ในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า ตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญกับโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจเป็นพิเศษ การแข็งค่าของเงินบาทในครั้งนี้เป็นผลจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการลดดอกเบี้ยเช่นกัน แต่เงินบาทยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากปัจจัยเชิงโครงสร้างทางนโยบายการเงินโลกที่ซับซ้อน
ในภาวะที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเช่นนี้ นักลงทุนควรจับตามองหุ้นที่สามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะบริษัทที่มีปัจจัยหนุนด้านธุรกิจแข็งแกร่งในช่วงปลายปีและต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า ซึ่งจะช่วยเสริมแรงบวกจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น SYNEX, AAV และ GULF เป็นหุ้นสามตัวที่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่าและแนวโน้มธุรกิจที่เติบโตในไตรมาสสุดท้ายของปี รวมถึงมีศักยภาพในการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต
1) SYNEX: ผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้า IT ที่พร้อมจะได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลง
SYNEX ผู้นำในการจัดจำหน่ายสินค้า IT ในไทย มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่าซึ่งช่วยลดต้นทุนนำเข้าและเพิ่มอัตรากำไร ประกอบกับการเติบโตของตลาด IT จากเทรนด์การทำงานที่บ้านและเรียนออนไลน์ บริษัทมีโอกาสเติบโตทั้งยอดขายและกำไร โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ที่มีเทศกาลช้อปปิ้งและแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ในปี
ภาพรวมธุรกิจ
- บริษัท ซินเน็ค จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าเทคโนโลยีในประเทศไทย โดยจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประเภทคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อพ่วง ซอฟต์แวร์ ระบบสารสนเทศ และอุปกรณ์สื่อสาร บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าจากผู้ผลิตมากกว่า 50 แบรนด์จากต่างประเทศ ตั้งแต่ Apple, Huawei, Nintendo และ Samsung
- SYNEX มีฐานลูกค้าเป็นผู้ประกอบการประมาณ 5,000 ราย ประกอบไปด้วยผู้วางระบบซอฟต์แวร์ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีกทั่วประเทศ โดย SYNEX มีช่องทางการจำหน่ายครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ และให้บริการจัดส่งสินค้าและบริการหลังการขาย
- บริษัทมีรายได้รวมในปี 2566 และช่วงครึ่งแรกของปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 36,000 ล้านบาท และ 18,000 ล้านบาทตามลำดับ โดยปกติแล้ว จะมีสัดส่วนรายได้จากการขายอุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ หรือ ระบบไอที มากกว่า 99% ของรายได้ทั้งหมด
แผนภูมิแสดงรายละเอียดรายได้และค่าใช้จ่ายของ SYNEX ในปี 2023 โดยมีรายได้หลักจากการขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และไอที มากถึง 36.47 พันล้านบาท คิดเป็น 99.7% ของรายได้ทั้งหมด
สัดส่วนของรายได้แยกตามหมวดของสินค้า โดยมีเปอร์เซ็นต์ของช่วงครึ่งปีแรกของ 2024 เป็นสัดส่วนที่อยู่วงนอก
- ต้นทุนหลักของ SYNEX คือต้นทุนขายสินค้า ซึ่งคิดเป็นประมาณ 93% ของรายได้ เมื่อแบ่งลงไปอีก จะแยกเป็นการจัดซื้อสินค้า 69% จากผู้ผลิตต่างประเทศที่มีฐานการผลิตในไทย และนำเข้า 31% จากผู้ผลิตในต่างประเทศโดยตรง
- ในด้านการบริหารสินค้าคงคลัง SYNEX ใช้ระบบการสั่งซื้อตามความถี่การขาย โดยสั่งซื้อสินค้าที่มียอดขายสูงอย่างสม่ำเสมอ และสั่งซื้อล่วงหน้าสำหรับสินค้าโครงการหรือสินค้าที่มีระยะเวลาการส่งมอบนานโดยทั่วไป บริษัทได้รับเครดิตเทอม 30-60 วันจากผู้ผลิตในประเทศ และ 30-45 วันจากผู้ผลิตต่างประเทศ
ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน
เมื่อเงินบาทแข็งค่า ราคาหุ้นของ SYNEX ก็มักจะปรับตัวขึ้นตามไปด้วย กราฟนี้แสดงให้เห็นว่าการแข็งค่าของเงินบาท (USD/THB ลดลง) มักสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น SYNEX
- FynnCorp IAS มองว่าการแข็งค่าของเงินบาทส่งผลดีโดยตรงต่อ SYNEX เนื่องจากช่วยลดต้นทุนการนำเข้าสินค้า IT จากต่างประเทศ ซึ่งคิดเป็น 31% ของสินค้าทั้งหมด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิ
เหตุใด SYNEX จึงน่าลงทุน?
