GRAMMY & RS: การปรับโฉมธุรกิจบันเทิงสู่โอกาสการเติบโตใหม่
Key Highlights
- การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมบันเทิงที่ผลักดันให้ธุรกิจต้องปรับตัว อุตสาหกรรมบันเทิงไทยกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ทั้งจากกระแสดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง อาทิ อีคอมเมิร์ซและสุขภาพ ส่งผลให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง GRAMMY และ RS จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
- GRAMMY ปรับโฉมจากธุรกิจเพลงสู่การเป็นบริษัทบันเทิงครบวงจร มุ่งเน้นการเติบโตในด้านคอนเทนต์ดิจิทัล การจัดคอนเสิร์ต และการผลิตภาพยนตร์ โดยอาศัยจุดแข็งจากคลังเพลงมากกว่า 40,000 เพลงและการสร้างพันธมิตรในแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างการเติบโตระยะยาว
- RS ก้าวสู่ธุรกิจคอมเมิร์ซและความงาม ผ่านแบรนด์ Well U และ Lifestar พร้อมขยายช่องทางอีคอมเมิร์ซผ่าน RS Mall รุกตลาด CLMV และเปิดตัวผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง สะท้อนความสามารถในการขยายธุรกิจในตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
- การพลิกโฉมธุรกิจสร้างโอกาสการลงทุนที่น่าจับตา GRAMMY และ RS แสดงให้เห็นศักยภาพการเติบโตผ่านกลยุทธ์ที่แตกต่าง แม้ยังเผชิญความท้าทายในช่วงเปลี่ยนผ่านธุรกิจ สำหรับ GRAMMY คำแนะนำคือ “ถือ” (Hold) เนื่องจาก Forward P/E ที่ 22 เท่าอยู่ในกรอบที่เหมาะสม (20-22 เท่า) แต่ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนศักยภาพการเติบโตระยะยาวอย่างเต็มที่ ส่วน RS อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการฟื้นฟูธุรกิจคอมเมิร์ซและขยายตลาดสุขภาพและสัตว์เลี้ยง คำแนะนำคือ “รอดู” (Wait and See) เพื่อติดตามผลลัพธ์จากกลยุทธ์ใหม่และความสามารถในการสร้างรายได้ที่มั่นคงในอนาคต
วิวัฒนาการของธุรกิจบันเทิงไทย: เมื่อค่ายเพลงปรับตัวสู่ธุรกิจที่มากกว่าดนตรี
อุตสาหกรรมดนตรีโลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การเปลี่ยนผ่านจากยุคสื่อกายภาพสู่ยุคดิจิทัลได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างรายได้และรูปแบบการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ แม้ตลาดดนตรีดิจิทัลในประเทศไทยจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยมูลค่าถึง 1.9 พันล้านบาทในปี 2566 แต่การแข่งขันที่เข้มข้นและต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องแสวงหาแนวทางใหม่เพื่อสร้างการเติบโตและความยั่งยืนทางธุรกิจ
พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงและเทคโนโลยีดิจิทัลได้สั่นคลอนโมเดลธุรกิจดนตรีแบบดั้งเดิม ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวทั้งในมิติการสร้างสรรค์เนื้อหา การจัดจำหน่าย และการสร้างรายได้ ขณะเดียวกัน การเติบโตของสื่อสังคมออนไลน์และแพลตฟอร์มดิจิทัลก็ได้เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ในการเข้าถึงผู้ฟังและเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์สินทางปัญญาด้านดนตรี ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องพัฒนากลยุทธ์ที่ผสานความสมดุลระหว่างการรักษาธุรกิจหลักและการแสวงหาโอกาสเติบโตในรูปแบบใหม่
ในบริบทของไทย บริษัทบันเทิงชั้นนำได้รับมือกับความท้าทายเหล่านี้ด้วยการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) และ อาร์เอส (RS) ที่เลือกเส้นทางแตกต่างกันในการพัฒนาธุรกิจ ในขณะที่บริษัทหนึ่งมุ่งเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจดนตรีผ่านการปรับโครงสร้างและขยายช่องทางดิจิทัล อีกบริษัทหนึ่งใช้ความเชี่ยวชาญด้านความบันเทิงเป็นสะพานสู่ธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
