หุ้น mai


WINMED คว้างานรัฐ 16ล.หนุนโค้งท้ายพองโต

WINMED คว้างานรัฐ 16ล.หนุนโค้งท้ายพองโต

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด ระบุถึง WINMED ว่า WINMED รายงานกำไรสุทธิ 3Q67 เพิ่มขึ้น 28.6% YoY ที่ 10.5 ล้านบาท ผลจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น WINMED รายงานกำไรสุทธิ 3Q67 เพิ่มขึ้น 28.6% YoY ที่ 10.5 ล้านบาท ผลจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น หักกลบผลลบของการหดตัว 1.66% YoY ของรายได้รวม ที่ 188.4 ล้านบาทเนื่องจากในช่วง 3Q66 บริษัทมีการรับรายได้ผลิตภัณฑ์ Antigen Test Kit(ATK)จ านวน 27.2 ล้านบาทแต่ 3Q67 ไม่มีรายได้นี้ ในส่วนของรายได้ในกลุ่มอื่นทั้ง กลุ่มผลิตภัณฑ์การแพทย์ซึ่งเป็นรายได้หลัก ,กลุ่มConsumer และ อื่นๆ เติบโตที่ 15.7%,15.5% และ 74.9% ตามลำดับ อัตรากำไรขั้นต้น(GPM) ไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 40.33% เพิ่มขึ้นจากระดับ 39.71% ใน 3Q67 เนื่องจากการแข็งค่าของค่าเงินบาทเมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯส่งผลบวกต่อต้นทุนนำเข้าสินค้าที่ลดลง รวมถึงบริษัทได้มีการปรับขึ้นราคาสินค้าบางประเภทที่ไม่ได้อยู่ในรายการขายสินค้าแบบติดสัญญา WINMED มองแนวโน้ม 4Q67 เติบโต YoY หนุนด้วยงานประมูลที่เพิ่มขึ้น เช่น งานเครื่องคัดแยกและเพาะเลี้ยงเซลล์ในระบบปิดอัตโนมัติ สำหรับรักษามะเร็งเลือดให้กับหน่วยงานภาครัฐมูลค่า 16 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้บริษัทได้ชนะการประมูลเครื่องเขย่าโลหิตเครื่องชั่งและเขย่าเกล็ดเลือดพร้อมระบบมาแล้วมูลค่ารวมกว่า 24.88 ล้านบาท           WINMED คว้างานรัฐ16ล.หนุนโค้งท้ายพองโตอนึ่ง “WINMED บริษัทประกอบธุรกิจเป็นผู้นำเข้า และจำหน่ายเครื่อง และชุดอุปกรณ์ สำหรับการเก็บ การตรวจวิเคราะห์ วินิจฉัย และการบำบัดรักษาทางการแพทย์โดยผ่านการนำเข้าจากผู้ผลิตต่างประเทศและ เป็นตัวแทนให้บริการด้านพันธุศาสตร์ สำหรับ การตรวจสารพันธุกรรมและความผิดปกติของทารกในครรภ์ (เช่นดาวน์ซินโดรม)”

[ภาพข่าว] PIS ปิดโรดโชว์กรุงเทพฯ  คาดเข้าเทรด mai Q1/68

[ภาพข่าว] PIS ปิดโรดโชว์กรุงเทพฯ คาดเข้าเทรด mai Q1/68

นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายนวัช ทัฬหิกรณ์ (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานการเงินและบัญชี บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) พร้อมด้วย นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ (ที่ 1 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน และนายชานนทร์ ปิยสุนทร (ที่ 1 จากขวา) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้น ถ่ายภาพร่วมกันในงานโรดโชว์ เพื่อนำเสนอข้อมูลขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO)  โดยจะทำการเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 140 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25.93 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ชำระแล้วทั้งหมด มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในไตรมาส 1 ปี 2568 โดยได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยม งานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้

TVDH เข้าลงทุน

TVDH เข้าลงทุน"มาสเตอร์ แชนแนล" รุกธุรกิจทีวี

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นางสาวจิราภรณ์ พินิจนรชัย รักษาการเลขานุการ บริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TVDH ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 บริษัท ทีวีดี ลิงค์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯถือหุ้นโดยอ้อม ในสัดส่วนร้อยละ 100.00 เข้าลงทุนซื้อและลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นสามัญ โดยมีผลวันที่ 1 มกราคม 2568 ใน บริษัท มาสเตอร์ แชนแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ในสัดส่วนร้อยละ 100.00 หรือคิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 50,000,000 บาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนในธุรกิจการแพร่กระจายเสียงหรือการแพร่ภาพ ทางวิทยุ และโทรทัศน์โดยผลิตหรือให้บริการเป็นเสียง หรือภาพ หรือเป็นข้อมูลรายการดังกล่าวไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 21/2551

SMD100 โชว์Sleep Test Unit เจาะผู้รักสุขภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการนอน

SMD100 โชว์Sleep Test Unit เจาะผู้รักสุขภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการนอน

หุ้นวิชั่น - SMD100 โชว์ "SMDX KIN-ORIGIN Sleep Test Unit" หน่วยให้บริการตรวจการนอนหลับในรูปแบบเทิร์นคีย์ (Turnkey) ขึ้นแท่นบริการตรวจการนอนหลับแบบเอกเทศแห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก แถมคว้ามาตรฐาน AACI เจาะกลุ่มผู้รักสุขภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการนอน ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นาย วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD100 เปิดเผยว่า หน่วยตรวจการนอนหลับเอสเอ็มดีเอ็กซ์ คิน-ออรอจิ้น (SMDX KIN-ORIGIN Sleep Test Unit) หน่วยตรวจตรวจการนอนหลับที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง โรงพยาบาลคิน-ออริจิน (Kin-Origin Hospital) และ บริษัท เอสเอ็มดีเอ็กซ์ จำกัด (SMDX Co., Ltd.) ในเครือ บริษัท เซนต์เมด จำกัด(มหาชน) หรือ SMD100 ซึ่ง บริษัท เอสเอ็มดีเอ็กซ์ จำกัด(SMDX Co.,Ltd.) กำลังจะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บริษัท เอสเอ็มดี สัปปายะ จำกัด (SMD Sappaya Co., Ltd.) เป็นหน่วยให้บริการตรวจการนอนหลับในรูปแบบเทิร์นคีย์( Turnkey ) ซึ่งหน่วยตรวจการนอนหลับเอสเอ็มดีเอ็กซ์ คิน ออริจิ้น(SMDX Kin-Origin Sleep Test Unit) กำลังจะเป็นหน่วยตรวจการนอนหลับแบบเอกเทศแห่งแรกในเอเซียแปซิฟิกที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน AACI สโลแกน วิสัยทัศน์และพันธกิจ สโลแกน : “Transform Sleep, Transform Life” วิสัยทัศน์ : “ศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านสุขภาพการนอนในอาเซียน ด้วยนวัตกรรมและบริการมาตรฐานสากล” (The sleep wellness leader of ASEAN with next-gen innovation and cutting-edge services) พันธกิจ : “สร้างมาตรฐานใหม่ด้านสุขภาพการนอนในอาเซียน ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย บริการคุณภาพสูง และความร่วมมือที่แข็งแกร่ง เพื่อชีวิตที่สมดุลและอนาคตที่ยั่งยืน” (Shaping the future of sleep wellness in ASEAN with innovative solutions, exceptional service, and dynamic collaborations, inspiring balanced lives and endless opportunities.) กลุ่มเป้าหมายของบริการ 1. ผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการนอนหลับ เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea) หรือภาวะนอนไม่หลับเรื้อรัง 2. กลุ่มผู้รักสุขภาพที่ต้องการตรวจคุณภาพการนอน (Sleep Quality) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการนอน 3. ผู้ใช้งานเครื่อง CPAP ที่ต้องการปรับค่าความดันให้เหมาะสม หรือซื้อเครื่อง CPAP ใหม่หรืออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม แผนพัฒนาการให้บริการด้านเวชศาสตร์การนอนหลับ 1 เพิ่มทีมแพทย์เฉพาะทาง • ขยายทีมแพทย์จากหลากหลายสาขา: • ด้านระบบทางเดินหายใจ: รักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) • ด้านประสาทวิทยา: การรักษาโรคลมหลับ (Narcolepsy) • ด้านโสต ศอ นาสิก: การรักษาภาวะหยุดหายใจจากโครงสร้างทางเดินหายใจ • ด้านจิตเวชศาสตร์: การรักษาภาวะนอนไม่หลับเรื้อรัง (Chronic Insomnia) 2 เพิ่มความพร้อมในการให้บริการ • ขยายจำนวนเตียงตรวจการนอนหลับ (Sleep Study): • รองรับผู้ป่วยได้มากกว่า 32 เตียงในอนาคต • ติดตั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น Polysomnography และอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพการนอน • เพิ่มบริการ Sleep Quality Test: • ให้บริการตรวจคุณภาพการนอนหลับสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกนอนค้างในโรงพยาบาล • ใช้อุปกรณ์ Home Sleep Test ตรวจวินิจฉัยในสภาพแวดล้อมที่ผู้ป่วยคุ้นเคย พร้อมคำปรึกษาและแผนการรักษา 3 พัฒนารูปแบบบริการครบวงจร • เพิ่มบริการ Telemedicine: • ใช้ระบบติดตามผลการรักษาผ่านออนไลน์ เช่น การปรับตั้งค่าเครื่อง CPAP • ลดการเดินทางและเพิ่มความสะดวกให้ผู้ป่วย • เสริมบริการ Wellness: • ออกแบบแผนการดูแลสุขภาพการนอนเฉพาะบุคคล • แนะนำพฤติกรรมการนอนและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดี ผลลัพธ์ที่คาดหวัง 1. เพิ่มคุณภาพการดูแลผู้ป่วย ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย 2. ขยายศักยภาพการรองรับผู้ป่วย พร้อมบริการที่ครอบคลุมทุกมิติ 3. ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มความสะดวก และสร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้ผู้ป่วย

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

“PANEL” รุกธุรกิจตกแต่งภายใน ประเดิมรับงาน PTG

“PANEL” รุกธุรกิจตกแต่งภายใน ประเดิมรับงาน PTG

         หุ้นวิชั่น - บริษัท เพเนเล่ส์มาติก โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “PANEL” เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รุกตลาดตกแต่งสำนักงานและร้านอาหาร ประเดิมรับงานกลุ่ม PTG  รวดเดียว 4 งาน พร้อมซัพพอร์ตแผนเปิดร้านกาแฟ 5000 สาขาใน 3 ปี นางจูเลีย ดับเบิ้ลยู เพ็ชญไพศิษฎ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ PANEL เผยว่า PANEL ได้วางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากธุรกิจผลิตประตูห้องผ่าตัด และผนังกันเสียงอัจฉริยะสำหรับห้องประชุมขนาดใหญ่แล้ว บริษัทฯได้รุกเข้าสู่ธุรกิจรับเหมาตกแต่งภายใน  เพื่อสร้างธุรกิจเสริมที่มีกระแสรายได้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นที่บริษัทฯขนาดใหญ่ที่มีโครงการขนาดใหญ่และต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทฯได้เป็นพันธมิตรธุรกิจกับ กลุ่ม PTG และ โดยเบื้องต้น PANEL ได้ประเดิมรับงานรับเหมาและตกแต่งภายในร้านกาแฟพันธุ์ไทยรวม 3 สาขาประกอบด้วย 1) ร้านกาแฟพันธุ์ไทยสาขาปั๊ม SUSCO อยุธยา กม.63 2) ร้านกาแฟพันธุ์ไทยสาขาตลาดถุงทอง สมุทรปราการ 3) ร้านกาแฟพันธุ์ไทยสาขาคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  โดยแต่ละสาขาใช้ระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 28 วัน โดยทาง PANEL ตั้งเป้ารับงานรับเหมาและตกแต่งภายในร้านกาแฟพันธุ์ไทยเฉลี่ยเดือนละ 10 สาขาในปี 2568 และเฉลี่ยเดือนละ 15 สาขาในปี 2569 และปี 2570 เพื่อรองรับแผนธุรกิจของทาง PTG ที่จะเปิดร้านกาแฟพันธุ์ไทยจำนวน 5000 สาขาภายใน 3 ปี นอกจากนี้ PANEL ยังได้รับงานรับเหมาปรับปรุงและตกแต่งภายใน PTG Coffee Academy & Co-Working Space ที่สำนักงานใหญ่ของ PTG อีกด้วยโดยจะเริ่มงานได้ภายในต้นปี 2568 นอกจากนี้ PANEL เตรียมเปิดสาขาที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อเป็นศูนย์กลางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และให้บริการในภาคใต้ เพื่อรองรับการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต และ จังหวัดใกล้เคียง ซึ่งมีการขยายตัวอย่างสูงและต่อเนื่อง ทั้งโครงการที่อยู่อาศัย และ โรงแรม รีสอร์ทต่างๆ รวมถึงตลาด DIY ซึ่งได้รับความนิยมมากในกลุ่มต่างชาติ โดยคาดว่าจะเปิดสาขาภูเก็ตอย่างเป็นทางการได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2568 ส่วนแผนการเปิดโรงงานใหม่งานก่อสร้างได้มีความคืบหน้าตามกำหนด และคาดว่าจะเปิดโรงงานได้ภายในไตรมาส 2 ปี 2568 ... PANEL เตรียมเกมส์รุก ขยายธุรกิจขนาดนี้  ปีหน้า ต้องมีข่าวดีมาทำให้นักลงทุนปลื้มใจอย่างแน่นอน [PR News]

[Vision Exclusive] บอร์ด PACO แจกของขวัญผู้ถือหุ้นท้ายปี

[Vision Exclusive] บอร์ด PACO แจกของขวัญผู้ถือหุ้นท้ายปี

          หุ้นวิชั่น – บอร์ด PACO แจกของขวัญผู้ถือหุ้นท้ายปี เคาะจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.05 บ.ต่อหุ้น คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 50 ล้านบาท ขึ้น XD 8 ม.ค. พร้อมเปย์ 23 ม.ค. 68 ฟากบอสใหญ่ “สมชาย เลิศขจรกิตติ” กางกลยุทธ์ปี 68 เดินหน้าเจาะ After Market ชี้ขยายตัว 15% ย่องเจรจาลูกค้าอเมริกา คาดจบดีล Q1/68           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน - บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล ประจำปี 2567 ครั้งที่ 2 ให้กับผู้ถือหุ้นสามัญของ PACO โดยคณะกรรมการบริษัท วันที่ 25 ธันวาคม 2567 อนุมัติการจ่ายปันผลเป็นเงินสด ในอัตรา 0.05 บาทต่อหุ้น มูลค่าพาร์ที่ตราไว้ 0.50 บาท และจะกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) ในวันที่ 9 มกราคม 2568 วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 8 มกราคม 2568 และจ่ายปันผลวันที่ 23 มกราคม 2568 ทั้งนี้การจ่ายปันผลมาจากงวดดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 30 กันยายน 2567 และกำไรสะสมของบริษัท สำหรับการจ่ายปันผลระหว่างกาลรอบนี้ คาดใช้เงินทั้งสิ้น 50 ล้านบาท           นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า ทิศทางธุรกิจปี 2568 คาดว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยบริษัทยังคงได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นการผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศรถยนต์ทดแทน (After Market) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ           แม้ว่าตัวเลขการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ใหม่จะมีการลดลง แต่ประเด็นดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ PACO เนื่องจากบริษัทให้ความสำคัญกับกลุ่ม After Market เป็นหลัก ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าในกลุ่มอเมริกา และคาดว่าจะสามารถสรุปออเดอร์ได้ภายในไตรมาส 1/2568           บริษัทประเมินว่าในปี 2568 กลุ่ม After Market จะขยายตัว 15% โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาและตะวันออกกลาง ซึ่งคาดว่าจะมีการเติบโตที่โดดเด่น แม้ว่าจะมีภาวะสงครามในบางพื้นที่ แต่คาดว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทสามารถส่งมอบสินค้าและขยายฐานลูกค้าในทั้งสองตลาดได้อย่างต่อเนื่อง           สำหรับตัวเลขการเติบโตในปี 2568 บริษัทขอดูผลการดำเนินงานในปี 2567 ก่อนที่จะกำหนดเป้าหมายการเติบโตที่ชัดเจน แต่คาดว่าอัตราการเติบโตในปี 2568 จะเป็นไปในทิศทางที่ดี ขณะเดียวกัน ตัวเลข Backlog ปัจจุบันอยู่ที่ 400 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปี 2568 อย่างมีนัยสำคัญ           นายสมชาย กล่าวต่อว่า บริษัทวางแผนลงทุนในเครื่องจักรออโตเมชั่นมูลค่า 50 ล้านบาท เพื่อลดการพึ่งพากำลังคนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยการลงทุนในเครื่องจักรออโตเมชั่นนี้จะเป็นแผนการลงทุนระยะเวลา 3 ปี เริ่มต้นในปี 2568 ซึ่งคาดว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละ 15-20% เพื่อตอบรับความต้องการของตลาดอเมริกาที่กำลังอยู่ในช่วงขยายตัว รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[ภาพข่าว] “KJL” ยกระดับเพิ่มผลิตภาพสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry)

[ภาพข่าว] “KJL” ยกระดับเพิ่มผลิตภาพสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry)

          บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ได้รับการยกระดับเป็น “อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry)” ระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System) จากกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งแสดงถึงการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ มีการติดตามประเมินผล และทบทวนเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการดำเนินธุรกิจย่อมมีการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการจัดการการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้คุ้มค่าที่สุดและทำให้ผลเสียจากการดำเนินธุรกิจส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งอาจประเมินได้จากการใช้ตัวชี้วัดในด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการสร้างของเสีย ลดการปล่อยมลพิษ การลดการใช้กระดาษ การลดพลังงานไฟฟ้า การรีไซเคิล การประหยัดพลังงาน           “อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) คือ อุตสาหกรรมที่ยึดมั่นในการปรับปรุงกระบวนการผลิตและการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องเพื่อการประกอบกิจการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกับยึดมั่นในการประกอบกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งภายในและภายนอกองค์กร ตลอดห่วงโซ่อุปทานเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน”           ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดระดับของอุตสาหกรรมสีเขียวไว้ทั้งหมด 5 ระดับ คือ ระดับที่ 1 ความมุ่งมั่นสีเขียว (Green Commitment), ระดับที่ 2 ปฏิบัติการสีเขียว (Green Activity), ระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System), ระดับที่ 4 วัฒนธรรมสีเขียว (Green Culture) และระดับที่ 5 เครือข่ายสีเขียว (Green Network)

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

KTMS เดินหน้าธุรกิจ เร่งสร้างโอกาสการเติบโตอย่างมั่นคง

KTMS เดินหน้าธุรกิจ เร่งสร้างโอกาสการเติบโตอย่างมั่นคง

           หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ - บมจ.เคที เมดิคอล เซอร์วิส หรือ KTMS ยืนยันทีมผู้บริหารกอดหุ้นแน่น ระบุไม่ทราบสาเหตุหุ้นปรับตัวลดลง ชี้นักลงทุนไม่ต้องกังวล ย้ำช่วงนี้เป็นจังหวะที่เหมาะทยอยซื้อเข้าพอร์ต มั่นใจปี 67 พื้นฐานธุรกิจแกร่งการตั้งเป้ารายได้การเติบโต แตะ 600 ล้านบาทตามแผน พร้อมประกาศเดินหน้าปี 68 เล็งขยายสาขาศูนย์ให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเพิ่ม 5-11 แห่ง หวังรองรับจำนวนผู้ป่วยโรคไตเพิ่มต่อเนื่องเฉลี่ย 15% ต่อปี หนุนรายได้ปีหน้าเติบโต 30 %            นางสาวกาญจนา พงศ์พัฒนะเดชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ KTMS เปิดเผยว่า จากกรณีที่ราคาหุ้น KTMS ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากแรงเทขายของกลุ่มนักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไรในหุ้น ขณะที่ทีมผู้บริหารของ KTMS ออกมายืนยันว่าไม่มีการขายหุ้นออกมาอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่อยากให้นักลงทุนมีความกังวลกับราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากการดำเนินธุรกิจยังคงเป็นไปตามแผนไม่มีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้ง ยังมองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน และเป็นช่วงที่มี Free Float ในช่วงที่ราคาหุ้นต่ำที่สุดตั้งแต่ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ            “บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจเป็นหลัก และพร้อมเดินหน้าขยายสาขาตามแผนที่วางไว้ เพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยที่รอเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงไม่มีความกังวลต่อกรณีที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลง เนื่องจากบริษัทฯ มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และพร้อมจะเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยในปัจจุบัน KTMS ถือเป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตของรายได้ Aggressive ที่สุดในธุรกิจฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม”            สำหรับในปี 2568 นั้น บริษัทฯ มองว่าจำนวนผู้ป่วยที่รอรับการรักษาการฟอกเลือด ยังคงเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 15% ต่อปี จากจำนวนผู้สูงอายุในประเทศไทยที่มีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้จำนวนคนไข้โรคไตเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยคนไข้โรคไตในระยะแรกจะเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และหากคนไข้ดูแลรักษาสุขภาพไม่ดี จะเข้าสู่ระยะที่ 5 อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจากกรณีดังกล่าว ส่งผลให้ KTMS จึงต้องเร่งขยายศูนย์ให้บริการ ฟอกเลือดฯ แห่งใหม่ๆ ในปี 2568 เพิ่มอีกประมาณ 5 -11 แห่ง ซึ่งจะทำให้มีสาขาเพิ่มเป็น 38-44 สาขา จาก ณ.สิ้นเดือน พ.ย.67 อยู่ที่ 33 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อรองรับกับจำนวนผู้คนที่สูงขึ้น             “KTMS มุ่งเน้นการขยายสาขาและเพิ่มเครื่องไตเทียมให้กระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อให้บริการที่ครอบคลุมทั้งในภาคเหนือ, ภาคใต้, ภาคอีสาน และภาคกลาง รวมถึงในเขตเมือง และ             ในเขตอำเภอ เพื่อให้ใกล้ผู้ป่วยมากที่สุด โดยจากแผนการขยายธุรกิจดังกล่าวทำให้บริษัทฯ คาดว่ารายได้รวมในปี 2567 ของ KTMS แตะระดับ 600 ล้านบาท และพร้อมก้าวสู่หนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมแบบ One-stop Services ระดับ TOP 3 ตามเป้าหมายที่วางไว้” [PR News]

JSP ปี 68 เทรนด์ Lifestyle Medicine หนุนตลาดอาหารเสริมไทยโต 15 %

JSP ปี 68 เทรนด์ Lifestyle Medicine หนุนตลาดอาหารเสริมไทยโต 15 %

           หุ้นวิชั่น - นายพิษณุ แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานขายและการตลาด บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JSP) ผู้ให้บริการด้านสุขภาพอย่างครบวงจร ผู้นำการรับจ้างผลิต (OEM) ยาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับคนและสัตว์ และผลิตภัณฑ์ Own Brand เปิดเผยว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งรวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิตามิน และเครื่องดื่ม ในประเทศไทย มีมูลค่าการตลาดมากกว่า 1 แสนล้านบาท โดยการเติบโตของผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด -19 อย่างไรก็ตามหลังจากที่การระบาดคลี่คลายลงแล้วแต่แนวโน้มการเติบโตของสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะหลังจากเกิดการตื่นตัวด้านการดูและสุขภาพในช่วงที่มีการระบาด ทำให้ไลฟ์สไตล์ของผู้คนเปลี่ยนไป เนื่องจากตระหนักถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพว่าสุขภาพของหลายๆคนเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น จึงเกิดเป็นพฤติกรรมที่ขยายไปสู่วงกว้างในสังคม            อย่างไรก็ดีแม้ว่าเทรนด์การใส่ใจสุขภาพและการปรับพฤติกรรมจะสร้างการรับรู้ให้คนทั่วโลกมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ในปี 2568 เทรนด์การใส่ใจสุขภาพจะยังคงเติบได้รับความสนใจต่อเนื่อง โดยเฉพาะการได้รับการสนับสนุนจาก 3 ปัจจัยดังนี้ 1. Lifestyle Medicine (วิถีชีวิตบำบัด หรือ เวชศาสตร์วิถีชีวิต) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันโดยการร่วมมือระหว่างแพทย์และคนไข้ ตั้งแต่การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด การนอนหลับ การเลิกสูบบุหรี่ การเข้าสังคม เพื่อส่งเสริมสุขภาพ ป้องกัน หรือกระทั่งรักษาโรคซึ่งเป็นการบำบัดที่สาเหตุ ถือเป็นการบำบัดแบบใหม่ที่สามารถป้องกัน ลดความเสี่ยง และลดการใช้ยาลงได้ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน โดย Lifestyle Medicine กำลังเป็นเทรนด์ที่ผู้คนให้ความสนใจ และส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีวัตถุดิบจากสารสะกัดจากธรรมชาติได้รับความสนใจไปพร้อมๆกัน 2. ราคายาแผนปัจจุบันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10% ตามราคาต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น 10 – 20% ส่งผลให้ การหันมาปรับพฤติกรรมการกิน ผ่านการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่น น้ำมันงาดำ น้ำมันรำข้าว และซูเปอร์ฟู้ดที่ให้พลังงานสูง เช่น ไข่ผำ เป็นต้น ซึ่งการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันจะทำให้ลดการใช้ยาหรือใช้ยาเมื่อจำเป็นเท่านั้น 3. การเข้าถึงบริการทางด้านสาธารณะสุขที่ใช้เวลานานขึ้น ทำให้ผู้คนเริ่มหันมาดูแลตัวเองแม้ว่าจะมีความกำลังซื้อในการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์แต่ไม่ต้องการเสียเวลาในการรอคอยเพื่อเข้าถึงบริการ จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ            จากปัจจัยสนับสนุนทั้ง 3 ด้านนี้ JSP คาดว่า ปี 2568 ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพจะเติบโตประมาณ 10 – 15% นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มคนวัยทำงาน อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป เริ่มให้ความสำคัญกับการเลือกหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ จากเดิมที่พบว่ายอดขายส่วนใหญ่จะมาจากกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป จึงทำให้ตลาดขยายตัวไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น และคาดว่าภายใน 5 ปีสัดส่วนยอดขายในกลุ่มวัยทำงานจะเติบโตเทียบเท่ากลุ่มวัย 60 ปีขึ้นไป [PR News]

JPARK ปี68สดใส แนะนำ

JPARK ปี68สดใส แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 6.80 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง JPARK ว่า แนะนำ "ซื้อ" JPARK ราคาเหมาะสม 6.80 บาท "คาด4Q67 จะฟื้นตัวได้" กำไรปกติ 3Q67 หดตัว QoQ และ YoY: ผลประกอบการ 3Q67 มีรายได้จากการให้บริการ 122 ล้านบาท ลดลง -16% QoQ และ -14% YoY โดยมีผลมาจากรายได้จากธุรกิจให้คำปรึกษาและรับติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (CIPS) เนื่องจากงานโครงการรถไฟฟ้า Smart Parking Management System และ Guidance System ที่บริษัทได้รับสัญญาจ้างมาช่วงกลางปี 66 ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตาม Percentage of Completion โดยความก้าวหน้าของขั้นความสำเร็จของงานใน 3Q67 ของโครงการรับรู้รายได้น้อยลง เนื่องจากอยู่ในช่วงใกล้จบโครงการ (ส่วนท้ายของ S-Curve) สำหรับอัตรากำไรขั้นต้น 22.4% ลดลงจาก 30.1% ในไตรมาสก่อน และ 24.9% ใน 3Q66 โดยสาเหตุของการลดลงของกำไรขั้นต้นส่วนใหญ่มาจากกำไรขั้นต้นของธุรกิจ CIPS ที่มีอัตราความสำเร็จที่ลดลง คงคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 68 เท่ากับ 6.80 บาท: คาดว่าผลประกอบการใน 4Q67 จะฟื้นตัวได้จากการรับรู้รายได้โครงการอาคารที่จอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเต็มไตรมาส และพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์อีกกว่า 1,000 ตารางเมตร ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าที่เหมาะสมด้วยวิธี P/E Ratio โดยอิงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ของหุ้นที่ทำธุรกิจผู้ให้บริการที่จอดรถที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นและตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ ได้ PER เฉลี่ยที่ 23.4 เท่า ใช้สมมติฐานกำไรต่อหุ้นปี 68 ที่ 0.29 บาท ได้ราคาที่เหมาะสมปี 68 ที่ 6.80 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” ในช่วงท้ายใกล้จะจบโครงการ นอกจากนี้บริษัทมีกำไรพิเศษจากการให้เช่าช่วงจำนวน 95 ล้านบาท จากการที่บริษัทได้ให้เช่าช่วงพื้นที่อาคารจอดรถเพื่อนำไปพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 3Q67 เท่ากับ 91.5 ล้านบาท โดยหากตัดรายได้พิเศษดังกล่าวจะมีกำไรปกติ 12 ล้านบาท ลดลง -54% QoQ และ -45% YoY โดยกำไร 9M67 อยู่ที่ 63 ล้านบาท +26% YoY คิดเป็น 66.3% ของประมาณการทั้งปีของเรา

abs

Hoonvision

เครื่องดื่มปี 68 แตะ 2.29 แสนล. TACC ไฮซีซั่นหนุน-เป้า 7.58บ.

เครื่องดื่มปี 68 แตะ 2.29 แสนล. TACC ไฮซีซั่นหนุน-เป้า 7.58บ.

