เศรษฐกิจ-ธุรกิจ


ส่งออกทูน่าปี 68 ฟื้นตัวแรง! คาดมูลค่าส่งออกโต6.2%

ส่งออกทูน่าปี 68 ฟื้นตัวแรง! คาดมูลค่าส่งออกโต6.2%

           แนวโน้มอุตสาหกรรมทูน่าปี 2025 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปี 2024 โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องจะขยายตัวที่ 6.2% YOY สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก            ภาพรวมอุตสาหกรรมทูน่าไทยในปี 2024 ถือว่าเติบโตได้ค่อนข้างดี ในช่วง 10 เดือนแรกที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของกลุ่มขยายตัว 24.6%YOY เป็นผลจากปริมาณการส่งออกที่เติบโตสูงถึง 35.2%YOY ทั้งนี้คาดว่ามูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องในปีนี้จะสามารถฟื้นกลับไปอยู่สูงกว่าช่วง Pre-COVID ได้อีกครั้ง สอดคล้องกับภาพรวมการบริโภคในตลาดโลกและประเทศคู่ค้าหลักของไทยที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้น อนึ่ง ปริมาณการส่งออกทูน่ากระป๋องที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวได้รับอานิสงส์จากอุปทานปลาทูน่าจับได้ (Tuna catch) ที่เพิ่มขึ้นมากจากผลพวงของภาวะโลกร้อนที่ส่งผลให้อุณหภูมิในมหาสมุทรอุ่นขึ้น (Ocean warming) ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวนอกจากจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลและทำให้มหาสมุทรสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว ยังมีผลให้ฝูงปลา ทูน่าย้ายถิ่นฐาน (Tuna migration) หนีคลื่นน้ำอุ่นไปรวมตัวกันในบริเวณใดบริเวณหนึ่งของมหาสมุทรเยอะมากเป็นพิเศษ จึงส่งผลดีต่อการทำประมงในบริเวณนั้น            สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมทูน่าในปี 2025 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปีนี้ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องจะขยายตัวที่ 6.2%YOY สอดคล้องกับภาพรวมแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ การส่งออกที่ดีขึ้นยังเป็นผลจากการเติบโตของความต้องการบริโภคอาหารฮาลาล สะท้อนได้จากมูลค่าการนำเข้าทูน่ากระป๋องจากประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง (Middle East) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งอานิสงส์จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risks) ที่ยังคงยืดเยื้อและมีแนวโน้มขยายวงกว้างขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวมีส่วนทำให้หลาย ๆ ประเทศต้องการสต็อกสินค้าอาหารที่สามารถเก็บไว้บริโภคได้นานโดยเฉพาะอาหารกระป๋องเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย            ในระยะข้างหน้า ความท้าทายหลักที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทูน่าต้องให้ความสำคัญและเตรียมพร้อมรับมือ คือมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) ที่มีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานทาสและแรงงานผิดกฎหมายในอุตสาหกรรมประมง ซึ่งเป็นประเด็นที่ทางการไทยต้องเร่งแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนด รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับมาตรการกำกับดูแลการทำประมงอย่างยั่งยืน (Sustainable fishing) พร้อม ๆ ไปกับการปรับโมเดลธุรกิจและกลยุทธ์การเติบโตให้สอดรับกับเมกะเทรนด์สำคัญของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทรนด์เรื่องอาหารปลอดภัย และ Healthier choice เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมทั้งการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเพื่อตอบโจทย์เทรนด์ ESG โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “Carbon-neutral tuna products” ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นในปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายเพื่อลด Carbon footprint ในห่วงโซ่การผลิตทูน่าอย่างครบวงจร เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon neutrality ภายในปี 2050 นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ทันสมัยมาปรับใช้ให้มากขึ้น เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ Digitization และตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการทั้งความทันสมัยและความสะดวกสบาย พร้อม ๆ ไปกับลดการพึ่งพาแรงงานคน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก ที่มา : SCB EIC

MRT ร่วมฉลองเทศกาลปีใหม่  จอดรถฟรี 24 ชม. เปิดให้บริการข้ามปีถึงตี 2

MRT ร่วมฉลองเทศกาลปีใหม่ จอดรถฟรี 24 ชม. เปิดให้บริการข้ามปีถึงตี 2

           การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ร่วมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2568 ด้วยการขยายเวลาการเปิดให้บริการรถไฟฟ้า MRT ทั้งสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) เปิดให้บริการข้ามปี วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 06.00 น.- 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารที่เดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ และส่งเสริมให้ประชาชนเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ            พร้อมกันนี้ ทาง รฟม. ยังได้ยกเว้นค่าบริการที่จอดรถ และขยายเวลาให้บริการอาคารและลานจอดแล้วจร ตั้งแต่เวลา 05.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ถึงเวลา 01.00 น. ของวันที่ 2 มกราคม 2568  โดยมีรายละเอียดดังนี้ รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน : อาคารจอดแล้วจร 4 แห่ง ได้แก่ สถานีลาดพร้าว สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และสถานีหลักสอง (2 อาคาร) และลานจอดแล้วจร 11 แห่ง ได้แก่ สถานีกำแพงเพชร สถานีรัชดาภิเษก สถานีห้วยขวาง สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (2 ลาน) สถานีพระราม 9 สถานีเพชรบุรี สถานีสุขุมวิท สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (2 ลาน) และสถานีสามย่าน รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง : อาคารจอดแล้วจร 4 แห่ง ได้แก่ สถานีคลองบางไผ่ สถานีสามแยกบางใหญ่ สถานีบางรักน้อยท่าอิฐ และสถานีแยกนนทบุรี 1            โดยผู้โดยสารสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูล โทร. 0 2624 5200 หรือตรวจสอบเวลาให้บริการรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายได้ที่สถานีรถไฟฟ้า MRT แอปพลิเคชัน: Bangkok MRT และ  www.bemplc.co.th  รวมทั้งติดตามข่าวสารทาง Facebook (เฟซบุ๊ก) และ X (เอ็กซ์): BEM Bangkok Expressway and Metro

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ แมกซ์ โซลูชัน มอบความสุขต้อนรับเทศกาลปีใหม่แก่สมาชิก Max Card

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ แมกซ์ โซลูชัน มอบความสุขต้อนรับเทศกาลปีใหม่แก่สมาชิก Max Card

          เมืองไทยประกันชีวิต และ แมกซ์ โซลูชัน บริษัทในเครือพีทีจี ผนึกกำลังส่งมอบความสุขและรอยยิ้มในช่วงเทศกาลต้อนรับปีใหม่ 2568 แก่สมาชิก Max Card ทั่วประเทศ ผ่าน “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” อุ่นใจด้วยความคุ้มครองครอบคลุมทั้งด้านชีวิตและค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ เพียงสมาชิก Max Card  ใช้คะแนน 100 คะแนน แลกรับสิทธิ์ง่าย ๆ ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน Max Me           นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมืองไทยประกันชีวิต ได้ร่วมกับ แมกซ์ โซลูชัน ส่งมอบความอุ่นใจให้กับลูกค้าคนสำคัญ ต้อนรับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2568  ให้เต็มไปด้วยความสุข รอยยิ้ม และความสนุกสนาน  พร้อมยังเป็นการสนับสนุนให้ทุกคนในสังคมสามารถเข้าถึงประกันชีวิตเพื่อการมีหลักประกันที่มั่นคง  สอดรับกับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุให้กับตนเองและครอบครัว และเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบการประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงจากอุบัติเหตุได้สะดวก เข้าถึงได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น           ด้าน นายพร้อมศักดิ์  จรัญญากรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จำกัด  บริษัทในเครือพีทีจี กล่าวว่า  บริษัทยังคงยึดมั่นในพันธกิจที่อยากเห็นคนไทย “อยู่ดีมีสุข” จึงได้เข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์ลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องทุกปี สำหรับปีนี้ บริษัท แมกซ์ โซลูชัน ได้ร่วมมือกับ เมืองไทยประกันชีวิต ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ยาวนาน ร่วมส่งมอบความสบายใจและลดความกังวลให้กับสมาชิก Max Card กว่า 23 ล้านราย           โดยสมาชิก Max Card สามารถใช้คะแนนสะสมเพียง 100 คะแนน แลกรับสิทธิ์ "กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)" ผ่านแอปพลิเคชัน Max Me พร้อมความคุ้มครองนานถึง 30 วันนับจากวันเริ่มต้นความคุ้มครอง ทั้งนี้ จำกัดจำนวนสิทธิ์ 1,000 สิทธิ์ เพื่อให้สมาชิกทุกท่านได้เดินทางอย่างมั่นใจ คลายกังวล และมีความสุขตลอดการเดินทางในช่วงเทศกาลนี้ ทั้งนี้ความคุ้มครอง “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” ที่ลูกค้าจะได้รับ ประกอบด้วย ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุสาธารณะ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท ผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการจ้างพยาบาลพิเศษ อุปกรณ์ค้ำยันต่าง ๆ (ยกเว้นไม้ค้ำยัน) รถเข็นผู้ป่วย อวัยวะเทียมภายนอกร่างกายค่ารักษาพยาบาลโดยแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine) การฝังเข็ม จำนวนเงินเอาประกันภัยตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 5,000 บาท           โดย “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” มีระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน    นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย ซึ่งผู้ที่จะได้รับสิทธิ์จะต้องถือสัญชาติไทยเท่านั้น และมีอายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย  โดยสมาชิก Max Card ที่สนใจสามารถแลกคะแนนได้ ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 (จำนวนสิทธิ์ 1,000 สิทธิ์) หมายเหตุ :                                 ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีอายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย และถือสัญชาติไทยเท่านั้น สมาชิก Max Card ใช้ 100 คะแนน รับสิทธิ์ลงทะเบียนกรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์) ผ่านแอปพลิเคชัน Max Me (ไม่จำกัดสิทธิ์ / สมาชิก ซึ่งผู้รับความคุ้มครองต้องไม่ใช่บุคคลเดียวกัน) เริ่มต้นคุ้มครองตั้งแต่วันถัดไปของวันที่ลูกค้าลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ เวลา 01 น. จนถึงวันที่สิ้นสุดความคุ้มครอง 30 วัน เวลา 24.00 น. และไม่มีการต่ออายุอัตโนมัติ เงื่อนไขและความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุในกรมธรรม์ การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์การให้ความคุ้มครองโครงการนี้กับสมาชิก Max Card เท่านั้น บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการจัดส่งกรมธรรม์ครั้งนี้ โดยการยืนยันความคุ้มครองผ่านทาง SMS เท่านั้น ลูกค้าสามารถแลกคะแนนได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 หรือ มีผู้รับสิทธิ์ครบ 1,000 สิทธิ์ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร PT Call Center 1614 ทุกวัน เวลา 08.00-20.00 น.หรือเมืองไทยประกันชีวิต โทร. 1766 ตลอด 24 ชั่วโมง คำเตือน : ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

ธปท. เตรียมสำรองเงินสด 8 หมื่นล้าน รับความต้องการช่วงปีใหม่

ธปท. เตรียมสำรองเงินสด 8 หมื่นล้าน รับความต้องการช่วงปีใหม่

          หุ้นวิชั่น - นางบุษกร ธีระปัญญาชัย ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายโครงสร้างพื้นฐานและบริการระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงสิ้นเดือนธันวาคม 2567 และเทศกาลปีใหม่ 2568 จะเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนมีความต้องการใช้ธนบัตรเพิ่มขึ้นจากช่วงปกติ โดยการสำรวจความต้องการการเบิกจ่ายธนบัตรจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งคำนึงถึงปัจจัยด้านเศรษฐกิจ มาตรการภาครัฐ และแนวโน้มการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า ธนาคารพาณิชย์จะมีความต้องการการเบิกจ่ายธนบัตรจาก ธปท. ในช่วงดังกล่าวประมาณ 80,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า โดย ธปท. ได้เตรียมสำรองธนบัตรชนิดราคาต่าง ๆ ไว้อย่างเพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนจะได้รับบริการที่สะดวกและทั่วถึง

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

“ทรู คอร์ปอเรชั่น” เตรียมเปิดจองซื้อหุ้นกู้ชุดใหม่รับปีมะเส็ง ชูดอกเบี้ย [3.15 – 4.00]% ต่อปี

“ทรู คอร์ปอเรชั่น” เตรียมเปิดจองซื้อหุ้นกู้ชุดใหม่รับปีมะเส็ง ชูดอกเบี้ย [3.15 – 4.00]% ต่อปี

         หุ้นวิชั่น - บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป จำนวน 4 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง [3.15 – 4.00]% ต่อปี   ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 6-7 และ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งสู่การเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทยอย่างยั่งยืน สะท้อนผ่านผลประกอบการไตรมาส 3/2567 โดยมีกำไรสุทธิ (หลังรายการปรับปรุง) 3.1 พันล้านบาท และ EBITDA ที่เติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของรายได้ธุรกิจหลักและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยเรามุ่งเน้นการลงทุนในโซลูชัน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ล้ำสมัย เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศผ่านการขยายโครงข่าย 5G อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีผู้ใช้บริการ 5G จำนวน 12.4 ล้านราย เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ความโดดเด่นของทรู คอร์ปอเรชั่นยังสะท้อนผ่านการได้รับการจัดอันดับล่าสุด ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI 2023) โดยได้คะแนนรวมเป็นที่ 1 สูงสุดของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม  ด้วยการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และด้วยนวัตกรรมและวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ บริษัทฯ ได้รับความเชื่อมั่นอย่างสูงจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ สะท้อนผ่านราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 120% นับตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อเทียบกับดัชนี SET ที่เพิ่มขึ้นเพียง 1%" บริษัทฯ และหุ้นกู้ที่เสนอขายได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 ซึ่งสะท้อนถึงสถานะผู้นำทางการตลาด (market position) ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ เสริมทัพด้วยโครงข่ายทั่วประเทศ ชุดคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม และชื่อแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย  อีกทั้งปัจจัยบวกจากประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการควบรวม รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่คาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอีกด้วย ทางด้านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง โดยครั้งแรกในช่วงเดือนกันยายนมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4.75-5.00% ครั้งที่ 2 ช่วงเดือนพฤศจิกายน FED ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่  4.50-4.75% และล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา FED เองก็ทำตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ด้วยการประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงเหลือ  4.25-4.50% ซึ่งตลาดยังคาดการณ์อีกว่า ในอนาคต FED น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก  ส่วนในประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเช่นกัน โดยในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 2.25% และอาจมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอีก จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ในช่วงต้นปี เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง และด้วยอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” ของทรู น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน” หุ้นกู้ครั้งนี้จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุหุ้นกู้ระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทั้งนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 6-7 และวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ซึ่งบริษัทฯ หวังว่าหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา โดยหุ้นกู้ทั้ง 4 ชุดที่เสนอขาย มีรายละเอียดดังนี้ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.15 – 3.35]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.50 – 3.70]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.70 – 3.85]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.85 – 4.00]% ต่อปี ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนบริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai Digital Banking ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004 บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

น้ำมันดิบ NYMEX ปิดบวก 69.46 ดอลลาร์/บาร์เ

น้ำมันดิบ NYMEX ปิดบวก 69.46 ดอลลาร์/บาร์เ

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.12% ปิดที่ 69.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ปิดบวกเล็กน้อยในวันศุกร์ (20 ธ.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินแนวโน้มอุปสงค์ของจีนและการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อต่ำกว่าคาด ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 69.70 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.35%

กะทิไทย... สินค้าที่กำลังเฉิดฉายในเวทีโลก

กะทิไทย... สินค้าที่กำลังเฉิดฉายในเวทีโลก

          หุ้นวิชั่น - การส่งออกกะทิไทยขยายตัวต่อเนื่อง จากการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารโลก สนค. แนะผู้ประกอบการให้ความสำคัญในกระบวนการผลิตมะพร้าวตามมาตรฐานสากลและที่คู่ค้ากำหนด เพื่อคว้าโอกาสเพิ่มการส่งออกไปตลาดโลกมากขึ้น นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์การค้าสินค้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์แปรรูป โดยปี 2566 ไทยมีผลผลิตมะพร้าว 0.94 ล้านตัน ขณะที่มีความต้องการใช้ ประมาณ 1.14 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.35 จากปี 2565) ความต้องการใช้ ของไทยแบ่งเป็น การบริโภคในประเทศ ร้อยละ 38 และการใช้เพื่อส่งออกร้อยละ 62 ในปี 2566 ไทยส่งออกกะทิ เป็นมูลค่า 353.54 ล้านเหรียญสหรัฐ (12,208 ล้านบาท) สำหรับ 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – ต.ค.) ไทยส่งออกกะทิไปยัง 131 ประเทศทั่วโลก เป็นมูลค่า 341.11 ล้านเหรียญสหรัฐ (12,064 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.85 จากปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่ไทยส่งออกกะทิสำเร็จรูป (มีสัดส่วนถึงร้อยละ 93.13) กะทิสำเร็จรูปเป็นสินค้าศักยภาพและมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 42.26 และ 18.12 ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ นอกจากนี้ กะทิสำเร็จรูปอินทรีย์ แม้ยังมีสัดส่วนการส่งออกน้อย แต่เป็นสินค้าที่น่าจับตามอง โดยในปี 2567 ไทยส่งออกกะทิสำเร็จรูปอินทรีย์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.83 โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (สัดส่วนร้อยละ 70.50) เนเธอร์แลนด์ (สัดส่วนร้อยละ 10.43) และสวิตเซอร์แลนด์ (สัดส่วนร้อยละ 6.21) การส่งออกกะทิของไทยแต่ละกลุ่ม สรุปได้ดังนี้ (1) กะทิสำเร็จรูป ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 326.55 ล้านเหรียญสหรัฐ (11,277 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.26 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 317.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (11,235 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.12 มีสัดส่วนร้อยละ 93.13 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (2) กะทิผง ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 8.78 ล้านเหรียญสหรัฐ (303 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.33 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 7.58 ล้านเหรียญสหรัฐ (267 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.93 มีสัดส่วนร้อยละ 2.22 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (3) กะทิสำเร็จรูปอินทรีย์ ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 4.78 ล้านเหรียญสหรัฐ (165 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 20.07 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกกลับมาขยายตัว โดยมีมูลค่า 5.35 ล้านเหรียญสหรัฐ (189 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.83 มีสัดส่วนร้อยละ 1.57 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (4) กะทิแช่แข็ง ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 1.75 ล้านเหรียญสหรัฐ (60.42 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 98.63 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 0.45 ล้านเหรียญสหรัฐ (16.09 ล้านบาท) ลดลง ร้อยละ 72.56 มีสัดส่วนร้อยละ 0.13 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (5) กะทิอื่น ๆ ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 11.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (403 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.51 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 10.06 ล้านเหรียญสหรัฐ (357 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.51 มีสัดส่วนร้อยละ 2.95 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – ต.ค.) ไทยส่งออกกะทิขยายตัวในตลาดคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา ขยายตัวร้อยละ 24.21 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 38.73) ออสเตรเลีย ขยายตัวร้อยละ 9.08 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 7.53) แคนาดา ขยายตัวร้อยละ 22.92 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 6.41) สหราชอาณาจักร ขยายตัวร้อยละ 3.49 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 6.34) และเนเธอร์แลนด์ ขยายตัวร้อยละ 37.49 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 3.53) การส่งออกกะทิที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลก ข้อมูลจาก The Business Research Company ระบุว่า ตลาดอาหารและเครื่องดื่มโลก ในปี 2567 มีอัตราการเติบโตร้อยละ 6.4 และคาดว่าปี 2571 จะมีอัตราการเติบโตร้อยละ 5.9 นอกจากนี้ กะทิยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์หากบริโภค ในปริมาณที่เหมาะสม อาทิ กรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง (MCTs) ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน และกรดลอริก (Lauric Acid) ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันและให้พลังงานแก่ร่างกาย อีกทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์จากพืชที่ไม่มีกลูโคสหรือแล็กโทส จึงเหมาะสำหรับการใช้ทดแทนผลิตภัณฑ์จากนมบางชนิด ที่ผ่านมา ภาครัฐโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งเสริมการปลูกและผลิตมะพร้าวให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับ อาทิ การปลูกมะพร้าวพันธุ์ใหม่ที่มีต้นเตี้ยทดแทนสวนมะพร้าวเดิม ทำให้เก็บเกี่ยวง่ายและมีอายุการเก็บเกี่ยวยาวนานกว่า รวมถึงมีโครงการนำร่อง GAP-Monkey Free Plus (GAP-MFP) เพื่อรับรองแปลงผลิตมะพร้าวปลอดภัยและการเก็บมะพร้าวที่ไม่ได้ใช้ลิง ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกรขอรับมาตรฐานดังกล่าว ควบคู่ไปกับการพัฒนาเครื่องมือเก็บมะพร้าวอีกด้วย นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เนื่องจากไม่มีพิกัดศุลกากรระดับสากลสำหรับสินค้ากะทิ ทำให้ ไม่สามารถเปรียบเทียบข้อมูลการค้ากะทิของโลกได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยหลายรายเป็นผู้ส่งออกกะทิรายสำคัญของโลก ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมของไทยยังมีความต้องการนำเข้ามะพร้าว สำหรับแปรรูปเป็นกะทิเพื่อส่งออก แสดงถึงศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการแปรรูปและส่งออกผลิตภัณฑ์กะทิ นอกจากนี้ หากทุกภาคส่วนให้ความสำคัญ ในกระบวนการผลิตมะพร้าว ตั้งแต่การปลูก การเก็บ และการแปรรูป ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและสอดรับกับ ความต้องการของประเทศคู่ค้า รวมทั้งเพิ่มเติมประเด็นความรับผิดชอบต่อสังคมสิ่งแวดล้อม และการมีสวัสดิการแรงงานที่ดี ก็จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและผลักดันให้ไทยคว้าโอกาสการส่งออกไปยังตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

ราคาทองเช้าวันนี้

ราคาทองเช้าวันนี้ "ไม่เปลี่ยนแปลง" เช็กเลย!

       หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 23 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาไม่เปลี่ยนแปลง” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,500.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 42,600.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 41,735.48 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,100.00 บาท

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึกกำลัง เคาน์เตอร์เซอร์วิส

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึกกำลัง เคาน์เตอร์เซอร์วิส

          หุ้นวิชั่น - บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ผนึกกำลังกับ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด  ส่งมอบความสุขและความอุ่นใจไปยังลูกค้าและประชาชนทั่วประเทศ ให้ทุกคนได้มีรอยยิ้มในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ผ่าน “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทั้งด้านชีวิตและค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ           โดย นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมืองไทยประกันชีวิตมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้จับมือกับเคาน์เตอร์เซอร์วิส  ร่วมกันส่งมอบความอุ่นใจให้กับประชาชน และยังเป็นการตอกย้ำนโยบายของเมืองไทยประกันชีวิต มีความมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คนในสังคม (Democratizing Insurance)  เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคนได้มีความอุ่นใจ มีหลักประกันที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน  พร้อมเป็นการตอบรับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุให้กับตนเองและครอบครัว สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบการประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ ได้สะดวก เข้าถึงได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น           นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด เปิดเผยถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความปลอดภัยและความคุ้มค่าให้แก่ประชาชน ด้วยการจำหน่าย “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” ผ่านช่องทางที่สะดวกและเข้าถึงง่ายในราคาย่อมเยา ประชาชนที่สนใจสามารถแจ้งความประสงค์กับพนักงานที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นกว่า 15,000 สาขาทั่วประเทศ เพียงแสดงบัตรประชาชน พร้อมชำระเบี้ยประกันภัย 10 บาท หรือใช้แต้ม ALL Member 1,000 คะแนนแลกรับสิทธิ์ฟรี และยังสามารถซื้อผ่านเว็บไซต์ www.counterservice.co.th เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชนในการเข้าถึงความคุ้มครองด้านประกันภัยอย่างทั่วถึง พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลที่เน้นความรวดเร็วและง่ายดาย หลังจากชำระเงินแล้ว ลูกค้าจะได้รับสลิปยืนยันการทำรายการ ซึ่งระบุวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดความคุ้มครองอย่างชัดเจน พร้อม SMS ยืนยันความคุ้มครอง โดยสามารถซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 (จำนวนจำกัด 300,000 สิทธิ์)           โดยความคุ้มครองที่ลูกค้าและประชาชนทั่วไปจะได้รับ ประกอบด้วย  1. ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท  2. ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท 3. ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุสาธารณะ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท  และ 4. ผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการจ้างพยาบาลพิเศษ อุปกรณ์ค้ำยันต่าง ๆ (ยกเว้นไม้ค้ำยัน) รถเข็นผู้ป่วย อวัยวะเทียมภายนอกร่างกาย ค่ารักษาพยาบาลโดยแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine) การฝังเข็ม จำนวนเงินเอาประกันภัยตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 5,000 บาท           สำหรับ “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” มีระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน   นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย ซึ่งผู้ที่จะได้รับสิทธิ์จะต้องถือสัญชาติไทยเท่านั้น และมีอายุตั้งแต่  15 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย หมายเหตุ :         ผู้ขอเอาประกันภัยจะต้องมีอายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย และถือสัญชาติไทยเท่านั้น เริ่มต้นคุ้มครองตั้งแต่วันที่ลูกค้าลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ จนถึงวันที่สิ้นสุดความคุ้มครอง 30 วัน เวลา00 น. และไม่มีการต่ออายุอัตโนมัติ ซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 ช่องทางร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ใช้บัตรประชาชนพร้อมชำระเงินสด 10 บาท หรือใช้คะแนน ALL member 1,000 คะแนน แลกรับสิทธิ์ฟรี ช่องทางเว็บไซต์ counterservice.com กรอกเลขบัตรประชาชนและเลือกช่องทางการชำระเงิน ได้แก่ เงินสด, TrueMoney Wallet, QR Code และบัตรเครดิต จำกัดจำนวนผู้ซื้อ 300,000 สิทธิ์ ทุกช่องทาง สงวนสิทธิ์การรับความคุ้มครอง 1 ท่าน ต่อ 1 สิทธิ์ ตลอดระยะเวลาของโครงการ เงื่อนไขและข้อยกเว้นเป็นไปตามที่ระบุในกรมธรรม์ การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต คำเตือน : ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง [Pr News]

จับตา! 5 เรื่องใหญ่ห้ามพลาดปี 2568 

จับตา! 5 เรื่องใหญ่ห้ามพลาดปี 2568 

จับตา! 5 เรื่องใหญ่ห้ามพลาดปี 2568 มีอะไรบ้าง เช็กเลย! 1.โดนัล ทรัมป์ขึ้นรับตำแหน่ง กำหนดการวันขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คือวันที่ 20 มกราคม หลังการเลือกตั้ง โดยสถิติแล้ว ตลาดอาจมีการปรับตัวในช่วงก่อน-หลังวันรับตำแหน่ง และต้องระวังผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ที่ส่งผลในวงกว้าง โดยเฉพาะในเรื่องของนโยบายกำแพงภาษี 2.สงครามจะจบลงเมื่อไหร่ สงครามตะวันออกกลางยังคงสร้างความกังวล และยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยสถานการณ์ปัจจุบัน แม้จะมีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวแล้ว แต่ก็ยังคงมีการโจมตีเป็นระยะ ๆ ถึงแม้ตลาดจะรับรู้ถึงผลกระทบของสงครามไปแล้ว แต่หุ้นกลุ่ม Commodity หรือที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) จะฟื้นตัวช้ากว่ากลุ่มอื่น ๆ 3.ดอกเบี้ย Fed จะลดได้แค่ไหน จาก Dot Plot คาดว่าในปี 2025 Fed อาจลดดอกเบี้ย นโยบายลงสู่ระดับ 3.0-3.5% และกรรมการ Fed หลายท่านมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะสามารถลดลงสู่ ระดับเป้าหมายที่ 2% ได้ ทั้งนี้ยังคงต้องเฝ้าดูปัจจัย ส าคัญทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อไป อาทิ ตัวเลขการ จ้างงาน นโยบายทรัมป์ซึ่งกระทบต่อเงินเฟ้อ 4.นโยบายเศรษฐกิจไทย ประเทศไทยยังเฝ้ารอนโยบายที่เป็นรูปธรรมจากรัฐบาล โดยคาด ว่าในช่วงไตรมาส 1 ปี 2025 รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจใหม่ๆ ออกมานอกจากมาตรการแจกเงิน 10,000บาท ซึ่งเป็นผลดีต่อกลุ่มหุ้นค้าปลีก ท่องเที่ยว มองเป็นบวกกับตลาด หุ้นไทย โดยคาดการณ์ GDPปี 2025 โตถึง 3%อานิสงค์จาก การบริโภคภาคเอกชน การส่งออก และการท่องเที่ยว 5.จีนจะฟื้นตัวได้จริงหรือไม่ จากการประชุม Central Economic Work Conference ช่วงสิ้นปี 2024 จีนเตรียมออกมาตรการเชิงรุกในปี 2025 โดยเพิ่มงบขาดดุล กู้เพิ่ม และลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยคาดเป้าหมาย GDP ปี 2025 ไม่ต่ำกว่า 4.5% และคาดว่าจะทราบเม็ดเงินที่จะใส่เข้าระบบในช่วงต้นปี 2025 ที่มา : บล.ดาโอ

abs

Hoonvision

จีนเปิดโซลาร์ฟาร์มนอกชายฝั่งใหญ่สุดในโลก กำลังผลิต 1 กิกะวัตต์!

จีนเปิดโซลาร์ฟาร์มนอกชายฝั่งใหญ่สุดในโลก กำลังผลิต 1 กิกะวัตต์!

          หุ้นวิชั่น - เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา CHN Energy รัฐวิสาหกิจด้านพลังงานของจีนเริ่มผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำนอกชายฝั่งกำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งของเมืองตงอิ่ง ในมณฑลซานตง8 กิโลเมตร ประกอบด้วย Solar Cell จำนวน 2,934 แผง ติดตั้งบนโครงเหล็กขนาดใหญ่ที่ติดอยู่กับฐานเสาเข็มเพื่อความแข็งแรงทนทานต่อพายุ นอกจากนี้นับเป็นครั้งแรกของจีนที่ใช้สายเคเบิลขนาด 66 กิโลโวลต์เชื่อมต่อไปยังชายฝั่ง โครงการนี้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 1.8 พันล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ซึ่งรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้ากว่า 2.6 ล้านครัวเรือน

ส่องเครื่องยนต์

ส่องเครื่องยนต์ "เศรษฐกิจไทย" วันที่ไร้แรงกระตุ้น

       หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส ส่องภาพเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยที่ยังขับเคลื่อนได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งยังต้องการแรงกระตุ้นทั้งในส่วนของนโยบายการคลังที่เข้มข้น และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งล่าสุดทางคุณกิตติรัตน์เสนอให้ กนง. ควรลดดอกเบี้ยให้เร็วกว่านี้ เพื่อหลีกหนีจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ทางฝั่งกระทรวงการคลังยังเห็นมาตรการกระตุ้นเรื่อยๆ ผ่านการรวบรวมข้อมูลของฝ่ายวิจัยฯ ที่ว่ารัฐบาลเกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้-รายจ่าย/ GDP พบว่าในปี 2567 สัดส่วนรายได้สุทธิหลังหักกา จัดสรร/GDP อยู่ที่ 15.1% ส่วนสัดส่วนงบประมาณรายจ่าย/GDP อยู่ที่ 18.9% ซึ่งปีหน้าตัวเลขยังสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 19.8% ตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้ ประเทศไทยขาดดุลงบประมาณมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปี 2568 มีการขาดดุลงบประมาณสูงถึง 8.7 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าอาจเป็นการหาแหล่งเงินทุนเดินหน้าโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท รวมถึงมาตรการอื่นๆที่เตรียมไว้กระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งล่าสุด กระทรวงการคลังเตรียมนำมาตรการ EASY E-RECEIPT เข้าที่ประชุม ครม.สัปดาห์หน้า โดยมีรายละเอียด คือ โครงการให้บุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าและบริการ ไม่เกิน 5 หมื่นบาท(ตั้งแต่ 1 ม.ค.68 เป็นต้นไป) โดยต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหากอ้างอิงจากข้อมูลปี 2567 คาดว่าจะเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบ 70,000 ล้านบาท หรือกระตุ้น GDP ให้เพิ่มขึ้นอีกราว 0.18%         อย่างไรก็ตาม ในมุมความเสี่ยงภาระผูกพันของประเทศ ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเนื่องจากเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจ กำลังถูกแลกมาด้วยการก่อหนี้สิน โดยหนี้สาธารณะ/GDP ของไทยเดือน ต.ค. 67 ล่าสุดอยู่ที่ 63.99% ซึ่งภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง70% รัฐบาลยังก่อหนี้ได้อีกแค่ 1.1 ล้านล้านบาท เท่านั้น อีกทั้งยอดหนี้สาธารณะของบ้านเรายังเติบโตเร็วกว่า GDP GROWTH มาเป็นเวลานาน หากเศรษฐกิจไทยขยายตัวช้า อาจมีความเสี่ยงที่หนี้สาธารณะ/GDP จะเกินกรอบเป้าหมายได้ โดยสรุป เศรษฐกิจไทยถ้าจะฟื้นแรง ต้องการแรงผลักจากนโยบายการคลังเพิ่มเติม แต่ติดที่หนี้สาธารณะ/GDP ของไทยสูง ใกล้ชนเพดาน จึงทำให้อาจมีความเสี่ยงที่จะเกินกรอบทางวินัยได้

องค์กรภาคตลาดทุน ร่วมแสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่น ยกระดับธรรมาภิบาลบริษัทจดทะเบียนไทย

องค์กรภาคตลาดทุน ร่วมแสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่น ยกระดับธรรมาภิบาลบริษัทจดทะเบียนไทย

         หุ้นวิชั่น - องค์กรภาคตลาดทุน โดย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai IOD) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมแสดงเจตนารมณ์มุ่งยกระดับธรรมาภิบาลบริษัทจดทะเบียนไทย  ยืนยันติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมดำเนินการตามความเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่ มุ่งดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน องค์กรภาคตลาดทุนมีเจตนารมณ์ร่วมกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย และรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานธรรมาภิบาลที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดทุนไทย อันจะนำไปสู่การพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นไปตามเนื้อหาของแถลงการณ์ร่วม เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 ดังนี้ จะติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและดำเนินการตามความเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่ จะร่วมกันยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงการทำรายการที่อาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงจะดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และอุปนายก สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย กล่าวว่า สภาธุรกิจตลาดทุนไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ และการพัฒนาธรรมาภิบาลในบริษัทจดทะเบียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน นำไปสู่การเติบโตที่มั่นคงยั่งยืน และความสามารถในการแข่งขันในระดับโลกของตลาดทุนไทย         นายกุลเวช เจนวัฒนวิทย์ กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai IOD) กล่าวว่า ความยั่งยืนขององค์กรเริ่มที่ความเชื่อถือไว้วางใจจากประชาชน (Public Trust) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai IOD) หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคณะกรรมการบริษัททุกท่านจะทำหน้าที่เป็นสติให้กับองค์กร ทำงานร่วมกับผู้บริหารในการปลูกจิตสำนึกการมีธรรมาภิบาลที่ดีถ่ายทอดสู่พนักงานทุกระดับเพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ และมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยสมาคมฯ คาดหวังให้ประธานคณะกรรมการเป็นผู้นำขององค์กรในการสร้างวัฒนธรรมการทำงานของคณะกรรมการ เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของกรรมการทุกคนอย่างรอบคอบ เราอยากเห็นกรรมการอิสระทำหน้าที่สะท้อนความคาดหวังและรักษาผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายตามความคาดหวังที่แท้จริง         นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า นักวิเคราะห์ให้ความสำคัญอย่างมากกับการมองเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพราะผู้ลงทุนแสวงหาการลงทุนที่ตอบโจทย์ทั้งการเงินและการทำให้สังคมดีขึ้น ESG ส่งผลต่อทั้งความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจ ความโปร่งใสเป็นหัวใจสำคัญของตลาดทุน หากบริษัทจดทะเบียนมองเห็นคุณค่าของกำไรระยะสั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวก็จะถูกจับตาหรือถูกต่อต้าน ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและผลการดำเนินงานในที่สุด        นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และประธานคณะอนุกรรมการ ESG Collective Action กล่าวว่า ในฐานะผู้ลงทุนสถาบันที่ยึดมั่นในหลักความซื่อสัตย์สุจริต ระมัดระวังปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นสำคัญ ย้ำถึงความกังวลของผู้บริหารและผู้จัดการกองทุนของ บลจ. ต่อประเด็นความเสี่ยงด้าน ESG โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่ บลจ. ให้ความสำคัญสูงสุดควบคู่ไปกับผลประกอบการที่ดี คือด้านธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียนไทยที่มีกรณีเกิดขึ้นหลายครั้งในปีนี้ ซึ่ง บลจ. ทุกแห่งได้รวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อยกระดับการดำเนินการด้าน ESG Collective Action ให้กระชับและมีประสิทธิภาพ เพื่อตรวจสอบติดตามข้อเท็จจริง ตั้งคำถาม ประเมินผลกระทบและกำหนดแนวทางการลงทุนในหุ้นที่มีประเด็นปัญหาดังกล่าวในทุก ๆ กรณี และคาดหวังว่าจะเป็นพลังที่เข้มแข็งส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนตลาดทุนไทยอย่างมีคุณภาพ        นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การสื่อสารที่รวดเร็วและทั่วถึงถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ซึ่งบริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยข้อมูลโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ลงทุน เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจลงทุนในเวลาที่ทันเหตุการณ์ ซึ่งเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลเป็นความจำเป็นพื้นฐานที่บริษัทจดทะเบียนต้องดำเนินการ แต่หากมีข้อมูลสำคัญที่ผู้ลงทุนซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียสำคัญต่อบริษัทอาจได้รับผลกระทบ ก็ควรสื่อสารให้ผู้ลงทุนและสาธารณชนได้รับรู้ด้วย ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลแก่ผู้ลงทุนอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง ทันต่อการนำข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์

        หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าพร้อมเงินเยนวานนี้ หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 25% พร้อมส่งสัญญาณว่าอาจยังต้องรอประเมินอัตราค่าจ้างปีหน้าและทิศทางนโยบายของทรัมป์ ก่อนที่จะขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารกลางอังกฤษมีมติ 6:3 ให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 75% พร้อมส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงเทียบต่อดอลลาร์ ธนาคารกลางจีนพยายามชะลอการอ่อนค่าของเงินหยวน โดยประกาศอัตรา Fixing เงินหยวนแข็งค่ากว่าเลข Survey

จับตาราคาทอง เช้าวันนี้ร่วง 200 บาท

จับตาราคาทอง เช้าวันนี้ร่วง 200 บาท

          หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 20 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับลง 200 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,550.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 42,650.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 41,780.96 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,150.00 บาท

