หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี เผย OKJ ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มออร์แกนิกของไทย ใช้ความเชี่ยวชาญและห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตผ่านการขยายสาขาเชิงรุก (โอ้กะจู๋) การเพิ่มแบรนด์ใหม่ (Oh! Juice, Ohkajhu Wrap & Roll) และหาช่องทางใหม่ๆ โดยเราคาดการณ์การเติบโตของกำไรที่เฉลี่ย 25% ต่อปี (K-ปี CAGR 2025-27F) ขับเคลื่อนโดยการเติบโตของรายได้ 19% โดยได้แรงหนุนจาก SSSG ที่เป็นบวก การขยายสาขา การเพิ่มแบรนด์ใหม่ และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันซื้อขายที่ 25x PER 2025F และคาดจะลดลงมาอยู่ที่ 19x ในปี 2026F จากการเติบโตของผลประกอบการ เราเริ่มต้นวิเคราะห์ OKJ ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 17 บาท จากโอกาสการเติบโตที่มีคุณภาพสูง
มุ่งเน้นการขยายพื้นที่ให้บริการและแบรนด์ใหม่
บริษัทมีความพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจผ่านหลายกลยุทธ์:
i) ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสาขาโอ้กะจู๋ (90% ของรายได้รวม) จาก 33 สาขาใน 3Q24 เป็น 52 สาขาภายในปี 2570F
ii) OKJ จะมุ่งเน้นการเติบโตของแบรนด์ใหม่ Oh! Juice (ร้านเครื่องดื่ม) และ Ohkajhu Wrap & Roll (เน้นสลัดและแรปสลัด) จาก 17 สาขาในปี 2024 เป็น 62 สาขาภายในปี 2570F คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้ 10% (จากปัจจุบัน 5%)
นอกจากนี้ บริษัทวางแผนเปิดตัวแบรนด์ใหม่ที่เน้นสุขภาพ 1-2 แบรนด์ต่อปี เพื่อขยายการเข้าถึงตลาด OKJ จะใช้ประโยชน์จากพันธมิตรกับผู้ค้าปลีกชั้นนำอย่าง Café Amazon และซูเปอร์มาร์เก็ต โดยมีเป้าหมายสร้างการเติบโตใหม่ในระยะยาว
คาดกำไรเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปี (CAGR 2 ปี ในช่วง 2568-2570F)
เราคาดการณ์การเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งใน 4Q24F จากฤดูกาลที่ดี (เทศกาลและวันหยุดยาว) สำหรับบริษัท และ SSSG ที่ยังคงเป็นบวก เราคาดการณ์การเติบโตของกำไรสุทธิ 25% ต่อปี ในช่วงปี 2568-2570F (CAGR 2 ปี) ขับเคลื่อนโดยการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 19% ต่อปี, SSSG 5%, การขยายสาขา และอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น (45.5%) และอัตรากำไรสุทธิ (10.5%) โดยได้แรงหนุนจากสัดส่วนรายได้แบรนด์ที่มาร์จินสูงมากขึ้นและการควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้น
เริ่มวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 17 บาท (2525F)
ราคาเป้าหมายของเราอ้างอิง DCF และสมมติฐาน WACC 6.8% (Rf 2.5%, market risk premium 8% และ Beta 1.0) ซึ่งเทียบเท่ากับ 3x PER 2025F ซึ่งน่าสนใจเมื่อพิจารณาจากการคาดการณ์กำไรที่จะเพิ่มขึ้น 51% yoy หุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ 25x PER 2025F และคาดจะลดลงมาอยู่ที่ 19x ในปี 2026F จากการเติบโตของผลประกอบการ ความเสี่ยงหลักได้แก่ การเติบโตของรายได้ที่ช้ากว่าคาด และค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าคาด