          หุ้นวิชั่น – Kresearch ยอดขายของเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ปี 68 ที่ 2.29 แสนล้านบาท โต 3.3% ท่องเที่ยวทยอยฟื้น อากาศร้อนหนุน ชู TACC แนวโน้ม Q4 สดใส ไฮซีซั่นหนุน ปรับกำไรทั้งปี 67 ขึ้นจากเดิม 8% มาอยู่ที่ระดับ 256 ล้านบาท           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) ยอดขายของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ปี 2568 คาดจะอยู่ที่ 2.29 แสนล้านบาท โต 3.3% จากปี ก่อน จากการท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัว สภาพอากาศที่ร้อนและการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ทั้งนี้ เครื่องดื่มฟังก์ชันนัล เป็นสินค้าที่มีแนวโน้มโตสูงกว่าภาพรวมตลาด และน่าจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม           มูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย ปี 2568 คาดจะอยู่ที่ 1,705 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โต 2.1% จากปี ก่อน จากการฟื้นตัวของคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่า 67% ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดศักยภาพใหม่อาทิ มาเลเซีย สหรัฐฯ ยังเติบโตต่อเนื่อง           แนวโน้มตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศ 2 ปี 2568 คาดว่า ยอดขายของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อยู่ที่ 2.29 แสนล้านบาท  ขยายตัว 3.3% จากหลายปัจจัยหนุน           ยอดขายเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศปี 2568 แม้คาดว่าจะขยายตัว 3.3% แต่เป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (CAGR ปี2565-2567) ที่โตเฉลี่ย 4.7% ต่อปีจากการบริโภคของผู้บริโภคที่ยังได้รับแรงกดดันจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่และค่าครองชีพยังสูง โดยแนวโน้มตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในปี 2568 มีกลุ่มสินค้าที่น่าสนใจ ดังนี้ ยอดขายน้ำอัดลมและน้ำดื่มบรรจุขวด คาดว่าจะขยายตัว 2.6% และ 4.8% ในปี 2568 ชะลอตัวลงจากปี 2567           ตลาดน้ำอัดลมและน้ำดื่มบรรจุขวด มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 55% ของยอดขายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ทั้งหมด โดยปัจจัยที่หนุนให้ตลาดโต ส่วนหนึ่งมาจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น สะท้อนจากปี2566 ที่อุณหภูมิสูงสุดพุ่งไปถึง 44.6องศาเซลเซียส สอดคล้องกับผู้ประกอบการในธุรกิจที่ระบุว่าสภาพอากาศร้อนเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าในกลุ่มนี้           นอกจากนี้ การท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัว น่าจะหนุนการบริโภคเครื่องดื่มกลุ่มนี้มากขึ้น จะเห็นว่า สัดส่วนมูลค่าการใช้จ่ายเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 8% เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่6% ของมูลค่าการใช้จ่ายเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ทั้งหมด ยอดขายเครื่องดื่มฟังก์ชั่นนัลในปี 2568 คาดว่าขยายตัว 7% ซึ่งสูงกว่าภาพรวมการเติบโตของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์           แม้ว่ายอดขายเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลจะยังมีส่วนแบ่งตลาดที่น้อย แต่ก็มีทิศทางการเติบโตที่เพิ่มขึ้น จาก 5% ในปี 2563 เพิ่มเป็น 7% ในปี 2568 โดยมีปัจจัยหนุนจากการใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคและความต้องการเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เจาะจงขึ้น เช่น ลดปัญหาการนอนไม่หลับ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จะเห็นว่าผู้ประกอบการหลายราย ทั้งที่อยู่ในธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และนอกธุรกิจอาทิ โรงพยาบาล อาหาร เคมีภัณฑ์ เป็นต้น หันมาทำตลาดหรือแตกไลน์สินค้าใหม่ๆ ในเครื่องดื่มประเภทนี้มากขึ้น เพราะเห็นโอกาสของตลาดที่เติบโตสูงกว่าเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ การแข่งขันของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศ           ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เสี่ยงแข่งขันรุนแรงขึ้น ทั้งผู้เล่นในประเทศที่มีมากราย รวมถึงสินค้านำเข้าที่เข้ามาตีตลาดเพิ่ม           ปัจจุบันมีผู้เล่นเข้ามาในตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมากหรือกว่า 2,342 ราย (เฉพาะนิติบุคคล) ส่งผลให้ตลาดมีการแข่งขันรุนแรง ด้วยสินค้าที่มีหลากหลาย Segment ขณะที่สินค้านำเข้าก็มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ปี 2564-2566(ในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ) โตกว่า 8.4% ต่อปี           ด้วยการแข่งขันที่รุนแรง และมีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดต่อเนื่อง Life-cycle สินค้าก็สั้นลงจำเป็นต้องอาศัยทำการตลาดและโฆษณา เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และจูงใจหรือกระตุ้นให้เกิดการบริโภค สอดคล้องกับข้อมูลล่าสุด ที่พบว่าอาหารและเครื่องดื่มยังคงใช้เม็ดเงินในการโฆษณามากที่สุดเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ นอกจากนี้ การที่ผู้ประกอบการหลายรายมีแผนมุ่งกระจายสินค้าสู่ตลาด B2B ทั้งร้านอาหารและเครื่องดื่ม โรงพยาบาล โรงแรม หรืองานสัมมนาต่างๆ ก็ส่งผลให้การแข่งขันผ่านช่องทางดังกล่าวมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น แนวโน้มการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย           ปี 2568 คาดว่า ไทยส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 1,705 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 2.1%จากการฟื้นตัวของตลาดหลัก CLMV           มูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตต่ำหรือราว 2.1% เมื่อเทียบ 10 ปีก่อน ที่เติบโตเฉลี่ย 6.0% ต่อปี (CAGR ปี 2558-2566) จากกำลังซื้อของผู้บริโภคในกลุ่มประเทศคู่ค้าหลักอย่าง CLMV ที่ระมัดระวังกับการใช้จ่ายมากขึ้น จากความเสี่ยงของแต่ละประเทศที่มีอยู่ อาทิ ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ในกัมพูชาและเวียดนาม ระดับเงินเฟ้อของ สปป.ลาวที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงสถานการณ์การเมืองในเมียนมา เป็นต้น กลุ่มประเทศ CLMV ยังเป็นตลาดศักยภาพสำหรับการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย คิดเป็นสัดส่วนรวมกันกว่า 67%           การส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยที่เพิ่มขึ้นในปี 2568 ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักที่ทยอยฟื้นตัว ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดศักยภาพใหม่ๆ เช่น มาเลเซีย สหรัฐฯ           คาดว่าจะโตต่อเนื่อง จากการเข้าไปลงทุนหรือท าการตลาดเพิ่มเพื่อขยายฐานลูกค้า เช่น ในมาเลเซีย ผู้ประกอบการไทยร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ขยายช่องทางการจำหน่าย ขณะที่สหรัฐฯ ความต้องการเครื่องดื่ม ไม่มีแอลกอฮอล์คาดว่าจะโตเฉลี่ย 4.9% ต่อปี (CAGR ปี 2565-2573) ส่งผลให้ยังมีโอกาสส่งออกได้เพิ่มโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ไทยมีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ อาทิ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมจากผลไม้อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยบางส่วนได้ขยายฐานการผลิตไปยังกลุ่มประเทศ CLMV มากขึ้น ทำให้คาดว่า ระยะต่อไปมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากฐานการผลิตไทยอาจทยอยลดลง แต่ไปเพิ่มยอดขายจากฐานการผลิตในต่างประเทศ สะท้อนจาก สัดส่วนการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยไปกลุ่มประเทศ CLMV ที่ทยอยลดลงจาก 76% ในปี 2561 ปรับลงมาอยู่ที่ 67% ในปี 2567 น้ำดื่มบรรจุขวดและเครื่องดื่มชูกา ลัง สินค้าส่งออกศักยภาพที่มีแนวโน้มเติบโตดีในตลาดหลัก CLMV           การส่งออกน้ำดื่มบรรจุขวด ปี 2568 คาดว่า จะยังคงขยายตัวจากความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำดื่มสะอาดและได้มาตรฐานในกลุ่มประเทศ CLMV ที่ยังเพิ่มขึ้น ขณะที่การส่งออกเครื่องดื่มชูกำลัง น่าจะได้รับแรงหนุนจากประชากรแรงงานที่มีอยู่ราว 113 ล้านคน หรือคิดเป็น 63% ของประชากรทั้งหมดในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งไม่เพียงเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้แรงงาน แต่มีการปรับภาพลักษณ์ของสินค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ อาทิ กลุ่มพนักงานออฟฟิศ กลุ่มลูกค้าในตลาดอีสปอร์ต เป็นต้น การแข่งขันของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในตลาดส่งออก           เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยเสี่ยงแข่งขันรุนแรงขึ้น ทั้งกับสินค้าท้องถิ่นและสินค้านำเข้าจากคู่แข่งโดยเฉพาะจีน ที่มีราคาถูกกว่า การส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย นอกจากผู้ประกอบการไทยจะมีการกระจายฐานการผลิตไปยังตลาดคู่ค้าหลักอย่างกลุ่มประเทศ CLMV แล้ว ยังต้องเสี่ยงแข่งกับสินค้าท้องถิ่นหรือสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศที่มีราคาต่ำกว่า เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำผลไม้ ชาพร้อมดื่ม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังเจอการแข่งขันกับคู่แข่งที่มีความได้เปรียบด้านราคาโดยเฉพาะจีน แม้ว่ากลุ่มประเทศ CLMV จะยังนำเข้าเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากไทยมากที่สุดหรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 67% แต่การนำเข้าจากจีนแม้จะมีสัดส่วนเพียง 2% ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเวียดนามและกัมพูชาสะท้อนจาก ปี 2566 เวียดนามมีมูลค่านำเข้าเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากจีนเพิ่มขึ้น 4 เท่า และกัมพูชา มีมูลค่านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 2564 ดังนั้น จีนน่าจะเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในตลาดอาเซียน ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ไทย ต้นทุนการผลิตปี 2568 มีแนวโน้มปรับสูงขึน้ โดยเฉพาะน้ำตาลทราย ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในเกือบทุก Segment ซึ่งคาดว่าราคาจะยังยืนสูงจากสภาพอากาศที่แปรปรวนกระทบกับผลผลิต รวมถึงบรรจุภัณฑ์ทั้งกระดาษ กระป๋ องและพลาสติกที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น อาจส่งผลต่อต้นทุนและกำไรของธุรกิจ ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในปี 2566-2567 จะอยู่ที่ 20-30% แต่ในปี 2568 กำไรจะมากหรือน้อย ยังคงขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการต้นทุน การปรับราคาและการแข่งขันของธุรกิจ อัตราภาษีความหวานที่จะปรับขึ้นเดือนเมษายน ปี 2568 ซึ่งเป็นระยะที่ 4 ที่จัดเก็บภาษีเต็มขั้นจะกระทบต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดื่มชูกำลัง เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูงเฉลี่ยอยู่ที่7.74-14.04 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นราว 1-5 บาท แตกต่างตามปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ขณะที่การปรับขึ้นราคาทำได้จำกัด เนื่องจากสินค้าแข่งขันรุนแรงอาจส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อหรือเปลี่ยนแบรนด์ของผู้บริโภค ทำให้ผู้ประกอบการบางรายอาจต้องหาแนวทางบริหารจัดการต้นทุนส่วนอื่น เพื่อชดเชยแทนการปรับขึ้นราคา ยอดขายของแต่ละผลิตภัณฑ์เปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับเทรนดผู้บริโภคในแต่ละช่วง ขณะที่จำนวนประชากรไทยที่มีแนวโน้มลดลง อีกทั้ง Life-cycle ของสินค้าก็สั้นลง ความภักดีต่อแบรนด์ลดลงดังนั้น การเพิ่มความถี่หรือการเพิ่มมูลค่าในการดื่มต่อครั้งเพื่อที่จะรักษายอดขาย จึงเป็นความท้าทายของธุรกิจเพราะสินค้าแต่ละตัวมีความสามารถในการทำยอดขายได้แตกต่างกัน ผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ OSP CBG HTC SSC TIPCO MALEE COCOCO PLUS TACC LST ICHI SAPPE           ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) TACC หรือ บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) แจ้งกำไรสุทธิ Q3/67 ที่ 61 ล้านบาท (+19% Y-Y , -12% Q-Q) เทียบกับปีก่อนยังเติบโตได้ดีตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและการขยายสาขาของ CPALL ที่ยังมีอย่างต่อเนื่องส่วนเทียบกับ Q2/67 การลดลงเป็นผลตามฤดูกาลเพราะเข้าสู่ช่วงหน้าฝน แต่สิ่งที่ดีคือกำไรขั้นต้นยังรักษาระดับ 33% ไว้ได้แม้รายได้จะลดลง 3% Q-Q ก็ตาม โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการช่วง Q4/67 จะกลับมาเติบโตได้อีกจากการเข้าสู่ช่วง High Seasons ของการท่องเที่ยว           ทั้งนี้กำไรทั้งปีที่ประเมินที่ 237 ล้านบาท (+15% Y-Y) อาจจะเป็นระที่ดิบที่ต่ำไป ฝ่ายวิเคราะห์จึงมีโอกาสที่จะปรับประมาณการเพิ่มในอนาคต จากแนวโน้มข้างต้น ฝ่ายวิเคราะห์จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” เช่นเดิม           TACC กำไรสุทธิ Q3/67 ที่ 61 ล้านบาท (+19% Y-Y , -12% Q-Q) เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนยังเติบโตดีตามการเปิดสาขาของ 7-11 และภาคการท่องเที่ยวเติบโตดี ส่วนเทียบกับ Q2/67 ลดลงตามผลของฤดูกาล ส่วนรายได้ 481 ล้านบาท (+13% Y-Y , -3% Q-Q) มีปัจจัยบวกจากการเปิดสาขาใหม่ของ CPALL ที่มีอีกประมาณ 180 สาขา ในไตรมาสที่ผ่านมา รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นที่ 33% ใกล้เคียงกับปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้าถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี แม้ว่าต้นทุนจะปรัตวเพิ่มขึ้น แต่บริษัทรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรได้ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 86 ล้านบาท (+14% Y-Y , +3% Q-Q) เพิ่มขึ้นส่วนของค่าใช้จ่ายในการบริหารจากการปรับเงินเดือน และการปรับปรุงโรงงานทำให้มีการบันทึกค่าใช้จ่ายส่วนของการผลิตมาเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหาร รวมแล้วใน 9 เดือนแรกปี 67 TACC มีกำไรสุทธิ 191 ล้านบาท (+29% Y-Y) คิดเป็นสัดส่วน 81% ของกำไรสุทธิทั้งปีที่ฝ่ายวิเคราะห์ที่ 237 ล้านบาท           แนวโน้มช่วง Q4/67 คาดว่าผลประกอบการจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกทั้งจากการเข้าสู่ช่วง  High Seasons ของการท่องเที่ยว รวมกับการขยายสาขาที่ยังมีอย่างต่อเนื่องทั้งของ 7-11 และร้านกาแฟพันธุ์ไทย นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากลิขสิทธิ์ตัวละครใหม่จากทางวิธิตา เอนิเมชั่น เพิ่มทำให้มีการโอกาสขยายตลาดได้อีกทาง           จากกำไร 9 เดือนแรกปี 67 ที่คิดเป็นสัดส่วน 81% ของกำไรทั้งปีที่ 237 ล้านบาท ที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดไว้ ขณะที่แนวโน้มช่วง Q4/67 ยังคงดูดีจากเหตุผลข้างต้น ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับกำไรทั้งปีขึ้นจากเดิม 8% มาอยู่ที่ระดับ 256 ล้านบาท ทั้งนี้ความเสี่ยงที่ต้องติดตามคือต้นทุนกาแฟว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่

[Vision Exclusive] เคาะค่าแรง 380บ. บิ๊ก CRD รับมือไหว!

[Vision Exclusive] เคาะค่าแรง 380บ. บิ๊ก CRD รับมือไหว!

          หุ้นวิชั่น - เคาะค่าแรง 380 บาท ในจังหวัดเชียงใหม่ บิ๊กบอส CRD "ธีรพัฒน์ จิรพิพัฒน์" ลั่นอัตราค่าแรงขั้นต่ำเริ่ม 1 ม.ค.68 ไม่กระทบ เล็งปรับแผนสอดคล้องต้นทุน ส่งซิกผลงานปี 68 เฉิดฉาย คาดรายได้แตะพันล้านบาท จับตามาร์จิ้นฟู ตุน Backlog 500 ล้านบาท           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน  บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บอร์ดไตรภาคีเคาะปรับขนค่าแรงเฉลี่ย +3% เป็น 337-400 บาท มีผล 1 ม.ค. 2025 ที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้างเมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.) เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2025 ให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มในอัตราวันละ 7-55 บาท (เฉลี่ย +2.9%) โดยมีอัตราสูงสุดวันละ 400 บาท และอัตราต่ำสุดวันละ 337 บาท ดังนี้ กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ใน 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ ได้แก่ จ.ภูเก็ต ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 380 บาท ใน อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นอัตราวันละ 372 บาท ในเขตท้องที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 6 จังหวัด (เพิ่มขึ้น +2.5%) กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 67 จังหวัดที่เหลือให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้น +2%           ด้านนายธีรพัฒน์ จิรพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่ริมดอย จำกัด (มหาชน) หรือ CRD ผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคาร สิ่งปลูกสร้างทั่วไป และงานระบบสาธารณูปโภค จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า บริษัทไม่กังวลต่อการประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 โดยอัตราค่าจ้างที่บริษัทจ่ายให้กับพนักงานในปัจจุบันมีอัตราสูงกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่กำหนดไว้           ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมแผนการปรับตัวให้สอดคล้องกับต้นทุนใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า (ปี68) โดยจะปรับแผนการรับงานให้เหมาะสมกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ 380 บาท เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ           ในปี 2568 บริษัทจะเดินหน้าธุรกิจต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับพันธมิตร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ORN ซึ่งคาดว่าจะมีงานก่อสร้างเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 900-1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าอัตรากำไร (มาร์จิ้น) ในปี 2568 จะดีกว่าปี 2567 เนื่องจากโครงการที่ขาดทุนในปีที่ผ่านมาได้ดำเนินการเสร็จไปมากแล้ว และคาดว่าแนวโน้มมาร์จิ้นจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2568 เป็นต้นไป           ขณะที่ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) ธุรกิจก่อสร้างมูลค่ารวม 500 ล้านบาท แบ่งเป็นงานราชการและงานใหม่มูลค่า 300 ล้านบาท และงานเดิมอีก 200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้จากงานดังกล่าวในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ของปี 2568 ตามแผนการดำเนินงาน รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[ภาพข่าว] ผถห. PLANET ไฟเขียวเพิ่มทุน-แจกวอร์แรนต์ 3:1

[ภาพข่าว] ผถห. PLANET ไฟเขียวเพิ่มทุน-แจกวอร์แรนต์ 3:1

          ดร.รัตติกร วรากูลศิริพันธุ์ (ที่ 5 จากซ้าย) ประธานกรรมการ คุณประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ (ที่ 3 จากขวา) รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะกรรมการ บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANET ถ่ายภาพร่วมกันในงานประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 โดยผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติเพิ่มทุน 386.44 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท/หุ้น  เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ PLANET-W2 แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ในอัตราส่วน 3 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุน ในราคาหุ้นละ 2 บาท โดยการเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกลุ่มบริษัท รองรับการดำเนินงานปกติในธุรกิจหลัก ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง รวมถึงการต่อยอดและขยายธุรกิจ

PIS ปิดฉากโรดโชว์ นลท.มั่นใจศักยภาพเติบโต

PIS ปิดฉากโรดโชว์ นลท.มั่นใจศักยภาพเติบโต

          หุ้นวิชั่น - บมจ.โปร อินไซด์ (PIS) ผู้นำเทคโนโลยีอัจฉริยะ สุดปลื้ม! โรดโชว์หัวเมืองใหญ่ 3 จังหวัด “ขอนแก่น-หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา-กรุงเทพฯ” ประสบความสำเร็จ  ขณะที่ “สยาม อัลฟา แคปปิตอล” ที่ปรึกษาทางการเงิน ระบุนักลงทุนมั่นใจศักยภาพการเติบโตของ PIS จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทีมงานมืออาชีพมีความเชี่ยวชาญในโซลูชั่น ฟากผู้บริหาร “เบญญาภา เฉลิมวัฒน์” หวังนำเงินระดมทุนใช้ขอออกหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee : LG) ให้กับงานโครงการและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รองรับแผนประมูลงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ดันผลงานในช่วง 1-3 ปีข้างหน้าโตก้าวกระโดด พร้อมโชว์รายได้ 9 เดือนปี 67 กว่า 988.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.38% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิ 67.88  ล้านบาท           นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) เปิดเผยว่า ผลการนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ต่อนักลงทุนที่จังหวัดขอนแก่น,หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 18-19 และ 24 ธ.ค.2567 ที่ผ่านมา  ปรากฏว่า นักลงทุนทุกจังหวัดให้การตอบรับเป็นอย่างดีเยี่ยม จากพื้นฐานการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้นำเทคโนโลยีอัจฉริยะ ที่นำเสนอโซลูชั่นไอทีที่มีคุณภาพ ให้บริการด้วยทีมงานมืออาชีพ มีความเชี่ยวชาญ โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ มาโดยตลอด อีกทั้งตลาดมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก มีการเปิดประมูลงานใหม่ต่อเนื่องทุกปี จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ยกระดับประเทศ เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน โดยบริษัทฯอยู่ระหว่างเตรียมกำหนดวันเสนอขายหุ้น IPO และคาดว่าจะนำ PIS เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)  ภายในไตรมาส 1/2568           PIS ผู้นำธุรกิจเทคโนโลยีอัจฉริยะ เป็นผู้ให้บริการออกแบบ พัฒนา ติดตั้ง และบำรุงรักษาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร (ICT-Solutions) โดยแบ่งกลุ่มธุรกิจ เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1.งานระบบรักษาความปลอดภัยทางกายภาพแบบครบวงจร (Physical Security Solution) อาทิ ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV Solution) ,ระบบอ่านป้ายทะเบียนรถ , 2.งานแอปพลิเคชันด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร (ICT Application Solution) , 3.งานบริการระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Integration Services) ครอบคลุมการบริการ จัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์รวมถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ           โดยบริษัทฯมีแผนเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 140 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น 25.93% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอุตสาหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ คาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนได้ภายในไตรมาส 1/2568           นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) กล่าวว่า วัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ จะนำเงินวางเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงิน เพื่อใช้ในการขอออกหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee: LG) ให้กับงานโครงการ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในงานโครงการแก่ลูกค้าหน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ           “การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ของ PIS ถือเป็นการเพิ่มศักยภาพการเติบโต และเพิ่มโอกาสในการรับงานของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่มีมูลค่าสูงขึ้น จากฐานทุนที่มีความแข็งแกร่ง รองรับแผนการเข้าประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ที่มีความจำเป็นต้องมีการยกระดับและพัฒนาระบบไอทีของประเทศ”           ขณะที่นายนวัช ทัฬหิกรณ์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานการเงินและบัญชี บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในงวด 9 เดือนปี 2567 มีรายได้รวม  988.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.38% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 67.88 ล้านบาท           “มั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ในปี 2567 จะเติบโตตามแผนงานที่วางไว้ หลังจากหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ เดินหน้าเปิดประมูลงานและขยายงานตามแผน ซึ่งเพิ่มโอกาสในการส่งมอบงานและเข้าประมูลงานใหม่ของบริษัทฯ สนับสนุนผลงานในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้าเติบโตอย่างก้าวกระโดด สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น” นายนวัช กล่าว [PR News]

[ภาพข่าว] JPARK ให้การต้อนรับนักลงทุนเข้าเยี่ยมชม (Site Visit)

[ภาพข่าว] JPARK ให้การต้อนรับนักลงทุนเข้าเยี่ยมชม (Site Visit)

          หุ้นวิชั่น - นายสันติพล เจนวัฒนไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายสุดวิณ ปัญญาวงศ์ขันติ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินและบัญชี  บริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) “JPARK” ให้การต้อนรับคณะนักลงทุน เนื่องในโอกาสเข้ารับฟังการบรรยายข้อมูลและเยี่ยมชม (Site Visit) พื้นที่โครงการศูนย์การค้าและอาคารจอดรถ JPARK กาญจนสุข (ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า) และเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้ซักถามถึงผลการดำเนินงานและข้อมูลธุรกิจของบริษัทฯ อย่างใกล้ชิดและเป็นกันเอง ณ โครงการศูนย์การค้าและอาคารจอดรถ JPARK กาญจนสุข เมื่อเร็วๆ นี้

ADD เสิร์ฟข่าวดีท้ายปี ทุ่มงบ 160 ลบ. พร้อมแลกหุ้นซื้อกิจการฮ่องกง

ADD เสิร์ฟข่าวดีท้ายปี ทุ่มงบ 160 ลบ. พร้อมแลกหุ้นซื้อกิจการฮ่องกง

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ - บมจ.แอดเทค ฮับ (“ADD”) ใส่เกียร์ลุยขยายธุรกิจ ทุ่มงบ 160 ล้านบาท และสวอปหุ้นกับ G&K 4.76% ซื้อกิจการกลอรี่ ลิมิเต็ด (Glory Limited) ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการสนับสนุนการสร้างรายได้จากเพลง และ โอเชียน ไชน์ ฟาร์ อีสท์ ลิมิเต็ด (Ocean Shine Far East Limited) ผู้ผลิตเพลงเพื่อประกอบวีดีโอคอนเทนต์ในช่องทางออนไลน์ จากประเทศฮ่องกง หวังต่อยอดธุรกิจ จ่อปิดดีลกลางปี 68 คาดบุ๊ครายได้และกำไรได้ทันที หนุนให้ผลการดำเนินงานในปีหน้ากลับมาเทิร์นอะราวด์           นายสมโภช ทนุตันติวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท แอดเทค ฮับ จำกัด (มหาชน) หรือ ADD ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์และให้บริการดิจิทัลโซลูชัน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติให้บริษัทฯ เข้าซื้อหุ้นสามัญ บริษัท กลอรี่ ลิมิเต็ด (Glory Limited) ซึ่งดำเนินธุรกิจให้บริการสนับสนุนการสร้างรายได้จากเพลง (Music Monetization Service) และ โอเชียน ไชน์ ฟาร์ อีสท์ ลิมิเต็ด (Ocean Shine Far East Limited) ซึ่งดำเนินธุรกิจผู้ผลิตเพลงเพื่อประกอบวีดีโอคอนเทนต์ต่าง ๆ ในช่องทางออนไลน์ (Social Media Platforms) จาก จีแอนด์เค แอดไวซอรี่ คัมปะนี ลิมิเต็ด (G&K Advisory Company Limited) จากประเทศฮ่องกง โดยบริษัทฯ จะเข้าซื้อหุ้นสามัญใน GLORY จำนวนไม่เกิน 100 หุ้น ในราคาหุ้นละไม่เกิน 2.19 ล้านบาท คิดเป็นราคาซื้อขายหุ้น GLORY จาก G&K โดยราคาซื้อขายหุ้นสามัญใน GLORY คิดเป็นจำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 219 ล้านบาท           ทั้งนี้ บริษัทฯ จะชำระราคาซื้อขายหุ้น GLORY ด้วยกัน 2 วิธี ดังนี้ 1.ชำระด้วยเงินสด จำนวน 159 ล้านบาท และ 2.ชำระด้วยวิธีการออกและจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 8 ล้านหุ้น หรือร้อยละ 4.76 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการจดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้ว ให้แก่ G&K เพื่อเป็นการชำระราคาซื้อขายหุ้นสามัญ GLORY จำนวน 27.40 หุ้น แทนการชำระด้วยเงินสด ด้วยอัตราการแลกเปลี่ยนหุ้นที่ 1 หุ้นสามัญใน GLORY ต่อ 292,000 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ โดยหุ้นสามัญที่บริษัทออกและจัดสรรให้แก่ G&K มีราคาเสนอขายหุ้นละ 7.50 บาท คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 60 ล้านบาท            พร้อมทั้งนี้ บริษัทฯจะซื้อหุ้นสามัญใน OCEAN จำนวนไม่เกิน 100,000 หุ้น ในราคาหุ้นละไม่เกิน 10 บาท คิดเป็นราคาซื้อขายหุ้น OCEAN จาก G&K ในราคาซื้อขายหุ้นสามัญ OCEAN คิดเป็นจำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยบริษัทฯ จะชำระราคาซื้อขายหุ้นเงินสดทั้งหมดจำนวน 1 ล้านบาท            สำหรับแผนการลงทุนดังกล่าว บริษัทฯ เตรียมเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 4 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม จำนวน 80 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ จำนวน 84 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 8 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการออกและเสนอขายหุ้นให้แก่บุคคลในวงจำกัด           โดยดีลการชำระค่าหุ้น GLORY และ OCEAN ดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จ ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 และจะสามารถรับรู้รายได้และกำไรได้ทันที หนุนให้ผลการดำเนินงานในปี 2568 กลับมาเทิร์นอะราวด์อีกครั้ง           “การซื้อหุ้นใน GLORY และ OCEAN ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ แล้ว ธุรกิจใหม่ดังกล่าวจะช่วยขยายฐานลูกค้า สร้างมูลค่า เพิ่มรายได้และกำไรให้บริษัทฯ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ส่งผลต่อความมั่นคงและยั่งยืนของบริษัทฯ ให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก GLORY และ OCEAN จะสามารถสร้างรายได้จากเพลงที่ใช้ประกอบในวีดีโอบนช่องทางออนไลน์ได้อย่างครบวงจร”           นอกจากนี้ ด้วยการเป็นผู้ประกอบการด้านบริการดิจิทัลคอนเทนต์และดิจิทัลโซลูชัน และด้วยจุดแข็งทางธุรกิจด้านความเชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เชื่อว่าการต่อยอดครั้งนี้          จะเสริมความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทฯ ให้มีศักยภาพแข็งแกร่งและมั่นคงมากยิ่งขึ้น” [PR News]

[ภาพข่าว] AUCT ตลาดประมูลรถจักรยานยนต์มือสองโคราชคึกคัก

[ภาพข่าว] AUCT ตลาดประมูลรถจักรยานยนต์มือสองโคราชคึกคัก

          เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) โดยนายสุธี สมาธิ กรรมการผู้จัดการ ได้จัดงาน “KORAT BIKE FEST 2024 ครั้งที่ 2 ” ขึ้นที่จังหวัดนครราชสีมา โดยได้รวบรวมรถจักรยานยนต์มือสอง ทั้งมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าและบิ๊กไบค์หายากกว่า 250 คัน ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี สามารถประมูลขายได้เกือบ 98 % เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่รวมสินค้าที่หลากหลายรุ่น มีทั้งรถจักรยานยนต์ บิ๊กไบค์รุ่นหายาก และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า จึงทำให้มีทั้งลูกค้าที่ประมูลชื้อเพื่อใช้เอง และผู้ประกอบการร่วมประมูลซื้อกันอย่างคึกคัก สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-033-6555 หรือดูรายการประมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.auct.co.th

SVR ไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด เดินหน้าสร้างการเติบโตสู่ High Growth

SVR ไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด เดินหน้าสร้างการเติบโตสู่ High Growth

          หุ้นวิชั่น - บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท หรือ “SVR” ชำระคืนหุ้นกู้รุ่น SVR253A มูลค่ารวม 90.6 ล้านบาท ก่อนครบกำหนด สะท้อนถึงศักยภาพการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงิน ที่พร้อมสยายปีกเดินหน้าพัฒนาและยกระดับโครงการสู่ UPPER CLASS เจาะกลุ่มลูกค้าระดับ High-End เพื่อเดินหน้าสร้างการเติบโตสู่ระดับ High Growth ในอนาคต นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR เปิดเผยว่า บริษัทฯ แจ้งใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ “SVR253A” ครั้งที่ 1/2566 ชุดที่ 1 ที่ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2568 มูลค่าทั้งสิ้น90,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย เพื่อบรรเทาภาระดอกเบี้ยจ่าย ทั้งยังส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทฯ ที่อยู่ในระดับต่ำอยู่แล้วลดลงไปอีก สะท้อนถึงศักยภาพการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงิน และยังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงิน รวมถึงกลยุทธ์การวางแผนบริหารทางการเงินได้เป็นอย่างดี ความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ครั้งที่ผ่านมา บริษัทฯ ต้องขอขอบคุณนักลงทุน และผู้ถือหุ้นกู้ทุกราย ที่ไว้วางใจและให้การสนับสนุนการออกหุ้นกู้ของบริษัทฯ ทำให้เงินที่ได้จากการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถนำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงิน และเป็นเงินทุนสำหรับรองรับการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการพัฒนาโครงการต่างๆ ของบริษัทฯ เพื่อสร้างการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายของบริษัทฯ ที่พร้อมมุ่งสู่การพัฒนาและยกระดับโครงการสู่ UPPER CLASS เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับ High-End เพื่อเดินหน้าสร้างการเติบโตสู่ระดับ High Growth ในอนาคต [PR News]

IPO ปิดแรงสุดแห่งปี! LTS-APO-SEI เกิน100%

IPO ปิดแรงสุดแห่งปี! LTS-APO-SEI เกิน100%

หุ้นวิชั่น – เปิดหุ้น First Trading Day ปี 67 ผลตอบแทนสูง 5 อันดับ ได้แก่ LTS สุดเจ๋ง! ปิดเหนือจองสูงสุด +201.67% รองลงมาคือ APO ปิด +114.14% ต่อด้วย SEI ปิดที่ +103.23% TERA ปิดที่ +60.00% และ BPS ปิดที่ +36.67%           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบ บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ปี 2567 ทั้งหมด 18 บริษัท ประกอบไปด้วย บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ EURO เข้าจดทะเบียนในวันที่ 14 ก.พ. 2567 บริษัท แนท แอบโซลูท เทคโนโลยีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NAT เข้าจดทะเบียนในวันที่ 15 ก.พ. 2567 บริษัท เพเนเล่ส์มาติก โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ  PANEL เข้าจดทะเบียนในวันที่ 22 ก.พ. 2567 บริษัท เอเชียนน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) หรือ APO เข้าจดทะเบียนในวันที่ 2 เม.ย. 2567           บริษัท บีพีเอส เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ BPS เข้าจดทะเบียนในวันที่ 3 เม.ย. 2567 บริษัท คิวทีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ QTCG เข้าจดทะเบียนในวันที่ 4 เม.ย. 2567 บริษัท เทอร์ราไบท์ พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ TERA  เข้าจดทะเบียนในวันที่ 24 เม.ย. 2567 บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX เข้าจดทะเบียนในวันที่ 26 เม.ย. 2567 บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS เข้าจดทะเบียนในวันที่ 17 พ.ค. 2567           บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ  MAGURO เข้าจดทะเบียนในวันที่ 5 มิ.ย. 2567 บริษัท ชูวิทย์ฟาร์ม (2019) จำกัด (มหาชน) หรือ CFARM เข้าจดทะเบียนในวันที่ 6 มิ.ย. 2567 บริษัท ไนซ์ คอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCP เข้าจดทะเบียนในวันที่ 31 ก.ค. 2567 บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC เข้าจดทะเบียนในวันที่ 11 ก.ย. 2567 บริษัท เอสอีไอ เมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ SEI เข้าจดทะเบียนในวันที่ 24 ก.ย. 2567           บริษัท ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย จำกัด (มหาชน) หรือ TATG เข้าจดทะเบียนในวันที่ 8 ต.ค. 2567 บริษัท อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ IROYAL เข้าจดทะเบียนในวันที่ 5 พ.ย. 2567 บริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPJ เข้าจดทะเบียนในวันที่ 6 พ.ย. 2567 บริษัท อินสไปร์ ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือ IVF เข้าจดทะเบียนในวันที่ 11 ธ.ค. 2567 และพบ 11 บริษัทจดทะเบียนวันแรกยืนเหนือจอง ประกอบไปด้วย NAT ปิดเหนือจอง +27.78% หรือปิดที่ 6.90 บาท จากราคาที่ IPO 5.40 บาท APO ปิดเหนือจอง +114.14% หรือปิดที่ 2.12 บาท จากราคาที่ IPO 0.99 บาท BPS ปิดเหนือจอง +36.67% หรือปิดที่ 1.23 บาท จากราคาที่ IPO 0.90 บาท TERA ปิดเหนือจอง +60.00% หรือปิดที่ 2.80 บาท จากราคาที่ IPO 1.75 บาท LTS ปิดเหนือจอง +201.67% หรือปิดที่ 9.05 บาท จากราคาที่ IPO 3.00 บาท MAGURO ปิดเหนือจอง +22.01% หรือปิดที่ 19.40 บาท จากราคาที่ IPO 15.90 บาท           CFARM ปิดเหนือจอง +10.37% หรือปิดที่ 1.49 บาท จากราคาที่ IPO 1.35 บาท NCP ปิดเหนือจอง +1.00% หรือปิดที่ 2.02 บาท จากราคาที่ IPO 2.00 บาท PMC ปิดเหนือจอง +1.65% หรือปิดที่ 1.85 บาท จากราคาที่ IPO 1.82 บาท SEI ปิดเหนือจอง +103.23% หรือปิดที่ 6.30 บาท จากราคาที่ IPO 3.10 บาท TATG ปิดเหนือจอง +23.20% หรือปิดที่ 1.54 บาท จากราคาที่ IPO 1.25 บาท โดยแสดงเป็นตารางและเรียงลำดับผลตอบแทนได้ ดังนี้ ที่มา https://www.settrade.com/th รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

เก็ง Easy E-Receipt ชู TNP-SPVI-JUBILE

เก็ง Easy E-Receipt ชู TNP-SPVI-JUBILE

          หุ้นวิชั่น -  จับตา Easy E-Receipt ชง ครม. สัปดาห์นี้ ฟากโบรก "วิลาสินี บุญมาสูงทรง" ชี้ค้าปลีก ออนไลน์ รีเทลรับอานิสงส์ ชู TNP เด่น ส่งซิกโค้งท้ายโตแรง รับไอซีซั่น เล็งปรับเพิ่มประมาณการกำไรทั้งปี 67 จากเดิมที่ 177 ลบ. พร้อมคัดหุ้น SPVI , JUBILE เด้งรับมาตรการ            ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน Easy E-Receipt รมช.คลัง ชง ครม. สัปดาห์นี้ออกมาตรการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษี 5 หมื่น เริ่ม 15 ม.ค. – 28 ก.พ. 25 เพิ่มสิทธิใช้จ่ายการท่องเที่ยว คาดเงินหมุนเวียนในระบบ 7หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ในวงเงิน 50,000 บาทนั้น แบ่งการใช้จ่ายเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การใช้สำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภค วงเงิน 30,000 บาท และเพิ่มเติมสามารถในแพ็คเกจการท่องเที่ยวได้เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเดินทาง การใช้จ่ายการท่องเที่ยว เช่น แพ็คเกจทัวร์และการจองโรงโรม เป็นต้น การใช้จ่ายผ่านกลุ่มวิสาหกิจชุมชุน และโอท็อป วงเงิน 20,000 บาท เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มเอสเอ็มอีและชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีความเข็งแข็งขึ้น           นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นชั่น ว่า หากมาตรการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษี 5 หมื่น เดินหน้าตามแผน โครงการดังกล่าวน่าจะเริ่มต้นปี 2568 หรือ ราวๆ วันที่ 15 ม.ค. – 28 ก.พ. 67           สำหรับกลุ่มธุรกิจที่คาดจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการ Easy E-Receipt คือ ธุรกิจค้าปลีก-ออนไลน์ และรีเทล โดยหุ้นที่ขจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) และคาดได้รับอานิสงส์ ได้แก่ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ซึ่งประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่รวมอาหารสดภายใต้ชื่อ "ธนพิริยะ"           บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI ผู้ประกอบธุรกิจตัวแทนจำหน่าย (Reseller) ผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า Apple ทั้งคอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ประเภท iOS และอุปกรณ์เสริมต่างๆ           และ บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกเครื่องประดับเพชรและเพชรกะรัต           ฝ่ายวิเคราะห์ แนะ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 5 บาท "กำไร 3Q67 ดีกว่าคาด 9% ส่วน 4Q67 เติบโตต่อ YoY QoQ" งวด 3Q67 มีกำไร 47 ลบ. +41%YoY +12%QoQ (ดีกว่าที่เราคาด 9%) ส่วนรายได้อยู่ที่ 730 ลบ. +12%YoY +3%QoQ (ดีกว่าที่เราคาด 2%) เติบโตแม้เป็น Low Season ที่เป็นฤดูฝน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ ทำให้มีการเร่งกักตุนสินค้าจำเป็นมากขึ้น ประกอบกับได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินสด 10,000 บาท ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ย. สะท้อน SSSG ที่เติบโต 1.8% รวมทั้งมีการขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 สาขาสู่ทั้งหมด 47 สาขา (+5 สาขา YoY +2 สาขา QoQ) ทั้งนี้ 9M67 มีกำไร 135 ลบ. +25%YoY คิดเป็น 76% ของประมาณการทั้งปี 67 เดิมที่ 177 ลบ. +10%YoY           ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองบวกต่อกำไร 3Q67 ออกมาดีกว่าที่คาด ส่วน 4Q67 คาดเติบโตต่อเนื่อง YoY QoQ จาก 3 ประเด็น คือ 1) เข้าสู่ High Season 2) ได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินสด 10,000 บาท ที่กลุ่มผู้มีสิทธิ์เพิ่งได้รับเมื่อช่วงปลาย 3Q67 รวมทั้งรอบเก็บตกในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.  และ 3) ขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 สาขา สู่ ณ สิ้นปี 67 ทั้งหมด 49 สาขา ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์เตรียมปรับเพิ่มประมาณการกำไรทั้งปี 67 จากเดิมที่ 177 ลบ. +10% YoY แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 5 บาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[ภาพข่าว] MMM ต้อนรับคณะผู้บริหาร “ก.ล.ต.- ตลท.” รับฟังข้อมูลธุรกิจ

[ภาพข่าว] MMM ต้อนรับคณะผู้บริหาร “ก.ล.ต.- ตลท.” รับฟังข้อมูลธุรกิจ

          นายประเสริฐ หวังรัตนปราณี ประธานกรรมการ (แถวแรก กลางขวา) นางสาวณิชา โรจน์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (แถวแรก ที่ 4 จากขวา) พร้อมคณะกรรมการ และคณะผู้บริหาร บริษัท เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MMM หนึ่งในผู้นำตัวแทนการขายอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้การให้บริการที่ปรึกษาด้านการขายและการตลาดแก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาฯ และซื้อขายอสังหาฯ ร่วมด้วย นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ (แถวสอง ที่ 4 จากขวา) บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คณะผู้บริหารจากตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ และ ตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมกิจการ และร่วมรับฟังข้อมูลธุรกิจ ตามแผนเสนอขาย หุ้นไอพีโอ 64.20 ล้านหุ้น เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ณ โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ รัชดา  

BLESS x ShooShoke รณรงค์กำจัดขยะ (Food Waste) ด้วยระบบ Zero Waste

BLESS x ShooShoke รณรงค์กำจัดขยะ (Food Waste) ด้วยระบบ Zero Waste

            หุ้นวิชั่น - บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (BLESS  ASSET GROUP) หรือ BLESS ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างบ้านคุณภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ไปพร้อมกับการสร้างสังคมคุณภาพ และโลกที่ยั่งยืน ภายใต้นิยาม “ใช้ชีวิต..ให้สุขยิ่งกว่า Live your Blessed Life” ตามเจตนารมย์ของแบรนด์ “บ้านสุข บ้าน BLESS” ที่ให้ความสำคัญกับ Waste Management ส่งเสริมการจัดการขยะอย่างมีความรับผิดชอบ ครอบคลุมตั้งแต่ที่อยู่อาศัย พื้นที่ส่วนกลาง ไซต์งานก่อสร้าง และออฟฟิศของบริษัทฯ เพื่อนำขยะรีไซเคิล กลับมาหมุนเวียนใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดปริมาณขยะที่จะนำไปสู่การฝังกลบ (Landfill) ให้ได้มากที่สุด

PIS โรดโชว์หาดใหญ่ นักลงทุนต้อนรับคึกคัก

PIS โรดโชว์หาดใหญ่ นักลงทุนต้อนรับคึกคัก

                  หุ้นวิชั่น - นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายนวัช ทัฬหิกรณ์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานการเงินและบัญชี บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) พร้อมด้วย นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ (ที่ 1 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน และนายชานนทร์ ปิยสุนทร (ที่ 1 จากซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้น ร่วมนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ พร้อมโชว์ศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจให้กับนักลงทุนที่ อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยนักลงทุนที่เข้าร่วมรับฟังข้อมูลให้ความสนใจอย่างคึกคัก ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรมคริสตัล หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อเร็วๆ นี้

ผู้บริหาร LEO ลุยเก็บหุ้นเข้าพอร์ต

ผู้บริหาร LEO ลุยเก็บหุ้นเข้าพอร์ต

หุ้นวิชั่น - แม้ปีนี้ตลาดหุ้นไทยผันผวน... แต่สำหรับบมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) หุ้นผู้ให้บริการขนส่ง โลจิสติกส์ครบวงจรชั้นนำของเมืองไทย ขอบอก!ไร้กังวล เพราะผู้บริหารคนเก่ง “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ทยอยเก็บหุ้นเข้าพอร์ต ตอกย้ำความเชื่อมั่นธุรกิจ  พร้อมเพิ่งออกข่าวว่า ปีนี้จะได้เห็นผลงานกลุ่มธุรกิจใหม่อย่าง LEO Sourcing and Supply Chain,  LaneXang Express และSritrang LEO Multimodal Logistics มั่นใจรายได้โตแรงงงง!...ควบคู่กับการเดินหน้าต่อยอดธุรกิจ Non-freight และ Non-Logistics ช่วยสร้างรายได้เพิ่มจากการขายทุเรียนไปยังประเทศจีน รวมทั้งจากการขนส่งทางรถไฟทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศไทย-จีน  ตลอดจนธุรกิจ Self Storage ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง  ... สัญญาณดีขนาดนี้ผลงานสดใสแน่นอนคร้าา!!