กลยุทธ์การปรับตัวของทั้งสององค์กรอาจสร้างโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในตลาดทุนไทย หากการเปลี่ยนผ่านธุรกิจประสบความสำเร็จ ด้วยฐานทรัพย์สินทางปัญญาที่แข็งแกร่งและความพยายามในการสร้างกระแสรายได้จากหลากหลายช่องทาง ทั้งจากการปรับธุรกิจดนตรีให้เข้ากับยุคดิจิทัลและการขยายสู่ธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูง ทั้งสององค์กรอาจสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจในระยะยาวหากการปรับโมเดลธุรกิจเป็นไปตามแผน การติดตามความคืบหน้าในการปรับตัวและพัฒนาธุรกิจของทั้งสององค์กรจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินโอกาสการลงทุนในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้
วิเคราะห์ธุรกิจจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY): 40 ปีแห่งการเปลี่ยนผ่านจากค่ายเพลงสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจบันเทิง
จุดเริ่มต้นและการเติบโตของธุรกิจ GRAMMY
บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY ก่อตั้งขึ้นในปี 2526 โดยคุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ภายใต้ชื่อ แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ เริ่มต้นจากการเป็นค่ายเพลงที่ผลิตผลงานเพลงไทยสากลและบริหารศิลปินชั้นนำในประเทศ บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2545 และในช่วงระหว่างปี 2530-2545 ถือเป็นยุครุ่งเรืองที่ GRAMMY มีรายได้หลักจากการจำหน่ายเทปและซีดี (70% ของรายได้รวม) ด้วยยอดขายเฉลี่ย 20-30 ล้านชิ้นต่อปี อัลบั้มยอดนิยมสามารถทำยอดขายได้ถึง 1-2 ล้านชิ้น รายได้เพิ่มเติมมาจากคอนเสิร์ตและอีเวนต์ (20%) และลิขสิทธิ์ (10%)
อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเฉพาะการเติบโตของสตรีมมิ่งและการละเมิดลิขสิทธิ์ ส่งผลให้ยอดขายสื่อกายภาพลดลงอย่างรวดเร็วในปี 2550 บริษัทจึงเริ่มปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจโดยขยายสู่ธุรกิจโทรทัศน์และภาพยนตร์ จนถึงปี 2555 สัดส่วนรายได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ รายได้จากธุรกิจเพลงลดลงเหลือ 45% ขณะที่ธุรกิจสื่อและความบันเทิงเติบโตเป็น 40% และรายได้จากธุรกิจอื่นๆ อยู่ที่ 15%
การปรับโครงสร้างครั้งสำคัญและธุรกิจในปัจจุบัน
ตั้งแต่ปี 2557 GRAMMY ได้ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยลงทุนในธุรกิจทีวีดิจิทัลและโฮมช้อปปิ้ง (O Shopping) ซึ่งช่วยกระจายรายได้และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาธุรกิจเพลงเพียงอย่างเดียว ปี 2560 สัดส่วนรายได้ของบริษัทเปลี่ยนเป็น ธุรกิจเพลง 35% สื่อและความบันเทิง 35% โฮมช้อปปิ้ง 20% และภาพยนตร์ 10% สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการกระจายแหล่งที่มาของรายได้
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2566 เมื่อ GRAMMY ตัดสินใจแยกธุรกิจเพลงออกมาภายใต้บริษัทใหม่ “GMM Music Co., Ltd.” ซึ่งได้รับการจัดตั้งเพื่อมุ่งเน้นการบริหารธุรกิจเพลงอย่างครบวงจร รวมถึงเตรียมเสนอขายหุ้น IPO ของ GMM Music เพื่อดึงดูดการลงทุนและเพิ่มศักยภาพในการเติบโต
ปัจจุบัน ธุรกิจของ GRAMMY แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก โดยมีสัดส่วนรายได้ในไตรมาส 1/2567 ดังนี้:
- ธุรกิจเพลงและบริหารศิลปิน (69% ของรายได้):
- ผลิตและจำหน่ายเพลงดิจิทัล
- บริหารลิขสิทธิ์เพลงและศิลปิน
- จัดคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรี เช่น “Rock Mountain 2024” และ “90’s Forever Concert”
- ธุรกิจโฮมช้อปปิ้ง (21%):
- ดำเนินการผ่านแพลตฟอร์ม O Shopping ที่เน้นสินค้ากลุ่มสุขภาพและสินค้าอุปโภคบริโภค
- ธุรกิจภาพยนตร์ (4%):
- ผ่านแบรนด์ GDH ซึ่งสร้างภาพยนตร์คุณภาพที่ได้รับความนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- ธุรกิจอื่นๆ (6%):
- เช่นธุรกิจโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่ผลิตคอนเทนต์สำหรับทีวีดิจิทัลและแพลตฟอร์มดิจิทัล อย่าง ช่อง GMM25