พลิกโฉมการรอเที่ยวบินล่าช้าด้วยบัตรกำนัล Delay Lounge Pass 

พลิกโฉมการรอเที่ยวบินล่าช้าด้วยบัตรกำนัล Delay Lounge Pass 

          กัวลาลัมเปอร์, 19 ธันวาคม 2024 – Tune Protect Group Berhad (“Tune Protect” หรือ “The Group”) ได้ประกาศเปิดตัวสิทธิประโยชน์ใหม่สำหรับลูกค้าประกันการเดินทางแอร์เอเชีย “ดีเลย์เลานจ์พาส” (Delay Lounge Pass) ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษที่ให้การเข้าถึงห้องรับรองในสนามบินของแอร์เอเชียเมื่อเกิดเหตุเที่ยวบินล่าช้านานกว่า 2 ชั่วโมง โดยเปิดให้บริการที่สนามบินกว่า 1,500 แห่งทั่วโลกรวมทั้งห้องรับรองภายใต้เครือข่ายของแอร์เอเชียทั้งหมด ดีเลย์เลานจ์พาส (Delay Lounge Pass) จะมอบบริการพิเศษเฉพาะลูกค้าที่ซื้อหรือเลือกรับแผนประกันการเดินทางของแอร์เอเชีย เช่น แพ็กสุดคุ้ม (Value Pack), Premium Flex และ AirAsia Plus สำหรับเที่ยวบินทั้งในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย ทั้งขาไปและขากลับ           ดีเลย์เลานจ์พาส (Delay Lounge Pass) ช่วยเปลี่ยนประสบการณ์การรอเที่ยวบินล่าช้าให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยการมอบสิทธิ์เข้าถึงห้องรับรองในสนามบินที่เพียบพร้อมด้วยบริการครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Wi-Fi ความเร็วสูง ปลั๊กชาร์จไฟ รวมถึงบริการพิเศษอย่างนวดสปา และส่วนลดพิเศษที่บาร์และร้านอาหาร ฟีเจอร์ใหม่นี้มอบสิทธิประโยชน์เหนือกว่าประกันการเดินทางทั่วไป โดยนอกจากผู้โดยสารแอร์เอเชียจะได้รับเงินชดเชยกรณีเที่ยวบินล่าช้าแล้ว ยังได้เพลิดเพลินกับความสะดวกสบายในห้องรับรองสนามบิน ซึ่งช่วยเปลี่ยนช่วงเวลารอให้เป็นประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย           How Kim Lian (“How”), ประธานกรรมการบริหารกลุ่ม Tune Protect กล่าวว่า “การล่าช้าของเที่ยวบินเป็นสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด และเราทราบดีถึงความยากลำบากที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเดินทางเป็นครอบครัวใหญ่ หรือเมื่อต้องจัดการกับตารางเวลาที่เเน่น โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว เช่น ช่วงปีใหม่หรือปิดเทอม ซึ่ง Tune Protect มุ่งมั่นที่จะพัฒนาและเสริมสร้างประสบการณ์การเดินทางให้สะดวกสบาย และไร้กังวลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ต้องการพื้นที่เงียบสงบเพื่อดูแลลูกหลาน นักธุรกิจที่ต้องการทำงานระหว่างรอเที่ยวบิน หรือผู้ที่เดินทางคนเดียวที่ต้องการพักและผ่อนคลาย การเข้าใช้บริการห้องรับรองในสนามบินสนามบินจึงตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้เดินทางในทุกกลุ่มได้อย่างลงตัว” ลูกค้าจะได้รับสิทธิประโยชน์จากดีเลย์เลานจ์พาส (Delay Lounge Pass) เพียงทำตามขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้: ซื้อหรือเลือกรับประกันการเดินทาง: ลูกค้าต้องซื้อแผนประกันการเดินทางแอร์เอเชีย (Value Pack, Premium Flex, AA Plus) เมื่อทำการจองเที่ยวบิน ลงทะเบียนให้เสร็จสมบูรณ์: หลังจากที่ทำการซื้อแผนประกันแล้ว ลูกค้าจะได้รับอีเมลขอบคุณ พร้อมทั้งอีเมลสำหรับลงทะเบียนใช้งานห้องรับรองในสนามบิน ลูกค้าต้องลงทะเบียนเที่ยวบินที่จะมาถึงโดยใช้รหัสเฉพาะที่ได้รับจากการลงทะเบียนเลานจ์ก่อนการเดินทาง ยืนยันการติดตามเที่ยวบิน: หลังจากลงทะเบียนแล้ว ลูกค้าจะได้รับอีเมลแจ้งยืนยันการติดตามเที่ยวบินผ่านทาง FlightStats รับบัตรกำนัลเข้าใช้งานห้องรับรองในสนามบิน: หากเที่ยวบินเกิดความล่าช้าตั้งแต่สองชั่วโมงขึ้นไป ลูกค้าจะได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับความล่าช้า พร้อมกับบัตรกำนัลเข้าใช้งานห้องรับรองในสนามบินแบบดิจิทัลเมื่อมาถึงสนามบิน ซึ่งสามารถใช้บัตรกำนัลได้ทันที           คุณคิมเหลียน (“How”) ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “โครงการล่าสุดนี้เน้นย้ำถึงคำมั่นสัญญาของ Tune Protect ในการพัฒนาประกันภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เดินทางยุคใหม่ การผสมผสานผลิตภัณฑ์และบริการเข้ากับประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้า จึงเป็นแนวทางที่ธุรกิจชั้นนำต่างให้ความสำคัญ และสิ่งที่เราทำคือการนำแนวทางนี้มาปรับใช้ในภาคประกันภัยเพื่อดึงดูดความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งในกรณีนี้คือผู้เดินทาง การมอบสิทธิ์เข้าใช้ห้องรับรองในสนามบิน ไม่เพียงแต่ยกระดับประสบการณ์การเดินทางของลูกค้า แต่ยังเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการประกันภัยการเดินทางนับเป็นการปฏิวัติวงการประกันภัยการเดินทางและตอกย้ำความเป็นผู้นำของเราในภูมิภาค”           ในกรณีที่เที่ยวบินเกิดความล่าช้าแต่ลูกค้าไม่ได้ใช้บัตรกำนัลที่ได้รับ ลูกค้ายังคงสามารถใช้บัตรกำนัลดังกล่าวได้ภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกบัตร ที่ห้องรับรองในสนามบินสนามบินใดก็ได้ในเครือข่ายของแอร์เอเชียกว่า 1,500 แห่งทั่วโลก อย่างไรก็ตาม บัตรกำนัลดีเลย์เลานจ์พาส (Delay Lounge Pass) จะออกให้เฉพาะผู้เดินทางที่ลงทะเบียนและไม่สามารถโอนสิทธิ์การใช้งานได้ และผู้ซื้อแผนประกันการเดินทางแอร์เอเชีย (Value Pack, Premium Flex และ AirAsia Plus) ต้องทำการลงทะเบียนอย่างถูกต้องให้แก่ผู้เดินทางแต่ละคนในกลุ่ม เพื่อผู้เดินทางทุกคนให้ได้รับประสบการณ์ที่สะดวกและราบรื่น           นอกจากดีเลย์เลานจ์พาสแล้ว Tune Protect ยังเสริมฟีเจอร์ใหม่ให้กับแผนประกันการเดินทางแอร์เอเชีย ด้วย TravelFlex Lite ซึ่งมอบสิทธิประโยชน์ในการยกเลิกการเดินทางได้อย่างยืดหยุ่นในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดย TravelFlex Lite จะชดเชยค่าตั๋วเครื่องบินสูงสุด 500 ริงกิต หากลูกค้าไม่สามารถเดินทางได้ ฟีเจอร์สำคัญอีกอย่างหนึ่งของแผนประกันการเดินทางแอร์เอเชียคือ On-Time Guarantee ซึ่งจะให้เงินชดเชยจำนวน 100 ริงกิตหากเที่ยวบินเกิดการล่าช้าเกิน 2 ชั่วโมง รวมถึง Baggage Delay ที่จะจ่ายชดเชย 120 ริงกิตทุก 6 ชั่วโมงของการล่าช้า และชดเชยสูงสุดที่จำนวน 360 ริงกิต หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับดีเลย์ห้องรับรองในสนามบินพาส (Delay Lounge Pass) และแผนประกันการเดินทางแอร์เอเชีย รวมถึงข้อกำหนดและเงื่อนไข สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ https://delayloungepass.tuneprotect.com/airasia และ https://www.tuneprotect.com/airasia/AABundlePackage/

กระหึ่มโลก! “เปิดฤดูกาล MotoGP2025” ครั้งแรกในไทย ปักหมุด One Bangkok

กระหึ่มโลก! “เปิดฤดูกาล MotoGP2025” ครั้งแรกในไทย ปักหมุด One Bangkok

           หุ้นวิชั่น - ข่าวดีของแฟนความเร็ว หลังดอร์น่า สปอร์ต  เจ้าของลิขสิทธิ์โมโตจีพี คิ๊กออฟกิจกรรม MotoGP™ season launch เปิดฤดูกาลอย่างยิ่งใหญ่ ปักหมุด One Bangkok แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ เป็นสถานที่จัดงานภายใต้ “แฟนอีเว้นต์รูปแบบใหม่” สุดเอ็กซ์คลูซีฟและเปิดให้เข้าร่วมงานฟรี ฝ่ายจัดการแข่งขัน ชี้ “ประเทศไทย” กระหึ่มโลกแน่นอน ทัพสื่อดังจากทั่วโลกตบเท้ารายงานข่าว อีเว้นต์สุดพรีเมียมในครั้งนี้ จะเป็นที่จับตามองและเป็นหมุดหมายสำคัญ ส่งผลสะท้อนให้สนามแรกที่ไทย คึกคักที่สุด คาดบัตรชมการแข่งขันเต็มทุกสแตนด์ที่นั่ง            โมโตจีพี สุดยอดอีเว้นต์มอเตอร์สปอร์ตระดับพรีเมียม เตรียมระเบิดศึกพรี-ซีซั่น ในประเทศไทย วันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ และเป็น สนามที่ 1 เปิดฤดูกาล ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์-2 มีนาคม 2568 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ภายใต้ชื่อรายการ "PT Grand Prix of Thailand 2025”            ฝ่ายจัดการแข่งขัน เผย กิจกรรม MotoGP™ season launch ที่ประเทศไทย ของดอร์น่า สปอร์ต จะเป็นการโหมโรงที่สุดอลังการ ดังไกลไปโลก จะเป็นอีเว้นต์ชั้นยอดที่เรียกกระแสจากแฟนทั่วโลก จัดในสถานที่เปิด ภายใต้รูปแบบ “แฟนอีเว้นต์”สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เปิดให้เข้าร่วมงานฟรี จะได้รับความสนใจจากแฟนคลับโมโตจีพีทั้งไทย-เทศ ทัพสื่อดังจากทั่วโลกตบเท้ารายงานข่าว เชื่อว่าสนามประเทศไทย จะเป็นที่จับตามองและเป็นหมุดหมายสำคัญ  รวมถึงการก้าวสู่รุ่นพรีเมียร์คลาสครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของนักบิดไทย “ก้อง-สมเกียรติ จันทรา” จะสร้างกระแสความนิยม-ความภาคภูมิใจของคนไทย รวมทั้งแฟนความเร็วทั่วโลกที่คอยติดตาม ส่งผลสะท้อนให้สนามแรกที่ไทยคึกคักที่สุด โดยคาดการณ์ว่า จะทำให้บัตรชมการแข่งขันสนามประเทศไทยปีนี้ ประสบความสำเร็จในแง่ยอดจัดจำหน่ายสูงสุด เต็มทุกสแตนด์ที่นั่งอย่างรวดเร็วแน่นอน            กิจกรรม MotoGP™ season launch วันที่ 9 กพ. 2568 ที่ One Bangkok กรุงเทพ จะถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ส่งมอบประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับแฟนความเร็วมากมาย อาทิ การจัดแสดงรถแข่งให้แฟนความเร็วได้ชมอย่างใกล้ชิดตลอดทั้งวัน MotoGP™ Road Show เวลา 16.30-18.30 น.  เหล่านักบิด MotoGP นำรถแข่ง พาเหรดและถ่ายภาพรอบ One Bangkok ต่อด้วย กิจกรรม Hero Walk พบปะแฟนๆ แจกลายเซ็น, เซลฟี่กับนักแข่งคนโปรด ฯลฯ Group Photo เวลา 18.30-18.45 น. หลังจากจบกิจกรรมบนเวที เหล่านักบิด MotoGPทั้งหมดมาถ่ายรูปร่วมกับแฟนคลับ โอกาสครั้งสำคัญในการได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพแห่งความทรงจำกับนักแข่งคนโปรด Live Music Performance เวลา 18.45 น. เป็นต้นไป ภาคความบันเทิง การจัดแสดงดนตรีโดยศิลปินดังของไทย ซึ่งจะมีการเปิดเผยรายชื่อเร็วๆนี้ Red Carpet Event เวลา 20.30-21.00 น. เหล่านักบิดซูเปอร์สตาร์ของโลกและแขกรับเชิญสุดพิเศษ จะเดินพรมแดง หลังจากนั้นจะเข้าสู่ไพรเวต อีเว้นต์ ที่จัดขึ้นบริเวณชั้นรูฟท็อปหรือดาดฟ้า ของ One Bangkok สำหรับ “โมโตจีพี สนามประเทศไทย” ประกาศวันแถลงข่าวและเปิดจำหน่ายบัตรอย่างเป็นทางการ วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2568 เวลา 14.00 น.เป็นต้นไป ผ่าน Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่เว็บไซด์ allticket ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจ Chang Circuit Buriram [caption id="attachment_22326" align="aligncenter" width="2000"] default[/caption]

NT ผนึก AWS จัดโรดโชว์ ตอบ 5 คำถาม คลาวด์คอมพิวติ้ง

NT ผนึก AWS จัดโรดโชว์ ตอบ 5 คำถาม คลาวด์คอมพิวติ้ง

          บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที (NT) ผู้ให้บริการโทรคมนาคมซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของไทย และเป็นพาร์ทเนอร์ระดับ Advanced Tier ของ อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (AWS หรือ เอ ดับบลิว เอส) เปิดเผยว่า การเดินสายจัดกิจกรรมโรดโชว์ในหลายจังหวัดร่วมกับ AWS รวมทั้งการร่วมงาน AWS Public Sector Day 2024 ได้รับความสนใจและการตอบรับอย่างดีจากผู้เข้าร่วมงาน NT จึงได้รวบรวม 5  คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง มาแบ่งปันสำหรับผู้ที่สนใจดังนี้: ต้องการเริ่มย้ายเวิร์คโหลดขึ้น AWS มีขั้นตอนอย่างไร ขั้นตอนการย้าย workloads มี 3 ขั้นตอนหลักๆ ได้แก่ การประเมิน (assess), การเตรียมการย้าย (mobilize), และ การย้ายข้อมูล (migrate) ขั้นตอนแรกสุดที่ต้องดำเนินการคือ 1. ประเมินเวิร์คโหลด (assess workload) และปริมาณของเวิร์คโหลด ร่วมกับ ทาง NT เพื่อออกแบบสถาปัตยกรรมของระบบ (หรือ AWS Architecture) ที่จะย้ายขึ้นไปบน AWS Cloud  และ ประเมิน Solution ในการย้ายระบบที่เหมาะสมร่วมกัน 2. การเตรียมการย้าย (mobilize) สร้างทรัพยากร และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ บน AWS Cloud รอการย้าย เช่น เตรียม VPC, Network, และ เครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายไว้ ขั้นตอนสุดท้าย 3.การย้ายข้อมูล (migrate) ทำการย้ายข้อมูลตาม Solution ที่ได้มีการหารือร่วมกัน หากต้องการเปลี่ยนจาก On-Premises ไปใช้เทคโนโลยี AWS Cloud ควรมีการเตรียมความพร้อมขององค์กรอย่างไร ในเชิงทีมงาน งบประมาณ ระยะเวลาในการดำเนินการ ทีมงาน: ในการใช้งานคลาวด์อย่างยั่งยืน ทีมงานที่ดูแลระบบจำเป็นต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานบนคลาวด์ ซึ่งแตกต่างจากระบบ On-Premises โดยหากทีมงานยังขาดความรู้หรือความเชี่ยวชาญ สามารถให้ NT ช่วยดูแลในช่วงเริ่มต้น และสนับสนุนการเรียนรู้เกี่ยวกับคลาวด์ผ่านคอร์ส เรียนที่มีให้เลือกทั้งแบบออนไลน์และออนไซต์ รูปแบบออนไลน์: ผู้เรียนสามารถเลือกคอร์สที่สะดวกและเหมาะสมกับความต้องการ เช่น AWS Skill Builder แบบ ไม่มีค่าใช้จ่าย: มีคอร์สให้เลือกเรียนมากกว่า 600 คอร์ส AWS Skill Builder แบบ Subscriptions: เข้าถึง Lab ฝึกปฏิบัติกว่า 1,000 Lab และเนื้อหาเตรียมสอบที่ครอบคลุม รูปแบบออนไซต์: NT มีคอร์สอบรมที่สอนโดยอาจารย์ที่ผ่านการรับรองจาก AWS พร้อมบริการสอบ Certification ครอบคลุมตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับทักษะขั้นสูงในหลากหลายสาขา เช่น AI (Artificial Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์), Machine Learning และ Data Analytics การเรียนเหล่านี้ช่วยเสริมทักษะให้ทีมงานพร้อมรับมือกับการใช้งานคลาวด์ในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ด้านงบประมาณ: ทีม Solution Architect ของ NT พร้อมให้คำปรึกษาในด้านการออกแบบระบบเมื่อต้องการย้ายมาใช้งานบนคลาวด์ รวมถึงบริการช่วยคำนวณงบประมาณ ไม่ว่าจะเป็นแบบรายปีหรือแบบตามสัญญา เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการและเป้าหมายขององค์กร ระยะเวลาดำเนินการ: หลังจากการทำ assess และออกแบบ AWS architecture เป็นที่เรียบร้อย หลังจากนี้การย้ายเวิร์คโหลดขึ้นคลาวด์จะขึ้นอยู่กับความพร้อมในการย้ายระบบของทางลูกค้า และ Solution ในการย้ายเวิร์คโหลด ที่จะต้องมีการหารือร่วมกันระหว่างและลูกค้า เพื่อให้การย้ายขึ้นไปใช้งานบนคลาวด์มีประสิทธิ์ภาพสูงสุดและกระทบกับการใช้งานของ User น้อยที่สุด เวิร์คโหลดแบบไหนควรย้ายก่อน เริ่มจาก Workload ที่ง่ายและมีความเสี่ยงน้อย เช่น Website หรือ Webserver เป็นต้น จากนั้นค่อยๆ Migrate ระบบที่ซับซ้อนมากขึ้น ข้อสำคัญ คือ assess แต่ละ Workload อย่างละเอียด เพื่อหาวิธีการ Migration ที่เหมาะสมที่สุด เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งเหมาะกับองค์กรประเภทใด หากเป็นองค์กรขนาดเล็กหรือกลาง เหมาะกับการใช้คลาวด์หรือไม่ ในแง่การลงทุนสร้างทีมงานและย้ายจาก On-Premises ขึ้นบนคลาวด์ - การใช้งานเทคโนโลยีคลาวด์เหมาะสมกับทั้งองค์กรทุกขนาด โดยสามารถเลือกบริการ และฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรม และขนาดขององค์กรได้เพราะคลาวด์คอมพิวติ้งมอบความคล่องตัว ช่วยให้สามารถเรียกใช้ทรัพยากรได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มการดำเนินงานได้ทันทีตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลง ทำให้สามารถสร้างนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติใหม่หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ทันกับความต้องการของตลาดในช่วงเวลานั้น ความยืดหยุ่นของระบบช่วยให้องค์กรสามารถปรับการใช้งานทรัพยากรได้อัตโนมัติ ไม่ว่าจะเพิ่มหรือลด เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานเป็นไปอย่างเหมาะสมโดยไม่ต้องจัดสรรทรัพยากรเกินความจำเป็น นอกจากนี้ ระบบคลาวด์ยังช่วยลดต้นทุนได้อย่างมาก โดยไม่ต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์ล่วงหน้าจำนวนมาก และลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นการจ่ายเฉพาะทรัพยากรที่ใช้งานจริงเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนใน data center ที่มีระยะเวลาของการคุ้มทุนที่นาน และยังมีค่า maintenance สูงอีกด้วย ประโยชน์ของเทคโนโลยีคลาวด์เหล่านี้จะช่วยให้องค์กรธุรกิจมีความยืดหยุ่น ประสิทธิภาพ และคุ้มค่ามากขึ้นในยุคปัจจุบัน หน่วยงานที่ไม่สามารถใช้บัตรเครดิตเพื่อชำระค่าบริการได้ แต่อยากใช้เทคโนโลยี AWS Cloud จะมีตัวเลือกในการชำระค่าบริการอย่างไรได้บ้าง - สามารถใช้บริการ AWS Cloud ผ่าน partner ผู้ให้บริการ Billing Service เช่น NT ในการออกบิล/ใบกำกับภาษีได้ นอกจากหน่วยงานจะไม่ต้องชำระค่าบริการด้วยบัตรเครดิตแล้ว ทาง NT ยังสามารถการออกบิล/ใบกำกับภาษีให้กับลูกค้าได้ในสกุลเงินบาทไทย ในอัตราแลกเปลี่ยนตามธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันทำการสุดท้ายของเดือนนั้น ๆ หรืออัตราแลกเปลี่ยนคงที่ตามที่ตกลงทำสัญญา สำหรับผู้ที่สนใช้ติดต่อ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บริการ AWS Cloud ผ่าน NT Cloud สามารถติดต่อบริษัท ได้ที่ [email protected] หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://ntcloudsolutions.ntplc.co.th/solutions/nt-cloud-aws/ [PR News]

เมืองไทยประกันชีวิต  เสนอผลิตภัณฑ์เด่น ใน Money Expo Year End 2024

เมืองไทยประกันชีวิต เสนอผลิตภัณฑ์เด่น ใน Money Expo Year End 2024

          นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  เมืองไทยประกันชีวิต คัดสรรผลิตภัณฑ์ บริการ และโปรโมชันเด่น เข้าร่วมงานมหกรรมการเงินกรุงเทพฯ ส่งท้ายปี ครั้งที่ 7 “Money Expo Year End 2024” ระหว่างวันที่ 19-22 ธันวาคม 2567 ณ Exhibition Hall 5  ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมด้วยกิจกรรมแห่งความสุขและรอยยิ้มมากมาย           โดยในพิธีเปิดงานได้รับเกียรติจากนายพิชัย  ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  นายวรภัค ธันยาวงษ์ ที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิสิทธิ์ พัฒนะนุกิจ ที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสันติ  วิริยะรังสฤษฎ์  ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน Money Expo  พร้อมด้วยนายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  ผู้บริหาร ตัวแทนนักวางแผนประกันชีวิต และที่ปรึกษาทางการเงิน ร่วมในพิธีเปิดบูธเมืองไทยประกันชีวิต           ทั้งนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ได้คัดสรรผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ โรคร้ายแรง รวมไปถึงแบบประกันสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนลดหย่อนภาษีโค้งสุดท้ายของปี  โดยผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ ได้แก่ “ShieldLife - ตัวช่วยให้คุณเบาใจ ในวันที่คุณจากไป…” เริ่มต้นวางแผนการสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้คนที่คุณรัก ด้วยแบบประกันชีวิตที่คุณเลือกได้  ทั้งประกันชีวิตแบบตลอดชีพ  (Whole Life) ประกันชีวิตแบบคุ้มครองภายในระยะเวลา (Term) หรือประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life)           สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ  ดี เฮลท์ พลัส,  อีลิท เฮลท์ พลัส  และสัญญาเพิ่มเติม แคร์ พลัส รวมไปถึงแบบประกันภัยพิเศษ  7 แบบประกัน ประกอบด้วย เมืองไทย ซุปเปอร์ เซฟเวอร์ 25/16, เมืองไทย สไมล์ เซฟเวอร์ 20/16, ออมทรัพย์ 20/14, โครงการเมืองไทย สมาร์ท ลิงค์ 15/6 (Global),  เฟล็กซี่ รีไทร์ 90/5 ดี55 ดี60 ดี65 (บำนาญแบบลดหย่อนได้), เมืองไทย 8560 จี 15 (บำนาญแบบลดหย่อนได้) และเมืองไทย 8555 จี 20 (บำนาญแบบลดหย่อนได้)  เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการที่หลากหลาย เลือกได้ตามไลฟ์สไตล์ที่เป็นคุณ           พร้อมโปรโมชันจัดเต็มสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันภัย รวมถึงลูกค้าที่ชำระเบี้ยประกันภัยต่ออายุกรมธรรม์ภายในงาน  ซึ่งลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดโปรโมชันได้ภายในบูธเมืองไทยประกันชีวิต และพบกับบริการด้านการวางแผนประกันชีวิตและความคุ้มครองสุขภาพที่ออกแบบได้ตามความต้องการ  โดยนักวางแผนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงิน จากเมืองไทยประกันชีวิต           สำหรับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ พบกับสิทธิพิเศษมากมาย ภายในบูธจุดบริการเมืองไทยสไมล์คลับ โดยสามารถแลกคะแนนสะสมเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม รับบัตรกำนัล หรือ e-Voucher อาทิ Smile Point to Invest ส่วนลดสำหรับซื้อกองทุนรวมผ่าน MTL myFund, e-Coupon 30 บาท เพื่อเป็นส่วนลดที่ร้านยากรุงเทพ, บัตรกำนัลห้องพัก Relaxing Smile 2024 , ลุ้นโชคกับเมืองไทยสไมล์มอบโชค 2567 หรือแลกรับของที่ระลึกต่างๆ  เช่น บัตรกำนัลโลตัส 1,000 บาท, บัตรเติมน้ำมัน ปตท. 500 บาท, บัตรกำนัลสตาร์บัค 500 บาท และบัตรกำนัล Boots 200 บาท เป็นต้น           พร้อมพบกับกิจกรรมแลกรับของที่ระลึกสุดพิเศษ Muang Thai Smile Premium Collection X good goods สุขใจผู้ให้ ถูกใจผู้รับ ชุมชนยิ้มได้อย่างยั่งยืน  โดยสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ สามารถแลกคะแนนรับของพรีเมียมคอลเลกชันพิเศษร่วมกับ good goods ประกอบด้วย 35 Smile Points แลกรับ กระเป๋าผ้าซิปอเนกประสงค์ good goods 1 ใบ   95 Smile Points แลกรับ กระเป๋าเสื่อกกทรงหัวใจ good goods 1 ใบ (คละสีและลาย) โดยชุมชนเกษตรกร จ.สุรินทร์  หรือ 150 Smile Points แลกรับ กระเป๋าเส้นเทปกระดาษพร้อมถุงผ้าสีชมพู 1 ใบ โดยเกษตรกรบ้านอ้อเขียว จ.ราชบุรี ระยะเวลาแลกรับสิทธิ์ 2 ธันวาคม 2567 - 31 ธันวาคม 2568           สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับที่เปิดบัญชีกองทุนและแลกคะแนนในโครงการ Smile Point to Invest เพื่อซื้อหน่วยลงทุนรับ Starbucks e-Coupon มูลค่า 200 บาท (จากปกติ 100 บาท) หรือสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับที่มีบัญชีกองทุนแล้วสามารถแลกคะแนนในโครงการ Smile Point to Invest เพื่อซื้อหน่วยลงทุนรับ Starbucks e-Coupon มูลค่า 100 บาท จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (สำหรับผู้เข้าร่วมรายการสูงสุด 1 ท่านต่อ 1 สิทธิ์ต่อวัน)           นอกจากนี้ ลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตที่สนใจสมัครบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด พิเศษเฉพาะผู้ที่มาร่วมงานฯ สามารถยื่นใบสมัครบัตรเครดิตฯ ได้ที่บูธเมืองไทยสไมล์คลับภายในงานได้เลย โดยผู้ที่ถือบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ดระดับ Pink และ Pink Gold จะได้รับสิทธิพิเศษมากมายทั้งจากธนาคารกสิกรไทย และบมจ.เมืองไทยประกันชีวิต อาทิ รับเครดิตเงินคืน 0.25% เมื่อชำระเบี้ยประกันภัยของ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต แบบไม่จำกัดจำนวนเงินคืน, ส่วนลดสูงสุด 50% เมื่อใช้บัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ดชำระค่าสินค้าและค่าบริการตามเงื่อนไขที่กำหนดจากโรงพยาบาลหรือร้านค้าพันธมิตรที่มีมากกว่า 10 แห่งทั่วประเทศ           แล้วพบกันที่ บูธเมืองไทยประกันชีวิต งานมหกรรมการเงินกรุงเทพฯ ส่งท้ายปี ครั้งที่ 7 “Money Expo Year End 2024” ระหว่างวันที่ 19-22 ธันวาคม 2567 ณ Exhibition Hall 5  ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หมายเหตุ : กรณีที่ไม่ได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ในกรมธรรม์ หรือระบุไว้แต่ผู้รับประโยชน์เสียชีวิตก่อน หรือเสียชีวิตพร้อมกับผู้เอาประกันภัย ผลประโยชน์ตามกรมธรรม์จะตกแก่กองมรดกของผู้เอาประกันภัย ShieldLife เป็นชื่อทางการตลาดของประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบภายในระยะเวลาและประกันชีวิต แบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ ดี เฮลท์ พลัส, อีลิท เฮลท์ พลัส และสัญญาเพิ่มเติมแคร์ พลัส ต้องซื้อแนบท้ายกรมธรรม์ที่มีผลบังคับอยู่ ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่สัญญาเพิ่มเติมนี้แนบท้าย เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด เป็นการออมในรูปแบบการประกันชีวิต การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต ผลประโยชน์ เงื่อนไข และความคุ้มครองโดยละเอียด เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ คะแนนสะสม Smile Point เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ใช้แสดงสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเมืองไทยสไมล์คลับ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อสร้าง ความสัมพันธ์กับลูกค้าที่สมัครสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ เงื่อนไขการรับสิทธิ์เป็นไปตามที่ บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต กำหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร.1766 บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง คำเตือน : ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจทำประกันภัย  ทุกครั้ง [PR News]

SCB EIC มองเศรษฐกิจมีความท้าทาย กนง. ปีหน้ามีโอกาสลดดอกเบี้ย

SCB EIC มองเศรษฐกิจมีความท้าทาย กนง. ปีหน้ามีโอกาสลดดอกเบี้ย

           หุ้นวิชั่น - กนง. มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.25% ตามที่ SCB EIC มองไว้ โดย กนง. เห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อยังเป็นไปตามที่ประเมินไว้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันยังสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวใกล้เคียงระดับศักยภาพ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มกลับเข้าสู่ขอบล่างของกรอบเป้าหมาย การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว รวมถึงเป็นการรักษา Policy space เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก            สำหรับมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ กนง. คงประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยไว้ที่ 2.7%YOY และ 2.9%YOY ในปี 2024 และ 2025 ตามลำดับ แต่มองว่าความท้าทายของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายนอก ทั้งการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นและความไม่แน่นอนของแนวนโยบายประเทศเศรษฐกิจหลัก ขณะที่ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ โดยประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ 0.4% และ 1.1% ในปี 2024 และ 2025 ตามลำดับ ลดลงเล็กน้อยจากประมาณการเดิม ณ เดือนตุลาคมที่ 0.5% และ 1.2%            SCB EIC มองว่าการสื่อสารของ กนง. ครั้งนี้ Hawkish ขึ้นพอสมควรเทียบกับการประชุมครั้งก่อน โดย กนง. ไม่ได้สื่อสารถึงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวม และประเมินว่าปัญหาของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันไม่ได้มาจากปัจจัยเชิงวัฏจักร แต่มาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กระทบบางภาคส่วนของเศรษฐกิจ เช่น SMEs และภาคอุตสาหกรรมบางกลุ่มที่เผชิญการแข่งขันรุนแรงขึ้น อาทิ กลุ่มยานยนต์            นอกจากนี้ กนง. ไม่ได้แสดงความกังวลมากนักต่อภาวะสินเชื่อที่ชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา โดยประเมินว่าสาเหตุหลักของการชะลอตัวมาจาก (1) การชำระคืนสินเชื่อจากธุรกิจที่ฟื้นตัวได้ดี เช่น ธุรกิจในภาคการท่องเที่ยว ภาคบริการ และภาคการค้า (ธุรกิจขนาดใหญ่) และ (2) ความต้องการสินเชื่อธุรกิจชะลอลงจากกลุ่มธุรกิจที่ฟื้นตัวช้าหรือฟื้นตัวไม่เต็มที่ เช่น SMEs ในภาคการค้า ธุรกิจอสังหาฯ ธุรกิจก่อสร้าง และธุรกิจยานยนต์ อีกทั้ง กนง. ยังประเมินว่าเศรษฐกิจในภาพรวมมีแนวโน้ม จะขยายตัวได้ แม้สินเชื่อธุรกิจชะลอลง ทั้งนี้ SCB EIC ตั้งข้อสังเกตว่า ในการประชุมครั้งนี้ กนง. ไม่ได้สื่อสารถึงกระบวนการ Debt deleveraging และความเปราะบางในภาคครัวเรือนมากนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ ธปท. ได้สื่อสารแนวทางแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในการแถลงข่าวโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ไปแล้วในช่วงก่อนหน้า IMPLICATIONS            SCB EIC มองความท้าทายของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าจะเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยในช่วงต้นปีหน้า โดยสถานการณ์ในปัจจุบันอาจยังไม่ได้มีปัจจัยกดดันชัดเจนที่ทำให้ กนง. จำเป็นต้องเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากนัก แต่ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะเผชิญความท้าทายที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก ทั้งจากความเปราะบางภายในประเทศเอง และความท้าทายจากปัจจัยภายนอก กล่าวคือ ความเปราะบางจากภายในประเทศ สถานการณ์สินเชื่อชะลอลงเกิดขึ้นในทุกภาคส่วนทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือน โดยในไตรมาส 3/2024 ยอดคงค้างสินเชื่อธนาคารพาณิชย์หดตัวทุกหมวด (รูปที่ 1) แม้ กนง. จะประเมินว่าสินเชื่อที่ชะลอลงนี้ยังไม่ได้ฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากมองในทางกลับกัน ภาวะสินเชื่อชะลอลงเช่นนี้ กำลังสะท้อน “อาการ” ความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย โดยในด้านสินเชื่อครัวเรือนที่หดตัวลง ส่วนหนึ่งมาจากมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่เข้มงวด (รูปที่ 2) จากความเปราะบางภาคครัวเรือนและรายได้ที่ยังฟื้นตัวช้า ซึ่งจะกดดันการบริโภคภาคเอกชนในระยะข้างหน้า ในด้านสินเชื่อธุรกิจ อาจต้องติดตามว่าความต้องการสินเชื่อที่ลดลงสะท้อนความต้องการลงทุนใหม่ของภาคธุรกิจที่ลดลงเพียงใด โดย SCB EIC มองว่าอาการความเปราะบางของอุปสงค์ในประเทศที่เริ่มเห็นนี้จะทวีความรุนแรงขึ้น จนทำให้น้ำหนักในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อประคับประคองอุปสงค์ในประเทศของ กนง. เริ่มมีมากขึ้น ความท้าทายจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะนโยบายการค้าของว่าที่ประธานาธิบดี Donald Trump จะทำให้การแข่งขันในภาคการผลิตทั่วโลกรุนแรงขึ้น ยิ่งซ้ำเติมภาคการผลิตของไทยที่มีปัญหาความสามารถในการแข่งขันอยู่แล้ว และอาจกดดันให้รายได้ครัวเรือนฟื้นตัวช้าไปอีก            การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงอาจช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยได้บ้างภายใต้ความท้าทายที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วงต้นปี 2025 เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีพัฒนาการสำคัญ 2 ประการ คือ 1) การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมของธนาคารกลางสหรัฐฯ และ 2) นโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ที่ชัดเจนขึ้นหลังจาก Donald Trump สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ (รูปที่ 3) ซึ่งจะทำให้ กนง. ประเมินความเสี่ยงด้านลบต่อเศรษฐกิจไทยได้ดีขึ้น พัฒนาการเหล่านี้จะเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งถัดไป            SCB EIC จึงประเมินว่าจะเห็น กนง. ปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งในปีหน้าไปอยู่ที่ 2% ในช่วงต้นปีหน้า เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยที่จะต้องเผชิญกับความเปราะบางจากภายในและความท้าทายจากภายนอกมากขึ้น รูปที่ 1 : สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์หดตัวลงทุกหมวด รูปที่ 2 : มาตรฐานการให้สินเชื่อครัวเรือนปรับเข้มงวดขึ้นต่อเนื่อง รูปที่ 3 : นโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ จะชัดเจนขึ้นในช่วงต้นปีหน้า บทวิเคราะห์โดย นนท์ พฤกษ์ศิริ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส https://www.scbeic.com/th/detail/product/policy-rate-181224

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 40-34.65 บาท/ดอลลาร์ [19/12/2024]

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 40-34.65 บาท/ดอลลาร์ [19/12/2024]

หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets) ค่าเงินบาทประจำวันที่ 19 ธันวาคม 2567 Market update by SCBFM: 19 ธันวาคม 2567 กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 40-34.65 บาท/ดอลลาร์ กนง. คงดอกเบี้ยและยังไม่ส่งสัญญาณว่าจะปรับลดดอกเบี้ยในระยะต่อไป ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะสั้นปรับสูงขึ้นเล็กน้อย และเงินบาทกลับมาแข็งค่าเล็กน้อยในช่วงบ่ายวานนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ย 25 bps มาอยู่ที่ 50% (Upper bound) พร้อมปรับประมาณการดอกเบี้ยในปีหน้า (Dot plot) เป็นมองว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง (จากเดิมที่ 4 ครั้ง) ทำให้ Treasury yields สูงขึ้นเร็ว ดัชนีเงินดอลลาร์แข็งค่า และเงินบาทอ่อนค่าเร็วช่วงข้ามคืน

Private Asset และ Private Infrastructure ทางเลือกการลงทุนที่มั่นคง ตอบโจทย์โลกยุคใหม่

Private Asset และ Private Infrastructure ทางเลือกการลงทุนที่มั่นคง ตอบโจทย์โลกยุคใหม่

          XSpring Asset Management ชวนเปิดมุมมองใหม่สู่การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่มีศักยภาพ ด้วยกองทุน Private Asset และ Private Infrastructure ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในระดับโลก เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ให้ความมั่นคงสูงและสร้างผลตอบแทนระยะยาว           Private Asset และ Private Infrastructure คือการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด เช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ระบบขนส่งมวลชน ถนน ท่าเรือ และดิจิทัลโครงสร้างพื้นฐาน สินทรัพย์ประเภทนี้มีจุดเด่นที่สำคัญ คือ การสร้างรายได้ที่มั่นคงและสม่ำเสมอ แม้ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน อีกทั้งยังช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เนื่องจากค่าบริการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ค่าผ่านทาง ค่าน้ำ หรือค่าไฟ มักปรับตัวตามอัตราเงินเฟ้อ           โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนหรือพลังงานไฟฟ้า เป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ทำให้สินทรัพย์ประเภทนี้มีความต้องการใช้งานต่อเนื่องในทุกสภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ฟาร์มพลังงานหมุนเวียน หรือระบบขนส่งสาธารณะ ยังสนับสนุนเป้าหมายด้าน ESG และช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์           ตัวอย่างที่ชัดเจนของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่มีบทบาทในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งสร้างรายได้จากการจำหน่ายพลังงาน โครงการรถไฟฟ้าหรือทางด่วนที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง และศูนย์ข้อมูล (Data Center) หรือระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่รองรับความต้องการของเศรษฐกิจดิจิทัล           XSpring Asset Management พร้อมช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ได้ ด้วยบริการครบวงจรและทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาในทุกขั้นตอน Private Asset และ Private Infrastructure ไม่ใช่เพียงโอกาสการลงทุน แต่ยังเป็นเส้นทางสู่การสร้างความมั่นคงทางการเงินและการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน           หากคุณกำลังมองหาโอกาสใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งผลตอบแทนและความมั่นคง XSpring Asset Management พร้อมเป็นตัวช่วยสำคัญที่เชื่อมโยงคุณสู่อนาคตการลงทุนที่มั่นคง           XSpring Asset Management ช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ที่มั่นคงเหล่านี้ได้ ด้วยบริการครบวงจรและทีมงานผู้เชี่ยวชาญ พร้อมให้คำปรึกษาในทุกขั้นตอน [PR News]

DSI ปล่อยโดรน

DSI ปล่อยโดรน "Vtol" ตรวจบุกรุกป่าสงวนฯ

          DSI ลงพื้นที่นำอากาศยานไร้คนขับแบบ Vtol ตรวจสอบกรณีมีการร้องเรียนเอกชนถือครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองพระยาอาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย มูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท           ตามที่ พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพันตำรวจตรี จตุพล บงกชมาศ ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ได้มอบหมายและกำชับให้ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 8 เฝ้าระวังอาชญากรรมพิเศษในพื้นที่รับผิดชอบ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา ชุมพร ระนอง นครศรีธรรมราช และจังหวัด สุราษฎร์ธานี โดยเป็นกลุ่มจังหวัดที่เป็นพื้นที่แหล่งทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมาก จึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดอาชญากรรมที่เป็นคดีพิเศษ โดยเฉพาะกรณีเกี่ยวกับการบุกรุกยึดถือแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่รับผิดชอบ นั้น           โดยวานนี้ (วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2567) นายศุภชัย คำคุ้ม ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 8 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 8 และคณะ ได้สนธิกำลังร่วมกับ นายไกรศรี สว่างศรี ผู้อำนวยการส่วนแผนที่และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ กองเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ นำอากาศยานไร้คนขับแบบ Vtol ที่สามารถทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศแบบความละเอียดถูกต้องสูง ร่วมกับระบบ DSI Crime Map ทำการบินสำรวจจัดทำแผนที่เกิดเหตุ บริเวณพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าปลายคลองพระยา ตำบลปลายพระยา อำเภอปลายพระยา จังหวัดกระบี่ ซึ่งมีกรณีกล่าวหาว่า บริษัทแห่งหนึ่ง ได้ถือครองที่ดินตามเอกสารสิทธิ์ที่ดินประเภทหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) จำนวน 21 แปลง เนื้อที่กว่า 766 ไร่ ทับซ้อนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว โดยรับเรื่องเป็นสำนวนสืบสวนที่ 161/2567 ในการลงพื้นที่ มีหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 (สาขากระบี่) ศูนย์ป้องกันและปราบปรามที่ 4 ภาคใต้ เจ้าหน้าที่สำนักพัฒนาที่ดินเขต 11 (สุราษฎร์ธานี) เจ้าหน้าที่สถานีพัฒนาที่ดินกระบี่ เจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดกระบี่ สาขาอ่าวลึก เจ้าหน้าที่ป่าไม้หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กบ.5 (ปลายพระยา) และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ได้แก่ นายอำเภอปลายพระยา และผู้ใหญ่บ้านที่เกี่ยวข้อง ร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วย           จากการตรวจสอบลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าว มีการถือครองที่ดินทับซ้อนกับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติฯ ตามคำร้อง โดยเอกสารสิทธิ์ที่ดิน ที่ใช้อ้างในการครอบครอง ทั้งที่มีขึ้นก่อนและหลังประกาศกำหนดให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ ป่าปลายคลองพระยา ที่ต้องสืบสวนขยายผลการได้มาซึ่งเอกสารดังกล่าวให้ชัดเจน หากเกิดจากเป็นการกระทำที่มิชอบ ย่อมเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 หรืออาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 หรืออาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินและที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 9 ซึ่งมีโทษตามมาตรา 108 ทวิ และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง และจะมีมูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท หลังจากนี้ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 8 จะเร่งรัดการสืบสวนเพื่อพิจารณาตามพระราชบัญญัติการสอบสวนพิเศษ พ.ศ. 2547 หากเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ จะเสนอผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้ทำการสอบสวนเป็นพิเศษโดยเร็ว [PR News]

กนง. มีมติ คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ต่อปี

กนง. มีมติ คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ต่อปี

          หุ้นวิชั่น - นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 18 ธันวาคม 2567 คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.25 ต่อปี           เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันจากภายนอกที่รุนแรงขึ้น และความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะแนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก แต่ยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวปรับดีขึ้น ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังฟื้นตัวได้ช้าโดยเฉพาะกลุ่มที่ถูกกดดันจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง คณะกรรมการฯ เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกับศักยภาพ เงินเฟ้อที่โน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว รวมทั้งรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่ปรับสูงขึ้น           เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 2.7 และ 2.9 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ โดยได้รับแรงสนับสนุนต่อเนื่องจากการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน รวมทั้งการส่งออกสินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์และหมวดเครื่องจักรที่มีแนวโน้มดีขึ้นตามวัฏจักรสินค้าเทคโนโลยี ทั้งนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจมีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน โดยภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวปรับดีขึ้น แต่ SMEs และภาคอุตสาหกรรมบางกลุ่มยังถูกกดดันจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง กลุ่มยานยนต์มีพัฒนาการแย่ลงจากทั้งปัจจัยด้านราคาและอุปสงค์ ส่งผลให้การฟื้นตัวของรายได้ครัวเรือนยังไม่ทั่วถึง มองไปข้างหน้า แนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลักมีความไม่แน่นอนสูง จึงต้องติดตามพัฒนาการของปัจจัยดังกล่าวซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มการส่งออกสินค้าและการลงทุนของไทยในระยะต่อไป           อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 และ 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 0.4 และ 1.1 ตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีทิศทางปรับเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มเศรษฐกิจและการส่งผ่านต้นทุนในหมวดอาหาร โดยคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 0.6 และ 1.0 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย

เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัล “Superbrands Thailand 2024”

เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัล “Superbrands Thailand 2024”

          เมืองไทยประกันชีวิต ประกาศความภาคภูมิใจอีกครั้งด้วยการคว้ารางวัลอันทรงเกียรติ "Superbrands Thailand" ประจำปี 2024 สูงสุด 19 ปีต่อเนื่อง นับเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์แบรนด์ที่แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับในระดับสากล รางวัลดังกล่าวสะท้อนถึงความสำเร็จในด้านความน่าเชื่อถือ ความโดดเด่น และความเป็นที่หนึ่งในใจผู้บริโภคที่บริษัทให้ความสำคัญเสมอมา           นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  “นับเป็นความภาคภูมิใจอีกครั้งของบริษัทฯ ที่ได้รับรางวัล Superbrands Thailand ปี 2024  โดยเป็นองค์กรเพียงแห่งเดียวที่ได้รับรางวัลดังกล่าวต่อเนื่องเป็นปีที่  19  ซึ่งการได้รับรางวัล Superbrands Thailand ไม่เพียงช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ในสายตาผู้บริโภค แต่ยังส่งเสริมความเชื่อมั่นให้กับพันธมิตรทางธุรกิจ อีกทั้งยังสร้างโอกาสใหม่ในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือและความโปร่งใส           ทั้งนี้ รางวัล Superbrands Thailand นี้ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากผู้บริโภคในประเทศไทย รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิในสายงานด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ การประชาสัมพันธ์ สื่อมวลชน และตัวแทนคณะกรรมการอิสระ ผ่านกระบวนการพิจารณาที่ครอบคลุมผลการสำรวจการตลาดจากทั่วประเทศ โดยมีนางสาวนิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนบริษัทฯ เข้ารับรางวัลจากนางสาวแชมเปญ เทียนแขวะ ผู้อำนวยการซูเปอร์แบรนด์ประเทศไทย   โดยงานจัดขึ้น ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ ทรู ดิจิทัล พาร์ค           สำหรับรางวัล Superbrands เป็นรางวัลที่มอบให้แก่บริษัทที่ได้รับคะแนนสูงสุดจากการประเมิน 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่  คุณภาพของแบรนด์ (Brand Quality) ที่เมืองไทยประกันชีวิตได้รับการยอมรับในด้านการให้บริการที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต และการดูแลลูกค้าด้วยความใส่ใจอย่างมืออาชีพ ความน่าเชื่อถือ (Brand Trust) ด้วยประวัติการดำเนินธุรกิจที่ยาวนานกว่า 72 ปี เมืองไทยประกันชีวิตได้สร้างความไว้วางใจในกลุ่มลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การบริหารจัดการด้วยความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคคือหัวใจสำคัญของแบรนด์   และการสร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Distinction)  เมืองไทยประกันชีวิตเป็นที่จดจำในฐานะแบรนด์ที่มุ่งมั่นสร้างความสุขและการดูแลสุขภาพครบวงจรผ่านแนวคิด “Happiness Means Everything” ซึ่งสะท้อนถึงพันธกิจหลักในการยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้า           เมืองไทยประกันชีวิตยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและยกระดับมาตรฐานของแบรนด์เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ พร้อมทั้งส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม ภายใต้พันธกิจหลักในการเป็นคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่ลูกค้าวางใจ ที่พร้อมดูแลและสนับสนุนลูกค้าในทุกช่วงชีวิต           “การได้รับรางวัลนี้ไม่เพียงเป็นเกียรติประวัติแก่บริษัทฯ แต่ยังยืนยันถึงความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ที่บริษัทฯ ยึดมั่นมาโดยตลอด พร้อมทั้งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค พันธมิตรทางธุรกิจและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ด้วยความสำเร็จครั้งนี้ เมืองไทยประกันชีวิตขอขอบคุณลูกค้าและพันธมิตรทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางครั้งสำคัญ และสัญญาว่าจะเดินหน้าสร้างสรรค์สิ่งที่ดีเพื่อลูกค้าต่อไป” นายสาระ กล่าว [PR News]

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.10-34.30 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.10-34.30 บาท/ดอลลาร์

              หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.10-34.30 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าวานนี้ก่อนกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยช่วงข้ามคืน ด้านดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐปรับอ่อนค่าลงหลังเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ออกมาผสม โดยตัวรวมออกมาที่ 7%MOM สูงกว่าตลาดคาด แต่หากหักยอดขายรถออกจะต่ำกว่าตลาดคาด คณะกรรมการธนาคารกลางยุโรป (ECB) พอใจกับมุมมองตลาดที่มองว่า ECB จะลดดอกเบี้ยอีก 4-5 ครั้งในปีหน้า ทำให้ไปใกล้เคียงระดับ Neutral rate วันนี้จับตาผล กนง. โดยตลาดยังคาดว่าจะคงดอกเบี้ย และประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ย 25%

ราคาน้ำมันดิบชะลอ ค่าการกลั่นฟื้นตัว บวกต่อกลุ่มโรงกลั่น โบรกชู SPRC

ราคาน้ำมันดิบชะลอ ค่าการกลั่นฟื้นตัว บวกต่อกลุ่มโรงกลั่น โบรกชู SPRC

                หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ราคาน ้ามันดิบ Brent -0.77%d-d ปิดที่ USD 73.34/barrel น ้ามันดิบ West Texas -0.89%d-d ปิดที่ USD 70.08/barrel ค่าการกลั่นฟื้นตัว วานนี้ค่าการกลั่น ณ โรงกลั่นสิงคโปร์ ปิดล่าสุด 17 ธ.ค. เพิ่มขึ้น 0.95$ (+17%) ปิดที่ระดับ 6.25$/bbl ค่าการกลั่นในช่วงปลาย 3Q24 เฉลี่ยที่ 2-3$/bbl แต่ปัจจุบันเคลื่อนไหวที่ระดับ 5-6.5$/bbl นับเป็นสัญญาณบวกต่อการด าเนินงานปกติของกลุ่มโรงกลั่น Top Pick คือ SPRC

ส่องราคาทองเช้าวันนี้ ปรับขึ้น 50 บาท

ส่องราคาทองเช้าวันนี้ ปรับขึ้น 50 บาท

         หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 18 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 50 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,800.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 42,900.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 42,023.52 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,400.00 บาท

ธอส. ปล่อยสินเชื่อ68 ที่ 2.5 แสนล. ใจป๋า แจกของขวัญปีใหม่1,000 บ.