TPS ยิ้ม! รัฐดันไทยศูนย์กลางบล็อกเชน

TPS ยิ้ม! รัฐดันไทยศูนย์กลางบล็อกเชน

         หุ้นวิชั่น - สำหรับบมจ.เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น (TPS) สัญญาณดีส่งท้ายปี 67 เมื่อภาครัฐเตรียมผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีบล็อกเชนระดับโลก เพราะ มีธุรกิจไซเบอร์ซีเคียวริตี้ (Cyber Security) และบล็อกเชน (Blockchain) ที่กำลังไปได้สวย รวมทั้งตอนนี้ มี Backlog แน่นกว่า 1,931.50 ล้านบาท แถมด้วย ออเดอร์ใหม่เข้ามาแบบรัวๆ ฟากซีอีโอสุดขยัน “บุญสม กิจเกษตรสถาพร” พร้อมลุยประมูลงานใหญ่ มาร์จิ้นสูง ชนิดไปต่อไม่รอใคร! เพื่อเป้าหมายการเป็น Tech Company  อย่างครบวงจร ส่งมอบผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย...อย่างนี้ ไม่ต้องให้เดา ผลงานปีนี้เข้าเป้าแบบชิลๆ ไปเลยคร้า!!

“BKA” จ่อระดมทุน IPO 60 ล้านหุ้น รับดีมานด์บ้านมือสองฟื้น

“BKA” จ่อระดมทุน IPO 60 ล้านหุ้น รับดีมานด์บ้านมือสองฟื้น

        หุ้นวิชั่น -  บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA หนึ่งในผู้นำธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ประกาศเดินเกมรุกธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ พร้อมอยู่ รับดีมานด์ตลาดบ้านมือสองคึก จ่อระดมทุนในตลาดเอ็ม เอ ไอ เสนอขาย IPO 60 ล้านหุ้น เล็งสร้างโอกาสการต่อยอดทางธุรกิจ และ สยายปีก สู่แพลตฟอร์ม “Prop Tech” ดึงนวัตกรรม AI และ Virtual Reality มาสร้างมิติใหม่ในการดูบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์            นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านแต่ง “Flipping”) ซึ่งเป็นการฝากขายบ้านมือสองพร้อมกับการปรับปรุงซ่อมแซมก่อนขาย ให้มีสภาพใหม่ พร้อมอยู่อาศัย ด้วยการออกแบบที่สวยงาม งานซ่อมแซมที่มีคุณภาพ พร้อมรับประกันผลงานและให้บริการหลังการขาย รวมทั้งดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการรับฝากขายบ้านมือสอง (ธุรกิจบ้านฝาก) และ ธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านตัด) โดยมุ่งหวังที่จะเป็นตัวกลางในการให้บริการ แก้ปัญหา ของผู้ที่อยากขายบ้าน แต่ไม่มีเวลา ไม่มีความรู้ประสบการณ์ในการเตรียมบ้านให้มีความพร้อม ในขณะเดียวกันต้องการช่วย ผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลที่ดี ด้วยงบประมาณที่เหมาะสม  เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตของธุรกิจซื้อขายบ้านมือสองในประเทศไทย บริษัทฯ จึงพร้อมขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ ”เป็นผู้นำในธุรกิจบริการ ซื้อขายบ้านมือสอง และทรัพย์สินรอการขายของสถาบันการเงิน (NPA) ตกแต่งใหม่ ในประเทศไทย” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสามารถให้บริการ การซื้อขายบ้านมือสอง และ บริการรีโนเวทบ้าน ให้มีคุณภาพดี มีมาตรฐาน ครอบคลุมในประเทศไทย ภายใต้การดำเนินงานที่เป็นเลิศ การบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม และความพึงพอใจให้กับทั้งลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย “สำหรับลักษณะการดำเนิน 3 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย  1. ธุรกิจบ้านแต่ง ในวงการบ้านมือสองเรียกว่า “Flipping” เจ้าของบ้านมือสองจะทำสัญญาฝากขายบ้านกับบริษัทฯ โดยยินยอมให้บริษัทฯ ทำการปรับปรุงบ้าน โดยบริษัทฯ จะวางเงินประกันการปฏิบัติตามสัญญาให้แก่เจ้าของบ้านก่อนเข้าปรับปรุงบ้าน และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงทั้งหมด เมื่อบริษัทฯ ขายบ้านได้ เจ้าของบ้านจะได้รับเงินเฉพาะส่วนที่เป็นราคาขายบ้านตามสัญญาที่ได้ตกลงไว้กับบริษัทฯ ขณะที่บริษัทฯ จะได้รับส่วนต่างที่เหลือของราคาที่ผู้ซื้อรับซื้อบ้านกับราคาขายที่เจ้าของบ้านได้รับ  2. ธุรกิจบ้านฝาก บริษัทฯ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนขายบ้านมือสองตามสภาพเดิม ที่เจ้าของบ้านนำมาฝากขายไว้ โดยมีรายได้จากค่านายหน้าตามที่ตกลงกันเมื่อขายบ้านหลังนั้นได้  และ 3. ธุรกิจบ้านตัด บริษัทฯ ซื้อบ้านมือสองมาทำการปรับปรุงเพื่อขาย ซึ่งได้มาจากการประมูลหรือซื้อโดยตรงจากเจ้าของทรัพย์สิน โดยการทำธุรกิจบ้านตัดนี้ บริษัทฯ จะรับซื้อบ้านมือสองเฉพาะเมื่อสามารถซื้อได้ในราคาที่ดีเท่านั้น เพื่อให้มีอัตรากำไรที่ดี” และด้วยความมุ่งมั่นสู่การขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างรายได้และโอกาสการเติบโต ในอนาคต ส่งผลให้บริษัทฯ วางกลยุทธ์สู่การขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ กลยุทธ์การสร้างตราสินค้า โดยมุ่งเน้นที่จะเป็นศูนย์รวมบ้านมือสองตกแต่งใหม่ พร้อมอยู่  ภายใต้การให้ความสำคัญต่อคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการทั้งก่อนและหลังการขาย เพื่อสร้างการจดจำและ ความแข็งแกร่งกับตราสินค้า 2. กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และบริการที่ดี โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกบ้านมือสองเพื่อนำมาปรับปรุงตกแต่งใหม่ รวมทั้งพิจารณารูปแบบบ้าน และการปรับปรุง ให้มีฟังก์ชั่น การใช้งานอย่างครบครัน ภายใต้แนวความคิดการใช้ชีวิตจริงของผู้อยู่อาศัย เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด  3. กลยุทธ์ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในด้านทำเลที่ตั้งและระดับราคา ให้ลูกค้ามีตัวเลือกจำนวนมากตามความต้องการที่หลากหลาย  4. กลยุทธ์การรับประกันบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ตามเงื่อนไขรายการรับประกันที่บริษัทฯ กำหนด สูงสุดถึง 6 เดือน และ  5. กลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้และการเข้าถึงของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเนื้อหาข้อมูลที่สร้างความรู้และ       ความน่าสนใจให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านมือสอง และพัฒนาไปสู่การเป็นลูกค้าตัวจริงให้มากที่สุด บริษัทฯ ในฐานะ ผู้ให้บริการในธุรกิจบ้านมือสอง  เชื่อว่าตลาดบ้านมือสองมีแนวโน้มการเติบโต       ได้อย่างยั่งยืน โดยเล็งเห็นถึงข้อได้เปรียบของบ้านมือสองในทำเลเดียวกันกับบ้านโครงการใหม่ ที่มีราคาถูกกว่า และพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า เนื่องจากการปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอดของราคาที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพ การเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรง ทำให้ราคาบ้านโครงการใหม่ปรับตัวสูงขึ้นมาก และมีช่องว่างของราคา (Gap Price) ที่กว้างขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับราคาบ้านมือสอง ประกอบกับโครงการบ้านจัดสรรใหม่ๆ มีทำเลที่ตั้งที่ไกลออกไป เนื่องจากที่ดินเปล่าผืนใหญ่ใกล้เมืองหาได้ยากขึ้น ในขณะที่บ้านมือสองส่วนใหญ่มีทำเลดี ราคาถูกคุ้มค่ากว่าบ้านโครงการใหม่ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น โดยบริษัทฯ เน้นการทำธุรกิจบ้านแต่งเป็นหลัก เนื่องจากเป็นบ้านมือสองตกแต่งใหม่ที่ใช้เงินลงทุนต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับการซื้อบ้านมาปรับปรุงเพื่อขาย (บ้านตัด) อีกทั้งบริษัทฯ พิจารณาว่าตลาดยังมีศักยภาพการเติบโต และยังไม่มีคู่แข่งรายใหญ่ในตลาด บริษัทฯ มองว่าภาคอสังหาฯ โดยเฉพาะตลาดบ้านมือสองเริ่มฟื้นตัว โดยเห็นได้จากกำลังซื้อผู้บริโภค ที่เริ่มกลับมาคึกคัก เมื่อเทียบกับปี 2566 สอดรับศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่ระบุว่าตัวเลขตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบใน 9 เดือนแรกของปี 2567 พบการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภค โดยบ้านมือสองได้รับความนิยมสูงถึง 71% ของจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 52% ของมูลค่าการโอนรวม ซึ่งเป็นผลจากราคาที่ดินและต้นทุนค่าก่อสร้าง ที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่บ้านมือสองมีราคาต่ำกว่าบ้านสร้างใหม่ ภายใต้ขนาดและทำเลเดียวกัน โดยราคาเฉลี่ยของการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่อยู่ที่ 4.87 ล้านบาท ขณะที่บ้านมือสองราคาเฉลี่ยของการโอนกรรมสิทธิ์อยู่ที่ 2.16 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตของตลาดบ้านมือสอง สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ นางนิสาภรณ์ ฤกษ์อร่าม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ ต่อประชาชนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) แล้ว และอยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปัจจุบัน BKA มีทุนจดทะเบียน 105 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 210 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 75 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 150 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.57 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทฯ จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานเพื่อขยายการเติบโตของบริษัทฯ จากการขยายพอร์ตการให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้นเป็นหลัก รวมถึงนำไปพัฒนาธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการซื้อขายอสังหาฯ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งผู้ต้องการซื้อและขายบ้านได้หลากหลายและมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้ในการแนะนำบ้านให้กับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีแผนชำระคืนเงินกู้ยืมจากบุคคลอื่นทั้งจำนวน [PR News]

[Vision Exclusive] HARN แตกไลน์การแพทย์ ต่อยอดธุรกิจเครื่องพิมพ์ 3D

[Vision Exclusive] HARN แตกไลน์การแพทย์ ต่อยอดธุรกิจเครื่องพิมพ์ 3D

          หุ้นวิชั่น - HARN แตกไลน์ธุรกิจเครื่องมือแพทย์ ต่อยอดเครื่องพิม์ 3D บิ๊กบอส "วิรัฐ  สุขชัย" คาดจดทะเบียนแล้วเสร็จไตรมาสแรกปี 68 ส่งซิกผลงานรวมปี 67 สดใส  อวด Backlog สิ้น Q3/67 แน่น 452 ล้านบาท เดินหน้ารักษามาร์จิ้น 30% ลุยแผน 5 ปีโรดแมพ เพิ่ม Market Cap. เป็น 5,000 ล้านบาท           นายวิรัฐ  สุขชัย  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หาญ เอ็นจิเนียริ่ง โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ HARN เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า  ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 ได้มีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทย่อย โดยบริษัทถือหุ้นร้อยละ100 ด้วยทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจหลักในการค้าเครื่องมือแพทย์ ผลิต ทํา ประกอบ หรือประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ แบ่งบรรจุ หรือรวมบรรจุเครื่องมือแพทย์ ปรับปรุง แปรสภาพ หรือดัดแปลงเครื่องมือแพทย์ ทําให้เครื่องมือแพทย์ปราศจากเชื้อ รวมตลอดถึงการผลิตและค้ายางเทียมสิ่งทําเทียม วัตถุดิบหรือสินค้าดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทจะดําเนินการจดทะเบียนบริษัทย่อยให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2568           การขยายธุรกิจสู่การค้าเครื่องมือแพทย์ ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจการพิมพ์แบบ 3D และขยายตลาดไปยังธุรกิจเครื่องมือแพทย์ ขณะที่ทิศทางธุรกิจเดิมในส่วนของการจำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิง คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีในปี 2568 โดยแม้ว่าในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ผลประกอบการจะไม่ค่อยดีนัก แต่ผลประกอบการในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 เริ่มกลับมาฟื้นตัวดี ซึ่งเป็นไปตามลักษณะของแนวโน้มธุรกิจของบริษัท HARN           ขณะที่ Backlog ออเดอร์ ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 452 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลข Backlog ที่อยู่ในระดับสูง และคาดจะทำให้ยอดขายใกล้เคียงเป้า ขณะเดียวกันเชื่อว่าอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปี 2567 จะใกล้เคียงกับที่ผ่านมาที่ 30.09% โดน 9 เดือนแรกปี 2567 ที่ 27.58%           บริษัทมองทิศทางการเติบโตในปี 2568 กลุ่มธุรกิจของ HARN ยังมีแนวโน้มการเติบโต แม้เศรษฐกิจในประเทศถดถอย แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 เริ่มเห็นผลการเติบโตที่ดีขึ้น อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ เพื่อเสริมรายได้ให้กับธุรกิจ           สำหรับคู่แข่งในตลาดปัจจุบันมีมากขึ้น แต่บริษัทกำลังมองหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท และรักษาอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) โดยที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงต้นปี 2567 ซึ่งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่า ทำให้บริษัทมีต้นทุนสูงจากการนำเข้าสินค้า และบริษัทได้ปรับราคาขายให้สอดคล้องกับอัตราแลกเปลี่ยน และบริษัทจะพยายามบริหารอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้ได้ 30% โดยการบริหารต้นทุนและหาตลาดใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท           บริษัทมีเป้าหมายในการเติบโตระยะยาว 5 ปี โดยการเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ หรือ Market Cap. จาก 1,350 ล้านบาท เป็น 5,000 ล้านบาท และจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ รักษาความพึงพอใจของลูกค้าไม่ต่ำกว่า 90% และความพึงพอใจของพนักงานมากกว่า 85% รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

IVF แจ้ง พลตำรวจโทธัชชัย ปิตะนีละบุตร ลาออก มีผล 19 ธ.ค.67

IVF แจ้ง พลตำรวจโทธัชชัย ปิตะนีละบุตร ลาออก มีผล 19 ธ.ค.67

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นางสาวเกศิณี กุลดิลก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินสไปร์ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือ IVF แจ้งข่าวต่อลาดหลักทรัพย์ ว่า บริษัท อินสไปร์ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งให้ทราบว่า พลตำรวจโทธัชชัย ปิตะนีละบุตร ประธานกรรมการ และกรรมการอิสระ ได้ยื่นหนังสือของลาออก โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป เนื่องจากมีภารกิจทางราชการเพิ่มขึ้นตามที่ได้รับแต่งตั้งจากประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2567           ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน จะดำเนินการสรรหาบุคคลที่เหมาะสม เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทพิจารณาและแต่งตั้งให้เข้าดำรงตำแหน่งที่ว่างลงต่อไป

KLINIQ มั่นใจผลงานโค้งสุดท้ายของปีดันเป้ารายได้โต เติบโต 30%

KLINIQ มั่นใจผลงานโค้งสุดท้ายของปีดันเป้ารายได้โต เติบโต 30%

          KLINIQ ประเมินแนวโน้มผลงานไตรมาส 4/67 ขยายตัวต่อเนื่อง หลังเร่งทำตลาดหนุนรายได้จากสาขาเดิมเพิ่มและการเปิดสาขาใหม่ในไตรมาสสุดท้ายเพิ่มเติมอีก 4 แห่งเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้ดีขึ้น พร้อมบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ รับพฤติกรรมใช้จ่ายเพื่อความสวยความงามช่วงปลายปี มั่นใจปีนี้รายได้เติบโต 30% ตามแผน           นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ เปิดเผยว่า แนวโน้มของการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 ประเมินว่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้านี้ จากศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ KLINIQ ที่ให้บริการด้านคลินิกเวชกรรมด้านผิวหนังความงามศัลยกรรมตกแต่งและการดูแลป้องกันฟื้นฟูสุขภาพที่ครอบคลุมความต้องการและกำลังซื้อของลูกค้า ภายใต้แบรนด์ที่หลากหลายทั้ง The KLINIQUE, L.A.B.X, L’CLINIC, KLINIQ Wellness Spa และ THE KLINIQUE SURGERY CENTER สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี รองรับพฤติกรรมการจับจ่ายเพื่อความสวยความงามของลูกค้าในช่วงปลายปี           ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มเติมอีก 6 แห่งในไตรมาสนี้ ประกอบด้วย The KLINIQUE จำนวน 2 สาขา L.A.B.X จำนวน 3 สาขาและ KLINIQ Wellness Spa อีก 1 สาขา ส่งผลภายในสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีสาขารวมทั้งสิ้น 75 สาขา จะช่วยส่งเสริมศักยภาพการให้บริการที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน จะมุ่งทำตลาดเพื่อเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าใหม่และดึงลูกค้าเก่ากลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้น รวมถึงนำเสนอการให้บริการใหม่ๆ เพิ่มเติม ส่งผลดีต่อต่อการเติบโตของรายได้จากสาขาเดิมเพิ่มขึ้นหรือ SSSG (Same Store Sales Growth : SSSG) เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ ควบคู่กับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพเพื่อรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และบริหารจัดการความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจปีนี้ที่ยังไม่เติบโตเต็มศักยภาพอีกด้วย           “เรามองว่าในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ผลการดำเนินงาน จะขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ จากจำนวนสาขาใหม่ที่เปิดให้บริการเพิ่มเติมที่ทำให้มีลูกค้าใหม่เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น และแผนดึงดูดลูกค้าเก่าให้กลับมาใช้บริการเพื่อความสวยความงาม ซึ่งมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโต 30% ตามแผนที่วางไว้ได้ ทีมงานทุกภาคส่วนกำลังเร่งมืออย่างแข็งขันและช่วงเดือนตุลาคม พฤศจิกายน ถือว่าทิศทางรายได้เติบโตดี” นายแพทย์อภิรุจ กล่าว [PR News]

THE PARENTS  ได้รับรางวัล “Friendly Design Awards 2024”

THE PARENTS ได้รับรางวัล “Friendly Design Awards 2024”

       หุ้นวิชั่น - THE PARENTS  ได้รับรางวัล “Friendly Design Awards 2024” ประเภทดีไซน์เพื่อทุกคนเข้าถึงอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ดร.สุนทรี จรรโลงบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ TM  รับมอบรางวัลจากนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  ในโอกาสที่ “THE PARENTS WELLNESS AND REVITALIZING CENTER” ศูนย์นวัตกรรมสุขภาพเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยืนยาว สำหรับบริการฟื้นฟู และส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ได้รับรางวัล  “Friendly Design Awards 2024” ประเภทสถานที่เฟรนด์ลี่ ดีไซน์ มีการส่งเสริมและสร้างทำอารยสถาปัตย์ เพื่อให้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และทุกสภาพร่างกาย สามารถเข้าถึงได้ ใช้ประโยชน์ได้ โดยสะดวก ปลอดภัย ทันสมัย ด้วยนโยบายและแนวคิดการออกแบบที่เป็นมาตรฐานสากล และเป็นมิตรกับคนทั้งมวล สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ร้าน TM CARE SHOP โทรศัพท์ 02-933-6119 ต่อ 8101 / 8102 เปิดให้บริการจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. รวมทั้งติดต่อผ่านช่องทาง Line@ : @tmcareshop และ FacebookPage https://www.facebook.com/TMCARESHOP/   หรือ  www.tmcare-shop.com

AU กำไรเดินหน้าทุบสถิติ โบรกอัพเป้าผลงานปี 68 เคาะพิกัด 12.20 บ.

AU กำไรเดินหน้าทุบสถิติ โบรกอัพเป้าผลงานปี 68 เคาะพิกัด 12.20 บ.

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง AU ว่ากำไรจะยังทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องในปีหน้า รายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่ร้านขายขนมหวาน (non-café) โตก้าวกระโดดจากช่องทางการขายใหม่ ๆรายได้จากการขายกลุ่ม non-café จะเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนการเติบโตใน 4Q67F- ปี 2568F เนื่องจากAU ขยายช่องทางการขายใหม่ ๆ โดยที่มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ช่วยกระตุ้นยอดขายในกลุ่มนี้พุ่งขึ้นถึง 180% YoY และ 170% QoQ อยู่ที่ 62 ล้านบาทใน 3Q67 นอกจากนี้ AU ยังได้รับคำสั่งซื้อ (8 เดือน ช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 - 31 พฤษภาคม 2568) จากการบินไทยให้จัดหาขนมปังเนยโสด (butter bun) สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินขาออกไปยังจีน ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และญี่ปุ่น ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายจากทั้งสองช่องทางใหม่นี้จะทำให้ยอดขายในกลุ่ม non-café พุ่งขึ้น 132% อยู่ที่ 195 ล้านบาทในปี 2567F และเพิ่มขึ้นอีก 53% อยู่ที่ 298 ล้านบาทในปี 2568F อีกหนึ่งปัจจัยหนุนมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าต่างชาติของ AU เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ 40.5% ใน 3Q67 จากเดิมเพียง 20% ช่วงก่อนโควิด-19 โดยที่ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนลูกค้านี้เนื่องจากการเติบโตของลูกค้านักท่องเที่ยวช่วยหนุนการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (same store sales growth: SSSG) เป็นเลขสองหลักใน 9M67 ในขณะที่อุปสงค์ในประเทศค่อนข้างชะลอตัว ในส่วนของ SSSG ที่สูงกว่าคาดยังช่วยชดเชยการเปิดสาขาใหม่ที่ค่อนข้างช้าในปี 2567F อยู่ที่ 63 สาขาจาก 61 สาขาในปี 2566 ทั้งนี้ คาดรายได้จากร้านขายขนมหวาน (dessert café) จะเติบโต 26% YoY ในปี 2567F และ 13% ในปี 2568Fปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567F ขึ้น 14% และปี 2568F ขึ้น 12% คาดว่ากำไรใน 4Q67F ของ AU จะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากยอดขายกลุ่ม non-café ที่สูงขึ้นเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว และคาดจะเปิดร้านขายขนมหวานใหม่สองสาขา เมื่อรวมยอดขายกลุ่ม non-caféที่สูงขึ้น ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการรายได้จากยอดขายขึ้น 9% ในปี 2567F และ 15% ในปี 2568F ซึ่งส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิใหม่เพิ่มขึ้น 14% อยู่ที่ 300 ล้านบาท (+69% YoY) ในปี 2567F และ 12% อยู่ที่ 342 ล้านบาท (+14% YoY) ในปี 2568F ทั้งนี้ เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของธุรกิจกลุ่ม non-café ต่ำกว่ากลุ่มธุรกิจร้านขายขนมหวานและการคาดว่าอาจมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปีหน้า ฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับลด GPM ลง 0.8ppts อยู่ที่ 65.5% ในปี 2567F และ 3.6ppts อยู่ที่ 63.0% ในปี 2568F Valuation & action ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2568 ขึ้นเล็กน้อยที่ 12.20 บาท (อิงจาก PER ที่ 29x หรือ -1.0 S.D.) จากเดิม 12.10 บาท (PER ที่ 32x)

MAGURO เปิดแบรนด์

MAGURO เปิดแบรนด์ "Tonkatsu Aoki" คาดกระแสดี เป้า 26 บ.

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า MAGURO (ซื้อ/เป้า 26.00 บาท) คาด Tonkatsu Aoki ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค คงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 26.00 บาท อิง 2025E PER 23.5x วานนี้ฝ่ายวิเคราะห์ได้ไปร่วมงาน soft opening ของร้าน Tonkatsu Aoki สาขาแรกที่ Central World จุดเด่นของร้าน Tonkatsu Aoki เมื่อเทียบกับคู่แข่ง คือ 1) ใช้วัตถุดิบ premium นำเข้ามาจากญี่ปุ่น, 2) รสชาติดี ได้รับยกย่องให้เป็น Senmonten (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน) ด้านทงคัตสึ ทอดได้กรอบนอกนุ่มใน รักษาความ juiciness ในเนื้อหมูได้ดีมาก และ 3) ราคาอาหารแข่งขันได้ โดยเริ่มต้นที่ 320–990 บาท จากที่เราได้ชิมอาหารในครั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าร้าน Tonkatsu Aoki จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค จากคุณภาพอาหารที่ premium และราคาที่เหมาะสม โดยร้านจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันนี้ (20 ธ.ค. 2024) ทั้งนี้ MAGURO มีแผนเปิดเพิ่มอีก 4 สาขาในปี 2025E โดยคาดสาขา 2 ที่ One Bangkok และสาขา 3 ที่ Velaa จะเปิดปลาย 1Q25E ต้น 2Q25E เราคาดรายได้ปี 2025E ที่ 45 ล้านบาท/สาขา/ปี, GPM > 50% และ NPM 9-10% ทั้งนี้ หากเปิดครบ 5 สาขา เราคาดจะมีรายได้จาก Tonkatsu Aoki ที่ 225-235 ล้านบาท/ปี และกำไรที่ 23 ล้านบาท/ปี คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 95 ล้านบาท (+31% YoY) และกำไรปกติที่ 101 ล้านบาท (+39% YoY) สำหรับปี 2025E คาดกำไรสุทธิที่ 141 ล้านบาท (+49% YoY) ราคาหุ้น underperform SET -6% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ 2025E PER 17.7x ตํ่ากว่า peer อย่างไรก็ตาม เรายังชอบ MAGURO จาก 1) ธุรกิจร้านอาหารแบบ Full-Service ไทยยังมีการเติบโตต่อเนื่อง, 2) มี penetration rate ที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก และ 3) valuation ไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรปี 24-25E ที่ทำ All Time High และยังมี upside จากแบรนด์ใหม่และการขยายสาขาที่มากกว่าคาด

[Vision Exclusive] JPARK ปักหมุดแลนด์มาร์ก CBD - เป้า 10.70บ.

[Vision Exclusive] JPARK ปักหมุดแลนด์มาร์ก CBD - เป้า 10.70บ.

           หุ้นวิชั่น - "สันติพล เจนวัฒนไพศาล" บอสใหญ่ JPARK กางแผนปีมะเส็ง คาดรายได้ปี 68 โต 30% กระเป๋ารับทรัพย์บริการจอดรถเต็มๆ เล็งขยายช่องจอดแตะ 5 หมื่นช่อง จากปี 67 ที่ 4 หมื่น ปักหมุดแลนด์มาร์ก CBD ทำเลทอง แย้มแผนลงทุนบิ๊กโปรเจ็กต์ใหม่กลางปีหน้า ฟากโบรกส่งซิกธุรกิจปีทอง แนะ "ซื้อ" เป้าสิ้นปี 68 ที่ 10.70 บาท            นายสันติพล เจนวัฒนไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) หรือ JPARK เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ในปี 2567 บริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากการบริหารที่จอดรถในโครงการ One Bangkok แล้ว และในปี 2568 จะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้แบบเต็มปี คาดว่าแนวโน้มธุรกิจในปี 2568 จะเติบโตทุกส่วนของธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจให้บริการที่จอดรถ (Parking Service Business: PS), ธุรกิจรับจ้างบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (Parking Management Service Business: PMS) และธุรกิจให้คำปรึกษาและติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (Consultant and Installation Parking System Business: CIPS)            ในปี 2568 บริษัทจะรับรู้รายได้จากธุรกิจให้บริการที่จอดรถจากอาคารจอดรถ อาคารจอดรถศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกศิริราชพยาบาล และ "JPARK กาญจนสุข" พื้นที่เชิงพาณิชย์ของโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ซึ่งบริษัทได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว โดยอาคารจอดรถดังกล่าวเป็นอาคารสูง 6 ชั้น สามารถรองรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวมประมาณ 500 คัน มีพื้นที่ใช้สอย 18,242 ตารางเมตร และพื้นที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ 2,049 ตารางเมตร            บริษัทมีแผนขยายบริการที่จอดรถในโครงการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น โรงพยาบาล สนามบิน และอื่นๆ โดยในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มช่องจอดรถเป็น 50,000 ช่อง จากปี 2567 ที่มีช่องจอดรถ 40,000 ช่อง จากการขยายบริการในย่าน CBD อีก 5-10 โครงการ            นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการวางแผนลงทุนในโครงการขนาดใหญ่คล้ายกับ อาคารจอดรถศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกศิริราชพยาบาล โดยคาดว่าจะมีการลงทุนใหม่ 1-2 โครงการในช่วงกลางปี 2568 โดยมูลค่าการลงทุนจะใกล้เคียงกันที่ประมาณ 500 ล้านบาท            สำหรับทิศทางการเติบโตในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะเติบโตที่ระดับ 30% เมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย หรือเติบโต 25-30% ตามที่ตั้งเป้าไว้            อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 JPARK มีรายได้แล้วที่ 522.57 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 142.20 ล้านบาท            ด้าน  บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า JPARK ปี 2568 จะเป็นปีที่ดี รพ. พระนั่งเกล้า,One Bangkok และ The market หนุนกeไร 4Q67            คาดกำไรใน 4Q67เบื้องต้นที่ 20 –22 ลบ. เติบโตสูง YoY แม้ว่ารายได้จะลดลงเนื่องจากงาน CIPS ขนาดใหญ่ได้รับรู้รายได้ไปหมดแล้ว และงานใหม่คาดว่าจะทราบผลในปี 2568โดยรายได้ใน 4Q67ได้แรงหนุนจาก 1) งาน PS ของโครงการ รพ. พระนั่งเกล้าฯ ปัจจุบันมีปริมาณ Traffic เพิ่มขึ้นเป็นราว 60% และมีรายได้จากพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ที่ทยอยรับรู้ในส่วนของดอกเบี้ยรับตามมาตรฐานบัญชี รับรู้รายได้ส่วนนี้เต็มไตรมาส 2) งาน PMS โครงการ One Bangkok เพิ่มขึ้นจาก 2,000 ช่องจอดเป็น 8,000 ช่องจองเต็มไตรมาสใน 4Q67 และ 3) งาน PS โครงการ The Market ขนาดมากกว่า 1,000 ช่องจอด เพิ่งเริ่มเข้าไปให้บริการในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา แม้ว่าเป็นห้างสรรพสินค้าที่ความนิยมไม่สูง แต่อยู่ในพื้นที่ที่มีความต้องการพื้นที่จอดสูง ทำให้เริ่มทำกำไรได้ตั้งแต่เดือนแรก  CIPS ปี 68 มีโอกาสสูงกว่าเป้า...            งานPS ขนาดใหญ่ยังมีให้ลุ้นราคาหุ้นปรับตัวลงหลังรายงานงบ 3Q67 เนื่องจากความกังวลรายได้งาน CIPS ที่ลดลงมากและยังไม่มีงานใหม่เพิ่มเติม ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ไม่ได้กังวลเพราะเป็นประเด็นที่ทราบอยู่แล้วว่าเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเนื่องจากงานส่วนใหญ่เป็นของภาครัฐฯ และถูกเลื่อนไปจากช่วงที่รอความชัดเจนเรื่องของตัวนายกรัฐมนตรีท่านใหม่ งานส่วนใหญ่จึงไปกระจุกตัวในปี 2568 ตามที่ฝ่ายวิเคราะห์ระบุไปในบทวิเคราะห์ Initiate แต่จากการพูดคุยกับบริษัทเพิ่มเติมพบว่าปัจจุบันมีงาน CIPS ไม่น้อยกว่า 3 โครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาและมีบางโครงการมีโอกาสได้ข้อสรุปภายใน 1Q67 ซึ่งมูลค่ารวมทุกโครงการค่อนข้างสูง และรับรู้รายได้ได้ไว ทำให้มีโอกาสที่รายได้ส่วนนี้จะสูงกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ 100ลบ./ปี (คาด 131ลบ. ในปี 2568)            ขณะที่รายได้จาก รพ. พระนั่งเกล้า, The Market, ตลาดบางกอกน้อย รับรู้เต็มปี ด้วยTraffic ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่งาน PMS ของ One Bangkok รับรู้รายได้เต็มปีเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีงาน PS ขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับโครงการของ รพ. ศิริราช คาดว่าจะได้เพิ่มเติมในปี 2568 เช่นกัน ทำให้ประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ยังมีความเป็นไปได้ กำไรโตสูงถึงปี69...            คงคำแนะนำซื้อด้วยโอกาสได้งาน CIPS สูง และเป็นงานที่รับรู้รายได้ไม่นานทำให้โอกาสที่รายได้ส่วนนี้จะสูงกว่าเป้าบริษัทได้ไม่ยาก รวมถึงโอกาสจากโครงการใหม่ๆ ขนาดใหญ่ทั้งที่มีรายได้ได้เลย และโครงการก่อสร้างใหม่ ยังคงคาดกำไรปี 2568 ที่ 153 ลบ. (+52.1% YoY)            ส่วนปี 2569 เป็นปีแรกที่เริ่มรับรู้รายได้จากอาคารจอดรถศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกศิริราชพยาบาล คาดกำไรเติบโตอีก 47.8% YoY เป็น 227 ลบ. เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่กว่า รพ. พระนั่งเกล้าฯ 2 เท่า ทั้งพื้นที่จอด และพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์   ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขาย PER68 ต่ำเพียง 16.4 เท่า คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 10.70 บาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