การปรับโครงสร้างและกลยุทธ์ทางธุรกิจของ GRAMMY สะท้อนถึงความจำเป็นในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมดนตรี จากค่ายเพลงที่พึ่งพารายได้จากการขายสื่อกายภาพเป็นหลัก สู่การเป็นบริษัทบันเทิงที่มีรายได้หลากหลายและมีความยืดหยุ่นสูง การปรับตัวครั้งสำคัญในแต่ละช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นการขยายสู่ธุรกิจสื่อ การลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัล หรือการแยกธุรกิจเพลงออกมาเป็นบริษัทเฉพาะ ล้วนเป็นการวางรากฐานเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ผลของการปรับโครงสร้างธุรกิจต่อผลประกอบการและฐานะการเงินของ GRAMMY ณ ปัจจุบัน
GRAMMY ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจคอนเทนต์ดิจิทัล ลิขสิทธิ์เพลง และคอนเสิร์ต ผลประกอบการในปี 2564-2566 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รายได้รวมเพิ่มขึ้นจาก 4,215 ล้านบาทในปี 2564 เป็น 5,988 ล้านบาทในปี 2566 (+42%) โดยรายได้จากลิขสิทธิ์เพลงเติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปี อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 48.38% ในปี 2564 มาอยู่ที่ 39.34% ในปี 2566 เนื่องจากต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายบริหารที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปี 2566 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 126.85 ล้านบาท
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 GRAMMY มีรายได้รวม 4,453 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 4,159 ล้านบาท (+7%) โดยได้รับแรงหนุนจากการจัดคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีมากขึ้น เช่น Rock Mountain Music Festival ที่พัฒนาขึ้นในรูปแบบใหม่ และคอนเสิร์ตใหญ่ เช่น PALMY Universe Concert นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ GDH สองเรื่องยังประสบความสำเร็จอย่างมากในประเทศไทยและตลาดต่างประเทศ ช่วยสนับสนุนรายได้และความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจบันเทิง
GRAMMY ยังคงมีความสามารถในการแข่งขันผ่านธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น คอนเทนต์ดิจิทัล คอนเสิร์ต และภาพยนตร์ การจัดการต้นทุนและการขยายตัวในธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูงช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
โอกาสการเติบโตของ GRAMMY
การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของ GRAMMY ได้สร้างปัจจัยการเติบโตใหม่ที่สำคัญให้กับบริษัท โดยการปรับโครงสร้างธุรกิจและการกระจายแหล่งรายได้ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสใหม่ในยุคดิจิทัล ปัจจุบัน GRAMMY ได้รับแรงสนับสนุนจากหลายปัจจัยการเติบโตที่ช่วยผลักดันรายได้และกำไรของบริษัท:
- การเติบโตของรายได้จากลิขสิทธิ์เพลงดิจิทัลและคอนเทนต์
ธุรกิจลิขสิทธิ์เพลงและคอนเทนต์ดิจิทัลของ GRAMMY เติบโตแข็งแกร่งจากการขยายตัวของตลาดสตรีมมิ่งที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปีในช่วง 2564-2566 บริษัทมีคลังเพลงขนาดใหญ่กว่า 40,000 เพลงและการผลิตเพลงใหม่กว่า 200 เพลงต่อปี รายได้จากลิขสิทธิ์เพลงดิจิทัลเติบโต 35% ในปี 2566 และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากการขยายความร่วมมือกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งระดับโลก เช่น Spotify และ YouTube Music - การฟื้นตัวของธุรกิจจัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์
ธุรกิจคอนเสิร์ตและอีเวนต์ฟื้นตัวอย่างโดดเด่นหลังการเปิดประเทศ ในปี 2566 GRAMMY จัดคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ 15 งาน สร้างรายได้รวม 850 ล้านบาท เติบโต 120% จากปีก่อน และมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 45% ในปี 2567 บริษัทตั้งเป้าจัดคอนเสิร์ตเพิ่มขึ้นเป็น 25 งาน โดยรวมถึงการร่วมงานกับศิลปินต่างประเทศและการขยายตลาดไปยัง CLMV เพื่อเพิ่มฐานผู้ชมและรายได้ - การเติบโตของธุรกิจภาพยนตร์ผ่าน GDH
