบบในทุกช่วงเวลาของคุณและสัตว์เลี้ยงแสนรัก เป็นทิศทางในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตไปสู่เป้าหมายพร้อมกับบริษัทในเครือ และพันธมิตรในทุกมิติ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการบริการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อสัตว์เลี้ยงในทุกด้าน พร้อมตอบรับเทรนด์การอยู่อาศัยร่วมกันระหว่างคนกับสัตว์เลี้ยงที่มีอัตราเติบโตสูงขึ้น และต่อเนื่อง พรีโม มุ่งมั่นที่จะยกระดับบริการก้าวสู่ผู้นำในกลุ่มธุรกิจด้วยความเป็นมืออาชีพ           โดยจากศักยภาพของทีม Happy “PETS and PAL” Maker จะยกระดับการบริการอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อคุณภาพชีวิตและความสุขของคุณและสัตว์เลี้ยงผ่าน “ 7S ” ภายใต้ Primo Happy Pettival เพื่อสร้างความสุขที่ไม่มีวันหยุดในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของสัตว์เลี้ยงในทุกมิติด้วยบริการจากทีมงานที่มากประสบการณ์ STANDARD LIVING SERVICE : ยกระดับมาตรฐานการบริหารและการบริการงานนิติบุคคลโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เลี้ยงสัตว์ ได้ ซึ่งมี คุณประสิทธิ์ จรัสวิชากร ผู้บริหารสายงานธุรกิจบริหารอาคารและชุมชน และ คุณมลนภา ปั้นบุญ ผู้บริหารสายงานธุรกิจบริหารอาคารและชุมชนระดับพรีเมี่ยม เป็นผู้ดูแล ภายใต้บริษัทในเครือพรีโม คือ พีเอ็มเอ็ม พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ และคราวน์ เรสซิเดนซ์ ที่ได้เล็งเห็นพฤติกรรมและการใช้ชีวิตของลูกบ้านภายในโครงการที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้พร้อมดูแล เอาใจใส่ เพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีคุณภาพชีวิตที่ดีและอยู่กับเราไปได้นาน โดยได้ร่วมกับโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ (Thonglor Pet Hospital ) พัฒนาคอร์สการบริหารและการบริการโครงการ เพื่อสร้างสรรค์ความสุขในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของสัตว์เลี้ยง สำหรับนิติบุคคล ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยในการสร้างมาตรฐานใหม่การบริการ ที่สร้างความเชื่อมั่นและความอุ่นใจในทุกช่วงเวลาการอยู่อาศัยให้กับทุกคน           นอกจากนี้ พรีโม ยังได้จับมือกับพันธมิตรชั้นนำด้านคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงในการสร้างระบบการลงทะเบียนสัตว์เลี้ยงภายในโครงการที่มีมาตรฐานเป็นแบบแผนเดียวกัน ตรวจสอบและติดตามข้อมูลได้ เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัยทุกคนในโครงการ โดยชูจุดเด่นด้านการตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยงฟรี* การฝังไมโครชิปสัตว์เลี้ยง รวมถึงการติดตามข้อมูลสุขภาพสัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง           พร้อมกันนี้ พรีโม ยังได้พัฒนาหลักสูตรภายในโดยทีมงานมืออาชีพ จัดอบรมนิติบุคล สำหรับโครงการเลี้ยงสัตว์ได้โดยเฉพาะ และให้ความสำคัญกับมาตรฐานการบริการที่มาจากใจ เพื่อมุ่งเน้นความสุขในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยและสัตว์เลี้ยงในทุกช่วงเวลา การให้ความสำคัญกับมาตรฐานบริการของทีมนิติบุคคลถือเป็นจุดแข็งสำคัญในการมุ่งสู่เป้าหมาย NO.1 HAPPY “PETS and PAL” MAKER ผู้นำธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์เลี้ยงสัตว์ได้ของประเทศไทย นอกจากนี้ พรีโม ให้ความสำคัญกับแคมเปญ Primo Happy Pettival เทศกาลความสุขไม่มีวันหยุดของคุณและสัตว์เลี้ยงในทุกช่วงเวลา SPACE : บริการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยภายในเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและมีความสุขร่วมกันของทั้งสัตว์เลี้ยงแสนรักและเจ้าของ ที่มี คุณลักษณา แสงมณี ผู้บริหารสายงานการขายงานตกแต่ง ของบริษัท วายด์ อินทีเรีย จำกัด บริษัทย่อยของพรีโม เข้ามาร่วมให้บริการงานด้านออกแบบที่คำนึงถึงฟังก์ชันการใช้งานที่เหมาะสมทั้งคนและสัตว์เลี้ยง รวมถึงดีไซน์ ที่สวยงามในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การเลือกวัสดุ การเลือกเฟอร์นิเจอร์ ที่ต้องปลอดภัย เสริมพัฒนาการแก่สัตว์เลี้ยง และง่ายต่อการดูแลรักษา โดยมีการพัฒนาและศึกษาข้อมูลร่วมกับโรงพยาบาล หน่วยงานราชการ รวมถึงการอบรมทีมออกแบบเพื่อยกระดับความรู้ในการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยเพื่อสัตว์เลี้ยงอย่างเจาะลึก SANITARY : บริการทำความสะอาดห้องพักและโครงการที่เลี้ยงสัตว์ได้จากกลุ่ม อูโน เซอร์วิส โดยทีมแม่บ้านที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน ซึ่งได้ผ่านการอบรมด้านการทำความสะอาดห้องพัก ที่มีสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ พร้อมอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อคุณและสัตว์เลี้ยง ซึ่งได้รับการรับรองโดยหน่วยงานเฉพาะด้าน เพื่อให้มั่นใจในความสะอาด และปลอดภัยในการใช้ชีวิตภายในโครงการ นำโดย คุณอรุณ ศิริจานุสรณ์ ผู้บริหารสายงานบริหารงานก่อสร้าง เป็นผู้ดูแลนำทีมบริการ SMART LIVING : ที่มี คุณอิงครัต ไตรทรัพย์ ผู้บริหารสายงาน Service Innovation ของพรีโมเป็นผู้ดูแลและพร้อมที่จะนำเอาจุดแข็งต่างๆ ที่มีมาให้บริการเพื่อยกระดับความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของคุณและสัตว์เลี้ยงให้เป็นเรื่องง่ายด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี จาก อูโน เซอร์วิส โดยมีการนำบริการ Doormart และหุ่นยนต์ IOT พี่พรีโม เพื่อส่งสินค้าและนำเสนอบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงถึงหน้าประตูห้อง ด้วยความมั่นใจในความปลอดภัย และความง่ายในการใช้ชีวิตพร้อมหุ่นยนต์ น้องพรีโม ช่วยทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการที่เลี้ยงสัตว์ได้อย่างหมดจด และปลอดภัยจากเชื้อโรค SAFE PET LIFE : บริการประกันสุขภาพแก่สัตว์เลี้ยง ที่ได้ผู้บริหารของพรีโมอย่าง คุณธนพนธ์ โรจน์ทินกร มาคอยดูแลทั้งยังได้พันธมิตรคือ พริม อินชัวรันส์ ที่ให้บริการนายหน้าจำหน่ายประกันภัยทั้งแบบ Life และ Non Life หลากหลายรูปแบบตามความต้องการ เพื่อสร้างความมั่นใจ อุ่นใจ ในการดูแลคุณภาพชีวิตที่ดีของสัตว์เลี้ยงให้อยู่กับเราไปนานๆ SPECIAL PRIVILEGE : บริการสิทธิประโยชน์ อาทิ ส่วนลด โปรโมชัน และอีเวนท์พิเศษ รวมถึงบริการอำนวยความสะดวก จากหลากหลายพันธมิตรชั้นนำ ในทุกรูปแบบไลฟ์สไตล์ชีวิต เพื่อให้คุณได้สร้างช่วงเวลาแสนพิเศษกับสัตว์เลี้ยงแสนรักซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะสมาชิก Primo Club ทุกคน โดย คุณปีณิตา ศิลปะสุวรรณ ผู้บริหารสายงานธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ เป็นผู้ดูแลงานด้านบริการสิทธิประโยชน์ต่างๆ ดังกล่าว SUSTAINABLE SOCIETY : กิจกรรมเพื่อสร้างสรรค์ชุมชนให้เติบโต ด้วยความสุขที่ยั่งยืนซึ่ง คุณรวิศชา วัฒนเลิศอุดม เลขานุการคณะกรรมการบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน เป็นผู้ดูแล ผ่านแคมเปญPrimo Care ที่ให้ความสำคัญกับ PEOPLE, PET และ PLANET โดยในส่วนของ PET พรีโม พร้อมที่จะส่งเสริมการปกป้อง ดูแล และเลี้ยงดูสัตว์ทุกชนิดให้มีชีวิตที่ดี ผ่านการได้รับสวัสดิภาพที่เหมาะสม โดยส่งเสริมการจัดกิจกรรมและแผนการดำเนินงานทั้งภายในองค์กร ร่วมกับหน่วยงานเอกชน รัฐวิสาหกิจ และราชการ เพื่อให้สอดรับกับแนวคิดการดำเนินธุรกิจ           นอกจากนี้พรีโมยังส่งเสริมและออกแบบ Work Place ภายในองค์กร ให้พนักงานสามารถนำสัตว์เลี้ยงแสนรักมาทำงานด้วยได้ โดยมีแผนปรับปรุงสำนักงานให้มีพื้นที่ Happy Pettival ทั้งโซน Indoor และ Outdoor           ลูกค้าทั่วไป ลูกค้าธุรกิจ หน่วยงานราชการ สนใจปรึกษาหรือรับบริการด้านการบริหารและการจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อสัตว์เลี้ยง สามารถติดต่อทีม พรีโม ได้แล้ววันนี้ที่เบอร์โทร 02-081-000           สำหรับ บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI เป็นผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ชั้นนำของประเทศ มีประสบการณ์กว่า 11 ปี ปัจจุบัน ดำเนินธุรกิจภายใต้ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ – บริการก่อนเข้าอยู่อาศัย (Pre-Living Services) ได้แก่ บริการให้คำปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้างโครงการอสังหาฯ บริการออกแบบสถาปัตยกรรมงานวิศวกรรมโครงสร้างควบคุมการก่อสร้าง และบริการควบคุมการก่อสร้าง งานวิศวกรรมและการให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิค 2.กลุ่มกลางน้ำ – บริการการจัดการเพื่อการอยู่อาศัย (Living Services) ได้แก่ บริการบริหารนิติบุคคลอาคารชุด บ้านจัดสรร ห้างสรรพสินค้า อาคาร และสำนักงาน บริการนิติบุคคลอาคารชุดแบบลักชัวรี่ การบริหารจัดการ Residential Property และ Service Apartment บริการซื้อ-ขาย-ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ตัวแทนในการซื้อ-ขาย-เช่าบริการจัดหาผู้ร่วมลงทุน บริการที่ปรึกษาด้านสื่อการตลาดและประชาสัมพันธ์ให้กับธุรกิจอสังหาฯ บริการ Personal Assistant ให้แก่ชาวต่างชาติ และบริการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการบริการ และเทคโนโลยีด้านการอยู่อาศัย 3.กลุ่มปลายน้ำ – บริการหลังการขายที่อยู่อาศัย (Living & Earning Services) ได้แก่ บริการออกแบบและตกแต่งภายใน บริการงานจ้าเหมาแบบเบ็ดเสร็จ บริการแม่บ้านทำความสะอาดและบริการงานช่างช่าง บริการจัดการอาคาร และจัดจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านและที่อยู่อาศัย แบบ Lifestyle [PR News]

“เฟอร์นิเจอร์” ปี68 โต2.9% CHIC-ECF โหนกระแส

“เฟอร์นิเจอร์” ปี68 โต2.9% CHIC-ECF โหนกระแส

          หุ้นวิชั่น - Krungthai COMPASS คาด “แนวโน้มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์” ปี 68 โต 2.9% ตลาดในประเทศ ส่งออกขยายตัว จับตา Eco-friendly Furniture ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ สอดรับนโยบาย ESG จับตา บจ.CHIC,ECF,FANCY,EURO,ILM,MODERN,ROCK,SIAM           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เปิดเผยถึง “แนวโน้มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์” ว่า มูลค่าตลาดเฟอร์นิเจอร์โดยรวมในปี 2567-68 มีแนวโน้มขยายตัว 4.5% YoY และ 2.9% YoY ตามลำดับ แบ่งเป็นมูลค่าตลาดเฟอร์นิเจอร์ในประเทศ (70% ของมูลค่าตลาดรวม) คาดจะทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยอัตรา 2.0% YoY และ 2.9% YoY ตามลำดับ ส่วนตลาดส่งออก (30% ของมูลค่าตลาดรวม) คาดขยายตัวที่ 10.4% YoY และ 2.7% YoY ตามลำดับ           ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1) กำลังซื้อในประเทศที่ยังเปราะบาง อาจทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อเฟอร์นิเจอร์ออกไป 2) การแข่งขันที่อยู่ในระดับสูง และยังมีแนวโน้มที่จะถูกตีตลาดจากเฟอร์นิเจอร์ของประเทศคู่แข่ง 3) ต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงค่าแรงที่อาจปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะบั่นทอนความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ และยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ อาทิ นโยบายการค้าในตลาดโลก และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า           ในระยะข้างหน้า ธุรกิจควรต่อยอดการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่มีความยั่งยืน เช่น Eco-friendly Furniture เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ายุคใหม่ และสอดรับกับแนวนโยบายด้าน ESG รวมถึงนโยบายการค้าในตลาดโลกล สรุปบทวิเคราะห์           ในปี 2567-68 คาดว่าตลาดเฟอร์นิเจอร์โดยรวมมีแนวโน้มขยายตัว 4.5% YoY และ 2.9% YoY ตามลำดับ แบ่งเป็น 1) ตลาดในประเทศ (สัดส่วน 70% ของมูลค่าตลาดรวม) คาดว่าจะฟื้นตัวได้อย่างจำกัดด้วยอัตราการขยายตัว 2.0% YoY และ 2.9% YoY ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์สำหรับที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มถูกกดดันจากภาคอสังหาฯ ที่ยอดขายใหม่ยังไม่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ยังได้รับอานิสงส์จากความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์ในกลุ่มสำนักงานและกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาชดเชยได้บางส่วน และ 2) ตลาดส่งออก (สัดส่วน 30% ของมูลค่าตลาดรวม) คาดว่าจะขยายตัวที่ 10.4% YoY และ 2.7% YoY ตามลำดับ โดยได้รับอานิสงส์จากการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไปตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น สหรัฐฯ ที่กลับมาขยายตัวตามทิศทางมูลค่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ที่ทยอยปรับตัวดีขึ้น           อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ของไทยยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1) กำลังซื้อในประเทศที่ยังเปราะบาง และภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูง ซึ่งกดดันทั้งภาคอสังหาฯ และความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อเฟอร์นิเจอร์ออกไป 2) การแข่งขันที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ เนื่องจากการเข้ามาในธุรกิจทำได้ง่าย ไม่มีข้อกำหนดหรือขั้นตอนที่ซับซ้อน รวมถึงการแข่งขันจากเฟอร์นิเจอร์จีนที่เข้ามาทำตลาดกับผู้บริโภคชาวไทยโดยตรงผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งอาจกดดันยอดขายของผู้ประกอบการไทย และ 3) ความสามารถในการทำกำไรถูกกดดันจากต้นทุนการผลิต เช่น ราคาไม้ยางพาราและราคาอะลูมิเนียมที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงค่าแรงงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการปรับขึ้นค่าแรง ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น           นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ต้องติดตาม อาทิ นโยบายการค้าต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้ทิศทางและนโยบายการค้าเปลี่ยนแปลง การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ก็เป็นปัจจัยที่กดดัน ทำให้การแข่งขันในตลาดส่งออกเฟอร์นิเจอร์ของไทยมีความยากลำบากมากขึ้น           ในระยะข้างหน้า ผู้ประกอบการในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์อาจต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าเข้มงวดขึ้น เช่น มาตรฐาน CARB, มาตรการ EUDR และมาตรการ CBAM รวมถึงกระแสของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการควรพิจารณานำแนวคิดด้าน ESG มาผนวกกับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับนโยบายการค้าในตลาดโลก และช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว อาทิเช่น เฟอร์นิเจอร์ในกลุ่ม Eco-Friendly หรือ Green Furniture เป็นต้น           มูลค่าตลาดเฟอร์นิเจอร์โดยรวมในปี 2567-68 มีโอกาสขยายตัว 4.5% YoY และ 2.9% YoY ตามลำดับ ดังนั้น ตลาดในประเทศที่มีสัดส่วนประมาณ 70% ของมูลค่าตลาดรวม คาดว่าจะฟื้นตัวได้อย่างจำกัดด้วยอัตรา 2.0% YoY และ 2.9% YoY ตามลำดับ ขณะที่ตลาดส่งออกซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 30% ของมูลค่าตลาดรวม จะมีส่วนช่วยพยุงตลาดได้บ้าง โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 10.4% YoY และ 2.7% YoY ตามลำดับ           ในปี 2567-68 คาดว่ามูลค่าตลาดในประเทศจะฟื้นตัวได้อย่างจำกัดด้วยอัตราการขยายตัว 2.0% YoY และ 2.9% YoY ตามลำดับ เนื่องจากถูกกดดันจากภาคอสังหาฯ ที่ยอดขายใหม่ยังไม่ฟื้นตัว และกระทบต่อความต้องการเฟอร์นิเจอร์สำหรับที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม ยังได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์สำนักงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าตลาดสำนักงานให้เช่าในช่วงปี 2567-68 จะมีพื้นที่สำนักงานใหม่สร้างเสร็จเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 375,000 ตร.ม. ต่อปี ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์ในอาคารสำนักงานสูงขึ้น และยังได้รับอานิสงส์จากความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่มีการปรับปรุงห้องพักและสงซื้อเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติบโตเพื่อรองรับการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว           ส่วนมูลค่าส่งออกเฟอร์นิเจอร์ คาดว่าในปี 2567-68 จะขยายตัวที่ 10.4% YoY และ 2.7% YoY ตามลำดับ โดยได้รับอานิสงส์จากการส่งออกไปยังตลาดที่มีศักยภาพสูง อย่างสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนตลาดเกือบ 50% จะกลับมาขยายตัวตามรายจ่ายในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ที่ทยอยปรับตัวดีขึ้น โดย Technavio ได้คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.4% CAGR (ปี 2566-71) ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ความต้องการซื้อและนำเข้าเฟอร์นิเจอร์เพื่อตกแต่งที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น           ต้นทุนของธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบ่งเป็น 43% คือต้นทุนค่าสินค้า อีก 21% คือต้นทุนค่าแรงงาน และส่วนที่เหลือ 36% เป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าโฆษณาและส่งเสริมการขาย           โดยในช่วง 1-2 ปีนี้ อัตราการทำกำไรของธุรกิจมีแนวโน้มถูกกดดันจากต้นทุนการผลิต ได้แก่ 1) ราคาไม้ยางพาราที่ปรับตัวสูงขึ้นจาก 1.42-2.21 บาท/กิโลกรัมในปี 2564 มาอยู่ที่ 1.53-2.37 บาท/กิโลกรัมในปี 2567 2) ราคาวัตถุดิบกลุ่มโลหะ ได้แก่ ราคาอะลูมิเนียมที่ยังสูงกว่า ค่าเฉลี่ยปี 2561-63 ราว 30-35% ขณะที่ราคาเหล็กแม้จะมีทิศทางปรับตัวลดลง แต่ยังมีความผันผวนอยู่มาก ทำให้ความเสี่ยงต่อ Stock Loss เพิ่มขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ 3) ค่าแรงงานที่มีโอกาสปรับขึ้นตามนโยบายปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำของรัฐบาล จะส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น           การแข่งขันของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ เนื่องจากการเข้ามาในธุรกิจทำได้ง่าย ไม่มีระเบียบหรือขั้นตอนที่ซับซ้อน ซึ่งสะท้อนจากจำนวนผู้ประกอบการที่ดำเนินกิจการอยู่ในตลาดมากกว่า 5,000 ราย โดยส่วนใหญ่กว่า 90% เป็นผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) และขนาดย่อม (Small) และเมื่อพิจารณาตามลักษณะการดำเนินธุรกิจ พบว่า ราว 53% ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมดเป็นผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์           นอกจากนี้ ตลาดในประเทศและตลาดส่งออกต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากเฟอร์นิเจอร์ของจีนซึ่งได้เปรียบด้านราคา และปัจจุบันผู้ประกอบการจากจีนได้เข้ามาทำตลาดกับผู้บริโภคชาวไทยโดยตรงผ่าน 2 ช่องทางสำคัญ ได้แก่ 1) การขายทางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ อาทิ Temu และ 2) การร่วมเป็นพันธมิตรกับตัวแทนจำหน่ายในไทย โดยนำเข้าเฟอร์นิเจอร์จากจีนที่ได้รับสิทธิ Free Trade Area (FTA) ภาษีนำเข้า 0% ซึ่งนับเป็นปัจจัยที่กดดันความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยได้           สำหรับผู้ประกอบการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ประกอบไปด้วย บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) หรือ CHIC เป็นศูนย์รวมจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน ของใช้ในบ้าน ที่นอนและเครื่องนอน อย่างครบวงจร (One Stop Shopping) ในรูปแบบ Stand Alone ภายใต้ชื่อ "ชิค รีพับบลิค (CHIC)" และ "รีน่า เฮย์ (Rina Hey)"           บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์จากไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด ไม้เอ็มดีเอฟแบบประกอบด้วยตนเอง เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา กระดาษปิดผิว ไม้ยางพาราแปรรูปอบแห้ง และให้บริการตัดแผ่นปิดขอบไม้ (พีวีซี) เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีหนึ่งในบริษัทย่อยที่ลงทุนด้านพลังงานทดแทน           บริษัท แฟนซีวู๊ด อินดัสตรีส จำกัด (มหาชน) หรือ FANCY ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ไม้และแปรรูปไม้ยางพารา           บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน)  หรือ EURO ผู้ประกอบธุรกิจการจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านครบวงจร ครอบคลุมทั้งเฟอร์นิเจอร์ชุดครัว เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์นอกอาคาร ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและแสงสว่าง สินค้าและวัสดุเพื่อการตกแต่ง ของใช้ เครื่องนอน เครื่องออกกำลังกาย และสินค้าหรืออุปกรณ์เทคโนโลยี ภายใต้ชื่อร้าน "Euro Creations" และร้านภายใต้แบรนด์อื่นๆ           บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM ผู้ประกอบธุรกิจร้านค้าปลีกจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านครบวงจรในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ร้านค้า "Index Living Mall" และแบรนด์อื่น ๆ รวมทั้งจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางอื่นๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ที่ครอบคลุมลูกค้าทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ และประกอบธุรกิจพื้นที่ให้เช่าภายใต้รูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ ภายใต้แบรนด์ "The Walk" "Little Walk" และ "Index Mall" รวมถึงพื้นที่เช่าในสาขาของ Index Living Mall           บริษัท โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MODERN ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ครบวงจรครอบคลุมทั้งเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์บ้าน เฟอร์นิเจอร์ชุดครัว และเฟอร์นิเจอร์นอกอาคาร โดยจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายในประเทศผ่านทีมขายตรง ผ่านโชว์รูม และตัวแทนจำหน่ายในภูมิภาคต่างๆ ตลอดจนส่งออกต่างประเทศ นอกจากนี้ยังนำเข้าเฟอร์นิเจอร์และเป็นผู้นำเข้าวัสดุอุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์และวัสดุเพื่อการตกแต่งภายในจากต่างประเทศ โดยบริษัทมีการให้บริการทั้งก่อนและหลังการขาย           บริษัท ร้อกเวิธ จำกัด (มหาชน) หรือ ROCK ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน           บริษัท สยามสตีลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ SIAM ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์เหล็กภายใต้เครื่องหมายการค้า LUCKY KINGDOM OKAMURA CHITOSE และ PILOT และเฟอร์นิเจอร์ไม้ ทั้งแบบลอยตัว และแบบ built-in ภายใต้เครื่องหมายการค้า KINGDOM และมีบริการรับตกแต่งภายใน ทั้งในอาคารสำนักงาน และบ้านพักอาศัย รวมทั้งผลิตและจำหน่ายอาคารสำเร็จรูปอเนกประสงค์ LUCKY Hi-Tech Building System           อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนจากกระบวนการผลิตและการกำจัดของเสียหลังจากไม่นำมาใช้งานแล้ว ท่านข้อมูลจาก European Environmental Bureau (EEB) ระบุว่า ในแต่ละปีมีเฟอร์นิเจอร์ในประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรปถูกเผาหรือฝังกลบไม่ต่ำกว่า 10 ล้านตัน ขณะที่ข้อมูลรายงานจาก MyToolShed (UK) ระบุว่า โดยเฉลี่ยการผลิตเฟอร์นิเจอร์แต่ละชนิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศประมาณ 47 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเทียบเท่ากับการเผาไหม้ของน้ำมัน 20 ลิตร           จากประเด็นด้าน ESG ที่มีความเข้มข้นขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ โดยเฉพาะผู้ส่งออกทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศที่เป็นผู้นำเข้าสินค้าเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ของโลก อาทิ มาตรฐาน CARB ของสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการ EUDR และ CBAM ของสหภาพยุโรปที่จะบังคับใช้อย่างเข้มงวดในระยะถัดไป ดังนั้น ผู้ประกอบการควรพิจารณานำแนวคิดด้าน ESG มาผนวกกับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับนโยบายการค้าในตลาดโลกและช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

DOD ยอดออสเวลไลฟ์ทะลัก หนุนโค้งสุดท้ายผลงาทะยาน 200 ล.

DOD ยอดออสเวลไลฟ์ทะลัก หนุนโค้งสุดท้ายผลงาทะยาน 200 ล.