XO เครื่องปรุงรสแซ่บ โมเดิร์นเทรดทำเงิน

XO เครื่องปรุงรสแซ่บ โมเดิร์นเทรดทำเงิน

           หุ้นวิชั่น - XO ชูธงขายเครื่องปรุงรสต่างแดน เร่งเครื่องทำยอด จับเทรนด์ผู้บริโภค อาหารโตต่อ ด้าน บิ๊กบอส "จิตติพร จันทรัช" ตั้งเป้ารายได้ปี 68  โต 15% ลุยเจาะโมเดิร์นเทรด สาขา 1.2 หมื่นแห่ง แถมบาทอ่อนหนุนเงิน            นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า บริษัทคาดว่าไตรมาส 4/2567 จะเป็นจุดต่ำสุด และในปี 2568 บริษัทจะเติบโตเพิ่มขึ้น โดยภาพรวมของปี 2568 คาดว่าจะดีกว่าปี 2567 จากการขยายการขายสินค้าในตลาดหลัก เช่น ประเทศเยอรมนี ซึ่งปัจจุบันมีร้านค้าโมเดิร์นเทรดกว่า 12,000 แห่ง ขณะที่บริษัทจำหน่ายซอสของบริษัทในร้านค้าเพียง 3,000 แห่ง ทำให้ยังมีโอกาสขยายช่องทางการขายในตลาดหลักได้อีกมาก            นอกจากนี้ บริษัทจะเดินหน้าขยายตลาดใหม่เพื่อเพิ่มฐานลูกค้า โดยเฉพาะในประเทศยุโรป ซึ่งมีความต้องการใช้เครื่องปรุงรสคล้ายคลึงกับตลาดที่ XO จำหน่ายอยู่ โดยบริษัทจะเน้นการออกงานแสดงสินค้าเพื่อเพิ่มการรับรู้และเปิดตลาดใหม่ในการขายสินค้า            สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโต 15% จากปี 2567 ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) จัไม่ต่ำกว่า 45% ซึ่งดีมานด์การใช้เครื่องปรุงรส และซอสยังเติบดตต่อเนื่อง โดยเป็นไปตามการบริโภคอาหารของผู้บริโภคที่ต้องการได้รสชาติอาหารอร่อย            อย่างไรก็ดี บริษัทไม่กังวลประเด็นสงครามต่างประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทสามารถสามารถจำหน่ายสินค้าได้เป็นปกติ แม้จะเกิดสงครามยูเครน รัสเซีย ส่วนประเด็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทไทยอยู่ในโซนอ่อนค่า เป็นผลดีต่อการจำหน่ายของ XO เนื่องจากบริษัทซื้อขายสินค้าเป็นสกุลเงินบาท            อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 XO มีรายได้แล้วที่ 1,979.16 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 670.48 ล้านบาท            ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่าถึง XO ว่า ฝ่ายวิเคราะห์ ลดเป้ารายได้ 2024F เหลือทรงตัว จากเดิม +10-15%  y-y(vs ฝ่ายวิเคราะคาด +3%  y-y) จากลูกค้าหลักทั้งยุโรป  (80% ของรายได้)  ชะลอตัวจากก่อนหน้านี้  เร่งออเดอร์ช่วง 2Q23-2Q24ไปมาก และเหลือสต็อคสูง ขณะที่ สหรัฐ (ลดจาก 25% เหลือ 3% ของรายได้) ยังมีปัญหา Supply เหลือสูงเช่นกัน และปัญหาการแข่งขัน ที่เจ้าตลาดตัดราคา             โดยระยะสั้น 4Q24F มองออเดอร์จะยังลดลง y-y และยังลงเล็กน้อย q-q ต่อเนื่อง  ซึ่งโดยรวม มองการจัดการด้านสต็อคต้องใช้เวลาอีกราว 1-2 ไตรมาส ขณะที่ อิงอดีตที่ผ่านมา ในรอบธุรกิจที่ดี หลังรายได้ทำจุด Peak จะใช้เวลา 5-7 ไตรมาส เพื่อกลับสู่ Peak อีกรอบ (รอบนี้รายได้พีค 4Q23) Line ผลิตใหม่เริ่มTest run และคงแผนสร้างโรงงาน โดย Line ผลิตใหม่อีก 1ไลน์ (ลงทุน 200ลบ., ตัดค่าเสื่อม 10ปี, สร้าง Max revenue 1พันลบ.) เริ่ม Test run 4Q24F และจะเริ่มเชิงพาณิชย์ 1Q25F โดยจะได้ BOI ขณะที่ คงแผนสร้างโรงงานใหม่ ลงทุนราว 700 ลบ. ใช้เวลา 12-18 เดือน คาด Eff tax rate ปี 2025F 8-9% หลังทยอยหมด BOI ไลน์ปัจจุบัน 3Q24 และรวมประโยชน์จาก BOI ไลน์ใหม่เข้าไปแล้ว โดยเทียบ Eff tax rate 1H243.3%, 3Q247.2% ความเห็นและคำแนะนำ มีมุมมอง “Slightly  negative” ต่อข้อมูลที่ได้รับจากงานประชุมนักวิเคราะห์และลดประมาณการกำไรปี 2024F-26F ลงเฉลี่ย 2% จากลดรายได้ลง  โดยกำไรปี 2024-25F ที่ 805ลบ. (+3%) และ 752ลบ. (-7%) ระยะสั้น 4Q24F คาดกำไรยังลดทั้ง y-y,  q-q จากรายได้ที่ยังชะลอ โดยจุดที่ต้องจับตา คือ ในแนวโน้มรายได้ชะลอตัว ขณะที่ จะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามา อาจกระทบอัตรากำไรในช่วงแรก แม้ราคาหุ้นปรับลดมามาก และซื้อขาย Valuation PER25F เหลือ 11.4 เท่า (-1.6SD) แต่หุ้นยังขาดปัจจัยบวก ยังแนะนำ “Neutral” และจะหาจุดเข้าลงทุนต่อไป จาก TP25F ใหม่ 21.1บาท (เดิม 27บาท) อิง PER 12เท่า เทียบเท่า ค่าเฉลี่ย-1.5SD รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[ภาพข่าว] CPANEL จัดงาน Analyst Meeting

[ภาพข่าว] CPANEL จัดงาน Analyst Meeting

           นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม (ที่ 4 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL จัดประชุมนักวิเคราะห์ Analyst Meeting ให้ข้อมูลกลยุทธ์สร้างการเติบโตช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 คว้างานภาครัฐ 5 โครงการ มูลค่ารวม 107 ล้านบาท เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีคุณภาพสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขยายฐานลูกค้าภาครัฐ-เอกชนหลากหลาย เข้าร่วมประมูลงานใหม่ ต่อเนื่อง ควบคู่การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างการเติบโตให้ผลการดำเนินงานในอนาคต

PIS ลุยเดินสายโรดโชว์ จ.ขอนแก่น เตรียมขาย IPO 140 ล้านหุ้น

PIS ลุยเดินสายโรดโชว์ จ.ขอนแก่น เตรียมขาย IPO 140 ล้านหุ้น

          หุ้นวิชั่น - นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายนวัช ทัฬหิกรณ์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานการเงินและบัญชี บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIS พร้อมด้วย นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ (ที่ 1จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน และ นายชานนทร์ ปิยสุนทร (ที่ 1 จากขวา) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้น ร่วมนำเสนอข้อมูลรายละเอียดหลักทรัพย์แก่นักลงทุนใน จ.ขอนแก่น โดยมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 140 ล้านหุ้น ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

[Vision Exclusive] PIMO อัพเกรด BLDC ทุ่ม 40ล. เพิ่มกำลังเท่าตัว!

[Vision Exclusive] PIMO อัพเกรด BLDC ทุ่ม 40ล. เพิ่มกำลังเท่าตัว!

            หุ้นวิชั่น - PIMO กางกลยุทธ์ปีมะเส็ง ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 25% บอร์ดอนุมัติงบ 40 ล้านบาท อัพไลน์ผลิตมอเตอร์ BLDC เท่าตัว จากปัจจุบันที่ 2 หมื่นลูก ส่องดีมานด์ 48 ล้านลูกต่อปี ลั่นออเดอร์เรียงคิวโค้งแรก ลุยบริหารต้นทุนดันมาร์จิ้นพุ่ง             นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO ผู้ประกอบธุรกิจหลักผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าเครื่องปรับอากาศ (Air Conditioning Motor) มอเตอร์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไป (Induction Motor) เครื่องสูบน้ำ ปั๊มหอยโข่ง มอเตอร์สำหรับสระว่ายน้ำ มอเตอร์สำหรับปั๊มบ้าน (Submersible Pump,Pool Spa Pump and Home Pump) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า บริษัทตั้งเป้าการเติบโตในปี 2568 ที่ 25% โดยมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มกำไรมากกว่าการเพิ่มยอดขาย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าหมุนเวียนและสินค้ามาร์จิ้นสูง (High Margin) เช่น มอเตอร์ BLDC หรือ มอร์เตอร์ชนิดพิเศ๋ษ ซึ่งเจาะตลาดสินค้าเฉพาะกลุ่ม หรือ  Niche Market             ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติงบลงทุน 40 ล้านบาท ในการขยายไลน์สินค้าใหม่เพิ่มเติม มอเตอร์ BLDC บริษัทมีแผนจะเพิ่มกำลีงผลิตอีกเท่าตัว จากปัจจุบัน PIMO มีกำลังผลิตอยู่ที่ 20,000 ลูก เพื่อรองรับดีมานด์หรือความต้องการของตลาดที่ 48 ล้านลูกค้าต่อปี คาดว่าจะเริ่มผลิตสินค้ารุ่นใหม่ในช่วงเดือนมีนาคม หรือ เมษายน ปี 2568 และจะเร่งยอดขายในปี 2568             สำหรับในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตและวางแผนในด้านการเติบโตยอดขายและกำไรเป็นที่สำคัญ โดยการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกา ซึ่งมีความต้องการสินค้าในกลุ่มนี้สูง ขณะเดียวกันมีกำลังผลิตสินค้าในกลุ่ม AC หรือมอเตอร์ปกติคาดจะเติบโตต่อเนื่อง ปัจจุบันมียอดสั่งซื้อในไตรมาส 1/2568 เข้ามาจำนวนมาก และอยู่ระหว่างเร่งผลิตสินค้าเพื่อส่งมอบสินค้า พร้อมรองรับการขายให้ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศในไตรมาสแรกถึงไตรมาสที่สองของปีหน้า             พร้อมกันนี้บริษัทให้ความสำคัญกับการขยายอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit) และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit) มากกว่าการมุ่งเน้นที่ยอดขายเพียงอย่างเดียว โดยการบริหารจัดการต้นทุนให้นัดกุม และเร่งส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าให้รวดเร็ว             อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 PIMO มีรายได้แล้วที่ 907.40 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 91.63 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

ธุรกิจอาหาร 6.57แสนล. AU ฮอต! ขนมหวานติดตลาด

ธุรกิจอาหาร 6.57แสนล. AU ฮอต! ขนมหวานติดตลาด

          หุ้นวิชั่น - KResearch คาดมูลค่าคลาดธุรกิจร้านอาหาร เครื่องดื่มปี 68 ที่ 6.57 แสนล้าน โต 4.6% ชี้ท่องเที่ยวในประเทศหนุน "อาฟเตอร์ ยู" ติดโผ หุ้นเด่น ฮอตขนมหวานติดตลาด ใส่เกียร์ขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ทำเงิน แนะ “ซื้อ” เป้า 12.50 บาท           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) ระบุว่า แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจร้านอาหารและร้านเครื่องดื่มในปี 2568 คาดมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 657,000 ล้านบาท เติบโต 4.6% จากปี 2567 จากภาคการท่องเที่ยวในประเทศที่ยังเติบโต การขยายสาขาของผู้ประกอบการไปยังภูมิภาค รวมถึงไลฟ์ สไตล์ของผู้บริโภคและความต้องการอาหารและเครื่องดื่มใหม่ที่เพิ่มขึ้นช่วยหนุนการเติบโตของตลาด แต่ธุรกิจมีการแข่งขันสูงทำให้การลงทุนยังต้องระวัง           ธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 คาดมูลค่าตลาดอยู่ที่ 572,000 ล้านบาท เติบโต 4.8% จากปี 2567 กลุ่มร้านอาหารข้างทาง (Street Food) มีอัตราการเติบโตดีกว่ากลุ่มอื่น เนื่องจากได้รับความนิยมจากคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่ธุรกิจร้านเครื่องดื่ม (รวมร้านเบเกอรี่และไอศกรีม) ในปี 2568 คาดมูลค่าตลาดอยู่ที่ 85,320 ล้านบาท เติบโต 3.2% จากปี 2567           แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศ ในปี 2568 คาดว่า ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 657,000 ล้านบาท เติบโต 4.6% แต่เป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวจากปี 2567           การเติบโตของธุรกิจได้รับปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากภาคการท่องเที่ยวทั้งการเดินทางท่องเที่ยวคนไทยและชาวต่างชาติที่คาดว่ายังเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 โดยการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) เป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติกอปรกับไทยมีร้านอาหารที่ติดอยู่ในมิชลินไกด์ กว่า 482 ร้านอาหาร จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพบว่า การใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มของนักท่องเที่ยวมีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 2 ของการใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวทั้งหมด           นอกจากนี้การเติบโตของมูลค่าตลาดยังเป็นผลมาจากราคาที่ปรับสูงขึ้นตามภาวะแนวโน้มต้นทุนทางธุรกิจที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมไปถึงการขยายสาขาของผู้ประกอบการและกลยุทธ์การตลาดกระตุ้นให้รายได้ต่อครั้งการสั่งอาหารเพิ่มขึ้น การแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม           ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศมีการแข่งขันรุนแรงในทุกระดับราคาและประเภทของอาหาร ประเทศไทยมีความหนาแน่นของร้านอาหารต่อประชากรอยู่ที่ 9.6 ร้านต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นอัตราส่วนที่สูง โดยในปี 2568 คาดว่าร้านอาหารและเครื่องดื่มจะมีจำนวนประมาณ 6.9 แสนร้าน ในปี 2568 ผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และผู้ประกอบรายเล็ก (บุคคล) ยังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการในตลาดมีแผนที่จะขยายสาขาในกลุ่มแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มเดิม รวมถึงการเปิดแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มใหม่ครอบคลุมทุกเช็กเม้นท์ของตลาด และส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มร้านอาหารเอเชีย           นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มยังมาจากแนวโน้มการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ อาทิ ห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงานเปิดใหม่เป็นปัจจัยสนับสนุนจำนวนร้านอาหารเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทิศทางลงทุนของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีกิจกรรมการท่องเที่ยวสูง อาทิ ชลบุรี เชียงใหม่และสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ศักยภาพ โดยจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 24% ของจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มทั่วประเทศ           นอกจากนี้ การแข่งขันในธุรกิจยังมาจากการเข้ามาลงทุนของชาวต่างชาติ โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มยังได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจมากขึ้นสะท้อนได้จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า มูลค่าทุนจดทะเบียนร้านอาหารและเครื่องดื่มจำแนกตามสัญชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปี 2567 กลุ่มร้านอาหารและเครื่องดื่มจากจีนมีมูลค่าการลงทุนที่เร่งตัวขึ้น และแนวโน้มการเข้ามาลงทุนน่าจะเพิ่มสูงขึ้น           ทั้งนี้การแข่งขันในธุรกิจที่รุนแรงก็ทำให้เกิดการหมุนเวียนเปิด-ปิดกิจการของผู้ประกอบการใหม่และเก่าเป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน สะท้อนจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ร้านอาหารปิดตัวเร่งขึ้นโดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ร้านอาหารมีการจดทะเบียนยกเลิกธุรกิจสูงถึง 89% (YoY) ขณะที่การเปิดตัวใหม่ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แนวโน้มธุรกิจร้านอาหาร           ในปี 2568 คาดว่า มูลค่าตลาดร้านอาหาร (รวมร้านอาหารประเภทร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ ร้านอาหารที่ให้บริการจำกัด และร้านอาหารข้างทางหรือ Street Food ที่มีหน้าร้าน) จะมีมูลค่ารวมประมาณ 572,000 ล้านบาท เติบโต 4.8% จากปี 2567           การเติบโตของร้านอาหารแต่ละรูปแบบมีปัจจัยเฉพาะที่ต่างกัน อาทิ ทำเลที่ตั้งของร้าน ความหนาแน่นของร้านอาหารทั้งที่เป็นประเภทเดียวกันและต่างกันในแต่ละพื้นที่ รวมถึงราคา คุณภาพ/รสชาติของอาหาร และการให้บริการ รวมไปถึงเทรนด์การบริโภคของผู้บริโภค การนำเสนอเมนูใหม่ๆ และมีเอกลักษณ์ก็มีผลต่อการเติบโตของร้านอาหาร - ร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full Service Restaurants) คาดว่าจะเติบโต 2.9%จากปี 2567 หรือมีมูลค่า 213,000 ล้านบาท โดยร้านอาหารประเภทบุฟเฟต์ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่มองเรื่องความคุ้มค่าและไลฟ์ สไตล์ที่เปลี่ยนไป สำหรับกลุ่มร้านอาหารประเภทอะลาคาร์ท (A La Carte)อย่างกลุ่ม Casual Dining อาทิ ร้านอาหารญี่ปุ่น เกาหลี ไทย และตะวันตก ในกลุ่มราคาระดับกลางจะเจอกับความท้าทายจากกำลังซื้อและการแข่งขันจากร้านที่เปิดให้บริการจ านวนมาก - ร้านอาหารที่ให้บริการ จำกัด (Limited Service Restaurants) คาดว่าจะเติบโต 3.8% จากปี 2567 หรือมีมูลค่า 93,000 ล้านบาท การขยายตัวจะมาจากการขยายสาขาของผู้ประกอบการอย่างกลุ่มพิซซ่า และไก่ทอด และจากผู้ประกอบการที่ให้บริการในรูปแบบ Full Service ได้ปรับรูปแบบร้านอาหารมาเป็นแบบ Quick service มากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้นและเป็นการลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ - ร้านอาหารข้างทาง (Street Food) ที่มีหน้าร้าน คาดว่าจะเติบโต 6.8% จากปี 2567 หรือมีมูลค่า 266,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็นเมนูพื้นฐานที่เข้าถึงได้ง่ายและราคาไม่สูง ทำให้ร้านอาหารกลุ่มนี้ยังขยายตัวดีกอปรกับร้านอาหารแนว Street Food ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยและชาวต่างชาติ แนวโน้มธุรกิจร้านเครื่องดื่ม           ในปี 2568 คาดว่า มูลค่าตลาดร้านเครื่องดื่ม (รวมร้านเบเกอรี่และไอศกรีม) จะมีมูลค่ารวมประมาณ 85,320 ล้านบาท เติบโต 3.2% จากปี 2567 การเติบโตส่วนหนึ่งมาจากการขยายสาขาของผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ และผู้ประกอบการรายเล็ก (บุคคล) ยังมีการเปิดร้านใหม่ รวมถึงการขยายแฟรนไชส์ร้านเครื่องดื่มของชาวต่างชาติที่น่าจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยมากขึ้น นอกจากนี้เครื่องดื่มและเบเกอรี่ใหม่ๆจากต่างประเทศที่เข้ามาทำตลาด มีส่วนกระตุ้นความต้องการบริโภคเครื่องดื่มและเบเกอรี่มากขึ้น ความเสี่ยงของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม • กำลังซื้อของผู้บริโภคยังฟื้นไม่เต็มที่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม โดยแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อภาวะการมีงานทำและกำลังซื้อของผู้บริโภค • ต้นทุนการดำเนินธุรกิจมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในปี 2568 ต้นทุนรอบด้านของธุรกิจร้านอาหารมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งค่าสาธารณูปโภคและค่าเช่า รวมถึงต้นทุนสำคัญ ได้แก่ - ต้นทุนค่าแรง โดยผู้ประกอบการยังต้องติดตามนโยบายของภาครัฐในการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2568ซึ่งคงจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก - ต้นทุนวัตถุดิบอาหารซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของธุรกิจร้านอาหารคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของต้นทุนธุรกิจ ด้วยสภาวะอากาศที่ไม่ปกติเกิดขึ้นในหลายประเทศทำให้ราคาวัตถุดิบอาจปรับขึ้นได้โดยเฉพาะกลุ่มวัตถุดิบนำเข้าอย่างนมผง เนย ชีส โกโก้ และแป้งสาลี โดยราคาซื้อขายล่วงหน้าในปี 2568 ยังทรงตัวสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนในกลุ่มร้านเบเกอรี่และอาหารตะวันตกค่อนข้างมาก • พฤติกรรมของผู้บริโภคที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของธุรกิจบริการโดย “ความแปลกใหม่+ประสบการณ์+สุขภาพ+ราคาสมเหตุสมผล” ได้กลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ของผู้บริโภคในปัจจุบัน และเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคที่ไม่ได้มีรูปแบบตายตัว ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ต่ำและเปลี่ยนแปลงตามกระแสอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับรูปแบบธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว           ขณะที่ นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ได้เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ธุรกิจร้านอาหารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่น่าสนใจ ได้แก่ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU จากแผนการขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ การวางขายสินค้าใน Modern Trade ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ได้รับกระแสนิยมทุกปี อีกทั้ง 9 เดือนแรกปี 2567 AU สามารถทำยอดขายได้ถึง 210.22 ล้านบาท           ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด AU ในไตรมาส 4/2567 บริษัทจะยังคงเติบโต YoY, QoQ จากการขยายรายได้ในทุกช่องทาง ได้แก่ รักษา SSSG ที่เป็นบวก (เทียบกับ 4.5% ใน ไตรมาส 3/2567) และขยายสาขาเพิ่ม 1-2 แห่ง เป็น 63 สาขาในปี 2567           โดยมีเป้าหมายเพิ่มอีก 10 สาขาในปี 2568 รายได้จากการขายสินค้า AU ขยายการขายใน 7-Eleven เพื่อให้ครอบคลุม 14,000 สาขาภายในต้นปี 2568 (จากปัจจุบันที่ 8,000 สาขา) รวมถึงการจับมือกับการบินไทยในการจำหน่ายขนมปังของ After You ในเที่ยวบินตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2024 ถึง 31 พฤษภาคม 2025 และวางแผนขยายฐานลูกค้า OEM เพื่อเพิ่มสัดส่วนช่องทางนี้จากปัจจุบัน 13% ในไตรมาส 3/2567 ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567-2569 ขึ้น 9-14% การปรับเพิ่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขาย 4-7% ซึ่งขับเคลื่อนโดยยอดขายสำหรับร้านขนมหวานที่เติบโตกว่าคาด และการขยายช่องทางการขายสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ เช่น 7-Eleven และสายการบินไทย           อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น (65.5% ในปี 2567, 64.7% ในปี 2568-2569) เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นและผลประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด ดังนั้นคาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 18.4% ในปี 2567-2569 เพิ่มขึ้นจาก 14.6% ในปี 2566           คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ 12.50 บาท (DCF) ด้วยราคาเป้าหมายที่ปรับขึ้นเป็น 12.50 บาท (จากเดิม 11.50 บาท) อิงจาก DCF โดยสมมติฐาน Rf 2.5%, RPM 8% และ Beta 0.9 ซึ่งเทียบเท่ากับ 29 เท่า PER ปี 2024F และ PEG ที่ 1.5 เท่า โดยพิจารณาจากการเติบโตกำไร 19% YoY ที่มา https://www.settrade.com/th/research/businessanalysis

TNP เผย Q4/67 ขยายแลนด์มาร์กแตะ 50 สาขา

TNP เผย Q4/67 ขยายแลนด์มาร์กแตะ 50 สาขา

          ธนพิริยะ (TNP) แย้มทิศทาง Q4/67 ดีต่อเนื่องรับเทรนด์การท่องเที่ยว และการขยายสาขาที่ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และกำไร มุ่งมั่นหาสินค้าอุปโภค บริโภคใหม่ๆที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยราคาที่แข่งขันได้ ขยายแลนด์มาร์คแตะ 50 สาขา มั่นใจเป้ารายได้ โตตามแผน 10-15%           เภสัชกรหญิงอมร พุฒิพิริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดเชียงราย เผยทิศทางไตรมาส 4 ปี 2567 มุ่งเน้นกลยุทธ์หลัก ขยายอาณาจักรร้านค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งศูนย์กระจายสินค้าที่ได้ก่อสร้างเพิ่มเติมก็คาดจะเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะทำให้ธนพิริยะ มีพื้นที่จัดเก็บสินค้าที่สามารถรองรับการเติบโตได้มากถึง 60 สาขา อีกทั้งภาพรวมการทำรายได้ก็คาดว่าจะรักษาระดับการเติบโตได้อย่างดี ล่าสุด ธนพิริยะ จุดพลุฉลอง เปิดให้บริการ สาขา ม.พะเยา จ.พะเยา สาขาที่ 50 เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแหล่งย่านนักศึกษา คาดว่าจะเป็นสาขาที่มีผู้เข้ามาใช้บริการอย่างคึกคัก และเป็นสาขาที่น่าจะสร้างรายได้ที่เติบโตอย่างน่าสนใจในอนาคต โดยปัจจุบัน ธนพิริยะ มีสาขาทั้งสิ้น 50 สาขา โดยแบ่งเป็นร้านค้าปลีก 49 สาขา และร้านค้าส่ง 1 สาขา แบ่งเป็น จ.เชียงราย 39 สาขา จ.เชียงใหม่ 4 สาขา จ.พะเยา 7 สาขา  ซึ่งพื้นที่ขายรวมกว่า 17,400 ตารางเมตร  ด้วยสินค้าอุปโภค บริโภคที่มีมากกว่า 15,000 รายการ สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าของธนพิริยะ มีอยู่ 3 ช่องทางหลัก คือ หน้าร้านค้าแบบออฟไลน์ ช่องทางออนไลน์ และการเป็นตัวแทนจัดจำหน่าย โดยมุ่งเน้นหาสินค้าที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ พร้อมตามเทรนด์สินค้าใหม่ๆที่เป็นโอกาส ในการสร้างกำไร ด้วยราคาที่แข่งขันได้ ที่มาพร้อมมาตรฐานในระดับสากล เภสัชกรหญิงอมร กล่าวเสริม “สำหรับโค้งสุดท้ายของปี มองทิศทางการเติบโต จากการเดินหน้าเปิดสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระจายร้านค้าเข้าสู่ชุมชน ในทำเลที่มีศักยภาพ ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวได้อย่างทั่วถึง ประกอบกับเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ก็คาดว่าจะทำให้รายได้ของปี 2567 เป็นไปตามเป้าที่วางไว้อยู่ที่ 10-15%” [PR News]

[ภาพข่าว] GCAP คว้าเรตติ้ง “A” หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567

[ภาพข่าว] GCAP คว้าเรตติ้ง “A” หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567

          บริษัท จี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ GCAP ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร เปิดเผยว่า บริษัทได้รับการประกาศผลการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2567 ระดับ “A” ในกลุ่มธุรกิจการเงิน จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย GCAP เป็น 1 ใน 228 บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปีนี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยบริษัทยึดมั่นต่อการดำเนินงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) ตลอดจนคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย ภายใต้แนวคิดการสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Value) ระหว่างธุรกิจและสังคมให้เติบโตควบคู่กันได้อย่างยั่งยืน และคำนึงถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม           รางวัลดังกล่าวเป็นความภาคภูมิใจขององค์กรที่บริษัทได้รับการประกาศผล SET ESG Ratings ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการธุรกิจให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ มั่นคง และยั่งยืน ทั้งนี้บริษัทจะไม่หยุดยั้งในการพัฒนาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีส่วนได้เสีย และเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ลงทุนต่อไป

[Gossip] PIS หุ้นเทคฯ อนาคตไกล! เปิดฉากโรดโชว์ กรุงเทพฯ 24 ธ.ค.นี้

[Gossip] PIS หุ้นเทคฯ อนาคตไกล! เปิดฉากโรดโชว์ กรุงเทพฯ 24 ธ.ค.นี้

          เริ่มนับถอยหลัง เตรียมพบกับผู้บริหารหญิงคนเก่ง “เบญญาภา เฉลิมวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ควงคู่ “นวัช ทัฬหิกรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) มีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 140 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25.93 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้ว  เตรียมเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เร็วๆนี้ พร้อมนำเสนอข้อมูลการขายหุ้น IPO ในวันที่ 24 ธันวาคม 2567 เวลา 10.30-12.00 น. ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ... งานนี้ ใครสนใจหุ้นไอพีโอสายเทคฯ พื้นฐานแน่น อนาคตไกล ห้ามพลาดเลยคร้าาา

EURO ขึ้นแท่นตัวแทนขาย Bang & Olufsen แบรนด์ดังเดนมาร์ก

EURO ขึ้นแท่นตัวแทนขาย Bang & Olufsen แบรนด์ดังเดนมาร์ก

          บมจ.ยูโร ครีเอชั่นส์ (EURO) รุกตลาดไลฟ์สไตล์! ประกาศเป็นตัวแทนจำหน่าย Bang & Olufsen (B&O) แบรนด์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์สัญชาติเดนมาร์กในรูปแบบ Mono-brand stores แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เตรียมจัด 2 โชว์รูมเป็น Mono-brand คาดเปิดให้บริการในไตรมาส 2/2568 ด้านหัวเรือใหญ่ "เควิน กัมบีร์" เชื่อมั่นศักยภาพแบรนด์ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเดิม และสนับสนุนแผนการขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ เพิ่มการรับรู้ในแบรนด์ Euro Creations และสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง           นายเควิน กัมบีร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (EURO) ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ “Luxurious & High Quality Living” เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจาก Bang & Olufsen (B&O) แบรนด์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์สัญชาติเดนมาร์ก ให้เป็นตัวแทนแต่เพียงผู้เดียวในการดำเนินการและจัดจำหน่ายในฐานะ Mono-brand stores ในประเทศไทย โดยมีกำหนดเปิดตัวสาขาแรกที่ Euro Creations ทองหล่อ ชั้น 2 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Beo Home” และเตรียมเปิดอีกหนึ่งสาขาที่ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี ชั้น 4 ในช่วงประมาณไตรมาส 2/2568           “Bang & Olufsen (B&O) ให้ความสำคัญในเรื่องของ Design อันโดดเด่น (Iconic Design) คุณภาพเสียงที่มีระดับ (Superior Sound Quality) เทคโนโลยีอันล้ำสมัย (Innovative Technology) และ ศิลปะแห่งการสร้างสรรค์ (Craftsmanship) จึงทำให้ product ของ B&O มีความแตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ทั้งคนที่หลงไหลในเสียงเพลง คนที่ชื่นชอบดีไซน์ หรือชิ้นงานที่เป็น Iconic piece ทำให้กลุ่มลูกค้าของแบรนด์มีความหลากหลาย ดังนั้นเราเชื่อมั่นว่าใน 3-5 ปีข้างหน้า B&O จะเป็นแบรนด์ที่ลูกค้านึกถึงเป็นแบรนด์แรกถ้าเขาต้องการสินค้าและบริการในกลุ่มเครื่องเสียงและลำโพง”           ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EURO กล่าวต่อว่า “เรามีความยินดีที่ได้ร่วมงานกับ B&O ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์ที่มีดีไซน์โดดเด่น สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ EURO ที่ระบุว่า ชีวิตดีขึ้นได้ในพื้นที่ที่งดงาม เราเชื่อมั่นว่าแบรนด์นี้จะช่วยตอบโจทย์ลูกค้าปัจจุบันของเราด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น และจะเป็นหนึ่งในแบรนด์สำคัญของบริษัทฯ เราที่ช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เนื่องจาก B&O สามารถดึงดูดความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักฟังเพลงที่หลงใหลในคุณภาพเสียงระดับสูง ผู้ที่ชื่นชอบการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยีขั้นสูง จึงทำให้แบรนด์นี้เป็นส่วนเสริมที่ตอบโจทย์และสามารถดึงดูดลูกค้าได้ในวงกว้างยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสะท้อนถึงภาพลักษณ์ ความประทับใจ ความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ และเพิ่มโอกาสในการเติบโตในระยะยาว”           อนึ่ง Bang & Olufsen (B&O) เป็นแบรนด์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์สัญชาติเดนมาร์ก ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1925 มีชื่อเสียงโดดเด่นในด้านผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงคุณภาพสูง และ B&O ขึ้นชื่อในเรื่องการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ คุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยมีประวัติอันยาวนานในการผสมผสานความสวยงามเข้ากับฟังก์ชันการใช้งาน แบรนด์นี้ยังร่วมมือกับนักออกแบบชั้นนำระดับโลก สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อันเป็น Iconic ซึ่งช่วยยกระดับชื่อเสียงให้เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ระดับพรีเมียม           ในประเทศไทย B&O เป็นตัวแทนของความหรูหรา ดึงดูดลูกค้าที่พิถีพิถันและให้ความสำคัญทั้งด้านประสิทธิภาพและสไตล์ อีกทั้งตั้งอยู่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา B&O ได้สร้างชื่อเสียงในการนำเสนอคุณภาพอันยอดเยี่ยมและการออกแบบที่โดดเด่น ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคไทยที่ชื่นชอบความหรูหราและความประณีต ผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงระดับลักซ์ชัวรี่ของแบรนด์ได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้าชาวไทยที่มีกำลังซื้อสูง ผลักดันให้แบรนด์เติบโตอย่างต่อเนื่องและได้รับความนิยมอย่างยั่งยืน

[Vision Exclusive] THANA ปล่อยโปรดึงยอดท้ายปี-เปิด 1.5 พันล.

[Vision Exclusive] THANA ปล่อยโปรดึงยอดท้ายปี-เปิด 1.5 พันล.

หุ้นวิชั่น - "สุทธิรักษ์  เสถียรภาพอยุทธ์" บิ๊กบอส THANA ฉายภาพอสังหาฯท้ายปี ใส่เกียร์ปล่อยโปรโมชั่นดึงยอดโอน เล็งเปิดโครงการใหม่ปี 68 มูลค่า 1.5 พันล้านบาท ชี้บ้านไม่เกิน 3 ล้านบาทขายดี จับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหนุน           นายสุทธิรักษ์  เสถียรภาพอยุทธ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA  เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า ในครึ่งปีแรกของปี 2568 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อาจมีความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและมาตรการต่างๆ ที่ทยอยส่งผลกระทบต่อการเติบโตของธุรกิจ โดยเฉพาะในส่วนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและงานก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 เมื่อสถานการณ์ตลาดและอุตสาหกรรมดังกล่าวดูดซับปัจจัยต่างๆ ได้มากขึ้น ขณะที่การเปิดโครงการใหม่ของ THANA ในช่วงปลายปี 2567 คาดจะช่วยกระตุ้นยอดโอน ซึ่ง THANA มีโปรโมชั่นที่น่าสนใจจะช่วยกระตุ้นความต้องการในการซื้อที่อยู่อาศัย และโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงสิ้นปี 2567 นี้ THANA มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2568 จำนวน 1 โครงการ มูลค่า 1,500 ล้านบาท โดยจะมีการเปิดโครงการใหม่ขนาดกลาง คาดว่าจะสามารถสร้างยอดรับรู้รายได้ได้ดี แม้ในตลาดที่ยังคงชะลอตัว นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะกระตุ้นยอดขายและสร้างความสนใจจากลูกค้าด้วยโปรโมชั่นพิเศษที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าที่มีราคาน่าสนใจ หรือไม่เกิน 3 ล้านบาท อย่างไรก็ดี THANA จะพิจารณาเปิดโครงการขนาดเล็ก หากภาพรวมเศรษฐกิจค่อยๆฟื้นตัว สำหรับการปล่อยสินเชื่อมองว่ายังคงอยู่ในลักษณะเดิม โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจลดลงในปลายปี 2567 ตามทิศทางของสงครามและสภาวะเศรษฐกิจ พร้อมทั้งได้มีการหารือกับสถาบันการเงินเพื่อสนับสนุนการปล่อยสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง บริษัทคาดว่าในปี 2568 การเติบโตจะเพิ่มขึ้นจากการเปิดโครงการใหม่และการขยายพื้นที่ขาย โดยตั้งเป้ายอดขายในปี 2568 ไว้ที่ 15-20% จากโครงการพร้อมขายของ THANA ที่มีอยู่ 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้จากสินค้าที่มีในมือ ขณะเดียวกันยังมองว่าสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทมีเสถียรภาพ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยไม่สูงขึ้นมากและยังคงเห็นโอกาสในการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันทางการเงิน ทั้งนี้ยอดปฏิเสธสินเชื่อของ THANA อยู่ที่ระดับ 20% ซึ่งยอมรับว่าเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่ 15-16% แต่ THANA จะพยายามควบคุมยอดปฏิเสธสินเชื่อไม่ให้เพิ่มขึ้นสูง จากการคัดกรองลูกค้าก่อนยื่นเอกสารกู้เงินจากสถาบันทางการเงิน อย่างไรก็ตาม THANA การดำเนินธุรกิจมาแล้วกว่า 30 ปี มีประสบการณ์และความเชื่อมั่นจากลูกค้าในหลากหลายกลุ่ม โดยบริษัทมุ่งเน้นคุณภาพและความคุ้มค่าในการพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างครบถ้วน อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 THANA มีรายได้แล้วที่ 368.47 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 32.63 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] TRP โรงพยาบาลใหม่ ศัลยกรรมครบจบปัง!

[Vision Exclusive] TRP โรงพยาบาลใหม่ ศัลยกรรมครบจบปัง!