GDH ประสบความสำเร็จในการผลิตภาพยนตร์คุณภาพสูงที่สร้างรายได้เฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อเรื่อง สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 80 ล้านบาท บริษัทวางแผนเพิ่มการผลิตภาพยนตร์เป็น 4-5 เรื่องต่อปีในปี 2567-2568 และขยายการผลิตซีรีส์สำหรับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 50% พร้อมทั้งเพิ่มความหลากหลายในเนื้อหาเพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น - โอกาสการเติบโตจาก O Shopping
ธุรกิจโฮมช้อปปิ้งของ GRAMMY มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากการพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและการขยายฐานลูกค้าออนไลน์ ยอดขายออนไลน์เติบโต 45% ในปี 2566 และเพิ่มสัดส่วนเป็น 35% ของรายได้รวม บริษัทตั้งเป้าขยายส่วนแบ่งยอดขายออนไลน์เป็น 50% ภายในปี 2568 ผ่านการลงทุนในแอปพลิเคชัน ระบบโลจิสติกส์ และการพัฒนาประสบการณ์ลูกค้า - การปรับปรุงประสิทธิภาพและอัตรากำไร
GRAMMY มีแผนเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นจาก 40% เป็น 45% ภายในปี 2568 โดยการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง เช่น ลิขสิทธิ์ดิจิทัลและคอนเทนต์ พร้อมทั้งควบคุมต้นทุนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ในไตรมาส 1/2567 อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 41% ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของกลยุทธ์นี้และแนวโน้มที่แข็งแกร่งในอนาคต
ความเสี่ยงหลักของ GRAMMY
แม้ว่า GRAMMY จะมีการปรับตัวเชิงกลยุทธ์และสร้างแหล่งรายได้ใหม่ที่แข็งแกร่ง แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
- ความเสี่ยงจากการแข่งขันในธุรกิจคอนเทนต์และสื่อดิจิทัล
การแข่งขันในตลาดคอนเทนต์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการลงทุนของแพลตฟอร์มต่างชาติ เช่น Netflix, Disney+, และ Prime Video ซึ่งลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาทในปี 2566 เพื่อผลิตคอนเทนต์ไทย เพิ่มขึ้น 85% จากปีก่อน การแข่งขันนี้ทำให้ต้นทุนการผลิตคอนเทนต์เพิ่มขึ้น และเกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ แพลตฟอร์มเหล่านี้ยังมีอำนาจต่อรองที่สูง ทำให้ส่วนแบ่งรายได้ต่อคอนเทนต์ที่ GRAMMY ได้รับลดลงในบางกรณี ซึ่งอาจกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นและความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว - ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและเทคโนโลยี
พฤติกรรมการบริโภคสื่อมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials ที่ใช้เวลามากขึ้นกับ Short-form Content เช่น TikTok และ Reels ในปี 2566 เวลาการใช้งาน Short-form Content เพิ่มขึ้น 45% ขณะที่การรับชมทีวีดิจิทัลลดลง 15% ส่งผลกระทบต่อรายได้โฆษณาของ GMM25 ที่ลดลง 12% ในปี 2566 นอกจากนี้ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI เช่น Generative AI อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตคอนเทนต์ ทำให้ต้นทุนลดลงแต่ยังต้องปรับตัวให้ทันกับมาตรฐานคุณภาพที่เพิ่มสูงขึ้น ความล้มเหลวในการปรับตัวต่อพฤติกรรมผู้บริโภคและเทคโนโลยีใหม่อาจลดความเกี่ยวข้องของ GRAMMY ในตลาดได้ - ความเสี่ยงจากการพึ่งพิงธุรกิจโฮมช้อปปิ้ง (O Shopping)
แม้ O Shopping เป็นหนึ่งในแหล่งรายได้สำคัญของ GRAMMY (คิดเป็น 21% ของรายได้รวม) แต่ธุรกิจนี้ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ เช่น Shopee และ Lazada ซึ่งมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุน โลจิสติกส์ และเครือข่ายลูกค้า ในปี 2566 ส่วนแบ่งตลาดของ O Shopping ลดลงจาก 8% เป็น 6% และอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 35% เป็น 32% การแข่งขันด้านราคาที่ดุเดือดและการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคสู่อีคอมเมิร์ซอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของธุรกิจนี้ และสร้างความผันผวนต่อรายได้รวมของ GRAMMY