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ - บมจ. ดีโอดี ไบโอเทค หรือ “DOD” เสิร์ฟข่าวดีโค้งสุดท้ายของปี 67 โกยรายได้ออเดอร์จากการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 100-120 ล้านบาท พร้อมโกยรายได้จาก “ออสเวลไลฟ์” ที่ 75-80  ล้านบาท หนุนไตรมาส 4/67 รายได้ทะยานแตะระดับ 175-200 ล้านบาท แย้มเจรจาลูกค้ารายใหม่ หวังสร้างการรับรู้รายได้ที่มั่นคง เผยบริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่มั่นคง มีการจ่ายหนี้สินต่อทุนในระดับต่ำ และมีกระแสเงินสดเพียงพอเพื่อขยายการลงทุนในอนาคต           นายต่อลาภ ไชยเชาวน์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD ผู้รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้ตราสินค้าของลูกค้า เปิดเผยว่า ภาพรวมผลประกอบการในไตรมาส 4/2567 เติบโตในทิศทางที่ดี โดยยอดขายรวมของบริษัทฯ กลับมาสู่ระดับปกติเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเบื้องต้นบริษัทฯ คาดว่ายอดขายจากฐานการผลิต (Production Base) จะอยู่ที่ประมาณ 100-120 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายจากฐานการค้าปลีก (Retail Base) ภายใต้ บริษัท ออสเวลไลฟ์ จำกัด (AWL)  ในไตรมาสเดียวกัน คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 75-80 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ไตรมาสสุดท้ายของปี2567 DOD จะมีรายได้จากยอดขายรวมที่ประมาณ 175-200 ล้านบาท           สำหรับภาพรวมผลประกอบการในปี 2567 เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีลูกค้ารายใหม่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ขณะเดียวกันก็ยังมีการสั่งผลิตสินค้าเดิมอย่างต่อเนื่อง  โดยมีการออกสินค้าใหม่ๆ ทั้งจากลูกค้ารายเดิมและลูกค้ารายใหม่ในทุกเดือน ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทฯ ที่เป็นฐานการผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่ยอดขายจากกลุ่มค้าปลีกภายใต้ บริษัท ออสเวลไลฟ์ จำกัด (AWL) ซึ่งดำเนินการจำหน่ายสินค้าภายใต้                แบรนด์ “Auswelllife” นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย ก็เป็นไปในทิศทางที่ดีเช่นกัน           อีกทั้งบริษัทฯ ยังฐานะทางการเงินที่มั่นคง เพราะหนี้สินต่อทุน (DE Ratio) อยู่ในระดับที่ต่ำ เนื่องจาก  มีการจ่ายคืนหนี้สถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง และยังมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เพียงพอในการขยายงานและการลงทุนในอนาคต นอกจากนี้ ในปี 2568 บริษัทฯ ยังคงมุ่งสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากกลุ่มสินค้าเดิมที่มียอดขายดีและมีคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งยังมีการออกสินค้าใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งพิจารณาได้จากการขยายกำลังการผลิต โดยได้ลงทุนติดตั้งเครื่องจักรสำหรับทำกัมมี่ (Gummies) เรียบร้อยแล้ว โดยมีกำลังการผลิตที่1แสนชิ้นต่อวัน (เฉลี่ยประมาณ 2.5 ล้านชิ้นต่อเดือน) โดยเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถผลิตสินค้าประเภทกัมมี่ (Gummies) ได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/2568 และจะเริ่มทยอยส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าได้ ภายใน             ไตรมาส 2/2568 เป็นต้นไป สำหรับความต้องการอาหารเสริมในรูปแบบกัมมี่ (Gummies) เป็นหนึ่ง                 ในผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีความนิยมมากขึ้น ด้วยพฤติกรรมของคนไทยที่นิยมรับประทานง่ายและมีประโยชน์ “สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารเสริมในปี 2568 นั้น บริษัทฯ มองว่า เทรนด์ของคนรักสุขภาพยังคงมีต่อเนื่อง โดยผู้เล่นรายใหม่จะเปลี่ยนจากเดิมที่เป็นกลุ่มลูกค้าทั่วไป แต่ปัจจุบันกลุ่มที่หันมาทำธุรกิจเสริมอาหารจะเป็นกลุ่มบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือและยอมรับ อย่างกลุ่มหมอ  มากขึ้น ดังนั้น ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต้องมีคุณสมบัติที่มีมาตรฐานระดับสูง ซึ่งต้องผ่านการผลิตจากโรงงานที่มีคุณภาพระดับสูงด้วยเช่นกัน” [PR News]

GFC เสิร์ฟข่าวดี Grand Opening 2 สาขาใหม่ รับศักราชปี 68

GFC เสิร์ฟข่าวดี Grand Opening 2 สาขาใหม่ รับศักราชปี 68

            หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ – บมจ.เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ หรือ “GFC” เตรียมเสิร์ฟข่าวดี ต้อนรับศักราชปี 2568 จ่อเปิด Grand Opening อย่างเป็นทางการ 2 สาขาใหม่ “GFC Ubon” ที่ล่าสุดเปิดให้บริการแบบเต็มรูปแบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และ “GFC Rama 9 International” จะเปิดให้บริการ 6 ม.ค.68 มั่นใจปักหมุดแลนด์มาร์คแห่งใหม่ รองรับผู้เข้ารับการรักษาและเข้ารับคำปรึกษาผู้มีบุตรยากทั้งคนไทยและต่างประเทศ ตอกย้ำปูทางการลงทุนสู่ New S-Curve ในอนาคต เพื่อปั้นรายได้ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ล่าสุดโชว์เคสความสำเร็จส่งท้ายปีมังกรสานฝันคู่รักดารามีทายาท             นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการให้บริการผู้เข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยากในประเทศเป็นหลักควบคู่กับการขยายฐานกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ภายใต้ศักยภาพความแข็งแกร่งในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยในด้านการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์และทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธ์ด้านการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยาก ตั้งแต่การรับบริการตรวจเบื้องต้น, การรักษาด้วยวิธี ICSI, การฝากไข่ และการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อน PGT-A รวมถึงชูนวัตกรรมการนำเอาเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ PGT-A Plus มาใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจความผิดปกติของพันธุกรรมตัวอ่อนก่อนการฝังตัว เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการคัดกรองหาตัวอ่อนที่มีความสมบูรณ์และเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ และเพื่อสอดรับกับนโนบายแผนการขับเคลื่อนธุรกิจของ GFC สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต บริษัทฯ เดินเกมรุกในการขยายสาขาเพิ่มเพื่อรองรับดีมานด์ผู้เข้ารับการรักษาที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุด บริษัทฯ เตรียมเปิด Grand Opening 2 สาขาใหม่ ได้แก่ สาขา GFC Ubon และ GFC Rama 9 International ต้อนรับการเปิดศักราชใหม่ ปี 2568 GFC Ubon สาขาอุบลราชธานี เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ (Grand Opening) ในวันที่ 19 ม.ค. 2568 จากปัจจุบันเปิดให้บริการเต็มรูปแบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสาขาดังกล่าวสามารถรองรับผู้เข้ารับการรักษาได้ครอบคลุมในพื้นที่อุบลฯ และจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากในโซนพื้นที่ดังกล่าวมีอัตราผู้เข้ารับคำปรึกษาผู้มีบุตรยากเป็นจำนวนมาก และเชื่อว่าจะสามารถขยายฐานและเพิ่มโอกาสการเติบโตของกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ได้เพิ่มขึ้น GFC Rama 9 International สาขาพระราม 9 เตรียมเปิดให้บริการรักษาผู้มีบุตรยาก ในวันที่ 6 ม.ค.2568 และจะจัด Grand Opening ในวันที่ 21 ก.พ. 2568 ซึ่งสาขานี้ถือเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่สำคัญของกรุงเทพฯ ที่จะยกระดับการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากอย่างครอบคลุม สอดรับกับการเตรียมก้าวสู่ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ในอนาคต             “ ทั้ง 2 สาขาใหม่ จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับบริษัทฯ ทันที และจะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ เพื่อรองรับผู้เข้ารับการรักษาและเข้ารับคำปรึกษาผู้มีบุตรยากทั้งกลุ่มคนไทยและต่างประเทศมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญจะส่งผลให้ในปี 2568 GFC มีสาขารองรับลูกค้าครบ 3 สาขา ซึ่งจะตอกย้ำปูทางการลงทุนสู่การสร้าง New S-Curve ตั้งแต่ปี 2568 อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากทุกสาขาของ GFC สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้บริการที่เข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยากได้ครอบครบทุกมิติ  ”             จากความสำเร็จของ GFC สะท้อนถึงศักยภาพความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวช และเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ที่มีประสบการณ์ด้านการให้บริการทางการแพทย์ผู้มีปัญหามีบุตรยาก            ทำให้วันนี้ GFC ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากกลุ่มลูกค้าในการเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของครอบครัวที่เข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยาก ล่าสุด คุณตู่ ปิยวดี มาลีนนท์ ทายาทช่อง 3 และนักแสดงหนุ่ม คุณวิน มาวิน ทวีผล ประสบความสำเร็จภายหลังจากเข้าทำการรักษาผู้มีบุตรยากขั้นตอนอิ๊กซี่ (ICSI) และประกาศข่าวดีขึ้นแท่นเป็นว่าที่คุณพ่อคุณแม่ป้ายแดงหลังที่รอมา 4 ปี ขณะเดียวกันยังมีนักแสดงสาวช่อง 7  คุณเกี่ยวก้อย ขวัญกวินท์ ก็ประสบความสำเร็จหลังจากเข้าทำอิ๊กซี่ (ICSI) และเตรียมขึ้นแท่นเป็นคุณแม่ลูกสองเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ “แพนเค้ก เขมนิจ" ได้เข้ามาปรึกษาวางแผนเพื่อมีทายาทในอนาคต           กับ GFC เป็นที่เรียบร้อย             และด้วยเทรนด์ผู้หญิงยุคใหม่ “ฝากไข่”เพื่อเป็นหลักประกันเพิ่มโอกาสให้มีลูกได้ในอนาคต และถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ด้านการวางแผนมีบุตร ทำให้นักแสดงและนางแบบชื่อดัง “คารีสา สปริงเก็ตต์”และพี่สาวไปตรวจไข่และทำการฝากไข่กับ GFC สำหรับวางแผนเพื่อมีทายาทในอนาคต ดังนั้นทุกเคสของความสำเร็จเป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพความแข็งแกร่งผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ สอดรับกับคอนเซ็ปท์ “GFC ใส่ใจในความสำเร็จ” เพื่อเติมเต็มคำว่า “ครอบครัว ที่สมบูรณ์แบบ” [PR News]

AU-SPA ขึ้นแท่น Soft Power ไทย

AU-SPA ขึ้นแท่น Soft Power ไทย

หุ้นวิชั่น - KSS คัด Investment Theme ปี 2025 AU-SPA ติดโผ Soft Power หนึ่งในแผนช่วยต่อยอดความสามารถการแข่งขัน ชี้ละคร หนัง มวย อาหาร โดดเด่น ชี้มี Upside ต่อประมาณการระยะกลาง-ยาว ส่วน BBIK หนุน New S Curve ใหม่ ศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไทยมาแรง ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง Investment Theme ปี 2025 : 1) Domestic Recovery: กลุ่มได้ประโยชน์การฟื้นตัวเศรษฐกิจภายใน GDP ไทยปี 2024 คาดเร่งตัวมากสุดของปีในงวด 4Q24F และเติบโตขึ้นต่อเนื่องในปี 2025F ด้วยแรงหนุนการเบิกจ่ายงบรัฐฯ ภาคบริการการท่องเที่ยวกลับสู่ระดับ Pre-COVID และการขับเคลื่อนมาตรการเศรษฐกิจรัฐบาลในส่วนการบริโภคและการลงทุน จะหนุนหุ้นอิงกำลังซื้อ+เศรษฐกิจภายใน (KBANK, SCB, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, MTC, JMT, MOSHI) 2) Thailand New Investment Cycle : สัญญาณการลงทุนรอบใหม่ของไทยเริ่มกลับมา งบลงทุนรัฐฯ+เอกชนกลับมาขยายตัว > 5%y-y ครั้งแรกในรอบ 8.5 ปี ขณะที่ปี 2025F จะเป็นรอบการลงทุนครั้งใหญ่ของประเทศไทยทั้งแรงขับเคลื่อนภาครัฐฯและภาคเอกชน ร่วมกันลงทุนโครงการ Mega Projects และการต่อยอด New S Curve ใหม่ๆ ของประเทศกว่า 1.5-2.0 ล้านล้านบาท ที่จะกลับมาขับเคลื่อนพร้อมๆ กัน i) Mega Projects: การผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงนโยบายที่เกี่ยวข้อง เช่นการซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนจากเอกชนเพื่อผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท และเพิ่มความยืดหยุ่นการขยายโครงข่ายระยะกลางยาว หลังรัฐบาลผ่านช่วงกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นให้เริ่มกลับมาเติบโตได้ โครงสร้างพื้นฐานจะเป็นจุดช่วยต่อยอดให้การเติบโตเศรษฐกิจประเทศระยะกลาง-ยาวแข็งแกร่งและมั่นคงมากขึ้น (BTS, STECON, PYLON, GLOBAL, KTB, SCB, KBANK) ii) Soft Power : หนึ่งในแผนช่วยต่อยอดความสามารถการแข่งขันประเทศของรัฐฯ คือ การนำ Soft Power มาช่วยสร้างความแตกต่าง ทำให้เราคาดจะการผลักดันพลัง Soft Power ไทยที่มีศักยภาพ อาทิ ละคร หนัง มวย อาหาร หุ้นที่มีความเชื่อมโยงกับจุดเด่นดังกล่าวจะมีภาพ Upside ต่อประมาณการระยะกลาง-ยาว (AU, SPA, CENTEL, ONEE, PLANB) iii) Infrastructure Technology : New S Curve ใหม่ของไทยในส่วนการขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล จะยังมีภาพสร้างความเชื่อมั่นได้ต่อเนื่อง อิงข้อมูลล่าสุด เราประเมินกระแสลงทุน Data Center ของไทยใน 4-5 ปีข้างหน้า เฉลี่ย 55% เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนที่เราน าเสนอไว้ราว 45% ขณะที่มีแนวโน้มเติบโตสูงจาก Upside ทั้งฐานเดิมที่มีโอกาสเร่งขึ้นกว่าตลาดคาด จากผลบวก AI Adoption ที่กำลังขับเคลื่อนปริมาณการใช้ข้อมูลในระบบเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) นอกจากนี้ ยังคาดหวังการเข้ามารายใหม่ๆ ในส่วนผู้ให้บริการ Application อาทิ Facebook, Tiktok (WHA, GULF, GPSC, ADVANC, TRUE, DELTA, INSET, BBIK) iv) Entertainment Complex : อีกด้าน New S Curve ของไทยที่จะมีภาพการเดินหน้าเต็มที่ในปี 2025F คาดกลไกการเดินหน้าออกกฎหมายที่เข้ามาเป็นแรงหนุนตลอดทั้งปี จะสร้างความเชื่อมั่นตลาดต่อการต่อยอดนักท่องเที่ยวจากภาพปี 2025F ที่กลับสู่ระดับ Pre-COVID ให้ยกระดับขึ้นไปอีกสอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียที่ต่อยอดได้สำเร็จ อาทิ สิงคโปร์ มาเก๊า (AOT, BTS, VGI, BJC, CPN, AWC, BA, MBK) 3) Winners of Trump 2.0 : แม้ปัจจัยภายนอกปี 2025F คาดมีความผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงนโยบาย Trump 2.0 อย่างไรก็ตาม เราประเมินยังมีชุดหุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์ i) Tradewars mitigation: การเร่งย้ายฐานการผลิตสู่ประเทศที่มีสถานะเป็นกลาง เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบการกีดกันทางการค้า (WHA, AMATA) ii) US Based Business: กลุ่มที่มีฐานธุรกิจอยู่ในประเทศสหรัฐฯ ช่วยให้ได้ประโยชน์ทางบวกจากนโยบายหลัก Trump 2.0 “Make America Greatest Again” (IVL, BANPU, EPG) 4) Turnaround/High Growth 2025F : หุ้นที่ธุรกิจพลิกกลับมาฟื้นตัวหรือเติบโตสูงในปีถัดไปมักให้ผลตอบแทนที่ Outperform ตลาดโดยรวม (JMT, MALEE, INSET, MONO, BTS, VGI, PTTGC, DUSIT, SAWAD, MOSHI, SHR)

WINMED คว้างานรัฐ 16ล.หนุนโค้งท้ายพองโต

WINMED คว้างานรัฐ 16ล.หนุนโค้งท้ายพองโต

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด ระบุถึง WINMED ว่า WINMED รายงานกำไรสุทธิ 3Q67 เพิ่มขึ้น 28.6% YoY ที่ 10.5 ล้านบาท ผลจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น WINMED รายงานกำไรสุทธิ 3Q67 เพิ่มขึ้น 28.6% YoY ที่ 10.5 ล้านบาท ผลจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น หักกลบผลลบของการหดตัว 1.66% YoY ของรายได้รวม ที่ 188.4 ล้านบาทเนื่องจากในช่วง 3Q66 บริษัทมีการรับรายได้ผลิตภัณฑ์ Antigen Test Kit(ATK)จ านวน 27.2 ล้านบาทแต่ 3Q67 ไม่มีรายได้นี้ ในส่วนของรายได้ในกลุ่มอื่นทั้ง กลุ่มผลิตภัณฑ์การแพทย์ซึ่งเป็นรายได้หลัก ,กลุ่มConsumer และ อื่นๆ เติบโตที่ 15.7%,15.5% และ 74.9% ตามลำดับ อัตรากำไรขั้นต้น(GPM) ไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 40.33% เพิ่มขึ้นจากระดับ 39.71% ใน 3Q67 เนื่องจากการแข็งค่าของค่าเงินบาทเมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯส่งผลบวกต่อต้นทุนนำเข้าสินค้าที่ลดลง รวมถึงบริษัทได้มีการปรับขึ้นราคาสินค้าบางประเภทที่ไม่ได้อยู่ในรายการขายสินค้าแบบติดสัญญา WINMED มองแนวโน้ม 4Q67 เติบโต YoY หนุนด้วยงานประมูลที่เพิ่มขึ้น เช่น งานเครื่องคัดแยกและเพาะเลี้ยงเซลล์ในระบบปิดอัตโนมัติ สำหรับรักษามะเร็งเลือดให้กับหน่วยงานภาครัฐมูลค่า 16 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้บริษัทได้ชนะการประมูลเครื่องเขย่าโลหิตเครื่องชั่งและเขย่าเกล็ดเลือดพร้อมระบบมาแล้วมูลค่ารวมกว่า 24.88 ล้านบาท           WINMED คว้างานรัฐ16ล.หนุนโค้งท้ายพองโตอนึ่ง “WINMED บริษัทประกอบธุรกิจเป็นผู้นำเข้า และจำหน่ายเครื่อง และชุดอุปกรณ์ สำหรับการเก็บ การตรวจวิเคราะห์ วินิจฉัย และการบำบัดรักษาทางการแพทย์โดยผ่านการนำเข้าจากผู้ผลิตต่างประเทศและ เป็นตัวแทนให้บริการด้านพันธุศาสตร์ สำหรับ การตรวจสารพันธุกรรมและความผิดปกติของทารกในครรภ์ (เช่นดาวน์ซินโดรม)”

[ภาพข่าว] PIS ปิดโรดโชว์กรุงเทพฯ  คาดเข้าเทรด mai Q1/68

[ภาพข่าว] PIS ปิดโรดโชว์กรุงเทพฯ คาดเข้าเทรด mai Q1/68

นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายนวัช ทัฬหิกรณ์ (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานการเงินและบัญชี บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) พร้อมด้วย นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ (ที่ 1 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน และนายชานนทร์ ปิยสุนทร (ที่ 1 จากขวา) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้น ถ่ายภาพร่วมกันในงานโรดโชว์ เพื่อนำเสนอข้อมูลขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO)  โดยจะทำการเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 140 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25.93 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ชำระแล้วทั้งหมด มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในไตรมาส 1 ปี 2568 โดยได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยม งานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้

TVDH เข้าลงทุน

TVDH เข้าลงทุน"มาสเตอร์ แชนแนล" รุกธุรกิจทีวี

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นางสาวจิราภรณ์ พินิจนรชัย รักษาการเลขานุการ บริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TVDH ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 บริษัท ทีวีดี ลิงค์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯถือหุ้นโดยอ้อม ในสัดส่วนร้อยละ 100.00 เข้าลงทุนซื้อและลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นสามัญ โดยมีผลวันที่ 1 มกราคม 2568 ใน บริษัท มาสเตอร์ แชนแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ในสัดส่วนร้อยละ 100.00 หรือคิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 50,000,000 บาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนในธุรกิจการแพร่กระจายเสียงหรือการแพร่ภาพ ทางวิทยุ และโทรทัศน์โดยผลิตหรือให้บริการเป็นเสียง หรือภาพ หรือเป็นข้อมูลรายการดังกล่าวไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 21/2551

SMD100 โชว์Sleep Test Unit เจาะผู้รักสุขภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการนอน

SMD100 โชว์Sleep Test Unit เจาะผู้รักสุขภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการนอน

หุ้นวิชั่น - SMD100 โชว์ "SMDX KIN-ORIGIN Sleep Test Unit" หน่วยให้บริการตรวจการนอนหลับในรูปแบบเทิร์นคีย์ (Turnkey) ขึ้นแท่นบริการตรวจการนอนหลับแบบเอกเทศแห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก แถมคว้ามาตรฐาน AACI เจาะกลุ่มผู้รักสุขภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการนอน ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นาย วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD100 เปิดเผยว่า หน่วยตรวจการนอนหลับเอสเอ็มดีเอ็กซ์ คิน-ออรอจิ้น (SMDX KIN-ORIGIN Sleep Test Unit) หน่วยตรวจตรวจการนอนหลับที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง โรงพยาบาลคิน-ออริจิน (Kin-Origin Hospital) และ บริษัท เอสเอ็มดีเอ็กซ์ จำกัด (SMDX Co., Ltd.) ในเครือ บริษัท เซนต์เมด จำกัด(มหาชน) หรือ SMD100 ซึ่ง บริษัท เอสเอ็มดีเอ็กซ์ จำกัด(SMDX Co.,Ltd.) กำลังจะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บริษัท เอสเอ็มดี สัปปายะ จำกัด (SMD Sappaya Co., Ltd.) เป็นหน่วยให้บริการตรวจการนอนหลับในรูปแบบเทิร์นคีย์( Turnkey ) ซึ่งหน่วยตรวจการนอนหลับเอสเอ็มดีเอ็กซ์ คิน ออริจิ้น(SMDX Kin-Origin Sleep Test Unit) กำลังจะเป็นหน่วยตรวจการนอนหลับแบบเอกเทศแห่งแรกในเอเซียแปซิฟิกที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน AACI สโลแกน วิสัยทัศน์และพันธกิจ สโลแกน : “Transform Sleep, Transform Life” วิสัยทัศน์ : “ศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านสุขภาพการนอนในอาเซียน ด้วยนวัตกรรมและบริการมาตรฐานสากล” (The sleep wellness leader of ASEAN with next-gen innovation and cutting-edge services) พันธกิจ : “สร้างมาตรฐานใหม่ด้านสุขภาพการนอนในอาเซียน ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย บริการคุณภาพสูง และความร่วมมือที่แข็งแกร่ง เพื่อชีวิตที่สมดุลและอนาคตที่ยั่งยืน” (Shaping the future of sleep wellness in ASEAN with innovative solutions, exceptional service, and dynamic collaborations, inspiring balanced lives and endless opportunities.) กลุ่มเป้าหมายของบริการ 1. ผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการนอนหลับ เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea) หรือภาวะนอนไม่หลับเรื้อรัง 2. กลุ่มผู้รักสุขภาพที่ต้องการตรวจคุณภาพการนอน (Sleep Quality) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการนอน 3. ผู้ใช้งานเครื่อง CPAP ที่ต้องการปรับค่าความดันให้เหมาะสม หรือซื้อเครื่อง CPAP ใหม่หรืออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม แผนพัฒนาการให้บริการด้านเวชศาสตร์การนอนหลับ 1 เพิ่มทีมแพทย์เฉพาะทาง • ขยายทีมแพทย์จากหลากหลายสาขา: • ด้านระบบทางเดินหายใจ: รักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) • ด้านประสาทวิทยา: การรักษาโรคลมหลับ (Narcolepsy) • ด้านโสต ศอ นาสิก: การรักษาภาวะหยุดหายใจจากโครงสร้างทางเดินหายใจ • ด้านจิตเวชศาสตร์: การรักษาภาวะนอนไม่หลับเรื้อรัง (Chronic Insomnia) 2 เพิ่มความพร้อมในการให้บริการ • ขยายจำนวนเตียงตรวจการนอนหลับ (Sleep Study): • รองรับผู้ป่วยได้มากกว่า 32 เตียงในอนาคต • ติดตั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น Polysomnography และอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพการนอน • เพิ่มบริการ Sleep Quality Test: • ให้บริการตรวจคุณภาพการนอนหลับสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกนอนค้างในโรงพยาบาล • ใช้อุปกรณ์ Home Sleep Test ตรวจวินิจฉัยในสภาพแวดล้อมที่ผู้ป่วยคุ้นเคย พร้อมคำปรึกษาและแผนการรักษา 3 พัฒนารูปแบบบริการครบวงจร • เพิ่มบริการ Telemedicine: • ใช้ระบบติดตามผลการรักษาผ่านออนไลน์ เช่น การปรับตั้งค่าเครื่อง CPAP • ลดการเดินทางและเพิ่มความสะดวกให้ผู้ป่วย • เสริมบริการ Wellness: • ออกแบบแผนการดูแลสุขภาพการนอนเฉพาะบุคคล • แนะนำพฤติกรรมการนอนและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดี ผลลัพธ์ที่คาดหวัง 1. เพิ่มคุณภาพการดูแลผู้ป่วย ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย 2. ขยายศักยภาพการรองรับผู้ป่วย พร้อมบริการที่ครอบคลุมทุกมิติ 3. ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มความสะดวก และสร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้ผู้ป่วย