          หุ้นวิชั่น - "ธีรพรคลินิก" เปิดโรงพยาบาลใหม่ไฉไลกว่าเดิม ลุยศัลยกรรมครบวงจร ดีเดย์เมษายนปีหน้า ฟากผู้บริหารหนุ่มไฟแรง "คงศักดิ์ เตชะวิบูลย์ผล" เจาะฐาน Wellness ทำเงิน แถมดีมานด์ศัลยกรรมล้น ปักธงรายได้ปี 68 โต 15%           นายแพทย์คงศักดิ์ เตชะวิบูลย์ผล กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท เอสเตติก คอนเนค จำกัด (มหาชน) หรือ TRP ผู้ให้บริการศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า ภายใต้ชื่อ "ธีรพรคลินิก" เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ในปี 2568 บริษัทเตรียมเปิดให้บริการโรงพยาบาลใหม่ และขยายธุรกิจโดยการเพิ่มหัตถการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและเพิ่มมูลค่าธุรกิจให้มากขึ้น โดยมุ่งเน้นการรักษาความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ           สำหรับแผนการเปิดโรงพยาบาลใหม่คาดว่าจะดำเนินการในช่วงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม ซึ่งโรงพยาบาลใหม่จะมีพื้นที่ขยายเพิ่มขึ้นเป็น 9,000 ตารางเมตร จากเดิมที่มีพื้นที่เพียง 1,100 ตารางเมตร การขยายพื้นที่นี้จะช่วยให้ TRP สามารถนำบริการใหม่ๆ เช่น ศัลยกรรมครบวงจร การดูแลผิวพรรณ (สกิน) และเวลเนส (Wellness) มานำเสนอแก่ลูกค้าเพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มความหลากหลายในการให้บริการ รวมถึงการสร้างแบรนด์ดิ้งให้เป็นที่รู้จัก           TRP วางแผนเจาะตลาด Wellness และเน้นกลยุทธ์การขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าหลัก (Cross Selling) โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งมักมีปัญหาด้านสุขภาพ บริษัทจะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพให้กับลูกค้ากลุ่มนี้ ในส่วนของตลาด Wellness บริษัทมองว่าเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันมีแนวโน้มมีครอบครัวน้อยลงและมีสังคมเดี่ยวมากขึ้น จึงหันมานำเงินที่มีมาใช้ในการดูแลตัวเองมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าและเติบโตในตลาดนี้           นายแพทย์คงศักดิ์ กล่าวต่อว่า ความต้องการบริการศัลยกรรมยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่เติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับช่วงหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย โดยปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มศึกษาข้อมูลมากขึ้นและใส่ใจในการใช้จ่าย เพื่อให้มั่นใจว่าเงินที่ใช้ไปในการดูแลตัวเองจะคุ้มค่ามากที่สุด           บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 เพิ่มขึ้น 10-15% จากปี 2567 โดยมุ่งรักษาอัตรากำไรในระดับที่ใกล้เคียงปี 2567 ซึ่งไม่มีค่าเสื่อมโรงพยาบาลใหม่  ทั้งนี้ ธุรกิจศัลยกรรม สกิน และเวลเนสคาดปี 2568 จะมีต้นทุนใกล้เคียงเดิม แต่จะมีปัจจัยที่ต้องติดตามในครึ่งปีหลัง 2568 คือค่าเสื่อมจากการเปิดโรงพยาบาลใหม่ เนื่องจากมีค่าเสื่อมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นในช่วงแรกที่ยังไม่มีเคสมากนัก แต่เมื่อจำนวนเคสเพิ่มขึ้น คาดจะสามารถชดเชยค่าเสื่อมและทำให้อัตรากำไรดีขึ้นในภายหลัง           ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) แนวโน้ม 4Q24 ยังฟื้นตัว ส่วนปี 25F คาดฟื้นตัวแต่มี Downside กำไร 9M24 คิดเป็น 73% ของทั้งปี 24F ที่ 146 ล้านบาท (-24%) ยังคงไว้ มองกำไร 4Q24F ยังลด YoY, +QoQ ตามฤดูกาล           ขณะที่กำไรปี 25F คาดไว้ที่ 198 ล้านบาท (+36%) คาดมี Downside 10% เนื่องจากแนวโน้มรายได้ยังเติบโตช้า และแผนเปิดโรงพยาบาลใหม่ใน 1Q25F (ห้องผ่าตัดเพิ่มจาก 6 เป็น 12 ห้อง) คาดมีค่าใช้จ่ายขึ้นราว 10-20 ล้านบาท/ปี ซึ่งแผนปรับปรุงทั้งการเพิ่มศัลยกรรมใหม่ ขยายไปกลุ่ม Skin รวมถึงการปรับการตลาดและการขาย ยังต้องใช้เวลารับรู้จากกลุ่มลูกค้าทั้งกลุ่มเดิม (อายุ 40+)(80% ของรายได้) และกลุ่มวัยรุ่น & คนทำงานช่วงเริ่มต้น (20% ของรายได้)           แนะนำ "Buy" เชิงตั้งรับจาก TP25F ที่ 11.40 อิง PER 20x หุ้นปรับลง YTD -48% และซื้อขายที่ PER 25F 16x เป็น Valuation โซนลงทุน แต่ยังมี Downside กำไร 25F จึงแนะนำ "Buy" เชิงตั้งรับจาก TP25F ที่ 11.40 บาท อิง PER 20 เท่า.           อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 TRP มีรายได้แล้วที่ 417.26 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 106.80 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[ภาพข่าว] PHOL คว้าหุ้นยั่งยืน ปี 67  SET ESG Ratings “A”

[ภาพข่าว] PHOL คว้าหุ้นยั่งยืน ปี 67 SET ESG Ratings “A”

           นายธันยา หวังธำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ผลธัญญะ (PHOL) ผู้ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าและบริการเพื่อความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้รับผลการประเมินหุ้นยั่งยืน หรือ SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ในระดับ “A” เป็นปีที่ 2 ต่อเนื่อง ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทฯในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้กรอบการดำเนินงานและการเปิดเผยข้อมูลที่ครอบคลุมในทุกมิติทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) การขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่กับการตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน โดย PHOL เป็น 1 ใน 228 บริษัทจดทะเบียน ที่ผ่านเกณฑ์และได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน ประจำปี 2567 ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

[ภาพข่าว] READY เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุน

[ภาพข่าว] READY เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุน

           นายทรงยศ คันธมานนท์ (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยนายบุรินทร์ เกล็ดมณี (ที่ 8 จากขวา) รองกรรมการผู้จัดการบริหาร และนางสาวอนัญญา แสงรัตนเดช (ที่ 7 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท เรดดี้แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) “READY” ให้การต้อนรับคณะนักลงทุน เนื่องในโอกาสเข้าเยี่ยมชมกิจการ พร้อมบรรยายภาพรวม แผนการดำเนินธุรกิจของ บริษัทฯ และทิศทางการเติบโตของแพลตฟอร์มการขายและการตลาดดิจิทัลแบบ All-in-One Sales and Marketing Platform ครอบคลุมทั้งการสร้างเว็บไซต์ โฆษณาออนไลน์ ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า และระบบจองโรงแรมโดยตรง ที่มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องรับเทรนด์การตลาดใหม่ในอนาคต พร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหาร ถึงแผนและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของ READY  ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ บมจ.เรดดี้แพลนเน็ต อาคารเมเจอร์ ทาวเวอร์ กทม.

DEXON รุกตลาดละตินอเมริกา ตั้งบ.ย่อยในชิลี

DEXON รุกตลาดละตินอเมริกา ตั้งบ.ย่อยในชิลี

          บริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ DEXON เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทได้มีการอนุมัติให้บริษัทย่อย DEXON Technology USA Inc. จดจัดตั้งบริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี ชิลี เอสพีเอ หรือ DEXON Technology Chile SpA  ซึ่งเป็นบริษัทย่อยแห่งใหม่ในประเทศชิลี โดยบริษัทย่อยดังกล่าวให้บริการตรวจสอบระบบท่อนำส่งด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง และมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายฐานการตลาดและการให้บริการในแถบอเมริกาใต้ [PR News]

AUCT พัฒนาสาขารังสิต รองรับตลาดรถยนต์มือสอง

AUCT พัฒนาสาขารังสิต รองรับตลาดรถยนต์มือสอง

          บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT เล็งปรับโฉมสาขารังสิต-คลอง8 รองรับตลาดรถยนต์และรถจักรยานยนต์มือสองในเขตปริมณฑล ยืนยันศักยภาพบนพื้นที่ 100 ไร่ ย้ำเป็นลานประมูลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมีพื้นที่บริการ 100 ไร่ รองรับรถยนต์ได้ 7,000 คัน เร่งรีโนเวทให้ทันสมัย สะดวกสบาย และมีความหลากหลายของสินค้า พร้อมเปิดให้บริการภายในปี 2568           นายสุธี สมาธิ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีสาขาที่เป็นจุดประมูลทั้งหมด 13 แห่งทั่วประเทศ และรังสิต-คลอง8 เป็นสาขาที่มีความสำคัญอันดับ 2 รองจากสำนักงานใหญ่ เนื่องจากอยู่ใกล้กรุงเทพฯ และสามารถรองรับความต้องการซื้อ-ขายรถยนต์มือสองในเขตปริมณฑล ซึ่งมีสัดส่วนการขายประมาณ 25-30% และมีแนวโน้มว่าลูกค้าจะให้ความสนใจซื้อรถยนต์มือสองจากสาขาดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  บริษัทฯ จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาพื้นที่บริการให้มีศักยภาพทัดเทียมกับสำนักงานใหญ่ ทั้งนี้ การพัฒนาสาขารังสิต-คลอง8 จะส่งผลต่อการขยายตัวของธุรกิจในแง่ของการรองรับลูกค้าทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เพราะตั้งอยู่ชานเมืองที่ไม่ไกลลูกค้าในกรุงเทพฯ สามารถไปใช้บริการได้  นอกจากจะเป็นการเพิ่มโอกาสการซื้อการขายแล้ว ยังตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของการลงทุน เนื่องจากมีความได้เปรียบด้านต้นทุนหากเปรียบเทียบกับสำนักงานใหญ่ จึงมั่นใจว่าจะส่งผลต่อการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น           “สาขารังสิต-คลอง 8 มีพื้นที่ทั้งหมด 100 ไร่ ซึ่งถือว่าเป็นลานประมูลรถยนต์และรถจักรยานยนต์มือสองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สามารถรองรับรถยนต์ได้ประมาณ 7,000 คัน และรถจักรยานยนต์ได้ประมาณ  6,000-7,000 คัน ซึ่งถือว่าเป็นสาขาที่มีจุดเด่นด้านพื้นที่บริการ  ในอนาคตหลังจากที่มีการพัฒนาและปรับปรุงบริการต่าง ๆ แล้ว สาขารังสิต-คลอง 8 จะมีเซ็กเมนต์ของสินค้าที่มีความหลากหลายขึ้น ทั้งรถยนต์มือสองที่มีปีอายุการใช้งานน้อย รถยนต์ปีกลาง ๆ และรถยนต์ปีเก่า รถยนต์อุบัติเหตุ รถจักรกลทางการเกษตร และรถจักรยานยนต์” นายสุธีกล่าว           กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ต้องการปรับโฉมใหม่ของสาขารังสิต-คลอง8 เพื่อให้ลูกค้าที่มาใช้บริการรับรู้ได้ถึงความทันสมัย สะดวกสบาย ไม่ต่างจากการมาใช้บริการที่สำนักงานใหญ่ แต่จะโดดเด่นกว่าในเรื่องความหลากหลายของสินค้าที่มีครบทุกเซ็กเมนต์และพื้นที่บริการที่ใหญ่กว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เริ่มพัฒนาบางส่วนไปบ้างแล้ว แต่ในปีหน้ามีเป้าหมายที่จะปรับโฉมทั้งหมดของสาขารังสิต-คลอง8 ไม่ว่าจะเป็นลานประมูล จุดต้อนรับและบริการลูกค้า ให้มีความทันสมัยและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาเสร็จและพร้อมให้บริการได้อย่างเต็มรูปแบบประมาณเดือนสิงหาคม 2568           สำหรับผู้ที่สนใจการประมูลดังกล่าวติดตามข่าวสารและรายการรถยนต์ได้ที่  www.auct.co.th  หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 02-033-6555   [PR News]

88(ไทยแลนด์) ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 59.50 ล้านหุ้น เตรียมเข้า mai

88(ไทยแลนด์) ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 59.50 ล้านหุ้น เตรียมเข้า mai

          บมจ. 88(ไทยแลนด์) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม (Health & Beauty) ภายใต้แบรนด์ LYO, Hone และ ver.88 ยื่นไฟลิ่งต่อ สำนักงาน ก.ล.ต. เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 59.5 ล้านหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยแต่งตั้งบริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน พร้อมระดมทุนเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ ตามวิสัยทัศน์ ‘ก้าวสู่หนึ่งในผู้นำผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามอันดับ 1 ในเอเชีย เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน’           นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บมจ. 88(ไทยแลนด์) หรือ “88TH” ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายแบรนด์ของตนเองประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ (Hair care) แบรนด์ LYO (ไลโอ) กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนัง (Skincare) แบรนด์ Hone (โฮน) เครื่องสำอางค์ (Cosmetics) แบรนด์ ver.88 (เวอร์ 88)ได้ยื่นแบบแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ สำนักงาน ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 59.50 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 28 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ วัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ และจะเข้าซื้อขายในหมวดธุรกิจ สินค้าอุปโภคบริโภค (CONSUMP)           สำหรับหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ จำนวน 59.50 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 28 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 42.5 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 20 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Ilkano Pte. Ltd จำนวนไม่เกิน 17 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 8 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้           โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) บมจ. 88(ไทยแลนด์) จะมีทุนจดทะเบียน 212.5 ล้านบาท คิดเป็น 212.5 ล้านหุ้น จากปัจจุบันมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 170 ล้านบาท คิดเป็น 170 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาทต่อหุ้น           นางณัฐฐินี ชวนะนิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท 88(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘ผู้นำผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามอันดับ 1 ในเอเชีย เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน’ โดยมุ่งมั่นพัฒนาสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้วยการคัดสรรส่วนผสมจากธรรมชาติและใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและสามารถตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค รวมถึงมีบริษัทย่อยที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการผลิตและออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ ผ่านการรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์และให้คำแนะนำการออกแบบผลิตภัณฑ์ (OEM/ODM) เพื่อต่อยอดและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น           ปัจจุบัน บริษัทฯ ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ภายใต้ 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ (Hair care) แบรนด์ LYO (ไลโอ) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ลดผมร่วง (LYO Anti-Hair Loss) ผลิตภัณฑ์แชมพูปิดผมขาว (LYO Hair Color) และผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมจากสารสกัดสมุนไพร (LYO Herbal) 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนัง (Skincare) แบรนด์ Hone (โฮน) ได้แก่ โฮน อินเทนซีฟ โบทานี เซรั่ม และ โฮน ครีมกันแดด เป็นต้น และ3.กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบรนด์ ver.88 (เวอร์.88) ประกอบด้วย แป้งผสมรองพื้นหรือแป้งดินน้ำมัน รองพื้น บลัชเชอร์ ลิปสติก ดินสอเขียนคิ้ว อายไลน์เนอร์ ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ได้รับความเชื่อมั่นในด้านคุณภาพและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วประเทศ           ทั้งนี้บริษัทฯ ได้มุ่งเพิ่มศักยภาพการจัดจำหน่ายให้มีความแข็งแกร่งเพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ประกอบด้วย ตัวแทนจำหน่าย (Agent) ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ชั้นนำ (Modern trade) ช่องทางการสั่งซื้อที่บ้าน (Home shopping) และผ่านแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์มาร์เก็ตเพลสต่างๆ เช่น ช้อปปี้ (Shopee) ลาซาด้า (Lazada) และติ๊กต๊อกช้อป (Tiktok shop) เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าอีกทั้งยังสอดรับพฤติกรรมการซื้อสินค้าในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี           ด้านภาพรวมการดำเนินงานในปี 2564-2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 มีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 290.13 ล้านบาท 268.77 ล้านบาท  369.07 ล้านบาท และ 343.69 ล้านบาท ตามลำดับ โดย 9 เดือนแรกของปี 2567 รายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 343.09 ล้านบาท เติบโต 31.08% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 32.47 ล้านบาท  เป็นผลจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการขยายช่องทางจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมและเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น           นอกจากนี้ บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภท ซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือประกาศอื่นที่เกี่ยวข้องกำหนดไว้ [PR News]

[Gossip] TQR ลุ้นผลงาน Q4/67 โตฉ่ำ!

[Gossip] TQR ลุ้นผลงาน Q4/67 โตฉ่ำ!

          เข้าโค้งสุดท้ายแบบสวยๆ สำหรับ บมจ.ที คิว อาร์ (TQR) นายหน้าประกันภัยต่อครบวงจร โดยระยะนี้ ดูดีมีออร่า โดยเฉพาะแนวโน้มผลงาน Q4/67 ท่าทางมีแนวโน้มเติบโตแบบฉ่ำๆ! จากธุรกิจประกันภัยต่อสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล, ประกันภัยไซเบอร์ รวมทั้ง ประกันรถยนต์ไฟฟ้าที่มาแรงแซงโค้ง... ฟากบอสใหญ่ “ชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์” บอกว่า ช่วงปลายปีนี้จะเป็น Seasonal ของธุรกิจประกันภัย ทั้ง การต่ออายุประกันของผู้บริโภค ประกอบกับยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความต้องการสูง ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจประกันภัยต่อตามไปด้วย เอาเป็นว่า งานดีขนาดนี้ ผลงานทั้งปี ย่อมมีลุ้น ปรับเพิ่มขึ้นแบบฉ่ำๆ ไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นผิดหวังคร้า!!...

ABM เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่

ABM เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่

           หุ้นวิชั่น - นางสาวธิญาดา เมฆพงษ์สาทร กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย ไบโอแมส จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) หรือ ABM รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่ามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ทำรายการ วันที่ 20 – 21 พฤศจิกายน 2567 โดยรายละเอียดการจำหน่ายหลักทรัพย์ของบริษัทเป็นดังนี้ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 นางณัชปภา ควรสถาพร จำหน่ายหุ้นของบริษัทจำนวน 13,000,004 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 1.88 ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัท ผ่านการตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทโดยบริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) (“AGE”) เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 นายพนม ควรสถาพร จำหน่ายหุ้นของบริษัทจำนวน 18,145,339 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 2.62 ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัท ผ่านการตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทโดย AGE            บริษัทขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โดยสรุปดังนี้ หมายเหตุ: /1 นางณัชปภา ควรสถาพร มีความสัมพันธ์เป็นคู่สมรสของนายพนม ควรสถาพร            ทั้งนี้ การที่นายพนม ควรสถาพร และนางณัชปภา ควรสถาพร จำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัทผ่านการตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทโดย AGE ดังที่แสดงข้างต้น มีวัตถุประสงค์เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทที่ถือโดยนายพนม ควรสถาพร และนางณัชปภา ควรสถาพร ให้ต่ำกว่าร้อยละ 10.00 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้ว และสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัท เพื่อมิให้เข้าข่ายเป็นบุคคลที่อาจมีความขัดแย้งของ AGE ที่ถือหุ้นในบริษัทซึ่งจะมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ AGE ภายหลังการทำคำเสนอซื้อ โดยเป็นไปตามที่ระบุในข้อ 13 ของประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 39/2559 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ (รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติม) (“ประกาศเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่”)

DEXON จัดตั้งบริษัทย่อยในชิลี เพื่อขยายฐานสู่ทวีปอเมริกาใต้

DEXON จัดตั้งบริษัทย่อยในชิลี เพื่อขยายฐานสู่ทวีปอเมริกาใต้

          หุ้นวิชั่น - ดร. มัลลิกา แก่กล้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) หรือ DEXON แจ้ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ได้มีการอนุมัติให้บริษัทย่อย กล่าวคือ บริษัท Dexon Technology USA Inc. จดจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ในประเทศชิลี โดยมีรายละเอียดดังนี้ ชื่อ: Dexon Technology Chile SpA วันที่จัดตั้ง: ประมาณการจดจัดตั้งแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2568 ประเภทธุรกิจ: ให้บริการด้านการตรวจสอบระบบท่อนำส่งด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง และการตรวจสอบทางวิศวกรรมแบบไม่ทำลาย วัตถุประสงค์การจัดตั้ง: เพื่อขยายฐานการตลาดและการให้บริการในประเทศชิลีและทวีปอเมริกาใต้ ทุนจดทะเบียน: 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (หนึ่งแสนเหรียญดอลลาร์สหรัฐ) โครงสร้างการถือหุ้น: บริษัท Dexon Technology USA Inc. เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 100 ของหุ้นทั้งหมด แหล่งเงินทุนที่ใช้: แหล่งเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท Dexon Technology USA Inc.           จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ รายการดังกล่าวไม่ใช่รายการที่เกี่ยวโยงกันและขนาดของรายการไม่เข้าข่ายที่จะต้องรายงานสารสนเทศตามหลักเกณฑ์การได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สินของบริษัทจดทะเบียน ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนและประกาศตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

BC และ เดอะ อิชชูเออร์ ผนึก โทเคน เอกซ์ เตรียมเสนอขาย Summer Point Token

BC และ เดอะ อิชชูเออร์ ผนึก โทเคน เอกซ์ เตรียมเสนอขาย Summer Point Token

           หุ้นวิชั่น - BC ผู้นำพัฒนาอสังหาฯ โมเดล BOS และ เดอะ อิชชูเออร์ ผสานความร่วมมือ โทเคน เอกซ์ นำเสนอนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบดิจิทัล “Summer Point Token” โดยมี BC เป็นสปอนเซอร์ เตรียมเสนอขายโทเคนดิจิทัล “Summer Point” ที่มีอาคารสำนักงานย่านใจกลางสุขุมวิท ติดสถานี BTS พระโขนง เป็นสินทรัพย์อ้างอิง จำนวนไม่เกิน 900 ล้านโทเคน ที่ราคาเสนอขาย 0.50 บาทต่อโทเคน มูลค่ารวมไม่เกิน 450 ล้านบาท เพื่อรับผลตอบแทนเป็นรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิและเงินต้นทยอยคืน ตลอดอายุโครงการเป็นระยะเวลาประมาณ 25 ปี            นางสาวจิตตินันท์ ชาติสีหราช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด หรือ Token X ภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลในประเทศไทย (ICO Portal) ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“สำนักงาน ก.ล.ต.”) เปิดเผยว่า Token X ผสานความร่วมมือกับ BC ผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้โมเดลธุรกิจ BOS และ บริษัท เดอะ อิชชูเออร์ จํากัด ผู้ออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน เปิดตัว “โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนซัมเมอร์พ้อยท์” หรือ “Summer Point Token” ที่มีโครงการอาคารสำนักงาน “Summer Point” ซึ่งตั้งอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ ติดกับสถานี BTS พระโขนง เป็นสินทรัพย์อ้างอิง โดย Summer Point Token นับเป็นนวัตกรรมการลงทุน ผ่านการแปลงสินทรัพย์ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล หรือ Tokenization ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน ช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนในโทเคนดิจิทัลที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์อ้างอิง บนทำเลไพร์มแอเรีย โดยใช้เงินลงทุนจำนวนไม่มาก และสามารถซื้อขายโทเคนในตลาดรองได้ตลอด 24 ชั่วโมง ภายหลังโทเคนดิจิทัลเข้าจดทะเบียนในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล            ทั้งนี้ หลังจากได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายโทเคนดิจิทัลฯ ต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (ICO) และได้รับอนุญาตให้เสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชนตามที่บริษัทยื่นคำขออนุญาต ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขาย Summer Point Token จำนวนไม่เกิน 900 ล้านโทเคน ที่ราคาเสนอขาย 0.50 บาทต่อโทเคน รวมมูลค่าไม่เกิน 450 ล้านบาท โดยการลงทุนมีอายุโครงการประมาณ 25 ปี นับตั้งแต่วันที่ก่อตั้งกองทรัสต์ ถึงวันที่ 14 กันยายน 2592 ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดอายุสิทธิการเช่าที่ดินของทรัพย์สินของโครงการ โดยจะนำเงินไปลงทุนในสัญญา RSTA (Revenue Sale and Transfer Agreement) เพื่อให้ได้กระแสรายรับจากทรัพย์สินของโครงการ Summer Point จากบริษัท บูทิค พระโขนง ทรี จํากัด ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองในทรัพย์สินของโครงการ และลงทุนในหุ้นของบริษัท บูทิค พระโขนง ทรี จํากัด คิดเป็นสัดส่วน 100% รวมถึงนำไปชำระค่าใช้จ่ายการทำธุรกรรม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนของผู้ออกโทเคนดิจิทัล            ผู้ถือ Summer Point Token จะได้รับผลตอบแทนและสิทธิต่างๆ ได้แก่ 1) สิทธิในการได้รับผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิของโครงการ Summer Point และเงินต้นทยอยคืนตลอดอายุโครงการ ซึ่งผลตอบแทนดังกล่าวจะเป็นรายได้จากค่าเช่าหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงาน ในส่วนของการชําระคืนเงินต้น ผู้ถือโทเคนดิจิทัลจะได้รับการชําระคืนเงินต้น แยกเป็นคนละส่วนกับผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิเพื่อผลประโยชน์ทางด้านภาษี โดยจะชําระคืนเงินต้นเป็นรายไตรมาสในอัตราคงที่ 1% ของมูลค่าการระดมทุน ส่วนมูลค่าคงเหลือที่เกินกว่ามูลค่าเงินต้นในงวดนั้นๆ จะถูกจ่ายเป็นผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิ และ 2) สิทธิในการลงมติที่เกี่ยวข้องกับโทเคนดิจิทัล เช่น การเปลี่ยนแปลงและแต่งตั้งทรัสตีในกองทรัสต์, การกําหนดค่าตอบแทนเพิ่มเติมให้แก่บริษัทผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ (Property Manager) อื่น, การเปลี่ยนแปลงผลประโยชน์ผลตอบแทนหรือการจัดสรรผลตอบแทนให้ผู้ถือโทเคนดิจิทัล เป็นต้น            ทั้งนี้ หลังจากระดมทุนแล้วเสร็จ ผู้ออกโทเคนดิจิทัลจะแต่งตั้งบริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์บริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์มานาน ให้ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ (Property Manager) เพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินของโครงการตลอดอายุโครงการโทเคนดิจิทัล            นายปรับชะรันซิงห์ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC ผู้นำด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้โมเดลธุรกิจ “สร้าง-ดำเนินการ-ขาย” (Build-Operate-Sale : BOS) กล่าวว่า อาคารสำนักงานซัมเมอร์พ้อยท์ ตั้งอยู่ในย่าน ใจกลางสุขุมวิท ติดสถานีรถไฟฟ้า BTS พระโขนง และใกล้จุดขึ้นทางพิเศษฉลองรัช แวดล้อมด้วยสถานที่สำคัญ อาทิ, St Andrews International School, สถานีตำรวจนครบาลพระโขนง, ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ, ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์, โรงพยาบาลสุขุมวิท, โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ฯลฯ จึงมีอัตราเช่าพื้นที่เฉลี่ยสูงกว่า 96% ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความชำนาญของทีมในการบริหารโครงการ Summer Point ได้เป็นอย่างดี            ปัจจุบันตัวอาคารอยู่ในสภาพค่อนข้างใหม่ เนื่องจากเพิ่งเปิดดำเนินการในปี 2563 โดยเป็นอาคารสูง 5 ชั้น และมีชั้นใต้ดิน 2 ชั้น พร้อมที่จอดรถ 78 คัน มีพื้นที่รวมทั้งหมดเกือบหมื่นตารางเมตร ผสมผสานการใช้งานเป็นสำนักงานและพื้นที่ให้เช่าแก่ร้านค้า แบ่งเป็น พื้นที่สำนักงาน 4,797.86 ตารางเมตร พื้นที่ร้านค้า 998.75 ตารางเมตร และพื้นที่ส่วนกลางและบริการ 4,200.39 ตารางเมตร            “บริษัทฯ มีความมั่นใจในศักยภาพของโครงการซัมเมอร์พ้อยท์ ขณะที่กลุ่มผู้เช่าของโครงการเป็นบริษัทที่มีคุณภาพ และกระจายตัวจากหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงอยู่ในธุรกิจที่มีศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคต ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการต่อสัญญาเช่าในระยะยาว อาทิ ธุรกิจให้เช่าช่วงพื้นที่และบริการสํานักงาน, สื่อบันเทิงและโฆษณา, สถาบันเสริมความงาม, ร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ ฯลฯ ซึ่งจะสนับสนุนให้มีกระแสรายรับจากค่าเช่าที่ต่อเนื่องและยั่งยืน” นายปรับชะรันซิงห์ กล่าว [PR News]

[Gossip] กูรูฟันธง! KJL ไตรมาส 4 ทำนิวไฮ!

[Gossip] กูรูฟันธง! KJL ไตรมาส 4 ทำนิวไฮ!

          ห้ามกระพริบตาเด็ดขาด! สำหรับ บมจ.กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค (KJL)  ล่าสุดนักวิเคราะห์ค่าย บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ออกมาการันตีผ่านจุดต่ำสุดแล้ว! แนวโน้มรายได้ในไตรมาส 4/67 มีโอกาสทำ New high ส่วนกำไรสุทธิคาดเติบโตทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน มิหนำซ้ำหากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารไม่สูงอย่างที่คาด กำไรมีโอกาสทำ New high เช่นกัน งานนี้ฟังธงปี 2567 กำไรสุทธิทะยาน 175 ล้านบาท เติบโตกว่า 15% แถมยังมีลุ้นแจกเงินผลปันครึ่งปีหลังอีก  0.33 บาท ให้ผลตอบแทนกว่า 4.9% พร้อมเชียร์ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย สิ้นปี 2568 ที่ 10.90 บาท งานนี้ตอกย้ำพื้นฐานหุ้น Growth Stock และ Dividend Stock อย่างแท้จริง เอาเป็นว่าใครยังไม่มีหุ้นติดพอร์ตเสียดายแทนคร้า

[Vision Exclusive] TM งบรัฐหนุน Q4 ปัง บ้านพักผู้สูงอายุสุดคูล!

[Vision Exclusive] TM งบรัฐหนุน Q4 ปัง บ้านพักผู้สูงอายุสุดคูล!

          หุ้นวิชั่น - TM ปักธงรายได้ปี 68 แตะ 730 ล้านบาท ลุยขายสินค้าประเภทใช้แล้วทิ้งในโรงพยาบาล ด้านแม่ทัพใหญ่ "สุนทรี จรรโลงบุตร" ขอรักษาอัตรากำไรที่ระดับ 35% เดินหน้า "The Parents Resident" ทำเงิน ตั้งบลงทุน 200 ล้านบาท คาดคว้าใบอนุญาตใน Q2/67           นางสุนทรี จรรโลงบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ TM เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการจำหน่ายสินค้าและวัสดุประเภทใช้แล้วทิ้งในโรงพยาบาล โดยตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 730 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีนี้           การเติบโตของรายได้มาจากการเพิ่มความต้องการสินค้าประเภทใช้แล้วทิ้งในโรงพยาบาล ทั้งจากการเติบโตของงบประมาณโรงพยาบาลรัฐและการลงทุนจากภาคเอกชน โดยคาดว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของดีมานด์สินค้าจะอยู่ที่ 5-8% ซึ่งเป็นไปตามความต้องการในการลดการติดเชื้อและความซับซ้อนในโรงพยาบาล           สินค้าของ TM ส่วนใหญ่เป็นวัสดุที่ใช้ในห้องผ่าตัดและห้อง ICU รวมถึงธนาคารเลือด โดยสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าจากโรงพยาบาลรัฐสูงกว่าโรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากงบประมาณของภาครัฐมากกว่า           นอกจากนี้ยังกล่าวถึงแนวโน้มการขายสินค้าที่มักมีความต้องการสูงในช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีการใช้จ่ายงบประมาณของโรงพยาบาล โดยคาดว่าบริษัทจะมียอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงดังกล่าวและตลอดทั้งปี 2568           บริษัท คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในปี 2568 จะดีขึ้นจากปี 2567 โดยตั้งเป้าให้อยู่ในช่วง 33-35% ซึ่งอัตรากำไรดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงเวลานั้น ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) จะพยายามรักษาไว้ที่ระดับ 5%           ทั้งนี้ผลการดำเนินงานปกติของบริษัทเป็นบวก แม้ในงบการเงินรวมที่นักลงทุนเห็นจะมีตัวเลขขาดทุน เนื่องจากมีค่าเสื่อมของการลงทุนในโครงการ The Parent ซึ่งทำให้ตัวเลขดังกล่าวแสดงผลลัพธ์ติดลบในด้านค่าเสื่อม แต่ในความเป็นจริงผลการดำเนินงานปกติของ TM ยังคงเติบโตและมีผลกำไร           ขณะที่ก่อนหน้านี้ ได้ปิดบริษัทโรงพยาบาล เดอะพาเร้นท์ จำกัด เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย โดยยืนยันว่า การปิดบริษัทดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด ในขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาการลงทุนในโครงการใหม่ "The Parents Resident" ซึ่งจะเป็นที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุที่สามารถดูแลตัวเองได้ โดยโครงการดังกล่าวจะมีคลับสำหรับกิจกรรมต่างๆ เช่น การออกกำลังกาย เพื่อส่งเสริมการใช้ชีวิตที่ดีและคุณภาพชีวิตที่ดี เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนในการก่อสร้างโครงการประมาณ 200 ล้านบาท และคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตการดำเนินกิจการภายในไตรมาส 2/2568           สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้จากโครงการ The Parents ประมาณ 36 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้ รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] SK ลุยงานปีมะเส็ง เล็งสายส่ง 115Kv

[Vision Exclusive] SK ลุยงานปีมะเส็ง เล็งสายส่ง 115Kv

          หุ้นวิชั่น - SK ส่องแนวโน้มธุรกิจคอนกรีตปี 68 สดใส  ต้นทุนนิ่ง หนุนมาร์จิ้นทรงตัว ฟากผู้บริหาร "ภากร ตั้งนุกูลกิจ" ใส่เกียร์ลุยก่อสร้างทำเงิน เกาะติดงานใหม่ 2,000 พันล้านบาท ชูสายส่ง 115kv โรงงานทั่วประเทศซัพพอร์ตฐานแน่น ตั้งเป้ารายได้ชน 600 ล้านบาท            นายภากร ตั้งนุกูลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการขายและการตลาด บริษัท ศิรกร จำกัด (มหาชน) หรือ SK เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า แนวโน้มธุรกิจผลิตภัณฑ์คอนกรีตในปี 2568 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยต้นทุนค่อนข้างนิ่ง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปี 2568 จะทรงตัวจากปี 2567 ขณะที่งานก่อสร้างที่บริษัทรับมาล่าสุด มีการเข้าพื้นที่เพื่อดำเนินการแล้ว 1 แห่งจากทั้งหมด 2 แห่ง และคาดว่าจะสามารถเริ่มรับรู้รายได้จากงานก่อสร้างในปี 2568 โดยมี Backlog ของงานก่อสร้างมูลค่า 300 ล้านบาท           สำหรับทิศทางรายได้ปี 2568 คาดว่าจะกลับมาที่ระดับ 600 ล้านบาท จากปี 2567 ซึ่งมีฐานต่ำเนื่องจากการขาดรายได้จากธุรกิจก่อสร้าง หลังไม่สามารถเข้าพื้นที่ดำเนินงานได้ในช่วงเวลาดังกล่าว           นอกจากนี้ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าเติบโตในกลุ่มงานผลิตภัณฑ์คอนกรีตและพลังงานทดแทน โดยมีโครงการก่อสร้างใหม่ๆ ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนรายได้ในปี 2568 ปัจจุบันบริษัทกำลังติดตามงานกับลูกค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์คอนกรีต แต่ยังไม่สามารถระบุตัวเลขงานประมูลที่ชัดเจนได้ ขณะเดียวกันในส่วนของงานก่อสร้างจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต บริษัทมองว่าทิศทางและแผนการดำเนินงานในอนาคตสามารถเข้าร่วมงานประมูลได้ในมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นโอกาสในการขยายการเติบโตของบริษัทในปี 2568           การแข่งขันในธุรกิจสายส่งพลังงานทางเลือก 115Kv คาดว่าจะยังคงใกล้เคียงกับปี 2567 เนื่องจากมีคู่แข่งน้อย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการมีโรงงานผลิตทั่วประเทศที่ทำให้ SK ได้เปรียบในด้านการผลิต นอกจากนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงถัดไปคือเรื่องต้นทุนค่าแรง ซึ่งยังไม่มีการประกาศปรับขึ้นราคา หากมีการปรับขึ้นค่าแรง คาดว่าราคาวัสดุจะปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางเดียวกัน รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

LEO ส่งซิกผลงาน Q4/67 สดใส

LEO ส่งซิกผลงาน Q4/67 สดใส

          หุ้นวิชั่น - บมจ. ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ ( LEO) ประเมินผลงานไตรมาส 4/67 เติบโตต่อเนื่อง จากการรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่อย่าง LEO Sourcing and Supply Chain,  LaneXang Express และSritrang LEO Multimodal Logistics รวมถึงกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ฟาก   ซีอีโอ “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ระบุเดินหน้าต่อยอดธุรกิจ Non-freight และ Non-Logistics ช่วยสร้างรายได้เพิ่มจากการขายทุเรียนไปยังประเทศจีน การขนส่งทางรถไฟทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศไปไทย-จีน  รวมถึงธุรกิจ Self Storage ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง           นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประเมินแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 4/2567 มีทิศทางที่สดใส ทำให้มั่นใจผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 4/67 คาดว่าจะเป็นผลประกอบการที่ดีที่สุดจากทุกๆไตรมาสในปี 2567 โดยเฉพาะธุรกิจ Non-freight และ Non-Logistics จะมาช่วยสร้างรายได้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีสัดส่วนของรายได้มาเป็น 30-35% จากยอดรวมของบริษัทฯ ใน 1-2 ปีข้างหน้า           “บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างผลงานได้เติบโตอย่างโดดเด่นที่สุดในไตรมาส 4/67 โดยจะมีการเติบโตของรายได้และกำไรขั้นต้นจากการรับรู้รายได้ของหน่วยธุรกิจใหม่ๆ เช่น รายได้จากการส่งออกทุเรียนไปยังประเทศจีนของบริษัท LEO Sourcing and Supply Chain รายได้จากกาขนส่งสินค้าทางรถไฟจากบริษัท LaneXang Express และ Sritrang LEO Multimodal Logistics รวมถึงรายได้จาก LEO Self-Storage โดยรายได้ของธุรกิจ Self-Storage มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 3/2567 มีการเติบโตถึง 98% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3/2566 และเมื่อเปรียบเทียบ 9 เดือนปี 2567 กับ 9 เดือนปี 2566 เพิ่มขึ้น 68%  ซึ่งธุรกิจใหม่ๆเหล่านี้จะทำให้เกิดรายได้ใหม่ๆของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีสัดส่วนของรายได้มาเป็น 30-35% จากยอดรวมของบริษัทฯ ใน 1-2 ปีข้างหน้า” นายเกตติวิทย์ กล่าว           นอกจากนี้บริษัทยังได้รับผลดีจากการอัตราแลกเปลี่ยนเงินระหว่างเงินบาทและดอลล่าห์สหรัฐที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 33-34 บาทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากภายในสิ้นเดือนธันวาคมอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ระดับ 34 บาท บริษัทก็จะสามารถปรับรายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาส 3/67 ให้พลิกกลับมาเป็นกำไรในไตรมาส4/2567           อีกทั้งบริษัทยังมีประเด็นบวกที่สนับสนุนคือ ความคืบหน้าของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของบริษัทลีโอ ซอร์สซิ่ง ซัพพลายเซน จำกัด (บริษัทย่อย) กับกรมพาณิชย์ประจำนครคนหมิง ที่ได้ลงนามไปเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2567 เพื่อพัฒนาส่งเสริมธุรกิจและการลงทุนกับผู้ประกอบการที่อยู่ในนครคนหมิง ซึ่งมีบริษัททยอยเข้ามาพูดคุยกับทางบริษัทๆเพื่อหาโอกาสในการพัฒนาธุรกิจร่วมกันอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเร็วๆ นี้ ทางบริษัทฯ ได้มีการเซ็นสัญญาขายทุเรียนสด จำนวน 500 ตู้ 40 Reefer คอนเทนเนอร์ให้กับลูกค้ารายหนึ่งจากนครคุนหมิง โดยเป็นลูกค้าที่ได้รับการแนะนำจากกรมพาณิชย์ของนครคุนหมิง ทำให้บริษัทได้ลูกค้าที่มีความน่าเชื่อถือและมีเครดิตที่ดีมาเป็นลูกค้าของทางบริษัท           โดยบริษัทได้เริ่มส่งออกสินค้าทุเรียนจากไทยไปคุนหมิงผ่านรถไฟความเร็วสูงไทย-ลาว - จีน (ที่ให้บริการโดยบริษัท LaneXang Express)  โดยสินค้าส่งออกชุดแรกได้มีการส่งออกถึงนครคุนหมิงเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคชาวจีน และมีการสั่งทุเรียนต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถส่งมอบทุเรียนได้ครบจำนวน 500 ตู้ภายในฤดูกาลส่งออกทุเรียนของปี 2568 (เดือนเมษายน-สิงหาคม ของทุกๆปี) และจะมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 2-3/68           ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4/67 และภาพรวมธุรกิจทั้งปียังขยายตัวอยู่ในทิศทางที่ดี ทำให้บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้   โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องตามนโยบาย  ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40.00 ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองต่างๆ ทั้งหมดแล้วทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ และบริษัทย่อย  ทางบริษัทฯ คาดว่าจะทำให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลของปี 2567 ของบริษัทอยู่ในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกับอัตราการจ่ายเงินปันผลในปี 2566 อย่างแน่นอน​ [PR News]

[Gossip] IND หุ้นดี...ราศีจับ!

[Gossip] IND หุ้นดี...ราศีจับ!

         บมจ.อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (IND) ถือเป็นอีกหนึ่งหุ้นจิ๋วแต่แจ๋วที่น่าจับตา เพราะล่าสุดคว้าโปรเจคที่ปรึกษาบริหารโครงการและควบคุมงาน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) จาก รฟม.มูลค่า 1.41 พันล้านบาท ส่งผลให้มี Backlog รอรับรู้รายได้กว่า 3 พันล้านบาท... งานนี้บอสใหญ่ “ดร.พรลภัส ณ ลำพูน”  แอบกระซิบยังมีโครงการใหม่อีกเพียบให้ร่วมประมูล เอาเป็นว่าแฟนคลับมีลุ้นอย่างต่อเนื่อง...ราศีจับขนาดนี้ รีบทยอยสะสมเข้าพอร์ตด่วนๆเลยคร้าา!!

[ภาพข่าว] TM และ THE PARENTS ร่วมงานThailand Friendly Design Expo 2024

[ภาพข่าว] TM และ THE PARENTS ร่วมงานThailand Friendly Design Expo 2024

          ดร.สุนทรี จรรโลงบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ TM พร้อมด้วย นายแพทย์นพดล นพคุณ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เดอะพาเร้นส์ จำกัด  ร่วมออกบูธในงาน Thailand Friendly Design Expo 2024 นำเสนอสินค้าเพื่อสุขภาพ อุปกรณ์ทางการแพทย์ สินค้าป้องกันและฆ่าเชื้อโรค รวมทั้งสินค้าสำหรับผู้สูงอายุ หลากหลายประเภทและบริการต่าง ๆ จาก THE PARENTS WELLNESS AND REVITALIZING CENTER” ด้วยโปรโมชั่นแพ็คเกจห้องพักสำหรับผู้สูงอายุในราคาพิเศษ ทั้งยังมอบของแถมมากมาย   สำหรับผู้ที่จองในงาน หรือตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่  31 ธันวาคม 2567           สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ THE PARENTS WELLNESS AND REVITALIZING CENTER  ตั้งอยู่เลขที่ 88 ถนนราษฎร์พัฒนา  หรือซอยมิสทีนเดิม ประมาณ 700 เมตรจากถนนรามคำแหง หากสนใจหรือต้องการสอบถามข้อมูลได้ที่ โทรศัพท์ 02-091-1956, 095-167-1839, 081-248-0960 หรือติดต่อผ่านช่องทาง Line@ : @tmnc และ FacebookPage https://www.facebook.com/theparentsbytmnc หรือ www. theparents.com

[ภาพข่า] TBN Corporation คว้า 3 รางวัลใหญ่จาก Siemens

[ภาพข่า] TBN Corporation คว้า 3 รางวัลใหญ่จาก Siemens

          นายปนายุ ศิริกระจ่างศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนางสาวนริศรา ลิ้มธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TBN  ประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ คว้า 3 รางวัลใหญ่ ในงาน Asia Pacific Executive Partner Forum (APEPF) 2025 สะท้อนความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม SaaS ระดับภูมิภาค ได้แก่ Top New SaaS Business Partner (Asia Pacific) FY 2024, Top New SaaS Business Partner (South East Asia) FY 2024, และ Top SaaS Target Achievement (Thailand) FY 2024 ยืนยันถึงความสำเร็จและมุ่งมั่นของ TBN ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างมาตรฐานใหม่ในธุรกิจโซลูชัน SaaS (Software as a Service)           รางวัลเหล่านี้แสดงถึงความทุ่มเทของ TBN ในการนำนวัตกรรมมาขับเคลื่อนธุรกิจผ่านโซลูชัน SaaS (Software as a Service) พร้อมเสริมสร้างศักยภาพให้อุตสาหกรรม ทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับเอเชียแปซิฟิก ยืนยันบทบาทของ TBN ในฐานะ Mendix Partner ที่ประสบความสำเร็จในภูมิภาค APAC ประจำปี 2024 ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรม TBN ยังคงเดินหน้าลงทุนในเทคโนโลยีและพัฒนาความร่วมมือกับพันธมิตรทั่วเอเชียแปซิฟิกในอนาคตอันใกล้เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน

MAGURO ผลงาน All Time High รุก new brands อัพเป้าใหม่ 26 บาท

MAGURO ผลงาน All Time High รุก new brands อัพเป้าใหม่ 26 บาท

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะ"ซื้อ" MAGURO (ซื้อ/ปรับเป้าขึ้นเป็น 26.00 บาท) กำไร 24E-26E ทำ All Time High จากขยายสาขาและ new brands คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 26.00 บาท อิง 2025E PER 23.5x (เดิมที่ 22.50 บาท อิง 2025E PER 22.0x) เรามีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อ outlook ของ MAGURO มีประเด็นสำคัญดังนี้: ในปี 2025E บริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 13 สาขา (ใกล้เคียงเราคาด) และมีแผนเปิดแบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์,สำหรับ Tonkatsu Aoki มีแผนที่จะเปิดสาขาแรกที่ Central World วันที่ 20 ธ.ค. และสาขา 2 ที่ One Bangkok ใน 1Q25E เราคาดว่าจะเปิดครบ 5 สาขาในปี 2025E,GPM รวมไม่ต่ำกว่า 45% และแบรนด์ใหม่ GPM > 50% เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 95 ล้านบาท (+31% YoY) และกำไรปกติที่ 101 ล้านบาท (+39% YoY) แต่ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ขึ้น +9% จากการปรับรายได้และ GPM เพิ่มขึ้น          ทั้งนี้ เราประเมินกำไรสุทธิปี 2025E ที่ 141 ล้านบาท (+49% YoY) เราคาดรายได้จากแบรนด์ใหม่ที่ 132 ล้านบาท คาด NPM ของแบรนด์ใหม่ที่ 9-10% ราคาหุ้น outperform SET +7% ใน 1 เดือนที่ผ่านมาปัจจุบันเทรดอยู่ที่ 2025E PER 19.2x ต่ำกว่าคู่แข่ง           อย่างไรก็ตาม เรายังชอบ MAGURO จาก: ธุรกิจร้านอาหารแบบ Full-Service ไทย ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง, มี penetration rate ที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก, Valuation ไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรปี 24-25E ที่ทำ All Time High และยังมี upside จากแบรนด์ใหม่และการขยายสาขาที่มากกว่าคาด

[Vision Exclusive] BM เจรจาพันธมิตรจีน ส่งออกตู้โลหะทำเงิน

[Vision Exclusive] BM เจรจาพันธมิตรจีน ส่งออกตู้โลหะทำเงิน

           หุ้นวิชั่น - บิ๊กบอส "BM" ธีรวัต อมรธาตรี กางแผนปี 68 ตั้งเป้ารายได้ชน 1.9 พันล้านบาท บุกตลาดส่งออกเต็มสูบ แย้มตุนงานรอส่งอเมริกาอื้อ แถมล่าสุดเซ็นสัญญาลูกค้ายุโรป เล็งส่งรถตุ๊กตุ๊กลงตลาดทำเงิน พร้อมย่องเจรจาพันธมิตรจีน หวังร่วมมือธุรกิจอัพฐาน            นายธีรวัต อมรธาตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกชีทเม็ททัล จำกัด (มหาชน) หรือ BM เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า แผนและแนวโน้มการเติบโตในปี 2568 คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่องจากปี 2567 โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2568 ที่ 1,900 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการส่งออกประมาณ 1,200-1,300 ล้านบาท และการจำหน่ายสินค้าที่ตลาดในประเทศอีก 500-600 ล้านบาท            สำหรับแผนการส่งออก บริษัทประเมินทิศทางการเติบโตจะยังคงดีต่อเนื่องจากปี 2567 เนื่องจากบริษัทมียอดคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ที่รอการส่งมอบทุกเดือน และปริมาณออเดอร์มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยอดส่งออกไปยังอเมริกาเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดถึง 139 ตู้คอนเทนเนอร์ คิดเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านบาท และในเดือนธันวาคมไปจนถึงต้นปี 2568 บริษัทคาดว่าจะมียอดส่งมอบเฉลี่ยที่ 80-120 ตู้คอนเทนเนอร์ คิดเป็นมูลค่าในหลักร้อยล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะพัฒนาและหาโปรดักส์ใหม่เพื่อเสริมกลุ่มสินค้าส่งออก พร้อมทั้งเพิ่มยอดขายให้เติบโตมากยิ่งขึ้นในปี 2568            และบริษัทยังได้เซ็นสัญญากับลูกค้าจากฮอลแลนด์เพื่อส่งสินค้ารถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าไปจำหน่ายที่ยุโรป ซึ่งถือเป็นการเปิดตลาดยุโรปครั้งแรกของ BM โดยจะเริ่มส่งมอบรถตุ๊กตุ๊กล็อตแรกจำนวน 24 คัน และในล็อตถัดไปจะขยายการส่งมอบเป็น 50 คัน            สำหรับงานในประเทศ  BM แบ่งเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ การจำหน่ายสินค้าให้กับ Contractor หรือผู้รับเหมา โดยมีงานในมือ (Backlog) มูลค่า 500-600 ล้านบาท และการจำหน่ายสินค้าให้กับ B2B ในส่วนของเครื่องจักรกลทางการเกษตร ซึ่งบริษัทเชื่อว่าในปี 2568 จะสามารถขยายตัวได้มากขึ้นจากการเติบโตในงานก่อสร้างและงานยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนลงทุนเพิ่มเครื่องจักรเพื่อผลิตงานอะลูมิเนียมเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนรายได้ให้กับ BM ได้มากยิ่งขึ้นในปี 2568            นายธีรวัต กล่าวต่อว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรจากประเทศจีน เพื่อร่วมมือทางธุรกิจ โดยรูปแบบการลงทุนมีความเป็นไปได้ทั้งการทุ่มลงทุนและการผลิตสินค้าใหม่เพื่อขยายตลาดสินค้าผลิตภัณฑ์เหล็กแปรรูป            ปัจจุบันธุรกิจของ BM แบ่งออกเป็น 6 กลุ่มสินค้า ได้แก่ (1) รางและท่อร้อยสายไฟฟ้า (2) ตู้สื่อสาร ตู้ไฟฟ้า และตู้โลหะ (3) ตู้ควบคุมไฟฟ้าและโคมไฟฟ้า (4) โลหะเชื่อมประกอบ (5) แม่พิมพ์โลหะ เครื่องมือ และอุปกรณ์ และ (6) ชิ้นส่วนโลหะ รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

IVF ทยอยซื้อหุ้นเข้าพอร์ต ส่งสัญญาณบวกให้นักลงทุน

IVF ทยอยซื้อหุ้นเข้าพอร์ต ส่งสัญญาณบวกให้นักลงทุน

          หุ้นวิชั่น - ตามรายงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า นางสาวเกศิณี กุลดิลก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินสไปร์ ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือ “IVF” แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัท ควักทุนส่วนตัวซื้อหุ้น IVF จำนวน 5 แสนหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.98 บาท หลังจาก IVF เพิ่งเปิดตัวในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวก ตอกย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตระยะยาวของ IVF ตามกลยุทธ์การสร้าง New S-Curve ที่มุ่งเน้นการขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตะวันออกกลางซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลัก และการขยายธุรกิจ Wellness ซึ่งจะช่วยส่งเสริมอัตราความสำเร็จของการตั้งครรภ์ให้ผู้ใช้บริการ และเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดย IVF มีจุดแข็งด้านอัตราความสำเร็จในการทำ IVF ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และมาตรฐานระดับโลกที่ได้รับการยอมรับ ทั้งยังอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายผลักดัน Medical Hub ของรัฐบาล           บริษัท อินสไปร์ ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือ “IVF”  คือ ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากที่มุ่งเน้นการให้บริการด้วยมาตรฐานระดับสากล มีจุดแข็งที่โดดเด่น ทั้งอัตราความสำเร็จในการทำ IVF ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ และการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมถึงได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก โดยผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2567 สร้างรายได้รวม 84.95 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 16.72 ล้านบาท สะท้อนถึงศักยภาพที่แข็งแกร่ง           ทั้งนี้ เงินทุนที่ได้จากการระดมทุนจะถูกนำไปใช้ขยายสาขาเพื่อเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ และเสริมศักยภาพธุรกิจ Wellness สำหรับตอบรับเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง และเสริมโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์ให้กับผู้ใช้บริการ เพื่อสร้างฐานรายได้ที่มั่นคง รวมถึงผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจให้กับนักลงทุน ด้วยปัจจัยบวกทั้งหมดนี้ จึงถือเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนที่มองหาหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ภายใต้การนำทัพของผู้บริหารที่มั่นใจในอนาคตที่สดใสของ IVF [PR News]

ก.ล.ต. เตือนผู้ถือหุ้นกู้ CHO 4 รุ่น ใช้สิทธิประชุม 18 ธ.ค. 67

ก.ล.ต. เตือนผู้ถือหุ้นกู้ CHO 4 รุ่น ใช้สิทธิประชุม 18 ธ.ค. 67

          หุ้นวิชั่น - วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2567 | ฉบับที่ 269 / 2567 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ CHO จำนวน 4 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 18 ธันวาคม 2567           ตามที่บริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) (CHO) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ CHO212A CHO21OA CHO229A และ CHO228A จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2567 ในวันที่ 18 ธันวาคม 2567 เวลา 14.00 น. ด้วยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณา ดังนี้           (1) ขอผ่อนผันในกรณีผู้ออกหุ้นกู้ไม่สามารถดำรงอัตราส่วนของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Interest Bearing Debt/ Equity Ratio) ให้ไม่เกิน 3:1 ตามงบการเงินรวมสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 ไม่ให้ถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ           (2) เปลี่ยนแปลงการดำรงอัตราส่วน Interest Bearing Debt/ Equity Ratio ตามข้อกำหนดสิทธิ จากเดิม ไม่เกิน 3:1 เท่า เป็น ไม่เกิน 5:1 เท่า           ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับจากการมีมติอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบ โดยมีความเห็นของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย           หมายเหตุ : 1) บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ CHO212A และ 2) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ CHO21OA CHO229A และ CHO228A

[ภาพข่าว] LTS โชว์ศักยภาพธุรกิจกลุ่มนักวิเคราะห์ นักลงทุนวีไอ ชู IT Solution มาแรง

[ภาพข่าว] LTS โชว์ศักยภาพธุรกิจกลุ่มนักวิเคราะห์ นักลงทุนวีไอ ชู IT Solution มาแรง

          นายภัฏ ตรัสโฆษิต (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมคณะผู้บริหาร บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS ร่วมนำเสนอข้อมูลทิศทางการดำเนินงานในปี 2568 และความคืบหน้าการดำเนินธุรกิจด้าน IT Solution จากการให้บริการให้เช่า GPU cloud as a service ในประเทศไทย ที่ดำเนินงานภายใต้บริษัท ไลท์อัพ เอไอ โซลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ LTS ถือหุ้น 90% และ บริษัท สยาม เอไอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Siam AI) ซึ่งเป็น NCP หรือ Nvidia cloud partner รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ถือหุ้น 10% เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ใประเทให้แก่กลุ่มนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ และนักลงทุนวีไอ ณ โรงแรมเดอะแกรนด์โฟร์วิงส์ คอนเวนชั่น ศรีนครินทร์ ห้องบอลลูม เมื่อเร็วๆ นี้   สำหรับท่านที่สนใจสามารถค้นหาเอกสารการนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หน้าเว็บไซต์บริษัทฯ www. lightuptotal.co.th

ATP30 ชู Backlog สูง 1,870 ลบ. ดันผลงานโค้งท้ายโตต่อ

ATP30 ชู Backlog สูง 1,870 ลบ. ดันผลงานโค้งท้ายโตต่อ

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด ATP30 รายงานกำไรสุทธิ 3Q67 เพิ่มขึ้น 32.6% YoY ที่ 12.0 ล้านบาท ผลจากการขยายฐานลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเดิมอย่างต่อเนื่อง และ อัตราก าไรขั้นต้นที่สูงขึ้นพร้อมปัจจัยบวกหนุน 4Q67 โตต่อ ATP30 รายงานกำไรสุทธิ 3Q67 เพิ่มขึ้น 32.6% YoY ที่ 12.0 ล้านบาท ผลจากการขยายฐานลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเดิมอย่างต่อเนื่อง และ อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น โดยบริษัทมีรายได้จากการให้บริการ เพิ่มขึ้น 7.8% YoY ที่ 181.9 ล้านบาท ผลจากจากการขยายฐานลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเดิมอย่างต่อเนื่อง และ การปรับขึ้นราคาค่าบริการตามต้นทุนพลังงานในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น(GPM)ไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 20.34% เพิ่มขึ้นจากระดับ 18.99% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หลักๆเป็นผลจาก การปรับขึ้นราคาค่าบริการตามต้นทุนพลังงาน และการควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพของบริษัท ปัจจัยบวกผลประกอบการในช่วง 4Q67 ของบริษัท คือ การเริ่มรับรู้รายได้จากการให้บริการลูกค้ารายใหม่จำนวน 3 ราย รวมถึง Backlog ของรายได้ค่าบริการที่จะทยอยรับรู้ในช่วงถัดไปของบริษัทยังอยู่ระดับสูงที่ 1,870 ล้านบาท และ การปรับขึ้นราคาค่าบริการจะหนุนให้ GPM ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น           อนึ่ง “ATP30 ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งบุคลากรจากแหล่งที่พักอาศัยในเขตชุมชนไปยังโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานที่ประกอบการโดยเฉพาะรอบเขตนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกและภาคกลาง”

[ภาพข่าว] AIRA Group เดินเกมรุกเจาะธุรกิจพร็อพเพอร์ตี้

[ภาพข่าว] AIRA Group เดินเกมรุกเจาะธุรกิจพร็อพเพอร์ตี้

            นางนลินี งามเศรษฐมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (กลาง) นายสุทธิพร ตัณฑิกุล กรรมการผู้จัดการ (ขวา) บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA และนายเจนวิทย์ รุ่งกิจวรเสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซ้าย) บริษัท ไอร่า พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ร่วมนำเสนอข้อมูลสรุปผลประกอบการงวด 9 เดือน2567 พร้อมอัปเดตทิศทางธุรกิจ ภายในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day) โดย “ไอร่า พร็อพเพอร์ตี้” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ประกาศเดินเกมรุกขยายสู่กลุ่มธุรกิจโรงแรม ล่าสุด คว้าที่ดินย่าน สีลม โดยได้รับสิทธิการเช่าที่ดินจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ผุดโปรเจกต์โรงแรมระดับ Upper Upscale 29 ชั้น มูลค่า 2,300 ล้านบาท เพื่อเจาะตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ – นักธุรกิจ พร้อมมั่นใจ โปรเจกต์ดังกล่าวจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ AIRA Group ในอนาคต

KTMS โค้งสุดท้ายฟอร์มสวย

KTMS โค้งสุดท้ายฟอร์มสวย

        หุ้นวิชั่น - นางสาวกาญจนา พงศ์พัฒนะเดชา (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย ดร.วิจิตร เตชะเกษม (ซ้าย) กรรมการ และ นายศุภณัฐ พร้อมศิริพงษ์ (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.เคที   เมดิคอล เซอร์วิส หรือ KTMS ร่วมนำเสนอข้อมูลภายในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day) ผ่านระบบออนไลน์ ณ KTMS สำนักงานใหญ่ โดยสรุปผลประกอบการงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 11.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.37 และมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าและบริการ 433.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  ร้อยละ 29.93 ส่งสัญญาณผลงานโค้งสุดท้ายสดใส จ่อรับรู้รายได้จากศูนย์ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม 2 แห่งใหม่ ที่เปิดให้บริการโซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือช่วงต้นไตรมาส 4 ที่ผ่านมา และรับรู้รายได้จาก การผลิตและจำหน่ายน้ำยาไตเทียมอย่างต่อเนื่อง หนุนทั้งปีรายได้รวมเข้าเป้า 600 ล้านบาท

I2 จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ให้บริการด้านความปลอดภัยเทคโนโลยีโซลูชั่นครบวงจร

I2 จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ให้บริการด้านความปลอดภัยเทคโนโลยีโซลูชั่นครบวงจร

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายอธิพร ลิ่มเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2567 เมื่อ วันที่ 12 ธันวาคม 2567 โดยคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดต่อตลาดหลักทรัพย์ฯได้ เนื่องจากการเข้าทำธุรกรรมการลงทุนยังมีความไม่แน่นอน รวมทั้งบริษัทฯ มีหน้าที่เก็บรักษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมไว้เป็นความลับในระหว่างการเจรจาสัญญาและเงื่อนไขต่างๆ โดยบริษัทฯจะเปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ทันที เมื่อรายละเอียด เงื่อนไขและข้อตกลงของธุรกรรมการลงทุนมีความชัดเจนแน่นอน จึงขอแจ้งรายละเอียดของบริษัทร่วมทุน ดังต่อไปนี้ ชื่อบริษัท อยู่ระหว่างการพิจารณา วันที่คาดว่าจะจดทะเบียนจัดตั้ง ภายในไตรมาส 1 ปี 2568วัตถุประสงค์การจัดตั้ง เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมจากธุรกิจหลักของบริษัท สร้างพันธมิตรที่ดีทางธุรกิจและโอกาสในธุรกิจด้านความปลอดภัยสารสนเทศ สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ อยู่ระหว่างการพิจารณา ทุนจดทะเบียน ทุนจดทะเบียน 5,000,000 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญ 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ลักษณะการประกอบธุรกิจ ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านความปลอดภัยสารสนเทศ และเทคโนโลยีโซลูชันแบบครบวงจร

KJL มาร์จิ้นดีด คาดเคาะปันผล 0.33 บาท เป้าปี 68 ที่ 10.90 บ.

KJL มาร์จิ้นดีด คาดเคาะปันผล 0.33 บาท เป้าปี 68 ที่ 10.90 บ.

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL การคาดการณ์กำไรใน 4Q67 มีโอกาสเติบโตทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดใน 3Q67 ซึ่งกำไรในไตรมาสนี้อยู่ที่ 43 ล้านบาท ลดลง 13.4% QoQ และ 10.6% YoY จากการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น และอุปสงค์ที่ลดลงจากการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลที่ล่าช้า อย่างไรก็ตาม จำนวนวันที่ขายสินค้าได้ต่อรอบเพิ่มขึ้นเป็น 31 วันจาก 25 วันใน 4Q66 และระยะเวลาการให้เครดิตลูกหนี้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 93 วันจาก 83 วันใน 4Q66 ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไป คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่ไม่ล่าช้า มีออเดอร์หนุนจากการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม และสินค้าที่เน้นราคาเข้าถึงได้มากขึ้น เช่น กล่องพลาสติกกันน้ำ และกล่องเหล็ก รวมถึงสายเคเบิล 5K ที่มีคุณภาพสูง ทนทาน แม้ว่าจะใช้เหล็กที่มีความหนาน้อยลง คาดว่า GPM จะสูงขึ้น และใน 4Q67 ไม่มีค่าใช้จ่ายในการจัดสัมมนาใหญ่เหมือนใน 4Q66 ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้มีแนวโน้มจะอยู่ที่ 50 ล้านบาท (+/-) ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิเติบโตทั้ง QoQ และ YoY โดยคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลในช่วง 2H67 ที่ 0.33 บาท ซึ่งให้ผลตอบแทน 4.9% ในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงหรือมากกว่าประมาณการ โดย KJL มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีกกว่า 30% เป็น 40 ล้านชิ้น ด้วยการลงทุน 200 ล้านบาท เพื่อรองรับปริมาณความต้องการที่สูงขึ้นจากสินค้าที่ใหม่และกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มขึ้นตามแผนขยายโครงข่ายลูกค้าในทุกกลุ่ม KJL ตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนร้านค้าในเครือข่ายเป็น 1,000 ร้านในปีนี้ จาก 800 ร้านในปี 2566 และคาดว่าในปี 2568 จะมีจำนวนร้านค้าในเครือข่ายเพิ่มขึ้นเป็น 1,200 ร้าน ส่วนในกลุ่มช่างไฟ (Tier 3) ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 10,000 คนในปี 2567 และ 15,000 คนในปี 2568 นอกจากนี้ ในปี 2568 KJL ยังมุ่งเน้นเพิ่มสินค้ากลุ่ม Data Center เช่น ตู้ Racks, รางสายไฟ และตู้ไฟสำหรับธุรกิจนี้ ซึ่งมีความต้องการสูงทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ คาดว่าจะมีรายได้ในปี 2568 ที่ 1,400 ล้านบาท ใกล้เคียงกับประมาณการของเรา แต่ตั้งเป้า GPM ที่ 30% ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้ที่ 28% ทำให้มีโอกาสที่กำไรปี 2568 จะเติบโตมากกว่าคาด ราคาหุ้นของ KJL ขณะนี้ค่อนข้างคงที่และไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER ปี 68 ที่ต่ำเพียง 8.2 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อปีประมาณ 7.9% จึงแนะนำ "ซื้อ" โดยตั้งราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 10.90 บาท

[Vision Exclusive] FSMART การเงินฮอต! จับตา

[Vision Exclusive] FSMART การเงินฮอต! จับตา"คุณสู้ เราช่วย"

          หุ้นวิชั่น - FSMART จับตามาตรการ "คุณสู้ เราช่วย" คาดธุรกิจสินเชื่อเข้าเกณฑ์มาตรการที่สอง มูลหนี้ NPL ไม่เกิน 30 ล้านบาท จากพอร์ตสินเชื่อราว 1,000 ล้านบาท เชื่อช่วยหนุนรากหญ้ามีสภาพคล่องเพิ่ม พร้อมลุ้นธุรกิจหลายภาคส่วนฟื้นตัวหลังการจับจ่ายใช้สอยกระเตื้อง           นายณรงค์ศักดิ์ เลิศทรัพย์ทวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ “FSMART” เปิดเผยกับ ทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ซึ่งประกอบด้วย 2 มาตรการหลัก ได้แก่ มาตรการจ่ายตรงคงทรัพย์ และมาตรการจ่ายปิดจบ โดยลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมได้จะต้องทำสัญญาสินเชื่อก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 และมีสถานะเป็นลูกหนี้ค้างชำระระหว่าง 31-365 วัน ส่วนการลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมมาตรการสามารถทำได้ผ่าน ธปท. ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568           สำหรับมาตรการจ่ายปิดจบ จะครอบคลุมหนี้ที่มียอดรวมไม่เกิน 1,000 ล้านบาท โดยเฉพาะลูกหนี้ NPL บุคคลธรรมดาในทุกประเภทสินเชื่อที่มีภาระหนี้คงค้างไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งลูกหนี้จะต้องชำระบางส่วนเพื่อเป็นการปิดบัญชี โครงการดังกล่าวจะช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรกคือผู้ที่มีหนี้จำนวนมาก เช่น หนี้บ้าน หนี้รถ และกลุ่มที่สองคือหนี้ NPL ที่ไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งคาดว่าธุรกิจสินเชื่อของ FSMART จะเข้าข่ายในกลุ่มที่สอง อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องติดตามเกณฑ์หรือกติกาของกลุ่ม Non-Bank ว่าจะมีขั้นตอนการดำเนินการอย่างไรต่อไป           จากการประเมินกลุ่มลูกหนี้ของ FSMART ปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตสินเชื่อรวมประมาณ 1,000 ล้านบาท และคาดว่ามีหนี้ NPL ที่สามารถเข้าร่วมโครงการช่วยเหลืออยู่ประมาณ 20-30 ล้านบาท หากโครงการสามารถเดินหน้าตามแผนได้ จะช่วยให้ลูกหนี้หรือผู้บริโภคสามารถปรับสภาพคล่องทางการเงินได้ดีขึ้น อีกทั้งยังสามารถกระตุ้นกลุ่มรากหญ้าให้มีเงินเหลือสำหรับการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจในหลายภาคส่วนฟื้นตัวตามไปด้วย           จากโครงการที่รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดจะสนับสนุนการเติบโตในหลายภาคส่วน ขณะที่แนวโน้มธุรกิจของ FSMART คาดจะเติบโตต่อเนื่องต่อเนื่องจากปี 2567 ทั้ง 3 กลุ่ม ธุรกิจเติมเงิน-รับชำระเงินอัตโนมัติ ธุรกิจบริการทางการเงินและสินเชื่อครบวงจร ธุรกิจเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติและเครื่องชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า           คาดการณ์ว่าในปี 2568 ธุรกิจเติมเงินและรับชำระเงินอัตโนมัติจะมีแนวโน้มการใช้บริการทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2567 แต่บริษัทคาดว่าจะเห็นอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการหมดภาระค่าเสื่อมราคาของ ตู้บุญเติม ที่ดำเนินการมาต่อเนื่องถึง 8 ปี ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในธุรกิจนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลเชิงบวกต่อผลกำไรสุทธิของบริษัทในภาพรวม           บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของธุรกิจบริการทางการเงินและสินเชื่อครบวงจรในปี 2568 โดยคาดว่าการปล่อยสินเชื่อจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 50% จากปี 2567 ปัจจัยหนุนการเติบโตมาจากการขยายฐานลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น รวมถึงกลุ่มลูกค้าบริษัทที่มีพนักงานเกิน 1 ล้านราย ซึ่งบริษัทเล็งเห็นโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีศักยภาพในการใช้บริการทางการเงิน           ส่วนธุรกิจเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติและเครื่องชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า คาดว่าปี 2568 จำนวนตู้ “เต่าบิน”จะเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันมีตู้ให้บริการ 6,983 จุดทั่วประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ยอดขายจากตู้ดังกล่าวคาดว่าจะเติบโตสอดคล้องกับจำนวนตู้ที่เพิ่มขึ้น รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

ก.ล.ต. ขอให้พนักงานอัยการฟ้อง 3 ราย ต่อศาลแพ่ง กรณีปั่นหุ้น BM

ก.ล.ต. ขอให้พนักงานอัยการฟ้อง 3 ราย ต่อศาลแพ่ง กรณีปั่นหุ้น BM

          หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้พนักงานอัยการฟ้องผู้กระทำความผิด 3 ราย ได้แก่ (1) นายฐนริศร์ พรพัฒนะแจ่มใส (2) นางสาวอัจฉราภรณ์ ราชนาจันทร์ และ (3) นายศักดิ์สุมิตร สมรพิทักษ์กุล กรณีสร้างราคาหุ้นของบริษัท บางกอกชีทเม็ททัล จำกัด (มหาชน) (BM) เพื่อขอให้กำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด           ตามที่คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) ได้มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดรวม 6 ราย* ในกรณีสร้างราคาหุ้นของ BM โดยกำหนดให้ชำระเงินรวม 8,001,949 บาท (ค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด) และกำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเป็นระยะเวลารายละ 6 เดือน หรือ 11 เดือน (แล้วแต่กรณี) และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นระยะเวลารายละ 12 เดือน หรือ 22 เดือน (แล้วแต่กรณี)           ทั้งนี้ มีผู้กระทำความผิด 3 ราย ได้ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ส่วนผู้กระทำความผิดอีก 3 ราย ได้แก่ นายฐนริศร์ นางสาวอัจฉราภรณ์ และนายศักดิ์สุมิตร ไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ซึ่งพิจารณาได้ว่าผู้กระทำความผิดทั้ง 3 ราย ไม่ยินยอมที่จะระงับคดีในชั้น ก.ล.ต.           ดังนั้น ก.ล.ต. จึงมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีผู้กระทำความผิดทั้ง 3 รายดังกล่าวต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้กำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง โดยให้ชำระเงินรวมทั้งสิ้น 7,212,741.84 บาท พร้อมดอกเบี้ย รวมทั้งกำหนดระยะเวลาห้ามผู้กระทำความผิดทั้ง 3 ราย ซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร ในอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติ           อนึ่ง ก.ล.ต. ได้นำส่งการดำเนินการดังกล่าวต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เนื่องจากความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 หมายเหตุ : * ข่าว ก.ล.ต. ฉบับที่ 75/2567 เผยแพร่เมื่อที่ 2 เมษายน 2567 “ก.ล.ต. ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 6 ราย กรณีสร้างราคาหุ้น BM” https://www.sec.or.th/TH/Pages/News_Detail.aspx?SECID=10709