จุดเริ่มต้นและโครงสร้างธุรกิจเดิมของ RS
บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS เริ่มต้นในปี 2519 โดยคุณเกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์ ในชื่อ “Rose Sound” และเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 2546 บริษัทเริ่มต้นในฐานะค่ายเพลงที่มีจุดเด่นจากกลุ่มศิลปินที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพลงไทยสากล ลูกทุ่ง หรือเพลงวัยรุ่น โดยในช่วงปี 2535-2545 ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองของธุรกิจเพลง RS สร้างรายได้หลักจากการจำหน่ายเทปและซีดี คิดเป็น 80% ของรายได้รวม โดยมีการขายเฉลี่ย 15-20 ล้านชิ้นต่อปี รายได้ที่เหลือมาจากคอนเสิร์ตและอีเวนต์ (15%) และลิขสิทธิ์ (5%)
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ช่วงปี 2550 ยอดขายสื่อกายภาพเริ่มลดลงจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปใช้ช่องทางดิจิทัล ส่งผลให้ RS ขยายสู่ธุรกิจสื่อ เช่น การผลิตรายการโทรทัศน์และวิทยุ ซึ่งช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสื่อเป็น 45% ในปี 2553 ขณะที่ธุรกิจเพลงลดลงเหลือ 50% และรายได้อื่นๆ อยู่ที่ 5%
การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์และโครงสร้างธุรกิจในปัจจุบัน
ปี 2557 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับ RS โดยบริษัทได้รับใบอนุญาตทีวีดิจิทัลสำหรับช่อง 8 และเริ่มต้นธุรกิจคอมเมิร์ซผ่าน RS Mall โดยนำเสนอสินค้าแบบโฮมช้อปปิ้งผ่านช่องทางโทรทัศน์ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้ในปี 2560 สัดส่วนรายได้จากคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้นเป็น 40% สื่อ 45% และธุรกิจเพลงลดลงเหลือเพียง 15%
ในปี 2563 RS ได้ขยายตัวเข้าสู่ตลาดสุขภาพและความงาม ด้วยการเปิดตัวแบรนด์ Well U และการเข้าซื้อกิจการ Lifestar เพื่อตอบสนองเทรนด์ผู้บริโภคด้านสุขภาพ การขยายตัวนี้ช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัท และในปี 2566 สัดส่วนรายได้ของ RS เปลี่ยนไปดังนี้:
- คอมเมิร์ซและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (39%): ธุรกิจนี้ครอบคลุม RS Mall, Well U, และ Lifestar โดยเน้นโมเดล “Star Commerce” ซึ่งใช้ดาราและอินฟลูเอนเซอร์ร่วมในการขาย
- สื่อและความบันเทิง (45%): รวมรายได้จากช่อง 8 และ COOLanything ซึ่งยังคงสร้างความนิยมด้วยเนื้อหาที่หลากหลาย
- ธุรกิจเพลง (16%): ยังคงมีรายได้จากการบริหารลิขสิทธิ์เพลง การจัดคอนเสิร์ต และผลิตคอนเทนต์
การปรับโมเดลธุรกิจของ RS จากค่ายเพลงสู่ผู้นำด้านคอมเมิร์ซและสุขภาพ สะท้อนวิสัยทัศน์ในการมองเห็นโอกาสและความกล้าในการเปลี่ยนแปลง การใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าและความเชี่ยวชาญด้านคอนเทนต์ ผสานกับการจับเทรนด์สุขภาพ ทำให้ RS สามารถสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมา
ผลของการปรับโครงสร้างธุรกิจต่อผลประกอบการและฐานะการเงินของ RS ณ ปัจจุบัน
RS ได้เปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจจากค่ายเพลงและสื่อบันเทิงสู่การเป็นบริษัทที่มีความหลากหลายในธุรกิจคอมเมิร์ซและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ผลประกอบการในช่วงปี 2564–2566 แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน แม้รายได้รวมจะทรงตัวในปี 2564 และ 2565 ที่ประมาณ 3,500 ล้านบาท ก่อนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 3,650 ล้านบาทในปี 2566 (+3.3%) โดยรายได้จากการให้บริการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง (+22%) ขณะที่รายได้จากการขายสินค้าลดลง (-16.4%) อัตรากำไรขั้นต้นในช่วงดังกล่าวคงที่เฉลี่ย 49% สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนในธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจคอมเมิร์ซที่มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 60% ของรายได้รวมในปี 2566 นอกจากนี้ การขายสินทรัพย์สำคัญ เช่น ลิขสิทธิ์เพลงในปี 2566 ช่วยเสริมสถานะการเงิน โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 1,393 ล้านบาทในปีนั้น เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 139 ล้านบาทในปี 2565 แม้รายได้หลักยังไม่สม่ำเสมอ