“PANEL” รุกธุรกิจตกแต่งภายใน ประเดิมรับงาน PTG

“PANEL” รุกธุรกิจตกแต่งภายใน ประเดิมรับงาน PTG

         หุ้นวิชั่น - บริษัท เพเนเล่ส์มาติก โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “PANEL” เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รุกตลาดตกแต่งสำนักงานและร้านอาหาร ประเดิมรับงานกลุ่ม PTG  รวดเดียว 4 งาน พร้อมซัพพอร์ตแผนเปิดร้านกาแฟ 5000 สาขาใน 3 ปี นางจูเลีย ดับเบิ้ลยู เพ็ชญไพศิษฎ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ PANEL เผยว่า PANEL ได้วางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากธุรกิจผลิตประตูห้องผ่าตัด และผนังกันเสียงอัจฉริยะสำหรับห้องประชุมขนาดใหญ่แล้ว บริษัทฯได้รุกเข้าสู่ธุรกิจรับเหมาตกแต่งภายใน  เพื่อสร้างธุรกิจเสริมที่มีกระแสรายได้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นที่บริษัทฯขนาดใหญ่ที่มีโครงการขนาดใหญ่และต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทฯได้เป็นพันธมิตรธุรกิจกับ กลุ่ม PTG และ โดยเบื้องต้น PANEL ได้ประเดิมรับงานรับเหมาและตกแต่งภายในร้านกาแฟพันธุ์ไทยรวม 3 สาขาประกอบด้วย 1) ร้านกาแฟพันธุ์ไทยสาขาปั๊ม SUSCO อยุธยา กม.63 2) ร้านกาแฟพันธุ์ไทยสาขาตลาดถุงทอง สมุทรปราการ 3) ร้านกาแฟพันธุ์ไทยสาขาคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  โดยแต่ละสาขาใช้ระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 28 วัน โดยทาง PANEL ตั้งเป้ารับงานรับเหมาและตกแต่งภายในร้านกาแฟพันธุ์ไทยเฉลี่ยเดือนละ 10 สาขาในปี 2568 และเฉลี่ยเดือนละ 15 สาขาในปี 2569 และปี 2570 เพื่อรองรับแผนธุรกิจของทาง PTG ที่จะเปิดร้านกาแฟพันธุ์ไทยจำนวน 5000 สาขาภายใน 3 ปี นอกจากนี้ PANEL ยังได้รับงานรับเหมาปรับปรุงและตกแต่งภายใน PTG Coffee Academy & Co-Working Space ที่สำนักงานใหญ่ของ PTG อีกด้วยโดยจะเริ่มงานได้ภายในต้นปี 2568 นอกจากนี้ PANEL เตรียมเปิดสาขาที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อเป็นศูนย์กลางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และให้บริการในภาคใต้ เพื่อรองรับการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต และ จังหวัดใกล้เคียง ซึ่งมีการขยายตัวอย่างสูงและต่อเนื่อง ทั้งโครงการที่อยู่อาศัย และ โรงแรม รีสอร์ทต่างๆ รวมถึงตลาด DIY ซึ่งได้รับความนิยมมากในกลุ่มต่างชาติ โดยคาดว่าจะเปิดสาขาภูเก็ตอย่างเป็นทางการได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2568 ส่วนแผนการเปิดโรงงานใหม่งานก่อสร้างได้มีความคืบหน้าตามกำหนด และคาดว่าจะเปิดโรงงานได้ภายในไตรมาส 2 ปี 2568 ... PANEL เตรียมเกมส์รุก ขยายธุรกิจขนาดนี้  ปีหน้า ต้องมีข่าวดีมาทำให้นักลงทุนปลื้มใจอย่างแน่นอน [PR News]

[Vision Exclusive] บอร์ด PACO แจกของขวัญผู้ถือหุ้นท้ายปี

[Vision Exclusive] บอร์ด PACO แจกของขวัญผู้ถือหุ้นท้ายปี

          หุ้นวิชั่น – บอร์ด PACO แจกของขวัญผู้ถือหุ้นท้ายปี เคาะจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.05 บ.ต่อหุ้น คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 50 ล้านบาท ขึ้น XD 8 ม.ค. พร้อมเปย์ 23 ม.ค. 68 ฟากบอสใหญ่ “สมชาย เลิศขจรกิตติ” กางกลยุทธ์ปี 68 เดินหน้าเจาะ After Market ชี้ขยายตัว 15% ย่องเจรจาลูกค้าอเมริกา คาดจบดีล Q1/68           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน - บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล ประจำปี 2567 ครั้งที่ 2 ให้กับผู้ถือหุ้นสามัญของ PACO โดยคณะกรรมการบริษัท วันที่ 25 ธันวาคม 2567 อนุมัติการจ่ายปันผลเป็นเงินสด ในอัตรา 0.05 บาทต่อหุ้น มูลค่าพาร์ที่ตราไว้ 0.50 บาท และจะกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) ในวันที่ 9 มกราคม 2568 วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 8 มกราคม 2568 และจ่ายปันผลวันที่ 23 มกราคม 2568 ทั้งนี้การจ่ายปันผลมาจากงวดดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 30 กันยายน 2567 และกำไรสะสมของบริษัท สำหรับการจ่ายปันผลระหว่างกาลรอบนี้ คาดใช้เงินทั้งสิ้น 50 ล้านบาท           นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า ทิศทางธุรกิจปี 2568 คาดว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยบริษัทยังคงได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นการผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศรถยนต์ทดแทน (After Market) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ           แม้ว่าตัวเลขการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ใหม่จะมีการลดลง แต่ประเด็นดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ PACO เนื่องจากบริษัทให้ความสำคัญกับกลุ่ม After Market เป็นหลัก ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าในกลุ่มอเมริกา และคาดว่าจะสามารถสรุปออเดอร์ได้ภายในไตรมาส 1/2568           บริษัทประเมินว่าในปี 2568 กลุ่ม After Market จะขยายตัว 15% โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาและตะวันออกกลาง ซึ่งคาดว่าจะมีการเติบโตที่โดดเด่น แม้ว่าจะมีภาวะสงครามในบางพื้นที่ แต่คาดว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทสามารถส่งมอบสินค้าและขยายฐานลูกค้าในทั้งสองตลาดได้อย่างต่อเนื่อง           สำหรับตัวเลขการเติบโตในปี 2568 บริษัทขอดูผลการดำเนินงานในปี 2567 ก่อนที่จะกำหนดเป้าหมายการเติบโตที่ชัดเจน แต่คาดว่าอัตราการเติบโตในปี 2568 จะเป็นไปในทิศทางที่ดี ขณะเดียวกัน ตัวเลข Backlog ปัจจุบันอยู่ที่ 400 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปี 2568 อย่างมีนัยสำคัญ           นายสมชาย กล่าวต่อว่า บริษัทวางแผนลงทุนในเครื่องจักรออโตเมชั่นมูลค่า 50 ล้านบาท เพื่อลดการพึ่งพากำลังคนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยการลงทุนในเครื่องจักรออโตเมชั่นนี้จะเป็นแผนการลงทุนระยะเวลา 3 ปี เริ่มต้นในปี 2568 ซึ่งคาดว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละ 15-20% เพื่อตอบรับความต้องการของตลาดอเมริกาที่กำลังอยู่ในช่วงขยายตัว รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[ภาพข่าว] “KJL” ยกระดับเพิ่มผลิตภาพสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry)

[ภาพข่าว] “KJL” ยกระดับเพิ่มผลิตภาพสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry)

          บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ได้รับการยกระดับเป็น “อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry)” ระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System) จากกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งแสดงถึงการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ มีการติดตามประเมินผล และทบทวนเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการดำเนินธุรกิจย่อมมีการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการจัดการการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้คุ้มค่าที่สุดและทำให้ผลเสียจากการดำเนินธุรกิจส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งอาจประเมินได้จากการใช้ตัวชี้วัดในด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการสร้างของเสีย ลดการปล่อยมลพิษ การลดการใช้กระดาษ การลดพลังงานไฟฟ้า การรีไซเคิล การประหยัดพลังงาน           “อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) คือ อุตสาหกรรมที่ยึดมั่นในการปรับปรุงกระบวนการผลิตและการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องเพื่อการประกอบกิจการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกับยึดมั่นในการประกอบกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งภายในและภายนอกองค์กร ตลอดห่วงโซ่อุปทานเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน”           ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดระดับของอุตสาหกรรมสีเขียวไว้ทั้งหมด 5 ระดับ คือ ระดับที่ 1 ความมุ่งมั่นสีเขียว (Green Commitment), ระดับที่ 2 ปฏิบัติการสีเขียว (Green Activity), ระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System), ระดับที่ 4 วัฒนธรรมสีเขียว (Green Culture) และระดับที่ 5 เครือข่ายสีเขียว (Green Network)

KTMS เดินหน้าธุรกิจ เร่งสร้างโอกาสการเติบโตอย่างมั่นคง

KTMS เดินหน้าธุรกิจ เร่งสร้างโอกาสการเติบโตอย่างมั่นคง

           หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ - บมจ.เคที เมดิคอล เซอร์วิส หรือ KTMS ยืนยันทีมผู้บริหารกอดหุ้นแน่น ระบุไม่ทราบสาเหตุหุ้นปรับตัวลดลง ชี้นักลงทุนไม่ต้องกังวล ย้ำช่วงนี้เป็นจังหวะที่เหมาะทยอยซื้อเข้าพอร์ต มั่นใจปี 67 พื้นฐานธุรกิจแกร่งการตั้งเป้ารายได้การเติบโต แตะ 600 ล้านบาทตามแผน พร้อมประกาศเดินหน้าปี 68 เล็งขยายสาขาศูนย์ให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเพิ่ม 5-11 แห่ง หวังรองรับจำนวนผู้ป่วยโรคไตเพิ่มต่อเนื่องเฉลี่ย 15% ต่อปี หนุนรายได้ปีหน้าเติบโต 30 %            นางสาวกาญจนา พงศ์พัฒนะเดชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ KTMS เปิดเผยว่า จากกรณีที่ราคาหุ้น KTMS ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากแรงเทขายของกลุ่มนักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไรในหุ้น ขณะที่ทีมผู้บริหารของ KTMS ออกมายืนยันว่าไม่มีการขายหุ้นออกมาอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่อยากให้นักลงทุนมีความกังวลกับราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากการดำเนินธุรกิจยังคงเป็นไปตามแผนไม่มีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้ง ยังมองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน และเป็นช่วงที่มี Free Float ในช่วงที่ราคาหุ้นต่ำที่สุดตั้งแต่ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ            “บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจเป็นหลัก และพร้อมเดินหน้าขยายสาขาตามแผนที่วางไว้ เพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยที่รอเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงไม่มีความกังวลต่อกรณีที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลง เนื่องจากบริษัทฯ มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และพร้อมจะเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยในปัจจุบัน KTMS ถือเป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตของรายได้ Aggressive ที่สุดในธุรกิจฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม”            สำหรับในปี 2568 นั้น บริษัทฯ มองว่าจำนวนผู้ป่วยที่รอรับการรักษาการฟอกเลือด ยังคงเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 15% ต่อปี จากจำนวนผู้สูงอายุในประเทศไทยที่มีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้จำนวนคนไข้โรคไตเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยคนไข้โรคไตในระยะแรกจะเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และหากคนไข้ดูแลรักษาสุขภาพไม่ดี จะเข้าสู่ระยะที่ 5 อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจากกรณีดังกล่าว ส่งผลให้ KTMS จึงต้องเร่งขยายศูนย์ให้บริการ ฟอกเลือดฯ แห่งใหม่ๆ ในปี 2568 เพิ่มอีกประมาณ 5 -11 แห่ง ซึ่งจะทำให้มีสาขาเพิ่มเป็น 38-44 สาขา จาก ณ.สิ้นเดือน พ.ย.67 อยู่ที่ 33 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อรองรับกับจำนวนผู้คนที่สูงขึ้น             “KTMS มุ่งเน้นการขยายสาขาและเพิ่มเครื่องไตเทียมให้กระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อให้บริการที่ครอบคลุมทั้งในภาคเหนือ, ภาคใต้, ภาคอีสาน และภาคกลาง รวมถึงในเขตเมือง และ             ในเขตอำเภอ เพื่อให้ใกล้ผู้ป่วยมากที่สุด โดยจากแผนการขยายธุรกิจดังกล่าวทำให้บริษัทฯ คาดว่ารายได้รวมในปี 2567 ของ KTMS แตะระดับ 600 ล้านบาท และพร้อมก้าวสู่หนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมแบบ One-stop Services ระดับ TOP 3 ตามเป้าหมายที่วางไว้” [PR News]

JSP ปี 68 เทรนด์ Lifestyle Medicine หนุนตลาดอาหารเสริมไทยโต 15 %

JSP ปี 68 เทรนด์ Lifestyle Medicine หนุนตลาดอาหารเสริมไทยโต 15 %

           หุ้นวิชั่น - นายพิษณุ แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานขายและการตลาด บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JSP) ผู้ให้บริการด้านสุขภาพอย่างครบวงจร ผู้นำการรับจ้างผลิต (OEM) ยาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับคนและสัตว์ และผลิตภัณฑ์ Own Brand เปิดเผยว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งรวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิตามิน และเครื่องดื่ม ในประเทศไทย มีมูลค่าการตลาดมากกว่า 1 แสนล้านบาท โดยการเติบโตของผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด -19 อย่างไรก็ตามหลังจากที่การระบาดคลี่คลายลงแล้วแต่แนวโน้มการเติบโตของสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะหลังจากเกิดการตื่นตัวด้านการดูและสุขภาพในช่วงที่มีการระบาด ทำให้ไลฟ์สไตล์ของผู้คนเปลี่ยนไป เนื่องจากตระหนักถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพว่าสุขภาพของหลายๆคนเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น จึงเกิดเป็นพฤติกรรมที่ขยายไปสู่วงกว้างในสังคม            อย่างไรก็ดีแม้ว่าเทรนด์การใส่ใจสุขภาพและการปรับพฤติกรรมจะสร้างการรับรู้ให้คนทั่วโลกมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ในปี 2568 เทรนด์การใส่ใจสุขภาพจะยังคงเติบได้รับความสนใจต่อเนื่อง โดยเฉพาะการได้รับการสนับสนุนจาก 3 ปัจจัยดังนี้ 1. Lifestyle Medicine (วิถีชีวิตบำบัด หรือ เวชศาสตร์วิถีชีวิต) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันโดยการร่วมมือระหว่างแพทย์และคนไข้ ตั้งแต่การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด การนอนหลับ การเลิกสูบบุหรี่ การเข้าสังคม เพื่อส่งเสริมสุขภาพ ป้องกัน หรือกระทั่งรักษาโรคซึ่งเป็นการบำบัดที่สาเหตุ ถือเป็นการบำบัดแบบใหม่ที่สามารถป้องกัน ลดความเสี่ยง และลดการใช้ยาลงได้ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน โดย Lifestyle Medicine กำลังเป็นเทรนด์ที่ผู้คนให้ความสนใจ และส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีวัตถุดิบจากสารสะกัดจากธรรมชาติได้รับความสนใจไปพร้อมๆกัน 2. ราคายาแผนปัจจุบันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10% ตามราคาต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น 10 – 20% ส่งผลให้ การหันมาปรับพฤติกรรมการกิน ผ่านการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่น น้ำมันงาดำ น้ำมันรำข้าว และซูเปอร์ฟู้ดที่ให้พลังงานสูง เช่น ไข่ผำ เป็นต้น ซึ่งการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันจะทำให้ลดการใช้ยาหรือใช้ยาเมื่อจำเป็นเท่านั้น 3. การเข้าถึงบริการทางด้านสาธารณะสุขที่ใช้เวลานานขึ้น ทำให้ผู้คนเริ่มหันมาดูแลตัวเองแม้ว่าจะมีความกำลังซื้อในการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์แต่ไม่ต้องการเสียเวลาในการรอคอยเพื่อเข้าถึงบริการ จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ            จากปัจจัยสนับสนุนทั้ง 3 ด้านนี้ JSP คาดว่า ปี 2568 ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพจะเติบโตประมาณ 10 – 15% นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มคนวัยทำงาน อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป เริ่มให้ความสำคัญกับการเลือกหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ จากเดิมที่พบว่ายอดขายส่วนใหญ่จะมาจากกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป จึงทำให้ตลาดขยายตัวไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น และคาดว่าภายใน 5 ปีสัดส่วนยอดขายในกลุ่มวัยทำงานจะเติบโตเทียบเท่ากลุ่มวัย 60 ปีขึ้นไป [PR News]

JPARK ปี68สดใส แนะนำ

JPARK ปี68สดใส แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 6.80 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง JPARK ว่า แนะนำ "ซื้อ" JPARK ราคาเหมาะสม 6.80 บาท "คาด4Q67 จะฟื้นตัวได้" กำไรปกติ 3Q67 หดตัว QoQ และ YoY: ผลประกอบการ 3Q67 มีรายได้จากการให้บริการ 122 ล้านบาท ลดลง -16% QoQ และ -14% YoY โดยมีผลมาจากรายได้จากธุรกิจให้คำปรึกษาและรับติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (CIPS) เนื่องจากงานโครงการรถไฟฟ้า Smart Parking Management System และ Guidance System ที่บริษัทได้รับสัญญาจ้างมาช่วงกลางปี 66 ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตาม Percentage of Completion โดยความก้าวหน้าของขั้นความสำเร็จของงานใน 3Q67 ของโครงการรับรู้รายได้น้อยลง เนื่องจากอยู่ในช่วงใกล้จบโครงการ (ส่วนท้ายของ S-Curve) สำหรับอัตรากำไรขั้นต้น 22.4% ลดลงจาก 30.1% ในไตรมาสก่อน และ 24.9% ใน 3Q66 โดยสาเหตุของการลดลงของกำไรขั้นต้นส่วนใหญ่มาจากกำไรขั้นต้นของธุรกิจ CIPS ที่มีอัตราความสำเร็จที่ลดลง คงคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 68 เท่ากับ 6.80 บาท: คาดว่าผลประกอบการใน 4Q67 จะฟื้นตัวได้จากการรับรู้รายได้โครงการอาคารที่จอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเต็มไตรมาส และพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์อีกกว่า 1,000 ตารางเมตร ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าที่เหมาะสมด้วยวิธี P/E Ratio โดยอิงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ของหุ้นที่ทำธุรกิจผู้ให้บริการที่จอดรถที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นและตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ ได้ PER เฉลี่ยที่ 23.4 เท่า ใช้สมมติฐานกำไรต่อหุ้นปี 68 ที่ 0.29 บาท ได้ราคาที่เหมาะสมปี 68 ที่ 6.80 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” ในช่วงท้ายใกล้จะจบโครงการ นอกจากนี้บริษัทมีกำไรพิเศษจากการให้เช่าช่วงจำนวน 95 ล้านบาท จากการที่บริษัทได้ให้เช่าช่วงพื้นที่อาคารจอดรถเพื่อนำไปพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 3Q67 เท่ากับ 91.5 ล้านบาท โดยหากตัดรายได้พิเศษดังกล่าวจะมีกำไรปกติ 12 ล้านบาท ลดลง -54% QoQ และ -45% YoY โดยกำไร 9M67 อยู่ที่ 63 ล้านบาท +26% YoY คิดเป็น 66.3% ของประมาณการทั้งปีของเรา

เครื่องดื่มปี 68 แตะ 2.29 แสนล. TACC ไฮซีซั่นหนุน-เป้า 7.58บ.

เครื่องดื่มปี 68 แตะ 2.29 แสนล. TACC ไฮซีซั่นหนุน-เป้า 7.58บ.