ธอส. ปล่อยสินเชื่อ68 ที่ 2.5 แสนล. ใจป๋า แจกของขวัญปีใหม่1,000 บ.

          ธอส. ลั่นเป้าปล่อยสินเชื่อปี 68 แตะ 2.5 แสนลบ. ดันโครงการบ้านเพื่อคนไทยเต็มสูบ พร้อมโครงการหนุนสินเชื่อบ้าน 71 ปี-โครงการร่วมประกันสังคม เสริมสิทธิผู้ประกันตน หนุนเติบโต เผยมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” โอกาสดัน NPL ลด ส่วนล่าสุด NPL ลด 4 เดือนติดอยู่ที่ 5.5% มอบของขวัญปีใหม่ 1,000 บาท ให้ลูกค้ากว่า 2.2 แสนราย ผ่านแอปฯ GHB ALL GEN           นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า คาดการณ์ปี 2568 จะปล่อยสินเชื่อใหม่ถึงระดับ 240,000-250,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2567 ที่ธอส.คาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ไม่ต่ำกว่า 230,000 ล้านบาท           โดย 11 เดือน 2567 ธอส. สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้แล้วกว่า 200,000 ล้านบาท จำนวน 155,000 บัญชี ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นสินเชื่อปล่อยใหม่สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท สูงถึง 95,125 ราย สะท้อนว่า ธอส. เป็นธนาคารที่ตอบโจทย์ด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและปานกลางมาอย่างต่อเนื่อง โดยการปล่อยสินเชื่อดังกล่าวยอมรับว่าเป็นตัวเลขที่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยตลาดสินเชื่อผู้อยู่อาศัยโดยรวม ข้อมูลจากศูนย์อสังหาริมทรัพย์ ทั้งระบบมียอดสินเชื่อที่ 600,000 ล้านบาท ลดลง12-14% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ธนาคารระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น           ระดับราคาบ้านที่ 3 ล้านบาท มีหลักเกณฑ์ผ่อนปรน ตามนโยบายรัฐบาลทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น อย่างเช่น ในช่วงต้นปี ธอส.มีออกสินเชื่อโครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home วงเงิน 20,000 ล้านบาท ก็มีความต้องการเต็มวงเงิน และ ขณะนี้ก็มีโครงการ สินเชื่อซื้อ ซ่อม สร้าง แต่งบ้าน วงเงิน 50,000 ล้านบาท สำหรับ การซื้อหรือสร้างบ้าน และอีก 5,000 ล้านบาท สำหรับการซ่อมแซมบ้าน อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 - 5 : อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี           และยังมีโครงการ “สินเชื่อบ้าน 71 ปี ธอส.” อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 0.71% ต่อปี ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับความนิยมมาก โดยมีการเปิดวงเงินสินเชื่อแรกไป 50,000 ล้านบาท ซึ่งมีความต้องการเข้ามาเต็มวงเงิน และมีการเปิดวงเงินอีก 50,000 ล้านบาท โดยมียอดยื่นกู้มาแล้วกว่า 80,000 ล้านบาท และยังมีโครงการ ร่วมกับ สำนักงานประกันสังคมคือ โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน ปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 5 ปีแรก เพียง 1.59% ต่อปี ช่วยเหลือผู้ประกันตนมีบ้านเป็นของตนเอง โดยโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน พ.ศ. 2567 กรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท ให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 33, 39 หรือ 40 ที่ต้องการซื้อ หรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัย ผ่อนคงที่นาน 5 ปี กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเงินงวดเพียง 3,400 บาท เท่านั้น! ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนขอหนังสือรับรองสถานะความเป็นผู้ประกันตนจากสำนักงานประกันสังคม ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ตั้งแต่เปิดโครงการมา มีผู้ประกันตนที่ยื่นจองแล้วกว่า 110,000 ราย           ส่วนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย”มีหลักเกณฑ์ ที่ วงเงินบ้านไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งทำให้ลูกค้าของธนาคารเข้าเกณฑ์ประมาณ 330,000 บัญชี นับเป็นตัวเลขที่เยอะมาก มองว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้ NPL ลดลง และทำให้คาดว่าคุณภาพสินทรัพย์จะดีขึ้น           ภาพรวมเศรษฐกิจปี 2567 ต้องยอมรับว่าอัตราการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 2.6% ส่งผลให้ลูกค้าธนาคารหลายรายได้รับผลกระทบโดยตรง ธนาคารจึงเดินหน้ามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กว่า 170,000 บัญชี ซึ่งสามารถทำให้ 60% ของลูกหนี้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเวลา 4 เดือนติดต่อกัน โดยล่าสุดอยู่ที่ 5.5%           ในมุมมองของปีหน้า การเข้าสู่ทิศทาง "ดอกเบี้ยขาลง" ถือเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีแนวโน้มจะเห็นการเปิดตัวโครงการใหม่มากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงบรรยากาศการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น           และโครงการ บ้านเพื่อคนไทย ผ่อนเริ่มต้น 4,000 ต่อเดือน ระยะเวลา 30 ปี ธนาคารก็จะมีส่วนร่วมในการสนับสนุนโครงการนี้ด้วย           ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ส่งมอบของขวัญปีใหม่ให้ลูกค้าคนไทย โดยมอบสิทธิรับเงิน1,000 บาท สำหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 2 ล้านบาท และมีประวัติการผ่อนชำระต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 48 งวด พร้อมทั้งต้องมีการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน “GHB ALL GEN” อย่างน้อย 2 ครั้ง           ปัจจุบันมีลูกค้าที่เข้าเกณฑ์รับสิทธิ์มากกว่า 220,000 ราย ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญที่ลูกค้าจะได้รับของขวัญสุดพิเศษในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ โดยมาตรการดังกล่าวสะท้อนถึงความตั้งใจของ ธอส. ที่ต้องการสนับสนุนลูกค้าผู้มีวินัยทางการเงินและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อการบริการที่สะดวกยิ่งขึ้น [PR News]

ธอส. หนุนคนไทยมีบ้านส่งท้ายปี จัดงานประมูลขายบ้านมือสอง

ธอส. หนุนคนไทยมีบ้านส่งท้ายปี จัดงานประมูลขายบ้านมือสอง

          ธอส. คัดทรัพย์เด่นทั่วประเทศมาจำหน่ายกว่า 8,000 รายการ ลดราคาสูงสุดถึง 50% วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2567 เวลา 10.00 – 16.00 น.           ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สนับสนุนคนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองส่งท้ายปี 2567 จัดงานประมูลขายบ้านมือสอง ธอส. ประจำปี ครั้งที่ 4/2567 ในวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2567 เวลา 10.00 – 16.00 น. พบกับบ้านมือสอง ธอส. ทำเลดีมากกว่า 8,000 รายการทั่วประเทศ มาประมูลขายในราคาลดพิเศษสูงสุดถึง 50% (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) เปิดประมูลในราคาต่ำสุดเพียง 30,000 บาทเท่านั้น พิเศษ!! ผู้ชนะการประมูลสามารถขอสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด นานสูงสุด 24 เดือน*           ผู้ที่สนใจประมูลทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สามารถร่วมประมูลได้ที่ห้องพิมานมาศ ชั้น 11 อาคารจอดรถ ธอส. สำนักงานใหญ่ ส่วนทรัพย์ในภูมิภาค จัดประมูล ณ สาขาที่ตั้งทรัพย์           นายวิทยา แสนภักดี รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานปรับโครงสร้างหนี้ และรักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบังคับคดี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” โดยตลอดระยะเวลากว่า 71 ปี ได้ทำให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 4.6 ล้านครอบครัว พร้อมสนับสนุนให้คนไทยมีบ้านเป็นของตนเองส่งท้ายปี 2567 ด้วยการจัดงานประมูลขายบ้านมือสอง ธอส. ประจำปี ครั้งที่ 4/2567 ในวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2567 พร้อมกันทั่วประเทศ ระหว่างเวลา 10.00 - 16.00 น. โดยคัดบ้านมือสองคุณภาพดี ทำเลเด่นทั่วประเทศ จำนวนมากกว่า 8,000 รายการ ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า มาเปิดประมูลในราคาพิเศษด้วยส่วนลดสูงสุดถึง 50% จากราคาประเมิน           แบ่งเป็นทรัพย์ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 1,200 รายการ ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 85,000 บาท ได้แก่ ทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม ชั้นที่ 4 จาก 4 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 27.85 ตารางเมตร โครงการมีทรัพย์เรซิเดนซ์ 2 เขตหนองแขม กรุงเทพฯ ขณะที่ทรัพย์เด่นที่มีราคาเริ่มต้นประมูลสูงสุด ได้แก่ ทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่าพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ขนาดเนื้อที่ 1,762.30 ตารางวา ในโครงการศรีธราวรรณ เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร มีราคาเริ่มต้นประมูลอยู่ที่ 48 ล้านบาท ซึ่งเป็นทรัพย์ที่เหมาะสมแก่การลงทุน เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ชุมชนและมีเส้นทางคมนาคมสะดวก           ส่วนทรัพย์ในภูมิภาคนำออกประมูลมากกว่า 7,000 รายการ โดยมีราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 30,000 บาทเท่านั้น ได้แก่ ทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า ขนาดเนื้อที่ 100 ตารางวา ในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ขณะที่ทรัพย์เด่นที่มีราคาเริ่มต้นประมูลสูงสุด ได้แก่ ทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 2,058.40 ตารางวา ในอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี มีราคาเริ่มต้นประมูล 6,930,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ที่มีขนาดกว้างขวาง เหมาะแก่การทำที่พักเพื่อการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ           ผู้ชนะการประมูลในครั้งนี้จะต้องวางเงินประกันการซื้อทรัพย์ตามจำนวนเงินที่ธนาคารกำหนดและทำสัญญาจะซื้อจะขายภายใน 5 วันทำการ นับถัดจากวันที่จัดประมูล และยังสามารถใช้ “ผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับทรัพย์ NPA” อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นานสูงสุด 24 เดือน* (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) และสามารถเข้าอยู่อาศัยได้ในระหว่างผ่อนดาวน์เพียงชำระเงินประกันการเข้าอยู่อาศัยไม่ต่ำกว่า 1.5% ของราคาประมูลได้อีกด้วย           สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลบ้านมือสอง ธอส. สามารถร่วมประมูลได้ในวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2567 พร้อมกันทั่วประเทศ ระหว่างเวลา 10.00 - 16.00 น. โดยผู้ชนะการประมูลต้องวางเงินประกันการซื้อทรัพย์ 10,000 บาททุกรายการ ยกเว้นทรัพย์ที่มีราคาประมูลตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ต้องวางเงินประกันซื้อทรัพย์ 100,000 บาท           ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจประมูลทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สามารถร่วมประมูลได้ที่ห้องพิมานมาศ ชั้น 11 อาคารจอดรถ ธอส. สำนักงานใหญ่ ส่วนทรัพย์ในภูมิภาค จัดประมูล ณ สาขาที่ตั้งทรัพย์ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานประมูลได้ตั้งแต่เวลา 08.00 น. และเริ่มประมูลตั้งแต่เวลา 10.00 น. โดยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ G H Bank Call Center โทร. 0-2645-9000 กด 5 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือดูข้อมูลบ้านมือสอง ธอส. ได้ที่ www.ghbhomecenter.com และ Mobile Application : GHB ALL HOME

เคทีซี x สภาพัฒน์ฯ ชี้เศรษฐกิจปี 2568 โอกาสเติบโตท่ามกลางความท้าทาย ในอุตสาหกรรมสินเชื่อผู้บริโภค

เคทีซี x สภาพัฒน์ฯ ชี้เศรษฐกิจปี 2568 โอกาสเติบโตท่ามกลางความท้าทาย ในอุตสาหกรรมสินเชื่อผู้บริโภค

           เคทีซีเปิดเวทีเสวนา KTC FIT Talk 13 "โฟกัสเศรษฐกิจปี 2568: โอกาสและความท้าทาย" นำเสนอข้อมูลแนวโน้มเศรษฐกิจ การรับมือความผันผวนและปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจเกิดขึ้นในปี 2568 ชี้อุตสาหกรรมสินเชื่อผู้บริโภคมีโอกาสเติบโตท่ามกลางความท้าทาย โดยมีดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายอภิเชษฐ์ เกียรติวรคุณ ผู้อำนวยการ - การเงิน “เคทีซี” ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง ณ “เคทีซี” อาคารยูบีซี 2            ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผยถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยว่า “เศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ประมาณ 2.7% โดยไตรมาส 4/2567 จีดีพีจะขยายตัวได้ 4% จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และการขยายตัวของการส่งออก แต่ในปี 2568 นั้น ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่า จีดีพีจะขยายตัว 2.9% แต่แนวโน้มยังคงมีความไม่แน่นอนสูง โดยมีความเสี่ยงที่โน้มเอียงไปในทิศทางขาลง ซึ่งทางไอเอ็มเอฟคงจะนึกถึงการชนะการเลือกตั้งของประธานาธิบดีทรัมป์ และความเสี่ยงของภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้นหากมองไปในปี 2568 จะมี 4 ปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้คือ การส่งออกสินค้าซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ50% ของจีดีพี โดยการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ เท่ากับเกือบ 10% ของจีดีพี จะมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโอกาสที่มีผลกระทบทางลบหรือความเสียหาย (downside risk) มาก และตลาดยุโรปกับจีนก็ดูจะไม่แข็งแรง การท่องเที่ยวคงจะฟื้นตัวต่อไป คือจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในปี2568 น่าจะกลับไปที่ 40 ล้านคน เท่ากับปริมาณก่อนการระบาดของโควิด 19 แต่รายจ่ายต่อหัวจะยังต่ำกว่า แรงกระตุ้นจากภาครัฐคงจะมีต่อเนื่องถึงประมาณกลางปีหน้า จากการแจกเงินก้อนสุดท้าย และการเร่งใช้งบลงทุน แต่การที่รัฐมนตรีคลังพูดถึงการเก็บภาษีเพิ่ม แปลว่า นโยบายการคลังน่าจะตึงตัวขึ้น นโยบายการเงินนั้น ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง2 ครั้งในปี 2568 เพราะเงินเฟ้อต่ำมาก แต่ในขณะเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ยังคงจะส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อใหม่ และธนาคารพาณิชย์เองก็คงจะต้องใช้เวลากับการแก้หนี้เสียที่ยังหลงเหลืออยู่ไม่น้อย ดังนั้น แนวโน้มของการลดลงของสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ (debt deleveraging) ก็จะยังดำเนินต่อไปในปี 2568            อย่างไรก็ตาม หากธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนคลายนโยบายการเงินเชื่องช้าเกินไป ผลที่จะตามมาคือ กำลังซื้อในประเทศจะไม่แข็งแรงและเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไปอีกได้”   นายอภิเชษฐ์ เกียรติวรคุณ  ผู้อำนวยการ - การเงิน “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยว่า “เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตร้อยละ 2.9 ในปี 2568 ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก โดยเฉพาะประเด็นการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตและการส่งออกในภูมิภาค การที่สหรัฐฯ อาจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมอีกร้อยละ 60 และขึ้นภาษีทั่วไปร้อยละ 10 สำหรับประเทศอื่นๆ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ไทยมีโอกาสได้รับประโยชน์ในระยะสั้น จากการย้ายฐานการผลิตของจีนมายังอาเซียน (China+1) แม้ว่าในระยะยาวอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดส่งออก จุดแข็งสูงสุดของการเติบโตคาดว่าจะอยู่ในช่วงไตรมาส 4/2567 และไตรมาส 1/2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.50-2.00 สอดคล้องกับทิศทางทั่วโลก เนื่องจากเงินเฟ้อที่ชะลอตัวและราคาพลังงานที่คาดว่าจะปรับลดลง การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลยังคงมีแนวโน้มเข้ามาต่อเนื่อง โดยมีอาเซียนเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญ รวมถึงการใช้จ่ายภาครัฐที่คาดว่าแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรกของ 2568            ภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น ได้แก่ ธุรกิจร้านอาหารและโรงแรม บริการสุขภาพที่ได้ประโยชน์จากสังคมผู้สูงอายุ และสถาบันการเงินที่มีการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินและปรับตัวสู่ดิจิทัล โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ลูกค้าบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสำเร็จในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่การผลิตโลก ควบคู่ไปกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว            อุตสาหกรรมสินเชื่อผู้บริโภคมีโอกาสเติบโตจากเศรษฐกิจที่จะเร่งตัวขึ้น และต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ซึ่งเอื้อให้สถาบันการเงินสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้มากขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้จะช่วยขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ความ ท้าทายสำคัญยังคงเป็นเรื่องหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งต้องมีการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม รวมถึงการปรับตัวต่อกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นและการแข่งขันจากผู้ให้บริการเดิมและผู้เล่นใหม่ โดยเคทีซีพร้อมที่จะเสนอผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตที่ปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย            ทิศทางธุรกิจเคทีซีในปี 2568 จะนำพาองค์กรสู่องค์กรดิจิทัลอย่างยั่งยืนด้วย 3 องค์ประกอบ คน ระบบและเทคโนโลยี เราเชื่อมั่นว่าการทำความเข้าใจแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต และการวางแผนกลยุทธ์ที่รอบคอบ จะช่วยให้เคทีซีสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุคที่โลกเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เรามุ่งมั่นสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยบริการทางการเงินที่ทันสมัยและครบวงจร พร้อมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการขยายผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงิน และขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดสินเชื่อผู้บริโภคและสนับสนุนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2568 และต่อไปในอนาคต”            ผลการดำเนินงานในปี 2567 เคทีซีทำกำไรสุทธิ 5,549 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรก และคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายกำไรสุทธิ 7,295 ล้านบาทในสิ้นปี สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้ากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยพอร์ตสินเชื่อรวมคาดว่าจะเติบโตในอัตรา 4-5% พร้อมรักษาคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อให้มีอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL (Non-Performing Loan) ไม่เกิน 2.0% เคทีซียังวางแผนเพิ่มยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 10% โดยใช้กลยุทธ์สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า และขยายผลิตภัณฑ์บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” (KTC PROUD) เติบโต 3% และยอดลูกหนี้ใหม่ของสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เท่ากับ 3,000 ล้านบาท ด้วยโซลูชันการเงินเฉพาะบุคคลที่    ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

ttb นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายของปี

ttb นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายของปี

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ, 17 ธันวาคม 2567 – ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้าที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์สำหรับลดหย่อนภาษีในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 นี้ แคมเปญ “เซฟภาษี แบบคุ้มเวอร์ที่ ทีทีบี กับประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4  ซื้อผ่าน แอป ทีทีบี ทัช อีกทางเลือกสำหรับลูกค้ากลุ่มคนวัยทำงานที่มองหาผลิตภัณฑ์เพื่อลดหย่อนภาษี จ่ายค่าเบี้ยฯ สั้น 4 ปี คุ้มครองยาว 10 ปี รับเงินคืนทุกปี ปีละ 4% ของทุนประกันภัย ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 1-9 และเมื่อครบสัญญาปีที่ 10 รับเงินก้อนโตอีก 404% ของเงินทุนประกันภัย รวมผลประโยชน์ทั้งหมดตลอดสัญญา 440% ของเงินทุนประกันภัย เพื่อลดหย่อนภาษี ได้ทั้งความคุ้มครอง ได้ทั้งลดหย่อนภาษี พร้อมรับโปรโมชันสุดพิเศษ           ทีทีบี ส่งมอบความคุ้มค่าส่งท้ายปีกับแคมเปญ “เซฟภาษี แบบคุ้มเวอร์ที่ ทีทีบี” กับประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4 อีกทางเลือกสำหรับลูกค้าที่มองหาผลิตภัณฑ์เพื่อลดหย่อนภาษี จ่ายค่าเบี้ยฯ สั้น 4 ปี คุ้มครองยาว 10 ปี รับเงินคืนทุกปี ปีละ 4% ของทุนประกันภัย ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 1-9 สามารถนำค่าเบี้ยประกันภัยไปใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ต่อปี (เงื่อนไขเป็นไปตามเกณฑ์กรมสรรพากร) พร้อมรับเงินก้อนกรณีเสียชีวิตสูงสุดถึง 404% ของทุนประกันภัย โดยมีโปรโมชันสุดพิเศษมอบตามค่าเบี้ยประกันภัย  พร้อมเพิ่มความคุ้มค่าพิเศษ เพียงซื้อ 2 ความคุ้มครองคู่ ได้แก่ ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4 และ ประกันมะเร็ง รับเงินก้อน ทุกระยะ ( ttb all stage cancer ) ผ่าน แอป ทีทีบี ทัช ภายในเดือนเดียวกัน และสมัครหักชำระค่าเบี้ยฯ อัตโนมัติปีถัดไป รับเงินคืน 25% ของค่าเบี้ยประกันมะเร็ง รับเงินก้อน ทุกระยะ ปีแรก           สำหรับลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4 โดยชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบรายปี ปีแรก ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2567 – 31 ธันวาคม 2567 และมียอดชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต ผ่านแอป ทีทีบี ทัช ตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป โดยกรมธรรม์ต้องได้รับการอนุมัติภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 และพ้นระยะเวลาใช้สิทธิ์ยกเลิกกรมธรรม์ (Free-look period) และมีผลบังคับจนถึงวันที่ธนาคารจัดส่งของสมนาคุณ           รายละเอียดเพิ่มเติมทาง https://www.ttbbank.com/link/10-4-pr-pro           นอกจากประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4 ที่ซื้อผ่าน แอป ทีทีบี ทัชแล้ว ยังมีประกันอื่น ๆ เพื่อลดหย่อนภาษี ได้ทั้งความคุ้มครอง ได้ทั้งลดหย่อนภาษี พร้อมรับโปรโมชันพิเศษ รับเงินคืนสูงสุด 31% เพียงซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ประกันชีวิตสะสมทรัพย์เพื่อออมทรัพย์ หรือประกันชีวิตเพื่อการเกษียณ ที่ร่วมรายการที่ ทีทีบี ทุกสาขา           สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://www.ttbbank.com/link/tax-pro -  เงื่อนไขโปรโมชันเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด และไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อกำหนดในกรมธรรม์ -  ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไขและข้อยกเว้น ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง -  รับประกันชีวิตโดย บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิต รับผิดชอบในฐานะนายหน้าเท่านั้น [PR News]

ในวันที่กระเป๋าแบน ชาวไทยเที่ยวอย่างไร?

ในวันที่กระเป๋าแบน ชาวไทยเที่ยวอย่างไร?

         หุ้นวิชั่น - ชาวไทยยังคงพร้อมเที่ยวต่อในปีหน้าแต่มีแนวโน้มลดการใช้จ่ายลง จากภาวะเศรษฐกิจไทยที่เติบโตชะลอตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวต่างประเทศที่จะลดลงมากกว่าการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งแนวโน้มการลดค่าใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวนี้ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการใช้จ่ายด้านอื่น ๆ อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยวยังคงเป็นหนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตที่ชาวไทยให้ความสำคัญ จากสัดส่วนผู้ที่จะเลิกใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในประเทศมีเพียง 9% ซึ่งต่ำกว่าการเลิกใช้จ่ายในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า          SCB EIC ได้สำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคชาวไทยเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยว พบว่า แม้นักท่องเที่ยวไทยจะได้รับแรงกดดันด้านกำลังซื้อเพิ่มขึ้น แต่กลุ่มผู้มีสถานะการเงินที่มั่นคงยังมีแนวโน้มใช้จ่ายในการท่องเที่ยวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ไม่มีภาระหนี้ กลุ่มรายได้ดี และโดยเฉพาะกลุ่มที่คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นก็ยิ่งมีแนวโน้มใช้จ่ายในการท่องเที่ยวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่กลุ่มผู้มีสถานะการเงินเปราะบางมากกว่าครึ่งหนึ่งมีแนวโน้มท่องเที่ยวลดลงหรือยกเลิกแผนเที่ยว ทั้งนี้การใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่ สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศจะอยู่ที่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคนต่อวัน และการใช้จ่ายเฉลี่ย สำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศจะอยู่ที่ขั้นต่ำ 10,000 บาทต่อคนต่อวัน โดยนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQIA+ และกลุ่มวัยทำงานเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่างประเทศสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ          ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงกดดันการใช้จ่ายของชาวไทย 4 วิธีที่นักท่องเที่ยวไทยเลือกใช้ในการปรับตัวด้านการท่องเที่ยวเรียงตามลำดับได้ดังต่อไปนี้ 1. วิธีลดความถี่ในการท่องเที่ยว 2. วิธีลดช็อปปิงสินค้า 3. วิธีเลือกที่พักที่ราคาประหยัดมากขึ้น และ 4. วิธีชะลอแผนการท่องเที่ยว โดยกลุ่มผู้ที่เผชิญภาวะรายได้ไม่พอจ่ายจะมีการปรับพฤติกรรมการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก โดยผู้มีปัญหาทางการเงินบ่อยครั้งจะเลือกชะลอแผนการท่องเที่ยวมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ส่วนผู้มีปัญหาเป็นบางครั้งจะเลือกลดความถี่ในการท่องเที่ยวแทน นอกจากนี้ ช่วงอายุที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อการปรับตัวที่แตกต่างกันด้วย โดยกลุ่มวัยรุ่น/วัยเริ่มทำงานกับกลุ่มผู้สูงวัย จะพยายามคงแผนท่องเที่ยวเดิมแต่จะเลือกปรับพฤติกรรมการเที่ยวแทน เช่น กลุ่มวัยรุ่น/วัยเริ่มทำงานจะยอมลดความสะดวกสบายในระหว่างท่องเที่ยวด้วยการลดค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ ทั้งการเลือกที่พักราคาสบายกระเป๋าและการประหยัดค่าอาหาร ส่วนกลุ่มผู้สูงวัยจะเลือกปรับตัวด้วยการเปลี่ยนแผนมาเที่ยวในประเทศมากขึ้นหรือใช้บริการกรุ๊ปทัวร์เพื่อลดค่าใช้จ่าย ขณะที่กลุ่มวัยทำงานซึ่งเป็นกลุ่มที่มีภาระค่าใช้จ่ายสูงจะเลือกชะลอแผนการท่องเที่ยวออกไปมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ          การเจาะกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวกำลังซื้อค่อนข้างดี การเพิ่มความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการท่องเที่ยวให้ตรงจุดกับนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มตามช่วงวัย และการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายของธุรกิจ เป็น 3 กลยุทธ์สำคัญที่ธุรกิจด้านการท่องเที่ยวอาจนำมาพิจารณาเพื่อตอบโจทย์การปรับตัวของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไทยในภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความเปราะบางสูง โดยกลยุทธ์แรก : การเจาะกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวกำลังซื้อดี แม้นักท่องเที่ยวไทยโดยรวมจะมีแนวโน้มลดการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวลง แต่กลุ่มผู้มีรายได้ค่อนข้างดีหรือผู้ที่คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นกลุ่มที่จะยิ่งใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวมากขึ้นทั้งการท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ จึงทำให้ตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ยังคงเติบโตได้ค่อนข้างดีต่อเนื่อง กลยุทธ์ที่ 2 : การเพิ่มความคุ้มค่าให้ตรงกับนักท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่ม ด้วยพฤติกรรมการปรับตัวของนักท่องเที่ยวที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย ดังนั้น การนำเสนอบริการที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายในแต่ละกลุ่มจะช่วยดึงดูดได้อย่างตรงจุด เช่น การดึงดูดนักท่องเที่ยววัยรุ่น/วัยเริ่มทำงานด้วยการนำเสนอกิจกรรมที่น่าสนใจและเหมาะกับการสร้างคอนเทนต์ ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงวัยที่เน้นความสะดวกสบายควรใช้วิธีเพิ่มความคุ้มค่าจากบริการพิเศษที่เหมาะสมแทน เช่น การบริการขนมหวาน การเข้าชมการแสดงโชว์ หรือคลาสออกกำลังกาย แต่สำหรับกลุ่มวัยทำงานซึ่งยังมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมาก การเลือกวิธีจัดทำโปรโมชันลดราคาจึงเป็นแนวทางที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ดีกว่าวิธีอื่น และกลยุทธ์ที่ 3 : การบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายของธุรกิจ จากกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวไทยที่ลดลง ทำให้ภาคธุรกิจต้องบริหารจัดการต้นทุนเพื่อนำเสนอแพ็กเกจราคาประหยัดให้กับนักท่องเที่ยวได้ ซึ่งการบริหารจัดการต้นทุนสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้อย่าง AI, Automation ในการบริการลูกค้าและบริหารจัดการโรงแรม รวมถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับธุรกิจในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานจาก Solar cell, การใช้รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น อ่านต่อรายงานฉบับเต็มได้ที่... https://www.scbeic.com/th/detail/product/tourism-survey-091224 ผู้เขียนบทวิเคราะห์ : ปุญญภพ ตันติปิฎก นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)

แนวโน้มสถานการณ์ตลาดน้ำมัน 16 - 20 ธ.ค. 67

แนวโน้มสถานการณ์ตลาดน้ำมัน 16 - 20 ธ.ค. 67

          หุ้นวิชั่น - สถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 9 – 13 ธ.ค. 67 และแนวโน้มสัปดาห์วันที่ 16 – 20 ธ.ค. 67           ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 1 เดือน หลังยุโรปออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม และจีนมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568 สำนักข่าว Reuters รายงานรัฐบาลจีนกล่าวในที่ประชุมร่วมคณะรัฐมนตรีในการประชุม Central Economic Work Conference (CEWC) ว่ามีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568 โดยใช้แนวนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายแบบปานกลาง โดยจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และลดสัดส่วนสำรองเงินฝากขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์ (Reserve Requirement Ratio: RRR) ในเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้ รัฐบาลจีนจะกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ หลังประสบปัญหาเศรษฐกิจซบเซา และสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ แต่ยังไม่ระบุรายละเอียด สหภาพยุโรปบรรลุข้อตกลงมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย รอบที่ 15 โดยมุ่งเป้าไปที่เรือบรรทุกน้ำมันที่ขนส่งน้ำมันของรัสเซียและบริษัทจีนที่ผลิตโดรนให้กับรัสเซีย โดยจะมีผลบังคับใช้หลังได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของสหภาพยุโรป (EU Foreign Affairs Council: FAC) หน่วยงานศุลกากรของจีน (General Administration of Customs: GAC) รายงานปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบในเดือน พ.ย. 67 เพิ่มขึ้น 14.3% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 11.86 MMBD เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน แตะระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน IEA คาดการณ์ว่าหากสมาชิกกลุ่ม OPEC+ 8 ประเทศ เพิ่มการผลิตน้ำมันดิบปริมาณ 138,000 บาร์เรลต่อวัน/เดือน ตั้งแต่ เม.ย. 68 - ก.ย. 69 จะส่งผลให้อุปทานน้ำมันโลกในปี 2568 มากกว่าอุปสงค์ (Surplus) อยู่ที่ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน (หาก OPEC+ ไม่ปรับเพิ่มตามแผนจะ Surplus อยู่ที่ 950,000 บาร์เรลต่อวัน) กลุ่ม OPEC ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2567 ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 5 โดยรายงานฉบับเดือน ธ.ค. 67 ของ OPEC คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกปี 2568 เพิ่มขึ้น 45 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 105.78 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ลดลงจากครั้งก่อน 0.30 ล้านบาร์เรลต่อวัน) เนื่องจากอุปสงค์ของอเมริกาเหนือ อินเดีย และตะวันออกกลางมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่เคยคาดการณ์ ที่มา ฝ่ายสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

“พลังงาน” จับมือ “อุตสาหกรรม” เร่งปลดล็อกอนุมัติไฟฟ้า หนุนเชื้อเพลิงชีวภาพ

“พลังงาน” จับมือ “อุตสาหกรรม” เร่งปลดล็อกอนุมัติไฟฟ้า หนุนเชื้อเพลิงชีวภาพ

          หุ้นวิชั่น - “พลังงาน” เดินเกมรุกจับมือ “อุตสาหกรรม” เร่งปลดล็อกการอนุมัติด้านไฟฟ้าให้เร็วขึ้น หนุนใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในอุตสาหกรรม S-Curve พร้อมผลักดันการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน มุ่งลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และเพิ่มศักยภาพธุรกิจไทยอย่างเป็นรูปธรรม           เปิดมิติใหม่ของการบูรณาการงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งปลดล็อกลดขั้นตอนขออนุญาตด้านไฟฟ้ายกระดับสู่ One Stop Service ชูแนวทางผลักดันเชื้อเพลิงชีวภาพไปสู่อุตสาหกรรมเพิ่มมูลค่ารองรับการยกเลิกอุดหนุน และร่วมผลักดันกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมัน คิดไกลดูแลเทคโนโลยีพลังงานตั้งแต่ผลิตถึงการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั้งแผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ที่หมดอายุ นำระบบ Big Data ยกระดับการอนุรักษ์พลังงาน พร้อมประสานพลังพลิกโฉมภาคอุตสาหกรรมรองรับพลังงานไฮโดรเจนและการลงทุนจากต่างประเทศ           วันนี้ (16 ธันวาคม 2567) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งนำโดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมผู้บริหารระดับสูงทั้ง 2 กระทรวง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายสำคัญระหว่างกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน ได้แก่ ประเด็นการดำเนินการ One Stop Service การอนุมัติ/อนุญาตด้านไฟฟ้า เพื่อลดขั้นตอนกระบวนการและระยะเวลาการอนุมัติ/อนุญาตด้านไฟฟ้าให้ผู้ประกอบการมีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากขึ้น ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการยกเลิกขั้นตอนขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4 ลำดับที่ 88) จาก พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 แล้ว โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างยกร่างกฎหมายว่าด้วยการยกเลิกใบอนุญาต รง.4 ดังกล่าว รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์สำหรับภาคประชาชนที่กระทรวงพลังงานเตรียมส่งเสริมในปีหน้า เพื่อลดขั้นตอนและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น           ประชุมยังมีการหารือประเด็นการส่งเสริมการใช้ประโยชน์เชื้อเพลิงชีวภาพในอุตสาหกรรม S-Curve เพื่อเพิ่มมูลค่า เนื่องจากมาตรการชดเชยราคาเชื้อเพลิงชีวภาพจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2569 ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นต้นทางของเอทานอลจะได้รับผลกระทบ กระทรวงพลังงานจึงเตรียมมาตรการเพื่อส่งเสริมการใช้ทดแทนเอทานอลในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมยา เครื่องสำอาง การสกัดสมุนไพร สุราสามทับ พลาสติกชีวภาพ หรือการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง คาดว่าจะสามารถผลักดันให้สามารถจำหน่ายเอทานอลไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นเพื่อชดเชยบางส่วนได้ในทันที ส่วนปริมาณที่เหลือจะหารือเพื่อลดผลกระทบต่อเกษตรกรและเป็นการเพิ่มมูลค่าให้เอทานอลมากขึ้นต่อไป           ในส่วนของไบโอดีเซล จะร่วมกันผลักดันกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมัน เพื่อสร้างกรอบในการกำหนดทิศทางการใช้ประโยชน์ของปาล์มน้ำมัน พร้อมไปกับการเพิ่มโอกาสนำเชื้อเพลิงชีวภาพให้สามารถผ่านเกณฑ์ความยั่งยืนของสากลเพื่อนำไปผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) รองรับ ความต้องการที่สูงขึ้นในอนาคต           นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือแนวทางการรับซื้อใบอ้อย/ยอดอ้อยเพื่อผลิตไฟฟ้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นหนึ่งในการแก้ปัญหาที่ประชาชนต้องเผชิญอย่างต่อเนื่องในฤดูเก็บเกี่ยวอ้อย โดยข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) พบว่า โรงไฟฟ้าชีวมวลสามารถรองรับการใช้ใบอ้อย/ยอดอ้อยในสัดส่วน 10 - 30% พร้อมร่วมพิจารณาการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่เหมาะสมโดยไม่กระทบค่าไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศ ซึ่งกระทรวงพลังงานประเมินอัตรารับซื้อโรงไฟฟ้าชีวมวลจากใบอ้อย/ยอดอ้อยอยู่ในระดับ 2.67 บาท/หน่วย ด้านกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมรับข้อเสนอและคาดว่าในปีหน้าจะสามารถเพิ่มปริมาณการใช้ใบอ้อยในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นหลังจากดำเนินนโยบายการรับซื้อในราคาที่จูงใจ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ลดการเผาแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งในการลดฝุ่น PM2.5 ได้อีกด้วย           รวมทั้งประเด็นหารือความร่วมมือแนวทางการจัดการแผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ที่หมดอายุใช้งาน ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วจากการใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนผ่านพลังงาน ซึ่งทั้งสองกระทรวงเล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงขอความร่วมมือจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กำกับคุณภาพและความปลอดภัยของแผงโซลาร์เซลล์ และให้ทบทวนมาตรฐานแผงโซลาร์เซลล์ โดยเพิ่มเติมแนวทางการบริหารจัดการแผงโซลาร์เซลล์ให้ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจัดการแผงที่หมดอายุใช้งานทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน รวมทั้งกระทรวงอุตสาหกรรมจะมีการร่างกฎหมายและจัดตั้งกองทุนเพื่อบริหารจัดการสำหรับแก้ไขปัญหาและชดเชยให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากแผงโซลาร์เซลล์ ทั้งนี้กระทรวงพลังงาน โดยสำนักงาน กกพ. มีฐานข้อมูล ปริมาณการติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่ผลิตไฟฟ้าทั้งในระบบและนอกระบบที่สามารถนำไปประเมินปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์จากแผงโซลาร์เซลล์ที่หมดอายุในอนาคตได้ รวมทั้งจะร่วมมือพัฒนาส่งเสริมการนำแบตเตอรี่จากยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) มาใช้งานเป็น 2nd Life Battery คือนำไปใช้งานร่วมกับแหล่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน หรือเป็นระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) สำหรับบ้าน อาคาร โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ในด้านประเด็นการส่งเสริมการใช้ไฮโดรเจนในภาคอุตสาหกรรมนั้น ตามแผนการพัฒนาการผลิตและการใช้ไฮโดรเจนในภาคพลังงาน ซึ่งเชื่อมโยงกับร่างแผน PDP2024 มีการกำหนดสัดส่วนผสมไฮโดรเจนกับก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้าในสัดส่วนร้อยละ 5 ภายในปี 2573 เพื่อลดการปล่อย           ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในภาคพลังงาน โดยขอความร่วมมือจากกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกันเตรียมการให้โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงพิจารณาแนวทางการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และเครื่องจักร รองรับการใช้เชื้อเพลิงผสมดังกล่าว โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมตามแนวท่อก๊าซธรรมชาติ โดยทางสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้นี้ เพื่อประเมินความคุ้มค่าทางการเงินและเศรษฐศาสตร์สำหรับการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์           นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือถึงการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในภาคอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) อยู่ระหว่างผลักดันการใช้ Factory Energy Code ในภาคอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก ผ่านการดำเนินนโยบาย BCG พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลโรงงาน เครื่องจักรของอุตสาหกรรม และข้อมูลการใช้พลังงานในโรงงานควบคุมและนอกข่ายควบคุม           “ผมถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้กำกับดูแลทั้งกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งโดยเนื้อหาของงานทั้งในภาคนโยบายและภาคปฏิบัติมีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงกันอย่างมาก การได้หารือร่วมกับหน่วยงานกระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมท่าน เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นมิติใหม่ที่จะสร้างความร่วมมือให้ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งเป้าหมายที่สำคัญคือการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานทั้งภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรมที่ส่งผลโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน รวมทั้งสร้างความชัดเจนในการพลิกโฉมการบริหารจัดการพลังงานสะอาดและการอนุรักษ์พลังงานในภาคอุตสาหกรรมด้วยมาตรการที่เป็นรูปธรรม ช่วยนำประเทศเข้าใกล้เป้าหมายที่ประกาศจะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2065” นายพีระพันธุ์ กล่าว           ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ กล่าวว่า “รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมได้ทำงานกันอย่างใกล้ชิด โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ตั้งเป้าที่จะให้ภาคอุตสาหกรรมดัน GDP ของไทยให้เพิ่มขึ้น 1% โดยที่ไม่ต้องใช้งบประมาณ เน้นการเพิ่มมูลค่าในด้านการผลิต ด้านการเกษตร และผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อในการเกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ที่สำคัญจะต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมแบบมีความรับผิดชอบ และพร้อมที่จะส่งเสริมธุรกิจใหม่อย่างการนำขยะมาสร้างมูลค่า ซึ่งก็ต้องใช้กฎหมายเข้ามาเป็นตัวช่วยผู้ประกอบการไทย ซึ่งจะพยายามดำเนินการให้เสร็จให้เร็วที่สุด”