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 RS มีรายได้รวม 2,116 ล้านบาท ลดลง 24% จากปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากความต้องการที่ชะลอตัวในช่องทางการค้าแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่บริษัทอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ ยังมีสัญญาณเชิงบวกจากบางธุรกิจ โดยเฉพาะรายได้จาก Online Channel ที่เติบโตถึง 79.1% ในไตรมาส 2/2567 เมื่อเทียบกับปีก่อน และธุรกิจสินค้าสัตว์เลี้ยงที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2566 ก็แสดงพลวัตการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยขยายตัว 49.1% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
เฉลี่ย 12% ต่อปี RS มีความได้เปรียบจากฐานข้อมูลลูกค้าที่ 45% ของลูกค้า RS Mall มีสัตว์เลี้ยง แม้ผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมาอาจยังไม่สม่ำเสมอ แต่การขยายธุรกิจของ RS ไปสู่ตลาดใหม่ที่อยู่นอกเหนือจากความเชี่ยวชาญเดิมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัว การเติบโตของธุรกิจสุขภาพและสินค้าสัตว์เลี้ยงสร้างกระแสลมหนุนที่สำคัญให้กับบริษัท ขณะเดียวกัน การใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีอยู่ เช่น ศิลปินและความเชี่ยวชาญด้านความบันเทิง อาจช่วยผลักดันการเติบโตในธุรกิจคอมเมิร์ซได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น RS ยังคงอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของโอกาสทางธุรกิจใหม่ในอนาคต
โอกาสการเติบโตของ RS
การปรับโมเดลธุรกิจของ RS จากค่ายเพลงสู่การเป็นผู้นำด้านคอมเมิร์ซและสุขภาพ ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในหลายมิติ กลยุทธ์สำคัญ เช่น การขยายตัวในตลาดสุขภาพและความงาม การพัฒนาช่องทางคอมเมิร์ซที่ทันสมัย และการรุกตลาดต่างประเทศ ช่วยให้ RS สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง และสร้างแหล่งรายได้ใหม่ที่มั่นคงและมีศักยภาพต่อการเติบโตในระยะยาว
- การขยายตัวของธุรกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม
ธุรกิจ Well U และ Lifestar ของ RS เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยรายได้เพิ่มขึ้น 85% ในปี 2566 ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 65% บริษัทมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 15 รายการในปี 2567 โดยเน้นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและความงามระดับพรีเมียมที่ครอบคลุมตลาดสุขภาพมูลค่ารวม 2 แสนล้านบาท ซึ่งเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี RS ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจาก 5% เป็น 10% ภายในปี 2568 พร้อมทั้งเสริมความแข็งแกร่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเฉพาะบุคคล (personalized health solutions) - การพัฒนา RS Mall เป็นแพลตฟอร์มคอมเมิร์ซครบวงจร
RS Mall กำลังพัฒนาเป็นแพลตฟอร์มคอมเมิร์ซแบบ O2O (Online-to-Offline) ที่เน้นประสบการณ์ลูกค้า ปัจจุบันมีฐานลูกค้าที่ซื้อซ้ำ 1.8 ล้านราย (เพิ่มขึ้น 40% จากปี 2565) และยอดซื้อเฉลี่ยต่อรายการ 2,500 บาท บริษัทลงทุน 500 ล้านบาทในระบบ Data Analytics และ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขาย การจัดการสินค้าคงคลัง และสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ตอบโจทย์ยิ่งขึ้น ตั้งเป้าเพิ่มฐานลูกค้าเป็น 3 ล้านรายภายในปี 2568 - การรุกตลาดผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง
RS เตรียมเปิดตัว LIFESTAR PET ในครึ่งหลังของปี 2567 เจาะตลาดผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดนี้มีมูลค่ารวมกว่า 5 หมื่นล้านบาทและเติบโตและใช้จ่ายเฉลี่ยสูงกว่าลูกค้าทั่วไป 35% ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดว่าจะสูงถึง 55-60% บริษัทตั้งเป้าสร้างรายได้จาก LIFESTAR PET ที่ 500 ล้านบาทในปี 2568 - การขยายสู่ตลาดต่างประเทศใน CLMV
RS เริ่มส่งออกผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม Well U และ Lifestar ไปยังเวียดนามในไตรมาส 2/2567 ซึ่งเป็นตลาดที่มีมูลค่ารวม 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเติบโตเฉลี่ย 18% ต่อปี บริษัทมีแผนขยายการส่งออกไปยังลาว กัมพูชา และเมียนมาในปีถัดไป ตั้งเป้ารายได้จากตลาดต่างประเทศ 1,000 ล้านบาทภายในปี 2568 - การพัฒนาช่องทาง Social Commerce และ Live Commerce
RS กำลังเร่งขยายช่องทางการขายผ่าน Social Commerce ซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 40% ต่อปี บริษัทใช้ทีม KOL และ Live Commerce กว่า 500 คน ซึ่งสร้างยอดขายเฉลี่ย 150 ล้านบาทต่อเดือนในไตรมาส 1/2567 (เพิ่มขึ้น 85% จากปีก่อน) ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จาก Social Commerce ให้คิดเป็น 30% ของรายได้คอมเมิร์ซทั้งหมดภายในปี 2568 โดยใช้ระบบ Data Analytics เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและปรับปรุงกลยุทธ์การขาย
ความเสี่ยงหลักของ RS
การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของ RS จากค่ายเพลงสู่ผู้นำในธุรกิจคอมเมิร์ซและสุขภาพ แม้จะสร้างโอกาสการเติบโตที่สำคัญ แต่ยังนำมาซึ่งความเสี่ยงใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการพึ่งพาธุรกิจหลักและการแข่งขันในตลาดที่เติบโตเร็ว กลยุทธ์การกระจายธุรกิจที่ครอบคลุมหลายภาคส่วน เช่น ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทีวีช้อปปิ้ง และ Social Commerce ทำให้ RS ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้านที่ต้องจัดการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตในระยะยาว
- ความเสี่ยงจากการพึ่งพาธุรกิจสุขภาพและความงามในสัดส่วนที่สูง
RS มีรายได้กว่า 60% มาจากผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม ซึ่งอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยในปี 2566 มีแบรนด์ใหม่เข้าสู่ตลาดกว่า 200 แบรนด์ รวมถึงบริษัทข้ามชาติที่มีทรัพยากรและช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง เช่น Unilever และ P&G การแข่งขันที่รุนแรงนี้อาจส่งผลให้ RS สูญเสียส่วนแบ่งตลาดหรือจำเป็นต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งอาจกระทบต่ออัตรากำไรและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท หาก RS ไม่สามารถปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดนี้ได้ - ความเสี่ยงจากการพึ่งพาช่องทางการขายที่มีข้อจำกัดด้านการเติบโต
แม้ RS จะขยายสู่การขายออนไลน์และ Social Commerce แต่บริษัทยังคงพึ่งพารายได้จากทีวีช้อปปิ้งและช่อง 8 ถึง 45% ซึ่งผู้ชมทีวีดิจิทัลลดลงอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 15% ต่อปี และอายุเฉลี่ยของผู้ชมเพิ่มขึ้นเป็น 45 ปี พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ทำให้ช่องทางทีวีมีข้อจำกัดในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ RS จำเป็นต้องเร่งขยายช่องทางการขายที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล เช่น แพลตฟอร์ม E-commerce และ Live Commerce เพื่อชดเชยรายได้ที่อาจลดลงจากทีวี - ความเสี่ยงจากความเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบและมาตรฐานการกำกับดูแล
ธุรกิจของ RS ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพและทีวีช้อปปิ้ง อยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวด โดยในปี 2566 การกำกับดูแลโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพโดย อย. เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตโฆษณาเพิ่มขึ้น 25% และระยะเวลาอนุมัติยาวขึ้น นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มการควบคุมทีวีช้อปปิ้งโดย กสทช. ที่อาจจำกัดรูปแบบการขายหรือเพิ่มข้อกำหนดที่ซับซ้อน การปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่อาจเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานและลดความยืดหยุ่นของบริษัท
สรุปเปรียบเทียบ RS และ GRAMMY
หลังจากการวิเคราะห์เชิงลึกของทั้ง RS และ GRAMMY สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือเส้นทางการเติบโตที่แตกต่างกันของทั้งสองบริษัท แม้ทั้งคู่จะเริ่มต้นจากธุรกิจเพลง แต่ RS ได้เลือกที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจคอมเมิร์ซและสุขภาพ ในขณะที่ GRAMMY ยังคงขยายธุรกิจในวงการบันเทิงและภาพยนตร์
คำแนะนำการลงทุนใน GRAMMY และ RS
จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY):
จากมุมมองพื้นฐาน GRAMMY มีศักยภาพในการเติบโตจากการใช้ความเชี่ยวชาญและทรัพย์สินในอุตสาหกรรมเพลงขยายเข้าสู่ธุรกิจสื่ออื่น ๆ เช่น ภาพยนตร์ คอนเสิร์ต เทศกาลดนตรี และการจัดแสดงโชว์ การขยายตัวนี้เสริมด้วยการเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มและผู้เล่นระดับโลกที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงและสร้างรายได้ใหม่ ความแข็งแกร่งของแบรนด์และคลังเพลงกว่า 40,000 เพลงยังเป็นตัวสนับสนุนที่สำคัญต่อการเติบโตในธุรกิจดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดคอนเทนต์และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคยังคงเป็นความท้าทาย ค่าเฉลี่ย P/E ของอุตสาหกรรมบันเทิงในประเทศไทยอยู่ระหว่าง 15-25 เท่า ซึ่งระดับ P/E ที่ 20-22 เท่าสำหรับ GRAMMY สะท้อนถึงทั้งโอกาสและความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม
ปัจจุบัน GRAMMY มี Forward P/E อยู่ที่ 22 เท่า ซึ่งอยู่ในช่วงที่เหมาะสมที่ประเมินไว้ (20-22 เท่า) แต่ราคาหุ้นปัจจุบันยังไม่ดึงดูดเพียงพอเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตในระยะยาว จึงแนะนำ “ถือ” (Hold) และรอให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงก่อนเพื่อเพิ่มส่วนต่างการลงทุน นักลงทุนควรติดตามผลการดำเนินงานในธุรกิจอีคอมเมิร์ซและสื่อดิจิทัลอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความคืบหน้าและศักยภาพที่แท้จริงในอนาคต
อาร์เอส (RS):
RS มีศักยภาพในการเติบโตจากการปรับโครงสร้างธุรกิจเข้าสู่ตลาดสุขภาพและความงาม รวมถึงการขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซผ่าน RS Mall และช่องทาง Social Commerce ที่สามารถใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลและทรัพย์สินในธุรกิจบันเทิงมาช่วยเสริมความได้เปรียบ กลยุทธ์นี้ช่วยสร้างความยืดหยุ่นและเปิดโอกาสในการเติบโตระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มสุขภาพและความงาม รวมถึงธุรกิจสัตว์เลี้ยงที่มีแรงสนับสนุนจากแนวโน้มตลาดที่เป็นบวก อย่างไรก็ตาม การพลิกฟื้นธุรกิจคอมเมิร์ซยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมยังต้องติดตามต่อไป
แม้ว่า RS จะมีโอกาสที่ชัดเจนจากแรงหนุนในธุรกิจสุขภาพและสัตว์เลี้ยง แต่การพลิกโฉมธุรกิจคอมเมิร์ซยังไม่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ คำแนะนำการลงทุนในขณะนี้คือ “รอดู” (Wait and See) โดยให้นักลงทุนเฝ้าติดตามความคืบหน้าในธุรกิจคอมเมิร์ซ รวมถึงการบริหารต้นทุนและความสามารถในการสร้างรายได้จากกลยุทธ์ใหม่ หากบริษัทสามารถแสดงความก้าวหน้าที่ชัดเจนได้ในอนาคต อาจเป็นโอกาสที่น่าสนใจในการเข้าลงทุนในระยะยาว
Pornbhuda Rijiravanich | Analyst, Managing Director