          หุ้นวิชั่น – Kresearch ยอดขายของเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ปี 68 ที่ 2.29 แสนล้านบาท โต 3.3% ท่องเที่ยวทยอยฟื้น อากาศร้อนหนุน ชู TACC แนวโน้ม Q4 สดใส ไฮซีซั่นหนุน ปรับกำไรทั้งปี 67 ขึ้นจากเดิม 8% มาอยู่ที่ระดับ 256 ล้านบาท           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) ยอดขายของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ปี 2568 คาดจะอยู่ที่ 2.29 แสนล้านบาท โต 3.3% จากปี ก่อน จากการท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัว สภาพอากาศที่ร้อนและการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ทั้งนี้ เครื่องดื่มฟังก์ชันนัล เป็นสินค้าที่มีแนวโน้มโตสูงกว่าภาพรวมตลาด และน่าจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม           มูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย ปี 2568 คาดจะอยู่ที่ 1,705 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โต 2.1% จากปี ก่อน จากการฟื้นตัวของคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่า 67% ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดศักยภาพใหม่อาทิ มาเลเซีย สหรัฐฯ ยังเติบโตต่อเนื่อง           แนวโน้มตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศ 2 ปี 2568 คาดว่า ยอดขายของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อยู่ที่ 2.29 แสนล้านบาท  ขยายตัว 3.3% จากหลายปัจจัยหนุน           ยอดขายเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศปี 2568 แม้คาดว่าจะขยายตัว 3.3% แต่เป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (CAGR ปี2565-2567) ที่โตเฉลี่ย 4.7% ต่อปีจากการบริโภคของผู้บริโภคที่ยังได้รับแรงกดดันจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่และค่าครองชีพยังสูง โดยแนวโน้มตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในปี 2568 มีกลุ่มสินค้าที่น่าสนใจ ดังนี้ ยอดขายน้ำอัดลมและน้ำดื่มบรรจุขวด คาดว่าจะขยายตัว 2.6% และ 4.8% ในปี 2568 ชะลอตัวลงจากปี 2567           ตลาดน้ำอัดลมและน้ำดื่มบรรจุขวด มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 55% ของยอดขายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ทั้งหมด โดยปัจจัยที่หนุนให้ตลาดโต ส่วนหนึ่งมาจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น สะท้อนจากปี2566 ที่อุณหภูมิสูงสุดพุ่งไปถึง 44.6องศาเซลเซียส สอดคล้องกับผู้ประกอบการในธุรกิจที่ระบุว่าสภาพอากาศร้อนเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าในกลุ่มนี้           นอกจากนี้ การท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัว น่าจะหนุนการบริโภคเครื่องดื่มกลุ่มนี้มากขึ้น จะเห็นว่า สัดส่วนมูลค่าการใช้จ่ายเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 8% เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่6% ของมูลค่าการใช้จ่ายเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ทั้งหมด ยอดขายเครื่องดื่มฟังก์ชั่นนัลในปี 2568 คาดว่าขยายตัว 7% ซึ่งสูงกว่าภาพรวมการเติบโตของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์           แม้ว่ายอดขายเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลจะยังมีส่วนแบ่งตลาดที่น้อย แต่ก็มีทิศทางการเติบโตที่เพิ่มขึ้น จาก 5% ในปี 2563 เพิ่มเป็น 7% ในปี 2568 โดยมีปัจจัยหนุนจากการใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคและความต้องการเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เจาะจงขึ้น เช่น ลดปัญหาการนอนไม่หลับ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จะเห็นว่าผู้ประกอบการหลายราย ทั้งที่อยู่ในธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และนอกธุรกิจอาทิ โรงพยาบาล อาหาร เคมีภัณฑ์ เป็นต้น หันมาทำตลาดหรือแตกไลน์สินค้าใหม่ๆ ในเครื่องดื่มประเภทนี้มากขึ้น เพราะเห็นโอกาสของตลาดที่เติบโตสูงกว่าเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ การแข่งขันของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศ           ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เสี่ยงแข่งขันรุนแรงขึ้น ทั้งผู้เล่นในประเทศที่มีมากราย รวมถึงสินค้านำเข้าที่เข้ามาตีตลาดเพิ่ม           ปัจจุบันมีผู้เล่นเข้ามาในตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมากหรือกว่า 2,342 ราย (เฉพาะนิติบุคคล) ส่งผลให้ตลาดมีการแข่งขันรุนแรง ด้วยสินค้าที่มีหลากหลาย Segment ขณะที่สินค้านำเข้าก็มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ปี 2564-2566(ในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ) โตกว่า 8.4% ต่อปี           ด้วยการแข่งขันที่รุนแรง และมีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดต่อเนื่อง Life-cycle สินค้าก็สั้นลงจำเป็นต้องอาศัยทำการตลาดและโฆษณา เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และจูงใจหรือกระตุ้นให้เกิดการบริโภค สอดคล้องกับข้อมูลล่าสุด ที่พบว่าอาหารและเครื่องดื่มยังคงใช้เม็ดเงินในการโฆษณามากที่สุดเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ นอกจากนี้ การที่ผู้ประกอบการหลายรายมีแผนมุ่งกระจายสินค้าสู่ตลาด B2B ทั้งร้านอาหารและเครื่องดื่ม โรงพยาบาล โรงแรม หรืองานสัมมนาต่างๆ ก็ส่งผลให้การแข่งขันผ่านช่องทางดังกล่าวมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น แนวโน้มการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย           ปี 2568 คาดว่า ไทยส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 1,705 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 2.1%จากการฟื้นตัวของตลาดหลัก CLMV           มูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตต่ำหรือราว 2.1% เมื่อเทียบ 10 ปีก่อน ที่เติบโตเฉลี่ย 6.0% ต่อปี (CAGR ปี 2558-2566) จากกำลังซื้อของผู้บริโภคในกลุ่มประเทศคู่ค้าหลักอย่าง CLMV ที่ระมัดระวังกับการใช้จ่ายมากขึ้น จากความเสี่ยงของแต่ละประเทศที่มีอยู่ อาทิ ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ในกัมพูชาและเวียดนาม ระดับเงินเฟ้อของ สปป.ลาวที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงสถานการณ์การเมืองในเมียนมา เป็นต้น กลุ่มประเทศ CLMV ยังเป็นตลาดศักยภาพสำหรับการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย คิดเป็นสัดส่วนรวมกันกว่า 67%           การส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยที่เพิ่มขึ้นในปี 2568 ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักที่ทยอยฟื้นตัว ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดศักยภาพใหม่ๆ เช่น มาเลเซีย สหรัฐฯ           คาดว่าจะโตต่อเนื่อง จากการเข้าไปลงทุนหรือท าการตลาดเพิ่มเพื่อขยายฐานลูกค้า เช่น ในมาเลเซีย ผู้ประกอบการไทยร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ขยายช่องทางการจำหน่าย ขณะที่สหรัฐฯ ความต้องการเครื่องดื่ม ไม่มีแอลกอฮอล์คาดว่าจะโตเฉลี่ย 4.9% ต่อปี (CAGR ปี 2565-2573) ส่งผลให้ยังมีโอกาสส่งออกได้เพิ่มโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ไทยมีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ อาทิ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมจากผลไม้อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยบางส่วนได้ขยายฐานการผลิตไปยังกลุ่มประเทศ CLMV มากขึ้น ทำให้คาดว่า ระยะต่อไปมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากฐานการผลิตไทยอาจทยอยลดลง แต่ไปเพิ่มยอดขายจากฐานการผลิตในต่างประเทศ สะท้อนจาก สัดส่วนการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยไปกลุ่มประเทศ CLMV ที่ทยอยลดลงจาก 76% ในปี 2561 ปรับลงมาอยู่ที่ 67% ในปี 2567 น้ำดื่มบรรจุขวดและเครื่องดื่มชูกา ลัง สินค้าส่งออกศักยภาพที่มีแนวโน้มเติบโตดีในตลาดหลัก CLMV           การส่งออกน้ำดื่มบรรจุขวด ปี 2568 คาดว่า จะยังคงขยายตัวจากความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำดื่มสะอาดและได้มาตรฐานในกลุ่มประเทศ CLMV ที่ยังเพิ่มขึ้น ขณะที่การส่งออกเครื่องดื่มชูกำลัง น่าจะได้รับแรงหนุนจากประชากรแรงงานที่มีอยู่ราว 113 ล้านคน หรือคิดเป็น 63% ของประชากรทั้งหมดในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งไม่เพียงเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้แรงงาน แต่มีการปรับภาพลักษณ์ของสินค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ อาทิ กลุ่มพนักงานออฟฟิศ กลุ่มลูกค้าในตลาดอีสปอร์ต เป็นต้น การแข่งขันของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในตลาดส่งออก           เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยเสี่ยงแข่งขันรุนแรงขึ้น ทั้งกับสินค้าท้องถิ่นและสินค้านำเข้าจากคู่แข่งโดยเฉพาะจีน ที่มีราคาถูกกว่า การส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย นอกจากผู้ประกอบการไทยจะมีการกระจายฐานการผลิตไปยังตลาดคู่ค้าหลักอย่างกลุ่มประเทศ CLMV แล้ว ยังต้องเสี่ยงแข่งกับสินค้าท้องถิ่นหรือสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศที่มีราคาต่ำกว่า เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำผลไม้ ชาพร้อมดื่ม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังเจอการแข่งขันกับคู่แข่งที่มีความได้เปรียบด้านราคาโดยเฉพาะจีน แม้ว่ากลุ่มประเทศ CLMV จะยังนำเข้าเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากไทยมากที่สุดหรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 67% แต่การนำเข้าจากจีนแม้จะมีสัดส่วนเพียง 2% ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเวียดนามและกัมพูชาสะท้อนจาก ปี 2566 เวียดนามมีมูลค่านำเข้าเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากจีนเพิ่มขึ้น 4 เท่า และกัมพูชา มีมูลค่านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 2564 ดังนั้น จีนน่าจะเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในตลาดอาเซียน ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ไทย ต้นทุนการผลิตปี 2568 มีแนวโน้มปรับสูงขึน้ โดยเฉพาะน้ำตาลทราย ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในเกือบทุก Segment ซึ่งคาดว่าราคาจะยังยืนสูงจากสภาพอากาศที่แปรปรวนกระทบกับผลผลิต รวมถึงบรรจุภัณฑ์ทั้งกระดาษ กระป๋ องและพลาสติกที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น อาจส่งผลต่อต้นทุนและกำไรของธุรกิจ ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในปี 2566-2567 จะอยู่ที่ 20-30% แต่ในปี 2568 กำไรจะมากหรือน้อย ยังคงขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการต้นทุน การปรับราคาและการแข่งขันของธุรกิจ อัตราภาษีความหวานที่จะปรับขึ้นเดือนเมษายน ปี 2568 ซึ่งเป็นระยะที่ 4 ที่จัดเก็บภาษีเต็มขั้นจะกระทบต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดื่มชูกำลัง เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูงเฉลี่ยอยู่ที่7.74-14.04 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นราว 1-5 บาท แตกต่างตามปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ขณะที่การปรับขึ้นราคาทำได้จำกัด เนื่องจากสินค้าแข่งขันรุนแรงอาจส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อหรือเปลี่ยนแบรนด์ของผู้บริโภค ทำให้ผู้ประกอบการบางรายอาจต้องหาแนวทางบริหารจัดการต้นทุนส่วนอื่น เพื่อชดเชยแทนการปรับขึ้นราคา ยอดขายของแต่ละผลิตภัณฑ์เปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับเทรนดผู้บริโภคในแต่ละช่วง ขณะที่จำนวนประชากรไทยที่มีแนวโน้มลดลง อีกทั้ง Life-cycle ของสินค้าก็สั้นลง ความภักดีต่อแบรนด์ลดลงดังนั้น การเพิ่มความถี่หรือการเพิ่มมูลค่าในการดื่มต่อครั้งเพื่อที่จะรักษายอดขาย จึงเป็นความท้าทายของธุรกิจเพราะสินค้าแต่ละตัวมีความสามารถในการทำยอดขายได้แตกต่างกัน ผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ OSP CBG HTC SSC TIPCO MALEE COCOCO PLUS TACC LST ICHI SAPPE           ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) TACC หรือ บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) แจ้งกำไรสุทธิ Q3/67 ที่ 61 ล้านบาท (+19% Y-Y , -12% Q-Q) เทียบกับปีก่อนยังเติบโตได้ดีตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและการขยายสาขาของ CPALL ที่ยังมีอย่างต่อเนื่องส่วนเทียบกับ Q2/67 การลดลงเป็นผลตามฤดูกาลเพราะเข้าสู่ช่วงหน้าฝน แต่สิ่งที่ดีคือกำไรขั้นต้นยังรักษาระดับ 33% ไว้ได้แม้รายได้จะลดลง 3% Q-Q ก็ตาม โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการช่วง Q4/67 จะกลับมาเติบโตได้อีกจากการเข้าสู่ช่วง High Seasons ของการท่องเที่ยว           ทั้งนี้กำไรทั้งปีที่ประเมินที่ 237 ล้านบาท (+15% Y-Y) อาจจะเป็นระที่ดิบที่ต่ำไป ฝ่ายวิเคราะห์จึงมีโอกาสที่จะปรับประมาณการเพิ่มในอนาคต จากแนวโน้มข้างต้น ฝ่ายวิเคราะห์จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” เช่นเดิม           TACC กำไรสุทธิ Q3/67 ที่ 61 ล้านบาท (+19% Y-Y , -12% Q-Q) เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนยังเติบโตดีตามการเปิดสาขาของ 7-11 และภาคการท่องเที่ยวเติบโตดี ส่วนเทียบกับ Q2/67 ลดลงตามผลของฤดูกาล ส่วนรายได้ 481 ล้านบาท (+13% Y-Y , -3% Q-Q) มีปัจจัยบวกจากการเปิดสาขาใหม่ของ CPALL ที่มีอีกประมาณ 180 สาขา ในไตรมาสที่ผ่านมา รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นที่ 33% ใกล้เคียงกับปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้าถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี แม้ว่าต้นทุนจะปรัตวเพิ่มขึ้น แต่บริษัทรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรได้ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 86 ล้านบาท (+14% Y-Y , +3% Q-Q) เพิ่มขึ้นส่วนของค่าใช้จ่ายในการบริหารจากการปรับเงินเดือน และการปรับปรุงโรงงานทำให้มีการบันทึกค่าใช้จ่ายส่วนของการผลิตมาเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหาร รวมแล้วใน 9 เดือนแรกปี 67 TACC มีกำไรสุทธิ 191 ล้านบาท (+29% Y-Y) คิดเป็นสัดส่วน 81% ของกำไรสุทธิทั้งปีที่ฝ่ายวิเคราะห์ที่ 237 ล้านบาท           แนวโน้มช่วง Q4/67 คาดว่าผลประกอบการจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกทั้งจากการเข้าสู่ช่วง  High Seasons ของการท่องเที่ยว รวมกับการขยายสาขาที่ยังมีอย่างต่อเนื่องทั้งของ 7-11 และร้านกาแฟพันธุ์ไทย นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากลิขสิทธิ์ตัวละครใหม่จากทางวิธิตา เอนิเมชั่น เพิ่มทำให้มีการโอกาสขยายตลาดได้อีกทาง           จากกำไร 9 เดือนแรกปี 67 ที่คิดเป็นสัดส่วน 81% ของกำไรทั้งปีที่ 237 ล้านบาท ที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดไว้ ขณะที่แนวโน้มช่วง Q4/67 ยังคงดูดีจากเหตุผลข้างต้น ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับกำไรทั้งปีขึ้นจากเดิม 8% มาอยู่ที่ระดับ 256 ล้านบาท ทั้งนี้ความเสี่ยงที่ต้องติดตามคือต้นทุนกาแฟว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่

[Vision Exclusive] เคาะค่าแรง 380บ. บิ๊ก CRD รับมือไหว!

[Vision Exclusive] เคาะค่าแรง 380บ. บิ๊ก CRD รับมือไหว!

          หุ้นวิชั่น - เคาะค่าแรง 380 บาท ในจังหวัดเชียงใหม่ บิ๊กบอส CRD "ธีรพัฒน์ จิรพิพัฒน์" ลั่นอัตราค่าแรงขั้นต่ำเริ่ม 1 ม.ค.68 ไม่กระทบ เล็งปรับแผนสอดคล้องต้นทุน ส่งซิกผลงานปี 68 เฉิดฉาย คาดรายได้แตะพันล้านบาท จับตามาร์จิ้นฟู ตุน Backlog 500 ล้านบาท           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน  บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บอร์ดไตรภาคีเคาะปรับขนค่าแรงเฉลี่ย +3% เป็น 337-400 บาท มีผล 1 ม.ค. 2025 ที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้างเมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.) เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2025 ให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มในอัตราวันละ 7-55 บาท (เฉลี่ย +2.9%) โดยมีอัตราสูงสุดวันละ 400 บาท และอัตราต่ำสุดวันละ 337 บาท ดังนี้ กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ใน 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ ได้แก่ จ.ภูเก็ต ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 380 บาท ใน อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นอัตราวันละ 372 บาท ในเขตท้องที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 6 จังหวัด (เพิ่มขึ้น +2.5%) กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 67 จังหวัดที่เหลือให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้น +2%           ด้านนายธีรพัฒน์ จิรพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่ริมดอย จำกัด (มหาชน) หรือ CRD ผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคาร สิ่งปลูกสร้างทั่วไป และงานระบบสาธารณูปโภค จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า บริษัทไม่กังวลต่อการประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 โดยอัตราค่าจ้างที่บริษัทจ่ายให้กับพนักงานในปัจจุบันมีอัตราสูงกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่กำหนดไว้           ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมแผนการปรับตัวให้สอดคล้องกับต้นทุนใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า (ปี68) โดยจะปรับแผนการรับงานให้เหมาะสมกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ 380 บาท เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ           ในปี 2568 บริษัทจะเดินหน้าธุรกิจต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับพันธมิตร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ORN ซึ่งคาดว่าจะมีงานก่อสร้างเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 900-1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าอัตรากำไร (มาร์จิ้น) ในปี 2568 จะดีกว่าปี 2567 เนื่องจากโครงการที่ขาดทุนในปีที่ผ่านมาได้ดำเนินการเสร็จไปมากแล้ว และคาดว่าแนวโน้มมาร์จิ้นจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2568 เป็นต้นไป           ขณะที่ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) ธุรกิจก่อสร้างมูลค่ารวม 500 ล้านบาท แบ่งเป็นงานราชการและงานใหม่มูลค่า 300 ล้านบาท และงานเดิมอีก 200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้จากงานดังกล่าวในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ของปี 2568 ตามแผนการดำเนินงาน รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[ภาพข่าว] ผถห. PLANET ไฟเขียวเพิ่มทุน-แจกวอร์แรนต์ 3:1

[ภาพข่าว] ผถห. PLANET ไฟเขียวเพิ่มทุน-แจกวอร์แรนต์ 3:1

          ดร.รัตติกร วรากูลศิริพันธุ์ (ที่ 5 จากซ้าย) ประธานกรรมการ คุณประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ (ที่ 3 จากขวา) รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะกรรมการ บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANET ถ่ายภาพร่วมกันในงานประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 โดยผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติเพิ่มทุน 386.44 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท/หุ้น  เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ PLANET-W2 แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ในอัตราส่วน 3 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุน ในราคาหุ้นละ 2 บาท โดยการเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกลุ่มบริษัท รองรับการดำเนินงานปกติในธุรกิจหลัก ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง รวมถึงการต่อยอดและขยายธุรกิจ

PIS ปิดฉากโรดโชว์ นลท.มั่นใจศักยภาพเติบโต

PIS ปิดฉากโรดโชว์ นลท.มั่นใจศักยภาพเติบโต

          หุ้นวิชั่น - บมจ.โปร อินไซด์ (PIS) ผู้นำเทคโนโลยีอัจฉริยะ สุดปลื้ม! โรดโชว์หัวเมืองใหญ่ 3 จังหวัด “ขอนแก่น-หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา-กรุงเทพฯ” ประสบความสำเร็จ  ขณะที่ “สยาม อัลฟา แคปปิตอล” ที่ปรึกษาทางการเงิน ระบุนักลงทุนมั่นใจศักยภาพการเติบโตของ PIS จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทีมงานมืออาชีพมีความเชี่ยวชาญในโซลูชั่น ฟากผู้บริหาร “เบญญาภา เฉลิมวัฒน์” หวังนำเงินระดมทุนใช้ขอออกหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee : LG) ให้กับงานโครงการและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รองรับแผนประมูลงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ดันผลงานในช่วง 1-3 ปีข้างหน้าโตก้าวกระโดด พร้อมโชว์รายได้ 9 เดือนปี 67 กว่า 988.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.38% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิ 67.88  ล้านบาท           นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) เปิดเผยว่า ผลการนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ต่อนักลงทุนที่จังหวัดขอนแก่น,หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 18-19 และ 24 ธ.ค.2567 ที่ผ่านมา  ปรากฏว่า นักลงทุนทุกจังหวัดให้การตอบรับเป็นอย่างดีเยี่ยม จากพื้นฐานการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้นำเทคโนโลยีอัจฉริยะ ที่นำเสนอโซลูชั่นไอทีที่มีคุณภาพ ให้บริการด้วยทีมงานมืออาชีพ มีความเชี่ยวชาญ โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ มาโดยตลอด อีกทั้งตลาดมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก มีการเปิดประมูลงานใหม่ต่อเนื่องทุกปี จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ยกระดับประเทศ เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน โดยบริษัทฯอยู่ระหว่างเตรียมกำหนดวันเสนอขายหุ้น IPO และคาดว่าจะนำ PIS เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)  ภายในไตรมาส 1/2568           PIS ผู้นำธุรกิจเทคโนโลยีอัจฉริยะ เป็นผู้ให้บริการออกแบบ พัฒนา ติดตั้ง และบำรุงรักษาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร (ICT-Solutions) โดยแบ่งกลุ่มธุรกิจ เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1.งานระบบรักษาความปลอดภัยทางกายภาพแบบครบวงจร (Physical Security Solution) อาทิ ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV Solution) ,ระบบอ่านป้ายทะเบียนรถ , 2.งานแอปพลิเคชันด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร (ICT Application Solution) , 3.งานบริการระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Integration Services) ครอบคลุมการบริการ จัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์รวมถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ           โดยบริษัทฯมีแผนเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 140 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น 25.93% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอุตสาหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ คาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนได้ภายในไตรมาส 1/2568           นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) กล่าวว่า วัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ จะนำเงินวางเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงิน เพื่อใช้ในการขอออกหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee: LG) ให้กับงานโครงการ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในงานโครงการแก่ลูกค้าหน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ           “การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ของ PIS ถือเป็นการเพิ่มศักยภาพการเติบโต และเพิ่มโอกาสในการรับงานของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่มีมูลค่าสูงขึ้น จากฐานทุนที่มีความแข็งแกร่ง รองรับแผนการเข้าประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ที่มีความจำเป็นต้องมีการยกระดับและพัฒนาระบบไอทีของประเทศ”           ขณะที่นายนวัช ทัฬหิกรณ์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานการเงินและบัญชี บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในงวด 9 เดือนปี 2567 มีรายได้รวม  988.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.38% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 67.88 ล้านบาท           “มั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ในปี 2567 จะเติบโตตามแผนงานที่วางไว้ หลังจากหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ เดินหน้าเปิดประมูลงานและขยายงานตามแผน ซึ่งเพิ่มโอกาสในการส่งมอบงานและเข้าประมูลงานใหม่ของบริษัทฯ สนับสนุนผลงานในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้าเติบโตอย่างก้าวกระโดด สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น” นายนวัช กล่าว [PR News]

[ภาพข่าว] JPARK ให้การต้อนรับนักลงทุนเข้าเยี่ยมชม (Site Visit)

[ภาพข่าว] JPARK ให้การต้อนรับนักลงทุนเข้าเยี่ยมชม (Site Visit)

          หุ้นวิชั่น - นายสันติพล เจนวัฒนไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายสุดวิณ ปัญญาวงศ์ขันติ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินและบัญชี  บริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) “JPARK” ให้การต้อนรับคณะนักลงทุน เนื่องในโอกาสเข้ารับฟังการบรรยายข้อมูลและเยี่ยมชม (Site Visit) พื้นที่โครงการศูนย์การค้าและอาคารจอดรถ JPARK กาญจนสุข (ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า) และเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้ซักถามถึงผลการดำเนินงานและข้อมูลธุรกิจของบริษัทฯ อย่างใกล้ชิดและเป็นกันเอง ณ โครงการศูนย์การค้าและอาคารจอดรถ JPARK กาญจนสุข เมื่อเร็วๆ นี้

ADD เสิร์ฟข่าวดีท้ายปี ทุ่มงบ 160 ลบ. พร้อมแลกหุ้นซื้อกิจการฮ่องกง

ADD เสิร์ฟข่าวดีท้ายปี ทุ่มงบ 160 ลบ. พร้อมแลกหุ้นซื้อกิจการฮ่องกง

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ - บมจ.แอดเทค ฮับ (“ADD”) ใส่เกียร์ลุยขยายธุรกิจ ทุ่มงบ 160 ล้านบาท และสวอปหุ้นกับ G&K 4.76% ซื้อกิจการกลอรี่ ลิมิเต็ด (Glory Limited) ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการสนับสนุนการสร้างรายได้จากเพลง และ โอเชียน ไชน์ ฟาร์ อีสท์ ลิมิเต็ด (Ocean Shine Far East Limited) ผู้ผลิตเพลงเพื่อประกอบวีดีโอคอนเทนต์ในช่องทางออนไลน์ จากประเทศฮ่องกง หวังต่อยอดธุรกิจ จ่อปิดดีลกลางปี 68 คาดบุ๊ครายได้และกำไรได้ทันที หนุนให้ผลการดำเนินงานในปีหน้ากลับมาเทิร์นอะราวด์           นายสมโภช ทนุตันติวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท แอดเทค ฮับ จำกัด (มหาชน) หรือ ADD ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์และให้บริการดิจิทัลโซลูชัน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติให้บริษัทฯ เข้าซื้อหุ้นสามัญ บริษัท กลอรี่ ลิมิเต็ด (Glory Limited) ซึ่งดำเนินธุรกิจให้บริการสนับสนุนการสร้างรายได้จากเพลง (Music Monetization Service) และ โอเชียน ไชน์ ฟาร์ อีสท์ ลิมิเต็ด (Ocean Shine Far East Limited) ซึ่งดำเนินธุรกิจผู้ผลิตเพลงเพื่อประกอบวีดีโอคอนเทนต์ต่าง ๆ ในช่องทางออนไลน์ (Social Media Platforms) จาก จีแอนด์เค แอดไวซอรี่ คัมปะนี ลิมิเต็ด (G&K Advisory Company Limited) จากประเทศฮ่องกง โดยบริษัทฯ จะเข้าซื้อหุ้นสามัญใน GLORY จำนวนไม่เกิน 100 หุ้น ในราคาหุ้นละไม่เกิน 2.19 ล้านบาท คิดเป็นราคาซื้อขายหุ้น GLORY จาก G&K โดยราคาซื้อขายหุ้นสามัญใน GLORY คิดเป็นจำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 219 ล้านบาท           ทั้งนี้ บริษัทฯ จะชำระราคาซื้อขายหุ้น GLORY ด้วยกัน 2 วิธี ดังนี้ 1.ชำระด้วยเงินสด จำนวน 159 ล้านบาท และ 2.ชำระด้วยวิธีการออกและจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 8 ล้านหุ้น หรือร้อยละ 4.76 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการจดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้ว ให้แก่ G&K เพื่อเป็นการชำระราคาซื้อขายหุ้นสามัญ GLORY จำนวน 27.40 หุ้น แทนการชำระด้วยเงินสด ด้วยอัตราการแลกเปลี่ยนหุ้นที่ 1 หุ้นสามัญใน GLORY ต่อ 292,000 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ โดยหุ้นสามัญที่บริษัทออกและจัดสรรให้แก่ G&K มีราคาเสนอขายหุ้นละ 7.50 บาท คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 60 ล้านบาท            พร้อมทั้งนี้ บริษัทฯจะซื้อหุ้นสามัญใน OCEAN จำนวนไม่เกิน 100,000 หุ้น ในราคาหุ้นละไม่เกิน 10 บาท คิดเป็นราคาซื้อขายหุ้น OCEAN จาก G&K ในราคาซื้อขายหุ้นสามัญ OCEAN คิดเป็นจำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยบริษัทฯ จะชำระราคาซื้อขายหุ้นเงินสดทั้งหมดจำนวน 1 ล้านบาท            สำหรับแผนการลงทุนดังกล่าว บริษัทฯ เตรียมเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 4 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม จำนวน 80 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ จำนวน 84 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 8 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการออกและเสนอขายหุ้นให้แก่บุคคลในวงจำกัด           โดยดีลการชำระค่าหุ้น GLORY และ OCEAN ดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จ ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 และจะสามารถรับรู้รายได้และกำไรได้ทันที หนุนให้ผลการดำเนินงานในปี 2568 กลับมาเทิร์นอะราวด์อีกครั้ง           “การซื้อหุ้นใน GLORY และ OCEAN ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ แล้ว ธุรกิจใหม่ดังกล่าวจะช่วยขยายฐานลูกค้า สร้างมูลค่า เพิ่มรายได้และกำไรให้บริษัทฯ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ส่งผลต่อความมั่นคงและยั่งยืนของบริษัทฯ ให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก GLORY และ OCEAN จะสามารถสร้างรายได้จากเพลงที่ใช้ประกอบในวีดีโอบนช่องทางออนไลน์ได้อย่างครบวงจร”           นอกจากนี้ ด้วยการเป็นผู้ประกอบการด้านบริการดิจิทัลคอนเทนต์และดิจิทัลโซลูชัน และด้วยจุดแข็งทางธุรกิจด้านความเชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เชื่อว่าการต่อยอดครั้งนี้          จะเสริมความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทฯ ให้มีศักยภาพแข็งแกร่งและมั่นคงมากยิ่งขึ้น” [PR News]

[ภาพข่าว] AUCT ตลาดประมูลรถจักรยานยนต์มือสองโคราชคึกคัก

[ภาพข่าว] AUCT ตลาดประมูลรถจักรยานยนต์มือสองโคราชคึกคัก

          เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) โดยนายสุธี สมาธิ กรรมการผู้จัดการ ได้จัดงาน “KORAT BIKE FEST 2024 ครั้งที่ 2 ” ขึ้นที่จังหวัดนครราชสีมา โดยได้รวบรวมรถจักรยานยนต์มือสอง ทั้งมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าและบิ๊กไบค์หายากกว่า 250 คัน ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี สามารถประมูลขายได้เกือบ 98 % เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่รวมสินค้าที่หลากหลายรุ่น มีทั้งรถจักรยานยนต์ บิ๊กไบค์รุ่นหายาก และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า จึงทำให้มีทั้งลูกค้าที่ประมูลชื้อเพื่อใช้เอง และผู้ประกอบการร่วมประมูลซื้อกันอย่างคึกคัก สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-033-6555 หรือดูรายการประมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.auct.co.th

SVR ไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด เดินหน้าสร้างการเติบโตสู่ High Growth

SVR ไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด เดินหน้าสร้างการเติบโตสู่ High Growth

          หุ้นวิชั่น - บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท หรือ “SVR” ชำระคืนหุ้นกู้รุ่น SVR253A มูลค่ารวม 90.6 ล้านบาท ก่อนครบกำหนด สะท้อนถึงศักยภาพการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงิน ที่พร้อมสยายปีกเดินหน้าพัฒนาและยกระดับโครงการสู่ UPPER CLASS เจาะกลุ่มลูกค้าระดับ High-End เพื่อเดินหน้าสร้างการเติบโตสู่ระดับ High Growth ในอนาคต นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR เปิดเผยว่า บริษัทฯ แจ้งใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ “SVR253A” ครั้งที่ 1/2566 ชุดที่ 1 ที่ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2568 มูลค่าทั้งสิ้น90,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย เพื่อบรรเทาภาระดอกเบี้ยจ่าย ทั้งยังส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทฯ ที่อยู่ในระดับต่ำอยู่แล้วลดลงไปอีก สะท้อนถึงศักยภาพการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงิน และยังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงิน รวมถึงกลยุทธ์การวางแผนบริหารทางการเงินได้เป็นอย่างดี ความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ครั้งที่ผ่านมา บริษัทฯ ต้องขอขอบคุณนักลงทุน และผู้ถือหุ้นกู้ทุกราย ที่ไว้วางใจและให้การสนับสนุนการออกหุ้นกู้ของบริษัทฯ ทำให้เงินที่ได้จากการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถนำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงิน และเป็นเงินทุนสำหรับรองรับการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการพัฒนาโครงการต่างๆ ของบริษัทฯ เพื่อสร้างการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายของบริษัทฯ ที่พร้อมมุ่งสู่การพัฒนาและยกระดับโครงการสู่ UPPER CLASS เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับ High-End เพื่อเดินหน้าสร้างการเติบโตสู่ระดับ High Growth ในอนาคต [PR News]