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 95-34.20 บาท/ดอลลาร์ [17/12/2024]

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 95-34.20 บาท/ดอลลาร์ [17/12/2024]

หุ้นวิชั่น -กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets) ค่าเงินบาทประจำวันที่ 17 ธันวาคม 2567 Market update by SCBFM: 17 ธันวาคม 2567 กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 95-34.20 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าเล็กน้อยจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่กลับมาอ่อนค่าหลังเลข PMI ภาคการผลิตออกมาที่ 48.3 ต่ำกว่าคาด แต่ PMI ภาคบริการออกมาที่ 58.5 สูงกว่าคาด ดัชนี PMI ตัวรวมของยุโรปออกมาที่ 49.5 ปรับดีขึ้นกว่าเดือนก่อน โดยเป็นผลจากภาคบริการที่ดีกว่าคาด ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) มองเศรษฐกิจยุโรปปีหน้าขยายตัว 1.1% นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวสนับสนุนให้ กนง. ลดดอกเบี้ยเนื่องจากเงินเฟ้อล่าสุดยังอยู่ต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายที่ 1%

ราคาน้ำมันดิบชะลอ ตัวเลขเศรษฐกิจจีนฉุด ค้าปลีกต่ำคาด

ราคาน้ำมันดิบชะลอ ตัวเลขเศรษฐกิจจีนฉุด ค้าปลีกต่ำคาด

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ราคาน้ำมันดิบชะลอการขึ้น Brent -0.78%d-d ปิดที่ USD 73.91/barrel, น้ำมันดิบ West Texas -0.81%d-d ปิดที่ USD 70.71/barrel แรงกดดันมาจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนเมื่อวานออกมาอ่อนตัว คือยอดค้าปลีกจีนต่ำคาด

Bitcoinขึ้นต่อ 3.15%  คาด BTC, JTS, TTA รับอานิสงส์

Bitcoinขึ้นต่อ 3.15% คาด BTC, JTS, TTA รับอานิสงส์

หุ้นวิชั่น -  ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ราคาบิทคอยยังแรับขึ้นต่อ 3.15% d-d ปิดที่ 106075.03 USD ท าระดับ All time high ประเมินแนวต้านระยะสั้นคือ 107,481 $ และเป้าระยะกลาง คือ 129,687$ แรงหนุนจาก Nasdaq ประกาศว่าจะนำหุ้นของ Microstrategy เข้ารวมในการค านวณดัชนีNasdaq-100 โดยมีผลบังคับใน 23 ธ.ค. มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยง Crypto อาทิ BTC, JTS, TTA แนะนำเพีย Trading

กฟผ. แจกของขวัญปีใหม่ 2568 ส่วนลดเบอร์ 5 – ชาร์จ EV – บ้านพักเขื่อน

กฟผ. แจกของขวัญปีใหม่ 2568 ส่วนลดเบอร์ 5 – ชาร์จ EV – บ้านพักเขื่อน

          หุ้นวิชั่น - กฟผ. เตรียมของขวัญปีใหม่ 2568 ให้คนไทยในรูปแบบ 3 ส่วนลดพิเศษ ส่วนลดผลิตภัณฑ์เบอร์ 5 30,000 สิทธิ์ ส่วนลดค่าชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ณ สถานี EleX by EGAT 20,000 สิทธิ์ และส่วนลดบ้านพักเขื่อน กฟผ. อีก 2,600 สิทธิ์ เพื่อให้คนไทยฉลองปีใหม่แบบแฮปปี้และรักษ์โลกไปพร้อมกัน           วันนี้ (16 ธันวาคม 2567) นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธานการแถลงข่าวเปิดตัวกิจกรรม กฟผ. ส่งความสุขปีใหม่ คนไทยใส่ใจรักษ์โลก พร้อมลงนามความร่วมมือโครงการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์เบอร์ 5 ระหว่าง กฟผ. กับ ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า จำนวน 9 ราย ณ ห้อง Press Conference อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ จ.นนทบุรี           นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. เผยว่า กฟผ. ร่วมสนองนโยบายรัฐบาลและกระทรวงพลังงานด้วยการ มอบของขวัญให้กับคนไทยเพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กับ 3 แคมเปญ “กฟผ. ส่งความสุขปีใหม่ คนไทยใส่ใจรักษ์โลก” [caption id="attachment_21317" align="aligncenter" width="2560"] Elex Max by EGAT[/caption]           1) ฉลากเบอร์ 5 ด้วยรัก(ษ์) และผูกพัน ร่วมกับผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า มอบส่วนลดผลิตภัณฑ์เบอร์ 5 เป็นของขวัญเทศกาลปีใหม่ ส่งเสริมการประหยัดไฟ รักษ์สิ่งแวดล้อม รวม 30,000 สิทธิ์ มูลค่าส่วนลดรวม 8.1 ล้านบาท แบ่งเป็น ส่วนลด 200 บาท สำหรับซื้อผลิตภัณฑ์เบอร์ 5 ในราคา 1,000 บาทขึ้นไป จำนวน 23,000 สิทธิ์ ส่วนลด 500 บาท สำหรับซื้อผลิตภัณฑ์เบอร์ 5 ในราคา 3,000 บาทขึ้นไป จำนวน 7,000 สิทธิ์ โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2567 – 15 มกราคม 2568 กิจกรรมแชร์ไอเดีย “ส่งรักษ์รับปีใหม่” เลือกผลิตภัณฑ์เบอร์ 5 อะไร เป็นของขวัญให้คนที่คุณรัก โดยร่วมกิจกรรมทาง Facebook : กฟผ. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2567 – 15 มกราคม 2568 ลุ้นรับเครื่องฟอกอากาศเบอร์ 5 จำนวน 30 รางวัล โดยจะประกาศผลวันที่ 20 มกราคม 2568           2) ชาร์จใจ ชาร์จไฟไปกับ EleXA มอบคูปองชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ส่งเสริมสังคมยุคใหม่ไร้คาร์บอน ให้คนไทยกลับบ้านอย่างปลอดภัย รวม 20,000 สิทธิ์ มูลค่าส่วนลดรวม 2.72 ล้านบาท สามารถกดรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน EleXA โดยจะได้รับคูปองส่วนลดมูลค่า 68 บาท จำนวน 2 ใบต่อ 1 สิทธิ์ (จำกัด 1คน/ 1 สิทธิ์) ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2567 - วันที่ 15 มกราคม 2568 โดยคูปองมีอายุ 180 วันหลังจากกดรับสิทธิ์ สามารถใช้ได้ที่ EleX by EGAT ทุกสถานีทั่วประเทศ           3) เติมพลังชีวิต ใกล้ชิดธรรมชาติ มอบคูปองส่วนลดค่าที่พักเขื่อน กฟผ. มูลค่ารวม 2,600 สิทธิ์ มูลค่าส่วนลดรวม 3.05 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจและเป็นการสนับสนุนชุมชนโดยรอบ ดังนี้ มอบคูปองส่วนลดค่าที่พักในเขื่อนของ กฟผ. จำนวน 8 แห่ง คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนวชิราลงกรณ เขื่อนสิรินธร เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนอุบลรัตน์และเขื่อนรัชชประภา จำนวน 2,500 สิทธิ์ แบ่งเป็น มูลค่า 500 บาท จำนวน 2,000 สิทธิ์ และ มูลค่า 1,000 บาท จำนวน 500 สิทธิ์ พิเศษหากเข้าพักในวันธรรมดาคูปองจะมีมูลค่าเพิ่มอีกใบละ 500 บาท นอกจากนี้ ผู้เข้าพักที่บ้านครินทร์ เขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี จะได้รับสิทธิ์ส่วนลด 3,000 บาท จำนวน 100 สิทธิ์ อีกด้วย ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ส่วนลดได้ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2567 – 15 มกราคม 2568 ทาง Facebook : กฟผ. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยจะประกาศผลผู้ได้รับสิทธิ์ส่วนลดค่าที่พักในวันที่ 20 มกราคม 2568 และสามารถใช้สิทธิ์ได้ในระหว่างวันที่ 20 มกราคม – 31 พฤษภาคม 2568           กฟผ. ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบความสุขล้นใจแบบรักษ์โลกส่งท้ายปี 2567 และต้อนรับปีใหม่ปี 2568 ช่วยประหยัดพลังงาน ลดค่าใช้จ่ายของครัวเรือน สนับสนุนการเดินทางอย่างปลอดภัยไร้คาร์บอน และส่งเสริมการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกระจายรายได้สู่ชุมชน ทั้งนี้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง Facebook : กฟผ. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

สำรวจแผนเที่ยวปลายปี 67 คนไทยเน้นงบประหยัด ‘ภาคเหนือ’ ยืนหนึ่งจุดหมายในฝัน

สำรวจแผนเที่ยวปลายปี 67 คนไทยเน้นงบประหยัด ‘ภาคเหนือ’ ยืนหนึ่งจุดหมายในฝัน

          หุ้นวิชั่น - นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ประจำเดือนพฤศจิกายน 2567 จำนวน 5,669 ราย ซึ่งครอบคลุมประชาชนทุกอำเภอทั่วประเทศ เกี่ยวกับแผนการท่องเที่ยวไทยปลายปี 2567 ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนที่มีแผนการท่องเที่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน -  ธันวาคม 2567 มีสัดส่วนค่อนข้างทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผลการสำรวจของปี 2566 โดยภาคเหนือยังเป็นจุดมุ่งหมายหลักที่ประชาชนวางแผนไปท่องเที่ยว ทั้งนี้ ปัญหาทางการเงินและค่าใช้จ่ายยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการแผนการท่องเที่ยวในช่วงเวลาดังกล่าว โดยมีรายละเอียดผลการสำรวจ ดังนี้ พฤติกรรมและแผนการท่องเที่ยวในประเทศไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2567           ภาพรวมของการสำรวจพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 32.28 มีแผนการท่องเที่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2567 ซึ่งค่อนข้างทรงตัวหรือปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากผลสำรวจปี 2566 (ร้อยละ 32.19) โดยภาคเหนือยังคงเป็นจุดหมายที่ได้รับความนิยมสูงเช่นเดิม อาจเนื่องด้วยเป็นช่วงที่อากาศเย็นสบาย ธรรมชาติและภูมิทัศน์สวยงาม รวมถึงมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวจากภาครัฐ สำหรับสัดส่วนผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 67.72 ที่ไม่มีแผนการท่องเที่ยวในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนใหญ่กังวลเกี่ยวกับปัญหาทางการเงิน ซึ่งเป็นเหตุผลที่มีสัดส่วนสูงสุดที่ร้อยละ 38.55 และตามมาด้วยความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่สูงร้อยละ 32.12           เมื่อพิจารณาการจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า กลุ่มผู้ไม่ได้ประกอบอาชีพและเกษียณอายุ มีสัดส่วนการวางแผนท่องเที่ยวมากที่สุดที่ร้อยละ 46.40 อาจเนื่องมาจากประชาชนกลุ่มนี้ไม่ถูกจำกัดด้วยภาระ หน้าที่การงาน ทำให้สามารถวางแผนและเดินทางท่องเที่ยวได้สะดวก รองลงมาคือ กลุ่มนักธุรกิจและเจ้าของกิจการ ที่ร้อยละ 42.52 สำหรับกลุ่มพนักงานบริษัทมีสัดส่วนการวางแผนท่องเที่ยวน้อยที่สุดที่ร้อยละ 17.54 การจำแนกตามรายได้ต่อเดือน พบว่า กลุ่มผู้มีรายได้มากกว่า 40,000 - 50,000 บาท มีสัดส่วนการวางแผนท่องเที่ยวมากที่สุด ที่ร้อยละ 48.77 ตามมาด้วยกลุ่มผู้มีรายได้ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป ที่ร้อยละ 45.00 ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็น กลุ่มที่มีรายได้ค่อนข้างสูง จึงสามารถจัดสรรงบประมาณสำหรับการท่องเที่ยวได้มากกว่ากลุ่มรายได้อื่น ขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้ 5,001 – 10,000 บาท มีสัดส่วนการวางแผนท่องเที่ยวในช่วงเดือนดังกล่าวน้อยที่สุดที่ร้อยละ 25.95 และการจำแนกตามภูมิภาค พบว่าผู้อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นผู้มีสัดส่วนวางแผนการท่องเที่ยวมากที่สุดที่ร้อยละ 40.87 รองลงมาคือ ผู้อาศัยในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ร้อยละ 34.88 ขณะที่ผู้อาศัยในเขตภาคกลางมีสัดส่วนการวางแผนการท่องเที่ยวน้อยที่สุดที่ร้อยละ 27.14 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลสำรวจจากภูมิภาคต่าง ๆ พบว่า ผู้อาศัยในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือมีสัดส่วนการท่องเที่ยวในเขตภูมิภาคที่ตนเองอาศัยอยู่มากที่สุด มีเพียงกลุ่มผู้อาศัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคกลางที่มีสัดส่วนการวางแผนการท่องเที่ยวนอกเขตภูมิภาคที่ตนเองอาศัยอยู่ โดยกิจกรรมการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การท่องเที่ยวธรรมชาติ ผจญภัย และกีฬา ซึ่งเป็นที่นิยมในเกือบทุกกลุ่มอายุ อาชีพ รายได้ และภูมิภาค โดยคิดเป็นร้อยละ 56.67 รองลงมาคือ การท่องเที่ยวร้านกาแฟและร้านอาหารยอดฮิตที่ร้อยละ 48.14 โดยกิจกรรมนี้ได้รับความนิยมในกลุ่มอายุต่ำกว่า 39 ปี และกลุ่มผู้อาศัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีผู้ตอบเกินครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามในกลุ่มเดียวกัน           อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมการวางแผนการท่องเที่ยว ประชาชนยังมีปัจจัยที่กังวลอยู่หลายประการ โดยความกังวลด้านความปลอดภัยและอุบัติเหตุเป็นปัจจัยหลักที่มีสัดส่วนสูงที่ร้อยละ 51.48 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่าง มีนัยสำคัญจากการสำรวจในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 (ร้อยละ 30.85) โดยเฉพาะในกลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปีที่มีความกังวลในเรื่องนี้สูงถึงร้อยละ 71.05 นอกจากนี้ ประชาชนยังมีความกังวลในเรื่องความแออัดของสถานที่ท่องเที่ยวคิดเป็นร้อยละ 50.00 และกังวลด้านการจราจรที่ร้อยละ 47.49 การคาดการณ์ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2567           ในภาพรวม ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 44.59 คาดว่าจะใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 5,001 – 10,000 บาท/คน/ทริป เพื่อเป็นค่าเดินทาง อาหาร และที่พัก โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับผลการสำรวจของปีก่อน (ปี 2566 ร้อยละ 42.07) รองลงมาคือ ใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 31.79 (ปี 2566 ร้อยละ 24.71) และใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 10,001 – 30,000 บาท ร้อยละ 19.54 (ปี 2566 ร้อยละ 30.02) ตามลำดับ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ประชาชนมีแผนการใช้จ่ายลดลงในวงเงินที่สูง สะท้อนถึงการปรับตัวและการควบคุมงบประมาณที่มากขึ้น สำหรับประเภทของค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะมีการใช้จ่ายมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง คิดเป็นร้อยละ 71.64 รองลงมาคือค่าอาหาร คิดเป็นร้อยละ 70.71 และค่าที่พักคิดเป็นร้อยละ 62.35 ตามลำดับ           นายพูนพงษ์ กล่าวถึงการสำรวจครั้งนี้ว่า แม้ประชาชนจะมีความกังวลกับสถานการณ์เศรษฐกิจสถานะทางการเงิน และภาระค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2567 คาดว่า จะยังคงมีบรรยากาศที่คึกคักทั่วทุกภูมิภาค โดยภาครัฐได้มีการออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมให้การท่องเที่ยวมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะภาคเหนือที่ได้รับความนิยมสูง อาทิ โครงการแอ่วเหนือคนละครึ่ง ดังนั้น หน่วยงานและสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องควรเตรียมแนวทางและความพร้อมในการรับมืออย่างเข้มข้น พร้อมทั้งดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกและปลอดภัย           เพื่อบรรเทาความกังวลของประชาชนในการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงปลายปี 2567 ภาครัฐได้มีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อออกมาตรการเพิ่มความปลอดภัยทางท้องถนน เช่น การใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการกำกับดูแลความปลอดภัยทางท้องถนน และมาตรการเชิงป้องกันสำหรับการให้บริการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะ นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มเที่ยวบินให้เพียงพอกับความต้องการในการเดินทาง และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเพื่อจะกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้มีการจัดของขวัญปีใหม่ ปี 2568 ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น งานพาณิชย์ลดราคา “New Year Mega Sale 2025” งานลดราคาสินค้าส่งออก “Made in Thailand” การมอบส่วนลดแพ็กเกจแฟรนไชส์ การแจกส่วนลดราคาสินค้าผ่าน 4 แพลตฟอร์มออนไลน์ และการจัดงานแสดงและจุดจำหน่ายสินค้าในส่วนภูมิภาคกว่า 300 จุดทั่วประเทศ เป็นต้น เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการ โดยคาดว่ากิจกรรมดังกล่าว จะสามารถขยายโอกาสและสร้างมูลค่าทางการค้าไม่น้อยกว่า 400 ล้านบาท เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศและช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในภูมิภาคต่าง ๆ

"ภูเก็ต" ยืนหนึ่งเรื่องท่องเที่ยว พร้อมจริงจังเรื่องยั่งยืน

          หุ้นวิชั่น - ภูเก็ต เป็นเมืองท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตดีจากรายได้ผู้เยี่ยมเยือนที่ขยายตัวสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 และดีกว่าภาพรวมทั้งประเทศ โดยเป็นผลจากกำลังการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับเพิ่มขึ้นมากแม้จำนวนนักท่องเที่ยวยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว อีกทั้ง เศรษฐกิจภูเก็ตยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่องในปี 2568 จึงทำให้ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า  การท่องเที่ยวภูเก็ตมีทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในยุคหลังโควิด-19 ทั้งเทรนด์การท่องเที่ยวและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดย ภูเก็ตกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาต่อเนื่องตลอดทั้งปี ตามกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายทางสัญชาติมากขึ้นกว่าเดิม จากที่เคยรับนักท่องเที่ยวจีนและยุโรปเป็นหลักและส่วนใหญ่จะเดินทางเข้ามาในช่วง High season ตั้งแต่พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ของทุกปี โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพที่เข้ามาใหม่อย่างอินเดีย คาซัคสถาน ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และอิสราเอลเป็นนักท่องเที่ยวที่นิยมเดินทางเข้ามาในช่วงกรกฎาคม-ตุลาคม ซึ่งมาเสริมรายได้ให้ภาคท่องเที่ยวภูเก็ตในช่วง Low season ได้มากขึ้น ความหลากหลายของพฤติกรรมการท่องเที่ยวตามเทรนด์การท่องเที่ยวของแต่ละสัญชาติ โดยนักท่องเที่ยวเริ่มเข้าพักในย่านเมืองเก่ามากขึ้นจากเดิมที่เน้นพักผ่อนอยู่ริมหาดตลอดทั้งทริป และแต่ละพื้นที่จะมีฐานนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักที่แตกต่างกัน อย่างเช่น นักท่องเที่ยวอินเดียกว่า 64% จะเข้าพักในพื้นที่ป่าตองด้วยไลฟ์สไตล์ที่ชอบความบันเทิงและ Nightlife ขณะที่นักท่องเที่ยวรัสเซียและคาซัคสถานที่ส่วนใหญ่เดินทางเข้ามาพำนักในไทยเป็นระยะเวลานาน มักเลือกพักในพื้นที่กะรนที่เงียบและสงบกว่า เป็นต้น นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาภูเก็ตเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูงมากขึ้น จากภาพรวมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากนักท่องเที่ยวจีนกลุ่ม FIT ที่มีสัดส่วนมากขึ้นแทนกลุ่มกรุ๊ปทัวร์ใหญ่ราคาประหยัด รวมถึงการเข้ามาของกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพใหม่ที่ใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวสูงอย่างนักท่องเที่ยวรัสเซีย อิสราเอล คาซัคสถาน และตะวันออกกลาง จึงทำให้ภูเก็ตกลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวกลุ่มไลฟ์สไตล์หรูตามกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวที่เข้ามา  ในระยะข้างหน้า ภูเก็ตกำลังมุ่งพัฒนาใน 2 ด้านหลัก คือ โครงสร้างพื้นฐานและความยั่งยืน โดยในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ภูเก็ตมีแผนในการพัฒนาสนามบินทั้งการขยายสนามบินเดิม และการสร้างสนามบินใหม่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้ง ยังมีแผนพัฒนาระบบคมนาคมภายในจังหวัดให้มีความสะดวกและแก้ไขปัญหาการจราจร พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว สำหรับในด้านความยั่งยืน ภูเก็ตเป็นหนึ่งในจังหวัดนำร่องที่อยู่ในโครงการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยธุรกิจท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญเนื่องจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจังหวัดภูเก็ตพึ่งพาภาคท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่ปัจจุบันโรงแรมและที่พักในภูเก็ตที่ได้รับสัญลักษณ์ความยั่งยืนมีเพียง 4% ของโรงแรมในภูเก็ตทั้งหมด อย่างไรก็ดี ภูเก็ตยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาอีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง การจัดการกับปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้น การเร่งก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ทันกับการเติบโต การขาดแคลนแรงงานทักษะด้านบริการ การเพิ่มมาตรการที่เข้มงวดเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงการได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีของจังหวัดที่ค่อนข้างจำกัด ซึ่งสร้างความท้าทายต่อการวางแผนพัฒนา นอกจากนี้ การเติบโตของภาคท่องเที่ยวภูเก็ตนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนภาคเอกชน โดยธุรกิจด้านการท่องเที่ยวมีแนวโน้มเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นจากการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ที่เล็งเห็นโอกาสในการเติบโตเข้ามาลงทุนในพื้นที่ภูเก็ตมากขึ้น ดังนั้น การนำเสนอสินค้าและบริการที่โดดเด่น และสามารถตอบโจทย์ความหลากหลายที่เข้ามาจะสร้างความได้เปรียบในการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากขึ้นได้ ซึ่งรวมถึงการยกระดับสินค้าหรือบริการให้นักท่องเที่ยวรับรู้ถึงความคุ้มค่าของบริการและการใช้จ่ายแม้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาจะเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูงก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น การขยายตัวของเศรษฐกิจภูเก็ตยังสร้างโอกาสการเติบโตให้กับหลายธุรกิจในภูเก็ตและพื้นที่ใกล้เคียงไม่ว่าจะเป็นธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลเอกชน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ให้เติบโตไปพร้อมกับภาคการท่องเที่ยวอีกด้วย ทั้งนี้การพัฒนาการท่องเที่ยวภูเก็ตอย่างยั่งยืนนั้นต้องอาศัยบทบาทภาครัฐเป็นกำลังสำคัญ โดย 1. การยกระดับภาคการท่องเที่ยวสู่โซนท่องเที่ยวอันดามัน ให้ครอบคลุมพื้นที่ในหลายจังหวัดอันดามันทั้งพังงาและกระบี่ จะช่วยลดความแออัดของภูเก็ต ลดผลกระทบที่เกิดกับสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมทั้งกระจายความเจริญสู่ท้องถิ่นและพื้นที่ใกล้เคียงให้มากขึ้น 2. การวางทิศทางด้านการท่องเที่ยวที่ชัดเจน ที่จะช่วยให้ภาพรวมการพัฒนาทั้งจังหวัดเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน และยังสามารถสร้างจุดแข็งให้กับจังหวัดในการเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้นอีกด้วย และ 3. การเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งด้านคมนาคมและสาธารณูปโภคให้ครบวงจรและเชื่อมต่อพื้นที่ใกล้เคียงอย่างเป็นระบบ จะช่วยรองรับการเติบโตของภาคท่องเที่ยวและการพัฒนาด้านความยั่งยืนของภูเก็ตได้เป็นอย่างดี อ่านต่อรายงานฉบับเต็มได้ที่... https://www.scbeic.com/th/detail/product/phuket-041224 ผู้เขียนบทวิเคราะห์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ดร.กมลมาลย์ แจ้งล้อม นักวิเคราะห์อาวุโส ปุญญภพ ตันติปิฎก นักวิเคราะห์อาวุโส กีรติญา ครองแก้ว นักวิเคราะห์

ราคาน้ำมันปรับเพิ่ม แตะระดับสูงสุดรอบ 3 สัปดาห์ มองบอก PTT-PTTEP

ราคาน้ำมันปรับเพิ่ม แตะระดับสูงสุดรอบ 3 สัปดาห์ มองบอก PTT-PTTEP

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบปรับเพิ่มแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ Brent 1.47%d-d ปิดที่ USD 74.49/barrel น้ำมันดิบ West Texas 1.81%d-d ปิดที่ USD 71.29/barrel แรงหนุนจากการ 1.) คาดการณ์เกี่ยวกับการคว่ำบาตรที่เข้มงวดขึ้นต่อรัสเซียและอิหร่าน, 2.)แนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ได้รับการสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, 3.)สถานการณ์ตะวันออกกลางยังมีอยู่ 4.)แนวโน้ม Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในสัปดาห์นี้ โดยรวมมองบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP

ส่องราคาทอง เช้าวันนี้ปรับลดลง 50 บาท

ส่องราคาทอง เช้าวันนี้ปรับลดลง 50 บาท

            หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 16 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับลง 50 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,800.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 42,900.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 42,023.52 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,4000.00 บาท

บางจากฯ ใจดี! คงราคาน้ำมัน แจกโปรพิเศษรับปีใหม่

บางจากฯ ใจดี! คงราคาน้ำมัน แจกโปรพิเศษรับปีใหม่

           บางจากฯ ร่วมมอบความสุข ลดค่าครองชีพ ช่วงเทศกาลปีใหม่ ไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2567 – 2 มกราคม 2568 พร้อมมอบของสมนาคุณและสิทธิประโยชน์มากมายสำหรับลูกค้าสมาชิกบางจากกรีนไมลส์            นายเสรี อนุพันธนันท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ บางจากฯ ขอมอบความสุข ร่วมลดค่าใช้จ่ายให้ลูกค้าผู้บริโภคด้วยหลากหลายโปรแกรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ได้แก่ เติมความสุขให้เต็มถัง ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2567 – 2 มกราคม 2568 บางจากฯ จะตรึงราคาน้ำมันไม่ปรับขึ้นแม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับขึ้น และหากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลง บางจากฯ จะปรับลดราคาลงด้วย เพื่อร่วมแบ่งเบาค่าใช้จ่ายให้ผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนาและฉลองเทศกาลแห่งความสุขกับครอบครัว เติมความสุขให้ลูกค้าและชุมชน โดยคัดสรรผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตรที่ทั้งอร่อย และมีประโยชน์ “ข้าวกล้องป๊อบ 4 ภาค” นำมาสมนาคุณลูกค้าสมาชิกบางจากกรีนไมลส์ที่เติมบางจากแก๊สโซฮอล์ชนิดใดก็ได้ครบทุก 1,200 บาท รับฟรี ข้าวกล้องป๊อบ 4 ภาค 1 ซอง มูลค่า 15 บาท ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากทั่วประเทศที่ร่วมรายการ ข้าวกล้องป๊อบ 4 ภาค แปรรูปจากข้าวกล้องสายพันธุ์พื้นเมือง 4 ภาค ด้วยนวัตกรรมไร้น้ำมัน ไม่ทอด คงคุณค่าทางอาหาร แคลอรี่ต่ำ มีไฟเบอร์ ปลอดกลูเต็น ดีต่อสุขภาพ และยังช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชนกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เติมความสุข เติมแรงให้ทั้งรถทั้งคน สมาชิกบางจากกรีนไมลส์เติมน้ำมันบางจากดีเซลทุกชนิดครบทุก 1,200 บาท รับฟรีทันทีเครื่องดื่ม M-150 จำนวน 1 ขวด มูลค่า 12 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากทั่วประเทศที่ร่วมรายการ เติมความสุขสดชื่นกับน้ำดื่มขวดใหญ่ รับน้ำดื่มขนาด 1.5 ลิตร 1 ขวด มูลค่า 15 บาท ฟรี เมื่อเติมน้ำมันบางจากชนิดใดก็ได้ครบทุก 900 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 - 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากทั่วประเทศที่ร่วมรายการ เติมความสุขอย่างมั่นใจก่อนการเดินทาง ในโครงการ “ตรวจรถฟรี ขับขี่ ปลอดภัยกับ FURiO Care” ซึ่งบางจากฯ ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก บริการตรวจเช็ครถฟรี 11 รายการ พร้อมให้คำแนะนำที่ศูนย์ FURiO Care และ WASH PRO ในสถานีบริการน้ำมันบางจากที่ร่วมโครงการ ตั้งแต่ วันที่ 1 ธันวาคม 2567 – 31 มกราคม 2568 และน้ำมันหล่อลื่น FURiO ราคาพิเศษลดสูงสุด 40% ตรวจสอบสาขาที่ร่วมรายการและรายละเอียดได้ที่ https://www.bcpcarcare.com/th/Promotion/detail/HNY2024 เติมความสุขอย่างอุ่นใจก่อนเดินทาง สมาชิกบางจากกรีนไมลส์ใช้เพียง 9 คะแนน แลกรับแผนความคุ้มครอง “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” สมัครได้ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยกรมธรรม์มีระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bcpgreenmiles.com เติมความสดชื่นกับอินทนิล ซื้อเครื่องดื่ม 2 แก้ว รับฟรีอีก 1 แก้ว ระหว่างวันที่ 23 - 27 ธันวาคม 2567 และสมาชิกบางจากกรีนไมลส์เติมน้ำมันครบ 100 บาท นำใบเสร็จรับส่วนลด 5 บาท เมื่อซื้อเครื่องดื่มและสินค้าที่ร้านอินทนิล ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2567– 1 มกราคม 2568 ที่ร้านอินทนิลที่ร่วมรายการ นอกจากนั้นยังมีเมนูใหม่ล่าสุดเป็น Boost Up Smoothies ‘น้ำผลไม้อินจู๊ซ’ เครื่องดื่มผักผลไม้ปั่นกับบูสเตอร์ มีประโยชน์ สดชื่นดีต่อสุขภาพ มี 5 รสชาติ ให้เลือก เริ่มจำหน่ายวันที่ 16 ธันวาคม 2567 เติมพลังไฟให้รถ เติมความสดชื่นให้คน ด้วยจุดบริการ EV Charging Station ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก ที่มีมากกว่า 355 สาขา 1,076 หัวจ่าย บนเส้นทางหลักทุกระยะ 100 กิโลเมตร ครอบคลุมทุกทิศทั่วไทย ทั้งขาเข้าและขาออกเมือง รองรับรถ EV หลากหลายรุ่น หลากหลายแบรนด์ ระหว่างชาร์จก็พักดื่มกาแฟผ่อนคลายที่ร้านอินทนิล หรือช้อปปิ้งในร้านสะดวกซื้อได้ ดูรายละเอียดจุดบริการ EV Charging Station ได้ที่ Bangchak Mobile Application            ด้วยแนวคิด สร้างสรรค์พลังไม่รู้จบ บางจากฯ จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการมาอย่างไม่หยุดนิ่ง จนล่าสุดนี้ได้รับรางวัลและการรับรองด้านการตลาด ได้แก่ รางวัลพระราชทานในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สาขาความเป็นเลิศด้านสินค้า/การบริการ (Thailand Corporate Excellence Awards 2024) รางวัล Superbrands Thailand 2024 สำหรับแบรนด์บางจาก ที่ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 และแบรนด์อินทนิลที่ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เทศกาลปีใหม่นี้จึงขอเชิญชวนทุกท่านแวะเติมความสุขรับปีใหม่ เติมพลังงานสะอาดให้รถ เติมพลังดีๆ ให้คน ที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก ซึ่งท่านจะได้รับผลิตภัณฑ์น้ำมันคุณภาพสูง บริการอย่างใส่ใจ ห้องน้ำสะอาดเพียงพอ ธุรกิจเสริมทั้งอาหาร เครื่องดื่มและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน การเดินทางของทุกท่านยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงของบางจากฯ ทั้งน้ำมันเกรดพรีเมียมได้แก่ บางจากไฮพรีเมียม 97 และบางจากไฮพรีเมียมดีเซล S และน้ำมันเกรดมาตรฐาน ได้แก่ บางจากแก๊สโซฮอล์ 91, 95, E20 และ E85 บางจาก ไฮดีเซล S และร้านกาแฟอินทนิลที่ใช้ภาชนะย่อยสลายได้ 100%

TRUE ส่งแคมเปญ “ยิ้มทั่วไทย” ชวนเปิดกล้องยิ้ม-รับของขวัญ

TRUE ส่งแคมเปญ “ยิ้มทั่วไทย” ชวนเปิดกล้องยิ้ม-รับของขวัญ

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ 13 ธันวาคม 2567 – ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ชวนคนไทยร่วมยิ้มให้ตัวเองกับปีที่ผ่านมา พร้อมยิ้มรับปีใหม่ ให้มีแต่สุขยิ้มได้ตลอดปีกับแคมเปญ “ยิ้มทั่วไทย” ยิ้มรับสุข พร้อมของขวัญพิเศษทั่วไทยที่จะส่งไปกับสัญญาณทรู ดีแทค 5G เร็ว แรง กระจายครอบคลุมทั่วไทย เติมเต็มทุกความสุขตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าครบครันทั้ง “ยิ้มทั่วไทย ยิ้มให้ตัวเอง” ภาพยนตร์โฆษณาสุดซึ้งกินใจ ที่จะชวนให้ทุกคนหันมายิ้มให้กับตัวเองและคนข้างๆกับสิ่งดีๆ ที่ผ่านมา พร้อมทั้งต้อนรับปีใหม่ด้วยความหวัง และรอยยิ้ม https://www.youtube.com/watch?v=kx6D090psBk พร้อมชวนส่ง “ยิ้มทั่วไทย ทรูทั่วไทย” ส่งตรงความเร็ว แรง ของสัญญาณความสุข ที่ทั่วถึง ทุกทิศ ทั่วไทย “ยิ้มทั่วไทย ยิ้มให้ปีใหม่” กับกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ สนุก ฟิน อมยิ้มข้ามปี และพิเศษสุดกับ “ยิ้มทั่วไทย ยิ้มรับของขวัญ” ที่ชวนลูกค้าแลกยิ้มรับความสุขทั่วไทยง่ายๆ ผ่าน AR จากแอปทรูไอดี ดีแทคแอป หรือ  ทรูไอเซอร์วิส เลือก “สิทธิพิเศษ” แล้วคลิกที่แบนเนอร์ “ยิ้มรับสุขทั่วไทย” เพียงแค่เปิดกล้องและยิ้ม ก็มีสิทธิ์ลุ้นรับสุข 2 ต่อ ต่อที่ 1 รับทันทีบริการ “ทรู ไซเบอร์เซฟ” ป้องกันภัยไซเบอร์จากมิจฉาชีพ ปกป้องพร้อมแจ้งเตือนเมื่อกดลิ้งก์แปลกปลอม ต่อที่ 2 รับสิทธิ์ลุ้นรับของรางวัลมากมาย ทั้งรับฟรี!  ไอศกรีมโคน McDonald, แพ็กเกจเสริมเน็ต 5GB, วอลเปเปอร์เสริมดวงตามวันเกิดจาก HoroWorld ส่วนลดจากคาเฟ่ และร้านอาหารชื่อดัง อาทิ Hello Yogurt, TrueCoffee, Au Bon Pain, PAUL, Dunkin, KatsuyaPepperlunch Chabuton, Greyhound Café และร้านในเครือ ส่วนลดช้อปปิ้ง จาก Lazada Oriental Princess Robinson Beauty ตลอดจนความคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตจาก FWD ด้วยประกันอุบัติเหตุวงเงิน 500,000 บาท โดยลูกค้าสามารถร่วมสนุกได้ตั้งแต่ วันที่ 11 ธันวาคม 2567 ถึง 15 มกราคม 2568 คลิกเพื่อร่วม “ยิ้มรับสุข” ได้ที่ https://www.true.th/true-network/happiness-express           นายฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “แคมเปญ ‘ยิ้มทั่วไทย’ เกิดขึ้นจากความตั้งใจของทรู ที่ต้องการสร้างรอยยิ้มให้ลูกค้าทุกคนในช่วงเทศกาลปีใหม่ เชื่อว่ารอยยิ้มเป็นพลังบวกที่สามารถสร้างความสุขให้กับทุกคนได้ ขณะที่ เครือข่ายทรู เร็ว แรง พร้อมเป็นสัญญาณความสุขที่กระจายครอบคลุมทั่วไทย ให้ยิ้มทั่วไทย ทรูทั่วไทย เพื่อส่งมอบประสบการณ์แห่งความสุขได้แบบไร้ขีดจำกัด โดยเฉพาะในช่วงบรรยากาศส่งท้ายปี ที่ทรูตั้งใจอย่างเต็มที่ที่จะเติมเต็มทุกความสุขตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า   ด้วยการมอบของขวัญและความสุขต้อนรับปีใหม่ ผ่านเครือข่ายที่ดีที่สุดจากทรูและดีแทค อยากให้ทุกคนได้ “ยิ้มให้ตัวเอง” กับทุกเรื่องราวในปีที่ผ่านมา และ “ยิ้มรับของขวัญ” ที่เราตั้งใจมอบให้ เพื่อเป็นแรงใจในการ ”ยิ้มให้ปีใหม่” ไปด้วยกัน ด้วยกิจกรรม “ยิ้มรับสุข” ให้ลูกค้าทรู ดีแทคและทรูออนไลน์ทุกคน เพียงมีแอปทรูไอดี ทรูไอเซอร์วิส หรือดีแทคแอป เข้าในแอป และคลิกที่แบนเนอร์ “ยิ้มรับสุข” กดยอมรับเพื่อเล่นเกม ลูกค้าจะเห็นการ์ดอวยพรปีใหม่จากเรา จากนั้นให้ลูกค้าเปิดกล้อง และยิ้มรับความสุข ก็จะได้รับกล่องของขวัญ กดที่กล่องของขวัญเพื่อรับสิทธิพิเศษต่างๆ ให้ได้ไป อิ่ม ช้อป เพลิน จากร้านค้าชั้นนำ ฟรีทั่วไทย หรือคลิกเพื่อร่วม “ยิ้มรับสุข” ได้ที่ https://www.true.th/true-network/happiness-express”           มาร่วมเป็นครอบครัวทรู ดีแทค เพื่อรับความสุขแบบนี้ตลอดทั้งปีได้ง่ายๆ เพียงดาวน์โหลดแอปทรู หรือแอปดีแทค แล้วมาร่วมยิ้มรับสุขไปพร้อมกัน!           ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญ “ยิ้มทั่วไทย” และคลิกเพื่อร่วม “ยิ้มรับสุข” ได้ที่ https://www.true.th/true-network/happiness-express

[ภาพข่าว] เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมงาน

[ภาพข่าว] เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมงาน "Thailand Smart Money Bangkok 2024" ครั้งที่ 15

          บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) คัดสรรผลิตภัณฑ์ บริการ และโปรโมชันเด่น เข้าร่วมเทศกาลการเงิน-การลงทุน "Thailand Smart Money Bangkok 2024" ครั้งที่ 15  โดยในพิธีเปิดได้รับเกียรติจากนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานในพิธี พร้อมด้วยนายรัฐกร อัสดรธีรยุทธ์ ประธานเครือหนังสือพิมพ์ดอกเบี้ย ประธานจัดงาน Thailand Smart Money  ร่วมเปิดบูธเมืองไทยประกันชีวิต โดยมี นายศรายุธ ทินกร ณ อยุธยา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส พร้อมด้วยผู้บริหาร ตัวแทนนักวางแผนประกันชีวิต และที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมในพิธีด้วย โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 - 15 ธันวาคม 2567  ณ BCC Hall ชั้น 5 เซ็นทรัลลาดพร้าว

DSI รวบครบ หมอ พยาบาล นายหน้าร่วมขบวนการอุ้มบุญเถื่อน !!

DSI รวบครบ หมอ พยาบาล นายหน้าร่วมขบวนการอุ้มบุญเถื่อน !!

