ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#TU


TU ปรับเป้าเหลือ 12บาท คาดกำไร Q1 ไม่สวย

TU ปรับเป้าเหลือ 12บาท คาดกำไร Q1 ไม่สวย

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ถือ” TU แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 12.00 บาท (เดิม 13.50 บาท) อิง SOTP ตามการปรับประมาณการลง ประเมินกำไรปกติ 1Q25E ที่ 654 ล้านบาท (-27% YoY, -45% QoQ) ต่ำกว่ากรอบเราประเมินเบื้องต้นที่ 1-1.1 พันล้านบาท เนื่องจาก 1) รายได้ชะลอ -8% YoY, -12% QoQ จากผลกระทบบาทแข็ง ลูกค้า Ambient seafood มีการ wait & see หลังราคาทูน่าสูงขึ้น และลูกค้าธุรกิจ PetCare ยังมีปัญหาจองพื้นที่เรือ, 2) SG&A/Sale ยังอยู่ในระดับสูงจากค่าใช้จ่ายตามการลงทุน transformation และค่าใช้จ่ายการตลาด, และ 3) Effective tax rate ปรับตัวขึ้นจากการเริ่มใช้เกณฑ์ Global minimum tax (GMT) เราปรับกำไรปกติปี 2025E ลง -14% เป็น 4.2 พันล้านบาท (-16% YoY) สำหรับ 2Q25E เบื้องต้นคาดการณ์กำไรปกติจะลดลง YoY จาก SG&A สูงขึ้นจากการลงทุน transformation และฐานภาษีสูงขึ้นจากเกณฑ์ GMT           ขณะที่กำไรปกติมีโอกาสดีขึ้น QoQ อานิสงส์ปัจจัยฤดูกาลของธุรกิจ Ambient seafood แต่อาจถูก offset บางส่วนจากลูกค้าที่อาจมีการ wait & see นโยบาย tariffs ราคาหุ้นปรับตัวลง แต่ in line กับ SET ใน 1-3 เดือน แม้จะมีปัจจัยหนุนจากแผนซื้อหุ้นคืน           แต่มองว่าผลการดำเนินงานปี 2025E ยังมีปัจจัยท้าทายจาก 1) นโยบาย tariffs ของสหรัฐฯ ซึ่งยังอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบ, 2) แนวโน้ม SG&A ทรงตัวสูงจากการลงทุน transformation, และ 3) การเริ่มใช้เกณฑ์ GMT

TU เพิ่มเงินซื้อหุ้นคืน สู้ศึกภาษีสหรัฐฯ

TU เพิ่มเงินซื้อหุ้นคืน สู้ศึกภาษีสหรัฐฯ

                 หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (3 เม.ย.) มีมติอนุมัติเปลี่ยนแปลงวงเงินและจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนในโครงการซื้อหุ้น โดยปรับเพิ่มวงเงินเป็นไม่เกิน 5 พันล้านบาท จากเดิม 3 พันล้านบาท และปรับเพิ่มจำนวนหุ้นซื้อคืนเป็นไม่เกิน 445 ล้านหุ้น จากเดิม 200 ล้านหุ้น ขณะที่ยังคงระยะเวลาซื้อหุ้นเป็นช่วง 2 ม.ค.-30 มิ.ย. 2025 (ที่มา: SET)                  มีมุมมองเป็นกลาง โดยจากรายงานผลการซื้อหุ้นคืนล่าสุดของ TU ปัจจุบันบริษัทใช้วงเงินซื้อหุ้นคืนไปแล้วทั้งหมด 1.78 พันล้านบาท และซื้อหุ้นคืนไปแล้วทั้งหมด 150.9 ล้านหุ้น โดยหากพิจารณาวงเงินและปริมาณหุ้นที่เหลือหลังการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะ imply ราคาซื้อคืนเฉลี่ยที่ราว 10.9 บาท/หุ้น สูงกว่าราคาปัจจุบันเล็กน้อย +2%                  ขณะที่เรามองว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานคาดจะยังมีปัจจัยกดดันจากประเด็นนโยบาย tariffs ของสหรัฐฯ ทั้งนี้เราประเมินกำไรปกติปี 2025E ที่ 4.9 พันล้านบาท (-3% YoY) แต่มีโอกาสปรับลงตามการปรับประมาณการของ ITC เราคงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 13.50 บาท อิง SOTP