- ผลประโยชน์จากเงินบาทแข็งและการเติบโตของตลาด IT: SYNEX ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการลดลงของต้นทุนนำเข้าเมื่อเงินบาทแข็งค่า ในขณะเดียวกัน ความต้องการสินค้า IT ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากเทรนด์การทำงานที่บ้านและการเรียนออนไลน์ ทำให้บริษัทมีโอกาสเติบโตทั้งในด้านยอดขายและอัตรากำไร
- โอกาสจากยอดขายพุ่งในไตรมาส 4 และการเปิดตัวสินค้าใหม่: ช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปีมักส่งผลให้ยอดขายของ SYNEX เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับแผนการเปิดตัวสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตรุ่นใหม่ในไตรมาส 4 ปี 2567 จะเป็นตัวเร่งสำคัญในการเติบโตของรายได้
ปัจจัยเสี่ยง
- การแข่งขันที่รุนแรงและการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี: ตลาด IT มีการแข่งขันสูงและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว SYNEX ต้องรักษาความสามารถในการแข่งขันและบริหารสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าล้าสมัย
- ภาวะเศรษฐกิจและการพึ่งพาซัพพลายเออร์: ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอาจส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ในขณะที่การพึ่งพาซัพพลายเออร์รายใหญ่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความต่อเนื่องของธุรกิจหากเกิดปัญหากับซัพพลายเออร์หลัก
2) AAV: โอกาสจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเงินบาทแข็งค่า
AAV ผู้นำสายการบินต้นทุนต่ำในไทย มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเงินบาทแข็งค่าซึ่งช่วยลดต้นทุนดำเนินงานที่อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ เช่น ค่าเช่าเครื่องบินและค่าบำรุงรักษา บริษัทมีโอกาสเติบโตจากแผนขยายเส้นทางบินใหม่ โดยเฉพาะในเส้นทางที่มียอดจองสูง และการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน
ภาพรวมธุรกิจ
- บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV เป็นบริษัทแม่ของสายการบินไทยแอร์เอเชีย ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำชั้นนำในประเทศไทยที่ให้บริการทั้งเที่ยวบินภายในประเทศและระหว่างประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ในปี 2023 AAV มีรายได้จากการดำเนินงานเที่ยวบินหลักอยู่ที่ 41 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 135% จากปี 2022 สะท้อนถึงความสำเร็จในการเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินและการขยายเส้นทางบินใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดการบิน โดยรายได้จากเที่ยวบินภายในประเทศคิดเป็น 60% และระหว่างประเทศคิดเป็น 40% ของรายได้ทั้งหมด
ภาพแสดงการกระจายรายได้และค่าใช้จ่ายของ AAV ในปี 2023 โดยรายได้หลักมาจากการดำเนินงานเที่ยวบิน (41.03 พันล้านบาท)
- ในปี 2566 ต้นทุนหลักของ AAV ประกอบด้วย ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งคิดเป็น 37% ของต้นทุนรวม และยังเป็นต้นทุนที่มีความผันผวนสูงตามราคาน้ำมันโลก นอกจากนี้ยังมี ค่าใช้จ่ายสนามบินและค่าจอดเครื่องบิน คิดเป็น 14% ซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมการใช้สนามบินและการจอดเครื่องบิน และ ค่าบำรุงรักษาและค่าซ่อมแซม คิดเป็น 15% ของต้นทุนรวม เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาเครื่องบินให้พร้อมใช้งานและปลอดภัย
ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน
- การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลดีโดยตรงต่อ AAV เนื่องจากช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เช่น ค่านํ้ามัน, ค่าเช่าเครื่องบิน และค่าบำรุงรักษา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิ
เหตุใด AAV จึงน่าลงทุน
- การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในภูมิภาค: ตลาดการท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2567 AAV อยู่ในตำแหน่งที่ดีในการได้รับประโยชน์จากการเติบโตนี้ ด้วยเครือข่ายเส้นทางบินที่ครอบคลุมและแบรนด์ที่แข็งแกร่งในภูมิภาค
- การปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน: AAV ได้ดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงและการบริหารจัดการฝูงบิน
- กลยุทธ์การขยายธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโต: AAV มีแผนขยายเส้นทางบินใหม่ โดยเฉพาะในเส้นทางที่มีศักยภาพสูงและมียอดจองแน่น เช่น เส้นทางไปยังประเทศจีนและญี่ปุ่น การขยายตัวนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มรายได้ แต่ยังช่วยกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
ปัจจัยเสี่ยง
- ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว: แม้ว่าการท่องเที่ยวจะมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก เช่น สถานการณ์โรคระบาด หรือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ที่อาจส่งผลกระทบต่อปริมาณนักท่องเที่ยวในระยะสั้น
- ความผันผวนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง: แม้ว่าราคาน้ำมันจะมีแนวโน้มลดลง แต่ยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อต้นทุนการดำเนินงานของ AAV
- การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมการบิน: การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวอาจนำไปสู่การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรมการบิน โดยเฉพาะในด้านราคา ซึ่งอาจกดดันอัตรากำไรของ AAV ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึง
3) GULF: ผู้นำด้านพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า
GULF ผู้นำในธุรกิจพลังงานของไทย กำลังขยายการลงทุนสู่พลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยได้รับประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่าซึ่งช่วยลดภาระหนี้สินในสกุลเงินดอลลาร์และต้นทุนการนำเข้าเทคโนโลยี บริษัทมีโอกาสเติบโตจากแนวโน้มการลดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลกและการเพิ่มขึ้นของความต้องการบริการดิจิทัล โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนและศูนย์ข้อมูล นอกจากนี้ GULF ยังมีความได้เปรียบจากประสบการณ์และเครือข่ายในอุตสาหกรรมพลังงาน
ภาพรวมธุรกิจ
- บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เป็นผู้นำในธุรกิจพลังงานของประเทศไทย โดยดำเนินโครงการด้านพลังงานทั้งจากพลังงานฟอสซิลและพลังงานหมุนเวียน ในปี 2566 บริษัทมีรายได้รวมประมาณ 114 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 21% จากปีก่อน โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าและธุรกิจก๊าซธรรมชาติ
- GULF มีแผนขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล โดยตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานสะอาดและขยายศูนย์ข้อมูล (Data Centers) ในประเทศไทย โดย GULF เองมีแผนที่จะลงทุน มากถึง 1,800 ล้านบาทใน Data Center ในช่วงระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า
- รายได้หลักของ GULF ในปี 2023 มาจากธุรกิจพลังงานเป็นหลัก คิดเป็น 93% ของรายได้รวม ซึ่งประกอบไปด้วย ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจพลังงานหมุนเวียน รายได้ส่วนอื่นของ GULF จะมาจากโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค, ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และอื่นๆ
แผนภูมิแสดงรายได้และค่าใช้จ่ายของ GULF ในปี 2023 โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจพลังงาน เป็น 106.13 พันล้านบาท