          หุ้นวิชั่น - วานนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม 2567) ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ภายใต้การอำนวยการของ นายวิทวัส สุคันธรส ผู้อำนวยการศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ได้จับกุม นางสาวอมลยา (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5636/2567 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 จับกุมได้ที่บริเวณคอนโดมิเนียม ถนนลาดพร้าว แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร นำส่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีการค้ามนุษย์ ดำเนินคดีกรณีดังกล่าว สืบเนื่องจาก กองคดีการค้ามนุษย์ ภายใต้การอำนวยการของ พันตำรวจตรี สิริวิชญ์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการกองคดีการค้ามนุษย์ ได้สืบสวนสอบสวนคดีพิเศษที่ 235/2565กรณีกลุ่มบุคคลกระทำการเป็นขบวนการนายหน้าจัดให้มีการรับตั้งครรภ์แทนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อุ้มบุญ) ทางคดีมีพยานหลักฐานว่า นางสาวอมลยา (สงวนนามสกุล) ทำหน้าที่เป็นนายหน้าจัดหาหญิงมารับจ้างอุ้มบุญโดยผิดกฎหมาย จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อออกหมายจับ นางสาวอมลยาฯ ในความผิดฐาน ร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทน เพื่อประโยชน์ทางการค้าร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทน เพื่อประโยชน์ทางการค้า และร่วมกันกระทำเป็นคนกลาง หรือนายหน้า โดยเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน เพื่อเป็นการตอบแทนในการให้มีการรับตั้งครรภ์แทน ซึ่งศาลอาญาได้ออกหมายจับตามคำร้อง และกองคดีการค้ามนุษย์ได้ประสานงานกับศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว เพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาดังกล่าว           อนึ่ง สัปดาห์ที่ผ่านมา ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ยังได้จับกุม นางสาววนากานต์ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5638/2567 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 นางสาววรารัตน์ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5640/2567 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีเดียวกันได้ที่บริเวณโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และจับกุมนางสาวกรรณิการ์ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5639/2567 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ได้ที่หน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งทั้ง 3 ราย เป็นแพทย์และพยาบาลที่ทำการฝังตัวอ่อนในครรภ์ของหญิงอุ้มบุญ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จึงแจ้งข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันทางการแพทย์จะดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนให้แก่สามี และภรรยา โดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ ให้ดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนให้แก่สามีและภรรยารายนั้นและร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า โดยจับกุมผู้ต้องหารายนี้ เป็นรายที่ 4           การดำเนินการในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีพิเศษ เป็นไปตามข้อสั่งการของ พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่กำหนดให้ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ซึ่งเป็นหน่วยงานขึ้นตรงการบังคับบัญชา จัดชุดปฏิบัติการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ โดยเฉพาะหมายจับที่ใกล้ขาดอายุความ เพื่อนำตัวผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดที่ยังหลบหนี เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป

ศึกโบรกเกอร์เดือด! แข่งหนัก 51 ราย ลดค่าธรรมเนียม กดดันกำไร

ศึกโบรกเกอร์เดือด! แข่งหนัก 51 ราย ลดค่าธรรมเนียม กดดันกำไร

          หุ้นวิชั่น - ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศไทย เผชิญสภาวะการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากมีผู้ประกอบการจำนวนมากถึง 51 บริษัท (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567) ประกอบด้วยบริษัทหลักทรัพย์ไทยและบริษัทหลักทรัพย์ต่างชาติ ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดและการเติบโตอย่างยั่งยืน           บริษัทหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่องหลายปีมีแนวโน้มถูกควบรวมกิจการมากขึ้นในอนาคต กลยุทธ์หลักที่บริษัทหลักทรัพย์นำมาใช้ ได้แก่ การเพิ่มช่องทางการให้บริการออนไลน์ และ ยกระดับการให้บริการและการขยายขอบเขตการให้บริการ เช่น การเสนอบริการที่ปรึกษาการลงทุน (Portfolio Advisory) โดยมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของนักลงทุนในรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนแต่ละกลุ่ม ครอบคลุมมากขึ้น ไม่จำกัดเพียงการแนะนำหลักทรัพย์ที่เป็นตราสารทุนหรือหุ้นรายตัวเท่านั้น           นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ยังให้ความสำคัญกับ การกระจายแหล่งที่มาของรายได้ เพื่อลดการพึ่งพารายได้ค่าธรรมเนียมจากการซื้อขายหุ้น เช่น การให้บริการกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Loan) และการเป็นตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน (Selling Agent) รวมถึง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ เช่น • ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrant) • ตราสารแสดงสิทธิในการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depository Receipt) • ตราสารที่มีโครงสร้างซับซ้อน (Structured Note)           เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การลงทุนมีความเป็นสากลและหลากหลายมากขึ้น ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์: การแข่งขันด้านราคารุนแรงต่อเนื่อง           ทริสเรทติ้ง คาดการณ์ว่าการแข่งขันในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศไทยจะยังคงรุนแรงต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนผ่านการลดลงของ อัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์โดยเฉลี่ย (ไม่รวมบัญชีบริษัทหลักทรัพย์) จากระดับ 0.15% ในปี 2555 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเสรีค่าธรรมเนียม มาอยู่ที่ 0.07% ในปี 2566           การลดลงอย่างมีนัยสำคัญของอัตราค่าธรรมเนียมเป็นผลมาจาก การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง รวมถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนักลงทุนรายย่อย ที่หันมาส่งคำสั่งซื้อขายด้วยตนเองผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น           นอกจากนี้ นักลงทุนสถาบัน ทั้งในและต่างประเทศยังเพิ่มการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านระบบ Direct Market Access (DMA) ซึ่งเป็นการส่งคำสั่งซื้อขายโดยตรงเข้าสู่ระบบตลาดหลักทรัพย์ โดยไม่ผ่านตัวแทนนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม ส่งผลให้อัตราค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ยลดลงอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน: แนวโน้มเติบโตในระยะกลาง           จากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และโอกาสการลงทุนที่จำกัดในประเทศไทย บริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งจึงขยายบริการเข้าสู่ธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน ที่ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนที่หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะการกระจายการลงทุนผ่านหน่วยลงทุนที่เน้นการลงทุนในตลาดต่างประเทศ           รายได้จากธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในระยะปานกลาง โดยได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยหลายประการ เช่น • การเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ที่หลากหลาย • เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการลงทุน • นโยบายส่งเสริมการออมผ่านกองทุนรวม เช่น กองทุนรวมเพื่อการเกษียณ (RMF), กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) จากภาครัฐ ธุรกิจให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Loan): คุณภาพสินทรัพย์กดดันการเติบโต           จากความท้าทายของ รายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นที่ลดลงต่อเนื่อง การให้บริการ กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Loan) จึงกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มรายได้ เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้น ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ธุรกิจให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์มีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งขยายพอร์ตการให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี 2566 การแข่งขันในธุรกิจนี้เริ่มลดลง เห็นได้จาก ยอดเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์คงค้าง ที่ลดลงจาก 1.13 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 เหลือเพียง 7.6 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2567 สาเหตุสำคัญมาจาก • นักลงทุนระมัดระวังการลงทุน มากขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง • บริษัทหลักทรัพย์เพิ่มความเข้มงวด ในการอนุมัติเงินกู้ เพื่อควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดจากคุณภาพสินเชื่อที่อ่อนแอลง แนวโน้มใน 12 เดือนข้างหน้า: ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป รายได้และกำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย           ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่า รายได้และกำไรของบริษัทหลักทรัพย์จะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในปี 2568 จากปริมาณการซื้อขายที่ปรับตัวดีขึ้นด้วยแรงหนุนจากเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์ยังคงขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของปริมาณการซื้อขายอาจเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกที่อาจสร้างความผันผวนต่อตลาดทุน มูลค่า IPO ปรับตัวดีขึ้น           ทริสเรทติ้งมองว่า มูลค่าการระดมทุนผ่าน IPO ในปี 2568 มีแนวโน้มฟื้นตัวจากฐานต่ำในปี 2567 โดยมีปัจจัยหนุนจาก การปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ และ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ณ เดือนพฤศจิกายน 2567 มีบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ใหม่ 6 บริษัท และมีบริษัทที่ยื่นหนังสือชี้ชวนต่อ สำนักงาน ก.ล.ต. แล้วจำนวน 10 บริษัท Margin Loan มีแนวโน้มลดลง           ทริสเรทติ้งคาดว่า Margin Loan จะหดตัวลงในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จากการยุติการให้บริการธุรกิจให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของผู้ประกอบการรายใหญ่รายหนึ่ง เนื่องจากปัญหาหนี้เสีย โดยรวมแล้ว ธุรกิจให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องในปี 2568 เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความระมัดระวังมากขึ้นในการปล่อยกู้ โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีการเปลี่ยนแปลงราคาสูง ที่มา : บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.85-34.10 บาท/ดอลลาร์

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.85-34.10 บาท/ดอลลาร์

หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.85-34.10 บาท/ดอลลาร์ ดัชนี PPI สหรัฐพุ่งขึ้น 3% ในเดือนพฤศจิกายน เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธุ์ 2566 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ระดับ 6% ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 242,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25% ตามคาดและส่งสัญญาณปรับลดต่อ

ราคาน้ำมันดิบปิดลบ IEA เตือนภาวะน้ำมันล้นตลาด

ราคาน้ำมันดิบปิดลบ IEA เตือนภาวะน้ำมันล้นตลาด

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent -0.15%d-d ปิดที่ USD 73.41/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.38%d- d ปิดที่ USD 70.02/barrel รับข่าว IEA ออกรายงานเตือนเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาดในปี 2568 ราว 950,000 บาร์เรล/วันในปี 2568 เท่ากับ 1% ของผลผลิตน้ำมันทั่วโลก ขณะที่ ค่าการกลั่นฟื้นตัว วานนี้ค่าการกลั่น ณ โรงกลั่นสิงคโปร์ ปิดล่าสุด 12 ธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.13$ (+21%) ปิดที่ระดับ 6.5$/bbl ระยะสั้นยังเป็นขาขึ้นสะท้อนจากค่าการกลั่นในช่วงปลาย 3Q24 เฉลี่ยที่ 2-3$/bbl แต่ปัจจุบันเคลื่อนไหวที่ระดับ 5-6.5$/bbl นับเป็นสัญญาณบวกต่อการดำเนินงานปกติของกลุ่มโรงกลั่น Top Pick คือ SPRC ด้าน ก๊าซธรรมชาติNYMEX +2.2%d-d, +12.3%wtd ปิดที่ USD3.378/MMBtu สูงสุดในรอบสัปดาห์เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าอากาศจะหนาวเย็นขึ้นและความต้องการใช้ความร้อนจะสูงขึ้น โดยรวมมองบวกต่อหุ้นที่มีรายได้จากก๊าซ อาทิ BANPU แต่เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มทีมีต้นทุนก๊าซ อาทิโรงไฟฟ้า

ราคาทองเช้าวันนี้ ปรับลงร่วง 150 บาท

ราคาทองเช้าวันนี้ ปรับลงร่วง 150 บาท

        หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 13 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับลง 150 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 43,150.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 43,250.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 42,372.20 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,750.00 บาท

เปิดผลสำรวจ CEO ไทย 249 บริษัท! ยังวางแผนลงทุน แต่ 64% กังวลยอดขายชะลอตัว

เปิดผลสำรวจ CEO ไทย 249 บริษัท! ยังวางแผนลงทุน แต่ 64% กังวลยอดขายชะลอตัว

          หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจ การดำเนินธุรกิจ และประเด็นที่น่าสนใจในปี 2567-2568 รวบรวมข้อมูลในช่วงวันที่ 1 สิงหาคม - 27 กันยายน 2567 มีบริษัทจดทะเบียนร่วมแสดงความคิดเห็นทั้งสิ้น 249 บริษัท พบว่า 63% ของ CEO คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 และปี 2568 จะเติบโตได้ที่ระดับ 2-3% โดยปัจจัยสำคัญทางเศรษฐกิจที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2567 และต่อเนื่องถึงปี 2568 คือ การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ในขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันเศรษฐกิจคือหนี้ครัวเรือน กำลังซื้อภายในประเทศ และเสถียรภาพทางการเมือง อย่างไรก็ตาม มองว่าในปี 2568 เสถียรภาพการเมืองโลกและต้นทุนค่าจ้างแรงงานอาจมีส่วนกดดันเศรษฐกิจมากขึ้น CEO เกินกว่า 70% คาดการณ์ว่ารายได้ของบริษัทยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2567 และอัตราการเติบโตจะเร่งขึ้นอีกในปี 2568 โดย CEO ส่วนใหญ่มีความกังวลเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจมากที่สุด ตามด้วยปัจจัยด้านต้นทุน เช่น ต้นทุนด้านพลังงาน CEO 3 ใน 4 มีความสนใจที่จะลงทุนหรือขยายกิจการเพิ่มเติมในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน (69%) ประเทศจีน (12%) และประเทศอินเดีย (10%) อย่างไรก็ตาม CEO จำนวนมากยังมีความกังวลในด้านสภาพคล่องที่เกี่ยวกับยอดขายที่ชะลอตัวลง (64%) และการชำระเงินของลูกหนี้การค้า (55%) CEO จำนวนประมาณ 70% มองเทรนด์โลกอย่างเทคโนโลยี Generative AI และการปรับตัวด้านความยั่งยืนเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจ แต่กังวลว่าสงครามการค้าระหว่างประเทศและการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจส่งผลกระทบในทางลบ           ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ในปี 2567 - 2568 (CEO Survey: Economic Outlook 2024 - 2025) เกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจ การดำเนินธุรกิจ และประเด็นที่ น่าสนใจ โดยรวบรวมข้อมูลในช่วงวันที่ 1 สิงหาคม - 27 กันยายน 2567 มีบริษัทจดทะเบียนจาก SET และ mai ร่วมแสดง ความคิดเห็นทั้งสิ้น 249 บริษัท จาก 26 หมวดธุรกิจ รวม 53.9% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ 31 กรกฎาคม 2567

ธุรกิจของเล่น รายได้ไม่เล่นๆ! LEGO แชมป์มูลค่าแบรนด์สูงสุดในโลก 10 ปีซ้อน ทะยานแตะ 7.9 พันล้านดอลลาร์

ธุรกิจของเล่น รายได้ไม่เล่นๆ! LEGO แชมป์มูลค่าแบรนด์สูงสุดในโลก 10 ปีซ้อน ทะยานแตะ 7.9 พันล้านดอลลาร์

           หุ้นวิชั่น - สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) มองแนวโน้มการค้าของเล่นและเกมทั่วโลกเติบโตดี พบผู้ซื้อกลุ่มผู้ใหญ่หัวใจเด็ก หรือ “Kidults” เป็นปัจจัยสำคัญดันยอดขายโลก ชี้แบรนด์ชั้นนำในหลายประเทศใช้ Pop Culture สร้างการรับรู้และกระตุ้นความต้องการซื้อ แนะผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จาก Pop Culture และให้ความสำคัญกับทรัพย์สินทางปัญญา หาความแตกต่าง เพิ่มมูลค่าสินค้า ดึงดูด Kidults เพื่อสร้างรายได้            นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ยอดขายของเล่นและเกมของโลกฟื้นตัวขึ้นในปี 2023 แม้จะมีปัจจัยกดดันด้านเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจาก Euromonitor International บริษัทสำรวจข้อมูลทางการตลาดระดับโลก ระบุว่ายอดขายของเล่นและเกมทั่วโลกในปี 2023 มีมูลค่า 2.73 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 3.1 จากปี 2022 และคาดว่าในช่วงปี 2023 - 2028 จะขยายตัวต่อเนื่องด้วยอัตราเฉลี่ยร้อยละ 2.4 ต่อปี จนทำให้มีมูลค่า 3.48 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2028 ทั้งนี้ ส่วนแบ่งตลาด            ตามภูมิภาคพบว่า ปี 2023 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด มูลค่า 9.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 36.48) รองลงมาคือ อเมริกาเหนือ มูลค่า 8.40 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 30.80) และยุโรป มูลค่า 6.11 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 22.40) ข้อมูลจาก Euromonitor International ยังระบุด้วยว่า ปัจจุบันผู้ซื้อกลุ่ม “Kidults” และกระแส “Pop Culture” มีอิทธิพลอย่างมากในการขับเคลื่อนตลาดของเล่นและเกมโลกให้เติบโต โดย Kidults ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีกำลังซื้อ จึงมีพฤติกรรมการใช้จ่ายกับของเล่นหรือของสะสมที่ช่วยให้นึกถึงวัยเด็ก (Nostalgia) สอดคล้องกับที่บริษัทของเล่นและเกมชั้นนำในหลายประเทศ ใช้ Pop Culture เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ดึงดูดความสนใจจากผู้ซื้อ มีการเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ของตนเข้ากับแบรนด์ ตัวละครจากภาพยนตร์หรือการ์ตูน หรือสื่อบันเทิง ทั้งที่เคยได้รับความนิยมในอดีตและกำลังเป็นที่นิยมปัจจุบัน ซึ่งไม่เพียงตอบสนองความต้องการของกลุ่ม Kidults แต่ยังเป็นวิธีที่ช่วยสร้างการรับรู้ได้เป็นวงกว้างให้กับผู้บริโภคกลุ่มต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว สร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขายตามมา            ผอ.สนค. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงตัวอย่างของการสร้างการรับรู้และใช้ประโยชน์จาก Kidults และ Pop Culture ในตลาดของเล่นและเกมในประเทศต่าง ๆ อาทิ เดนมาร์กเป็นที่ตั้งของบริษัทผลิตของเล่นรายสำคัญอย่างบริษัท LEGO ที่มีกลยุทธ์สำคัญเพื่อดึงดูดความสนใจ อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย การเข้าสู่ตลาดเกมและสวนสนุก และการเข้าซื้อลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์จากการ์ตูนและภาพยนตร์ทั้ง Star Wars Marvel Harry Potter และ Jurassic Park เพื่อผลิตสินค้าที่เชื่อมโยงกับ Pop Culture สร้างประสบการณ์แบบใหม่ที่เสริมความสนุกให้กับผู้เล่น ทำให้สามารถดึงดูดลูกค้าได้ทั้งกลุ่มเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ ทำให้ LEGO เป็นบริษัทผลิตของเล่นชั้นนำที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดของโลก 10 ปีติดต่อกัน โดยปี 2023 มีมูลค่า 7.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 6.5            ญี่ปุ่นมีบริษัทของเล่นที่มีชื่อคือบริษัท BANDAI NAMCO ซึ่งเป็นการควบรวมของบริษัท BANDAI ผู้ผลิตฟิกเกอร์และของเล่นตัวการ์ตูน (เช่น Mobile Suit Gundam และ Ultraman) และบริษัท NAMCO ผู้นำในวงการเกม (เช่น Pac-Man และ Galaxian) BANDAI NAMCO สร้างรายได้จากการเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ในลิขสิทธิ์และแฟรนไชส์ ทั้งหมดกว่า 1,929 IP ทั้งในส่วนของการ์ตูน คาแรคเตอร์ และเกม ส่งผลให้สามารถครองสัดส่วนรายได้สูงเป็นอันดับ 2 ในอุตสาหกรรมของเล่นของโลก รองจากบริษัท LEGO โดยปี 2023 BANDAI NAMCO มีรายได้สูงถึง 7.17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการพัฒนาสินค้าใหม่ตามความต้องการของตลาด การออกสินค้ารุ่นพิเศษคุณภาพสูงที่ผลิตตามจำนวนพรีออร์เดอร์เท่านั้น รวมถึงการใช้กลยุทธ์ Pop Culture ร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำอื่น ๆ เช่น BANDAI NAMCO x Nike เพื่อผลิตสินค้าลิมิเต็ดเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังมีเป้าหมายในการขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศมากขึ้น            สหรัฐอเมริกามีบริษัทของเล่นยักษ์ใหญ่ระดับโลกหลายรายที่ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาและ Pop Culture อาทิ บริษัท JAKKS Pacific ผู้ผลิตของเล่นที่มีลิขสิทธิ์จากการ์ตูนและตัวละครชื่อดัง เช่น Disney และ The Simpsons บริษัท Hasbro เจ้าของแบรนด์ My Little Pony และเกม Monopoly และยังได้รับสิทธิ์ในการผลิตของเล่นเกี่ยวกับ Marvel รวมถึง บริษัท Mattel ผู้คิดค้นและผู้ผลิต Barbie และเกม UNO พร้อมทั้งถือลิขสิทธิ์ของเล่นของบริษัทบันเทิงระดับโลกอย่าง Disney และ Warner Brothers โดยรัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวทางสนับสนุนการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในอุตสาหกรรมของเล่น เพื่อให้ผู้ผลิตของเล่นสามารถปกป้องแนวคิดที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง            สหราชอาณาจักรมีมูลค่าตลาดอุตสาหกรรมของเล่นปี 2023 อยู่ที่ 3.5 พันล้านปอนด์ ประเภทของเล่นที่มีสัดส่วนยอดขายสูงสุดคือ ของเล่นลิขสิทธิ์ (Licensed Toys) ที่ผสมผสานความเป็น Pop Culture โดยมีสัดส่วนร้อยละ 32 ของยอดขายของเล่นทั้งหมด และมีตลาดของเล่น Kidults เป็นกลุ่มที่น่าสนใจ เนื่องจาก ครองส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 28.7 ของยอดขายของเล่นทั้งหมด ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านปอนด์ เติบโตจากปีก่อนหน้าร้อยละ 6            ในขณะที่ จีน มีร้านขายของเล่น Art Toy แบรนด์ POP MART ที่กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยในปี 2023 มียอดขายกว่า 6.3 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 จากปี 2022 รายได้หลักมาจาก 2 ส่วน คือ Art Toy จากความร่วมมือกับศิลปินและนักออกแบบชื่อดัง อาทิ เคนนี หว่อง ศิลปินชาวฮ่องกง และ Art Toy จากความร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำ เช่น Walt Disney และ Universal Studios ที่นำตัวละครมาผลิตเป็นของเล่น ซึ่งความพิเศษของ POP MART คือการจำหน่ายของเล่นในรูปแบบกล่องสุ่ม (Blind Box) ที่ช่วยสร้าง ความตื่นเต้นให้นักสะสมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ POP MART ได้กลายเป็นผู้เล่นที่ครองตลาด Art Toy มากที่สุดในจีนถึงร้อยละ 13.6 ปัจจุบันมีหน้าร้านกว่า 350 สาขา และตู้ขายสินค้ากว่า 2,000 แห่งทั่วโลก และยังสามารถเลือกซื้อได้ทั้งทาง Online และ Offline ทำให้สะดวกในการเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น            ผอ.สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า ตลาดของเล่นและเกมยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง โดย Kidults และ Pop Culture เป็นปัจจัยน่าจับตามอง ที่แสดงให้เห็นว่าตลาดของเล่นไม่ได้จำกัดอยู่ในกลุ่มเด็กอีกต่อไป แต่กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีกำลังซื้อ จึงเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการควรสร้างความร่วมมือกับแบรนด์ต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จาก Pop Culture สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับความทรงจำวัยเด็ก เพื่อกระตุ้นความสนใจและตอบสนองความต้องการซื้อของ Kidults ควบคู่ไปกับการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อเสริมสร้างแบรนด์ให้มีความแตกต่าง เพิ่มมูลค่าทางการตลาด และสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าระยะยาวได้ โดยเฉพาะในตลาดของสะสม

กกท. เปิดขายบัตร Moto GP  รายการ PT Grand Prix of Thailand 2025 พร้อมกัน 9 ม.ค.68

กกท. เปิดขายบัตร Moto GP รายการ PT Grand Prix of Thailand 2025 พร้อมกัน 9 ม.ค.68

          หุ้นวิชั่น - โมโตจีพี สุดยอดอีเว้นต์มอเตอร์สปอร์ตระดับพรีเมียม เตรียมระเบิดศึกพรี-ซีซั่นและสนามเปิดฤดูกาล 2025 ในประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ศกหน้า แฟนความเร็ววอร์มนิ้วให้พร้อม กดจองบัตรให้ทัน การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เตรียมแถลง-เปิดจำหน่ายบัตรชมการแข่งขันในวันที่ 9 มกราคม  2568  ตั้งแต่เวลา 14.00 น.เป็นต้นไป “ผู้ว่า กกท.” ชี้ความนิยมพุ่งสูง กระแสเชียร์นักบิดไทย กระหึ่มทุบทุกสถิติความนิยม เต็มทุกที่นั่งทุกแสแตนด์แน่นอน           รัฐบาลไทยนำโดย “กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา” ร่วมกับ “การกีฬาแห่งประเทศไทย” หน่วยงานภาครัฐ-เอกชน เตรียมจัด แถลงข่าวการจัดการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตที่ยิ่งใหญ่ของโลก “โมโตจีพี” ภายใต้ชื่อรายการ "PT Grand Prix of Thailand 2025” (พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์) พร้อมเปิดจำหน่ายบัตรอย่างเป็นทางการ วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2568 โดยการแข่งขันรายการนี้จะระเบิดศึกในประเทศไทย เป็นสนามที่ 1 เปิดฤดูกาล ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์-2 มีนาคม 2568 ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์           ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยว่า นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้รับบทบาทสำคัญในการเป็นสนามทดสอบ-เปิดฤดูกาลโมโตจีพี ประจำปี 2025 หลังจากได้ประกาศศักดาและศักยภาพฝีมือการรังสรรค์บิ๊กอีเว้นต์กีฬาระดับนานาชาตินี้ ด้วย Thai Power ที่ทรงพลัง สอดผสานกีฬาและศิลปวัฒนธรรม การท่องเที่ยว เชื่อมต่อกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างลงตัวในทุกมิติ จากความร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ตั้งแต่จัดการแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี 2018 คว้ารางวัลการจัดการแข่งขันที่ดีที่สุดของปีไปครอง ยอดผู้ชมตลอด 3 วัน ทะลุ 222,535 คน และในปี 2019 ประเทศไทยมีสถิติผู้ชมตลอดทั้งงานที่ 226,655 คน ถือเป็นสนามที่มียอดผู้ชมสูงที่สุดของโมโตจีพีทุกสนามในปีนั้น โดยตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา สนามประเทศไทยถือว่าได้รับการยอมรับและประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่สนามหนึ่งของโลก           “การจัดศึกพรี-ซีซั่นโมโตจีพี รวมถึงเปิดฤดูกาล สนามแรกที่ประเทศไทยในปี2025 นี้ จะเป็นที่จับตาและได้รับความสนใจอย่างสูงสุดของแฟนความเร็วจากทั่วทุกมุมของโลกก็ว่าได้ ทั้งจากคุณลักษณ์พิเศษ เสน่ห์ของการเป็นสนามที่ 1 ของฤดูกาล การจัดทดสอบก่อนแข่งขัน เฝ้าติดตามเชียร์นักบิดที่ชื่นชอบในรถคันใหม่ เทคโนโลยีใหม่ หรือแม้แต่ทีมใหม่ รวมถึงการก้าวสู่รุ่นพรีเมียร์คลาสครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของนักบิดไทย “ก้อง-สมเกียรติ จันทรา” จะสร้างกระแสความนิยม-ความภาคภูมิใจของคนไทย รวมทั้งแฟนความเร็วทั่วโลกที่คอยติดตามอย่างมาก”           “เชื่อว่าเราอาจจะได้เห็นภาพการจองบัตรแบบทุบทุกสถิติ ความนิยมถล่มทลาย โดยคาดว่าที่นั่งจะเต็มในทุกสแตนด์ ภายในระยะเวลาอันสั้น เพราะที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า สนามช้างฯ นั้นมีการออกแบบให้เชียร์สนุกในทุกมุมมอง รวมถึงความเต็มอิ่มกับ 3 วันคุณภาพที่แฟนความเร็วได้รับ จากทั้งในและนอกสนาม สิทธิประโยชน์จัดเต็ม สนุกกับกิจกรรมความบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ครบครัน คอนเสิร์ต มวย ช้อป ชิม เป็นประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตที่เรียกได้ว่าคุ้มค่าที่สุดและชนะใจแฟนจากทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง”           ทั้งนี้ ดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ “โมโตจีพี” ยังมีแผนที่จะจัดงานเปิดตัว MotoGP ฤดูกาล2025 ที่กรุงเทพ ประเทศไทย โดยจะเป็นการแถลงข่าวโหมโรงเปิดตัวนักแข่ง ทีมแข่ง รถแข่ง ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 จากนั้นต่อด้วย ศึกพรี-ซีซั่น เทสต์ หรือการทดสอบก่อนเปิดสนาม ในวันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ ที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต  และวันที่ 28 กุมภาพันธ์-2 มีนาคม 2568 เป็นวันแข่งขัน สนามประเทศไทย           สำหรับช่องทางการเปิดจำหน่ายบัตรโมโตจีพี 2025 ได้แก่ Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่เว็บไซด์ allticket เริ่มจำหน่ายตั้งแต่ วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2568 เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจ Chang Circuit Buriram [PR News ]

SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้กรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์

SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้กรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์

        หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์ สหรัฐเผยตัวเลขดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบรายปี 7% ในเดือนพฤศจิกายน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.6% ในเดือนตุลาคม บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐปรับลดลง หลังเงินเฟ้อออกมาตามคาด หนุนเฟดลดดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 ในการประชุมสัปดาห์หน้า จับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐ และการประชุม ECB ในวันนี้ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยเช่นกัน

ราคาน้ำมันดิบปิดบวก ชี้ PTT, PTTEP รับอานิสงส์

ราคาน้ำมันดิบปิดบวก ชี้ PTT, PTTEP รับอานิสงส์

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent +1.84%d-d ปิดที่ USD 73.52/barrel น้ำมันดิบ WTI +2.48%d-d ปิดที่ USD 70.29/barrel โดย WTI มีแนวต้านระยะสั้นที่ 71.5$ แรงหนุนหลักมาจาก 1.)ข่าวสหภาพยุโรป (EU) มีมติตกลงที่จะคว่ำบาตรน้ำมันของรัสเซียเพิ่มเติม (Sanction) ผสาน 2.) ความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีน 3.) EIA เผยว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าตลาดคาดจะลดเพียง 1.0 ล้านบาร์เรล โดยมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP

จับตาราคาทอง เช้าวันนี้ปรับขึ้น 250 บาท

จับตาราคาทอง เช้าวันนี้ปรับขึ้น 250 บาท

        หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 12 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 250 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 43,400.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 43,500.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 42,614.76 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 44,000.00 บาท

รัฐลุย 'โครงการคุณสู้ เราช่วย' เคลียร์หนี้ครัวเรือน 2.1 ล้านบัญชี ยอดรวม 8.9 แสนล้าน!

รัฐลุย 'โครงการคุณสู้ เราช่วย' เคลียร์หนี้ครัวเรือน 2.1 ล้านบัญชี ยอดรวม 8.9 แสนล้าน!

          รัฐบาลจับมือ ธปท. และสถาบันการเงิน เปิดตัวโครงการ 'คุณสู้ เราช่วย' ช่วยลูกหนี้รายย่อย-ธุรกิจ SMEs ผ่าน 2 มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” และ “จ่าย ปิด จบ” ครอบคลุมลูกหนี้ 2.1 ล้านบัญชี รวมยอดหนี้กว่า 8.9 แสนล้านบาท หวังลดภาระ-เพิ่มสภาพคล่อง พร้อมให้ลงทะเบียน 12 ธ.ค. 67 - 28 ก.พ. 68" โบรกมองว่า บวกต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก การเงิน และ ธนาคาร ผ่านกำลังซื้อที่จะเพิ่มขึ้น และ สัดส่วน NPL ที่คาดจะลดลง เช่น CPALL OSP CPAXT CPN CRC KKP TTB KBANK SCB KTC และ AEONTS           หนี้ครัวเรือนเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนและการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ความสำคัญและร่วมกันผลักดันแนวทางการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง โดยหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ที่มีผลบังคับใช้เมื่อต้นปี 2567 เป็นการวางรากฐานแนวทางแก้ไขปัญหาให้ลูกหนี้อย่างยั่งยืน ผ่านความเข้มงวดในการกำกับสถาบันการเงินให้ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ประสบปัญหาด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งก่อนและหลังการเป็นหนี้เสีย อย่างไรก็ดี การเติบโตของเศรษฐกิจยังมีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน รายได้ของครัวเรือนและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) บางกลุ่มยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ขณะที่ภาระหนี้และค่าครองชีพหรือต้นทุนการประกอบธุรกิจยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางจำนวนมากยังเผชิญกับปัญหาในการชำระหนี้อยู่           กระทรวงการคลัง ธปท. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) บางแห่ง จึงได้ร่วมกันผลักดันมาตรการชั่วคราวเพิ่มเติม ภายใต้ชื่อโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs เฉพาะกลุ่ม โดยมีกลไกการส่งเสริมวินัยทางการเงินควบคู่ ไปกับการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการเสียวินัยในการชำระหนี้ (moral hazard) ในภายหลัง           โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” นับเป็นการประสานบทบาทของทั้งภาครัฐ เอกชน และลูกหนี้ ในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนในกลุ่มเปราะบาง โดยลูกหนี้จะต้องลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการและชำระหนี้ตามเงื่อนไข ขณะที่ภาครัฐและสถาบันการเงินจะร่วมสนับสนุนเม็ดเงินในการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมฝ่ายละครึ่งหนึ่ง (50%) เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ร่วมโครงการ โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ประกอบด้วย 2 มาตรการ ได้แก่           มาตรการที่ 1 “จ่ายตรง คงทรัพย์” เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน รถ และ SMEs ขนาดเล็กที่มีวงเงินไม่สูงมาก ให้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้แบบลดค่างวดและพักภาระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยค่างวดที่จ่ายจะนำไปตัดชำระเงินต้นทั้งหมด ขณะที่ดอกเบี้ยที่พักไว้ตลอดระยะเวลา 3 ปี จะได้รับการยกเว้น หากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ตลอดระยะเวลาของมาตรการ (ชำระเงินตรงเวลาและไม่ทำสัญญาสินเชื่อเพิ่มเติมในช่วง 12 เดือนแรกของการเข้าโครงการฯ) มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” มีวัตถุประสงค์หลักในการช่วยเหลือลูกหนี้ที่วงเงินไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันทั้งบ้าน รถ และสถานประกอบการไว้ได้ โดยจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตให้กับลูกหนี้ โดยค่างวดที่ลดลงจะทำให้ลูกหนี้มีสภาพคล่องเหลือสำหรับดำรงชีพเพิ่มเติมระหว่างอยู่ในมาตรการ ขณะที่ดอกเบี้ยที่ได้รับยกเว้นจะช่วยให้ภาระหนี้โดยรวมของลูกหนี้ลดลง           มาตรการที่ 2 “จ่าย ปิด จบ” เป็นการช่วยลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่เป็นหนี้เสีย (สถานะ NPL) แต่มียอดคงค้างหนี้ไม่สูง (ไม่เกิน 5,000 บาท) โดยลูกหนี้จะต้องเข้ามาเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ เพื่อชำระหนี้บางส่วน ซึ่งมาตรการ “จ่าย ปิด จบ” นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้เสียและยอดหนี้ไม่สูง สามารถเปลี่ยนสถานะการเป็นหนี้ จาก “หนี้เสีย” เป็น “ปิดจบหนี้” และเริ่มต้นใหม่ได้เร็วขึ้น           ในช่วงเริ่มต้น โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” จะครอบคลุมลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ในระยะต่อไป ผู้ประกอบธุรกิจกลุ่ม Non-bank อื่น ๆ จะมีความช่วยเหลือออกมาเพิ่มเติม ซึ่งอาจมีรายละเอียดที่แตกต่างไป เพื่อร่วมกันผลักดันให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้างและครอบคลุมลูกหนี้ได้มากขึ้น           นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า “รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญของการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน โดยเชื่อว่ามาตรการนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ภาครัฐและเอกชนจึงร่วมกันออกโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ขนาดเล็ก ครอบคลุมลูกหนี้รวมจำนวน 2.1 ล้านบัญชี เป็นลูกหนี้ 1.9 ล้านราย และมียอดหนี้รวมประมาณ 8.9 แสนล้านบาท ทั้งนี้ การแก้หนี้ที่ยั่งยืนต้องควบคู่ไปกับการเพิ่มทักษะ (upskill/reskill) และเสริมสร้างรายได้ให้กับลูกหนี้ ซึ่งเป็นอีกด้านที่รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาและยกระดับรายได้ของครัวเรือนให้ดียิ่งขึ้น”           นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นงานที่ ธปท. ให้ความสำคัญและผลักดันมาต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและเศรษฐกิจเติบได้อย่างยั่งยืน โดยโครงการนี้มี 2 จุดสำคัญที่ต่างจากที่ผ่านมา คือ (1) การปรับโครงสร้างหนี้ที่เน้นตัดเงินต้น และลดภาระผ่อนในช่วง 3 ปี เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ (2) การร่วมสมทบเงิน (Co-payment) จากภาครัฐและสถาบันการเงินเพื่อช่วยลดภาระจ่ายของลูกหนี้ โดยชื่อของโครงการนี้สะท้อนความตั้งใจของทุกฝ่าย โดย “คุณสู้” สะท้อนถึงลูกหนี้ที่พร้อมจะสู้ต่อในการแก้ไขปัญหาหนี้ ส่วน “เราช่วย” คือ ภาครัฐและสถาบันการเงินที่พร้อมช่วยเหลือลูกหนี้ เพื่อลดภาระและปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น ความสำเร็จของโครงการนี้ จึงถือเป็นความร่วมมือจากทั้งลูกหนี้ ภาครัฐ และเจ้าหนี้ ในการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน”           นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า “สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก พร้อมสนับสนุนภาครัฐในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย และผู้ประกอบธุรกิจรายเล็ก ซึ่งคาดว่าจะสามารถให้การช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงบริษัทลูกในกลุ่มได้ราว 1.5 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้กว่า 4 แสนล้านบาท โดยการร่วมมือกับภาครัฐเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ภายใต้โครงการนี้ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของสมาคมธนาคารไทยในการจัดการปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ไม่ทำให้ใครต้องตกไปอยู่นอกระบบจากโครงสร้างหรือข้อจำกัดของระบบ และภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” นั้น ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบอย่างเป็นธรรม กระตุกพลังในการปรับโครงสร้าง เพื่อร่วมกันผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน”           Mr. Giorgio Gamba ประธานสมาคมธนาคารนานาชาติ กล่าวว่า “สมาคมธนาคารนานาชาติพร้อมสนับสนุนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs และมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศอย่างเต็มที่ โดยเห็นพ้องกับแนวทางการดำเนินการของโครงการ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของสถาบันการเงินในการช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการสมทบเงินร่วมกับภาครัฐ (Co-payment) ผ่านกลไกการจัดตั้งแหล่งเงินทุนกลางภายใต้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) โดยสมาคมธนาคารนานาชาติยินดีให้ความร่วมมือและดำเนินการตามโครงการ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางให้สามารถชำระหนี้และไปต่อได้”           นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ในฐานะประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ กล่าวว่า “สถาบันการเงินของรัฐ พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐ และ ธปท. ในการสนับสนุนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” อย่างเต็มที่ โดยโครงการนี้จะช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีโอกาสรอดให้สามารถฟื้นตัวกลับมาชำระหนี้ได้ และยังมีการออกแบบกลไกการส่งเสริมวินัยทางการเงินควบคู่กับการป้องกันไม่ให้ลูกหนี้เสียวินัยในการชำระหนี้ด้วย ทั้งนี้ สถาบันการเงินของรัฐอยู่ระหว่างการหารือกับ ธปท. และกระทรวงการคลัง ในการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ลูกหนี้ของกลุ่ม Non-bank รวมถึงการพิจารณามาตรการเพิ่มเติม เพื่อส่งผ่านความช่วยเหลือไปยังลูกหนี้กลุ่มเปราะบางในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งจะไม่ทับซ้อนกับกลุ่มลูกหนี้ของโครงการนี้ ทั้งนี้ คาดว่ามีลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติที่ได้รับความช่วยเหลือผ่านมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ทั้ง 2 มาตรการของสถาบันการเงินของรัฐ จำนวนประมาณ 6 แสนบัญชี คิดเป็นยอดหนี้กว่า 4.5 แสนล้านบาท”           กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) มุ่งหวังว่าโครงการนี้จะช่วยให้ลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ที่ประสบปัญหาในการชำระหนี้ได้รับความช่วยเหลืออย่างตรงจุด สามารถฟื้นตัวและกลับมาชำระหนี้ได้หลังสิ้นสุดโครงการ นอกจากนี้ ทุกหน่วยงานพร้อมที่จะร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างบูรณาการต่อไป           ลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมมาตรการสามารถศึกษารายละเอียดของมาตรการและสมัครเข้าร่วมมาตรการได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568           ด้านบริษัท หลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึงว่า มองจะเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก การเงิน และ ธนาคาร ผ่านกำลังซื้อที่จะเพิ่มขึ้น และ สัดส่วน NPL ที่คาดจะลดลง เช่น CPALL OSP CPAXT CPN CRC KKP TTB KBANK SCB KTC และ AEONTS

นโยบายรัฐหนุนพลังงานฟื้น หุ้นไหนรับอานิสงส์ เช็กด่วน!

