หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน TU ประกาศงบปี 67 พลิกกำไร 4,985 ล้านบาท จากปี 66 ขาดทุน 13,933 ล้านบาท เทิร์นอะราวน์ 135.8% พร้อมกวาดยอดขาย 138,433 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นอันดับ 3 ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจ ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 68 ไฟเขียวจ่ายเงินปันผล 0.35 บาทต่อหุ้น รวมปี 67 จ่ายทั้งหมด 0.66 บาท
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ประกาศผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทฯ รายงานยอดขายอยู่ที่ 35,090 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากผลกระทบเชิงลบจากอัตราแลกเปลี่ยน 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการที่เงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักทุกสกุล โดยเฉพาะเงินยูโร (เฉลี่ยที่ 36.26 บาทต่อยูโร ลดลง 5.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) และเหรียญสหรัฐ (เฉลี่ยที่ 34.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) อย่างไรก็ดียอดขายที่ลดลงได้ถูกชดเชยบางส่วนจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติที่เพิ่มสูงขึ้น 1.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ ปริมาณขายเพิ่มสูงขึ้น 6.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากความต้องการที่สูงขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ ยกเว้น ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 6,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจอาหารทะลแปรรูป ธุรกิจอาหาร สัตว์เลี้ยง และธุรกิจอาหารสัตว์ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้เติบโต 0.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 18.7% ซึ่งเป็นอัตรากำไรขั้นต้นรายไตรมาสที่สูงสุดเป็นอันดับ 3 ในรอบ 14 ไตรมาสที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 4,963 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนใหญ่เป็นผลจาก transformation costs ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้น และค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นซึ่งสอดคล้องกับปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายจึงเพิ่มขึ้นเป็น 14.1% จาก 11.8% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน หากไม่รวม transformation costs อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายจะอยู่ที่ 13.3% จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ทำให้กำไรจากการดำเนินงานลดลงมาอยู่ที่ 1,590 ล้านบาท
บริษัทฯ บันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 118 ล้านบาท เทียบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาส 4 ปี 2566 จำนวน 68 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพในไตรมาสนี้
รายได้อื่นอยู่ที่ 236 ล้านบาท ลดลง 18.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากฐานที่สูงในไตรมาส 4 ปี 2566 ซึ่งรวมถึงการเคลมประกันภัยครั้งเดียว
ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าอยู่ที่ 157 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ Avanti Group
ต้นทุนทางการเงินอยู่ที่ 598ล้านบาท ลดลง5.1%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทั่วโลกในไตรมาส4 ปี 2567
ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้อยู่ที่ 50 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2567 เทียบกับเครดิตภาษีเงินได้จำนวน 40 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2566 ซึ่งค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นี้ส่วนใหญ่เป็นผลจากการ ไม่ได้รับประโยชน์เครดิตภาษีจาก RL หลังจากการบันทึกรายการด้อยค่าเต็มจำนวนจากการลงทุนทั้งหมดใน RL ในไตรมาส 4 ปี 2566
ด้วยเหตุนี้กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,213 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 3.5% อย่างไรก็ตาม หากไม่รวม transformation costs กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1,512 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ยอดขายของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.7% โดยมีสาเหตุหลักจากผลกระทบตามฤดูกาลของทุกกลุ่มธุรกิจ ยกเว้นธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลงเล็กน้อย 0.8% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 18.7% ในไตรมาส 4 ปี 2567 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 5.2% จากไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่มาจาก transformation costs ค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น เนื่องด้วยผลการดำเนินงานที่ชะลอตัวลงในขณะที่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิปรับตัวลดลง 23.3% และ 13.4% จากไตรมาสก่อน ตามลำดับ
ส่งผลให้ยอดขายในปี 2567 ซึ่งกลับมาเติบโตโดยทำสถิติรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 3 ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา พร้อมด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 18.5% รวมถึง EBITDA สูงสุดเป็น
อันดับ 2 ตั้งแต่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจมา
• บริษัทฯ รายงานยอดขายที่ 138,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีก่อน เป็นผลจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า
• อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 18.5%
• EBITDA สูงขึ้น 8.6% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 13,361 ล้านบาท สะท้อนถึงการขยายตัวของธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ
• กำไรสุทธิอยู่ที่ 4,985 ล้านบาท โดยมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.08 บาท เพิ่มขึ้น 7.2% และ 134% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ
ทั้งนี้หากไม่รวม transformation costs กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 22.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 5,685 ล้านบาท
• กระแสเงินสดอิสระของบริษัทฯ อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ มีสภาพคล่องสูงพร้อมรองรับการลงทุนในอนาคตและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้งบฐานะทางการเงินพัฒนาการของธุรกิจที่สำคัญในไตรมาส 4 ปี 2567 การใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนจำนวน 6,000ล้านบาท ในเดือนพฤศจิกายน 2567
• เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินการไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนจำนวน 6,000 ล้านบาทเพื่อ ลดผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หลังจากการทำธุรกรรมในครั้งนี้ หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนจะถูกเปลี่ยนการบันทึกบัญชีจากส่วนของผู้ถือหุ้นมาเป็นหนี้สิน โดยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะถูกบันทึกในงบกำไรขาดทุนแทนกำไรสะสมในงบฐานะทางการเงิน ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเพิ่มขึ้นเป็น 0.94 เท่า แต่ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 1.0-1.1 เท่า ทั้งนี้บริษัทฯกำลังพิจารณาออกเงินกู้ส่งเสริมความยั่งยืนใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนภายในปี 2568การจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งที่ 4
• เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินในจำนวนไม่เกิน 200 ล้านหุ้นหรือ 4.49% ของจำนวนทุนที่ชำระแล้ว โดยโครงการซื้นหุ้นคืนครั้งนี้มีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568
การจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหุ้น
• เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจำนวน 0.35 บาทต่อหุ้นสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี 2567 ถ้านับรวมทั้งปี 2567 บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 0.66 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 59.96% และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจที่ระดับ 5.7% ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลต้องได้รับการอนุมัติจากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีในวันที่ 8 เมษายน 2568
โดยสรุปใน ปี2567 บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 3 ตั้งแต่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจมา อยู่ที่ 138,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีก่อน มีสาเหตุหลักจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 18.5% ในปี 2567
ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวสูงขึ้น 12.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจาก transformation costs ของกลุ่มบริษัท รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้น 13.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจาก Avanti Group และ Lucky Union Foods ถึงแม้ว่าบริษัทฯ ได้หยุดการรับรู้กำไรจาก LDH จากการถอนการลงทุนตั้งแต่ต้นปีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 8.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั่วโลกในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 430 ล้านบาท ในปี 2567 เนื่องจากบริษัทฯ ไม่ได้รับประโยชน์ทางภาษีจาก Red Lobster (RL) หลังจากการบันทึกรายการด้อยค่าเต็มจำนวนจากการลงทุนทั้งหมดใน RL ในไตรมาส 4 ปี 2566 ด้วยเหตุนี้กำไรสุทธิฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งมาอยู่ที่ 4,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิตามที่ปรับปรุงในปี2566 ซึ่งไม่รวมรายการที่เกี่ยวข้องกับ RL ได้แก่ ส่วนแบ่งขาดทุน รายการด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดครั้งเดียว และรายได้ภาษีเงินได้จาก RL