IPO ปิดแรงสุดแห่งปี! LTS-APO-SEI เกิน100%

IPO ปิดแรงสุดแห่งปี! LTS-APO-SEI เกิน100%

หุ้นวิชั่น – เปิดหุ้น First Trading Day ปี 67 ผลตอบแทนสูง 5 อันดับ ได้แก่ LTS สุดเจ๋ง! ปิดเหนือจองสูงสุด +201.67% รองลงมาคือ APO ปิด +114.14% ต่อด้วย SEI ปิดที่ +103.23% TERA ปิดที่ +60.00% และ BPS ปิดที่ +36.67%           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบ บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ปี 2567 ทั้งหมด 18 บริษัท ประกอบไปด้วย บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ EURO เข้าจดทะเบียนในวันที่ 14 ก.พ. 2567 บริษัท แนท แอบโซลูท เทคโนโลยีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NAT เข้าจดทะเบียนในวันที่ 15 ก.พ. 2567 บริษัท เพเนเล่ส์มาติก โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ  PANEL เข้าจดทะเบียนในวันที่ 22 ก.พ. 2567 บริษัท เอเชียนน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) หรือ APO เข้าจดทะเบียนในวันที่ 2 เม.ย. 2567           บริษัท บีพีเอส เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ BPS เข้าจดทะเบียนในวันที่ 3 เม.ย. 2567 บริษัท คิวทีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ QTCG เข้าจดทะเบียนในวันที่ 4 เม.ย. 2567 บริษัท เทอร์ราไบท์ พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ TERA  เข้าจดทะเบียนในวันที่ 24 เม.ย. 2567 บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX เข้าจดทะเบียนในวันที่ 26 เม.ย. 2567 บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS เข้าจดทะเบียนในวันที่ 17 พ.ค. 2567           บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ  MAGURO เข้าจดทะเบียนในวันที่ 5 มิ.ย. 2567 บริษัท ชูวิทย์ฟาร์ม (2019) จำกัด (มหาชน) หรือ CFARM เข้าจดทะเบียนในวันที่ 6 มิ.ย. 2567 บริษัท ไนซ์ คอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCP เข้าจดทะเบียนในวันที่ 31 ก.ค. 2567 บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC เข้าจดทะเบียนในวันที่ 11 ก.ย. 2567 บริษัท เอสอีไอ เมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ SEI เข้าจดทะเบียนในวันที่ 24 ก.ย. 2567           บริษัท ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย จำกัด (มหาชน) หรือ TATG เข้าจดทะเบียนในวันที่ 8 ต.ค. 2567 บริษัท อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ IROYAL เข้าจดทะเบียนในวันที่ 5 พ.ย. 2567 บริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPJ เข้าจดทะเบียนในวันที่ 6 พ.ย. 2567 บริษัท อินสไปร์ ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือ IVF เข้าจดทะเบียนในวันที่ 11 ธ.ค. 2567 และพบ 11 บริษัทจดทะเบียนวันแรกยืนเหนือจอง ประกอบไปด้วย NAT ปิดเหนือจอง +27.78% หรือปิดที่ 6.90 บาท จากราคาที่ IPO 5.40 บาท APO ปิดเหนือจอง +114.14% หรือปิดที่ 2.12 บาท จากราคาที่ IPO 0.99 บาท BPS ปิดเหนือจอง +36.67% หรือปิดที่ 1.23 บาท จากราคาที่ IPO 0.90 บาท TERA ปิดเหนือจอง +60.00% หรือปิดที่ 2.80 บาท จากราคาที่ IPO 1.75 บาท LTS ปิดเหนือจอง +201.67% หรือปิดที่ 9.05 บาท จากราคาที่ IPO 3.00 บาท MAGURO ปิดเหนือจอง +22.01% หรือปิดที่ 19.40 บาท จากราคาที่ IPO 15.90 บาท           CFARM ปิดเหนือจอง +10.37% หรือปิดที่ 1.49 บาท จากราคาที่ IPO 1.35 บาท NCP ปิดเหนือจอง +1.00% หรือปิดที่ 2.02 บาท จากราคาที่ IPO 2.00 บาท PMC ปิดเหนือจอง +1.65% หรือปิดที่ 1.85 บาท จากราคาที่ IPO 1.82 บาท SEI ปิดเหนือจอง +103.23% หรือปิดที่ 6.30 บาท จากราคาที่ IPO 3.10 บาท TATG ปิดเหนือจอง +23.20% หรือปิดที่ 1.54 บาท จากราคาที่ IPO 1.25 บาท โดยแสดงเป็นตารางและเรียงลำดับผลตอบแทนได้ ดังนี้ ที่มา https://www.settrade.com/th รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

เก็ง Easy E-Receipt ชู TNP-SPVI-JUBILE

เก็ง Easy E-Receipt ชู TNP-SPVI-JUBILE

          หุ้นวิชั่น -  จับตา Easy E-Receipt ชง ครม. สัปดาห์นี้ ฟากโบรก "วิลาสินี บุญมาสูงทรง" ชี้ค้าปลีก ออนไลน์ รีเทลรับอานิสงส์ ชู TNP เด่น ส่งซิกโค้งท้ายโตแรง รับไอซีซั่น เล็งปรับเพิ่มประมาณการกำไรทั้งปี 67 จากเดิมที่ 177 ลบ. พร้อมคัดหุ้น SPVI , JUBILE เด้งรับมาตรการ            ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน Easy E-Receipt รมช.คลัง ชง ครม. สัปดาห์นี้ออกมาตรการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษี 5 หมื่น เริ่ม 15 ม.ค. – 28 ก.พ. 25 เพิ่มสิทธิใช้จ่ายการท่องเที่ยว คาดเงินหมุนเวียนในระบบ 7หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ในวงเงิน 50,000 บาทนั้น แบ่งการใช้จ่ายเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การใช้สำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภค วงเงิน 30,000 บาท และเพิ่มเติมสามารถในแพ็คเกจการท่องเที่ยวได้เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเดินทาง การใช้จ่ายการท่องเที่ยว เช่น แพ็คเกจทัวร์และการจองโรงโรม เป็นต้น การใช้จ่ายผ่านกลุ่มวิสาหกิจชุมชุน และโอท็อป วงเงิน 20,000 บาท เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มเอสเอ็มอีและชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีความเข็งแข็งขึ้น           นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นชั่น ว่า หากมาตรการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษี 5 หมื่น เดินหน้าตามแผน โครงการดังกล่าวน่าจะเริ่มต้นปี 2568 หรือ ราวๆ วันที่ 15 ม.ค. – 28 ก.พ. 67           สำหรับกลุ่มธุรกิจที่คาดจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการ Easy E-Receipt คือ ธุรกิจค้าปลีก-ออนไลน์ และรีเทล โดยหุ้นที่ขจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) และคาดได้รับอานิสงส์ ได้แก่ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ซึ่งประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่รวมอาหารสดภายใต้ชื่อ "ธนพิริยะ"           บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI ผู้ประกอบธุรกิจตัวแทนจำหน่าย (Reseller) ผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า Apple ทั้งคอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ประเภท iOS และอุปกรณ์เสริมต่างๆ           และ บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกเครื่องประดับเพชรและเพชรกะรัต           ฝ่ายวิเคราะห์ แนะ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 5 บาท "กำไร 3Q67 ดีกว่าคาด 9% ส่วน 4Q67 เติบโตต่อ YoY QoQ" งวด 3Q67 มีกำไร 47 ลบ. +41%YoY +12%QoQ (ดีกว่าที่เราคาด 9%) ส่วนรายได้อยู่ที่ 730 ลบ. +12%YoY +3%QoQ (ดีกว่าที่เราคาด 2%) เติบโตแม้เป็น Low Season ที่เป็นฤดูฝน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ ทำให้มีการเร่งกักตุนสินค้าจำเป็นมากขึ้น ประกอบกับได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินสด 10,000 บาท ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ย. สะท้อน SSSG ที่เติบโต 1.8% รวมทั้งมีการขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 สาขาสู่ทั้งหมด 47 สาขา (+5 สาขา YoY +2 สาขา QoQ) ทั้งนี้ 9M67 มีกำไร 135 ลบ. +25%YoY คิดเป็น 76% ของประมาณการทั้งปี 67 เดิมที่ 177 ลบ. +10%YoY           ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองบวกต่อกำไร 3Q67 ออกมาดีกว่าที่คาด ส่วน 4Q67 คาดเติบโตต่อเนื่อง YoY QoQ จาก 3 ประเด็น คือ 1) เข้าสู่ High Season 2) ได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินสด 10,000 บาท ที่กลุ่มผู้มีสิทธิ์เพิ่งได้รับเมื่อช่วงปลาย 3Q67 รวมทั้งรอบเก็บตกในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.  และ 3) ขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 สาขา สู่ ณ สิ้นปี 67 ทั้งหมด 49 สาขา ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์เตรียมปรับเพิ่มประมาณการกำไรทั้งปี 67 จากเดิมที่ 177 ลบ. +10% YoY แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 5 บาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[ภาพข่าว] MMM ต้อนรับคณะผู้บริหาร “ก.ล.ต.- ตลท.” รับฟังข้อมูลธุรกิจ

[ภาพข่าว] MMM ต้อนรับคณะผู้บริหาร “ก.ล.ต.- ตลท.” รับฟังข้อมูลธุรกิจ

          นายประเสริฐ หวังรัตนปราณี ประธานกรรมการ (แถวแรก กลางขวา) นางสาวณิชา โรจน์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (แถวแรก ที่ 4 จากขวา) พร้อมคณะกรรมการ และคณะผู้บริหาร บริษัท เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MMM หนึ่งในผู้นำตัวแทนการขายอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้การให้บริการที่ปรึกษาด้านการขายและการตลาดแก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาฯ และซื้อขายอสังหาฯ ร่วมด้วย นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ (แถวสอง ที่ 4 จากขวา) บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คณะผู้บริหารจากตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ และ ตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมกิจการ และร่วมรับฟังข้อมูลธุรกิจ ตามแผนเสนอขาย หุ้นไอพีโอ 64.20 ล้านหุ้น เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ณ โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ รัชดา  

BLESS x ShooShoke รณรงค์กำจัดขยะ (Food Waste) ด้วยระบบ Zero Waste

BLESS x ShooShoke รณรงค์กำจัดขยะ (Food Waste) ด้วยระบบ Zero Waste

            หุ้นวิชั่น - บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (BLESS  ASSET GROUP) หรือ BLESS ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างบ้านคุณภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ไปพร้อมกับการสร้างสังคมคุณภาพ และโลกที่ยั่งยืน ภายใต้นิยาม “ใช้ชีวิต..ให้สุขยิ่งกว่า Live your Blessed Life” ตามเจตนารมย์ของแบรนด์ “บ้านสุข บ้าน BLESS” ที่ให้ความสำคัญกับ Waste Management ส่งเสริมการจัดการขยะอย่างมีความรับผิดชอบ ครอบคลุมตั้งแต่ที่อยู่อาศัย พื้นที่ส่วนกลาง ไซต์งานก่อสร้าง และออฟฟิศของบริษัทฯ เพื่อนำขยะรีไซเคิล กลับมาหมุนเวียนใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดปริมาณขยะที่จะนำไปสู่การฝังกลบ (Landfill) ให้ได้มากที่สุด

PIS โรดโชว์หาดใหญ่ นักลงทุนต้อนรับคึกคัก

PIS โรดโชว์หาดใหญ่ นักลงทุนต้อนรับคึกคัก

                  หุ้นวิชั่น - นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายนวัช ทัฬหิกรณ์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานการเงินและบัญชี บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) พร้อมด้วย นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ (ที่ 1 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน และนายชานนทร์ ปิยสุนทร (ที่ 1 จากซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้น ร่วมนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ พร้อมโชว์ศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจให้กับนักลงทุนที่ อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยนักลงทุนที่เข้าร่วมรับฟังข้อมูลให้ความสนใจอย่างคึกคัก ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรมคริสตัล หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อเร็วๆ นี้

ผู้บริหาร LEO ลุยเก็บหุ้นเข้าพอร์ต

ผู้บริหาร LEO ลุยเก็บหุ้นเข้าพอร์ต

หุ้นวิชั่น - แม้ปีนี้ตลาดหุ้นไทยผันผวน... แต่สำหรับบมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) หุ้นผู้ให้บริการขนส่ง โลจิสติกส์ครบวงจรชั้นนำของเมืองไทย ขอบอก!ไร้กังวล เพราะผู้บริหารคนเก่ง “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ทยอยเก็บหุ้นเข้าพอร์ต ตอกย้ำความเชื่อมั่นธุรกิจ  พร้อมเพิ่งออกข่าวว่า ปีนี้จะได้เห็นผลงานกลุ่มธุรกิจใหม่อย่าง LEO Sourcing and Supply Chain,  LaneXang Express และSritrang LEO Multimodal Logistics มั่นใจรายได้โตแรงงงง!...ควบคู่กับการเดินหน้าต่อยอดธุรกิจ Non-freight และ Non-Logistics ช่วยสร้างรายได้เพิ่มจากการขายทุเรียนไปยังประเทศจีน รวมทั้งจากการขนส่งทางรถไฟทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศไทย-จีน  ตลอดจนธุรกิจ Self Storage ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง  ... สัญญาณดีขนาดนี้ผลงานสดใสแน่นอนคร้าา!!

TPS ยิ้ม! รัฐดันไทยศูนย์กลางบล็อกเชน

TPS ยิ้ม! รัฐดันไทยศูนย์กลางบล็อกเชน

         หุ้นวิชั่น - สำหรับบมจ.เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น (TPS) สัญญาณดีส่งท้ายปี 67 เมื่อภาครัฐเตรียมผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีบล็อกเชนระดับโลก เพราะ มีธุรกิจไซเบอร์ซีเคียวริตี้ (Cyber Security) และบล็อกเชน (Blockchain) ที่กำลังไปได้สวย รวมทั้งตอนนี้ มี Backlog แน่นกว่า 1,931.50 ล้านบาท แถมด้วย ออเดอร์ใหม่เข้ามาแบบรัวๆ ฟากซีอีโอสุดขยัน “บุญสม กิจเกษตรสถาพร” พร้อมลุยประมูลงานใหญ่ มาร์จิ้นสูง ชนิดไปต่อไม่รอใคร! เพื่อเป้าหมายการเป็น Tech Company  อย่างครบวงจร ส่งมอบผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย...อย่างนี้ ไม่ต้องให้เดา ผลงานปีนี้เข้าเป้าแบบชิลๆ ไปเลยคร้า!!

“BKA” จ่อระดมทุน IPO 60 ล้านหุ้น รับดีมานด์บ้านมือสองฟื้น

“BKA” จ่อระดมทุน IPO 60 ล้านหุ้น รับดีมานด์บ้านมือสองฟื้น

        หุ้นวิชั่น -  บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA หนึ่งในผู้นำธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ประกาศเดินเกมรุกธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ พร้อมอยู่ รับดีมานด์ตลาดบ้านมือสองคึก จ่อระดมทุนในตลาดเอ็ม เอ ไอ เสนอขาย IPO 60 ล้านหุ้น เล็งสร้างโอกาสการต่อยอดทางธุรกิจ และ สยายปีก สู่แพลตฟอร์ม “Prop Tech” ดึงนวัตกรรม AI และ Virtual Reality มาสร้างมิติใหม่ในการดูบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์            นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านแต่ง “Flipping”) ซึ่งเป็นการฝากขายบ้านมือสองพร้อมกับการปรับปรุงซ่อมแซมก่อนขาย ให้มีสภาพใหม่ พร้อมอยู่อาศัย ด้วยการออกแบบที่สวยงาม งานซ่อมแซมที่มีคุณภาพ พร้อมรับประกันผลงานและให้บริการหลังการขาย รวมทั้งดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการรับฝากขายบ้านมือสอง (ธุรกิจบ้านฝาก) และ ธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านตัด) โดยมุ่งหวังที่จะเป็นตัวกลางในการให้บริการ แก้ปัญหา ของผู้ที่อยากขายบ้าน แต่ไม่มีเวลา ไม่มีความรู้ประสบการณ์ในการเตรียมบ้านให้มีความพร้อม ในขณะเดียวกันต้องการช่วย ผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลที่ดี ด้วยงบประมาณที่เหมาะสม  เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตของธุรกิจซื้อขายบ้านมือสองในประเทศไทย บริษัทฯ จึงพร้อมขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ ”เป็นผู้นำในธุรกิจบริการ ซื้อขายบ้านมือสอง และทรัพย์สินรอการขายของสถาบันการเงิน (NPA) ตกแต่งใหม่ ในประเทศไทย” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสามารถให้บริการ การซื้อขายบ้านมือสอง และ บริการรีโนเวทบ้าน ให้มีคุณภาพดี มีมาตรฐาน ครอบคลุมในประเทศไทย ภายใต้การดำเนินงานที่เป็นเลิศ การบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม และความพึงพอใจให้กับทั้งลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย “สำหรับลักษณะการดำเนิน 3 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย  1. ธุรกิจบ้านแต่ง ในวงการบ้านมือสองเรียกว่า “Flipping” เจ้าของบ้านมือสองจะทำสัญญาฝากขายบ้านกับบริษัทฯ โดยยินยอมให้บริษัทฯ ทำการปรับปรุงบ้าน โดยบริษัทฯ จะวางเงินประกันการปฏิบัติตามสัญญาให้แก่เจ้าของบ้านก่อนเข้าปรับปรุงบ้าน และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงทั้งหมด เมื่อบริษัทฯ ขายบ้านได้ เจ้าของบ้านจะได้รับเงินเฉพาะส่วนที่เป็นราคาขายบ้านตามสัญญาที่ได้ตกลงไว้กับบริษัทฯ ขณะที่บริษัทฯ จะได้รับส่วนต่างที่เหลือของราคาที่ผู้ซื้อรับซื้อบ้านกับราคาขายที่เจ้าของบ้านได้รับ  2. ธุรกิจบ้านฝาก บริษัทฯ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนขายบ้านมือสองตามสภาพเดิม ที่เจ้าของบ้านนำมาฝากขายไว้ โดยมีรายได้จากค่านายหน้าตามที่ตกลงกันเมื่อขายบ้านหลังนั้นได้  และ 3. ธุรกิจบ้านตัด บริษัทฯ ซื้อบ้านมือสองมาทำการปรับปรุงเพื่อขาย ซึ่งได้มาจากการประมูลหรือซื้อโดยตรงจากเจ้าของทรัพย์สิน โดยการทำธุรกิจบ้านตัดนี้ บริษัทฯ จะรับซื้อบ้านมือสองเฉพาะเมื่อสามารถซื้อได้ในราคาที่ดีเท่านั้น เพื่อให้มีอัตรากำไรที่ดี” และด้วยความมุ่งมั่นสู่การขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างรายได้และโอกาสการเติบโต ในอนาคต ส่งผลให้บริษัทฯ วางกลยุทธ์สู่การขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ กลยุทธ์การสร้างตราสินค้า โดยมุ่งเน้นที่จะเป็นศูนย์รวมบ้านมือสองตกแต่งใหม่ พร้อมอยู่  ภายใต้การให้ความสำคัญต่อคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการทั้งก่อนและหลังการขาย เพื่อสร้างการจดจำและ ความแข็งแกร่งกับตราสินค้า 2. กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และบริการที่ดี โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกบ้านมือสองเพื่อนำมาปรับปรุงตกแต่งใหม่ รวมทั้งพิจารณารูปแบบบ้าน และการปรับปรุง ให้มีฟังก์ชั่น การใช้งานอย่างครบครัน ภายใต้แนวความคิดการใช้ชีวิตจริงของผู้อยู่อาศัย เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด  3. กลยุทธ์ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในด้านทำเลที่ตั้งและระดับราคา ให้ลูกค้ามีตัวเลือกจำนวนมากตามความต้องการที่หลากหลาย  4. กลยุทธ์การรับประกันบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ตามเงื่อนไขรายการรับประกันที่บริษัทฯ กำหนด สูงสุดถึง 6 เดือน และ  5. กลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้และการเข้าถึงของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเนื้อหาข้อมูลที่สร้างความรู้และ       ความน่าสนใจให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านมือสอง และพัฒนาไปสู่การเป็นลูกค้าตัวจริงให้มากที่สุด บริษัทฯ ในฐานะ ผู้ให้บริการในธุรกิจบ้านมือสอง  เชื่อว่าตลาดบ้านมือสองมีแนวโน้มการเติบโต       ได้อย่างยั่งยืน โดยเล็งเห็นถึงข้อได้เปรียบของบ้านมือสองในทำเลเดียวกันกับบ้านโครงการใหม่ ที่มีราคาถูกกว่า และพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า เนื่องจากการปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอดของราคาที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพ การเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรง ทำให้ราคาบ้านโครงการใหม่ปรับตัวสูงขึ้นมาก และมีช่องว่างของราคา (Gap Price) ที่กว้างขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับราคาบ้านมือสอง ประกอบกับโครงการบ้านจัดสรรใหม่ๆ มีทำเลที่ตั้งที่ไกลออกไป เนื่องจากที่ดินเปล่าผืนใหญ่ใกล้เมืองหาได้ยากขึ้น ในขณะที่บ้านมือสองส่วนใหญ่มีทำเลดี ราคาถูกคุ้มค่ากว่าบ้านโครงการใหม่ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น โดยบริษัทฯ เน้นการทำธุรกิจบ้านแต่งเป็นหลัก เนื่องจากเป็นบ้านมือสองตกแต่งใหม่ที่ใช้เงินลงทุนต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับการซื้อบ้านมาปรับปรุงเพื่อขาย (บ้านตัด) อีกทั้งบริษัทฯ พิจารณาว่าตลาดยังมีศักยภาพการเติบโต และยังไม่มีคู่แข่งรายใหญ่ในตลาด บริษัทฯ มองว่าภาคอสังหาฯ โดยเฉพาะตลาดบ้านมือสองเริ่มฟื้นตัว โดยเห็นได้จากกำลังซื้อผู้บริโภค ที่เริ่มกลับมาคึกคัก เมื่อเทียบกับปี 2566 สอดรับศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่ระบุว่าตัวเลขตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบใน 9 เดือนแรกของปี 2567 พบการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภค โดยบ้านมือสองได้รับความนิยมสูงถึง 71% ของจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 52% ของมูลค่าการโอนรวม ซึ่งเป็นผลจากราคาที่ดินและต้นทุนค่าก่อสร้าง ที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่บ้านมือสองมีราคาต่ำกว่าบ้านสร้างใหม่ ภายใต้ขนาดและทำเลเดียวกัน โดยราคาเฉลี่ยของการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่อยู่ที่ 4.87 ล้านบาท ขณะที่บ้านมือสองราคาเฉลี่ยของการโอนกรรมสิทธิ์อยู่ที่ 2.16 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตของตลาดบ้านมือสอง สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ นางนิสาภรณ์ ฤกษ์อร่าม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ ต่อประชาชนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) แล้ว และอยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปัจจุบัน BKA มีทุนจดทะเบียน 105 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 210 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 75 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 150 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.57 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทฯ จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานเพื่อขยายการเติบโตของบริษัทฯ จากการขยายพอร์ตการให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้นเป็นหลัก รวมถึงนำไปพัฒนาธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการซื้อขายอสังหาฯ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งผู้ต้องการซื้อและขายบ้านได้หลากหลายและมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้ในการแนะนำบ้านให้กับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีแผนชำระคืนเงินกู้ยืมจากบุคคลอื่นทั้งจำนวน [PR News]

[Vision Exclusive] HARN แตกไลน์การแพทย์ ต่อยอดธุรกิจเครื่องพิมพ์ 3D

[Vision Exclusive] HARN แตกไลน์การแพทย์ ต่อยอดธุรกิจเครื่องพิมพ์ 3D

          หุ้นวิชั่น - HARN แตกไลน์ธุรกิจเครื่องมือแพทย์ ต่อยอดเครื่องพิม์ 3D บิ๊กบอส "วิรัฐ  สุขชัย" คาดจดทะเบียนแล้วเสร็จไตรมาสแรกปี 68 ส่งซิกผลงานรวมปี 67 สดใส  อวด Backlog สิ้น Q3/67 แน่น 452 ล้านบาท เดินหน้ารักษามาร์จิ้น 30% ลุยแผน 5 ปีโรดแมพ เพิ่ม Market Cap. เป็น 5,000 ล้านบาท           นายวิรัฐ  สุขชัย  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หาญ เอ็นจิเนียริ่ง โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ HARN เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า  ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 ได้มีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทย่อย โดยบริษัทถือหุ้นร้อยละ100 ด้วยทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจหลักในการค้าเครื่องมือแพทย์ ผลิต ทํา ประกอบ หรือประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ แบ่งบรรจุ หรือรวมบรรจุเครื่องมือแพทย์ ปรับปรุง แปรสภาพ หรือดัดแปลงเครื่องมือแพทย์ ทําให้เครื่องมือแพทย์ปราศจากเชื้อ รวมตลอดถึงการผลิตและค้ายางเทียมสิ่งทําเทียม วัตถุดิบหรือสินค้าดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทจะดําเนินการจดทะเบียนบริษัทย่อยให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2568           การขยายธุรกิจสู่การค้าเครื่องมือแพทย์ ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจการพิมพ์แบบ 3D และขยายตลาดไปยังธุรกิจเครื่องมือแพทย์ ขณะที่ทิศทางธุรกิจเดิมในส่วนของการจำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิง คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีในปี 2568 โดยแม้ว่าในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ผลประกอบการจะไม่ค่อยดีนัก แต่ผลประกอบการในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 เริ่มกลับมาฟื้นตัวดี ซึ่งเป็นไปตามลักษณะของแนวโน้มธุรกิจของบริษัท HARN           ขณะที่ Backlog ออเดอร์ ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 452 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลข Backlog ที่อยู่ในระดับสูง และคาดจะทำให้ยอดขายใกล้เคียงเป้า ขณะเดียวกันเชื่อว่าอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปี 2567 จะใกล้เคียงกับที่ผ่านมาที่ 30.09% โดน 9 เดือนแรกปี 2567 ที่ 27.58%           บริษัทมองทิศทางการเติบโตในปี 2568 กลุ่มธุรกิจของ HARN ยังมีแนวโน้มการเติบโต แม้เศรษฐกิจในประเทศถดถอย แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 เริ่มเห็นผลการเติบโตที่ดีขึ้น อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ เพื่อเสริมรายได้ให้กับธุรกิจ           สำหรับคู่แข่งในตลาดปัจจุบันมีมากขึ้น แต่บริษัทกำลังมองหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท และรักษาอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) โดยที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงต้นปี 2567 ซึ่งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่า ทำให้บริษัทมีต้นทุนสูงจากการนำเข้าสินค้า และบริษัทได้ปรับราคาขายให้สอดคล้องกับอัตราแลกเปลี่ยน และบริษัทจะพยายามบริหารอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้ได้ 30% โดยการบริหารต้นทุนและหาตลาดใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท           บริษัทมีเป้าหมายในการเติบโตระยะยาว 5 ปี โดยการเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ หรือ Market Cap. จาก 1,350 ล้านบาท เป็น 5,000 ล้านบาท และจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ รักษาความพึงพอใจของลูกค้าไม่ต่ำกว่า 90% และความพึงพอใจของพนักงานมากกว่า 85% รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