นโยบายรัฐหนุนพลังงานฟื้น หุ้นไหนรับอานิสงส์ เช็กด่วน!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดนโยบายรัฐจะเข้ามาหนุนการฟื้นตัวในปี 2568 แนวโน้มกำไร 4Q67 ของกลุ่มโรงไฟฟ้ายังสามารถเติบโต YoY ได้ต่อเนื่อง เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 4Q67 ของกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ระดับ 1.2 หมื่นล้านบาท ลดลง 29% QoQ หลังถูกกดดัน จาก 1) ปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้า IPP (ในช่วงปลายปี โรงไฟฟ้า IPP มักได้รับค่าความพร้อมจ่ายครบตาม สัญญากับ กฟผ. ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน พ.ย. - กลางเดือน ธ.ค. ท าให้มีรายได้จากส่วนดังกล่าวน้อยกว่าไตรมาสอื่น 2) ต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นเล็กน้อย QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลส่งผลให้อัตราการทำกำไรของโรงไฟฟ้า SPP มีโอกาสลดลง QoQ 3) ปัจจัยฤดูกาลของโครงการน้ำในลาว และ 4) การปิดซ่อมโรงไฟฟ้าบางส่วน อย่างไรก็ตามคาดกำไรปกติของกลุ่มฯ สามารถเติบโต 44% YoY จากฐานที่ต่ำในปีก่อน ตามการรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากโครงการใหม่ที่เข้าลงทุนหรือ COD ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (เช่น โรงไฟฟ้าGPD หน่วยที่ 3 และ 4, โรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 1 และโรงไฟฟ้าถ่านหิน Paiton หน่วยที่ 3, 7 และ 8)และต้นทุนพลังงาน (ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ) ที่ลดลง YoY           คาดกำไรปกติปี 2568 ของกลุ่มฯ ที่ 5.7 หมื่นล้านบาท เติบโต 11% YoY จาก 1) กำไรของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP (GPSC, BGRIM) ที่คาดเติบโต YoY ตามทิศทางต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลง (ผลจากการ เริ่มส่งออก LNG ที่มากขึ้นและเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอตัว) 2) การเริ่มรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากโครงการใหม่ เช่น โรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 2 (GULF, RATCH), โครงการลม Monsoon (BCPG), โครงการลมในเกาหลี (BGRIM) และโรงไฟฟ้า Paiton (RATCH, รับรู้แบบเต็มปีเป็นปีแรก) และ 3)อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เริ่มปรับตัวลงส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินโดยรวมลดลง           ความชัดเจนของนโยบายรัฐในปี 2568 จะเข้ามาหนุนการฟื้นตัวแม้ในปัจจุบันการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบ 2.2GW (เปิดให้ผู้ที่ไม่ได้รับคัดเลือกในรอบ 5.2GW ยื่นเสนอขายอีกครั้ง) ยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับกำหนดการประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือก (รมว. พลังงานมีค าสั่งให้ชะลอการรับซื้อรอบดังกล่าว, ปัจจุบัน กบง. อยู่ระหว่างการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคัดเลือกและการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด) แต่คาดในปี 2568 ภาครัฐจะมีการเปิดเผยแผนหรือนโยบายเกี่ยวกับการสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับ           แนวทางในการมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2608 และการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากบริษัทต่างชาติและ อุตสาหกรรม Data Center และ Cloud ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสูง โดยเบื้องต้นคาดแผน PDP ฉบับใหม่ (ปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับปรุงร่างฯ) และมาตรการสนับสนุนการติดตั้ง Solar Rooftop จะมีความชัดเจนมากขึ้นภายในช่วง 1H68และ 2H68 ตามลำดับ ขณะที่การออกกฎเกณฑ์ สำหรับการซื้อขายพลังงานโดยตรง (Direct PPA) คาดมีความชัดเจนในช่วงปลายปี 2568 เป็นอย่างเร็ว ให้ GPSC และ BGRIM เป็ น Top Picks ส าหรับการลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้าในปี 2568           ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้าสำหรับปี 2568 ที่ “มากกว่าตลาด” จากการเข้าสู่รอบของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลก และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มลดลงหลัง ปริมาณการส่งออก LNG ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยให้ GPSC ([email protected]) และ BGRIM ([email protected]) เป็น Top Picks จากกำไรที่คาดเติบโต YoY ได้ต่อเนื่องจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลงและการ COD โครงการใหม่ในต่างประเทศ (โครงการแสงอาทิตย์ในอินเดียของ GPSC และ โครงการลมในเกาหลีใต้ของ BGRIM) รวมถึงปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเพิ่มขึ้น จากการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการต่างชาติและการเติบโตของอุตสากรรม Data Center

ราคาน้ำมันดิบทรงตัว จากก่อนหน้าเพิ่มขึ้นรับจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ

ราคาน้ำมันดิบทรงตัว จากก่อนหน้าเพิ่มขึ้นรับจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ราคาน้ำมันดิบ WTI +0.21$ (+0.32%) ปิดที่ 68.59$/bbl และ น้ำมันดิบ Brent ลดลง -0.03$ (-0.04%) ปิดที่ 72.11$/bbl ทรงตัวหลังปรับเพิ่มขึ้นในช่วงวันก่อน ตอบรับกระแสข่าวจีนเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้นโยบายการเงิน การคลังแบบขยายตัว และกระแสความตึงเครียดตะวันออกกลาง อิสราเอล บุกซีเรีย

แนวโน้มราคาน้ำมันสัปดาห์วันที่ 9 – 13 ธ.ค. 67

แนวโน้มราคาน้ำมันสัปดาห์วันที่ 9 – 13 ธ.ค. 67

          หุ้นวิชั่น - สถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 2 – 6 ธ.ค. 67 และแนวโน้มสัปดาห์วันที่ 9 – 13 ธ.ค. 67 ตลาดคาดอุปทานมีแนวโน้มเกินดุล แม้ OPEC+ เลื่อนแผนเพิ่มการผลิต วันที่ 5 ธ.ค. 67 การประชุม Joint Ministerial Monitoring Committee (JMMC) ทาง Video conference ของ OPEC+ เลื่อนแผนเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบในส่วนที่เคยอาสาลดการผลิตโดยสมัครใจ (Voluntary Cut) ปริมาณ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ม.ค. 68 เป็นเดือน เม.ย. 68 ที่ปริมาณ 138,000 บาร์เรลต่อวัน/เดือน หลังอุปสงค์น้ำมันโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่ IEA คาดการณ์อุปทานน้ำมันโลกในปี 2568 จะมากกว่าอุปสงค์ (Surplus) อยู่ที่ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน Baker Hughes Inc. รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบ (Oil Rig) ในสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 6 ธ.ค. 67 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 5 แท่น อยู่ที่ 482 แท่น สูงสุดตั้งแต่กลางเดือน ต.ค. 67 กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ในเดือน พ.ย. 67 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 227,000 ราย (มากกว่า Reuters Poll คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 200,000 ราย) ขณะที่อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1% อยู่ที่ 4.2% ทำให้ Fed มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค. 67 วันที่ 8 ธ.ค. 67 TASS สำนักข่าวรัสเซียรายงาน นาย Bashar al-Assad และครอบครัวลี้ภัยอยู่ที่กรุง Moscow เมืองหลวงของรัสเซีย หลังจากกลุ่มกบฏ Hayat Tahrir al-Sham (HTS) ในซีเรีย ประกาศทางโทรทัศน์ว่าสามารถยึดศูนย์กลางอำนาจรัฐบาลเมือง Damascus เมืองหลวงของซีเรียได้สำเร็จ โค่นอำนาจรัฐบาลของนายแพทย์ Bashar al-Assad ยุติการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ 54 ปี ของครอบครัว Assad อย่างไรก็ดีการสู้รบไม่มีผลกระทบต่อแหล่งผลิตน้ำมัน ที่มา ฝ่ายสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 11 ธันวาคม 2567                  

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.60-33.80 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.60-33.80 บาท/ดอลลาร์

 หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน จากกลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.60-33.80 บาท/ดอลลาร์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นหลังคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้น้อยลง จีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ ผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้นเพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ทองคำปรับตัวสูงขึ้นจากแรงหนุนคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดและความตึงเครียดในตะวันออกกลาง จับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ คืนนี้เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมสัปดาห์หน้า

ราคาทองสดใส เช้าวันนี้ปรับขึ้น 450 บาท

ราคาทองสดใส เช้าวันนี้ปรับขึ้น 450 บาท

หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 11 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 450 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,950.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 43,050.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 42,175.12 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,550.00 บาท

บัตรเครดิต ttb จัดดีลพิเศษรับ iPhone 16 แบ่งชำระ 0% นานสูงสุด 36 เดือน

บัตรเครดิต ttb จัดดีลพิเศษรับ iPhone 16 แบ่งชำระ 0% นานสูงสุด 36 เดือน

           ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มอบสิทธิพิเศษสุดคุ้มสำหรับผู้ถือบัตรแครดิต ttb และบัตรกดเงินสด ttb เมื่อซื้อ iPhone 16 รับสิทธิ์แบ่งชำระ 0% ได้นานสูงสุดถึง 36 เดือน พร้อมรับเครดิตเงินคืนรวมสูงสุด 18,000 บาท เมื่อใช้จ่ายผ่านร้านค้าชั้นนำที่ร่วมรายการ สามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ทุกประเภทบัตร ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2567 – 31 ม.ค. 2568 (ระยะเวลาโปรโมชันของแต่ละร้านแตกต่างกัน)            สำหรับการชำระเต็มจำนวน รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 1,000 บาท / เดือน เฉพาะที่ AIS Shop ทุกสาขา และสำหรับการแบ่งชำระ 0% pay plan เมื่อซื้อ iPhone 16 ทุกรุ่นที่ร่วมรายการตามเงื่อนไข ที่ ร้านค้าชั้นนำที่ร่วมรายการ รับเครดิตเงินคืน 4% ที่ True Shop (DTAC in True Shop), True Store Online, dtac online store, Studio7, BaNANA, KingKong Phone, BKK, True by Double 7 สาขาที่ร่วมรายการ และทางออนไลน์ studio7thailand.com และ www.bnn.in.th รับเครดิตเงินคืน 3% ที่ iStudio, U Store, Ai_, .life by copperwired, iStudio, iBeat, U Store, mobi by SPVI, iStudio, iBeat, U Store by Uficon, Advice สาขาที่ร่วมรายการ และทางออนไลน์ istudio.store, www.istudiobyspvi.com และ www.uficon.com รับเครดิตเงินคืน 2% ที่ Jaymart, TG, IT City | CSC และI.B สาขาที่ร่วมรายการ รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 4,000 บาท / เดือน ที่ Apple Store และ Apple Store Online            นอกจากนี้แลกคะแนนเพื่อรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% เมื่อใช้คะแนนสะสมทุก 1,000 คะแนน และทำรายการแบ่งชำระ 0% pay plan โดยทำรายการแบ่งชำระตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป และแลกคะแนนไม่เกินยอดใช้จ่าย โดยจำกัดการแลกคะแนนสะสมสูงสุด 100,000 คะแนน / บัญชีบัตรหลัก ตลอดรายการส่งเสริมการขาย บัตรเครดิต ttb reserve รับเครดิตเงินคืน 15% บัตรเครดิต ttb อื่น ๆ ประเภทที่มีคะแนนสะสม และบัตรเครดิต ttb Global House รับเครดิตเงินคืน 12%            ทีทีบีส่งเสริมให้ลูกค้าบัตรเครดิต ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 7%-16% ต่อปี และลูกค้าบัตรกดเงินสด กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 25% ต่อปี เพื่อชีวิตทางการเงินที่ดีทั้งในวันนี้ และอนาคต            ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของโปรโมชันนี้ได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/ip16-nov24 [PR News]

ราคาน้ำมัน WTI - Brent ลดลง 1.6% และ 1.35% กังวลน้ำมันล้นตลาดฯ

ราคาน้ำมัน WTI - Brent ลดลง 1.6% และ 1.35% กังวลน้ำมันล้นตลาดฯ

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ราคาน้ำมัน WTI และ Brent ปรับลง 1.6% DoD และ 1.35% DoD จากความกังวลภาวะน้ำมันล้นตลาดจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ แม้โอเปกพลัสประกาศเลื่อนแผนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้

ส่องราคาทองเช้าวันนี้ ปรับขึ้น 100 บาท

ส่องราคาทองเช้าวันนี้ ปรับขึ้น 100 บาท

          หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 9 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 100 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,500.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 42,600.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 41,735.48 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,100.00 บาท

โรงไฟฟ้าฟอสซิลต้นทุนพุ่ง-โตช้าลง ไฟฟ้าภาคธุรกิจในปี 68 โตเพียง 1%

โรงไฟฟ้าฟอสซิลต้นทุนพุ่ง-โตช้าลง ไฟฟ้าภาคธุรกิจในปี 68 โตเพียง 1%

           หุ้นวิชั่น - ธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิลปี 2568 เผชิญต้นทุนเชื้อเพลิงสูงขึ้นตามราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลก ขณะที่รายได้ต่อหน่วยทรงตัวจากนโยบายตรึงค่าไฟของรัฐ แม้ดีมานด์ใช้ไฟฟ้าทั้งภาครัฐและเอกชนจะเพิ่มขึ้น แต่การเติบโตชะลอตัวจากปีก่อนหน้า สะท้อนเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป            ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้จัดทำบทวิเคราะห์ ระบุถึง  ต้นทุนเชื้อเพลิงฟอสซิลของโรงไฟฟ้าในปี 2568 คาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลก ขณะที่รายได้ต่อหน่วยของธุรกิจคาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 2567 เนื่องจากนโยบายภาครัฐที่ต้องการรักษาระดับค่าไฟในประเทศ เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิลในปี 2568 ยังคงมีทิศทางเติบโตจากความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศที่เพิ่มขึ้น แต่ในจังหวะที่ชะลอลงจากปีก่อนหน้า            ในปี 2568 รายได้จากการผลิตไฟฟ้าฟอสซิลเพื่อขายให้ภาครัฐมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นช้ากว่าปี 2567 ตามความต้องการใช้ไฟฟ้าในโครงข่ายภาครัฐที่ชะลอลงเป็น 1.4% ในปี 2568 จาก 3.5% ในปีก่อนหน้า โดยความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคธุรกิจในปี 2568 คาดว่าจะโตเพียง 1% ตามการใช้ไฟฟ้าภาคผลิตและบริการที่ชะลอลงจากปี 2567 ในขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือนคาดว่าจะโตเพียง 2% ในปี 2568 จากการเติบโตของจำนวนที่อยู่อาศัยตามทะเบียนบ้านที่ชะลอตัว            รายได้จากการขายไฟฟ้าแก่ผู้ใช้งานในนิคมอุตสาหกรรมในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้จะชะลอลงตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นช้ากว่าปี 2567 ซึ่งคาดว่าจะเติบโต 0.9% ชะลอตัวจาก 2.7% ในปีก่อนหน้า ตามการเติบโตที่ช้าลงของกิจกรรมการผลิต เนื่องจากสินค้าจีนที่ล้นตลาด ความเสี่ยงของธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิลในระยะกลางถึงยาว ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (ร่าง PDP 2024)มีเป้าหมายในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้า กำลังการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมีแนวโน้มลดลงจาก 38,108 MW ในปี 2566 สู่ 30,453 MW ในปี 2580 หรือลดลงราว 20% สัดส่วนอุปทานเชื้อเพลิงฟอสซิลคาดว่าจะลดลงจาก 72% ในปี 2566 สู่ 49% ในปี 2580 อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การผลิตไฟฟ้าโดยเชื้อเพลิงฟอสซิลจะมีทิศทางลดลงได้อีก เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2608 ความจำเป็นในการปรับตัวและการเปลี่ยนผ่านสู่ประเภทเชื้อเพลิงใหม่โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนเมื่อหมดสัญญากับคู่ค้า แม้โรงไฟฟ้าฟอสซิลโดยมากจะถือสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับคู่ค้า แต่แรงกดดันจากกระแสรักษ์โลกและการพัฒนาของเทคโนโลยี ส่งผลให้ธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับตัวสู่พลังงานทางเลือกใหม่ ซึ่งต้องใช้เงินในการลงทุนในการพัฒนาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มหันมาใช้ไฟฟ้าสะอาดมากขึ้นเนื่องจาก พ.ร.บ. Climate Change และกฎระเบียบการค้าโลกด้านสิ่งแวดล้อมที่เคร่งครัดมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีการส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรป ที่มีการใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ทำให้ผู้ผลิตในนิคมอุตสาหกรรมเริ่มหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออก อุปทานก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศมีแนวโน้มลดลงส่งผลให้ต้องมีการนำเข้า LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567-2580 (ร่าง Gas Plan 2024) ระบุว่าจากอุปทานทั้งหมด การจัดหาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในไทยมีแนวโน้มลดลงเหลือเพียง 36% ในปี 2580 จาก 55% ในปี 2567 สวนทางกับการนำเข้า LNG ที่เพิ่มขึ้น โดยราคา LNG สูงกว่าก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าฟอสซิลมีทิศทางเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อุปทานก๊าซธรรมชาติในไทยอาจมีการเปลี่ยนแปลง หากมีการเจรจาเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา (OCA) ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ยังไม่ทราบผลแน่ชัด และต้องใช้ระยะเวลา

ค่าเงินบาทวันนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 34.05-34.30 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 34.05-34.30 บาท/ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.05-34.30 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากดัชนีดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า หลัง ISM ภาคบริการของสหรัฐฯ เดือน พฤศจิกายนลดลงมาที่ 1 ต่ำกว่าที่ตลาดคาด ผลจากยอดสั่งซื้อ และการจ้างงาน เงินเฟ้อทั่วไปไทยออกมาที่ 95% ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 1.14% ด้านเงินเฟ้อพื้นฐานออกมาที่ 0.80% ใกล้เคียงตลาดคาด นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสแพ้การลงมติไม่ไว้วางใจ ทำให้ต้องหลุดจากตำแหน่ง ในขั้นต่อไป ประธานาธิบดีต้องเสนอชื่อนายกคนใหม่ ด้านค่าเงินยูโรทรงตัว หลังอ่อนค่าเร็วก่อนหน้านี้

OPEC+ เลื่อนเพิ่มกำลังผลิต ลดความเสี่ยงผลกระทบซบเซา

OPEC+ เลื่อนเพิ่มกำลังผลิต ลดความเสี่ยงผลกระทบซบเซา

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent -0.06% d-d ปิดที่ USD 72.27/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.35%d-d ปิดที่ USD 68.3/barrel ผลประชุม OPEC+ สอดคล้องกับตลาดคาด โดยมีการเลื่อนการเพิ่มกำลังการผลิตออกไปถึง ก.ย. 26 ลดความเสี่ยงผลกระทบความต้องการที่ยังซบเซาต่อราคา

ราคาทองเช้าวันนี้ ปรับลงร่วง 350 บาท

ราคาทองเช้าวันนี้ ปรับลงร่วง 350 บาท

          หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 6 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับลง 350 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,350.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 42,450.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 41,583.88 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 42,950.00 บาท

กองทรัสต์ IMPACT เผยปลายปีไฮซีซั่นงานอีเวนท์ - Sky Entrance คืบหน้าเกือบ 80%

กองทรัสต์ IMPACT เผยปลายปีไฮซีซั่นงานอีเวนท์ - Sky Entrance คืบหน้าเกือบ 80%

          หุ้นวิชั่น - กองทรัสต์ IMPACT เผยปลายปีอีเวนท์คึกคัก งานใหญ่ Flagship พาเหรดจัดเต็มพื้นที่ ด้านงานคอนเสิร์ตยอดจองล้นไปถึงปีหน้า จึงมั่นใจปีนี้ผลงานส่อแววสดใส ปักธงรายได้เติบโต 20-25% พร้อมกับอัตราการจ่ายเงินปันผลตอบแทนผู้ถือหน่วยเพิ่มขึ้นในระดับเดียวกัน ด้านโครงการ Sky Entrance เชื่อมสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูมีความคืบหน้างานก่อสร้างไปแล้ว 77% คาดแล้วเสร็จกุมภาพันธ์ปีหน้า หนุนการเดินทางปีหน้าสะดวกสบาย ขยายฐานลูกค้าใหม่ต่อเนื่องในปี 68/69 พร้อมจัดทัพบุกโรดโชว์ลูกค้า โฟกัสตลาดต่างประเทศ           นางสาววันเพ็ญ มุ่งเพียรสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์ เอ็ม ไอ จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อิมแพ็ค โกรท (IMPACT GROWTH REIT) ผู้นำศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยถึง ภาพรวมอุตสาหกรรม MICE และการท่องเที่ยวในปลายปีนี้ส่งสัญญาณบวก คึกคักรับไฮซีซั่นการจัดงานอีเวนท์และคอนเสิร์ตในช่วงปลายปี หรือในไตรมาส 3 ปี2567/2568 (ตุลาคม - ธันวาคม) มีการจัดงานใหญ่ต่อเนื่อง อาทิ งาน Motor Expo ครั้งที่ 41, งานบ้านและสวน, DronTech, Thailand Space Week และ Baby & Kids Best Buy ขณะที่ งานคอนเสิร์ตทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมีคิวบุ๊คกิ้งเข้ามาเต็ม ล้นยาวไปจนถึงปีหน้า ในด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ ในช่วงที่ผ่านมากองทรัสต์ฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ให้ทันสมัย เพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้าในการเข้ามาใช้บริการ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม และเพิ่มเติมลูกค้าใหม่ ด้วยมาตรฐาน และการพัฒนาบนหลัก Sustainability โดยจุดที่มีการปรับปรุงแล้วเสร็จ ได้แก่ IMPACT Common Space, Thai Thai Food Court และ Sky Kitchen Premium Food Court นอกจากนี้ โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ในโครงการ Sky Entrance สะพานทางเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายเมืองทองธานีเข้าสู่อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ปัจจุบันคืบหน้างานก่อสร้างไปแล้ว 77% คาดแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 สอดคล้องกับกำหนดการสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย คาดจะเปิดให้บริการภายในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ปีหน้า เพิ่มความสะดวกในการเดินทาง และดึงลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ขณะที่แผนการลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ อยู่ระหว่างศึกษาและพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อผลตอบแทนสูงสุดต่อผู้ถือหน่วยทรัสต์ อย่างไรก็ดี จากความสำเร็จของผลงานดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกที่ออกมาเติบโต กองทรัสต์ IMPACT จึงมั่นใจภาพรวมสิ้นปีนี้ ในปี 2567/68 (งบปีสิ้นสุด 31 มีนาคม 2568) จะเติบโตราว 20-25% จากปีก่อนมีรายได้รวมประมาณ 1,752 ล้านบาท พร้อมกับนโยบายการจ่ายเงินปันผลตอบแทนผู้ถือหน่วยเพิ่มขึ้นในระดับเดียวกันที่ 20-25% และคาดอัตราการใช้พื้นที่เฉลี่ยรวม (Occupancy Rate) 37-40% ทั้งนี้ กองทรัสต์ IMPACT มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลตอบแทนผู้ถือหน่วยที่ 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว โดยในไตรมาส 1 ปี 2567/68 จ่ายปันผลไปแล้ว 0.22 บาท/หน่วย นับเป็นการจ่ายปันผลสูงสุดของไตรมาส 1 ตั้งแต่จัดตั้งกองทรัสต์ และที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับไตรมาส 2 ปี 2567/2568 ที่ 0.11 บาท/หน่วย กำหนดวันที่จ่ายในวันที่ 13 ธันวาคม 2567 สนับสนุนให้ในงวดครึ่งปีแรก จ่ายปันผลรวมกันอยู่ที่ 0.33 บาท/หน่วย พร้อมประเมินภาพรวมกองทรัสต์ปี 2568/69 ภาพรวมธุรกิจ MICE คาดจะมีการจัดงานกลับมาใกล้เคียงช่วงก่อนโควิด ตามภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศ และการขยายตัวของลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะพื้นที่อิมแพ็ค อารีน่า โดดเด่นในการรองรับการจัดงานขนาดใหญ่ ชูกลุ่ม Entertainment  ทั้งงานคอนเสิร์ต และงานมิวสิคเฟสติวัล เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ งานท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Incentive) มีทิศทางที่ดี จากหลากหลายองค์กรทั้งในและต่างประเทศมีการจัดกิจกรรมต่อเนื่อง งานในกลุ่ม Global Conventions อยู่ระหว่างพูดคุยและรอคอนเฟิร์มเพิ่มเติม นอกจากนี้ วางแผนออกงานโรดโชว์และออกงานแสดงสินค้า บุกขยายฐานลูกค้าต่างประเทศเพิ่มเติม โดยเฉพาะตลาดจีนที่มีการเติบโตขึ้นมาก รวมทั้ง โฟกัสกลุ่มใหม่ๆ อาทิ อินเดีย เวียดนาม และ เกาหลี  เป็นต้น สำหรับก่อนหน้านี้ กองทรัสต์ IMPACT รายงานผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ประจำปี 2567/2568 (เมษายน - กันยายน 2567) มีรายได้รวม 1,058.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.6%  กำไรสุทธิ 559.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.8% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 378.6 ล้านบาท โดยมีอัตราการใช้พื้นที่เฉลี่ยรวม 39.3% และมีอัตราค่าเช่าพื้นที่เฉลี่ยรวม 84 บาทต่อตารางเมตร ลูกค้ามีการกระจายตัว 6 เดือนแรกปีนี้ แบ่งเป็น เอกชน 45% รัฐบาล 28% และต่างชาติ 27% ข้อมูลสรุป ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อิมแพ็ค โกรท : IMPACT ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อิมแพ็ค โกรท หรือ IMPACT ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่จะเข้าลงทุนในกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินประเภทศูนย์แสดงสินค้าและศูนย์การประชุม โดยมี บริษัท อาร์ เอ็ม ไอ จำกัด จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT Manager) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด ทำหน้าที่เป็นทรัสตี (Trustee) บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบัน IMPACT มีทรัพย์สินที่ลงทุนทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ ศูนย์การจัดแสดงอิมแพ็ค อารีน่า อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ (ฮอลล์ 1-3) ศูนย์การประชุมอิมแพ็คฟอรั่ม (ฮอลล์ 4) และศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี (ฮอลล์ 5-12)  ซึ่งทรัพย์สินทั้ง 4 แห่ง ตั้งอยู่ในโครงการอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีพื้นที่รวม 479,761 ตร.ม. และพื้นที่จัดแสดงสุทธิ 122,165 ตร.ม.

บริษัท ภูเก็ตแฟนตาชี จํากัด (มหาชน) ขอเลื่อนไถ่ถอนหุ้นกู้ ก.ล.ต. เตือนผู้ถือ ใช้สิทธิในการประชุม

บริษัท ภูเก็ตแฟนตาชี จํากัด (มหาชน) ขอเลื่อนไถ่ถอนหุ้นกู้ ก.ล.ต. เตือนผู้ถือ ใช้สิทธิในการประชุม

           หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ บริษัท ภูเก็ตแฟนตาชี จํากัด (มหาชน) ทั้ง 6 รุ่น ได้แก่ (1) PHUKET206A (2) PHUKET208A (3) PHUKET20DA (4) PHUKET207A (5) PHUKET207B และ (6) PHUKET216A ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติในวันที่ 9 ธันวาคม 2567           ตามที่บริษัท ภูเก็ตแฟนตาชี จํากัด (มหาชน) (PHUKET) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ทั้ง 6 รุ่น ครั้งที่ 1/2567 ในวันที่ 9 ธันวาคม 2567 เวลา 10.00 น. สำหรับหุ้นกู้รุ่น PHUKET206A PHUKET208A และ PHUKET20DA และเวลา 13.00 น. สำหรับหุ้นกู้รุ่น PHUKET207A PHUKET207B และ PHUKET216A ณ ห้องประชุมภัตตาคารบลอสซั่ม ซาฟารีเวิลด์ เลขที่ 99 ถนนปัญญาอินทรา แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณา ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ ออกไปอีก 1 ปี 6 เดือน เป็นครบกำหนดวันที่ 30 มิถุนายน 2569 (2) เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระดอกเบี้ยสำหรับงวดวันที่ 30 ธันวาคม 2567 โดยชำระดอกเบี้ยตาม งวดปกติร้อยละ 7.25 ต่อปี และดอกเบี้ยคงเหลือของงวดวันที่ 30 ธันวาคม 2564 ร้อยละ 5.25 ต่อปี (3) แบ่งชำระดอกเบี้ยคงเหลือทั้งหมดของงวดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 (ร้อยละ 6.25 ต่อปี) ออกเป็น 3 งวด ในช่วงระยะเวลาที่ขอขยายออกไป ได้แก่ งวดวันที่ 30 เมษายน 2568 งวดวันที่ 30 สิงหาคม 2568 และ งวดวันที่ 30 ธันวาคม 2568             ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับจากการมีมติอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบ โดยมีความเห็นของ ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย

เปิดบัญชี LH Bank ผ่านแอป LHB You รับบัตรแรบบิท 4 มหาเทพ

เปิดบัญชี LH Bank ผ่านแอป LHB You รับบัตรแรบบิท 4 มหาเทพ

          หุ้นวิชั่น - ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Bank) เปิดเผยว่า จากกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษในแคมเปญ “LH Bank x บัตรแรบบิท 4 มหาเทพ” ล่าสุดธนาคารได้ตอบโจทย์เอาใจสาย มูเตลูอีกครั้งส่งท้ายปี ต้อนรับปีใหม่พร้อมรับพร 4 มหาเทพ โปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ เมื่อเปิดบัญชี ออมทรัพย์ดิจิทัล บียู เวลท์ ผ่านแอปพลิเคชัน LHB You และฝากเงินขั้นต่ำ 2,000 บาท เลือกรับฟรี บัตรแรบบิท Success Infinite Prestige Collection พร้อมเติมเงินในบัตร มูลค่า 150 บาท หรือเลือกรับ E-Voucher ส่วนลด แมคโดนัลด์ มูลค่า 50 บาท (เลือกรับอย่างใด อย่างหนึ่ง) จำกัดสิทธิ์ 1 ท่าน ต่อ 1 สิทธิ์ ระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่วันที่ 1-31 ธันวาคม 2567           บัตรแรบบิท Success Infinite Prestige Collection คอลเลกชันพิเศษลาย 4 มหาเทพ ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์สำหรับลูกค้าที่ต้องการเสริมความเป็นสิริมงคล ให้ชีวิตราบรื่น มีความสำเร็จทุกด้าน เพิ่มความมั่นใจในการพกติดตัว ประกอบด้วยลวดลายองค์มหาเทพ อาทิ พระพิฆเนศ - องค์เทพแห่งความสำเร็จ, พระพรหม - องค์เทพผู้สร้างโลกและบันดาลความสำเร็จ, พระแม่ลักษมี - องค์เทพแห่งความร่ำรวยและความรัก และเจ้าแม่กวนอิม - องค์เทพ แห่งความรักและความเมตตา           ลูกค้าที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอป LHB You และเปิดบัญชีออมทรัพย์ดิจิทัล บียู เวล์ท พร้อมฝากเงิน ขั้นต่ำ 2,000 บาท โดยสามารถเปิดบัญชีได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 31 ธันวาคม 2567 และติดต่อรับบัตรแรบบิท “4 มหาเทพ” ได้ที่สาขา LH Bank ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2567 – 15 มกราคม 2568 ทั้งนี้ลูกค้าที่เปิดบัญชีสำเร็จและได้รับบัตรแรบบิท สามารถลงทะเบียนยืนยันตัวตน (KYC) บัตรโดยสารได้ที่สถานีรถไฟฟ้า BTS, Rabbit Service Center หรือดำเนินการด้วยตนเองผ่าน application My Rabbit ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.lhbank.co.th หรือ โทร. 1327

โบรกชี้ปรับภาษี ดันกำไรหุ้นพุ่ง 6%

โบรกชี้ปรับภาษี ดันกำไรหุ้นพุ่ง 6%

          หุ้นวิชั่น - รมว.คลัง เตรียมแผนลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 15% หนุน EPS ตลาดโต 6% ดัน SET Index เพิ่ม 100 จุด พร้อมจูงใจ Fund Flow ไหลเข้า ทั้งการลงทุนทางตรงและทางอ้อม           บล.เอเชียพลัส ประเมินประเด็น กรณีที่คลังจ่อปรับโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่ จะกระทบภาคส่วนไหนบ้าง ? วานนี้ รมว. คลัง เผยแนวทางในการปรับปรุงการจัดเก็บภาษี เพื่อให้สอดคล้องกับ สถานการณ์ ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล อาจพิจารณาปรับลดการจัดเก็บภาษีเหลือ 15% (เดิม 20%) เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ฝ่ายวิจัยฯ มองเป็นบวกต่อภาค ธุรกิจมีกำไรเพิ่มขึ้น และการจ้างงานอาจเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอาจ จัดเก็บภาษีได้น้อยลง ทำให้รายได้ลดลง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อาจพิจารณาปรับลดการจัดเก็บภาษีเหลือ 15% (เดิมเป็นอัตราก้าวหน้าของภาษีเงินได้ สูงสุด 35%) หวังดึงดูดแรงงานมี ฝีมือกลับไทย ฝ่ายวิจัยฯ มองเป็นบวกต่อกลุ่มผู้มีรายได้สูง ซึ่งจะทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น ขณะที่รัฐบาลจะจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น จากกลุ่มผู้มีรายได้น้อย แต่ ในทางกลับกัน รัฐบาลก็ต้องแลกมาด้วยการจัดเก็บภาษีของผู้มีรายได้สูง ลดลง อีกทั้งโอกาสกระทบต่อกำลังซื้อของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้านแหล่งข่าวระดับสูงเปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า เบื้องต้นรัฐบาลวางแผนปรับขึ้นภาษีเป็น 8% (เดิม 7%) ขณะที่ทั่วโลกมีการเก็บระหว่าง 15-25% เพื่อนำรายได้ภาษีช่วยผู้ มีรายได้น้อย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ผ่านการสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน โดยฝ่ายวิจัยฯ มองเป็นบวกต่อการเพิ่มรายได้ของภาครัฐ ซึ่งจะลดขนาดการขาดดุล และลดความเสี่ยงต่อการถูกปรับลด CREDIT RATING แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งอาจกระทบโดยตรงต่อเงินเฟ้อเสี่ยงสูงขึ้น ซึ่งจะ ลดกำลังซื้อของผู้มีรายได้น้อย การบริโภคน้อยลง           เมื่อพิจาณาแหล่งรายได้ของรัฐบาลในงบประมาณปี 2567 (ต.ค.66 - ก.ย.67) ส่วน ใหญ่มาจากภาษีมูล่าเพิ่ม (VAT) คิดเป็นสัดส่วน 28% และหากมีการปรับโครงสร้าง ภาษีให้มาอยู่ที่ฐาน 15% เบื้องต้น ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าจะทำให้รัฐบาลสามารถ จัดเก็บรายได้มากกว่าที่สูญเสียไป           ปรับโครงสร้างภาษี หนุน FUND FLOW ไหลกลับหุ้นไทยได้ วานนี้มีสัญญาณดีขึ้น จาก FUND FLOW ต่างชาติที่กลับมาซื้อสุทธิในตลาดการเงิน ไทยทุกแห่ง คือ ต่างชาติซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทย 3.17 พันล้านบาท ซื้อสุทธิหุ้นไทย 1.4 พันล้านบาท และซื้อ SET50 FUTURES สูงถึง 36,951 สัญญา ส่วนหนึ่งอาจเป็น เพราะ ได้รับ SENTIMENT บวกจากการที่คลังจะปรับโครงสร้างภาษีแบบ 15 – 15 - 15 โดยเฉพาะประเด็นการปรับลดภาษีนิติบุคคลจาก 20% เหลือ 15% เบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯ ประเมินประเด็นการปรับลดภาษีนิติบุคคลจาก 20% เหลือ 15% ช่วยหนุนตลาด และแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นได้ดังนี้ หนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นราว 6.25% หรือเพิ่ม EPS 6 บาทต่อหุ้น เพิ่ม UPSIDE ให้ SET INDEX เพิ่มขึ้นราว 100 จุด (อิง EPS 97 บาท/หุ้น และ PE 16.5 เท่า) จูงใจให้ FUND FLOW ไหลเข้ามาลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมเพิ่มขึ้น สรุปประเด็นการปรับโครงสร้างภาษีนิติบุคคล มีโอกาสหนุน EPS ตลาดเพิ่มขึ้นได้ 6% พร้อมกับจูงใจเห็นการลงทุนทั้งทางตรง และทางอ้อมขึ้นได้

ทีดี ตะวันแดง ออกแถลงการณ์ฉบับ2  แจ้งความ 7 รายแรก กรณีกล่าวหา “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน”

ทีดี ตะวันแดง ออกแถลงการณ์ฉบับ2 แจ้งความ 7 รายแรก กรณีกล่าวหา “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน”

          ตามที่มีกลุ่มบุคคลรวมตัวร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมีการกล่าวหาว่าบริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด (“บริษัทฯ”) หลอกลวงให้ร่วมลงทุนในธุรกิจร้านโชห่วยจนเกิดความเสียหาย และมีการเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ รวมถึงโซเชียลมีเดีย จนทำให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง สร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” และก่อให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทฯ นั้น           บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า บริษัทฯ ดำเนินการร้านค้าถูกดี มีมาตรฐาน กับผู้ประกอบการ (พาร์ทเนอร์) โดยทำสัญญาว่า บริษัทฯ ตกลงจัดส่งสินค้าไปให้พาร์ทเนอร์วางจำหน่าย จัดหาอุปกรณ์ที่ใช้ในร้านและระบบการจัดการร้านค้าให้พาร์ทเนอร์ โดยมิได้เรียกเก็บค่าแรกเข้าและยังไม่ต้องชำระค่าสินค้า ทำให้พาร์ทเนอร์มีสินค้าจำหน่ายโดยไม่ต้องลงทุนค่าสินค้า การขายสินค้าทุกรายการต้องทำผ่านเครื่องคิดเงินอัตโนมัติ (POS) ของบริษัทฯ เพื่อบันทึกประวัติการขาย ยอดขาย และจำนวนสินค้าคงเหลือให้ถูกต้อง และพาร์ทเนอร์จะนำส่งเงินรับจากการขายให้บริษัทฯ ภายในวันทำการธนาคารถัดไป จากนั้นทุกสิ้นเดือน บริษัทฯ จะสรุปรายได้จากการขายหักด้วยต้นทุนสินค้า และโอนส่วนกำไร 85% ให้พาร์ทเนอร์ และบริษัทฯ ได้รับค่าตอบแทน 15% ของกำไร พาร์ทเนอร์ในฐานะเจ้าของร้านค้า และบริษัทฯ ต่างมีหน้าที่ชำระภาษีตามกฎหมาย           ระบบที่ใช้บริหารจัดการในร้านค้าเป็นระบบที่มีมาตรฐาน มีการจัดเก็บข้อมูลการใช้งาน สามารถทวนสอบได้ ในการทำรายการต่างๆ ต้องผ่านเครื่องคิดเงินอัตโนมัติ (POS) ซึ่งตั้งอยู่ที่ร้านค้าของ พาร์ทเนอร์ และต้องใช้รหัสผ่านส่วนตัวของพาร์ทเนอร์สำหรับการเข้าใช้งานเท่านั้น           บริษัทฯ ขอยืนยันว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจด้วยความสุจริตมาตั้งแต่ปี 2561 และยังคงดำเนินธุรกิจกับพาร์ทเนอร์กว่า 3,000 ราย ด้วยรูปแบบการดำเนินธุรกิจเดียวกัน ข้อกล่าวอ้างของกลุ่มบุคคลที่ใส่ความบริษัทฯ ดังกล่าว เป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยและปราศจากมูลความจริง การใส่ความบริษัทฯ ผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อธุรกิจ ชื่อเสียง ภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นในธุรกิจของบริษัทฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน”           ดังนั้น เพื่อปกป้องชื่อเสียงและสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทฯ บริษัทฯ ได้แจ้งความดำเนินคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาทและข้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลดังกล่าว รวมทั้งเรียกค่าเสียหายจากผลกระทบทางธุรกิจและการเสื่อมเสียชื่อเสียงกับกลุ่มบุคคลที่ใส่ความบริษัทฯ 7 รายแรก เช่น ร้านค้าในจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดอื่นที่ปรากฏหลักฐานขายนอกโพสต์จำนวนมากจนสินค้าสูญหายมูลค่ากว่า 160,000 บาท ถึงเกือบ 400,000 บาท  ร้านค้าในจังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดอื่น ที่ไม่นำส่งเงินรับจากการขายให้บริษัทฯ มูลค่าความเสียหายกว่า 50,000 บาทถึงกว่า 100,000 บาท ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินคดีตามกฎหมาย  นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อดำเนินคดีกับบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องหรือกรณีการกระทำผิดอื่น เพื่อปกป้องชื่อเสียงและสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทฯ และเพื่อป้องปรามมิให้เกิดการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิของบริษัทฯ ต่อไป           บริษัทฯ ขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนและบุคคลทั่วไปในการหลีกเลี่ยงการเผยแพร่หรือสนับสนุนข้อมูลเท็จดังกล่าว เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มบุคคลที่มุ่งสร้างความเสียหายแก่บริษัทฯ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด [PR News]

‘พลังงาน’ จับมือ ‘ซัสโก้’ ลดราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 1 บาท 1 เดือน ฉลองวันพ่อแห่งชาติ ลดค่าใช้จ่ายประชาชน

‘พลังงาน’ จับมือ ‘ซัสโก้’ ลดราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 1 บาท 1 เดือน ฉลองวันพ่อแห่งชาติ ลดค่าใช้จ่ายประชาชน

          หุ้นวิชั่น - วันนี้ (3 ธ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้แถลงถึงความร่วมมือระหว่างกระทรวงพลังงาน และ กลุ่มบริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) ในการลดราคาน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 1.00 บาท เป็นเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2568 ณ สถานีบริการจำหน่ายน้ำมันของ ซัสโก้ และ ไซโนเปค ทั้ง 158แห่ง เนื่องในโอกาสวันมหามงคล วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และวันพ่อแห่งชาติ ทั้งนี้เพื่อสนองพระราชปณิธานในการสร้างประโยชน์และความสุขแก่พสกนิกรชาวไทย และเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับพี่น้องประชาชน           นายพีระพันธุ์ ระบุว่า กระทรวงพลังงานมีความมุ่งมั่นและดำเนินนโยบายทุกด้านในการลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะด้านพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันและก๊าซ หรือพลังงานอื่นๆ เพื่อสร้างความอยู่ดีมีสุขให้ประชาชนถ้วนหน้า อย่างไรก็ตาม แม้ราคาก๊าซและราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจะขึ้นอยู่กับตลาดโลกซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของกระทรวงพลังงาน แต่ที่ผ่านมา ทางกระทรวงก็ไม่นิ่งนอนใจ และพยายามหาหนทางเพื่อลดภาระด้านพลังงานให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลด้านพลังงานอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง           “กระทรวงพลังงานขอขอบคุณกลุ่มบริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) และ คุณมงคล สิมะโรจน์ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทฯ เป็นอย่างยิ่ง ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของพี่น้องประชาชนชาวไทยในอีกทางหนึ่ง”           ด้าน นายมงคล สิมะโรจน์ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท ซัสโก้ฯ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช และเป็นผู้ริเริ่มจัดงาน 5 ธันวามหาราช เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ให้เป็นที่ประจักษ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการร่วมมือกับกระทรวงพลังงานครั้งนี้ว่า กลุ่มบริษัท ซัสโก้ ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจค้าน้ำมันมีความตั้งใจที่จะปรับลดราคาน้ำมันดีเซล เพื่อสนองพระราชปณิธานในการสร้างประโยชน์และความสุขแก่พสกนิกรชาวไทย และช่วยเหลือประชาชนตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน ภายใต้การบริหารของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่มีนโยบายของทางกระทรวงพลังงานที่ต้องการช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกร อุตสาหกรรม และการขนส่ง รวมถึงประชาชนทั่วไปให้ได้เติมน้ำมันราคาถูก [PR News]