- สิ้นปี 2566 GULF มีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยกว่า 282,626 ล้านบาท โดยเกือบ 18% อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ค่าเงินมีบทบาทสำคัญต่อภาระหนี้ของบริษัท
- ในปีที่ผ่านมา บริษัทต้องบันทึกขาดทุนทางบัญชี 576 ล้านบาท จากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แม้ว่าจะไม่ใช่การสูญเสียเงินสดจริง แต่ก็ส่งผลต่อการรายงานผลประกอบการ อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินบาทกลับเป็นผลดีต่อ GULF ในแง่ของการจ่ายหนี้ เพราะทำให้ใช้เงินจ่ายน้อยลงเมื่อหนี้อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์
ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน
- การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลดีต่อ GULF ในหลายด้าน ประการแรก ช่วยลดภาระหนี้สินในสกุลเงินดอลลาร์ ทำให้บริษัทมีโอกาสในการลดต้นทุนทางการเงินและเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ ประการที่สอง ช่วยลดต้นทุนการนำเข้าเทคโนโลยีและอุปกรณ์สำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนและศูนย์ข้อมูล ซึ่งส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังเพิ่มความคล่องตัวในการขยายการลงทุน ทำให้ GULF สามารถเร่งแผนการลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพสูงได้เร็วขึ้น
เหตุใด GULF จึงน่าลงทุน
- โอกาสการเติบโตในธุรกิจพลังงานสะอาดและดิจิทัล: GULF กำลังขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและศูนย์ข้อมูล ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการลดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลกและการเติบโตของความต้องการบริการดิจิทัล การลงทุนในสองธุรกิจที่มีศักยภาพสูงนี้จะช่วยสร้างแหล่งรายได้ใหม่และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ
- ประโยชน์จากการบริหารต้นทุนและหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ: การแข็งค่าของเงินบาทช่วยลดต้นทุนการนำเข้าอุปกรณ์และเทคโนโลยีสำหรับโครงการใหม่ ขณะเดียวกันก็ช่วยลดภาระหนี้สินในสกุลเงินดอลลาร์ เปิดโอกาสให้ GULF สามารถรีไฟแนนซ์หนี้ในอัตราที่ต่ำลง เพิ่มความสามารถในการทำกำไรและการลงทุนในอนาคต
- ตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมพลังงาน: GULF มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงาน พร้อมด้วยเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการขยายธุรกิจไปสู่พลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล สามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์และความเชี่ยวชาญที่มีอยู่เพื่อสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่
ปัจจัยเสี่ยง
- ความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐและกฎระเบียบ: การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านพลังงานและดิจิทัลของภาครัฐ รวมถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง อาจส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนและการดำเนินงานของ GULF โดยเฉพาะในโครงการพลังงานหมุนเวียนและศูนย์ข้อมูล
- ความผันผวนของราคาพลังงานและวัตถุดิบ: แม้ว่า GULF จะกำลังขยายไปสู่พลังงานหมุนเวียน แต่ธุรกิจหลักยังคงเป็นการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ ความผันผวนของราคาก๊าซธรรมชาติและเชื้อเพลิงอื่นๆ อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและความสามารถในการทำกำไร
- ความท้าทายในการขยายธุรกิจใหม่: การขยายธุรกิจไปสู่พลังงานหมุนเวียนและศูนย์ข้อมูลอาจเผชิญกับความท้าทายในด้านการดำเนินงานและการแข่งขัน เนื่องจากเป็นธุรกิจใหม่ที่ GULF อาจยังไม่มีประสบการณ์มากนัก อาจต้องใช้เวลาในการสร้างความเชี่ยวชาญและส่วนแบ่งตลาด
อ่านรายละเอียดเพิ่ม คลิก https://app.visible.vc/shared-update/b7514fb8-becc-4ff0-a481-b1cba459cb46