IVF แจ้ง พลตำรวจโทธัชชัย ปิตะนีละบุตร ลาออก มีผล 19 ธ.ค.67

IVF แจ้ง พลตำรวจโทธัชชัย ปิตะนีละบุตร ลาออก มีผล 19 ธ.ค.67

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นางสาวเกศิณี กุลดิลก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินสไปร์ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือ IVF แจ้งข่าวต่อลาดหลักทรัพย์ ว่า บริษัท อินสไปร์ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งให้ทราบว่า พลตำรวจโทธัชชัย ปิตะนีละบุตร ประธานกรรมการ และกรรมการอิสระ ได้ยื่นหนังสือของลาออก โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป เนื่องจากมีภารกิจทางราชการเพิ่มขึ้นตามที่ได้รับแต่งตั้งจากประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2567           ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน จะดำเนินการสรรหาบุคคลที่เหมาะสม เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทพิจารณาและแต่งตั้งให้เข้าดำรงตำแหน่งที่ว่างลงต่อไป

KLINIQ มั่นใจผลงานโค้งสุดท้ายของปีดันเป้ารายได้โต เติบโต 30%

KLINIQ มั่นใจผลงานโค้งสุดท้ายของปีดันเป้ารายได้โต เติบโต 30%

          KLINIQ ประเมินแนวโน้มผลงานไตรมาส 4/67 ขยายตัวต่อเนื่อง หลังเร่งทำตลาดหนุนรายได้จากสาขาเดิมเพิ่มและการเปิดสาขาใหม่ในไตรมาสสุดท้ายเพิ่มเติมอีก 4 แห่งเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้ดีขึ้น พร้อมบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ รับพฤติกรรมใช้จ่ายเพื่อความสวยความงามช่วงปลายปี มั่นใจปีนี้รายได้เติบโต 30% ตามแผน           นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ เปิดเผยว่า แนวโน้มของการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 ประเมินว่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้านี้ จากศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ KLINIQ ที่ให้บริการด้านคลินิกเวชกรรมด้านผิวหนังความงามศัลยกรรมตกแต่งและการดูแลป้องกันฟื้นฟูสุขภาพที่ครอบคลุมความต้องการและกำลังซื้อของลูกค้า ภายใต้แบรนด์ที่หลากหลายทั้ง The KLINIQUE, L.A.B.X, L’CLINIC, KLINIQ Wellness Spa และ THE KLINIQUE SURGERY CENTER สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี รองรับพฤติกรรมการจับจ่ายเพื่อความสวยความงามของลูกค้าในช่วงปลายปี           ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มเติมอีก 6 แห่งในไตรมาสนี้ ประกอบด้วย The KLINIQUE จำนวน 2 สาขา L.A.B.X จำนวน 3 สาขาและ KLINIQ Wellness Spa อีก 1 สาขา ส่งผลภายในสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีสาขารวมทั้งสิ้น 75 สาขา จะช่วยส่งเสริมศักยภาพการให้บริการที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน จะมุ่งทำตลาดเพื่อเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าใหม่และดึงลูกค้าเก่ากลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้น รวมถึงนำเสนอการให้บริการใหม่ๆ เพิ่มเติม ส่งผลดีต่อต่อการเติบโตของรายได้จากสาขาเดิมเพิ่มขึ้นหรือ SSSG (Same Store Sales Growth : SSSG) เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ ควบคู่กับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพเพื่อรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และบริหารจัดการความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจปีนี้ที่ยังไม่เติบโตเต็มศักยภาพอีกด้วย           “เรามองว่าในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ผลการดำเนินงาน จะขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ จากจำนวนสาขาใหม่ที่เปิดให้บริการเพิ่มเติมที่ทำให้มีลูกค้าใหม่เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น และแผนดึงดูดลูกค้าเก่าให้กลับมาใช้บริการเพื่อความสวยความงาม ซึ่งมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโต 30% ตามแผนที่วางไว้ได้ ทีมงานทุกภาคส่วนกำลังเร่งมืออย่างแข็งขันและช่วงเดือนตุลาคม พฤศจิกายน ถือว่าทิศทางรายได้เติบโตดี” นายแพทย์อภิรุจ กล่าว [PR News]

THE PARENTS  ได้รับรางวัล “Friendly Design Awards 2024”

THE PARENTS ได้รับรางวัล “Friendly Design Awards 2024”

       หุ้นวิชั่น - THE PARENTS  ได้รับรางวัล “Friendly Design Awards 2024” ประเภทดีไซน์เพื่อทุกคนเข้าถึงอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ดร.สุนทรี จรรโลงบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ TM  รับมอบรางวัลจากนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  ในโอกาสที่ “THE PARENTS WELLNESS AND REVITALIZING CENTER” ศูนย์นวัตกรรมสุขภาพเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยืนยาว สำหรับบริการฟื้นฟู และส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ได้รับรางวัล  “Friendly Design Awards 2024” ประเภทสถานที่เฟรนด์ลี่ ดีไซน์ มีการส่งเสริมและสร้างทำอารยสถาปัตย์ เพื่อให้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และทุกสภาพร่างกาย สามารถเข้าถึงได้ ใช้ประโยชน์ได้ โดยสะดวก ปลอดภัย ทันสมัย ด้วยนโยบายและแนวคิดการออกแบบที่เป็นมาตรฐานสากล และเป็นมิตรกับคนทั้งมวล สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ร้าน TM CARE SHOP โทรศัพท์ 02-933-6119 ต่อ 8101 / 8102 เปิดให้บริการจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. รวมทั้งติดต่อผ่านช่องทาง Line@ : @tmcareshop และ FacebookPage https://www.facebook.com/TMCARESHOP/   หรือ  www.tmcare-shop.com

AU กำไรเดินหน้าทุบสถิติ โบรกอัพเป้าผลงานปี 68 เคาะพิกัด 12.20 บ.

AU กำไรเดินหน้าทุบสถิติ โบรกอัพเป้าผลงานปี 68 เคาะพิกัด 12.20 บ.

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง AU ว่ากำไรจะยังทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องในปีหน้า รายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่ร้านขายขนมหวาน (non-café) โตก้าวกระโดดจากช่องทางการขายใหม่ ๆรายได้จากการขายกลุ่ม non-café จะเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนการเติบโตใน 4Q67F- ปี 2568F เนื่องจากAU ขยายช่องทางการขายใหม่ ๆ โดยที่มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ช่วยกระตุ้นยอดขายในกลุ่มนี้พุ่งขึ้นถึง 180% YoY และ 170% QoQ อยู่ที่ 62 ล้านบาทใน 3Q67 นอกจากนี้ AU ยังได้รับคำสั่งซื้อ (8 เดือน ช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 - 31 พฤษภาคม 2568) จากการบินไทยให้จัดหาขนมปังเนยโสด (butter bun) สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินขาออกไปยังจีน ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และญี่ปุ่น ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายจากทั้งสองช่องทางใหม่นี้จะทำให้ยอดขายในกลุ่ม non-café พุ่งขึ้น 132% อยู่ที่ 195 ล้านบาทในปี 2567F และเพิ่มขึ้นอีก 53% อยู่ที่ 298 ล้านบาทในปี 2568F อีกหนึ่งปัจจัยหนุนมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าต่างชาติของ AU เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ 40.5% ใน 3Q67 จากเดิมเพียง 20% ช่วงก่อนโควิด-19 โดยที่ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนลูกค้านี้เนื่องจากการเติบโตของลูกค้านักท่องเที่ยวช่วยหนุนการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (same store sales growth: SSSG) เป็นเลขสองหลักใน 9M67 ในขณะที่อุปสงค์ในประเทศค่อนข้างชะลอตัว ในส่วนของ SSSG ที่สูงกว่าคาดยังช่วยชดเชยการเปิดสาขาใหม่ที่ค่อนข้างช้าในปี 2567F อยู่ที่ 63 สาขาจาก 61 สาขาในปี 2566 ทั้งนี้ คาดรายได้จากร้านขายขนมหวาน (dessert café) จะเติบโต 26% YoY ในปี 2567F และ 13% ในปี 2568Fปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567F ขึ้น 14% และปี 2568F ขึ้น 12% คาดว่ากำไรใน 4Q67F ของ AU จะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากยอดขายกลุ่ม non-café ที่สูงขึ้นเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว และคาดจะเปิดร้านขายขนมหวานใหม่สองสาขา เมื่อรวมยอดขายกลุ่ม non-caféที่สูงขึ้น ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการรายได้จากยอดขายขึ้น 9% ในปี 2567F และ 15% ในปี 2568F ซึ่งส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิใหม่เพิ่มขึ้น 14% อยู่ที่ 300 ล้านบาท (+69% YoY) ในปี 2567F และ 12% อยู่ที่ 342 ล้านบาท (+14% YoY) ในปี 2568F ทั้งนี้ เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของธุรกิจกลุ่ม non-café ต่ำกว่ากลุ่มธุรกิจร้านขายขนมหวานและการคาดว่าอาจมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปีหน้า ฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับลด GPM ลง 0.8ppts อยู่ที่ 65.5% ในปี 2567F และ 3.6ppts อยู่ที่ 63.0% ในปี 2568F Valuation & action ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2568 ขึ้นเล็กน้อยที่ 12.20 บาท (อิงจาก PER ที่ 29x หรือ -1.0 S.D.) จากเดิม 12.10 บาท (PER ที่ 32x)

MAGURO เปิดแบรนด์

MAGURO เปิดแบรนด์ "Tonkatsu Aoki" คาดกระแสดี เป้า 26 บ.

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า MAGURO (ซื้อ/เป้า 26.00 บาท) คาด Tonkatsu Aoki ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค คงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 26.00 บาท อิง 2025E PER 23.5x วานนี้ฝ่ายวิเคราะห์ได้ไปร่วมงาน soft opening ของร้าน Tonkatsu Aoki สาขาแรกที่ Central World จุดเด่นของร้าน Tonkatsu Aoki เมื่อเทียบกับคู่แข่ง คือ 1) ใช้วัตถุดิบ premium นำเข้ามาจากญี่ปุ่น, 2) รสชาติดี ได้รับยกย่องให้เป็น Senmonten (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน) ด้านทงคัตสึ ทอดได้กรอบนอกนุ่มใน รักษาความ juiciness ในเนื้อหมูได้ดีมาก และ 3) ราคาอาหารแข่งขันได้ โดยเริ่มต้นที่ 320–990 บาท จากที่เราได้ชิมอาหารในครั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าร้าน Tonkatsu Aoki จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค จากคุณภาพอาหารที่ premium และราคาที่เหมาะสม โดยร้านจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันนี้ (20 ธ.ค. 2024) ทั้งนี้ MAGURO มีแผนเปิดเพิ่มอีก 4 สาขาในปี 2025E โดยคาดสาขา 2 ที่ One Bangkok และสาขา 3 ที่ Velaa จะเปิดปลาย 1Q25E ต้น 2Q25E เราคาดรายได้ปี 2025E ที่ 45 ล้านบาท/สาขา/ปี, GPM > 50% และ NPM 9-10% ทั้งนี้ หากเปิดครบ 5 สาขา เราคาดจะมีรายได้จาก Tonkatsu Aoki ที่ 225-235 ล้านบาท/ปี และกำไรที่ 23 ล้านบาท/ปี คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 95 ล้านบาท (+31% YoY) และกำไรปกติที่ 101 ล้านบาท (+39% YoY) สำหรับปี 2025E คาดกำไรสุทธิที่ 141 ล้านบาท (+49% YoY) ราคาหุ้น underperform SET -6% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ 2025E PER 17.7x ตํ่ากว่า peer อย่างไรก็ตาม เรายังชอบ MAGURO จาก 1) ธุรกิจร้านอาหารแบบ Full-Service ไทยยังมีการเติบโตต่อเนื่อง, 2) มี penetration rate ที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก และ 3) valuation ไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรปี 24-25E ที่ทำ All Time High และยังมี upside จากแบรนด์ใหม่และการขยายสาขาที่มากกว่าคาด

[Vision Exclusive] JPARK ปักหมุดแลนด์มาร์ก CBD - เป้า 10.70บ.

[Vision Exclusive] JPARK ปักหมุดแลนด์มาร์ก CBD - เป้า 10.70บ.

           หุ้นวิชั่น - "สันติพล เจนวัฒนไพศาล" บอสใหญ่ JPARK กางแผนปีมะเส็ง คาดรายได้ปี 68 โต 30% กระเป๋ารับทรัพย์บริการจอดรถเต็มๆ เล็งขยายช่องจอดแตะ 5 หมื่นช่อง จากปี 67 ที่ 4 หมื่น ปักหมุดแลนด์มาร์ก CBD ทำเลทอง แย้มแผนลงทุนบิ๊กโปรเจ็กต์ใหม่กลางปีหน้า ฟากโบรกส่งซิกธุรกิจปีทอง แนะ "ซื้อ" เป้าสิ้นปี 68 ที่ 10.70 บาท            นายสันติพล เจนวัฒนไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) หรือ JPARK เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ในปี 2567 บริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากการบริหารที่จอดรถในโครงการ One Bangkok แล้ว และในปี 2568 จะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้แบบเต็มปี คาดว่าแนวโน้มธุรกิจในปี 2568 จะเติบโตทุกส่วนของธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจให้บริการที่จอดรถ (Parking Service Business: PS), ธุรกิจรับจ้างบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (Parking Management Service Business: PMS) และธุรกิจให้คำปรึกษาและติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (Consultant and Installation Parking System Business: CIPS)            ในปี 2568 บริษัทจะรับรู้รายได้จากธุรกิจให้บริการที่จอดรถจากอาคารจอดรถ อาคารจอดรถศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกศิริราชพยาบาล และ "JPARK กาญจนสุข" พื้นที่เชิงพาณิชย์ของโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ซึ่งบริษัทได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว โดยอาคารจอดรถดังกล่าวเป็นอาคารสูง 6 ชั้น สามารถรองรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวมประมาณ 500 คัน มีพื้นที่ใช้สอย 18,242 ตารางเมตร และพื้นที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ 2,049 ตารางเมตร            บริษัทมีแผนขยายบริการที่จอดรถในโครงการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น โรงพยาบาล สนามบิน และอื่นๆ โดยในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มช่องจอดรถเป็น 50,000 ช่อง จากปี 2567 ที่มีช่องจอดรถ 40,000 ช่อง จากการขยายบริการในย่าน CBD อีก 5-10 โครงการ            นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการวางแผนลงทุนในโครงการขนาดใหญ่คล้ายกับ อาคารจอดรถศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกศิริราชพยาบาล โดยคาดว่าจะมีการลงทุนใหม่ 1-2 โครงการในช่วงกลางปี 2568 โดยมูลค่าการลงทุนจะใกล้เคียงกันที่ประมาณ 500 ล้านบาท            สำหรับทิศทางการเติบโตในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะเติบโตที่ระดับ 30% เมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย หรือเติบโต 25-30% ตามที่ตั้งเป้าไว้            อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 JPARK มีรายได้แล้วที่ 522.57 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 142.20 ล้านบาท            ด้าน  บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า JPARK ปี 2568 จะเป็นปีที่ดี รพ. พระนั่งเกล้า,One Bangkok และ The market หนุนกeไร 4Q67            คาดกำไรใน 4Q67เบื้องต้นที่ 20 –22 ลบ. เติบโตสูง YoY แม้ว่ารายได้จะลดลงเนื่องจากงาน CIPS ขนาดใหญ่ได้รับรู้รายได้ไปหมดแล้ว และงานใหม่คาดว่าจะทราบผลในปี 2568โดยรายได้ใน 4Q67ได้แรงหนุนจาก 1) งาน PS ของโครงการ รพ. พระนั่งเกล้าฯ ปัจจุบันมีปริมาณ Traffic เพิ่มขึ้นเป็นราว 60% และมีรายได้จากพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ที่ทยอยรับรู้ในส่วนของดอกเบี้ยรับตามมาตรฐานบัญชี รับรู้รายได้ส่วนนี้เต็มไตรมาส 2) งาน PMS โครงการ One Bangkok เพิ่มขึ้นจาก 2,000 ช่องจอดเป็น 8,000 ช่องจองเต็มไตรมาสใน 4Q67 และ 3) งาน PS โครงการ The Market ขนาดมากกว่า 1,000 ช่องจอด เพิ่งเริ่มเข้าไปให้บริการในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา แม้ว่าเป็นห้างสรรพสินค้าที่ความนิยมไม่สูง แต่อยู่ในพื้นที่ที่มีความต้องการพื้นที่จอดสูง ทำให้เริ่มทำกำไรได้ตั้งแต่เดือนแรก  CIPS ปี 68 มีโอกาสสูงกว่าเป้า...            งานPS ขนาดใหญ่ยังมีให้ลุ้นราคาหุ้นปรับตัวลงหลังรายงานงบ 3Q67 เนื่องจากความกังวลรายได้งาน CIPS ที่ลดลงมากและยังไม่มีงานใหม่เพิ่มเติม ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ไม่ได้กังวลเพราะเป็นประเด็นที่ทราบอยู่แล้วว่าเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเนื่องจากงานส่วนใหญ่เป็นของภาครัฐฯ และถูกเลื่อนไปจากช่วงที่รอความชัดเจนเรื่องของตัวนายกรัฐมนตรีท่านใหม่ งานส่วนใหญ่จึงไปกระจุกตัวในปี 2568 ตามที่ฝ่ายวิเคราะห์ระบุไปในบทวิเคราะห์ Initiate แต่จากการพูดคุยกับบริษัทเพิ่มเติมพบว่าปัจจุบันมีงาน CIPS ไม่น้อยกว่า 3 โครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาและมีบางโครงการมีโอกาสได้ข้อสรุปภายใน 1Q67 ซึ่งมูลค่ารวมทุกโครงการค่อนข้างสูง และรับรู้รายได้ได้ไว ทำให้มีโอกาสที่รายได้ส่วนนี้จะสูงกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ 100ลบ./ปี (คาด 131ลบ. ในปี 2568)            ขณะที่รายได้จาก รพ. พระนั่งเกล้า, The Market, ตลาดบางกอกน้อย รับรู้เต็มปี ด้วยTraffic ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่งาน PMS ของ One Bangkok รับรู้รายได้เต็มปีเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีงาน PS ขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับโครงการของ รพ. ศิริราช คาดว่าจะได้เพิ่มเติมในปี 2568 เช่นกัน ทำให้ประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ยังมีความเป็นไปได้ กำไรโตสูงถึงปี69...            คงคำแนะนำซื้อด้วยโอกาสได้งาน CIPS สูง และเป็นงานที่รับรู้รายได้ไม่นานทำให้โอกาสที่รายได้ส่วนนี้จะสูงกว่าเป้าบริษัทได้ไม่ยาก รวมถึงโอกาสจากโครงการใหม่ๆ ขนาดใหญ่ทั้งที่มีรายได้ได้เลย และโครงการก่อสร้างใหม่ ยังคงคาดกำไรปี 2568 ที่ 153 ลบ. (+52.1% YoY)            ส่วนปี 2569 เป็นปีแรกที่เริ่มรับรู้รายได้จากอาคารจอดรถศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกศิริราชพยาบาล คาดกำไรเติบโตอีก 47.8% YoY เป็น 227 ลบ. เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่กว่า รพ. พระนั่งเกล้าฯ 2 เท่า ทั้งพื้นที่จอด และพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์   ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขาย PER68 ต่ำเพียง 16.4 เท่า คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 10.70 บาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

XO เครื่องปรุงรสแซ่บ โมเดิร์นเทรดทำเงิน

XO เครื่องปรุงรสแซ่บ โมเดิร์นเทรดทำเงิน

           หุ้นวิชั่น - XO ชูธงขายเครื่องปรุงรสต่างแดน เร่งเครื่องทำยอด จับเทรนด์ผู้บริโภค อาหารโตต่อ ด้าน บิ๊กบอส "จิตติพร จันทรัช" ตั้งเป้ารายได้ปี 68  โต 15% ลุยเจาะโมเดิร์นเทรด สาขา 1.2 หมื่นแห่ง แถมบาทอ่อนหนุนเงิน            นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า บริษัทคาดว่าไตรมาส 4/2567 จะเป็นจุดต่ำสุด และในปี 2568 บริษัทจะเติบโตเพิ่มขึ้น โดยภาพรวมของปี 2568 คาดว่าจะดีกว่าปี 2567 จากการขยายการขายสินค้าในตลาดหลัก เช่น ประเทศเยอรมนี ซึ่งปัจจุบันมีร้านค้าโมเดิร์นเทรดกว่า 12,000 แห่ง ขณะที่บริษัทจำหน่ายซอสของบริษัทในร้านค้าเพียง 3,000 แห่ง ทำให้ยังมีโอกาสขยายช่องทางการขายในตลาดหลักได้อีกมาก            นอกจากนี้ บริษัทจะเดินหน้าขยายตลาดใหม่เพื่อเพิ่มฐานลูกค้า โดยเฉพาะในประเทศยุโรป ซึ่งมีความต้องการใช้เครื่องปรุงรสคล้ายคลึงกับตลาดที่ XO จำหน่ายอยู่ โดยบริษัทจะเน้นการออกงานแสดงสินค้าเพื่อเพิ่มการรับรู้และเปิดตลาดใหม่ในการขายสินค้า            สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโต 15% จากปี 2567 ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) จัไม่ต่ำกว่า 45% ซึ่งดีมานด์การใช้เครื่องปรุงรส และซอสยังเติบดตต่อเนื่อง โดยเป็นไปตามการบริโภคอาหารของผู้บริโภคที่ต้องการได้รสชาติอาหารอร่อย            อย่างไรก็ดี บริษัทไม่กังวลประเด็นสงครามต่างประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทสามารถสามารถจำหน่ายสินค้าได้เป็นปกติ แม้จะเกิดสงครามยูเครน รัสเซีย ส่วนประเด็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทไทยอยู่ในโซนอ่อนค่า เป็นผลดีต่อการจำหน่ายของ XO เนื่องจากบริษัทซื้อขายสินค้าเป็นสกุลเงินบาท            อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 XO มีรายได้แล้วที่ 1,979.16 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 670.48 ล้านบาท            ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่าถึง XO ว่า ฝ่ายวิเคราะห์ ลดเป้ารายได้ 2024F เหลือทรงตัว จากเดิม +10-15%  y-y(vs ฝ่ายวิเคราะคาด +3%  y-y) จากลูกค้าหลักทั้งยุโรป  (80% ของรายได้)  ชะลอตัวจากก่อนหน้านี้  เร่งออเดอร์ช่วง 2Q23-2Q24ไปมาก และเหลือสต็อคสูง ขณะที่ สหรัฐ (ลดจาก 25% เหลือ 3% ของรายได้) ยังมีปัญหา Supply เหลือสูงเช่นกัน และปัญหาการแข่งขัน ที่เจ้าตลาดตัดราคา             โดยระยะสั้น 4Q24F มองออเดอร์จะยังลดลง y-y และยังลงเล็กน้อย q-q ต่อเนื่อง  ซึ่งโดยรวม มองการจัดการด้านสต็อคต้องใช้เวลาอีกราว 1-2 ไตรมาส ขณะที่ อิงอดีตที่ผ่านมา ในรอบธุรกิจที่ดี หลังรายได้ทำจุด Peak จะใช้เวลา 5-7 ไตรมาส เพื่อกลับสู่ Peak อีกรอบ (รอบนี้รายได้พีค 4Q23) Line ผลิตใหม่เริ่มTest run และคงแผนสร้างโรงงาน โดย Line ผลิตใหม่อีก 1ไลน์ (ลงทุน 200ลบ., ตัดค่าเสื่อม 10ปี, สร้าง Max revenue 1พันลบ.) เริ่ม Test run 4Q24F และจะเริ่มเชิงพาณิชย์ 1Q25F โดยจะได้ BOI ขณะที่ คงแผนสร้างโรงงานใหม่ ลงทุนราว 700 ลบ. ใช้เวลา 12-18 เดือน คาด Eff tax rate ปี 2025F 8-9% หลังทยอยหมด BOI ไลน์ปัจจุบัน 3Q24 และรวมประโยชน์จาก BOI ไลน์ใหม่เข้าไปแล้ว โดยเทียบ Eff tax rate 1H243.3%, 3Q247.2% ความเห็นและคำแนะนำ มีมุมมอง “Slightly  negative” ต่อข้อมูลที่ได้รับจากงานประชุมนักวิเคราะห์และลดประมาณการกำไรปี 2024F-26F ลงเฉลี่ย 2% จากลดรายได้ลง  โดยกำไรปี 2024-25F ที่ 805ลบ. (+3%) และ 752ลบ. (-7%) ระยะสั้น 4Q24F คาดกำไรยังลดทั้ง y-y,  q-q จากรายได้ที่ยังชะลอ โดยจุดที่ต้องจับตา คือ ในแนวโน้มรายได้ชะลอตัว ขณะที่ จะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามา อาจกระทบอัตรากำไรในช่วงแรก แม้ราคาหุ้นปรับลดมามาก และซื้อขาย Valuation PER25F เหลือ 11.4 เท่า (-1.6SD) แต่หุ้นยังขาดปัจจัยบวก ยังแนะนำ “Neutral” และจะหาจุดเข้าลงทุนต่อไป จาก TP25F ใหม่ 21.1บาท (เดิม 27บาท) อิง PER 12เท่า เทียบเท่า ค่าเฉลี่ย-1.5SD รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[ภาพข่าว] CPANEL จัดงาน Analyst Meeting

[ภาพข่าว] CPANEL จัดงาน Analyst Meeting

           นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม (ที่ 4 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL จัดประชุมนักวิเคราะห์ Analyst Meeting ให้ข้อมูลกลยุทธ์สร้างการเติบโตช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 คว้างานภาครัฐ 5 โครงการ มูลค่ารวม 107 ล้านบาท เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีคุณภาพสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขยายฐานลูกค้าภาครัฐ-เอกชนหลากหลาย เข้าร่วมประมูลงานใหม่ ต่อเนื่อง ควบคู่การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างการเติบโตให้ผลการดำเนินงานในอนาคต

PIS ลุยเดินสายโรดโชว์ จ.ขอนแก่น เตรียมขาย IPO 140 ล้านหุ้น

PIS ลุยเดินสายโรดโชว์ จ.ขอนแก่น เตรียมขาย IPO 140 ล้านหุ้น

          หุ้นวิชั่น - นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายนวัช ทัฬหิกรณ์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานการเงินและบัญชี บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIS พร้อมด้วย นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ (ที่ 1จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน และ นายชานนทร์ ปิยสุนทร (ที่ 1 จากขวา) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้น ร่วมนำเสนอข้อมูลรายละเอียดหลักทรัพย์แก่นักลงทุนใน จ.ขอนแก่น โดยมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 140 ล้านหุ้น ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

[Vision Exclusive] PIMO อัพเกรด BLDC ทุ่ม 40ล. เพิ่มกำลังเท่าตัว!