SCB FM มองเงินบาทยังผันผวน  คาดแข็งค่าครึ่งหลังปี68

SCB FM มองเงินบาทยังผันผวน คาดแข็งค่าครึ่งหลังปี68

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้จะไม่มากนัก เพราะมองว่าปัจจัย Trump trade ได้ทยอยหมดไปแล้ว สำหรับปี 2025 มองว่าเงินบาทอาจยังอ่อนค่าต่อในช่วงครึ่งแรกของปีเนื่องจาก เศรษฐกิจสหรัฐน่าจะยังแข็งแกร่ง ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปอาจฟื้นช้าทำให้เงินยูโรอ่อน นอกจากนี้ มาตรการ Tariffs จะทำให้การค้าโลกชะลอ กระทบเศรษฐกิจในภูมิภาคทำให้ค่าเงินอ่อน อย่างไรก็ดี SCB FM มองว่าเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 โดยมองว่าการลดดอกเบี้ยของ Fed ราคาน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มลดลง ราคาทองคำที่อาจสูงขึ้น และเงินทุนเคลื่อนย้ายที่อาจไหลกลับเข้า EM ช่วงปลายปี อาจช่วยให้เงินบาทแข็งค่าได้ โดยมองกรอบปลายปีที่ราว 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยไทย SCB FM คาดว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง ในการประชุมแรกเดือน ก.พ. ปีหน้า ตามสถานการณ์สินเชื่อในไทยที่ปรับแย่ลงต่อเนื่อง รวมทั้งเศรษฐกิจไทยที่มีความเสี่ยงด้านลบมากขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0           นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า แม้เงินบาทในเดือนที่ผ่านมาอ่อนค่าเร็วกว่าช่วงหลังเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2016 ที่ Trump ชนะเช่นกัน แต่ SCB FM มองว่าปัจจัยเรื่อง Trump trade ล่าสุดได้จบไปแล้ว ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้จะไม่มากนัก สะท้อนจาก 1) เงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าได้บ้าง หลังเลขเศรษฐกิจไทยออกมาดีกว่าคาด เช่น GDP ไตรมาส 3 และเลขการส่งออก 2) การแต่งตั้ง Scott Bessent เป็น รมว.คลังสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนเชื่อว่านโยบายของ Trump จะไม่แข็งกร้าวมาก Treasury yields จึงปรับลดลงเร็ว และเงินดอลลาร์อ่อนค่า และ 3) ตลาดเริ่มชินกับการประกาศ Tariffs ของ Trump มากขึ้น โดยล่าสุด Trump ประกาศเตรียมขึ้น Tariffs จีน แคนาดา เม็กซิโก และกลุ่ม BRICS ทำให้เงินภูมิภาครวมถึงบาทอ่อนค่า แต่การอ่อนค่ายังน้อยกว่าการประกาศครั้งก่อน ๆ และน้อยกว่าในปี 2017 (Trump 1.0) ด้วยเหตุนี้ จึงมองว่า เงินบาทจะยังผันผวนสูงแต่ไม่อ่อนค่ามาก โดยอาจอยู่ที่กรอบราว 34.00-35.00 ในช่วงที่เหลือของปีนี้           เงินบาทอาจอ่อนค่าต่อช่วงครึ่งแรกของปี 2025 แต่อาจกลับมาแข็งค่าได้ช่วงครึ่งปีหลัง โดยปัจจัยหลักที่จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าต่อได้คือ 1) เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ โดยเฉพาะยุโรป ทำให้เงินดอลลาร์จะยังแข็งค่า และเงินยูโรอาจยังอ่อนค่าต่อได้ 2) การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะกดดันให้เงินภูมิภาคอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยเฉพาะเงินหยวนที่อาจอ่อนค่าเร็วเพราะ Trump อาจใช้ Executive orders เพื่อขึ้น Tariffs ต่อจีนได้เร็ว และ 3) การกีดกันทางการค้าที่น่าจะมีมากขึ้นอาจทำให้การค้าโลกชะลอลง กดดันเศรษฐกิจไทยและคู่ค้าสำคัญ ทำให้เงินบาทอ่อน โดยนายแพททริกมองว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า เงินบาทอาจอ่อนค่าแตะระดับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ สำหรับเงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วงที่เหลือของปี อาจยังไหลออกต่อได้จากความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่มาก และเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งทำให้เงินยังไหลเข้าสหรัฐฯ โดยข้อมูลล่าสุดขี้ว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายกลับไปไหลออกในช่วงไตรมาสที่ 4 ปีนี้ แม้ว่าจะเริ่มไหลเข้าตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ไทยในไตรมาสที่ 3 ก็ตาม           ในระยะยาว มองว่าเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ โดยมองกรอบปลายปีที่ราว 33.50-34.50 ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทอาจเป็นผลจาก 1) การลดดอกเบี้ยของ Fed โดยนายแพททริกมองว่า Fed จะลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปี 2025 ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury yields) ลดลง และดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าได้ 2) รัฐบาลสหรัฐมีแนวโน้มขาดดุลการคลังมากขึ้น จากการลดภาษีและการใช้จ่ายที่มากขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอาจอ่อนค่า 3) เงินทุนเคลื่อนย้ายอาจไหลกลับเข้า EM รวมถึงตลาดเอเชียและไทย 4) ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มลดลงในปี 2025 ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยอาจสูงขึ้น และ 5) ราคาทองคำอาจปรับสูงขึ้นจากแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโลกที่อาจลดลง ซึ่งราคาทองที่สูงขึ้นจะช่วยดันให้เงินบาทแข็งค่าได้           นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในระยะข้างหน้าจะสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค เช่น เงินหยวน และเงินเยน โดยมองว่าเงินหยวนอาจอ่อนค่าต่อในปีหน้า จาก 1) เศรษฐกิจจีนน่าจะชะลอลงต่อ และมาตรการรัฐอาจมีจำกัด 2) ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อ ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยจะยังกว้าง นอกจากนี้ เงินหยวนจะได้รับผลกระทบจากมาตรการ Tariffs มากที่สุด แต่คาดว่า Market reaction อาจน้อยกว่าสมัย Trump 1.0 เนื่องจากนักลงทุนเริ่มเคยชินกับภาษี ทำให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Flight to quality flows) อาจน้อยลง 3) ทางการจีนอาจปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่า เพื่อเป็น Cushion ต่อการส่งออกที่แย่ลง สำหรับมุมมองเงินเยน นายวชิรวัฒน์มองว่า เงินเยนอาจยังเคลื่อนไหว Sideways ในปีนี้ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะยังแข็งแกร่ง ทำให้ดอลลาร์ยังแข็งเทียบกับเยน แต่ในปีหน้าคาดว่า เงินเยนจะทยอยแข็งค่าเทียบต่อดอลลาร์สหรัฐ จากแรงกดดันเงินเฟ้อที่จะยังอยู่สูงตามค่าแรงญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะสามารถขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ ทั้งนี้ ยังต้องจับตาการ Unwind carry trade ที่อาจทำให้เยนแข็งค่าเร็วกว่าคาด           ความผันผวนในระยะต่อไปอาจสูงขึ้น และแนวโน้ม Trade protectionism จากทางสหรัฐฯ อาจทำให้การใช้เงินหยวนกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยเงินทุนเคลื่อนย้ายและเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จะได้รับอิทธิพลจากนโยบายของ Trump ซึ่งมักจะโพสต์ผ่าน Social media จึงมองว่าการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนผ่านการทำธุรกรรม Forward และการหันมาใช้สกุลเงินภูมิภาค เช่น เงินหยวน หรือเงินเยน จะมีความสำคัญมากขึ้น โดยล่าสุดพบว่า สัดส่วนการใช้เงินหยวนผ่านระบบ Swift ปรับเพิ่มขึ้นเร็วในปี 2023 หลังจีนหันมาเน้นการค้าขายในภูมิภาคมากขึ้น และเงินหยวนอ่อนค่าในช่วงดังกล่าวทำให้ผู้ขายได้ประโยชน์มากขึ้น           สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยไทย ตลาดมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยในการประชุมแรกของปีหน้า (เดือนกุมภาพันธ์) และตลาดมองว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในช่วงกลางปี 2025 ทำให้ Terminal rate จะลงไปที่ราว 1.75% อย่างไรก็ดี นายวชิรวัฒน์มองว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง ในการประชุมแรกเดือน ก.พ. ปีหน้า ตามสถานการณ์สินเชื่อที่ปรับแย่ลงต่อเนื่อง รวมทั้งเศรษฐกิจไทยที่มีความเสี่ยงด้านลบมากขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0

BGC ร่วมกับ จิฟฟี่ - GC  เปิดตัวขวดน้ำแร่จิฟฟี่ rPET100%

BGC ร่วมกับ จิฟฟี่ - GC เปิดตัวขวดน้ำแร่จิฟฟี่ rPET100%

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ – 4 ธันวาคม 2567 – บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำอย่าง บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด หรือ PTTRM และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดตัว “น้ำแร่จิฟฟี่ ขวดรักษ์โลก ขนาด 500 มิลลิลิตร รุ่น Limited Edition” ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง rPET 100% ภายใต้เทคโนโลยี reShine ของ BGC ที่ช่วยให้ขวดรีไซเคิลมีความสดใสและโดดเด่นไม่แพ้ขวดใหม่ พร้อมจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ร้านจิฟฟี่ทุกสาขาทั่วประเทศ            นายกิตติศักดิ์ โชคลาภทวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่าย Trading บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ให้บริการบรรจุภัณฑ์ครบวงจร เผยถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนในทุกมิติ โดยนวัตกรรม reShine ที่ถูกพัฒนาขึ้นนี้ คือก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับการใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ขวดที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลมีความสดใสและโดดเด่นเมื่ออยู่บนชั้นวางสินค้า เพิ่มความดึงดูดให้กับผลิตภัณฑ์ ขวดน้ำแร่จิฟฟี่นี้จึงไม่เพียงแค่ตอบโจทย์ด้านการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสวยงาม สดใส และน่าใช้งาน พร้อมทั้งลดปริมาณขยะพลาสติกและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยนวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการของตลาด แต่ยังเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับพันธมิตรธุรกิจและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและโลกใบนี้ การร่วมมือในครั้งนี้ระหว่าง BGC, PTTRM และ GC ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการผนึกกำลังเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองทั้งความต้องการของลูกค้าและการดูแลสิ่งแวดล้อม ความสำเร็จในวันนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนในอนาคต และเป็นแรงบันดาลใจให้ภาคส่วนต่าง ๆ หันมาสนับสนุนนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อโลกอย่างต่อเนื่อง            นางพรรณวดี พุฒยางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด หรือ PTTRM ผู้บริหารสถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่นและร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ 150 สาขา เจ้าของแบรนด์น้ำดื่มและน้ำแร่จิฟฟี่ กล่าวว่า “บริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกภายใต้แนวคิดที่ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีโรงงานผลิตน้ำดื่มแบรนด์จิฟฟี่ที่เป็นโรงงานมาตรฐานสากลผ่านการรับรองจากสถาบันชั้นนำในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำบรรจุขวด ผลิตน้ำดื่มจิฟฟี่กว่าปีละ 48 ล้านขวด ในโอกาสนี้เราได้มีพันธมิตรในการดำเนินธุรกิจที่มีแนวคิดและเจตนารมณ์เพื่อยกระดับศักยภาพของผลิตภัณฑ์และร่วมเดินทางไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ระหว่าง GC บริษัทชั้นนำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล ที่มีนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ BGC บริษัทชั้นนำในด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจร เปิดตัว “น้ำแร่จิฟฟี่ ขวดรักษ์โลก ขนาด 500 มิลลิลิตร รุ่น Limited Edition” น้ำแร่คุณภาพมาตรฐานสากลจากแหล่งน้ำธรรมชาติสามโคก ผลิตจากโรงงานมาตรฐานชั้นนำ อุดมด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย บรรจุในขวดจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ที่ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกและก๊าซเรือนกระจก ตอบโจทย์เทรนด์บรรจุภัณฑ์ใหม่ซึ่งผู้ผลิตทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยังช่วยกันดูแลโลกของเราด้วยมือของเรา ในการผลิตน้ำแร่จิฟฟี่ขวดรักษ์โลกนี้ ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกลงได้ถึง 7,290 กิโลกรัม ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 13,000 KgCO2e หรือเทียบเท่าปริมาณการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากต้นไม้ใหญ่ 1,369 ต้น ในเวลา 1 ปี ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมของโลกเรา”           นายกิจชัย เฉลิมสุขสันต์ รักษาการตำแหน่ง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานตลาดและการขาย กลุ่มลูกค้าแพลตฟอร์มอุตสาหกรรม บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า “GC ในฐานะผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล rPET คุณภาพสูง ภายใต้แบรนด์ InnoEco by GC มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงจากพลาสติกใช้แล้วในประเทศไทย 100% ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยของ บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด (ENVICCO) บริษัทใน GC Group ได้รับการรับรองมาตรฐานการสัมผัสอาหาร (Food Contact) โดยได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) เป็นรายแรกในประเทศไทย ตลอดจนหน่วยงานระดับโลก ทั้งองค์การอาหารและยาของประเทศ สหรัฐอเมริกา (US.FDA.) และหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA) มีความภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จร่วมกับ บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด หรือ PTTRM  เจ้าของแบรนด์น้ำแร่จิฟฟี่ และ บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC บริษัทชั้นนำในด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ในการเปิดตัวขวดน้ำแร่จิฟฟี่ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล rPET100% ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  พร้อมส่งมอบคุณค่าด้านความยั่งยืนอย่างเหนือระดับ รวมถึงการลดขยะพลาสติกภายในประเทศและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรม”           ทั้งนี้ น้ำแร่จิฟฟี่ขวดรักษ์โลก ขนาด 500 มิลลิลิตร รุ่น Limited Edition พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษสุดคุ้ม ซื้อ 1 ฟรี 1 ทั้งแบบขวดเดี่ยวและแบบแพ็ค 12 ขวด จำหน่ายในราคาขวดละ 10 บาท และแพ็กละ 109 บาทเท่านั้น สามารถหาซื้อได้ที่ร้านจิฟฟี่ทุกสาขาทั่วประเทศ ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นได้ที่ Facebook : JIFFY Thailand , หรือแอดไลน์ @Jiffyshop [PR News]

Dow แต่งตั้ง “วิชาญ ตั้งเคียงศิริสิน” ประธานบริหารคนใหม่ ต่อยอดความสำเร็จ “ฉัตรชัย” ขับเคลื่อนนวัตกรรมยั่งยืน

Dow แต่งตั้ง “วิชาญ ตั้งเคียงศิริสิน” ประธานบริหารคนใหม่ ต่อยอดความสำเร็จ “ฉัตรชัย” ขับเคลื่อนนวัตกรรมยั่งยืน

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ – 4 ธันวาคม 2567 – เมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ได้ประกาศแต่งตั้ง นายวิชาญ ตั้งเคียงศิริสิน เป็นประธานบริหารคนใหม่ของกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ดูแลบริษัทในเครือของดาว เคมิคอล ประเทศไทย และกลุ่มบริษัทร่วมทุนเอสซีจีซี-ดาว ต่อจาก นายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหารคนปัจจุบันซึ่งจะเกษียณอายุในสิ้นปีนี้ หลังจากปฏิบัติหน้าที่ในองค์กรเป็นเวลากว่า 33 ปี โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป           นายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตของกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ขยายกำลังการผลิต และเป็นผู้นำในการส่งเสริมนวัตกรรมที่ยั่งยืนเพื่อลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมหลักๆ ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น บรรจุภัณฑ์ การก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน ยานยนต์ และการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม จนทำให้กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ได้รับการยอมรับว่าเป็นบริษัทวัสดุศาสตร์ชั้นนำที่ขับเคลื่อนความยั่งยืน           นายฉัตรชัยยังได้สนับสนุนโครงการเพื่อความยั่งยืนที่สำคัญมากมาย เช่น ร่วมกับบริษัทชั้นนำอื่นๆ ในประเทศไทยก่อตั้งความร่วมมือภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม เพื่อจัดการพลาสติกและขยะอย่างยั่งยืน หรือ PPP Plastics ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้นำโครงการความร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายองค์กรเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนของพลาสติกในประเทศไทย และเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มก่อตั้งภาคีป่าชายเลนประเทศไทย (Thailand Mangrove Alliance)           ทั้งนี้ นายวิชาญ ตั้งเคียงศิริสิน ประธานบริหารคนใหม่ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นผู้มีความสามารถและประสบการณ์ในวงการวัสดุศาสตร์และปิโตรเคมีในระดับนานาชาติ โดยก่อนหน้านี้ นายวิชาญเคยรับผิดชอบการพัฒนากลยุทธ์และเป็นผู้บริหารระดับภูมิภาคมาแล้วหลายตำแหน่ง           นายวิชาญจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมเคมีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโทสาขาวิศวกรรมเคมีจากสถาบันเทคโนโลยีโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เริ่มทำงานกับกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2540 และได้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในหลายกลุ่มธุรกิจและหลายประเทศ อาทิ ผู้จัดการฝ่ายขายระดับภูมิภาคกลุ่มธุรกิจโพลีสไตรีน ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจและฝ่ายขายของธุรกิจร่วมทุนระหว่างปิโตรนาสและดาวที่ประเทศมาเลเซีย ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจร่วมทุนระหว่างเอสซีจีซีและดาวที่มาบตาพุดซึ่งมีส่วนสำคัญในการก่อตั้งโรงงานโพรพิลีนออกไซด์ บริษัทระยองเทอร์มินอล และโรงงานไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ในประเทศไทย ผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์โพรพิลีนออกไซด์และโพรพิลีนไกลคอล ผู้อำนวยการฝ่ายขายโพลียูริเทนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมทั้งเคยดำรงตำแหน่งประธานบริหารบริษัท ดาว ในประเทศอินโดนีเซีย           ล่าสุด นายวิชาญ ทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายขายภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผลิตภัณฑ์โพลียูริเทน และเคมีภัณฑ์เพื่ออุตสาหกรรม ประจำอยู่ที่สำนักงานระดับภูมิภาคของบริษัท ดาว ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยจะย้ายกลับมายังประเทศไทยเพื่อรับตำแหน่งประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ในเดือนมกราคมที่จะถึงนี้           กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมที่ยั่งยืนด้วยมาตรฐานระดับสากลในด้านความปลอดภัยและมีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และชุมชน พร้อมเติบโตเคียงข้างประเทศไทยอย่างยั่งยืน [PR News]

MAJOR ร่วมจัดงาน “CineAsia 2024”  ดันภาพยนตร์ไทยเป็น Soft Power 

MAJOR ร่วมจัดงาน “CineAsia 2024” ดันภาพยนตร์ไทยเป็น Soft Power 

           เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ภาคภูมิใจเป็นตัวแทนประเทศไทยร่วมจัดงานใหญ่ประจำปีของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับโลกกับงาน “CineAsia” ซึ่งจัดต่อเนื่องมาถึง 3 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2022-2024 ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจระดับนานาชาติ ที่ให้ความสำคัญเดินทางมาร่วมประชุม ณ โรงภาพยนตร์ ที่ประเทศไทย ซึ่งในปี 2567 ฟิล์ม เอ็กซ์โป กรุ๊ป กำหนดจัดงาน CineAsia 2024 ครั้งที่ 29 ระหว่างวันที่ 9-12 ธันวาคม 2567 ณ โรงภาพยนตร์ไอคอน ซีเนคอนิค และ ทรู ไอคอน ฮอลล์ โดยมีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์กว่า 1,500 คน จาก 30 ประเทศ เดินทางมาร่วมงาน            วิชา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR กล่าวว่า เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้รับเกียรติจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาพยนตร์กว่า 30 ประเทศ เดินทางมาร่วมประชุมงาน “CineaAsia 2024” ครั้งที่ 29 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศไทย โดย ฟิล์ม เอ็กซ์โป กรุ๊ป ผู้จัดงาน ได้ให้ความสนใจโรงภาพยนตร์ไอคอน ซีเนคอนิค เป็นสถานที่ในการประชุมต่อเนื่องถึง 3 ปีซ้อน เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ในฐานะเจ้าบ้านรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก พร้อมต้อนรับ ผู้บริหาร, นักธุรกิจ, สตูดิโอภาพยนตร์, ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ และบุคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ กว่า 1,500 คน จาก 30 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, จีน, เกาหลีใต้, มาเลเซีย และ อินเดีย            การจัดงาน CineAsia นอกจากจะเป็นงานที่รวมตัวของผู้ประกอบการในธุรกิจภาพยนตร์และธุรกิจโรงภาพยนตร์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ความพิเศษของงานนี้ทุกคนรอคอย คือ World Expo การจัดนิทรรศการระดับโลก ที่นำเสนอนวัตกรรมในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ล้ำสมัยที่สุดของโลกจะมารวมตัวกันในงานนี้ การนำเสนอภาพยนตร์ในปี 2025 จากสูตดิโอชั้นนำ ซึ่งทุกค่ายพร้อมนำเสนอเป็นไฮไลท์ การมอบรางวัลให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ นอกจากนี้ งาน CineAsia ยังเป็นงานใหญ่ประจำปี ที่เป็นเวทีพิเศษให้ผู้ซื้อและผู้ขายภายในอุตสาหกรรมได้แลกเปลี่ยนความรู้และความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ที่ตอกย้ำความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ไม่มีวันหายไปจากวิถีชีวิตของผู้คนทุกยุคทุกสมัย แม้ที่ผ่านมาจะผ่านวิกฤติต่าง ๆ เรียกได้ว่า Cinema Never Die ภาพยนตร์ไม่มีวันหายไป            ความสำคัญของงาน CineAsia 2024 ในปีนี้ ยังเป็นการประกาศความสำเร็จของภาพยนตร์ไทยให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วโลก ได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของภาพยนตร์ไทยที่สามารถเข้าสู่เป้าหมายการเป็น Tollywood (Hollywood + Thailand) ตั้งแต่ปี 2566-2567 สัดส่วนตลาดภาพยนตร์ไทยสามารถครองสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ถึง 50% และเชื่อว่าภาพยนตร์ไทยยังสามารถเป็น Soft Power ได้อย่างชัดเจน จากภาพยนตร์ไทยเรื่องล่าสุด “ธี่หยด 2” ที่สามารถสร้างประวัติศาสตร์เป็นภาพยนตร์ในปี 2567 ที่สร้างสถิติทำรายได้มากกว่า 800 ล้านบาท และยังเตรียมออกฉายในต่างประเทศอีกกว่า 30 ประเทศ อาทิ ลาว, เมีนมา, เวียดนาม, ไต้หวัน, กัมพูชา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, มาเลเซีย, บรูไน, เม็กซิโก, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, โคลัมเบีย, ฟิลิปปินส์, อาร์เจนตินา, ปารากวัย, เอกวาดอร์, บราซิล, เปรูรัสเซีย และ โบลิเวีย ซึ่ง   “ธี่หยด 2” ก็ยังสร้างปรากฎการณ์ ทำสถิติภาพยนตร์ไทยทำรายได้สูงสุดของประเทศที่เข้าฉาย โดยบันทึกเป็นสถิติหน้าใหม่ให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศนั้น ๆ อาทิ เวียดนาม และ ลาว รวมรายได้ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศทำได้เกือบ 1,000 ล้านบาท            เพื่อเป็นการต้อนรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ให้เกียรติเดินทางมาร่วมงานประชุมใหญ่ประจำปี ณ โรงภาพยนตร์ไอคอน ซีเนคอนิค ประเทศไทย เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ บริษัท ซันโทรี เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานเลี้ยงต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมในชื่อ “CineAsia 2024 Reception Night” ณ นภาลัย เทอเรซ ไอคอนสยาม กับบรรยากาศที่สวยงามวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนที่สวยงาม พบการแสดงจากศิลปินชั้นนำ นัท มีเรีย, เหวยเหวย ฮัน และ อาลามินา ผู้เข้าประกวด The Voice  [PR News]

ค้าปลีกผ่าทางตันโต รอนโยบายภาครัฐชี้ชะตา

ค้าปลีกผ่าทางตันโต รอนโยบายภาครัฐชี้ชะตา

          หุ้นวิชั่น - แม้ว่าการบริโภคภาคเอกชนในปี 2568 จะมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่คาดว่ายอดขายของธุรกิจค้าส่งค้าปลีกจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาปัญหาหนี้ครัวเรือนและราคาสินค้าที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงซึ่งจะกดดันกำลังซื้อของผู้บริโภคให้ฟื้นตัวได้ช้าลง รวมทั้งการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากช่องทางออนไลน์ที่มี Key players ใหม่ ๆ เข้ามาในตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะ Platform จากจีน ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตราว 5.1%YOY จากที่คาดว่าจะเติบโต 4.8%YOY ในปี 2567 ทั้งนี้แม้ว่าการบริโภคภาคเอกชนจะเติบโตชะลอลง แต่คาดว่าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เริ่มดำเนินการในปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 (เฟส 2 และ3) จะมีส่วนช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคในระยะสั้น อย่างไรก็ดี ในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ผู้บริโภคอาจจะยังระมัดระวังในการใช้จ่ายโดยเลือกใช้จ่ายในสินค้าที่จำเป็นก่อน และอาจชะลอการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นกลับมาสู่ระดับช่วงก่อนโควิด (Pre-covid) และหากภาครัฐปรับขึ้นค่าแรงคาดว่าจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของการบริโภคในระยะข้างหน้า การเติบโตของ E-commerce ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มแข่งขันรุนแรง แม้จะมีการชะลอตัวลงหลังจากช่วงโรคระบาดผ่านไป อย่างไรก็ดี พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากมีความสะดวกสบาย โดยเฉพาะกลุ่ม Marketplace retailers ซึ่งมีสินค้าให้เลือกหลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคาและบริการของแต่ละร้านค้าได้อย่างง่ายดาย ขณะเดียวกัน เทรนด์ Social Commerce ก็มีสัดส่วนยอดขายต่อ E-commerce เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนถึงอิทธิพลของ Social media ที่ผู้บริโภคมีการใช้งานอยู่เป็นประจำ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับประเด็น ESG โดยมุ่งเน้นไปที่ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีการตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากหลากหลายช่องทาง ตัวอย่างเช่น ลดใช้ถุงพลาสติก เปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดขยะ ส่งเสริม Circular economy และใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น การติดตั้ง Solar rooftop นอกจากนี้ ยังเน้นสนับสนุนผู้ประกอบการ SME และเพิ่มสัดส่วนสินค้าเพื่อสุขภาพ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG เป็นต้น           กลุ่มที่เติบโตได้ดีต่อเนื่อง ยังคงเป็นหมวดร้านค้าสินค้าจำเป็น เช่น CVS, Supermarket และ Hypermarket ซึ่งมียอดขายที่เติบโต รวมถึงมีการขยายสาขาเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น อีกทั้ง ยังได้รับอานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่กลุ่มที่ตอบโจทย์เทรนด์ต่าง ๆ ก็ยังเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน อาทิ ธุรกิจ Health & Beauty โดยได้รับแรงหนุนจากกระแสรักษาสุขภาพเชิงป้องกัน และกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวที่นิยมซื้อสินค้าประเภทนี้ สำหรับกลุ่มที่เติบโตแต่ยังมีข้อจำกัด ได้แก่ กลุ่ม Department store เนื่องจากต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง และกำลังซื้อที่เปราะบาง ร้านค้าเฉพาะทางที่มีความหลากหลาย รวมถึงช่องทางออนไลน์ที่มีผู้เล่นรายใหม่ ๆ ขณะที่กลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ได้แก่ สินค้าแฟชั่น เนื่องจากเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย และสินค้า Home & Garden จากการซบเซาของตลาดที่อยู่อาศัย กลุ่ม Modern grocery : ยอดขายของทุกกลุ่ม (CVS, Supermarket, Hypermarket) กลับไปอยู่สูงกว่าช่วง Pre-COVID แล้ว โดยแม้ว่าการฟื้นตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภคยังเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ความต้องการในหมวดสินค้าจำเป็นยังมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง อีกทั้ง หากภาครัฐมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคทยอยปรับตัวดีขึ้น กลุ่ม Department store : ในสถานการณ์กำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวอย่างจำกัด อาจส่งผลต่อแนวโน้มการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าไม่จำเป็น อย่างไรก็ดี กลุ่ม Department store ยังได้แรงหนุนของภาคท่องเที่ยว โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาสู่ระดับก่อนการระบาดของโควิด ในปี 2568 ซึ่งการกลับมาของนักท่องเที่ยวดังกล่าวจะช่วยเพิ่มการใช้จ่ายภายในห้างสรรพสินค้าและส่งผลให้ยอดขายเติบโตดีขึ้น อีกทั้ง ยังได้ปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ กลุ่ม Health & Beauty : ยอดขายเติบโตสอดคล้องกับการที่ผู้บริโภคหันไปให้ความสนใจสินค้าทั้งในกลุ่มสุขภาพและความงามมากขึ้น ท่ามกลางตัวเลือกในตลาดที่หลากหลาย โดยผู้บริโภคจะเลือกสินค้าที่มีคุณภาพและมีความน่าเชื่อถือ ถึงแม้จะมีราคาที่สูงกว่า ขณะเดียวกัน เทรนด์การรักษาสุขภาพและการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยยังทำให้มีความต้องการสินค้าเพื่อสุขภาพมากขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะกลุ่มเวชศาสตร์ป้องกัน อย่างไรก็ดี ช่องทางออนไลน์อย่าง Marketplace และ Social media ทำให้มีจำนวนผู้ประกอบการรายย่อยในตลาดมากขึ้น และยังทำให้การแข่งขันในหมวดสินค้าสุขภาพและความงามรุนแรงขึ้นตามไปด้วย กลุ่ม Home & Garden : ยอดขายมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลง สาเหตุหลักมาจากความต้องการซื้อหรือลงทุนในที่อยู่อาศัยหดตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ดี สินค้าหมวดนี้ยังได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการ Renovate ที่อยู่อาศัยจากทั้งกลุ่มที่อยู่อาศัยบ้านเก่าและกลุ่มที่นิยมซื้อบ้านมือสองเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ สถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าที่เกี่ยวกับการซ่อมแซม/ปรับปรุง/ตกแต่งบ้าน มากขึ้นตามไปด้วย ขณะที่การเติบโตของหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามภาวะตลาดที่อยู่อาศัยที่จะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทั้งในด้าน Product mixed ให้ตอบโจทย์กลุ่ม Renovate รวมถึงการขยายสาขาที่ต้อง Selective มากขึ้น กลุ่ม Apparel & Footwear : ยอดขายเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยสินค้าในกลุ่ม Fast fashion ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ในขณะที่กลุ่ม Traditional fashion ยอดขายยังไม่กลับมาเท่าช่วงก่อนโควิด ส่วนกลุ่ม Sportswear และ Luxury fashion ยอดขายกลับมาใกล้เคียงช่วงก่อนโควิดแล้วตั้งแต่ปี 2566 อย่างไรก็ดี ในภาวะที่ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังในการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งอาจกดดันให้ยอดขายสินค้าแฟชั่นเติบโตได้ไม่มากนัก           ผู้ประกอบการค้าปลีกในไทยมีการตั้งเป้าหมายและแผนการดำเนินงานด้าน ESG โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ ขณะที่ผู้บริโภคเองก็มีความตระหนักรู้ถึงปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น อย่างไรก็ดี อุปสรรคสำคัญในการสนับสนุนสินค้าที่มีความยั่งยืน (Sustainable products) คือ ปัจจัยด้านราคาที่สูงกว่าสินค้าทั่วไปและตัวเลือกที่น้อย ดังนั้น ผู้ประกอบการควรเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและราคา เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น สำหรับในด้านการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนนั้น พบว่าร้านค้าขนาดใหญ่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าร้านค้าขนาดเล็ก เนื่องจากมีเงินทุนมากกว่า ขณะที่ร้านค้าขนาดเล็กอาจเริ่มจากการให้ความรู้และเริ่มวางจำหน่ายสินค้าที่มีความยั่งยืนให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย บทวิเคราะห์โดย  ชญานิศ สมสุข นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)

ttb reserve มอบประสบการณ์ความอร่อยสุดพิเศษเพื่อลูกค้าคนสำคัญ

ttb reserve มอบประสบการณ์ความอร่อยสุดพิเศษเพื่อลูกค้าคนสำคัญ

          ttb reserve มอบประสบการณ์สุดพิเศษเฉพาะลูกค้าคนสำคัญที่ถือครองบัตรเครดิต ttb reserve infinite และ ttb reserve signature  ที่นำคะแนนสะสมมาแลกรับสิทธิ์ในการรับประทานอาหารที่ร้าน “ฟุ้ง” (Foong) ร้านอาหารไทยแนว Home Cooking ย่านทองหล่อ อาหารไทยสูตรโบราณกับรสชาติที่อร่อยลงตัว เสิร์ฟแบบเป็นสำรับกับเมนูที่คัดสรรมาโดยเฉพาะ ในบรรยากาศร้านสบาย ๆ อบอุ่น เอกสิทธิ์สำหรับลูกค้าบัตรเครดิต ttb reserve ที่จะได้สัมผัสประสบการณ์เหนือระดับเติมเต็มความสุขในทุกด้านเพื่อชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ณ “ร้านฟุ้ง” ซ.ทองหล่อ เมื่อเร็วๆ นี้           สำหรับลูกค้าคนสำคัญของบัตรเครดิต ttb reserve สามารถติดตามประสบการณ์ความอร่อยสุดพิเศษแบบนี้ได้เรื่อย ๆ เพื่อสรรหาร้านอาหาร Fine Dining หรือร้านอาหารจองยาก มาให้ลูกค้าคนสำคัญได้จับจองที่นั่งเพื่อลิ้มลองอาหารรสเลิศอีกมากมาย [PR News]

น้ำมันดิบดีด เก็งกำไร PTTEP-PTTGC-TOP

น้ำมันดิบดีด เก็งกำไร PTTEP-PTTGC-TOP

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 70$ จาก 1. อิสราเอลขู่ว่าจะโจมตีเลบานอน หากข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ล้มเหลว และ 2. โอเปกพลัส จะขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปจนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า เป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มพลังงาน แนะนำเก็งกำไร PTTEP PTTGC TOP IVL IRPC

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.25-34.50บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.25-34.50บาท/ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.25-34.50บาท/ดอลลาร์ เงินบาทยังทรงตัวเช้านี้ แม้เงินวอนจะอ่อนค่าเร็วหลังเกาหลีใต้ประกาศกฎอัยการศึกช่วงกลางดึกเมื่อคืน แต่ก็ได้ยกเลิกไปในไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ด้าน US treasury yields กลับมาสูงขึ้นหลังเลขจำนวนเปิดรับงานใหม่เดือน ตุลาคม ออกมาที่ 7.74 ล้านตำแหน่งสูงกว่าเดือนก่อนหน้า และสูงกว่าตลาดคาด รัฐมนตรีคลังกล่าวว่า มีแผนที่จะลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีส่วนบุคคล และอาจขึ้น VAT แทน

อัปเดตราคาทองเช้าวันนี้

อัปเดตราคาทองเช้าวันนี้ "ราคาไม่เปลี่ยนแปลง"

หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 4 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 42,950.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 43,050.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 42,175.12 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,550.00 บาท

ก.ล.ต. มีมติให้ Bitazza เปิดรับลูกค้าได้ตามปกติ

ก.ล.ต. มีมติให้ Bitazza เปิดรับลูกค้าได้ตามปกติ

           หุ้นวิชั่น - วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2567 | ฉบับที่ 261 / 2567 คณะกรรมการ ก.ล.ต. มีมติให้ บริษัท บิทาซซ่า จำกัด (Bitazza) สามารถเปิดรับลูกค้าได้ตามปกติ หลังจากได้แก้ไขการดำเนินงานในเรื่องการทำความรู้จักและตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าเป็นไปตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องแล้ว            ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ในการประชุมครั้งที่ 12/2567 เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2567 มีมติสั่งการให้ Bitazza ระงับการเปิดรับลูกค้าใหม่ จนกว่า Bitazza จะแก้ไขการดำเนินงานในเรื่องการทำความรู้จักและตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าโดยให้รวมถึงในกรณี (1) เงินลงทุนไม่สอดคล้องกับข้อมูลรายได้ของลูกค้า (2) อีเมลของลูกค้าคล้ายกันหรือที่อยู่ซ้ำกันและอาจเป็นลูกค้าที่มีความเสี่ยง (3) รอบการทบทวนข้อมูลลูกค้าไม่เหมาะสม และ (4) การจัดกลุ่มความเสี่ยงของลูกค้า ภายในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 และรายงานความคืบหน้าการดำเนินการต่อ ก.ล.ต. จนกว่าจะแล้วเสร็จ* ซึ่ง Bitazza ได้แก้ไขการดำเนินงานดังกล่าว รวมทั้งนำส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงระบบงานมายัง ก.ล.ต. แล้ว นั้น            คณะกรรมการ ก.ล.ต. ในการประชุมครั้งที่ 15/2567 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 พิจารณาแล้วเห็นว่า Bitazza ได้ดำเนินการแก้ไขการทำความรู้จักและตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าให้เป็นไปตามการสั่งการข้างต้นแล้ว จึงมีมติให้ Bitazza สามารถเปิดรับลูกค้าได้ตามปกติ โดยให้ Bitazza ควบคุมดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งแผนงานที่ได้แจ้งต่อ ก.ล.ต. อย่างเคร่งครัดด้วย            หมายเหตุ : * ข่าว ก.ล.ต. ฉบับที่ 200/2567 เรื่อง “ก.ล.ต. สั่งการให้ Bitazza ระงับการเปิดรับลูกค้าใหม่ และให้แก้ไขในเรื่องการทำความรู้จักและตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า” วันที่ 26 กันยายน 2567 https://www.sec.or.th/TH/Pages/News_Detail.aspx?SECID=11175

CIB ร่วมกับ OR แถลงผลปฏิบัติการทลายเครือข่ายผลิตถังก๊าซปลอมรายใหญ่

CIB ร่วมกับ OR แถลงผลปฏิบัติการทลายเครือข่ายผลิตถังก๊าซปลอมรายใหญ่

          หุ้นวิชั่น - พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) และ นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ร่วมแถลงผลปฏิบัติการบุกทลายโรงบรรจุปิโตรเลียมเหลวผิดกฎหมายรายใหญ่ในจังหวัดนครราชสีมาและขอนแก่น รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 4 ล้านบาท           พลตำรวจโท จิรภพ กล่าวว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ประสานกับ OR เข้าตรวจค้นโรงบรรจุก๊าซห้างหุ้นส่วนจำกัด ธัญญะเศรษฐ์ 2017 จังหวัดนครราชสีมา และห้างหุ้นส่วนจำกัด ธัญญะเศรษฐ์ 2015 จังหวัดขอนแก่น และโกดังที่ตั้งอยู่หลังโรงบรรจุก๊าซห้างหุ้นส่วนจำกัด ธัญญะเศรษฐ์ 2015 โดยสามารถตรวจยึดหลักฐาน ได้แก่ เครื่องจักรและอุปกรณ์ซึ่งน่าเชื่อได้ว่าใช้เป็นแหล่งผลิตถังก๊าซหุงต้มผิดกฎหมาย พร้อมถังก๊าซหุงต้มปลอมที่มีเครื่องหมายการค้า “ก๊าซหุงต้ม ปตท.” ถังก๊าซปลอมเครื่องหมาย มอก. ถังก๊าซหุงต้ม ปตท. ที่หมดอายุ และเครื่องจักรพร้อมอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตถังก๊าซหุงต้มผิดกฎหมาย รวมของกลางทั้งถังปลอมและถังก๊าซหุงต้ม ปตท. ที่ถูกลักลอบบรรจุน้ำก๊าซซึ่งยึดได้ทั้งหมดกว่า 1,500 ใบ มูลค่าความเสียหายกว่า 4 ล้านบาท ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายหลายฉบับ ทั้ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 พ.ร.บ.ควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 และ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งมีโทษทั้งจำคุกและปรับ โดยเจ้าหน้าที่จะเร่งดำเนินการสืบสวนขยายผลเพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต่อไป รวมถึงจะตรวจสอบการกระทำความผิดโรงบรรจุก๊าซที่ลักลอบปลอมถังก๊าซหรือลักลอบบรรจุข้ามยี่ห้อทั่วประเทศ ตามที่มีข้อมูลและเบาะแสอย่างต่อเนื่อง           นายดิษทัต เปิดเผยว่า OR ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในการให้เบาะแส กรณีถังก๊าซหุงต้ม ปตท. ถูกลักลอบนำไปบรรจุน้ำก๊าซ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน เพื่อดำเนินการทางกฎหมาย และได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ CIB ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์เตือนภัย ร้านค้าก๊าซหุงต้ม และประชาชนในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นและนครราชสีมา เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องอันตรายจากถังก๊าซหุงต้มผิดกฎหมาย พร้อมแนะนำวิธีสังเกตถังก๊าซหุงต้ม ปตท. ของแท้ต้องปิดผนึกวาล์วด้วย “ซีลทอง QR” ซึ่งจะมีรหัส 10 หลักอยู่ด้านล่างคิวอาร์โค้ด สัญลักษณ์การันตีความปลอดภัยและรับประกันว่าถังก๊าซใบนั้นเป็นถังก๊าซหุงต้ม ปตท. ที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยตามกฎหมายและได้รับการบรรจุน้ำก๊าซคุณภาพจากผู้แทนจำหน่ายของ OR อย่างแท้จริง และเพื่อความมั่นใจผู้บริโภคควรซื้อผลิตภัณฑ์ ก๊าซหุงต้ม ปตท. จากร้านค้าตัวแทนก๊าซหุงต้ม ปตท. (ค้นหาร้านค้าตัวแทนใกล้บ้านได้ที่ www.pttlpgshops.com) จุดจำหน่ายก๊าซหุงต้ม ปตท. ในสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น หรือสั่งซื้อจากแอปพลิเคชัน OR LPG เท่านั้น           ทั้งนี้ “ก๊าซหุงต้ม ปตท.” เป็นแบรนด์ก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ดำเนินการโดย OR และได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างดียิ่งมาโดยตลอด “ก๊าซหุงต้ม ปตท.” ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้บริโภคอย่างสูงสุด โดยมีโรงซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้ม ปตท. ที่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศเพื่อรองรับการทดสอบและซ่อมบำรุงถังก๊าซรวมกว่า 3 ล้านใบต่อปี เพื่อให้มั่นใจว่าถังก๊าซทุกใบต้องผ่านการควบคุมคุณภาพตามมาตรฐาน มอก. อย่างเข้มงวด และได้รับการรับรองจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และขอเน้นย้ำให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการใช้ถังก๊าซหุงต้มของแท้ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพ เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อร่วมกันปราบปรามผู้กระทำผิดและห่วงใยความปลอดภัยจากการใช้งานก๊าซหุงต้มในสังคมไทย หากพบเห็นการจำหน่ายถังก๊าซหุงต้ม ปตท. ที่น่าสงสัยว่าเป็นของปลอมหรือผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน ปคบ. 1135 ตลอด 24 ชั่วโมง

บทบาททองคำกระตุ้นบริการทางการเงิน ช่วยเศรษฐกิจไทยได้อย่างไร?

บทบาททองคำกระตุ้นบริการทางการเงิน ช่วยเศรษฐกิจไทยได้อย่างไร?

          ขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ปี 2568 ทองคำได้มอบโอกาสที่โดดเด่นในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ท่ามกลางสภาวะความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทองคำนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรืองในวัฒนธรรมไทยมาอย่างยาวนาน และมักถูกนำมาใช้เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสสำคัญ เช่นในพิธีแต่งงาน วันเกิด และการต้อนรับสมาชิกที่เกิดใหม่ของครอบครัว แม้ว่าสังคมไทยจะพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปแต่ทองคำก็ยั่งเป็นสิ่งที่ฝังลึกในวิถีชีวิตของคนไทย ผลักดันให้ตลาดทองคำผู้บริโภคในประเทศไทยมีความต้องการที่แข็งแกร่ง และครองตำแหน่งตลาดที่มีการเติบโตสูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียนติดต่อกันถึงสองไตรมาสในปี 2567           นอกจากนี้แล้ว ทองคำยังสามารถส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักที่สำคัญของทั้งรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก การเข้าถึงบริการทางการเงินนั้นหมายถึงการที่ประชาชนสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ออมทรัพย์ สินเชื่อ ประกันภัย และระบบการชำระเงิน ได้อย่างทั่วถึงและครอบคลุม ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะเมื่อบุคคลและครัวเรือนมีความมั่นคงทางการเงิน ก็จะมีแนวโน้มในการลงทุนหรือเริ่มต้นธุรกิจเพิ่มมากขึ้น  และช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญเติบโต การเข้าถึงบริการทางการเงินในประเทศไทย           รายงาน Global Findex Report ฉบับล่าสุดของธนาคารโลกในปี 2564 ได้ระบุว่า อัตราการเข้าถึงบัญชีธนาคารสำหรับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่โดยเฉลี่ยนั้นอยู่ที่ 71% ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 77% ซึ่งถือว่าได้พัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเดิมซึ่งอยู่ที่ 51% ในปี 2554 โดยประเทศไทยมีความก้าวหน้าในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2560 คนไทยจำนวน 82% มีบัญชีธนาคาร และในปี 2564 ตัวเลขนี้ก็ได้เพิ่มขึ้นเป็น 95.6% โดยคนไทย 67.1% มีเงินออมกับธนาคาร และ 92% ได้ดำเนินการชำระเงินผ่านทางระบบดิจิทัล ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศเอเปค (Asia-Pacific Economic Cooperation: APEC) ที่ 82.1%, 61.4% และ 78.1% ตามลำดับ แม้ว่าการเข้าถึงบัญชีธนาคารจะอยู่ในระดับสูง แต่ประเทศไทยก็ยังคงมีโอกาสในการพัฒนาบริการทางการเงินด้านอื่น ๆ เช่น การเข้าถึงบริการสินเชื่อของไทยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ อยู่ที่ 30.4% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ APEC ที่ 38.2% เนื่องจากประชาชนยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่จำกัด และกลัวการถูกปฏิเสธ สินเชื่อ โดยผลสำรวจพบว่าในปี 2567 การกู้ยืมเงินนอกระบบได้เพิ่มขึ้นเป็น 30% ทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลเนื่องจากผู้กู้สินเชื่อนอกระบบมักต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า 15% ที่กฎหมายกำหนดไว้ เสริมสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงินด้วยนวัตกรรม ปัจจุบันมีการเปิดรับนวัตกรรมและแนวคิดริเริ่มใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน เช่น ธนาคารพาณิชย์ในตลาดประเทศจีน สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และมาเลเซีย ได้นำเสนอบัญชีเพื่อการลงทุนในทองคำ ขณะที่ธนาคารในประเทศตุรกีนั้นได้เปิดให้บริการทั้งการรับซื้อคืนทองคำ พันธบัตรทองคำ เช็คทองคำ และบริการอื่น ๆ อีกมากมาย ด้านรัฐบาลไทยก็ได้แสดงให้เห็นถึงแนวคิดที่ก้าวหน้าในการผลักดันทองคำในระบบดิจิทัล โดยได้เปิดให้ผู้ค้าทองคำแท่งนำเสนอบริการออมทองและลงทุนซื้อขายทองคำออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ร่วมกับธนาคารกรุงไทยให้กับประชาชน ทำคนไทยสามารถซื้อขายทองคำบริสุทธิ์ 99.99% ตามราคาตลาดโลกได้แบบเรียลไทม์ โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 มูลค่าการออมทองคำในระบบออนไลน์ของประเทศเพิ่มขึ้นถึง 60-70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ผู้ค้าทองคำแท่งรายสำคัญของไทย วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์ เนชั่นแนล (YLG Bullion International) ได้รายงานว่าบริษัทมีจำนวนบัญชีซื้อขายทองคำออนไลน์ใหม่เพิ่มขึ้นถึง 70% ผ่านแอปเป๋าตังในช่วงดังกล่าว แอปพลิเคชันต่าง ๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าธนาคารพาณิชย์สามารถเสริมสร้างรูปแบบบริการใหม่ ๆ ให้กับผู้ค้าทองคำแท่งในระบบแบบดั้งเดิม ผ่านการขยายเครือข่ายและเพิ่มช่องทางการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับทองคำให้มากยิ่งขึ้น การใช้ทองคำเพื่อช่วยลดอุปสรรคในการเข้าถึงบริการทางการเงิน ทองคำสามารถช่วยเติมเต็มช่องว่างและสนับสนุนบริการทางการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทห่างไกลที่ไม่ได้รับการบริการอย่างทั่วถึง ทองคำได้ช่วยคนไทยในชนบทซึ่งมักใช้บริการโรงรับจำนำเพื่อเข้าถึงสินเชื่อเงินทุนสำหรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเกษตร และตอบสนองต่อความต้องการเงินทุนที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยในปี 2566 สำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) ซึ่งเป็นโรงรับจำนำของรัฐ ได้รับจำนำทรัพย์รวมเป็นมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท และทองคำคิดเป็นสัดส่วนถึง 88% จากจำนวนทรัพย์สินทั้งหมดที่ถูกนำมาจำนำรวม 1.1 ล้านรายการ นอกจากนี้ทองคำยังเป็นหลักประกันที่สำคัญให้กับคนไทย ในปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ตลาดทองคำแท่งของไทยได้บันทึกสถิติการขายสุทธิ 81.5 ตัน เนื่องจากครัวเรือนจำเป็นต้องขายทองคำที่ถือครองออกมาเพื่อใช้เป็นเงินทุนสนับสนุนในยามจำเป็นที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ทองคำจึงช่วยตอบสนองความต้องการทั้งในทางการเงินและในเชิงวัฒนธรรม   มีสภาพคล่องสูงซื้อขายได้ง่าย และช่วยปกป้องเงินทุนจากความเสี่ยงท่ามกลางความไม่แน่นอน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยรัฐบาลทั้งทางตรงและทางอ้อมในการบรรลุเป้าหมายนโยบายสาธารณะด้านการเข้าถึงบริการทางการเงินของประเทศให้ดียิ่งขึ้น บทบาทของทองคำ ในการบรรลุเป้าหมายด้านการเข้าถึงบริการทางการเงิน เสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบธนาคาร จากการวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดค้าปลีกระดับโลกของสภาทองคำโลก พบว่า 61% ของผู้บริโภคในประเทศที่ทำการศึกษามีความเชื่อมั่นในทองคำมากกว่าในสกุลเงินต่าง ๆ  นอกจากนี้ 65% ยังเชื่อว่าทองคำจะไม่มีวันสูญเสียมูลค่าในระยะยาว และ 67% มองว่าทองคำเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงที่ดีในภาวะเงินเฟ้อและค่าเงินมีความผันผวน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าธนาคารพาณิชย์สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับทองคำเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารกับผู้บริโภคให้แนบแน่นยิ่งขึ้นได้ ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ก็ได้ยอมรับทองคำในฐานะปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับงบดุลของธนาคารกลางมาอย่างยาวนาน ช่วยดึงดูดนักลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบธนาคารโดยรวมมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ร่วมขับเคลื่อนการเข้าถึงบริการ และสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินในปี 2568 ความน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง และผลตอบแทนที่มองเห็นชัดได้ของทองคำนั้นจะโดดเด่นเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยข้อมูลระหว่างปี 2514 - 2566 ได้แสดงให้เห็นว่าภายในเดือนมกราคมเพียงเดือนเดียว ทองคำได้ให้ผลตอบแทนสูงถึง 1.79% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยรายเดือนในระยะยาวถึงเกือบ 3 เท่า ในขณะที่เราได้ก้าวเข้าสู่ปี 2568 ซึ่งเป็นปีที่คาดการณ์ว่าจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทองคำสามารถเป็นเครื่องมือที่มอบความมั่นคงปลอดภัยในสภาวะที่มีความผันผวน และเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนอย่างมีศักยภาพให้กับทั้งรัฐบาลและบุคคลทั่วไป รวมทั้งสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศให้มีความแข็งแกร่ง และช่วยให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างครอบคลุมและเท่าเทียม บทความโดย แอนดรูว์ เนย์เลอร์ (Andrew Naylor) หัวหน้าภูมิภาคตะวันออกกลางและฝ่ายนโยบายสาธารณะ สภาทองคำโลก

"Thailand Smart Money Bangkok 2024" จัดหนักโปรฯเด็ด

          พร้อมแล้ว! กับเทศกาลการเงิน-การลงทุน “Thailand Smart Money Bangkok 2024” ครั้งที่ 15 ภายใต้แนวคิด “Wealth Discovery ออกแบบความมั่งคั่งในแบบของคุณ” ยกทัพสถาบันการเงิน การลงทุนชั้นนำกว่า 30แห่ง ออกบูธให้บริการโปรโมชั่นสุดพิเศษส่งท้ายปี มัดรวมสุดยอดโปรดักส์ด้านการลงทุน-วางแผนลดหย่อนภาษี พร้อมอัพเดทความรู้การลงทุนรับมือความท้าทายกับสัมมนาจากกูรูขั้นเทพ ลุ้นรับรางวัลใหญ่ภายในงาน ระหว่างวันที่13 -15 ธ.ค. 67 ณ BCC Hall ชั้น 5 เซ็นทรัล ลาดพร้าว           นายรัฐกร อัสดรธีรยุทธ์ ประธานเครือหนังสือพิมพ์ดอกเบี้ย ในฐานะประธานจัดงานเปิดเผยว่า “Thailand Smart Money Bangkok 2024” ครั้งที่ 15 ภายใต้แนวคิด “Wealth Discovery ออกแบบความมั่งคั่งในแบบของคุณ” เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงิน การลงทุนชั้นนำของไทยกว่า 30 แห่ง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการให้ความรู้ วางแผนการเงินที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคล ครอบครัว ภาคธุรกิจ ให้สอดรับสถานการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจมีความผันผวน และมีปัจจัยเสี่ยงสูง           ทั้งนี้ แนวคิด Wealth Discovery สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการออกแบบการลงทุนตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงิน ในยุคที่ข้อมูลและทางเลือกการลงทุนมีมากมาย อาทิ หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวม       คริปโทเคอร์เรนซี อสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนทางเลือกอื่นๆ การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลายจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ดังนั้นการสร้างความมั่งคั่งจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจและเลือกการลงทุนให้เหมาะสมกับเป้าหมาย           ตลอดระยะเวลา 3 วันของการจัดงาน ในวันศุกร์ที่ 13 ธ.ค. – อาทิตย์ที่ 15 ธ.ค. 2567 BCC HALL ชั้น 5  เซ็นทรัลลาดพร้าว นักลงทุน ประชาชน และผู้ที่สนใจ จะได้รับข้อมูลข่าวสาร การแนะนำบริการและผลิตภัณฑ์ในเงื่อนไขพิเศษเฉพาะในงาน พร้อมโปรโมชั่นส่งท้ายปี อาทิ สินเชื่อบ้าน ธอส. ดอกเบี้ยเริ้มต้นเพียง 0.71% ต่อปี (คงดอกเบี้ย 6 เดือนแรก), สินเชื่อธุรกิจยิ้มได้ ดอกเบี้ยเริ่มต้น 6.40% ต่อปี จาก SME D Bank, เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 111 วัน ดอกเบี้ยเทียบเท่าเงินฝากประจำ 4.70% ต่อปี จากธนาคารออมสิน และ แคมเปญเงินฝากพิเศษ จาก ธกส. , สลากออมทรัพย์ลุ้นรางวัลทุกเดือน, Krungthai NPA Megasale สินทรัพย์ลดราคาสูงสุด 57%, สินเชื่อ EXIM Bank Gteen Start ดอกเบี้ยต่ำสุด4.10% เริ่มต้นส่งออก ดอกเบี้ย 5.35%           กองทุนรวม SSF / RMF / Thai ESG และธุรกรรมสำหรับลดหย่อนภาษีครบวงจร ประกันคุ้มครองครบครันจากบริษัทประกันชั้นนำ อสังหาริมทรัพย์มือสองลดราคา บริการพิเศษตรวจเครดิตบูโรฟรี และยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจที่ช่วยเพิ่มทักษะการบริหารเงินส่วนบุคคล ที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง           นอกจากนี้ ยังมีสัมมนาจากกูรูด้านการเงิน แบ่งปันความรู้และเทคนิคการลงทุนที่หลากหลาย ทั้งการลงทุนในหุ้น ทองคำ เศรษฐกิจ ฯลฯ ได้แก่ “เทรดหุ้นเก็งกำไร ทำอย่างไรให้กำไร” สมเกียรติ สุขเสรีกุล ผู้ก่อตั้งเพจ iSalaryman Trader “ของมันต้องมี หุ้นไหนดีเก็บเข้าพอร์ต” สุเชษฐ์ สุขแท้ รองกรรมการผู้จัดการ บล. เอเอสแอล           “Tax Saving วางแผนการเงินเพื่อการลดหย่อนภาษี” จักรกฤษณ์ กิจการรัฐบุตร เจ้าของเพจ Money Buffalo “มองให้ขาด โอกาสหรือความเสี่ยง" ณาศิส ประเสริฐสกุล หมูบิน จับชีพจรหุ้น “ทองคำ…ออมวันนี้ยังไม่สาย” ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ “ถอดรหัสเศรษฐกิจ พิชิตการลงทุน” ดร. ปิยะศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์           “เจาะลึกกองทุนเด็ดโค้งสุดท้ายปลายปี+กองทุนลดหย่อนภาษี Style Mr. Messenger” ชยนนท์ รักกาญจนันท์ Head Coach & Co-Founder FINNOMENA Group สามารถเข้าฟังฟรีในวันที่ 14 และ 15 ธ.ค.           นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมงานมีสิทธิ์ได้รับของที่ระลึก รวมถึงโปรโมชั่น แลกรับ ลุ้นรับ เมื่อทำธุรกรรมในงาน ที่บูธใดก็ได้ตามเงื่อนไข รับสิทธิ์แลกของรางวัล Smart Premium และ ได้รับบัตรลุ้นโชคใหญ่ ทั้ง iPhone 16, สร้อยทองคำหลายรางวัล [PR News]

TFEX แสดงความยินดีกับผู้อบรมหลักสูตรพิเศษ “TFEX Next Gen : Road to Professional Trader”

TFEX แสดงความยินดีกับผู้อบรมหลักสูตรพิเศษ “TFEX Next Gen : Road to Professional Trader”

หุ้นวิชั่น - บมจ. ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) (TFEX) แสดงความยินดีกับผู้เข้าร่วมการอบรมหลักสูตรพิเศษในโครงการ “TFEX Next Gen : Road to Professional Trader” โดยมี รินใจ ชาครพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ TFEX มอบวุฒิบัตรให้แก่ 30 คนที่เข้าร่วมการอบรม ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 16-27 พ.ย. 2567 เป็น 10 วันเเห่งการเรียนรู้ ที่สอนกลยุทธ์และ Workshop การเทรดแบบเข้มข้น ด้วยหลักสูตรเดียวกับต่างประเทศ โดยวิทยากรที่เป็น Experienced Trader ตัวจริง พร้อมโอกาสที่จะได้ก้าวสู่การเป็น Prop Trader กับบริษัทพันธมิตรชั้นนำ สำหรับในปีนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 2,400 คน ผู้สนใจสามารถติดตามกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ของ TFEX ได้ที่ www.TFEX.co.th

แนวโน้มสถานการณ์ตลาดน้ำมัน 2 – 6 ธ.ค. 67

แนวโน้มสถานการณ์ตลาดน้ำมัน 2 – 6 ธ.ค. 67

สถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 25 - 29 พ.ย. 67 และแนวโน้มสัปดาห์วันที่ 2 – 6 ธ.ค. 67 ตลาดคาดอุปทานมีแนวโน้มเกินดุล ขณะที่สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางยังตึงเครียด Reuters Poll ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent ในปี 2568 ลดลง 1 เหรียญต่อบาร์เรล จากคาดการณ์ในเดือน ต.ค. 67 มาเฉลี่ยอยู่ที่ 74.5 เหรียญต่อบาร์เรล เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันของจีนมีแนวโน้มชะลอตัว และอุปทานล้นตลาด ขณะเดียวกัน IEA คาดการณ์อุปทานน้ำมันโลกในปี 2568 จะมากกว่าอุปสงค์ (Surplus) อยู่ที่ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ในกรณีที่กลุ่ม OPEC+ ไม่เพิ่มการผลิตน้ำมันในส่วนที่เคยอาสาลดการผลิตโดยสมัครใจ (Voluntary Cut) ปริมาณ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริการายงานอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในไตรมาส 3/67 (ประมาณการครั้งที่ 2) อยู่ที่ +8% จากไตรมาสก่อนหน้า (ไตรมาส 2/67 อยู่ที่ +3.0% จากไตรมาสก่อนหน้า) ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่ม Hezbollah ในเลบานอนมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 27 พ.ย. 67 เป็นระยะเวลา 60 วัน โดยวันที่ 30 พ.ย. 67 กองทัพอิสราเอล (Israel Defense Forces IDF) แถลงว่าอิสราเอลใช้เครื่องบินรบปฏิบัติการโจมตีฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางของกลุ่ม Hezbollah ทางใต้ของเลบานอน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Donald Trump กล่าวว่าจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกชนิดจากเม็กซิโกและแคนาดามาอยู่ที่ 25% และจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 10% จากภาษีเดิมที่มีอยู่แล้วทันทีที่รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ วันที่ 20 ม.ค. 68 โดยใช้ Executive Order (ลงนามโดยไม่ต้องผ่านรัฐสภา) ซึ่งนาย Trump มีจุดประสงค์ต้องการให้ประเทศดังกล่าวควบคุมการลักลอบขนยาผิดกฎหมายบางชนิดที่ผลิตในจีน อาทิ เฟนทานิล ไม่ให้เข้าสู่สหรัฐฯ ที่มา ฝ่ายสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

TISCO จับมือ Google Cloud ยกระดับบริการทางการเงินยุคดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี AI

TISCO จับมือ Google Cloud ยกระดับบริการทางการเงินยุคดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี AI

          หุ้นวิชั่น - 3 ธ.ค. 67 – TISCO ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Google Cloud เพื่อยกระดับการให้บริการทางการเงินอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมการใช้ AI ขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงาน ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพของพนักงานให้พร้อมสำหรับอนาคต มุ่งหวังการสร้างประสบการณ์ใหม่ที่ดีและหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการให้กับลูกค้า           นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กลุ่มทิสโก้ ประกาศความร่วมมือกับ Google Cloud เพื่อส่งเสริมการใช้ AI ในการขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ควบคู่กับการพัฒนาทักษะของพนักงานให้มีความรู้และความสามารถเหมาะสมกับเทคโนโลยี นับเป็นการวางรากฐานด้านเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับนวัตกรรมใหม่ ๆ ในยุคดิจิทัลให้เกิดความยั่งยืน”           ในความร่วมมือครั้งนี้ องค์กรบริการระดับมืออาชีพ (Professional Services Organization or PSO) ของ Google Cloud เช่นเดียวกับแพลตฟอร์ม Vertex AI และ BigQuery จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุนการทำงานที่หลากหลาย ทั้งการวางโครงสร้างพื้นฐาน การปรับเปลี่ยนกระบวนการให้เหมาะสม การกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติที่สอดคล้อง การพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน การสร้างบรรยากาศที่เอื้อให้เกิดการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้สามารถกำหนดกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่เป้าหมายและผลสัมฤทธิ์สำคัญ (Objective & Key Results:OKR) นั่นคือ การเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย และเสริมศักยภาพในการให้บริการได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการก้าวสู่อนาคตของการให้บริการทางการเงินในยุคดิจิทัล           โดยแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูล BigQuery จาก Google Cloud ช่วยให้องค์กรสามารถรวบรวมข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ จากทุกระบบของบริษัท และวิเคราะห์ข้อมูลรวมด้วยรูปแบบการวิเคราะห์ที่หลากหลาย ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์และสามารถนำไปปรับใช้จริงเพื่อยกระดับกระบวนการตัดสินใจขององค์กร นอกจากนี้ Vertex AI ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพัฒนา AI สำหรับธุรกิจของ Google Cloud ยังรวมเอาความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ด้าน AI ที่ Google สั่งสมมาหลายทศวรรษมาใช้ให้เกิดประโยชน์           ผ่านการผสานการทำงานอย่างไร้รอยต่อระหว่างแพลตฟอร์มเหล่านี้ ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ เช่น TISCO สามารถพัฒนาและใช้งานโซลูชัน Generative AI ที่ให้คำตอบที่แม่นยำและน่าเชื่อถือ สอบคล้องกับหลักการ AI ที่มีความรับผิดชอบ และเป็นไปตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยและข้อตกลงด้านการปฏิบัติตามกกฎระเบียบอย่างเข้มงวด           “กลุ่มทิสโก้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ Google Cloud ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก ความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับบริการทางการเงินของเรา และยืนยันได้ถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มทิสโก้ ในการก้าวสู่การเงินยุคดิจิทัล เพราะในยุคที่เทคโนโลยีทางการเงินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราจำเป็นต้องหาแนวความคิดใหม่ ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านกลยุทธ์ และสิ่งสำคัญที่สุดคือ การสร้าง Growth Mindset ให้เกิดขึ้นกับพนักงานทุกคน ให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ทีมผู้เชี่ยวชาญของ Google Cloud จะช่วยยกระดับทักษะของพนักงานและพัฒนาแผนงานด้านนวัตกรรมที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับทีมงานของเราในการเข้าถึงและใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลรวมถึงการพัฒนา Generative AI ชั้นนำของอุตสาหกรรมเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ มอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า และสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันใหม่ๆ” นายศักดิ์ชัย กล่าว           นายอรรณพ ศิริติกุล Country Director, Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดได้มากยิ่งขึ้น โดยมีการคาดการณ์มูลค่าธุรกรรมรวมของการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล (Gross Transaction Value of Digital Payments) ว่าจะอยู่ระหว่าง 250,000 ล้านถึง 310,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปีพ.ศ. 2573 ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็กำลังมองหาแอปพลิเคชันที่มีฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย Generative AI เช่น ผู้ช่วยส่งข้อความอัจฉริยะที่ช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่นและการแนะนำที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล”           "ด้วยการวางกลยุทธ์ AI ที่ชัดเจนและให้ความสำคัญกับการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม TISCO Group จะสามารถนำหน้าเทรนด์สำคัญเหล่านี้ และสร้างประสบการณ์ด้านการธนาคารที่น่าประทับใจยิ่งขึ้น รวมถึงสร้างผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมจากการลงทุนในเทคโนโลยีของตน เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมมือกับ TISCO Group เพื่อพัฒนาและใช้งานเทคโนโลยีทางการเงินแห่งอนาคตที่จะยกระดับการบริการลูกค้าในภาคการธนาคารและสร้างประโยชน์ให้แก่คนไทยและสังคมโดยรวม” นายอรรณพ กล่าวเสริม [PR News]

NVIDIA เยือนไทยจับมือดัน AI-Semi-Conductor จุดพลุ New S-Curve ไทยหุ้นได้ประโยชน์เพียบ

NVIDIA เยือนไทยจับมือดัน AI-Semi-Conductor จุดพลุ New S-Curve ไทยหุ้นได้ประโยชน์เพียบ

         หุ้นวิชั่น - รมว. ดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า วันนี้ (3 ธ.ค.) นายกรัฐมนตรี มีกำหนดจะเปิดทำเนียบรัฐบาลต้อนรับการมาเยือนนาย เจนเซน หวง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NVIDIA บ.ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปด้าน AI โดยน่าจะมีการหารือความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะความเป็นไปได้ในการลงทุนชิป และ AI ในประเทศไทย มองจิตวิทยาบวกต่อโอกาสเกิด New S Curve ใหม่ของไทยในฝั่ง Semi-conductor และหุ้นชิ้นส่วนฯ ที่มีศักยภาพต่อยอดกับ NVIDIA ได้ ในกลุ่มที่จำหน่ายสินค้าเชื่อมโยง Data Center อยู่แล้ว อาทิ DELTA CCET และหุ้นนิคมที่ให้บริการด้านพื้นที่ WHA, AMATA          นอกจากนี้ โอกาสเห็นพัฒนาการความก้าวหน้า AI ที่เร็วขึ้นคาดนำมาสู่การเติบโต Data Center ที่มีโอกาสก้าวกระโดดไปมากกว่าเดิมที่เราและตลาดคาดไว้ บวกต่อหุ้นธีม Infra Tech นิคม WHA, AMATA โรงไฟฟ้า GULF, GPSC สื่อสาร ADVANC กลุ่ม Digital Tech ทั้ง BBIK และ BE8 ที่มา: บล กรุงศรี

ธปท. เร่งช่วยลูกหนี้ใต้ฝ่าวิกฤตอุทกภัย ปรับเกณฑ์ผ่อนชำระ-เพิ่มสภาพคล่อง

ธปท. เร่งช่วยลูกหนี้ใต้ฝ่าวิกฤตอุทกภัย ปรับเกณฑ์ผ่อนชำระ-เพิ่มสภาพคล่อง

          หุ้นวิชั่น - 3 ธันวาคม 2567 - นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายพื้นในเขตภาคใต้ ทำให้ประชาชนและลูกหนี้ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวได้รับความเดือดร้อนนั้น ธปท. ได้กำชับให้สถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยที่มิใช่สถาบันการเงิน พิจารณาให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยโดยเร่งด่วน โดย ธปท. ได้มีแนวทางให้เจ้าหนี้สามารถปรับลดอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำสำหรับบัตรเครดิต การเพิ่มวงเงินชั่วคราวกรณีฉุกเฉินสำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับและสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล รวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนและสภาพคล่องเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหรือเพื่อให้ประกอบอาชีพและดำเนินธุรกิจต่อได้ โดยในระหว่างการให้ความช่วยเหลือ ธปท. ได้ผ่อนปรนหลักเกณฑ์และกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับสถานการณ์สาธารณภัยไว้แล้ว จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยจะได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที เพื่อให้สามารถผ่านพ้นปัญหาไปได้           ธปท. ขอส่งกำลังใจให้พี่น้องประชาชนที่กำลังประสบอุทกภัยให้ผ่านพ้นความยากลำบากนี้ไปได้ [PR News]

ปิโตรเคมี ค่าการกลั่นฟื้นต่อ โรงกลั่นไทยบวกจำกัด

ปิโตรเคมี ค่าการกลั่นฟื้นต่อ โรงกลั่นไทยบวกจำกัด

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี วิเคราะห์อุตสาหกรรมปิโตรเคมี สัปดาห์นี้           ต้นน้ำ (น้ำมันดิบ) +1% w-w มีทั้งปัจจัยบวกคาดหวังประชุมใหญ่ OPEC+ (5 ธ.ค. 24) เลื่อนแผนเพิ่มกำลังการผลิต, สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังรุนแรง ผสมกับการตกลงหยุดยิงของอิสราเอล-ฮิซบอลเลาะห์ คาด ธ.ค. 24 ราคาน้ำมันดิบฟื้น m-m คาด OPEC+ ปรับแผนการผลิต และ demand น้ำมันจีน และญี่ปุ่นฟื้นตัว           ฝั่งโรงกลั่น ค่าการกลั่นสิงคโปร์ (SG GRM) +6% w-w ฟื้นตาม HSFO spread ที่ supply ตึงตัวในช่วงฤดูหนาว ประกอบกับมีความกังวล supply disruption อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวดังกล่าวไม่ได้เป็นบวกมากต่อโรงกลั่นไทยที่มี yield HSFO น้อย คาดค่าการกลั่น ธ.ค. 24 ทรงตัว m-m ผ่านช่วงการ re-stock น้ำมันรับฤดูหนาวไปแล้ว แต่ยังได้ demand ใช้น้ำมันหน้าท่องเที่ยวและฤดูหนาวที่มีแนวโน้มหนาวกว่าปกติ และโรงกลั่นไต้หวันยังลด run ช่วยหนุน           ฝั่งปิโตรเคมี ส่วนใหญ่ลด w-w demand ชะลอ ในขณะราคาที่ feedstock เพิ่มขึ้น i) สายโอเลฟินส์ HDPE spread +1% w-w ส่วน PP -1% w-w ii) สายอะโรเมติกส์ PX/BZ spread -2-3% w-w iii) สายโพลีเอสเตอร์ (PET) integrated spread flat w-w demand ชะลอ แต่ได้ราคา feedstock มาชดเชย คาดแนวโน้ม ธ.ค. 24 spread ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ทรง-ชะลอ m-m ยกเว้น PET ที่คาดได้การลด run ช่วยให้ supply ตึงตัวขึ้น           ภาพสัปดาห์: ไม่มีตัวเด่น คงมุมมองภาพ 4Q24F หุ้นโรงกลั่นยังไม่ตอบรับการฟื้นของค่าการกลั่น 4QTD +31% q-q เราคงมุมมองโอกาสเกิดสงครามราคาน้ำมันมีน้อย ระดับราคาน้ำมันดิบไม่ได้ดึงดูดให้ผู้ผลิตใน U.S. เร่งกิจกรรมขุดเจาะฯ คงมุมมองเป็นโอกาสเก็งกำไรกลุ่มโรงกลั่นอย่าง SPRC รับการฟื้นตัวใน 4Q24F ที่ stock loss ลดลง และค่าการกลั่นฟื้นตัว

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.65บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.65บาท/ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - Market update by SCBFM: 3 ธันวาคม 2567 กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.65บาท/ดอลลาร์ • ค่าเงินบาททรงตัว ด้านดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าหลังตัวเลข ISM ภาคการผลิตออกมาที่ 48.4 สูงกว่าที่ตลาดคาด อย่างไรก็ดี ดัชนีด้านราคา (Price paid) ออกมาต่ำกว่าคาด • นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสนับสนุนการลดดอกเบี้ยในเดือนนี้ ทำให้นักลงทุนมองเฟด มีโอกาสลดดอกเบี้ย 67% • เงินยูโรยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องจากวันก่อน โดยพรรคฝั่งขวาเตรียมโหวตไม่ไว้วางใจนายกฯ ฝรั่งเศส หลังไม่สามารถตกลงเรื่องงบประมาณปี 2025 ได้

อัปเดทราคาเช้าวันนี้ ปรับขึ้น 100 บาท

อัปเดทราคาเช้าวันนี้ ปรับขึ้น 100 บาท

                      หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 3 ธันวาคม 2567 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำ “ ราคาปรับขึ้น 100 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 43,000.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 43,100.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 42,220.60 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 43,600.00 บาท

DSI เปิดเวทีเสวนา STARK: ถอดบทเรียน

DSI เปิดเวทีเสวนา STARK: ถอดบทเรียน "แผนประทุษกรรม" สู่วิธีป้องกัน-เยียวยาผู้เสียหายกว่า 14,000 ล้านบาท

          หุ้นวิชั่น -  วันนี้ (2 ธันวาคม 2567) ณ ห้องประชุม 10-09 อาคารกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจตรี ยุทธนาแพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษและคณะทำงานศึกษาแผนประทุษกรรมกรณีบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” ได้จัดงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง “แผนประทุษกรรมกรณี บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK)” ขึ้น ซึ่งกรณีดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นมาจากการกระทำความผิดในตลาดทุนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายเหตุการณ์ในประเทศไทย ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนและก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนและสังคมโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้มีพฤติการณ์การตกแต่งบัญชีและใช้งบการเงินอันเป็นเท็จในลักษณะที่มุ่งหวังหลอกลวงนักลงทุนผ่านการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนและเสนอขายหุ้นกู้ โดยการกระทำดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียหายรวมกว่า 4,700 ราย และมีมูลค่าความเสียหายสูงกว่า 14,000 ล้านบาท                     เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนามาตรการป้องกันในเชิงรุกที่ครอบคลุมและทันเหตุการณ์ยิ่งขึ้นรวมถึงเพื่อพัฒนามาตรการเยียวยาผู้เสียหายให้เหมาะสมกับบริบทและรูปแบบสภาพแวดล้อมในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาแผนประทุษกรรมกรณี บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) โดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นประธานคณะทำงาน มีผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงาน ก.ล.ต. สำนักงานอัยการสูงสุด กรมบังคับคดี สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านต่าง ๆ ทั้งทางด้านกฎหมายและด้านตลาดทุน รวมถึงตัวแทนผู้เสียหายจากการลงทุนหุ้นสามัญเป็นคณะทำงาน และมีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการคณะทำงาน โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ (1) เพื่อเป็นกรณีศึกษา โดยมีกรณีศึกษาของบริษัท สตาร์คฯ เป็นศูนย์กลางของการถอดบทเรียน (2) เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและกรอบการดำเนินงานเพื่อป้องกันและปราบปรามคดีที่มีผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อประชาชน เศรษฐกิจ และสังคม และ (3) เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่มีประสิทธิภาพในการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของตลาดทุนและตลาดเงินในการสร้างระบบการกำกับดูแลตรวจสอบและแจ้งเตือนล่วงหน้า อันจะยังผลให้ตลาดทุนและตลาดเงินมีเสถียรภาพ ความน่าเชื่อถือ และความโปร่งใสตรวจสอบได้ตามมาตรฐานสากล                       หลังจากคณะทำงานศึกษาแผนประทุษกรรมฯได้มีการประชุมร่วมกันทั้งสิ้น 7 ครั้ง เพื่อยกร่างรายงานศึกษาการถอดบทเรียนแผนประทุษกรรมกรณีดังกล่าว โดยได้เชิญหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงาน ปปง. รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการตรวจสอบบัญชี มาให้ข้อคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ อีกทั้งยังมีการสืบค้นข้อมูลงานวิจัยต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้ร่างรายงานศึกษาการถอดบทเรียนฯ มีข้อมูลข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนในทุกมิติ นำไปสู่การร่างเอกสารรายงานศึกษาการถอดบทเรียน ประกอบด้วย 4 บท ได้แก่ (1) ข้อเท็จจริงและลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ บริษัท สตาร์คฯ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ด้วยวิธีการ Backdoor Listing จนถึงการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด (2) มาตรการป้องกันที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และที่ควรมีเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งครอบคลุมในเรื่องของการกำกับดูแลผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำงบการเงิน กรรมการอิสระ การจัดทำลักษณะ/พฤติการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิด (red flag) และผู้ให้เบาะแส (whistle blower)      (3) มาตรการปราบปรามและแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการอำนวยความยุติธรรมของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดความซ้ำซ้อนและระยะเวลาในภาพรวมที่ใช้ในการสืบสวนสอบสวน และ (4) มาตรการเยียวยา ซึ่งรวมถึงแนวทางในการติดตามเรียกคืนทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดเพื่อคืนให้กับผู้เสียหาย ตลอดจนบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่จะช่วยเหลือบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยมีแนวคิดในเรื่องการจัดตั้งกองทุนต่าง ๆ                     การจัดงานเสวนาในวันนี้ ได้รับเกียรติจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิด นายพงศ์เทพ  เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี/ประธานคณะทำงาน นายธวัชชัย  พิทยโสภณ รองเลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เป็นผู้ร่วมเสวนา  โดยมีเนื้อหาประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลักคือ (1) การนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษา และ (2) การรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ  โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 200 คน ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กร สมาคม สถาบันการศึกษา            กลุ่มผู้เสียหาย และประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องหรืออาจเข้าข่ายเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการพัฒนามาตรการป้องกัน มาตรการปราบปราม และมาตรการเยียวยา กรณีการกระทำความผิดในตลาดทุน ซึ่งคณะทำงานฯ จะนำข้อคิดเห็นและข้อสังเกตต่าง ๆ ที่ได้จากงานเสวนาในครั้งนี้ ไปใช้ในการปรับปรุงร่างรายงานศึกษาการถอดบทเรียนฯ เพื่อให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นและจะเปิดเผยต่อสาธารณชนให้ทราบต่อไป

บัตรเครดิต ttb มอบสิทธิพิเศษสุดคุ้มส่งท้ายปี รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 19%

บัตรเครดิต ttb มอบสิทธิพิเศษสุดคุ้มส่งท้ายปี รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 19%

          ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ร่วมกับ ศูนย์การค้าสยามพารากอน จัดแคมเปญพิเศษ “Siam Paragon 19th Anniversary” มอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต ttb ให้ใช้จ่ายอย่างสุดคุ้มส่งท้ายปี 2567 รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 19% เมื่อใช้คะแนนสะสมแลกเท่ายอดใช้จ่าย สำหรับบัตรหลักประเภทมีคะแนนสะสม เท่านั้น  ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 2567 – 10 ธ.ค. 2567 ดังนี้ บัตรเครดิต ttb reserve infinite รับเครดิตเงินคืน 19% บัตรเครดิต ttb reserve signature รับเครดิตเงินคืน 15% บัตรเครดิต ttb อื่น ๆ ประเภทที่มีคะแนนสะสม และบัตรเครดิต ttb Global House รับเครดิตเงินคืน 12% จำกัดการแลกคะแนนสะสมเพื่อรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 50,000 คะแนน / หมายเลขบัตรหลัก ตลอดรายการส่งเสริมการขาย   รับสิทธิ์: ณ Information Counter ตามเวลาทำการของศูนย์การค้าภายในวันที่ซื้อสินค้า เท่านั้น ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของโปรโมชันนี้ได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/siamparagon-dec2 ทีทีบีส่งเสริมให้ลูกค้าบัตรเครดิต ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 7%-16% ต่อปี เพื่อชีวิตทางการเงินที่ดีทั้งในวันนี้ และอนาคต

เมืองไทยประกันชีวิต ขนทัพ “ประกันออมทรัพย์ออนไลน์” 3 แบบ 3 สไตล์ในแบบคุณ  ช่วยวางแผนภาษีโค้งสุดท้ายปลายปี

เมืองไทยประกันชีวิต ขนทัพ “ประกันออมทรัพย์ออนไลน์” 3 แบบ 3 สไตล์ในแบบคุณ ช่วยวางแผนภาษีโค้งสุดท้ายปลายปี

          หุ้นวิชั่น - นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิตเดินหน้ารุกตลาดประกันออนไลน์อย่างต่อเนื่อง บนความมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คนในสังคม (Democratizing Insurance) พร้อมตอบโจทย์ด้านการวางแผนภาษีโค้งสุดท้ายช่วงปลายปี 2567  ด้วยการนำเสนอประกันออมทรัพย์ออนไลน์ ให้คุณเลือกได้ 3 แบบ 3 สไตล์   ในแบบคุณ แบบที่ 1 “เมืองไทย เพอร์เฟค เซฟวิ่ง 11/5  (Perfect Saving 11/5)” สำหรับคนที่ชอบให้ดูแลยาว ๆ รับสิทธิลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขเป็นระยะเวลา 5 ปี คุ้มครองชีวิตนาน 11 ปี ผลตอบแทนคุ้มสะใจ รับผลประโยชน์รวมสูงสุด 527.5%(1)  รับเงินจ่ายคืนทุก 2 ปีกรมธรรม์ ซื้อได้ตั้งแต่อายุ  20-65 ปี  ลดหย่อนภาษีสูงสุด 100,000 บาท แบบที่ 2  “ออมจุใจ 10/3” สำหรับคนชอบจ่ายสั้น ๆ  ประกันออมทรัพย์ออนไลน์ตัวใหม่ล่าสุด ที่ตอบโจทย์ความต้องการแบบจุใจ ทั้งด้านการออม ผลประโยชน์ทางภาษี และความคุ้มครองชีวิต ด้วยผลประโยชน์รวมสูงสุด 333%(1) จ่ายเบี้ยสั้น ๆ 3 ปี แต่คุ้มครองยาวถึง 10 ปี รับเงินคืนทุกปีกรมธรรม์ ปีละ 1%(1) ซื้อได้ตั้งแต่อายุ  20-80 ปี  ลดหย่อนภาษีสูงสุด 100,000 บาท แบบที่ 3 “โครงการเมืองไทย Super Return 11/1”  ประกันออมทรัพย์สำหรับคนชอบจ่ายครั้งเดียวจบ ได้เงินคืนแบบแฮปปี้ ซื้อง่าย ให้ความคุ้มครองยาวถึง 11 ปี รับผลประโยชน์รวมสูงสุด 112%(1)  รับเงินจ่ายคืนทุก 2 ปีกรมธรรม์  ซื้อได้ตั้งแต่อายุ 20-65 ปี  ลดหย่อนภาษีสูงสุด 100,000 บาท           พิเศษ!! สำหรับผู้ที่ซื้อแบบประกันภัยบนช่องทาง Online Sale และ แอปพลิเคชัน  MTL Click รับโปรโมชันโดนใจมากมาย พร้อมผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 6 เดือน(2)           ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถเลือกซื้อประกันออมทรัพย์ออนไลน์ 3 แบบ 3 สไตล์ในแบบคุณ เพื่อวางแผนภาษีโค้งสุดท้ายปลายปี จากเมืองไทยประกันชีวิต ทางช่องทางออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง  หรือศึกษารายละเอียดแบบประกันภัย โปรโมชันและสิทธิพิเศษเพิ่มเติม ได้ที่ https://sl.muangthai.co.th/s/8hqlIQ70 หมายเหตุ : (1) เป็น % ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันเริ่มมีผลคุ้มครองตามกรมธรรม์ (2) เมื่อซื้อแบบประกันภัย เมืองไทย เพอร์เฟค เซฟวิ่ง 11/5, แบบประกันภัย ออมจุใจ 10/3 และโครงการเมืองไทย Super Return 11/1 บนช่องทาง Online Sale และ MTL Click โดยชำระเบี้ยประกันภัยรายปี เฉพาะการชำระเบี้ยประกันภัยปีแรกเท่านั้น เบี้ยประกันภัยขั้นต่ำ 10,000 บาทขึ้นไป เงื่อนไขเป็นไปตามที่    บมจ. เมืองไทยประกันชีวิตและธนาคารกำหนด - โครงการเมืองไทย Super Return 11/1 เป็นชื่อทางการตลาดของแบบประกันภัย เมืองไทย อีซี่ แพลน 11/1 - การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ - เป็นการออมในรูปแบบการประกันชีวิต - เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด - เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ - เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารยูโอบี ธนาคารทหารไทยธนชาต และธนาคารกรุงไทย กำหนด คำเตือน:ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง