หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL การคาดการณ์กำไรใน 4Q67 มีโอกาสเติบโตทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดใน 3Q67 ซึ่งกำไรในไตรมาสนี้อยู่ที่ 43 ล้านบาท ลดลง 13.4% QoQ และ 10.6% YoY จากการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น และอุปสงค์ที่ลดลงจากการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลที่ล่าช้า
อย่างไรก็ตาม จำนวนวันที่ขายสินค้าได้ต่อรอบเพิ่มขึ้นเป็น 31 วันจาก 25 วันใน 4Q66 และระยะเวลาการให้เครดิตลูกหนี้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 93 วันจาก 83 วันใน 4Q66 ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไป คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่ไม่ล่าช้า มีออเดอร์หนุนจากการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม และสินค้าที่เน้นราคาเข้าถึงได้มากขึ้น เช่น กล่องพลาสติกกันน้ำ และกล่องเหล็ก รวมถึงสายเคเบิล 5K ที่มีคุณภาพสูง ทนทาน แม้ว่าจะใช้เหล็กที่มีความหนาน้อยลง
คาดว่า GPM จะสูงขึ้น และใน 4Q67 ไม่มีค่าใช้จ่ายในการจัดสัมมนาใหญ่เหมือนใน 4Q66 ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้มีแนวโน้มจะอยู่ที่ 50 ล้านบาท (+/-) ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิเติบโตทั้ง QoQ และ YoY โดยคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลในช่วง 2H67 ที่ 0.33 บาท ซึ่งให้ผลตอบแทน 4.9%
ในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงหรือมากกว่าประมาณการ โดย KJL มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีกกว่า 30% เป็น 40 ล้านชิ้น ด้วยการลงทุน 200 ล้านบาท เพื่อรองรับปริมาณความต้องการที่สูงขึ้นจากสินค้าที่ใหม่และกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มขึ้นตามแผนขยายโครงข่ายลูกค้าในทุกกลุ่ม KJL ตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนร้านค้าในเครือข่ายเป็น 1,000 ร้านในปีนี้ จาก 800 ร้านในปี 2566 และคาดว่าในปี 2568 จะมีจำนวนร้านค้าในเครือข่ายเพิ่มขึ้นเป็น 1,200 ร้าน ส่วนในกลุ่มช่างไฟ (Tier 3) ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 10,000 คนในปี 2567 และ 15,000 คนในปี 2568
นอกจากนี้ ในปี 2568 KJL ยังมุ่งเน้นเพิ่มสินค้ากลุ่ม Data Center เช่น ตู้ Racks, รางสายไฟ และตู้ไฟสำหรับธุรกิจนี้ ซึ่งมีความต้องการสูงทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ คาดว่าจะมีรายได้ในปี 2568 ที่ 1,400 ล้านบาท ใกล้เคียงกับประมาณการของเรา แต่ตั้งเป้า GPM ที่ 30% ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้ที่ 28% ทำให้มีโอกาสที่กำไรปี 2568 จะเติบโตมากกว่าคาด
ราคาหุ้นของ KJL ขณะนี้ค่อนข้างคงที่และไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER ปี 68 ที่ต่ำเพียง 8.2 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อปีประมาณ 7.9% จึงแนะนำ “ซื้อ” โดยตั้งราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 10.90 บาท