[Vision Exclusive] PIMO อัพเกรด BLDC ทุ่ม 40ล. เพิ่มกำลังเท่าตัว!

            หุ้นวิชั่น - PIMO กางกลยุทธ์ปีมะเส็ง ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 25% บอร์ดอนุมัติงบ 40 ล้านบาท อัพไลน์ผลิตมอเตอร์ BLDC เท่าตัว จากปัจจุบันที่ 2 หมื่นลูก ส่องดีมานด์ 48 ล้านลูกต่อปี ลั่นออเดอร์เรียงคิวโค้งแรก ลุยบริหารต้นทุนดันมาร์จิ้นพุ่ง             นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO ผู้ประกอบธุรกิจหลักผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าเครื่องปรับอากาศ (Air Conditioning Motor) มอเตอร์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไป (Induction Motor) เครื่องสูบน้ำ ปั๊มหอยโข่ง มอเตอร์สำหรับสระว่ายน้ำ มอเตอร์สำหรับปั๊มบ้าน (Submersible Pump,Pool Spa Pump and Home Pump) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า บริษัทตั้งเป้าการเติบโตในปี 2568 ที่ 25% โดยมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มกำไรมากกว่าการเพิ่มยอดขาย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าหมุนเวียนและสินค้ามาร์จิ้นสูง (High Margin) เช่น มอเตอร์ BLDC หรือ มอร์เตอร์ชนิดพิเศ๋ษ ซึ่งเจาะตลาดสินค้าเฉพาะกลุ่ม หรือ  Niche Market             ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติงบลงทุน 40 ล้านบาท ในการขยายไลน์สินค้าใหม่เพิ่มเติม มอเตอร์ BLDC บริษัทมีแผนจะเพิ่มกำลีงผลิตอีกเท่าตัว จากปัจจุบัน PIMO มีกำลังผลิตอยู่ที่ 20,000 ลูก เพื่อรองรับดีมานด์หรือความต้องการของตลาดที่ 48 ล้านลูกค้าต่อปี คาดว่าจะเริ่มผลิตสินค้ารุ่นใหม่ในช่วงเดือนมีนาคม หรือ เมษายน ปี 2568 และจะเร่งยอดขายในปี 2568             สำหรับในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตและวางแผนในด้านการเติบโตยอดขายและกำไรเป็นที่สำคัญ โดยการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกา ซึ่งมีความต้องการสินค้าในกลุ่มนี้สูง ขณะเดียวกันมีกำลังผลิตสินค้าในกลุ่ม AC หรือมอเตอร์ปกติคาดจะเติบโตต่อเนื่อง ปัจจุบันมียอดสั่งซื้อในไตรมาส 1/2568 เข้ามาจำนวนมาก และอยู่ระหว่างเร่งผลิตสินค้าเพื่อส่งมอบสินค้า พร้อมรองรับการขายให้ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศในไตรมาสแรกถึงไตรมาสที่สองของปีหน้า             พร้อมกันนี้บริษัทให้ความสำคัญกับการขยายอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit) และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit) มากกว่าการมุ่งเน้นที่ยอดขายเพียงอย่างเดียว โดยการบริหารจัดการต้นทุนให้นัดกุม และเร่งส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าให้รวดเร็ว             อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 PIMO มีรายได้แล้วที่ 907.40 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 91.63 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

ธุรกิจอาหาร 6.57แสนล. AU ฮอต! ขนมหวานติดตลาด

ธุรกิจอาหาร 6.57แสนล. AU ฮอต! ขนมหวานติดตลาด

          หุ้นวิชั่น - KResearch คาดมูลค่าคลาดธุรกิจร้านอาหาร เครื่องดื่มปี 68 ที่ 6.57 แสนล้าน โต 4.6% ชี้ท่องเที่ยวในประเทศหนุน "อาฟเตอร์ ยู" ติดโผ หุ้นเด่น ฮอตขนมหวานติดตลาด ใส่เกียร์ขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ทำเงิน แนะ “ซื้อ” เป้า 12.50 บาท           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) ระบุว่า แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจร้านอาหารและร้านเครื่องดื่มในปี 2568 คาดมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 657,000 ล้านบาท เติบโต 4.6% จากปี 2567 จากภาคการท่องเที่ยวในประเทศที่ยังเติบโต การขยายสาขาของผู้ประกอบการไปยังภูมิภาค รวมถึงไลฟ์ สไตล์ของผู้บริโภคและความต้องการอาหารและเครื่องดื่มใหม่ที่เพิ่มขึ้นช่วยหนุนการเติบโตของตลาด แต่ธุรกิจมีการแข่งขันสูงทำให้การลงทุนยังต้องระวัง           ธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 คาดมูลค่าตลาดอยู่ที่ 572,000 ล้านบาท เติบโต 4.8% จากปี 2567 กลุ่มร้านอาหารข้างทาง (Street Food) มีอัตราการเติบโตดีกว่ากลุ่มอื่น เนื่องจากได้รับความนิยมจากคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่ธุรกิจร้านเครื่องดื่ม (รวมร้านเบเกอรี่และไอศกรีม) ในปี 2568 คาดมูลค่าตลาดอยู่ที่ 85,320 ล้านบาท เติบโต 3.2% จากปี 2567           แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศ ในปี 2568 คาดว่า ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 657,000 ล้านบาท เติบโต 4.6% แต่เป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวจากปี 2567           การเติบโตของธุรกิจได้รับปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากภาคการท่องเที่ยวทั้งการเดินทางท่องเที่ยวคนไทยและชาวต่างชาติที่คาดว่ายังเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 โดยการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) เป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติกอปรกับไทยมีร้านอาหารที่ติดอยู่ในมิชลินไกด์ กว่า 482 ร้านอาหาร จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพบว่า การใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มของนักท่องเที่ยวมีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 2 ของการใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวทั้งหมด           นอกจากนี้การเติบโตของมูลค่าตลาดยังเป็นผลมาจากราคาที่ปรับสูงขึ้นตามภาวะแนวโน้มต้นทุนทางธุรกิจที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมไปถึงการขยายสาขาของผู้ประกอบการและกลยุทธ์การตลาดกระตุ้นให้รายได้ต่อครั้งการสั่งอาหารเพิ่มขึ้น การแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม           ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศมีการแข่งขันรุนแรงในทุกระดับราคาและประเภทของอาหาร ประเทศไทยมีความหนาแน่นของร้านอาหารต่อประชากรอยู่ที่ 9.6 ร้านต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นอัตราส่วนที่สูง โดยในปี 2568 คาดว่าร้านอาหารและเครื่องดื่มจะมีจำนวนประมาณ 6.9 แสนร้าน ในปี 2568 ผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และผู้ประกอบรายเล็ก (บุคคล) ยังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการในตลาดมีแผนที่จะขยายสาขาในกลุ่มแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มเดิม รวมถึงการเปิดแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มใหม่ครอบคลุมทุกเช็กเม้นท์ของตลาด และส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มร้านอาหารเอเชีย           นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มยังมาจากแนวโน้มการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ อาทิ ห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงานเปิดใหม่เป็นปัจจัยสนับสนุนจำนวนร้านอาหารเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทิศทางลงทุนของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีกิจกรรมการท่องเที่ยวสูง อาทิ ชลบุรี เชียงใหม่และสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ศักยภาพ โดยจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 24% ของจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มทั่วประเทศ           นอกจากนี้ การแข่งขันในธุรกิจยังมาจากการเข้ามาลงทุนของชาวต่างชาติ โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มยังได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจมากขึ้นสะท้อนได้จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า มูลค่าทุนจดทะเบียนร้านอาหารและเครื่องดื่มจำแนกตามสัญชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปี 2567 กลุ่มร้านอาหารและเครื่องดื่มจากจีนมีมูลค่าการลงทุนที่เร่งตัวขึ้น และแนวโน้มการเข้ามาลงทุนน่าจะเพิ่มสูงขึ้น           ทั้งนี้การแข่งขันในธุรกิจที่รุนแรงก็ทำให้เกิดการหมุนเวียนเปิด-ปิดกิจการของผู้ประกอบการใหม่และเก่าเป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน สะท้อนจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ร้านอาหารปิดตัวเร่งขึ้นโดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ร้านอาหารมีการจดทะเบียนยกเลิกธุรกิจสูงถึง 89% (YoY) ขณะที่การเปิดตัวใหม่ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แนวโน้มธุรกิจร้านอาหาร           ในปี 2568 คาดว่า มูลค่าตลาดร้านอาหาร (รวมร้านอาหารประเภทร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ ร้านอาหารที่ให้บริการจำกัด และร้านอาหารข้างทางหรือ Street Food ที่มีหน้าร้าน) จะมีมูลค่ารวมประมาณ 572,000 ล้านบาท เติบโต 4.8% จากปี 2567           การเติบโตของร้านอาหารแต่ละรูปแบบมีปัจจัยเฉพาะที่ต่างกัน อาทิ ทำเลที่ตั้งของร้าน ความหนาแน่นของร้านอาหารทั้งที่เป็นประเภทเดียวกันและต่างกันในแต่ละพื้นที่ รวมถึงราคา คุณภาพ/รสชาติของอาหาร และการให้บริการ รวมไปถึงเทรนด์การบริโภคของผู้บริโภค การนำเสนอเมนูใหม่ๆ และมีเอกลักษณ์ก็มีผลต่อการเติบโตของร้านอาหาร - ร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full Service Restaurants) คาดว่าจะเติบโต 2.9%จากปี 2567 หรือมีมูลค่า 213,000 ล้านบาท โดยร้านอาหารประเภทบุฟเฟต์ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่มองเรื่องความคุ้มค่าและไลฟ์ สไตล์ที่เปลี่ยนไป สำหรับกลุ่มร้านอาหารประเภทอะลาคาร์ท (A La Carte)อย่างกลุ่ม Casual Dining อาทิ ร้านอาหารญี่ปุ่น เกาหลี ไทย และตะวันตก ในกลุ่มราคาระดับกลางจะเจอกับความท้าทายจากกำลังซื้อและการแข่งขันจากร้านที่เปิดให้บริการจ านวนมาก - ร้านอาหารที่ให้บริการ จำกัด (Limited Service Restaurants) คาดว่าจะเติบโต 3.8% จากปี 2567 หรือมีมูลค่า 93,000 ล้านบาท การขยายตัวจะมาจากการขยายสาขาของผู้ประกอบการอย่างกลุ่มพิซซ่า และไก่ทอด และจากผู้ประกอบการที่ให้บริการในรูปแบบ Full Service ได้ปรับรูปแบบร้านอาหารมาเป็นแบบ Quick service มากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้นและเป็นการลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ - ร้านอาหารข้างทาง (Street Food) ที่มีหน้าร้าน คาดว่าจะเติบโต 6.8% จากปี 2567 หรือมีมูลค่า 266,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็นเมนูพื้นฐานที่เข้าถึงได้ง่ายและราคาไม่สูง ทำให้ร้านอาหารกลุ่มนี้ยังขยายตัวดีกอปรกับร้านอาหารแนว Street Food ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยและชาวต่างชาติ แนวโน้มธุรกิจร้านเครื่องดื่ม           ในปี 2568 คาดว่า มูลค่าตลาดร้านเครื่องดื่ม (รวมร้านเบเกอรี่และไอศกรีม) จะมีมูลค่ารวมประมาณ 85,320 ล้านบาท เติบโต 3.2% จากปี 2567 การเติบโตส่วนหนึ่งมาจากการขยายสาขาของผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ และผู้ประกอบการรายเล็ก (บุคคล) ยังมีการเปิดร้านใหม่ รวมถึงการขยายแฟรนไชส์ร้านเครื่องดื่มของชาวต่างชาติที่น่าจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยมากขึ้น นอกจากนี้เครื่องดื่มและเบเกอรี่ใหม่ๆจากต่างประเทศที่เข้ามาทำตลาด มีส่วนกระตุ้นความต้องการบริโภคเครื่องดื่มและเบเกอรี่มากขึ้น ความเสี่ยงของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม • กำลังซื้อของผู้บริโภคยังฟื้นไม่เต็มที่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม โดยแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อภาวะการมีงานทำและกำลังซื้อของผู้บริโภค • ต้นทุนการดำเนินธุรกิจมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในปี 2568 ต้นทุนรอบด้านของธุรกิจร้านอาหารมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งค่าสาธารณูปโภคและค่าเช่า รวมถึงต้นทุนสำคัญ ได้แก่ - ต้นทุนค่าแรง โดยผู้ประกอบการยังต้องติดตามนโยบายของภาครัฐในการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2568ซึ่งคงจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก - ต้นทุนวัตถุดิบอาหารซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของธุรกิจร้านอาหารคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของต้นทุนธุรกิจ ด้วยสภาวะอากาศที่ไม่ปกติเกิดขึ้นในหลายประเทศทำให้ราคาวัตถุดิบอาจปรับขึ้นได้โดยเฉพาะกลุ่มวัตถุดิบนำเข้าอย่างนมผง เนย ชีส โกโก้ และแป้งสาลี โดยราคาซื้อขายล่วงหน้าในปี 2568 ยังทรงตัวสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนในกลุ่มร้านเบเกอรี่และอาหารตะวันตกค่อนข้างมาก • พฤติกรรมของผู้บริโภคที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของธุรกิจบริการโดย “ความแปลกใหม่+ประสบการณ์+สุขภาพ+ราคาสมเหตุสมผล” ได้กลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ของผู้บริโภคในปัจจุบัน และเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคที่ไม่ได้มีรูปแบบตายตัว ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ต่ำและเปลี่ยนแปลงตามกระแสอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับรูปแบบธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว           ขณะที่ นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ได้เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ธุรกิจร้านอาหารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่น่าสนใจ ได้แก่ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU จากแผนการขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ การวางขายสินค้าใน Modern Trade ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ได้รับกระแสนิยมทุกปี อีกทั้ง 9 เดือนแรกปี 2567 AU สามารถทำยอดขายได้ถึง 210.22 ล้านบาท           ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด AU ในไตรมาส 4/2567 บริษัทจะยังคงเติบโต YoY, QoQ จากการขยายรายได้ในทุกช่องทาง ได้แก่ รักษา SSSG ที่เป็นบวก (เทียบกับ 4.5% ใน ไตรมาส 3/2567) และขยายสาขาเพิ่ม 1-2 แห่ง เป็น 63 สาขาในปี 2567           โดยมีเป้าหมายเพิ่มอีก 10 สาขาในปี 2568 รายได้จากการขายสินค้า AU ขยายการขายใน 7-Eleven เพื่อให้ครอบคลุม 14,000 สาขาภายในต้นปี 2568 (จากปัจจุบันที่ 8,000 สาขา) รวมถึงการจับมือกับการบินไทยในการจำหน่ายขนมปังของ After You ในเที่ยวบินตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2024 ถึง 31 พฤษภาคม 2025 และวางแผนขยายฐานลูกค้า OEM เพื่อเพิ่มสัดส่วนช่องทางนี้จากปัจจุบัน 13% ในไตรมาส 3/2567 ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567-2569 ขึ้น 9-14% การปรับเพิ่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขาย 4-7% ซึ่งขับเคลื่อนโดยยอดขายสำหรับร้านขนมหวานที่เติบโตกว่าคาด และการขยายช่องทางการขายสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ เช่น 7-Eleven และสายการบินไทย           อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น (65.5% ในปี 2567, 64.7% ในปี 2568-2569) เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นและผลประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด ดังนั้นคาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 18.4% ในปี 2567-2569 เพิ่มขึ้นจาก 14.6% ในปี 2566           คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ 12.50 บาท (DCF) ด้วยราคาเป้าหมายที่ปรับขึ้นเป็น 12.50 บาท (จากเดิม 11.50 บาท) อิงจาก DCF โดยสมมติฐาน Rf 2.5%, RPM 8% และ Beta 0.9 ซึ่งเทียบเท่ากับ 29 เท่า PER ปี 2024F และ PEG ที่ 1.5 เท่า โดยพิจารณาจากการเติบโตกำไร 19% YoY ที่มา https://www.settrade.com/th/research/businessanalysis

TNP เผย Q4/67 ขยายแลนด์มาร์กแตะ 50 สาขา

TNP เผย Q4/67 ขยายแลนด์มาร์กแตะ 50 สาขา

          ธนพิริยะ (TNP) แย้มทิศทาง Q4/67 ดีต่อเนื่องรับเทรนด์การท่องเที่ยว และการขยายสาขาที่ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และกำไร มุ่งมั่นหาสินค้าอุปโภค บริโภคใหม่ๆที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยราคาที่แข่งขันได้ ขยายแลนด์มาร์คแตะ 50 สาขา มั่นใจเป้ารายได้ โตตามแผน 10-15%           เภสัชกรหญิงอมร พุฒิพิริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดเชียงราย เผยทิศทางไตรมาส 4 ปี 2567 มุ่งเน้นกลยุทธ์หลัก ขยายอาณาจักรร้านค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งศูนย์กระจายสินค้าที่ได้ก่อสร้างเพิ่มเติมก็คาดจะเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะทำให้ธนพิริยะ มีพื้นที่จัดเก็บสินค้าที่สามารถรองรับการเติบโตได้มากถึง 60 สาขา อีกทั้งภาพรวมการทำรายได้ก็คาดว่าจะรักษาระดับการเติบโตได้อย่างดี ล่าสุด ธนพิริยะ จุดพลุฉลอง เปิดให้บริการ สาขา ม.พะเยา จ.พะเยา สาขาที่ 50 เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแหล่งย่านนักศึกษา คาดว่าจะเป็นสาขาที่มีผู้เข้ามาใช้บริการอย่างคึกคัก และเป็นสาขาที่น่าจะสร้างรายได้ที่เติบโตอย่างน่าสนใจในอนาคต โดยปัจจุบัน ธนพิริยะ มีสาขาทั้งสิ้น 50 สาขา โดยแบ่งเป็นร้านค้าปลีก 49 สาขา และร้านค้าส่ง 1 สาขา แบ่งเป็น จ.เชียงราย 39 สาขา จ.เชียงใหม่ 4 สาขา จ.พะเยา 7 สาขา  ซึ่งพื้นที่ขายรวมกว่า 17,400 ตารางเมตร  ด้วยสินค้าอุปโภค บริโภคที่มีมากกว่า 15,000 รายการ สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าของธนพิริยะ มีอยู่ 3 ช่องทางหลัก คือ หน้าร้านค้าแบบออฟไลน์ ช่องทางออนไลน์ และการเป็นตัวแทนจัดจำหน่าย โดยมุ่งเน้นหาสินค้าที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ พร้อมตามเทรนด์สินค้าใหม่ๆที่เป็นโอกาส ในการสร้างกำไร ด้วยราคาที่แข่งขันได้ ที่มาพร้อมมาตรฐานในระดับสากล เภสัชกรหญิงอมร กล่าวเสริม “สำหรับโค้งสุดท้ายของปี มองทิศทางการเติบโต จากการเดินหน้าเปิดสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระจายร้านค้าเข้าสู่ชุมชน ในทำเลที่มีศักยภาพ ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวได้อย่างทั่วถึง ประกอบกับเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ก็คาดว่าจะทำให้รายได้ของปี 2567 เป็นไปตามเป้าที่วางไว้อยู่ที่ 10-15%” [PR News]

[ภาพข่าว] GCAP คว้าเรตติ้ง “A” หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567

[ภาพข่าว] GCAP คว้าเรตติ้ง “A” หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567

          บริษัท จี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ GCAP ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร เปิดเผยว่า บริษัทได้รับการประกาศผลการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2567 ระดับ “A” ในกลุ่มธุรกิจการเงิน จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย GCAP เป็น 1 ใน 228 บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปีนี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยบริษัทยึดมั่นต่อการดำเนินงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) ตลอดจนคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย ภายใต้แนวคิดการสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Value) ระหว่างธุรกิจและสังคมให้เติบโตควบคู่กันได้อย่างยั่งยืน และคำนึงถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม           รางวัลดังกล่าวเป็นความภาคภูมิใจขององค์กรที่บริษัทได้รับการประกาศผล SET ESG Ratings ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการธุรกิจให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ มั่นคง และยั่งยืน ทั้งนี้บริษัทจะไม่หยุดยั้งในการพัฒนาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีส่วนได้เสีย และเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ลงทุนต่อไป

[Gossip] PIS หุ้นเทคฯ อนาคตไกล! เปิดฉากโรดโชว์ กรุงเทพฯ 24 ธ.ค.นี้

[Gossip] PIS หุ้นเทคฯ อนาคตไกล! เปิดฉากโรดโชว์ กรุงเทพฯ 24 ธ.ค.นี้

          เริ่มนับถอยหลัง เตรียมพบกับผู้บริหารหญิงคนเก่ง “เบญญาภา เฉลิมวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ควงคู่ “นวัช ทัฬหิกรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) มีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 140 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25.93 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้ว  เตรียมเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เร็วๆนี้ พร้อมนำเสนอข้อมูลการขายหุ้น IPO ในวันที่ 24 ธันวาคม 2567 เวลา 10.30-12.00 น. ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ... งานนี้ ใครสนใจหุ้นไอพีโอสายเทคฯ พื้นฐานแน่น อนาคตไกล ห้ามพลาดเลยคร้าาา

EURO ขึ้นแท่นตัวแทนขาย Bang & Olufsen แบรนด์ดังเดนมาร์ก

EURO ขึ้นแท่นตัวแทนขาย Bang & Olufsen แบรนด์ดังเดนมาร์ก

          บมจ.ยูโร ครีเอชั่นส์ (EURO) รุกตลาดไลฟ์สไตล์! ประกาศเป็นตัวแทนจำหน่าย Bang & Olufsen (B&O) แบรนด์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์สัญชาติเดนมาร์กในรูปแบบ Mono-brand stores แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เตรียมจัด 2 โชว์รูมเป็น Mono-brand คาดเปิดให้บริการในไตรมาส 2/2568 ด้านหัวเรือใหญ่ "เควิน กัมบีร์" เชื่อมั่นศักยภาพแบรนด์ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเดิม และสนับสนุนแผนการขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ เพิ่มการรับรู้ในแบรนด์ Euro Creations และสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง           นายเควิน กัมบีร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (EURO) ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ “Luxurious & High Quality Living” เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจาก Bang & Olufsen (B&O) แบรนด์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์สัญชาติเดนมาร์ก ให้เป็นตัวแทนแต่เพียงผู้เดียวในการดำเนินการและจัดจำหน่ายในฐานะ Mono-brand stores ในประเทศไทย โดยมีกำหนดเปิดตัวสาขาแรกที่ Euro Creations ทองหล่อ ชั้น 2 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Beo Home” และเตรียมเปิดอีกหนึ่งสาขาที่ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี ชั้น 4 ในช่วงประมาณไตรมาส 2/2568           “Bang & Olufsen (B&O) ให้ความสำคัญในเรื่องของ Design อันโดดเด่น (Iconic Design) คุณภาพเสียงที่มีระดับ (Superior Sound Quality) เทคโนโลยีอันล้ำสมัย (Innovative Technology) และ ศิลปะแห่งการสร้างสรรค์ (Craftsmanship) จึงทำให้ product ของ B&O มีความแตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ทั้งคนที่หลงไหลในเสียงเพลง คนที่ชื่นชอบดีไซน์ หรือชิ้นงานที่เป็น Iconic piece ทำให้กลุ่มลูกค้าของแบรนด์มีความหลากหลาย ดังนั้นเราเชื่อมั่นว่าใน 3-5 ปีข้างหน้า B&O จะเป็นแบรนด์ที่ลูกค้านึกถึงเป็นแบรนด์แรกถ้าเขาต้องการสินค้าและบริการในกลุ่มเครื่องเสียงและลำโพง”           ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EURO กล่าวต่อว่า “เรามีความยินดีที่ได้ร่วมงานกับ B&O ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์ที่มีดีไซน์โดดเด่น สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ EURO ที่ระบุว่า ชีวิตดีขึ้นได้ในพื้นที่ที่งดงาม เราเชื่อมั่นว่าแบรนด์นี้จะช่วยตอบโจทย์ลูกค้าปัจจุบันของเราด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น และจะเป็นหนึ่งในแบรนด์สำคัญของบริษัทฯ เราที่ช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เนื่องจาก B&O สามารถดึงดูดความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักฟังเพลงที่หลงใหลในคุณภาพเสียงระดับสูง ผู้ที่ชื่นชอบการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยีขั้นสูง จึงทำให้แบรนด์นี้เป็นส่วนเสริมที่ตอบโจทย์และสามารถดึงดูดลูกค้าได้ในวงกว้างยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสะท้อนถึงภาพลักษณ์ ความประทับใจ ความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ และเพิ่มโอกาสในการเติบโตในระยะยาว”           อนึ่ง Bang & Olufsen (B&O) เป็นแบรนด์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์สัญชาติเดนมาร์ก ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1925 มีชื่อเสียงโดดเด่นในด้านผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงคุณภาพสูง และ B&O ขึ้นชื่อในเรื่องการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ คุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยมีประวัติอันยาวนานในการผสมผสานความสวยงามเข้ากับฟังก์ชันการใช้งาน แบรนด์นี้ยังร่วมมือกับนักออกแบบชั้นนำระดับโลก สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อันเป็น Iconic ซึ่งช่วยยกระดับชื่อเสียงให้เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ระดับพรีเมียม           ในประเทศไทย B&O เป็นตัวแทนของความหรูหรา ดึงดูดลูกค้าที่พิถีพิถันและให้ความสำคัญทั้งด้านประสิทธิภาพและสไตล์ อีกทั้งตั้งอยู่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา B&O ได้สร้างชื่อเสียงในการนำเสนอคุณภาพอันยอดเยี่ยมและการออกแบบที่โดดเด่น ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคไทยที่ชื่นชอบความหรูหราและความประณีต ผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงระดับลักซ์ชัวรี่ของแบรนด์ได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้าชาวไทยที่มีกำลังซื้อสูง ผลักดันให้แบรนด์เติบโตอย่างต่อเนื่องและได้รับความนิยมอย่างยั่งยืน

[Vision Exclusive] THANA ปล่อยโปรดึงยอดท้ายปี-เปิด 1.5 พันล.