[Vision Exclusive] จับตา GDP โค้งท้าย MAGURO ชูโรงหุ้นอาหาร

[Vision Exclusive] จับตา GDP โค้งท้าย MAGURO ชูโรงหุ้นอาหาร

          หุ้นวิชั่น - นายกฯ มั่นใจ Digital Wallet หนุน GDP โค้งท้ายปีนี้โตเกิน 3% ฟากโบรก "วิลาสินี บุญมาสูงทรง" สั่งจับตาตัวเลขส่งออก - ภาคบริการ เชื่อท่องเที่ยวหนุนรายได้สะพัด ชูกลุ่มอาหารเด่น  หุ้น MAGURO เข้าตา           นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายการบริหารราชการภายใต้หัวข้อ “2568 Empowering Thais: A Real Possibility จากผลงานที่เป็นรูปธรรม สู่อนาคตที่ทำได้จริง” เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศในปี 2568 ให้สามารถแข่งขันกับทุกประเทศในโลกได้ โดยหนึ่งในนโยบายสำคัญคือ Digital Wallet ซึ่งนายกรัฐมนตรีมั่นใจว่า GDP ในไตรมาส 4 ปี 2567 จะเติบโตเกิน 3% หลังจากการแจกเงินในเฟสแรก และยืนยันว่าจะเดินหน้าแจกเงินหมื่นในเฟส 2 ก่อนตรุษจีน และเฟส 3 สำหรับบุคคลทั่วไปจะเป็นการแจกผ่านดิจิทัลวอลเล็ตในปีหน้า           ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่า การแจกเงินจะช่วยกระจายสู่รากหญ้าและกระตุ้นการบริโภคและการผลิตในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยผลักดันให้ GDP เติบโตได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่กว่า 3% ในปี 2567           ตัวเลขการส่งออกล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2567 ดีขึ้น โดยมีตัวเลขสะสมเติบโต 4.9% ซึ่งคาดว่าจะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญในการผลักดันให้ GDP เติบโตตามเป้าหมาย ทั้งนี้ คงต้องติดตามผลการส่งออกใน 2 เดือนสุดท้ายของปี ขณะที่ภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้สำคัญให้กับประเทศ ก็มีแนวโน้มเติบโตดี โดยกลุ่มอาหารยังคงเป็นเซกเตอร์ที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนหุ้นขนาดกลางในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่มีแนวโน้มเติบโตดี ได้แก่ บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[ภาพข่าว] IND โชว์ Backlog กว่า 3 พันลบ. หนุนผลงานโตแข็งแกร่ง

[ภาพข่าว] IND โชว์ Backlog กว่า 3 พันลบ. หนุนผลงานโตแข็งแกร่ง

          คุณรัฐวิชญ์ ณ ลำพูน (ซ้าย) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบริหาร พร้อมด้วยคุณนันท์นภัส คงรอด (ขวา) ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (IND) ร่วมนำเสนอข้อมูลของบริษัทฯ ประจำไตรมาส 3/2567  ต่อนักลงทุน นักวิเคราะห์ และสื่อมวลชน ในงาน Opportunity Day บนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยประเมินภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเพราะทยอยรับรู้รายได้จากโครงการต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามา และทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ที่ปัจจุบันมีอยู่  3,077.68 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทำให้มั่นใจผลการดำเนินงานปีนี้และในอนาคตจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง  ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

[ภาพข่าว] PLANET ผนึก SIEMENS จัดสัมมนาเสริมแกร่ง ป้องกันภัยไซเบอร์ในไทย

[ภาพข่าว] PLANET ผนึก SIEMENS จัดสัมมนาเสริมแกร่ง ป้องกันภัยไซเบอร์ในไทย

          คุณประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ (แถวหน้าที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย หรือ PLANET ผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลแบบครบวงจร คุณณัฐพล แนวไทย (แถวหน้าขวาสุด) รองประธานฝ่าย Process Automation & Factory บริษัท ซีเมนส์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วยผู้แทนจากส่วนราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ถ่ายภาพร่วมกันในงานสัมมนา "OT Cyber Security Defens เสริมเกราะความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐาน" โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก เรืออากาศเอก นพรัตน์ สุจินดา ผู้อำนวยการฝ่ายทดสอบเจาะระบบและเตรียมความพร้อม สำนักบริหารโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ โดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.)หรือ NCSA บรรยายในหัวข้อ "IEC62443 standard for OT Cybersecurity"  และมีการนำเสนอโซลูชั่นป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ ภายใต้แบรนด์ ‘SIEMENS’ สำหรับโครงสร้างพื้นฐานแบบครบวงจร ณ โรงแรม Pullman Bangkok King Power เมื่อเร็วๆนี้

AUCT เตรียมเปิดประมูลอสังหาริมทรัพย์ผ่านระบบ AUCT BID

AUCT เตรียมเปิดประมูลอสังหาริมทรัพย์ผ่านระบบ AUCT BID

          บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT เตรียมเปิดบริการ AUCT BID ประมูลอสังหาริมทรัพย์ ทุกวันศุกร์สัปดาห์ที่ 3 ของเดือน   ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม และที่ดินเปล่า ให้เลือกประมูลซื้อในราคาพิเศษ           นายสุธี สมาธิ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นอกจากรถยนต์มือสองแล้วอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ยังถูกนำมาฝากขายกับบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง     บริษัทฯ จึงได้เปิดให้บริการประมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ  AUCT PROPERTY ขึ้นทุกวันศุกร์สัปดาห์ที่ 3 ของเดือน โดยจะเริ่มตั้งแต่เวลา 12.00-24.00 น. ในแต่ละครั้งจะมีอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม และที่ดินเปล่า ทั้งในทำเลกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล ต่างจังหวัด จำนวนหลายรายการให้เลือกประมูลซื้อในราคาที่ตัดสินใจซื้อได้ง่าย นอกจากการประมูลอสังหาริมทรัพย์แล้ว AUCT PROPERTY ยังมีบริการที่หลากหลายครบวงจร ทั้งฝากขาย ฝากเช่า และรีไฟแนนซ์อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท           “ตัวอย่างทรัพย์ที่จะเปิดประมูลในวันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2567  ได้แก่คอนโดมิเนียมโครงการเอไลฟ์ สุขุมวิท 76 ราคา 2.12 ล้านบาท, โครงการจี คอนโด 2 ศรีราชา ราคา 1.58 ล้านบาท, โครงการโกลเด้น โฮม หนองยายบู่  ราคา 1.7 ล้านบาท นอกจากนี้แล้วยังมีอสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจจากโครงการอื่น ๆ อีกจำนวนหลายรายการ” นายสุธีกล่าวและเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ต้องการเริ่มประมูลอสังหาริมทรัพย์ในวันดังกล่าวจะต้องลงทะเบียน AUCT BID เพื่อชำระหลักประกันป้ายประมูลผ่าน QR Payment หรือบัตรเครดิต จึงจะสามารถเข้าสู่ระบบ AUCT BID  และเลือกลานประมูลและเลือกรายการประมูลจึงจะสามารถสู้ราคาได้ โดยทรัพย์สินที่ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ราคาปรับขึ้นครั้งละ 2,000 บาท ส่วนทรัพย์สินที่ราคาเกิน 1 ล้านบาท ราคาจะปรับขึ้นครั้งละ 10,000 บาท เมื่อสู้ราคาเรียบแล้วจะต้องรอเวลานับถอยหลังตามวันและเวลาสิ้นสุดการประมูล ผู้ที่ชนะการประมูลจะต้องทำสัญญาซื้อขาย แล้ววางเงินหลักประกันตามเงื่อนไขจึงจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้           นายสุธีเปิดเผยถึงเงื่อนไขการประมูลอสังหาริมทรัพย์ว่า การประมูลแต่ละครั้งบริษัทฯ จะแจ้งรายละเอียดทรัพย์ที่จะประมูล พร้อมหลักเกณฑ์และเงื่อนไขผ่านหน้าเว็บไซต์ ผู้ที่ต้องการร่วมประมูลจะต้องศึกษาอย่างละเอียดและครบถ้วน เนื่องจากทรัพย์ที่นำมาประมูลออนไลน์นั้นเป็นการขายตามสภาพและใช้ภาพถ่ายจากสถานที่จริง ดังนั้น เพื่อประโยชน์ของผู้ประมูลซื้อจะต้องศึกษาข้อมูลและรายละเอียดก่อนตัดสินใจ หากต้องการดูสถานที่ตั้งและทรัพย์สินสามารถนัดหมายล่วงหน้า 1 วัน ทางบริษัทฯ จะมีเจ้าหน้าที่พาผู้ซื้อไปดูทรัพย์สินของจริงในทำเลต่าง ๆ ได้ สำหรับผู้ที่สนใจการประมูลดังกล่าวติดตามข่าวสารและรายการรถยนต์ได้ที่  www.auct.co.th  หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 02-033-6555 [PR News]

PSTC ส่งสัญญาณ “ท่อขนส่งน้ำมัน” วอลุ่มพุ่งกระฉูด

PSTC ส่งสัญญาณ “ท่อขนส่งน้ำมัน” วอลุ่มพุ่งกระฉูด

          หุ้นวิชั่น - ช่วงนี้ บมจ.เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี (PSTC) พร้อมมากก...ขอบอก  “โครงการท่อขนส่งน้ำมัน” เส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (TPN) บริษัทร่วมทุนระหว่าง PSTC และ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) ที่เปิดให้บริการไปแล้วเมื่อตุลาคมปี 66 และตอนนี้มีลูกค้าจากกลุ่มบริษัทค้าปลีกน้ำมันชั้นนำของประเทศมาต่อคิวใช้บริการกันเพียบ จนช่วงนี้มียอดใช้บริการเพิ่มขึ้นเกินกว่า 2 เท่าตัว แถมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง งานนี้ "ลือชัย สุดสาคร" กรรมการผู้จัดการ ยิ้มแก้มปริ มั่นใจรายได้หลังจากนี้จะค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กลับเข้าสู่ “โหมดขาขึ้น” แน่นอนคร้า แฟนคลับกอดหุ้นแน่นๆ รู้อย่างนี้แล้วสบายใจหายห่วงได้เลยคร้าาา!!!

FVC ย้ำรายได้ปี 67 สดใสจ่อแตะ 1,000 ลบ.

FVC ย้ำรายได้ปี 67 สดใสจ่อแตะ 1,000 ลบ.

หุ้นวิชั่น  - นายวิจิตร เตชะเกษม กรรมการผู้จัดการ (กลาง) พร้อมด้วย นายธนพรรจน์ ตันติวัฒนวิจิตร (ขวา) ผู้จัดการทั่วไป และนางสาวปานจิต ฉิมพาลี (ซ้าย) ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท ฟิลเตอร์ วิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FVC ร่วมนำเสนอข้อมูลสรุปผลประกอบการงวด 9 เดือนของปี 2567 ภายในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day) ผ่านระบบออนไลน์ ณ FVC สำนักงานใหญ่ โดยผลประกอบการงวด 9 เดือน บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 18.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.83% ขณะที่รายได้จากการจำหน่ายสินค้าและบริการ 774.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.51% พร้อมระบุไตรมาส 4 นี้ แนวโน้มโตต่อเนื่องจากการเร่งขยายฐานลูกค้าใหม่ และรักษาลูกค้าเดิม ทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจการให้บริการ หนุนรายได้ทั้งปี 2567แตะ 1,000 ล้านบาท

TAKUNI เลิกกิจการ

TAKUNI เลิกกิจการ"เอสเอ็มอีโกเอ็ม” แจงไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงาน

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ดร.กฤตพงศ์ อรชัยพันธ์ลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ด้วยที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จ ากัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2567 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 ได้มีมติพิจารณาอนุมัติให้บริษัทซึ่งเป็นผู้มีอำนาจควบคุมใน “บริษัท เอสเอ็มอีโกเอ็ม จำกัด” ดำเนินการเลิกกิจการ และชำระบัญชีของบริษัทย่อยดังกล่าวเรียบร้อย โดยมีรายละเอียดดังนี้ ชื่อบริษัทย่อย บริษัท เอสเอ็มอีโกเอ็ม จำกัด สถานที่ตั้ง เลขที่ 140/1 ซอยนาวีเจริญทรัพย์ ถนนกาญจนาภิเษก แขวงบางแค เขตบางแค กรุงเทพมหานคร 10160 ทุนจดทะเบียน 100,000 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจ านวน 1,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 100 บาท ผู้ถือหุ้น บริษัท ทำคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ถือในสัดส่วนร้อยละ 49.00 นายสมยศ ติรนวัฒนานันท์ ถือในสัดส่วนร้อยละ 2.00 นายชิว ฮาน ไค (Chew Han Keai) ถือในสัดส่วนร้อยละ 49.00 มูลค่าเงินลงทุน 49,000 บาท ทั้งนี้ การเลิกบริษัทย่อยดังกล่าว ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด ในการนี้ บริษัท เอสเอ็มอีโกเอ็ม จำกัด ได้ดำเนินการจดทะเบียนเลิกกิจการและชำระบัญชีตามระเบียบเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2567

[Vision Exclusive] HL ส่งสินค้า Consumer ตีตลาดทำเงิน

[Vision Exclusive] HL ส่งสินค้า Consumer ตีตลาดทำเงิน

          หุ้นวิชั่น - HL ตั้งเป้ายอดขายปี 68 เติบโต 20% เล็งขยายสาขาใหม่ 14 แห่ง จาก สิ้น Q3/67 ที่ 61 สาขา ปักธง SSSG ระดับ 10% ฟากบอสใหญ่ “ธัชพล ชลวัฒนสกุล” กางกลยุทธ์ เล็งส่งสินค้า Consumer ตีตลาดทำเงิน ชี้ยอดโตสูง 30% พร้อมคลอดโปรดักส์ใหม่ต้นปี           ภก.ธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) หรือ HL เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโต 20% โดยมาจากการขยายสาขาใหม่และการเติบโตจากสาขาเดิม (Same Store Sales Growth: SSSG) ปัจจุบันบริษัทมีแผนขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 14 สาขา จากที่มีสาขาทั้งหมด 61 สาขา ณ สิ้นไตรมาส 3/2567           สำหรับพื้นที่ใหม่ บริษัทได้ลงนามสัญญาการเช่าพื้นที่แล้ว 5 สาขา และจะทยอยเซ็นสัญญาเช่าพื้นที่เพิ่มเติม พร้อมเปิดสาขาใหม่ในอนาคต บริษัทวางงบลงทุนเพื่อเปิดสาขาใหม่ รวมถึงสต็อกสินค้าประมาณ 6 ล้านบาทต่อสาขา สาขาใหม่ที่บริษัทเตรียมขยายจะกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มและเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงในพื้นที่เหล่านี้           ขณะเดียวกัน บริษัทคาดว่ายอดขายจากสาขาเดิม (Same Store Sales Growth : SSSG) จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากมียอดขายจาก SSSG ที่ดีขึ้นตลอด 4 ไตรมาสติดต่อกัน ปัจจุบันบริษัทมียอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) อยู่ในระดับ 10% และในปี 2568 บริษัทจะพยายามรักษาอัตราการเติบโตนี้ต่อไป นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หลังจากที่ไม่ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่มาเป็นเวลานานกว่า 2 ปี โดยปัจจุบันบริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวแล้ว 5 รายการ และเตรียมเปิดตัวอีก 10 รายการในต้นปี 2568 โดยสินค้าดังกล่าวจะเป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีศักยภาพในการสร้างยอดขายให้กับบริษัทได้มากขึ้น           บริษัทเตรียมเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่ในกลุ่มสมุนไพร ซึ่งจะใช้สำหรับการพ่นจมูกและการดูแลผิวและผม โดยคาดว่าสินค้านวัตกรรมดังกล่าวจะมีอัตราการเติบโต 2-3 เท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2567 พร้อมกันนี้ บริษัทได้ตั้งงบลงทุนสำหรับการตลาดสินค้าใหม่ไว้ที่ 5-10 ล้านบาท หรือมียอดขายที่ 70-80 ล้านบาท ของยอดนายรวมทั้งหมด           บริษัทวางกลยุทธ์การจำหน่ายสินค้าในปี 2568 โดยจะเพิ่มสินค้ากลุ่ม Consumer ให้มากขึ้น จากเดิมที่บริษัทจำหน่ายสินค้าประเภทยาเป็นหลัก โดยสินค้ากลุ่ม Consumer มีแนวโน้มการเติบโตสูงถึง 20-30% ขณะเดียวกัน ระบบสมาชิกของบริษัทปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 4 แสนราย จากเดิมที่ 3 แสนราย โดยมีการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1 หมื่นรายต่อเดือน และมียอดสมาชิกที่เป็น Active อยู่ที่ 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

CHOW ฮอต!พลังงานโตแรง เกาะเทรนด์ Carbon Neutral

CHOW ฮอต!พลังงานโตแรง เกาะเทรนด์ Carbon Neutral

          หุ้นวิชั่น – CHOW เกาะติดเทรนด์ Carbon Neutral ฟากผู้บงริหาร “ปรมัตถ์ จุฬวนิช” ตั้งเป้ากำลังผลิตเหล็กปี 68 แตะ 4 แสนตัน ชี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ด้านธุรกิจพลังงานฮอต! ผู้ประกอบการตื่นตัว ลุยปรับกระบวนการผลิต หันมาใช้พลังงานทดแทนมากสุด กางแผนดันสัญญารับซื้อไฟชน 200 เมกะวัตต์           นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) และธุรกิจพลังงานทดแทนประเภทพลังงานแสงอาทิตย์ เปิดเผยว่า ธุรกิจเหล็กในปีที่ผ่านมาเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก และคาดว่าในปี 2568 ความท้าทายจะยังคงอยู่ โดยอุปสงค์ในตลาดมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ขณะที่ราคาวัตถุดิบและค่าไฟฟ้าคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2567           สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีหน้า บริษัทมุ่งเน้นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแนวคิด Carbon Neutral หรือความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ภายหลังจากการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเหล็ก รวมถึงการรักษาสภาพคล่องโดยการให้เครดิตธุรกิจเหล็กในปริมาณที่สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้           ปัจจุบันบริษัทมีใบอนุญาตหรือไลน์เซ่นส์กำลังการผลิตเหล็กที่ 730,000 ตัน โดยมีการใช้กำลังการผลิตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหรืออุตสาหกรรมถึง 2 เท่า สำหรับเป้าหมายหลักในการดำเนินธุรกิจเหล็กในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีกำลังการผลิต 400,000 ตัน หรือเพิ่มปริมาณการผลิตให้สูงขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทจะมุ่งเน้นรักษาอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) ที่ดี และให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพหนี้ รวมถึงการบริหารการให้เครดิตแก่ลูกค้าอย่างรอบคอบ           ด้านธุรกิจพลังงาน แนวโน้มธุรกิจมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด Carbon Neutral หรือความเป็นกลางทางคาร์บอน ที่ทำให้ผู้ประกอบการตื่นตัวและปรับกระบวนการผลิตโดยใช้พลังงานทดแทนให้มากที่สุด           จุดเด่นของธุรกิจพลังงานของ CHOW คือ ระบบวิศวกรรมที่มีความทันสมัยและการดำเนินการทั้งในรูปแบบโซลาร์ฟาร์มและโซลาร์รูฟท็อป โดยบริษัทได้ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์กว่า 10,000 แห่งทั่วทุกจังหวัด นอกจากนี้ CHOW ยังมีฐานเงินทุนที่มั่นคงและพาร์ทเนอร์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านพลังงาน ซึ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจพลังงานของบริษัท           นายปรมัตถ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทมีสัญญารับซื้อไฟฟ้าและอยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการพลังงานรวมทั้งสิ้น 100 เมกะวัตต์ ส่วนในปี 2568 คาดว่าจะมีสัญญารับซื้อไฟฟ้าถึง 200 เมกะวัตต์ และในปี 2569 จะเพิ่มขึ้นไปถึง 300 เมกะวัตต์ โดยจะมุ่งเน้นโครงการพลังงานภายในประเทศเป็นหลัก           บริษัทเชื่อว่า ภาคธุรกิจพลังงานยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และ CHOW จะมุ่งเน้นการช่วยเหลือผู้ประกอบการและธุรกิจซัพพลายเชน โดยเฉพาะธุรกิจส่งออก ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากแนวคิด Carbon Neutral หรือความเป็นกลางทางคาร์บอน รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision              

[ภาพข่าว] “KJL” จัดสัมมนารวมพลคนไฟฟ้า โซลาร์รูฟ  (Solar Rooftop System)

[ภาพข่าว] “KJL” จัดสัมมนารวมพลคนไฟฟ้า โซลาร์รูฟ (Solar Rooftop System)

          บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ตู้ไฟ รางไฟ และสินค้าอื่น ๆ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของอุตสาหกรรม ด้วยเทคโนโลยีการผลิตอันทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่น ผสานกับเครื่องจักรและนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯโดดเด่นด้วยความแม่นยำสูง มีคุณภาพมาตรฐานระดับโลก แข็งแรง ทนทาน และปลอดภัย พร้อมส่งมอบถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็ว KJL จึงได้จัดงานสัมมนา “KJL รวมพลคนไฟฟ้า โซลาร์รูฟ” (Solar Rooftop System) กิจกรรมเชิงวิชาการ ที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้าสำหรับประเทศไทย : ระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ติดตั้งบนหลังคา (วสท.) ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากช่างไฟฟ้า วิศวกร ผู้รับเหมา และองค์กรชั้นนำต่างๆ ให้เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมตู้ไฟ ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการของงานระบบไฟฟ้าอย่างครบวงจร ซึ่งสินค้าที่ตอบโจทย์ตลาดด้านงานสื่อสาร และงาน Solar Cell ที่เป็นเทรนด์ที่มาแรงที่สุดในปีนี้ คือ KJL WALKWAY ตะแกรงทางเดินงานโซล่าเซลล์ เพื่อซ่อมบำรุงบนหลังคานอกอาคาร และรางเทรย์งานเบา (แบบเจาะรูระบายอากาศ) Light Duty Series เหมาะสำหรับงานติดตั้งระบบสายไฟฟ้าภายในและภายนอกอาคาร ที่มีน้ำหนักไม่มาก (งานเบา) สวยงาม และต้องการการระบายความร้อน ได้เป็นอย่างดี           โดยกิจกรรมในครั้งนี้ ทางบริษัทฯ ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ โดยอาจารย์สุจิ คอประเสิรฐศักดิ์ ประธานปรับปรุงมาตรฐานระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ติดตั้งบนหลังคา พ.ศ. 2565 (วสท.) ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้เข้าร่วมงานอย่างดีเยี่ยม งานดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรม นิกโก้ อมตะซิตี้ จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา           นอกจากนี้จะบริษัทฯ วางแผนจัดงานสัมมนา KJL รวมพลคนไฟฟ้า ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในเดือนมกราคม 2568 ที่จะถึงนี้

CHO แจ้งทำข้อเสนอควบรวมกิจการกับ บริษัท บางกอกเทลลิ้ง จำกัด

CHO แจ้งทำข้อเสนอควบรวมกิจการกับ บริษัท บางกอกเทลลิ้ง จำกัด

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ตามที่บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ “CHO” ได้แจ้งการดำเนินการผ่านบริษัท Singto, LLC ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศสหรัฐอเมริกาและมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เพื่อลงทุนในบริษัท Arogo Capital Acquisition Crop. (“AROGO” หรือ “บริษัทร่วม”) ระดมทุนในรูปแบบ Special Purpose Acquisition Company (SPAC) ประเทศสหรัฐอเมริกา           เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2567 ตามเวลาในประเทศสหรัฐอเมริกา คณะกรรมการของ AROGO ลงนามใน Letter of Intent (the “LOI”) เพื่อการยื่นคำขอต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา (U.S. Securities and Exchange : U.S. SEC) เพื่อขอทำการควบรวมกิจการกับ บริษัท บางกอกเทลลิ้ง จำกัด (Bangkok Tellink Co., Ltd) ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ดำเนินธุรกิจด้านโทรคมนาคมขั้นสูง เทคโนโลยีเครือข่ายมือถือ ระบบ Internet of Things (IoT) และบริการที่หลากหลาย อาทิเช่น โซลูชั่นอัจฉริยะ, ซิมการ์ด IoT, E-Sim, SMPP (SMS เสมือน), SIP trunk (หมายเลขเสมือนเสียง) และการพัฒนาซอฟต์แวร์ ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการประเมินมูลค่าการควบรวม (ประเมินไว้ระหว่าง 300-1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ก่อนลงนาม BusinessCombination Agreement (“BCA”) ภายใน 28 กุมภาพันธ์ 2568           ทั้งนี้หากได้รับอนุมัติจาก U.S. SEC จะเสนอขออนุมัติควบรวมกิจการจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น AROGO ต่อไป           ทั้งนี้ได้มีการเผยแพร่ข่าว ในวันที่ 10 ธันวาคม 2567 ตามเวลาประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสามารถติดตามรายละเอียดจากเว็ปไซต์ของ U.S. SEC ได้ทาง https://www.sec.gov/Archives/edgar/data/1881741/000121390024107411/ea0224295-8k425_arogo.htm           หากมีความคืบหน้าในการดำเนินการใดๆ ที่สำคัญ บริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป

[ภาพข่าว] JPARK นำเสนอข้อมูลนักลงทุน ในงาน PI A8 Corporate Talk

[ภาพข่าว] JPARK นำเสนอข้อมูลนักลงทุน ในงาน PI A8 Corporate Talk

          นายสันติพล เจนวัฒนไพศาล (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายสุดวิณ ปัญญาวงศ์ขันติ (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินและบัญชี  บริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) “JPARK” ร่วมนำเสนอข้อมูลแนวทางการดำเนินธุรกิจและศักยภาพการเติบโตในอนาคตแก่นักลงทุน ในงาน PI A8 Corporate Talk จัดขึ้นโดย บล.PI A8 x สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) และ สมาคมนักลงทุนประเทศไทย โดยมีนายธนเดช รังษีธนานนท์ (ที่ 4 จากซ้าย) Head of Research and Content บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) นายอมร โควานิชเจริญ (ที่ 4 จากขวา) กรรมการสมาคมฯ ThaiVI สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) นายทิวา ชินธาดาพงศ์ (ที่ 1 จากซ้าย) นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย ให้การต้อนรับ ณ อาคารสินธร ทาวเวอร์ 1 ชั้น 7

[ภาพข่าว] IVF เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรก

[ภาพข่าว] IVF เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรก

          ประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ พร้อมด้วย  เกศิณี กุลดิลก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. อินสไปร์ ไอวีเอฟ  ร่วมพิธีเปิดการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ของ บมจ. อินสไปร์ ไอวีเอฟ  ผู้ให้บริการด้านการรักษาผู้มีบุตรยาก ในวันที่ 11 ธันวาคม 2567 มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,364 ล้านบาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “IVF”

[ภาพข่าว] ผถห. NDR โหวตฉลุย แจกวอแรนต์ฟรี 2:1

[ภาพข่าว] ผถห. NDR โหวตฉลุย แจกวอแรนต์ฟรี 2:1

           นายชัยสิทธิ์  สัมฤทธิวณิชชา  (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี. รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR ผู้ผลิตและจำหน่ายยางนอกและยางในรถจักรยานยนต์ภายใต้แบรนด์ N.D.Rubber  ถ่ายภายร่วมกับคณะกรรมการบริษัทฯ เนื่องในโอกาสประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2567 โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งที่ 3  (NDR-W3) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (Rights Offering) จำนวนไม่เกิน 228,445,815 หน่วย โดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราส่วน 2 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิฯ อายุ 1 ปี นับจากวันที่ได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิฯ มีอัตราการใช้สิทธิ 1 หน่วยต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น และมีราคาการใช้สิทธิเท่ากับ 1.00 บาท/หุ้น            พร้อมทั้งอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จำนวน 228,445,815 บาท จากเดิมทุนจดทะเบียน จำนวน 456,891,630 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ จำนวน 685,337,445 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิฯ โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา

PROEN ร่วมมือ Innovenx ยกระดับการจัดการ Multi-Cloud Solution

PROEN ร่วมมือ Innovenx ยกระดับการจัดการ Multi-Cloud Solution

         หุ้นวิชั่น - PROEN ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Innovenx ผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย จากประเทศสิงคโปร์  หวังยกระดับการจัดการ Multi-Cloud ปักธงให้บริการครอบคลุมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ลาว เมียนมา และกัมพูชา  มุ่งเน้นเสริมศักยภาพธุรกิจด้วยเทคโนโลยีคลาวด์ที่ทันสมัย นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN ผู้ให้บริการ Cloud และ Data Center ครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า  บริษัทได้ลงนามความร่วมมือทางธุรกิจ(เอ็มโอยู)ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท Innovenx ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย จากประเทศสิงคโปร์ เพื่อยกระดับเพื่อยกระดับการจัดการ Multi-Cloud โดยมีเป้าหมายขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ลาว เมียนมา และกัมพูชา ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้มุ่งเน้นเสริมศักยภาพธุรกิจด้วยเทคโนโลยีคลาวด์ที่ทันสมัย "ลูกค้าของเราต้องการโซลูชันที่ครบครัน เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานด้านคลาวด์และยกระดับความยืดหยุ่นทางธุรกิจ การผสานแพลตฟอร์มการจัดการ Multi-Cloud ของ Innovenx อย่าง MQloud เข้ากับบริการ Turnkey Multi-Cloud Provider ของ PROEN จะช่วยตอบสนองความต้องการดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายกิตติพนธ์กล่าว บริการ Turnkey Multi-Cloud Provider Solution ของ PROEN Corp นำเสนอบริการคลาวด์แบบครบวงจรที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจที่หลากหลายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการบริการให้คำปรึกษา การดำเนินการ การย้ายระบบ และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน PROEN Corp ช่วยให้การจัดการทรัพยากรด้านการคำนวณ การจัดเก็บข้อมูล ฐานข้อมูล ความปลอดภัย และเครือข่ายเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ โซลูชันที่ครบวงจรนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยีคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับความสามารถในการดำเนินงานและสร้างการเติบโตได้ สำหรับการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าด้วยการจัดการMulti-Cloud ผ่าน MQloud ประกอบด้วย การรวม Resource แบบไร้รอยต่อ: สามารถจัดการทรัพยากรคลาวด์ทั้งหมดบนแพลตฟอร์มเดียว พร้อมให้มุมมองที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร ความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น: ช่วยสร้างและจัดการสภาพ Environment ที่เป็นอิสระได้หลายรายการ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ความปลอดภัยของข้อมูลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ: ควบคุมระบบ Local Clouds และระบบ Public Clouds จากส่วนกลาง เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายข้อมูลในท้องถิ่นและการส่งมอบเนื้อหาและแอปพลิเคชันที่มีประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น: หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากจุดล้มเหลวจุดเดียว ด้วยการควบคุมสภาพ Environment ที่ละเอียดและปรับปรุงความสามารถในการตอบสนองความเสี่ยง การดำเนินงานที่ง่ายขึ้น: เชื่อมต่อข้ามคลาวด์โดยอัตโนมัติและทำให้การปรับใช้คล่องตัวด้วยอินเทอร์เฟซที่รวมศูนย์ การเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน: การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ          ด้านผู้บริหารจาก Innovenx กล่าวว่า การร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของทั้งสองบริษัทในการเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมบริการคลาวด์และขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  ซึ่งแพลตฟอร์มการจัดการ Multi-Cloud ของเราสามารถแก้ปัญหาความท้าทายด้านการจัดสรรทรัพยากร ความปลอดภัย และการจัดการต้นทุน ทำให้ความซับซ้อนของ Multi-Cloud Environment ง่ายขึ้น [PR News]

TACC ร่วมงาน Warbie's Whimsical Holiday

TACC ร่วมงาน Warbie's Whimsical Holiday

หุ้นวิชั่น - คุณสุวีรยา อังศวานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารคู่ค้า และธุรกิจลิขสิทธิ์ บริษัท ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) (TACC) ถ่ายภาพร่วมกับ คุณแซมมี่ คาโรลุส ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท และคุณอณิตา ตันติศิรินทร์ ศิลปินชาวไทยที่สร้างสรรค์คาแร็คเตอร์ Warbie Yama เนื่องในโอกาสเข้าร่วมงาน Warbie's Whimsical Holiday ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขไปพร้อมกับเจ้านกเหลืองจอมกวน นำเสนอประสบการณ์การพักผ่อนในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีกับครั้งแรกของห้องพักสำหรับครอบครัวในธีม “วอร์บี้ ยามะ” ที่จะพาแฟน ๆ ปลดปล่อยจินตนาการ พร้อมสนุกไปกับการพักผ่อนภายในห้องพักที่อัดแน่นไปด้วยความน่ารักและอบอุ่น เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้ ยังมีสินค้าลิขสิทธิ์แท้จากทางวอร์บี้ ยามะ พร้อมสินค้ารุ่นลิมิเต็ดสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับโปรโมชั่น Warbie's Whimsical Holiday เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผ้าห่ม พวงกุญแจ พรม โปสการ์ด สติ๊กเกอร์ และผ้าปิดตา มาร่วมสร้างความทรงจำอันแสนพิเศษที่เต็มไปด้วยความสุขไปพร้อมกัน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท เมื่อเร็วๆ นี้

[Vision Exclusive] HPT เซรามิกโตไม่หยุด ผนึกพันธมิตรขายสโตนแวร์

[Vision Exclusive] HPT เซรามิกโตไม่หยุด ผนึกพันธมิตรขายสโตนแวร์

          หุ้นวิชั่น - "นิจวรรณ เชาว์กิตติโสภณ" ขึ้นแท่นรองประธานกรรมการบริหารและรองกรรมการผู้จัดการ HPT ส่งสัญญาณธุรกิจปี 68 สดใส ปักหมุดขยายฐานในอาเซียน ตั้งเป้าสัดส่วนส่งออกแตะ 85% พร้อมผนึกพันธมิตรขายสโตนแวร์เสริมรายได้ มุ่งเน้นเพิ่มมาร์จิ้น 30%           ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน นางสาวนิจวรรณ เชาว์กิตติโสภณ รองประธานกรรมการบริหารและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม พอตเทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HPT เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทมีแผนขยายธุรกิจในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าในประเทศที่มีตลาดอยู่แล้ว รวมถึงการขยายไปยังประเทศใหม่ๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโต           ปัจจุบัน HPT ส่งออกสินค้าหลักไปยังตลาดในยุโรปและอเมริกา แต่ในปี 2568 บริษัทมีแผนขยายฐานการตลาดไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์, เวียดนาม) รวมถึงตลาดในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์           ปัจจุบันสัดส่วนการจำหน่ายสินค้า HPT อยู่ที่ 85% จากการส่งออกไปต่างประเทศ และ 15% จากการจำหน่ายภายในประเทศ โดยในประเทศไทย HPT ได้จัดจำหน่ายสินค้าผ่าน บริษัท เซ็นทรัล ฮอสพิแทลลิที จำกัด (CHL) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครือที่บริษัทถือหุ้น 98% โดย CHL ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์ครัวครบวงจร ภายใต้สโลแกน “ครบพร้อมสำหรับธุรกิจด้านอาหาร” และมีแผนขยายฐานลูกค้าในตลาดไทยให้กว้างขวางขึ้น เพื่อเพิ่มยอดขายให้เติบโตอย่างยั่งยืน           นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเพิ่มการจำหน่ายสินค้าร่วมกับพันธมิตร โดย HPT จะเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเซรามิคจาน-ชาม เนื้อสโตนแวร์ ซึ่งคาดว่าการจำหน่ายสินค้าร่วมกับพันธมิตรจะช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจผ่านการเพิ่มผลิตภัณฑ์และการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวม HPT คาดว่าธุรกิจในปี 2568 จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 ตามแผนงานขยายตลาดที่กำหนดไว้           และคาดแนวโน้ม อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และ อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) จะอยู่ที่ 25-30% และ 12-15% ตามลำดับ จากการที่ HPT ขยายเตาเผาในปี 2567 แล้ว 10% โดยกำลังการผลิตปัจจุบันอยู่ที่ 3.5-3.6 ล้านชิ้นต่อปี โดยการขยายกำลังผลิตเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนเท่าเดิม คาดจะสนับสนุนให้อัตราทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ตามแผน           สำหรับแผนการลงทุนในปี 2568 บริษัทจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ เนื่องจากในปี 2567 บริษัทได้ขยายเตาเผาเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม HPT อาจมีการลงทุนเพิ่มเติมในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในไลน์การผลิต เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการผลิตและรองรับการเติบโตในอนาคต รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

DHOUSE เดินหน้ารับรู้รายได้ต่อเนื่อง ปั๊มน้ำมันหนุนธุรกิจ

DHOUSE เดินหน้ารับรู้รายได้ต่อเนื่อง ปั๊มน้ำมันหนุนธุรกิจ

            หุ้นวิชั่น - DHOUSE เผยทิศทางธุรกิจโค้งสุดท้ายปี 2567 มุ่งเน้นรับรู้รายได้ต่อเนื่อง จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ สถานีบริการน้ำมัน-ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ในโครงการมิกซ์ยูส ใกล้มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ด้านผลประกอบการ Turnaround พลิกทำกำไรสุทธิ 7.42 ล้านบาท พร้อมยอดขายรอโอนอสังหาริมทรัพย์ (Backlog) จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 25 ล้านบาท ชูจุดแข็งการเป็นผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับภูมิภาค ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มเป้าหมาย บริหารจัดการต้นทุนดีจากการถือครองที่ดินพร้อมพัฒนา พร้อมปัจจัยหนุนอสังหาริมทรัพย์ภูมิภาคเติบโตจากเศรษฐกิจขยายตัว มั่นใจรายได้ปี 2567 เป็นไปตามเป้าหมาย             นายพงศ์พจน์ เลิศรุ้งพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ DHOUSE ผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดมหาสารคาม ประเภทที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์เพื่อขายหลากหลายรูปแบบ อาทิ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และอาคารพาณิชย์ เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 บริษัทมุ่งเน้นการรับรู้รายได้ต่อเนื่องจากการให้บริการสถานีบริการน้ำมัน และ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมให้บริการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะมียอดใช้บริการมากขึ้นจากความต้องการเดินทางในช่วงเทศกาล             สำหรับสถานีบริการน้ำมัน “ปตท. ยูพาร์ค ขามเรียง” โดยการดำเนินงานของบริษัท ดี เอนเนอร์จี แอนด์   รีเทล จำกัด ตั้งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประกอบด้วยการให้บริการ 2 ส่วน ได้แก่ 1. สถานีบริการน้ำมัน ภายใต้แบรนด์ “ปตท.” ในรูปแบบ DODO (Dealer Owned Dealer Operated) และ 2. ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสถานีบริการน้ำมัน โดยแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ คือ ร้านค้าที่กลุ่มบริษัทลงทุนและบริหารจัดการเอง จำนวน 2 ร้าน และ ให้เช่าพื้นที่ และเก็บค่าบริหารจัดการพื้นที่             ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในงวด 9 เดือน ปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 178.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 107.78 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 65.53% โดยแบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 71.41 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสถานีบริการน้ำมัน จำนวน 107 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทสามารถพลิกกลับมาทำกำไรสุทธิที่ 7.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 149.13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และ มีเป้าหมายทั้งปี 2567 จะสามารถรักษาอัตราการทำกำไรไม่น้อยกว่าระดับ 8.50%             นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้ารับรู้รายได้จากยอดขายรอโอน (Backlog) โครงการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่จังหวัดมหาสารคามที่บริษัทเป็นผู้ดำเนินการ จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 25 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้จากการดำเนินงาน แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสถานีบริการน้ำมัน จำนวน 58% และ รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 39%             “บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดใกล้เคียง ด้วยจุดแข็งการเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความเข้าใจในไลฟ์สไตล์ของคนในพื้นที่ สามารถพัฒนาโครงการที่เรียบง่ายแต่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างตรงจุด มีราคาเหมาะสม ให้ความสำคัญกับคุณภาพการก่อสร้าง ตลอดจนการให้บริการหลังการขายที่มีคุณภาพ อีกทั้งบริษัทมีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี จากการถือครองที่ดินที่พร้อมพัฒนาโครงการในอนาคต นอกจากนี้การขยายตัวของธุรกิจพลังงานยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้บริษัทมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง             สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดใกล้เคียงยังคงมีแนวโน้มที่ดี โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการได้รับการสนับสนุนจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ และ การขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การเพิ่มจำนวนประชากรในวัยทำงานที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของบริษัท รวมถึงมาตรการภาครัฐในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยมีเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีของบริษัท และ จากแผนการดำเนินงานทั้งหมดทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้ในปีนี้ ให้ตามเป้าหมายที่วางไว้” นายพงศ์พจน์ กล่าวเพิ่มเติม [PR News]

[ภาพข่าว] PIS จัด Analyst Meeting เตรียมระดมทุนขาย IPO จำนวน 140 ล้านหุ้น

[ภาพข่าว] PIS จัด Analyst Meeting เตรียมระดมทุนขาย IPO จำนวน 140 ล้านหุ้น

           นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร , นายนวัช ทัฬหิกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) และนายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ร่วมจัดประชุมนักวิเคราะห์ (Analyst Meeting) เพื่อนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ และการเตรียมความพร้อมระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ตามแผนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 140 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.93% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท เพื่อรองรับแผนการเข้าประมูลโครงการภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ สนับสนุนธุรกิจเติบโตก้าวกระโดดในอนาคต ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้

TAKUNI ลงทุนบ.ย่อย 2.97 ล. ลุยธุรกิจมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า

TAKUNI ลงทุนบ.ย่อย 2.97 ล. ลุยธุรกิจมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า

          นายกฤตพงศ์ อรชัยพันธ์ลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการการผู้จัดการบริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI ขอแจ้งรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงสถานะเงินลงทุนในบริษัทร่วมเป็นบริษัทย่อยเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 ณ วันที่บริษัทมีอำนาจควบคุมในบริษัทย่อย ซึ่งได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร ครั้งที่ 7/2567 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2567 และการเปลี่ยนสัดส่วนเงินลงทุนได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารครั้งที่ 10/2567 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2567 โดยมีรายละเอียด ดังนี้           ชื่อบริษัท บริษัท ทีทีเอส คอนเนคส์ จำกัด ที่อยู่ 123 ถนนนิมิตใหม่ แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ทุนจดทะเบียน 3,000,000 บาท หุ้นสามัญจำนวน 30,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ หุ้นละ 100 บาท           มูลค่าเงินลงทุน 2,970,0000 บาท แหล่งเงินทุนที่ใช้จัดตั้ง เงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการ ลักษณะธุรกิจ นำเข้า ผลิต และจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาคาดว่าจะมีรายได้ ภายใน 1 ปี วัตถุประสงค์การลงทุน เพื่อขยายธุรกิจเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า

IIG อนุมัติเพิ่มทุน 6.17 ล้านหุ้น ขาย PP 'วิวัณณา-สิปปกร'

IIG อนุมัติเพิ่มทุน 6.17 ล้านหุ้น ขาย PP 'วิวัณณา-สิปปกร'

หุ้นวิชั่น- ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายสมชาย เมฆะสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารตามที่ บริษัท ไอ แอนด์ ไอ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ IIG แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2567 ให้ทำการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท แบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวนไม่เกิน 10,872,424 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ครั้งเดียวเต็มจำนวนหรือแต่บางส่วนเป็นคราว ๆ นั้น บริษัทขอแจ้งให้ทราบว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 10/2567 เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัดตามแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) ครั้งที่ 4 จำนวน 6,172,424 หุ้น ให้แก่ผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง ได้แก่ 1.นางสาววิวัณณา ไพฑูรย์มงคล จำนวน 572,424 หุ้น ในราคา 4.90 บาทต่อหุ้น เป็นเงินไม่เกิน 2,804,877.60 บาท กำหนดวันจองซื้อและชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม 2567 2.นายสิปปกร ขาวสอาด จำนวน 5,600,000 หุ้น ในราคา 4.90 บาทต่อหุ้น เป็นเงินไม่เกิน 27,440,000 บาท กำหนดวันจองซื้อและชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม 2567 ซึ่งทั้งสองท่านไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัท ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 21/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในรายการที่เกี่ยวโยงกัน พ.ศ. 2546 (“ประกาศรายการที่เกี่ยวโยงกันฯ”) ในราคาหุ้นละ 4.90 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยย้อนหลัง 15 วันทำการติดต่อกัน ก่อนวันที่คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน คือระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2567 โดยกำหนดวันจองซื้อและชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม 2567 รายละเอียดปรากฏตามแบบรายงานการออกและจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate)   นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติมอบหมายให้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือบุคคลที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมอบหมาย มีอำนาจในการกำหนดเงื่อนไขและรายละเอียด อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว และมีอำนาจในการเข้าเจรจา ทำความตกลง และลงนามในเอกสารและสัญญาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออก การจัดสรร การเสนอขาย และการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว และการลงนามในเอกสารคำขออนุญาต คำขอผ่อนผันต่าง ๆ และหลักฐานที่จำเป็นและเกี่ยวข้อง กับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการติดต่อ และการยื่นคำขออนุญาตหรือขอผ่อนผัน ยื่นเอกสารและหลักฐานดังกล่าวต่อหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการนำหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ และดำเนินการใดๆ ที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว เพื่อให้การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวสำเร็จลุล่วง

PKN ขึ้นแท่นผู้ให้บริการ One-Stop Service License Solutions

PKN ขึ้นแท่นผู้ให้บริการ One-Stop Service License Solutions

         หุ้นวิชั่น - บมจ.พีเคเอ็น อินเตอร์โฮลดิ้ง (PKN) ว่าที่หุ้นน้องใหม่ไอพีโอในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค  กระแสดีสุดๆ ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำในการผลิต จัดหา และจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์ สินค้าพรีเมียม ไลฟ์สไตล์ และสินค้าสะสม เท่านั้น แต่บริษัทฯ ยังเป็น One-stop services License Solutions ให้แก่กลุ่มลูกค้าธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การให้คำแนะนำในการเลือกคาแรคเตอร์และประเภทสินค้าที่เหมาะสม การออกแบบสินค้าที่มีดีไซน์ที่โดดเด่นและผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ๆ  และการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานจากผู้ผลิตที่มีศักยภาพ เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายสินค้า และสร้างการรับรู้ใน Brand Awareness งานนี้ มีธุรกิจที่ครบเครื่อง พร้อมความสามารถในการสร้างกำไรขั้นต้นที่โดดเด่น สามารถผลักดันอนาคตโตวันโตคืน แถมตอนนี้ พร้อมระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai สนับสนุนฐานทุนแน่นปึ้กเข้าไปอีก ว้าว! หุ้นดีคุณภาพเด็ด ต้องหามาประดับพอร์ตไว้เลยคร้าา!!

ตลท. ต้อนรับ บมจ. อินสไปร์ ไอวีเอฟ (IVF) เริ่มซื้อขาย 11 ธ.ค. นี้

ตลท. ต้อนรับ บมจ. อินสไปร์ ไอวีเอฟ (IVF) เริ่มซื้อขาย 11 ธ.ค. นี้

         หุ้นวิชั่น - นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ mai ยินดีต้อนรับ บมจ. อินสไปร์ ไอวีเอฟ เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มบริการ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “IVF” ในวันที่ 11 ธันวาคม 2567 IVF ผู้ให้บริการด้านการรักษาผู้มีบุตรยากตั้งแต่การให้คำปรึกษา การวางแผนการรักษาภาวะมีบุตรยาก ตลอดจนการเลือกรักษาด้วยวิธีต่างๆ ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เช่น ICSI และ IUI เพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ของคู่สมรส โดยมีทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์  มีสถานที่ให้บริการตั้งอยู่ที่ อาคารเพลินจิต เซ็นเตอร์ พื้นที่ประมาณ 1,000 ตร.ม. มีแพทย์แบบประจำ 1 ท่าน แพทย์แบบชั่วคราว  6 ท่าน และนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการฯ 6 ท่าน บริษัทแบ่งการให้บริการเป็น 2 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1. การให้บริการรักษาผู้มีบุตรยาก และการให้บริการอื่นๆ เช่น การให้บริการสร้างเสริมสุขภาพแก่คู่สมรสที่มารับบริการรักษาผู้มีบุตรยาก การตรวจความผิดปกติทางพันธุกรรมของตัวอ่อน การรักษาภาวะเจริญพันธุ์  2. การให้บริการเวชศาสตร์ป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพแก่บุคคลทั่วไป  โดยในงวด 9 เดือน 2567 มีสัดส่วนรายได้จากบริการทั้ง 2 กลุ่ม และรายได้อื่นร้อยละ 90 : 8 : 2 ตามลำดับ ทั้งนี้มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายส่วนใหญ่ร้อยละ 80-90 เป็นลูกค้าชาวต่างชาติ IVF มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 220 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 310 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 130 ล้านหุ้น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์จำนวนไม่น้อยกว่า 57.5 ล้านหุ้น ผู้ลงทุนสถาบันไม่เกิน 40 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 19.5 ล้านหุ้น  กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทไม่เกิน 13 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 29 พ.ย.- 3 ธ.ค. 2567 ในราคาหุ้นละ 3.10 บาท คิดเป็นมูลค่าเสนอขาย 403 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,364 ล้านบาท ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 44.93 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสล่าสุด (1 ต.ค. 66-30 ก.ย. 67)  ซึ่งเท่ากับ 30.36 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.069 บาท โดยมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย นางสาวเกศิณี กุลดิลก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. อินสไปร์ ไอวีเอฟ (IVF) เปิดเผยว่า บริษัทเน้นสร้าง Brand Awareness และพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพ บริษัทจึงให้ความใส่ใจต่อคุณภาพบริการด้วยมาตรฐาน AACI, ISO9001:2015,GHA และ Temos และให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้ในการขยายสาขา ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจให้บริการดูแลสุขภาพ (wellness) และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน IVF มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลังเข้าจดทะเบียน คือ กลุ่มนายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ถือหุ้น 46.82% นายพุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ 11.91% และนายบัณฑิต อนันตมงคล 4.20% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิภายหลังจากหักภาษีเงินได้ นิติบุคคล และเงินทุนสำรองตามกฎหมาย และเงินสำรองอื่น ๆ

ADB ปิดดีลร่วมทุน ยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น ลุยขยายตลาดกาว-ยาแนวต่างประเทศ

ADB ปิดดีลร่วมทุน ยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น ลุยขยายตลาดกาว-ยาแนวต่างประเทศ

         หุ้นวิชั่น - บมจ.แอ็พพลาย ดีบี  หรือ ADB ประกาศปิดดีลร่วมทุนกับ AICA ASIA PACIFIC HOLDING PTE. LTD. (AAPH) ในเครือ AICA กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นที่มีประวัติการดำเนินธุรกิจกว่าร้อยปีเรียบร้อยแล้ว  โดยได้รับชำระเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท บริษัท เอดีบี ซีแลนท์ จำกัด (ADBS) บริษัทย่อย หลังจากทำรายการเข้าถือหุ้น จำนวน 31,609,804 หุ้น สัดส่วน 51% มูลค่ารวมกว่า 360 ล้านบาท  ฟากฝ่ายบริหาร มั่นใจ การร่วมทุนในครั้งนี้เป็นการร่วมทุนกับคู่ค้าที่มีศักยภาพสามารถ ส่งเสริมแผนขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าในไทยและต่างประเทศ เพิ่มสัดส่วนการผลิต ลุยขยายตลาดกาว ยาแนว และผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กสำหรับใช้ในครัวเรือน (DIY Product) ให้มากขึ้น สนับสนุน ADBS สร้างรายได้-กำไรแตะนิวไฮ  พร้อมมั่นใจผลงานปีนี้ ADB เติบโตเข้าเป้า ปักหมุดก้าวสู่โหมดสร้าง New S-curve นายหวัง วนาไพรสณฑ์ บริษัท แอ็พพลาย ดีบี จำกัด (มหาชน) หรือ ADB เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการร่วมมือกับพันธมิตรรายใหญ่ โดยได้รับเงินชำระค่าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ บริษัท เอดีบี ซีแลนท์ จำกัด (ADBS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จำนวน 31,609,804  หุ้น สัดส่วน 51% มูลค่ารวม 360 ล้านบาท จากบริษัท AICA ASIA PACIFIC HOLDING PTE. LTD. (AAPH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยและถือหุ้นทั้งหมดโดย AICA KOGYO CO., LTD. ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ยึดติด โดยมีกลยุทธ์ในการจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและการเพิ่มผลประโยชน์ร่วมกันภายในเครือ AAPH  ได้ขยายธุรกิจกาวอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ โดยดำเนินกิจการผ่าน 21 บริษัทย่อย และมี 22 โรงงานใน 8 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีอัตราการเติบโตของธุรกิจเคมีภัณฑ์ในต่างประเทศเฉลี่ย 10% ต่อปี โดยเฉพาะการเติบโตในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซียที่มีแบรนด์ที่ทรงพลัง มีเครือข่ายการขายและมีสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดค้าปลีก โดยผลิตภัณฑ์ยาแนวของ ADBS ถือเป็นสินค้าใหม่ที่ช่วยเติมเต็มพอร์ทสินค้าให้กับ AAPH ในตลาดต่างประเทศ รวมถึงผลิตภัณฑ์กาวแบบใช้ตัวทำละลาย (Solvent-based adhesive) ที่ ADBS มีส่วนแบ่งการตลาดสูงในประเทศไทย เมื่อร่วมมือกันจะสามารถใช้ประโยชน์ทางเทคโนโลยี ช่วยส่งเสริมแผนขยายส่วนแบ่งการตลาดของกาว เป็นห่วงโซ่อุปทานในแนวตั้งแบบบูรณาการที่รวมการผลิตและการขายเข้าไว้ด้วยกัน การร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดสามารถในการแข่งขันผ่านการใช้ประโยชน์จากพลังของแบรนด์และเครือข่ายการขายของทั้งสองฝ่ายทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพิ่มสัดส่วนการผลิต เพื่อได้รับประโยชน์จากขนาด เสริมความแข็งแกร่งและความหลากหลายของแบรนด์ เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทำให้ตำแหน่งทางการตลาดในตลาดค้าปลีกของบริษัทในภูมิภาคเอเชียแข็งแกร่งยิ่งขึ้น “เมื่อมีพันธมิตรรายใหญ่ระดับโลกเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 51% จะช่วยทำให้ ADBS มีการเติบโตในธุรกิจกาว-ยาแนวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะรายได้และกำไร จะแตะระดับสูงสุด ซึ่งในปีแรกคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นราว 15% ขณะเดียวกัน ADB จะได้รับอานิสงส์จากการรับรู้กำไรตามสัดส่วนที่ถือหุ้นอยู่ที่ 49% ดังนั้นสามารถผลักดันผลงานเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีนี้และปีต่อๆไปได้อย่างแน่นอน” สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของ ADB ในปีนี้ มั่นใจว่าจะสามารถเติบโตได้ตามแผนที่วางไว้ และคาดว่ารายได้จะแตะระดับ 1,000 ล้านบาท ผลจากธุรกิจผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ โดยเฉพาะสายไฟฟ้าที่ใช้ในภาคก่อสร้างและอุตสาหกรรม และเม็ดพลาสติกเกรดทางการแพทย์ที่ผลิตเป็นวัสดุทางการแพทย์ เช่น สายน้ำเกลือ ถุงเลือดยังมีความต้องการใช้ในระดับที่ดี รวมทั้งสถานการณ์ของราคาวัตถุดิบเริ่มมีความผันผวนลดลงทำให้สามารถมีการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อนึ่ง บริษัท ADBS เป็นผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายกาวอุตสาหกรรมสำหรับอุตสาหกรรมรองเท้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องหนัง ผลิตภัณฑ์ยาแนวในรูปแบบหลอด (cartridge) และในบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่สำหรับที่ตอบโจทย์การใช้งานในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง อุตสาหกรรมงานตกแต่ง อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงผลิตภัณฑ์กาวยาแนวในบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กสำหรับใช้งานในครัวเรือน  (DIY product) ADBS มีเทคโนโลยีและประสบการณ์การผลิตในระดับมืออาชีพมากกว่า 40 ปี มีฐานลูกค้าในประเทศไทยและฐานลูกค้าต่างประเทศในกลุ่มอาเซียน ตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกา และอเมริกาใต้ รวมถึงให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าในรูปแบบ OEM และ ODM ให้กับแบรนด์ชั้นนำในประเทศและระดับสากล [PR News]

[Vision Exclusive] AUCT ส่ง

[Vision Exclusive] AUCT ส่ง "Angle Bike" ตีตลาดจักรยานยนต์มือสอง

          หุ้นวิชั่น – AUCT เล็ง “KORAT BIKE FEST 2024” ครั้งที่ 2 ส่ง "Angle Bike" เข้าลานประมูลอัพยอด ด้านบอสใหญ่ “สุธี สมาธิ” ชี้ดีมานด์จักรยานยนต์มือสองคึกคัก แถมราคาจับต้องได้ เจาะฐานใหม่เพิ่มพอร์ต คาดผลงานปี 68 ติดเครื่องวิ่งต่อ จับตากลุ่มจำนำทะเบียนโตโดด           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายสุธี สมาธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ความต้องการจักรยานยนต์มือสองยังคงสูง โดยบริษัทจัดการประมูลจักรยานยนต์อย่างต่อเนื่อง โดยมักนำจักรยานยนต์ระดับ "Angle Bike" หรือรถที่มีความสวยงามและได้รับความนิยมในตลาดมาเข้าประมูล           ปัจจุบัน รายได้จากการประมูลจักรยานยนต์คิดเป็นสัดส่วน 20% ของรายได้รวมของบริษัท โดยราคาจักรยานยนต์มือสองไม่ได้ปรับตัวลดลงมากเมื่อเทียบกับรถยนต์ อีกทั้งการซื้อจักรยานยนต์ยังมีความคล่องตัวและเหมาะสมกับกำลังซื้อของผู้บริโภค           ล่าสุด บริษัทจะจัดงาน “KORAT BIKE FEST 2024” ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการจัดงานต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เพื่อขยายฐานลูกค้าและผู้ซื้อใหม่ ในงานมีรถจักรยานยนต์มือสองทั้งบิ๊กไบค์และยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงรถจักรยานยนต์หายากสำหรับนักสะสม เช่น รุ่น KTM 790 Adventure, Harley Davidson Sportster S, Yamaha SR 400, Honda NX 500 และรุ่นอื่น ๆ โดยในงานมีรถจักรยานยนต์มือสองให้เลือกซื้อจำนวน 250 คัน ในวันที่ 14 ธันวาคม 2567 ณ ตลาดเซฟวัน จังหวัดนครราชสีมา เปิดให้ชมรถในวันที่ 13 ธันวาคม ตั้งแต่เวลา 16.00 น.เป็นต้นไป           การจัดอีเว้นต์หรือประมูลรถจักรยานยนต์นอกสถานที่ช่วยเสริมฐานการเติบโตให้กับบริษัททั้งทางตรงและทางอ้อม โดยบริษัทสามารถขยายฐานผู้ซื้อให้มีจำนวนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้ขายก็สามารถขายรถจักรยานยนต์ในราคาที่สมเหตุสมผล อีกทั้งยังมีโอกาสที่ผู้ขายจะสนับสนุนให้ AUCT ประมูลสินค้ามากขึ้น ที่ผ่านมา บริษัทมีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง 40% ส่วนที่เหลือยังมาจากลูกค้ากลุ่มเดิม           สำหรับปี 2568 คาดว่าทิศทางธุรกิจจะเติบโตไม่น้อยกว่าปี 2567 เนื่องจากปัจจัยพื้นฐาน แม้ว่ายอดผลิตรถยนต์ใหม่และสินเชื่อเช่าซื้อจะมีการผลิตและการอนุมัติที่ลดลง แต่จำนวนรถยนต์ยังได้รับการชดเชยจากกลุ่มจำนำทะเบียน หากพิจารณาจากตัวเลขย้อนหลัง 2-3 ปีที่ผ่านมา กลุ่มจำนำทะเบียนมีอัตราการเติบโตสูงถึง 35% ขณะที่ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 17%           ปัจจัยที่ต้องติดตามคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) คาดว่าจะมีนโยบายช่วยเหลือลูกหนี้ ซึ่งบริษัทมีความพร้อมในการรับมือและได้ดำเนินการกระจายความเสี่ยงเพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินธุรกิจ           ด้านบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด รายงาน กำไรสุทธิ 9M67 ของ AUCT คิดเป็น 76% ของประมาณการทั้งปี เบื้องต้นยังคงประมาณการเดิม โดยคาดกำไรสุทธิของ AUCT ใน 4Q67 จะปรับขึ้น QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล ซึ่งปกติสถาบันการเงินจะยอมลดราคาจบประมูลเพื่อเร่งให้เกิดการขายก่อนจะเปลี่ยนปีปฏิทิน ทำให้คาดจะมีปริมาณการจบประมูลยานยนต์เร่งตัวขึ้น แต่คาดทรงตัว YoY เพราะสถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นกว่าปีก่อน ทำให้คงคาด AUCT จะมีกำไรสุทธิปี 2567 ที่ 390 ลบ. โต 12.1% YoY และคาดโตต่อ6.3% YoY           ในปี 2568 มอง AUCT เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มหนี้เสียของสถาบันการเงินที่ปรับขึ้น และราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside 46.2% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2567 เดิมที่ 13.30 บาท และคาดให้ปันผลจากกำไรสุทธิ 2H67 อีกหุ้นละ 0.36 บาท คิดเป็น Div. Yield 3.9% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” รายงาน : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

PMC ชี้รายได้ปี 68 โตโดดเด่น รับขยายกำลังผลิตเพิ่ม

PMC ชี้รายได้ปี 68 โตโดดเด่น รับขยายกำลังผลิตเพิ่ม

          หุ้นวิชั่น - “บมจ.พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ หรือ PMC”  ส่งซิกแนวโน้ม Q4  ทิศทางเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จากการบริโภคในประเทศที่ขยายตัว สนับสนุนเป้ารายได้ปีนี้เติบโตเลข 2 หลัก พร้อมมุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าในภูมิภาคอาเซียน หลังระดมเงินไอพีโอเพิ่มกำลังการผลิต เป็น 185 ล้านตารางเมตร/ปี เผยรายได้ปี 2568 จะเติบโตโดดเด่น หลังสายการผลิตใหม่เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงต้นไตรมาส 1/2568  เดินหน้าแผน 3 ปีข้างหน้า สยายปีกมีศูนย์กระจายสินค้าครบ 5 แห่ง ครอบคลุมภูมิภาคอาเซียน           นายเอก สุวัฒนพิมพ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์หรือฉลากกาวรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/2567 ช่วงโค้งสุดท้ายของปี เชื่อว่ามีทิศทางที่ดีเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา สนับสนุนเป้ารายได้ปีนี้เติบโตเลข 2 หลัก โดยคาดว่าผลประกอบการทั้งปี 2567 จะกลับมาเติบโตใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด พร้อมมุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าในภูมิภาคอาเซียน หลังนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในตลาด mai ในช่วงปลายไตรมาส 3/2567 ที่ผ่านมา ไปขยายกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์จาก 75 ล้านตารางเมตรต่อปี เพิ่มเป็น 185 ล้านตารางเมตรต่อปี หวังเพิ่มยอดขายเติบโตเท่าตัว จากการใช้เครื่องจักรที่มีความทันสมัย ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง ปัจจุบันสายการผลิตใหม่อยู่ระหว่างการทดสอบการเดินเครื่องจักร คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงต้นไตรมาส 1/68           “แนวโน้มธุรกิจไตรมาส 4/2567 เชื่อว่ามีทิศทางการเติบโตที่ดี จากการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวขึ้นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และสถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภคถือเป็นลูกค้าหลักของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งขยายฐานลูกค้าต่างประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตเพิ่มเติม เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย จากการเน้นสินค้าอัตรากำไรสูง  คาดว่าผลประกอบการปีนี้จะมีการเติบโตที่ดี จากการที่บริษัทมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง เช่น สติ๊กเกอร์ฟิล์มและสติ๊กเกอร์ชนิดพิเศษ” นายเอก กล่าว           อย่างไรก็ตาม บริษัทประเมินว่ารายได้ของบริษัทจะขยายตัวขึ้นในปี 2568 หลังสายการผลิตใหม่เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงต้นไตรมาส 1/2568 โดยเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพการเติบโตของ PMC ที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมการผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่า  จากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญที่ยาวนานกว่า 20 ปี และความสัมพันธ์อันดีทั้งกับคู่ค้าและพันธมิตร ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง  โดยบริษัทดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่า ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำสำหรับการผลิตฉลากสินค้าและฉลากบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งยังสามารถต่อยอดการใช้งานได้ในอีกหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น สติ๊กเกอร์บาร์โค้ด (Barcode) สติ๊กเกอร์ติดกระเป๋าเดินทาง (Luggage Tag) และฝาบิดบรรจุภัณฑ์ (Sealing Sticker) เป็นต้น           นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีจุดแข็งด้านการวิจัยและพัฒนา ความรู้ทางด้านเทคนิค และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ รวมถึงข้อได้เปรียบของฐานการจัดจำหน่ายที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสมต่อการกระจายสินค้าในภูมิภาคดังกล่าว ต่อยอดการเติบโตเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำของธุรกิจนี้ในภูมิภาคอาเซียนต่อไป           โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้า ( 2568-2570) บริษัทตั้งเป้าที่จะมีศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Centers) ครบ 5 แห่ง ครอบคลุมประเทศที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพื่อขยายฐานลูกค้าและสร้างความสามารถในการเข้าถึงลูกค้ารายใหญ่ในภูมิภาค [PR NEW]

AUCT จับมือไฟแนนซ์จัดงาน “KORAT BIKE FEST 2024 ครั้งที่ 2”

AUCT จับมือไฟแนนซ์จัดงาน “KORAT BIKE FEST 2024 ครั้งที่ 2”

          หุ้นวิชั่น - บมจ.สหการประมูล (AUCT) เผยรถจักรยานยนต์มือสองเติบโต เร่งขยายตลาดเจาะกลุ่มผู้บริโภครายย่อยและนักลงทุน จับมือไฟแนนซ์จัดงาน “KORAT BIKE FEST 2024 ครั้งที่ 2 ” รวบรวมรถจักรยานยนต์มือสอง ทั้งมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าและบิ๊กไบค์หายากกว่า 250 คัน เปิดประมูลขายราคาพิเศษที่นครราชสีมา           นายสุธี สมาธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาตลาดรถจักรยานยนต์มือสองยังอยู่ในความสนใจของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มผู้บริโภครายย่อยและผู้ประกอบการให้ความสนใจประมูลซื้อค่อนข้างสูง เพราะจักรยานยนต์มือสองที่นำเสนอขายในปัจจุบันมีคุณภาพดีและราคาประหยัด หากเปรียบเทียบกับรถใหม่แล้วพบว่าราคาถูกกว่าประมาณ 40-60% ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพของสินค้าซึ่งรถบางคันนั้นมีอายุการใช้งานน้อยเลขไมล์น้อยในสภาพใกล้เคียงรถใหม่ ความหลากหลายของรถจักรยานยนต์มือสองที่นำเข้าประมูลแต่ละครั้ง สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ตามความพึงพอใจ จึงทำให้การประมูลทั้งในกรุงเทพฯ และสาขาทั่วประเทศได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี           “ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดประมูลรถจักรยานยนต์มือสองในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมีความคึกคักตลอดเวลา เนื่องจากมีผู้ประกอบการหน้าใหม่ให้ความสนใจลุงทุนในธุรกิจนี้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้ช่องทางออนไลน์ในการทำการตลาด สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ที่สำคัญการลงทุนในธุรกิจขายรถจักรยานยนต์มือสองในปัจจุบันนี้ใช้เงินลงทุนไม่มากนัก เนื่องจากรถที่นำมาประมูลส่วนใหญ่เป็นรถยึดจากไฟแนนซ์ราคาขายยังไม่สูงและส่วนใหญ่มีคุณภาพดี เพราะรถบางคันมีอายุการใช้งานไม่ถึง 1 ปีซึ่งถือว่ายังอยู่ในสภาพเกรด A นอกจากนี้แล้วการประมูลในแต่ละครั้งมีสินค้าให้เลือกจำนวนไม่ต่ำกว่า 250-300 คัน นายสุธีกล่าว           ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าและนักลงทุน บริษัทฯ จึงได้จัดกิจกรรม “KORAT BIKE FEST 2024” ครั้งที่ 2 ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ในวันที่ 14 ธันวาคม 2567 ณ ตลาดเซฟวัน จังหวัดนครราชสีมา เปิดให้ชมรถในวันที่ 13 ธันวาคม ตั้งแต่เวลา 16.00 น.เป็นต้นไป  ในงานมีสินค้าให้เลือกทั้งรถจักรยานยนต์มือสอง ทั้งบิ๊กไบค์และรถยานยนต์ไฟฟ้า เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นนักสะสมและกำลังมองหารถหายาก เช่น รุ่น  KTM 790 Adventure , Harley Davidson Sportster S, Yamaha SR 400, Honda NX 500 และรุ่นอื่น ๆ ซึ่งงานนี้ได้รวบรวมรถจักรยานยนต์มือสองให้เลือกซื้อจำนวน 250 คัน ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-033-6555 หรือดูรายการประมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.auct.co.th [PR News]

[ภาพข่าว] “LEO COLDBOTIC” เปิดประสบการณ์ใหม่ ที่สุดแห่งนวัตกรรมการจัดเก็บไวน์

[ภาพข่าว] “LEO COLDBOTIC” เปิดประสบการณ์ใหม่ ที่สุดแห่งนวัตกรรมการจัดเก็บไวน์

          นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) พร้อมด้วย อ.ไพรัช อินทะพุฒ ผู้ก่อตั้งและนายกสมาคมซอมเมอร์ลิเย่แห่งประเทศไทย ในฐานะตัวแทนผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ระดับประเทศ , คุณกัปตันแหลม – นภสูร ชยันตรดิลก เจ้าของร้าน Bangkok Wine Bar ตัวแทนผู้ประกอบการผู้นำเข้าไวน์ และ อ.วงศ์สถิตย์ แก้วนาค ตัวแทนผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ระดับประเทศ ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านไวน์ ในงาน "THE WINE JOURNEY OF TOMORROW เส้นทางไวน์สู่ความเป็นเลิศ เปิดประสบการณ์ใหม่แห่งการจัดเก็บไวน์" เพื่อให้ความรู้ในมิติต่างๆ เช่น การเก็บไวน์ให้มีคุณภาพที่เหมาะสม การลงทุนในไวน์ และมูลค่าของการจัดเก็บไวน์ในระยะยาว พร้อมการรักษาคุณภาพไวน์ในระดับพรีเมี่ยม โดยแนะนำและชูจุดเด่นของ  LEO COLDBOTIC & LEO WINE STORAGE ในการใช้เทคโนโลยีมาควบคุมอุณหภูมิและควบคุมความชื้นที่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำ ให้กับลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการและไวน์เลิฟเวอร์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้นำเข้าไวน์ ผู้บริหารธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และผู้ลงทุนรายใหญ่ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของการจัดเก็บไวน์อย่างถูกต้อง ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ Mellow Garden Restaurant & Bakery เมื่อเร็ว ๆ นี้           สำหรับงานในครั้งนี้ เป็นการรวมตัวกันครั้งสำคัญของบุคคลในวงการไวน์ ทั้งผู้นำเข้าไวน์,กลุ่มธุรกิจลูกค้าโรงแรม,ร้านอาหาร HoReCa (Hotels Restaurants & Catering) และ นักสะสมไวนในกลุ่ม Fine Wine เพื่อสร้างความมั่นใจให้กลุ่มเป้าหมายหรือผู้มีความสนใจด้านไวน์ ได้รับรู้ถึงความตั้งใจในการเปลี่ยนโฉมมาตรฐานให้อุตสาหกรรมไวน์และพัฒนา​ Wine​ Community ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการเก็บรักษาไวน์ที่ดีที่สุดในประเทศของ LEO COLDBOTIC  ​และ​ LEO WINE STORAGE​ อย่างแท้จริง