CPALL เผยกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 แตะ 5,608 ล้านบาท โต 28.4% จากปีก่อน รายได้รวม 241,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% หนุนโดยยอดขายสินค้าจากทุกกลุ่มธุรกิจและการเติบโตของการท่องเที่ยว พร้อมเดินหน้าขยายสาขาร้าน 7-Eleven ในไทยอีก 700 แห่งในปี 2567 รวมถึงเปิดสาขาใหม่ในกัมพูชาและลาว มุ่งลงทุน 12,000-13,000 ล้านบาทเพื่อรองรับการเติบโตทุกช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์
นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL หรือ บริษัทฯ) ใคร่ขอรายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 ปี 2567 โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อย รายงานกำไรสุทธิจำนวน 5,608 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ (หลังปรับปรุงรายการ)* จำนวนเท่ากับ 6,190 ล้านบาท โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
ในไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 241,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 6.6 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายสินค้าของทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคและศูนย์การค้า และกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ตามการบริโภคภายในประเทศที่ยังคงขยายตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงปลายไตรมาส รวมถึงการท่องเที่ยวในไตรมาสนี้ที่ปรับตัวดีขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ กลยุทธ์ O2O ของแต่ละหน่วยธุรกิจยังคงเป็นปัจจัยเสริมในการเติบโตของรายได้อีกทางหนึ่ง แม้ว่าจะเผชิญกับฝนตกหนักในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา
ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ
ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อเปิดร้านสาขาใหม่รวมทั้งสิ้น 199 สาขา ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทฯ มีจำนวนร้านสาขาทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 15,053 สาขา แบ่งเป็น
1. ร้านสาขาบริษัท 7,671 สาขา (ประมาณร้อยละ 51) โดยเปิดใหม่สุทธิ 125 สาขาในไตรมาสนี้
2. ร้าน SBP และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต 7,382 สาขา (ประมาณร้อยละ 49) โดยเปิดใหม่สุทธิ 74 สาขาในไตรมาสนี้
ร้านสาขาส่วนใหญ่ยังเป็นร้านที่ตั้งเป็นเอกเทศ ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 86 ของสาขาทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นร้านในสถานีบริการน้ำมัน ปตท.
ในไตรมาส 3 ปี 2567 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวม 107,850 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสนี้มียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวันเท่ากับ 81,781 บาท และยอดขายเฉลี่ยของร้านสาขาเดิมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดซื้อต่อบิลโดยประมาณ 84 บาท และจำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 964 คน
ทั้งนี้ จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น
ธุรกิจร้านสะดวกซื้อยังคงใช้แผนกลยุทธ์ที่สอดรับกับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงการรักษาฐานลูกค้าเดิม และขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยนำเสนอสินค้าใหม่ๆ พร้อมโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงความพยายามในการเพิ่มรายได้จากการขายสินค้าผ่านกลยุทธ์ O2O เช่น 7-Delivery และ All Online ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 11 ของรายได้จากการขายสินค้ารวม
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุมและให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการมุ่งขยายสาขาร้าน 7-Eleven ตามแผน และเพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินค้าและบริการสำหรับลูกค้า ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อยังคงรายงานกำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7,407 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 4,467 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนื กำไรต่อหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการในไตรมาส 3 ปี 2567 เท่ากับ 0.49 บาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในประเทศกัมพูชา รวมทั้งสิ้น 98 สาขา และมีสาขาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จำนวน 9 สาขา
คาดการณ์และแนวโน้มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ในปี 2567
เป้าหมายการขยายสาขา บริษัทฯวางแผนที่จะพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ ทั้งแพลตฟอร์ม
ออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งรวมถึงการขยายเครือข่ายร้านสาขาต่อเนื่องไปตามการ ขยายตัวของชุมชน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แหล่งท่องเที่ยว และทำเลที่มีศักยภาพ อื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเข้าถึงความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดย บริษัทวางแผนที่จะลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่ในประเทศไทยอีกประมาณ 700 สาขาใน ปี 2567 และมีเป้าหมายที่จะเปิดร้านใหม่เพิ่มในประเทศกัมพูชา และในสปป.ลาว ในปี 2567 อีกด้วย
ประมาณการรายได้จากการ ขายและบริการ อัตราการเติบโตของรายได้ ส่วนใหญ่มาจากอัตราการเติบโตของยอดขายจากร้าน สาขาใหม่ และอัตราการเติบโต ของยอดขายเฉลี่ยจากร้านเดิม รวมถึงยอดขายจาก ช่องทางอื่นๆ อาทิ 7Delivery และ All Online ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียง กับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ อาทิ ระดับ ของอัตราเงินเฟ้อ ราคาวัตถุดิบ ราคาพลังงาน และ การขยายตัวของการบริโภค ภายในประเทศ เป็นต้น
ประมาณการอัตรากำไรขั้นต้น บริษัทตั้งเป้าขยายอัตรากำไรขั้นต้นให้ได้อย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเน้นการพัฒนา ระบบในการคัดสรรสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น และผลักดัน ให้มีสัดส่วนของสินค้าที่ก าไรขั้นต้นสูงเพิ่มขึ้น ทั้งจากสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภค
ประมาณการงบลงทุน คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 12,000 – 13,000 ล้านบาท