[Vision Exclusive] THANA ปล่อยโปรดึงยอดท้ายปี-เปิด 1.5 พันล.

หุ้นวิชั่น - "สุทธิรักษ์  เสถียรภาพอยุทธ์" บิ๊กบอส THANA ฉายภาพอสังหาฯท้ายปี ใส่เกียร์ปล่อยโปรโมชั่นดึงยอดโอน เล็งเปิดโครงการใหม่ปี 68 มูลค่า 1.5 พันล้านบาท ชี้บ้านไม่เกิน 3 ล้านบาทขายดี จับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหนุน           นายสุทธิรักษ์  เสถียรภาพอยุทธ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA  เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า ในครึ่งปีแรกของปี 2568 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อาจมีความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและมาตรการต่างๆ ที่ทยอยส่งผลกระทบต่อการเติบโตของธุรกิจ โดยเฉพาะในส่วนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและงานก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 เมื่อสถานการณ์ตลาดและอุตสาหกรรมดังกล่าวดูดซับปัจจัยต่างๆ ได้มากขึ้น ขณะที่การเปิดโครงการใหม่ของ THANA ในช่วงปลายปี 2567 คาดจะช่วยกระตุ้นยอดโอน ซึ่ง THANA มีโปรโมชั่นที่น่าสนใจจะช่วยกระตุ้นความต้องการในการซื้อที่อยู่อาศัย และโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงสิ้นปี 2567 นี้ THANA มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2568 จำนวน 1 โครงการ มูลค่า 1,500 ล้านบาท โดยจะมีการเปิดโครงการใหม่ขนาดกลาง คาดว่าจะสามารถสร้างยอดรับรู้รายได้ได้ดี แม้ในตลาดที่ยังคงชะลอตัว นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะกระตุ้นยอดขายและสร้างความสนใจจากลูกค้าด้วยโปรโมชั่นพิเศษที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าที่มีราคาน่าสนใจ หรือไม่เกิน 3 ล้านบาท อย่างไรก็ดี THANA จะพิจารณาเปิดโครงการขนาดเล็ก หากภาพรวมเศรษฐกิจค่อยๆฟื้นตัว สำหรับการปล่อยสินเชื่อมองว่ายังคงอยู่ในลักษณะเดิม โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจลดลงในปลายปี 2567 ตามทิศทางของสงครามและสภาวะเศรษฐกิจ พร้อมทั้งได้มีการหารือกับสถาบันการเงินเพื่อสนับสนุนการปล่อยสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง บริษัทคาดว่าในปี 2568 การเติบโตจะเพิ่มขึ้นจากการเปิดโครงการใหม่และการขยายพื้นที่ขาย โดยตั้งเป้ายอดขายในปี 2568 ไว้ที่ 15-20% จากโครงการพร้อมขายของ THANA ที่มีอยู่ 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้จากสินค้าที่มีในมือ ขณะเดียวกันยังมองว่าสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทมีเสถียรภาพ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยไม่สูงขึ้นมากและยังคงเห็นโอกาสในการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันทางการเงิน ทั้งนี้ยอดปฏิเสธสินเชื่อของ THANA อยู่ที่ระดับ 20% ซึ่งยอมรับว่าเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่ 15-16% แต่ THANA จะพยายามควบคุมยอดปฏิเสธสินเชื่อไม่ให้เพิ่มขึ้นสูง จากการคัดกรองลูกค้าก่อนยื่นเอกสารกู้เงินจากสถาบันทางการเงิน อย่างไรก็ตาม THANA การดำเนินธุรกิจมาแล้วกว่า 30 ปี มีประสบการณ์และความเชื่อมั่นจากลูกค้าในหลากหลายกลุ่ม โดยบริษัทมุ่งเน้นคุณภาพและความคุ้มค่าในการพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างครบถ้วน อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 THANA มีรายได้แล้วที่ 368.47 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 32.63 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] TRP โรงพยาบาลใหม่ ศัลยกรรมครบจบปัง!

[Vision Exclusive] TRP โรงพยาบาลใหม่ ศัลยกรรมครบจบปัง!

          หุ้นวิชั่น - "ธีรพรคลินิก" เปิดโรงพยาบาลใหม่ไฉไลกว่าเดิม ลุยศัลยกรรมครบวงจร ดีเดย์เมษายนปีหน้า ฟากผู้บริหารหนุ่มไฟแรง "คงศักดิ์ เตชะวิบูลย์ผล" เจาะฐาน Wellness ทำเงิน แถมดีมานด์ศัลยกรรมล้น ปักธงรายได้ปี 68 โต 15%           นายแพทย์คงศักดิ์ เตชะวิบูลย์ผล กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท เอสเตติก คอนเนค จำกัด (มหาชน) หรือ TRP ผู้ให้บริการศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า ภายใต้ชื่อ "ธีรพรคลินิก" เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ในปี 2568 บริษัทเตรียมเปิดให้บริการโรงพยาบาลใหม่ และขยายธุรกิจโดยการเพิ่มหัตถการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและเพิ่มมูลค่าธุรกิจให้มากขึ้น โดยมุ่งเน้นการรักษาความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ           สำหรับแผนการเปิดโรงพยาบาลใหม่คาดว่าจะดำเนินการในช่วงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม ซึ่งโรงพยาบาลใหม่จะมีพื้นที่ขยายเพิ่มขึ้นเป็น 9,000 ตารางเมตร จากเดิมที่มีพื้นที่เพียง 1,100 ตารางเมตร การขยายพื้นที่นี้จะช่วยให้ TRP สามารถนำบริการใหม่ๆ เช่น ศัลยกรรมครบวงจร การดูแลผิวพรรณ (สกิน) และเวลเนส (Wellness) มานำเสนอแก่ลูกค้าเพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มความหลากหลายในการให้บริการ รวมถึงการสร้างแบรนด์ดิ้งให้เป็นที่รู้จัก           TRP วางแผนเจาะตลาด Wellness และเน้นกลยุทธ์การขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าหลัก (Cross Selling) โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งมักมีปัญหาด้านสุขภาพ บริษัทจะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพให้กับลูกค้ากลุ่มนี้ ในส่วนของตลาด Wellness บริษัทมองว่าเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันมีแนวโน้มมีครอบครัวน้อยลงและมีสังคมเดี่ยวมากขึ้น จึงหันมานำเงินที่มีมาใช้ในการดูแลตัวเองมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าและเติบโตในตลาดนี้           นายแพทย์คงศักดิ์ กล่าวต่อว่า ความต้องการบริการศัลยกรรมยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่เติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับช่วงหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย โดยปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มศึกษาข้อมูลมากขึ้นและใส่ใจในการใช้จ่าย เพื่อให้มั่นใจว่าเงินที่ใช้ไปในการดูแลตัวเองจะคุ้มค่ามากที่สุด           บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 เพิ่มขึ้น 10-15% จากปี 2567 โดยมุ่งรักษาอัตรากำไรในระดับที่ใกล้เคียงปี 2567 ซึ่งไม่มีค่าเสื่อมโรงพยาบาลใหม่  ทั้งนี้ ธุรกิจศัลยกรรม สกิน และเวลเนสคาดปี 2568 จะมีต้นทุนใกล้เคียงเดิม แต่จะมีปัจจัยที่ต้องติดตามในครึ่งปีหลัง 2568 คือค่าเสื่อมจากการเปิดโรงพยาบาลใหม่ เนื่องจากมีค่าเสื่อมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นในช่วงแรกที่ยังไม่มีเคสมากนัก แต่เมื่อจำนวนเคสเพิ่มขึ้น คาดจะสามารถชดเชยค่าเสื่อมและทำให้อัตรากำไรดีขึ้นในภายหลัง           ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) แนวโน้ม 4Q24 ยังฟื้นตัว ส่วนปี 25F คาดฟื้นตัวแต่มี Downside กำไร 9M24 คิดเป็น 73% ของทั้งปี 24F ที่ 146 ล้านบาท (-24%) ยังคงไว้ มองกำไร 4Q24F ยังลด YoY, +QoQ ตามฤดูกาล           ขณะที่กำไรปี 25F คาดไว้ที่ 198 ล้านบาท (+36%) คาดมี Downside 10% เนื่องจากแนวโน้มรายได้ยังเติบโตช้า และแผนเปิดโรงพยาบาลใหม่ใน 1Q25F (ห้องผ่าตัดเพิ่มจาก 6 เป็น 12 ห้อง) คาดมีค่าใช้จ่ายขึ้นราว 10-20 ล้านบาท/ปี ซึ่งแผนปรับปรุงทั้งการเพิ่มศัลยกรรมใหม่ ขยายไปกลุ่ม Skin รวมถึงการปรับการตลาดและการขาย ยังต้องใช้เวลารับรู้จากกลุ่มลูกค้าทั้งกลุ่มเดิม (อายุ 40+)(80% ของรายได้) และกลุ่มวัยรุ่น & คนทำงานช่วงเริ่มต้น (20% ของรายได้)           แนะนำ "Buy" เชิงตั้งรับจาก TP25F ที่ 11.40 อิง PER 20x หุ้นปรับลง YTD -48% และซื้อขายที่ PER 25F 16x เป็น Valuation โซนลงทุน แต่ยังมี Downside กำไร 25F จึงแนะนำ "Buy" เชิงตั้งรับจาก TP25F ที่ 11.40 บาท อิง PER 20 เท่า.           อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 TRP มีรายได้แล้วที่ 417.26 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 106.80 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[ภาพข่าว] PHOL คว้าหุ้นยั่งยืน ปี 67  SET ESG Ratings “A”

[ภาพข่าว] PHOL คว้าหุ้นยั่งยืน ปี 67 SET ESG Ratings “A”

           นายธันยา หวังธำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ผลธัญญะ (PHOL) ผู้ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าและบริการเพื่อความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้รับผลการประเมินหุ้นยั่งยืน หรือ SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ในระดับ “A” เป็นปีที่ 2 ต่อเนื่อง ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทฯในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้กรอบการดำเนินงานและการเปิดเผยข้อมูลที่ครอบคลุมในทุกมิติทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) การขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่กับการตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน โดย PHOL เป็น 1 ใน 228 บริษัทจดทะเบียน ที่ผ่านเกณฑ์และได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน ประจำปี 2567 ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

[ภาพข่าว] READY เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุน

[ภาพข่าว] READY เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุน

           นายทรงยศ คันธมานนท์ (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยนายบุรินทร์ เกล็ดมณี (ที่ 8 จากขวา) รองกรรมการผู้จัดการบริหาร และนางสาวอนัญญา แสงรัตนเดช (ที่ 7 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท เรดดี้แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) “READY” ให้การต้อนรับคณะนักลงทุน เนื่องในโอกาสเข้าเยี่ยมชมกิจการ พร้อมบรรยายภาพรวม แผนการดำเนินธุรกิจของ บริษัทฯ และทิศทางการเติบโตของแพลตฟอร์มการขายและการตลาดดิจิทัลแบบ All-in-One Sales and Marketing Platform ครอบคลุมทั้งการสร้างเว็บไซต์ โฆษณาออนไลน์ ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า และระบบจองโรงแรมโดยตรง ที่มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องรับเทรนด์การตลาดใหม่ในอนาคต พร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหาร ถึงแผนและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของ READY  ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ บมจ.เรดดี้แพลนเน็ต อาคารเมเจอร์ ทาวเวอร์ กทม.

DEXON รุกตลาดละตินอเมริกา ตั้งบ.ย่อยในชิลี

DEXON รุกตลาดละตินอเมริกา ตั้งบ.ย่อยในชิลี

          บริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ DEXON เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทได้มีการอนุมัติให้บริษัทย่อย DEXON Technology USA Inc. จดจัดตั้งบริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี ชิลี เอสพีเอ หรือ DEXON Technology Chile SpA  ซึ่งเป็นบริษัทย่อยแห่งใหม่ในประเทศชิลี โดยบริษัทย่อยดังกล่าวให้บริการตรวจสอบระบบท่อนำส่งด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง และมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายฐานการตลาดและการให้บริการในแถบอเมริกาใต้ [PR News]

AUCT พัฒนาสาขารังสิต รองรับตลาดรถยนต์มือสอง

AUCT พัฒนาสาขารังสิต รองรับตลาดรถยนต์มือสอง

          บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT เล็งปรับโฉมสาขารังสิต-คลอง8 รองรับตลาดรถยนต์และรถจักรยานยนต์มือสองในเขตปริมณฑล ยืนยันศักยภาพบนพื้นที่ 100 ไร่ ย้ำเป็นลานประมูลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมีพื้นที่บริการ 100 ไร่ รองรับรถยนต์ได้ 7,000 คัน เร่งรีโนเวทให้ทันสมัย สะดวกสบาย และมีความหลากหลายของสินค้า พร้อมเปิดให้บริการภายในปี 2568           นายสุธี สมาธิ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีสาขาที่เป็นจุดประมูลทั้งหมด 13 แห่งทั่วประเทศ และรังสิต-คลอง8 เป็นสาขาที่มีความสำคัญอันดับ 2 รองจากสำนักงานใหญ่ เนื่องจากอยู่ใกล้กรุงเทพฯ และสามารถรองรับความต้องการซื้อ-ขายรถยนต์มือสองในเขตปริมณฑล ซึ่งมีสัดส่วนการขายประมาณ 25-30% และมีแนวโน้มว่าลูกค้าจะให้ความสนใจซื้อรถยนต์มือสองจากสาขาดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  บริษัทฯ จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาพื้นที่บริการให้มีศักยภาพทัดเทียมกับสำนักงานใหญ่ ทั้งนี้ การพัฒนาสาขารังสิต-คลอง8 จะส่งผลต่อการขยายตัวของธุรกิจในแง่ของการรองรับลูกค้าทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เพราะตั้งอยู่ชานเมืองที่ไม่ไกลลูกค้าในกรุงเทพฯ สามารถไปใช้บริการได้  นอกจากจะเป็นการเพิ่มโอกาสการซื้อการขายแล้ว ยังตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของการลงทุน เนื่องจากมีความได้เปรียบด้านต้นทุนหากเปรียบเทียบกับสำนักงานใหญ่ จึงมั่นใจว่าจะส่งผลต่อการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น           “สาขารังสิต-คลอง 8 มีพื้นที่ทั้งหมด 100 ไร่ ซึ่งถือว่าเป็นลานประมูลรถยนต์และรถจักรยานยนต์มือสองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สามารถรองรับรถยนต์ได้ประมาณ 7,000 คัน และรถจักรยานยนต์ได้ประมาณ  6,000-7,000 คัน ซึ่งถือว่าเป็นสาขาที่มีจุดเด่นด้านพื้นที่บริการ  ในอนาคตหลังจากที่มีการพัฒนาและปรับปรุงบริการต่าง ๆ แล้ว สาขารังสิต-คลอง 8 จะมีเซ็กเมนต์ของสินค้าที่มีความหลากหลายขึ้น ทั้งรถยนต์มือสองที่มีปีอายุการใช้งานน้อย รถยนต์ปีกลาง ๆ และรถยนต์ปีเก่า รถยนต์อุบัติเหตุ รถจักรกลทางการเกษตร และรถจักรยานยนต์” นายสุธีกล่าว           กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ต้องการปรับโฉมใหม่ของสาขารังสิต-คลอง8 เพื่อให้ลูกค้าที่มาใช้บริการรับรู้ได้ถึงความทันสมัย สะดวกสบาย ไม่ต่างจากการมาใช้บริการที่สำนักงานใหญ่ แต่จะโดดเด่นกว่าในเรื่องความหลากหลายของสินค้าที่มีครบทุกเซ็กเมนต์และพื้นที่บริการที่ใหญ่กว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เริ่มพัฒนาบางส่วนไปบ้างแล้ว แต่ในปีหน้ามีเป้าหมายที่จะปรับโฉมทั้งหมดของสาขารังสิต-คลอง8 ไม่ว่าจะเป็นลานประมูล จุดต้อนรับและบริการลูกค้า ให้มีความทันสมัยและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาเสร็จและพร้อมให้บริการได้อย่างเต็มรูปแบบประมาณเดือนสิงหาคม 2568           สำหรับผู้ที่สนใจการประมูลดังกล่าวติดตามข่าวสารและรายการรถยนต์ได้ที่  www.auct.co.th  หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 02-033-6555   [PR News]

88(ไทยแลนด์) ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 59.50 ล้านหุ้น เตรียมเข้า mai

88(ไทยแลนด์) ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 59.50 ล้านหุ้น เตรียมเข้า mai

          บมจ. 88(ไทยแลนด์) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม (Health & Beauty) ภายใต้แบรนด์ LYO, Hone และ ver.88 ยื่นไฟลิ่งต่อ สำนักงาน ก.ล.ต. เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 59.5 ล้านหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยแต่งตั้งบริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน พร้อมระดมทุนเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ ตามวิสัยทัศน์ ‘ก้าวสู่หนึ่งในผู้นำผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามอันดับ 1 ในเอเชีย เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน’           นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บมจ. 88(ไทยแลนด์) หรือ “88TH” ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายแบรนด์ของตนเองประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ (Hair care) แบรนด์ LYO (ไลโอ) กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนัง (Skincare) แบรนด์ Hone (โฮน) เครื่องสำอางค์ (Cosmetics) แบรนด์ ver.88 (เวอร์ 88)ได้ยื่นแบบแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ สำนักงาน ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 59.50 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 28 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ วัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ และจะเข้าซื้อขายในหมวดธุรกิจ สินค้าอุปโภคบริโภค (CONSUMP)           สำหรับหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ จำนวน 59.50 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 28 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 42.5 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 20 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Ilkano Pte. Ltd จำนวนไม่เกิน 17 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 8 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้           โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) บมจ. 88(ไทยแลนด์) จะมีทุนจดทะเบียน 212.5 ล้านบาท คิดเป็น 212.5 ล้านหุ้น จากปัจจุบันมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 170 ล้านบาท คิดเป็น 170 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาทต่อหุ้น           นางณัฐฐินี ชวนะนิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท 88(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘ผู้นำผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามอันดับ 1 ในเอเชีย เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน’ โดยมุ่งมั่นพัฒนาสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้วยการคัดสรรส่วนผสมจากธรรมชาติและใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและสามารถตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค รวมถึงมีบริษัทย่อยที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการผลิตและออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ ผ่านการรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์และให้คำแนะนำการออกแบบผลิตภัณฑ์ (OEM/ODM) เพื่อต่อยอดและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น           ปัจจุบัน บริษัทฯ ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ภายใต้ 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ (Hair care) แบรนด์ LYO (ไลโอ) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ลดผมร่วง (LYO Anti-Hair Loss) ผลิตภัณฑ์แชมพูปิดผมขาว (LYO Hair Color) และผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมจากสารสกัดสมุนไพร (LYO Herbal) 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนัง (Skincare) แบรนด์ Hone (โฮน) ได้แก่ โฮน อินเทนซีฟ โบทานี เซรั่ม และ โฮน ครีมกันแดด เป็นต้น และ3.กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบรนด์ ver.88 (เวอร์.88) ประกอบด้วย แป้งผสมรองพื้นหรือแป้งดินน้ำมัน รองพื้น บลัชเชอร์ ลิปสติก ดินสอเขียนคิ้ว อายไลน์เนอร์ ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ได้รับความเชื่อมั่นในด้านคุณภาพและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วประเทศ           ทั้งนี้บริษัทฯ ได้มุ่งเพิ่มศักยภาพการจัดจำหน่ายให้มีความแข็งแกร่งเพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ประกอบด้วย ตัวแทนจำหน่าย (Agent) ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ชั้นนำ (Modern trade) ช่องทางการสั่งซื้อที่บ้าน (Home shopping) และผ่านแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์มาร์เก็ตเพลสต่างๆ เช่น ช้อปปี้ (Shopee) ลาซาด้า (Lazada) และติ๊กต๊อกช้อป (Tiktok shop) เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าอีกทั้งยังสอดรับพฤติกรรมการซื้อสินค้าในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี           ด้านภาพรวมการดำเนินงานในปี 2564-2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 มีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 290.13 ล้านบาท 268.77 ล้านบาท  369.07 ล้านบาท และ 343.69 ล้านบาท ตามลำดับ โดย 9 เดือนแรกของปี 2567 รายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 343.09 ล้านบาท เติบโต 31.08% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 32.47 ล้านบาท  เป็นผลจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการขยายช่องทางจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมและเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น           นอกจากนี้ บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภท ซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือประกาศอื่นที่เกี่ยวข้องกำหนดไว้ [PR News]

[Gossip] TQR ลุ้นผลงาน Q4/67 โตฉ่ำ!

[Gossip] TQR ลุ้นผลงาน Q4/67 โตฉ่ำ!

          เข้าโค้งสุดท้ายแบบสวยๆ สำหรับ บมจ.ที คิว อาร์ (TQR) นายหน้าประกันภัยต่อครบวงจร โดยระยะนี้ ดูดีมีออร่า โดยเฉพาะแนวโน้มผลงาน Q4/67 ท่าทางมีแนวโน้มเติบโตแบบฉ่ำๆ! จากธุรกิจประกันภัยต่อสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล, ประกันภัยไซเบอร์ รวมทั้ง ประกันรถยนต์ไฟฟ้าที่มาแรงแซงโค้ง... ฟากบอสใหญ่ “ชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์” บอกว่า ช่วงปลายปีนี้จะเป็น Seasonal ของธุรกิจประกันภัย ทั้ง การต่ออายุประกันของผู้บริโภค ประกอบกับยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความต้องการสูง ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจประกันภัยต่อตามไปด้วย เอาเป็นว่า งานดีขนาดนี้ ผลงานทั้งปี ย่อมมีลุ้น ปรับเพิ่มขึ้นแบบฉ่ำๆ ไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นผิดหวังคร้า!!...

ABM เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่

ABM เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่

           หุ้นวิชั่น - นางสาวธิญาดา เมฆพงษ์สาทร กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย ไบโอแมส จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) หรือ ABM รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่ามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ทำรายการ วันที่ 20 – 21 พฤศจิกายน 2567 โดยรายละเอียดการจำหน่ายหลักทรัพย์ของบริษัทเป็นดังนี้ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 นางณัชปภา ควรสถาพร จำหน่ายหุ้นของบริษัทจำนวน 13,000,004 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 1.88 ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัท ผ่านการตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทโดยบริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) (“AGE”) เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 นายพนม ควรสถาพร จำหน่ายหุ้นของบริษัทจำนวน 18,145,339 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 2.62 ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัท ผ่านการตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทโดย AGE            บริษัทขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โดยสรุปดังนี้ หมายเหตุ: /1 นางณัชปภา ควรสถาพร มีความสัมพันธ์เป็นคู่สมรสของนายพนม ควรสถาพร            ทั้งนี้ การที่นายพนม ควรสถาพร และนางณัชปภา ควรสถาพร จำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัทผ่านการตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทโดย AGE ดังที่แสดงข้างต้น มีวัตถุประสงค์เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทที่ถือโดยนายพนม ควรสถาพร และนางณัชปภา ควรสถาพร ให้ต่ำกว่าร้อยละ 10.00 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้ว และสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัท เพื่อมิให้เข้าข่ายเป็นบุคคลที่อาจมีความขัดแย้งของ AGE ที่ถือหุ้นในบริษัทซึ่งจะมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ AGE ภายหลังการทำคำเสนอซื้อ โดยเป็นไปตามที่ระบุในข้อ 13 ของประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 39/2559 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ (รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติม) (“ประกาศเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่”)