TU รับผลงาน Q1/68 ลดลงเล็กน้อย ค่าใช้จ่ายเพิ่ม-บาทแข็งกดดัน

TU รับผลงาน Q1/68 ลดลงเล็กน้อย ค่าใช้จ่ายเพิ่ม-บาทแข็งกดดัน

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงน น.ส.ภิญญดา แสงศักดาหาญ หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TU) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 1/68 จะปรับตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากปัจจุบันค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงค่าเงินยูโรที่แข็งค่า ขณะที่บริษัทฯ มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ทำให้จะมีค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด เพื่อให้สินค้าติดตลาด รวมถึงจะมีค่าใช้จ่ายการ Transformation costs  ราว 200-250 ล้านบาทต่อไตรมาส ก็คาดว่าจะส่งกระทบต่อผลงานไตรมาสแรกด้วย           สำหรับปี 68 บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้เติบโต 3-4% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยหลักมาจาก Organic Growth ที่ตั้งเป้าเติบโต 6-7% ของทุกกลุ่มธุรกิจ อย่างไรก็ตามคาดจะมีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ราว 3% เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยทั้งปีคาดเงินบาทจะแข็งค่าแตะ 33.49 บาท/ดอลลาร์ จากสิ้นปีก่อน อยู่ที่ 35.29 บาท/ดอลลาร์ และค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นราว 2-3% จากปีก่อน           อัตรากำไรขั้นต้น คาดเติบโตที่ 18.5-19.5% ตามการขยายตัวของทุกธุรกิจ ยกเว้น ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Care) เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา รายได้รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และปีนี้แม้คาดว่าจะยังเห็นการเติบโตต่อเนื่อง แต่ในมุมของกำไรขั้นต้น อาจทรงตัว  ถึงลดลงเล็กน้อย            ส่วนอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A to sales) จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 13-13.5% จากปีก่อน 13.3% จากการทำ Transformation costs อยู่ราว 0.7% ของยอดขาย และการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง           ด้านราคาต้นทุนในปีนี้ คาดว่าราคาปลาทูน่า จะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,580 เหรียญฯ/ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย แต่ด้วยในช่วงที่ผ่านมา TU ได้มีการเก็บสต็อกปลาทูน่า ที่ราคาต่ำเป็นจำนวนมาก ทำให้ในจังหวะที่ราคาปลาทูน่าอยู่ในช่วงขาขึ้น จะเป็นผลบวกต่อมาร์จิ้นธุรกิจแปรรูปอาหารทะเล (Ambient)           ราคากุ้ง คาดเฉลี่ยอยู่ที่ 150 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้น จากปีก่อนเฉลี่ยราว 144 บาท/กิโลกรัม โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก และไม่น่าจะกระทบต่อมาร์จิ้นของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง (Frozen)           บริษัทฯ คงงบลงทุนในปีนี้ไว้ที่ 4,500-5,000 ลานบาท รองรับการขยายระบบอัตโนมัติในคลังสินค้าของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง           น.ส.ภิญญดา กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มีแผนรีไฟแนนซ์หุ้นกู้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอน มูลค่า 12,000 ล้านบาท           นอกจากนี้บริษัทฯ ได้มีการประมินผลกระทบต่อหลักเกณฑ์ภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax) อัตรา 15%  ที่เรียกเก็บจาก นิติบุคคลข้ามชาติ (Multinational Enterprises) ที่มีรายได้รวมทั้งปีไม่น้อยกว่า 750 ล้านยูโร โดย TU จะมีผลกระทบจากธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย แต่ด้วยธุรกิจในไทย จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับสินค้าส่งออก ทำให้ธุรกิจที่ได้รับสิทธิประโยชน์ จะมีอัตราภาษีจริง (Effective Tax Rate) ในระดับต่ำ แต่ก็มีบางกิจกรรม ที่มีการเสียภาษีที่ 20% เช่น การขายสินค้าในประเทศ ทำให้ภาพรวม Effective Tax Rate ของกลุ่มบริษัทฯ จะอยู่ในระดับต่ำกว่า 15% อย่างไรก็ตามจากการประเมิน กลุ่มบริษัทฯ จะได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวอยู่ราว 300-350 ล้านบาท และเชื่อมั่นว่าภาครัฐ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะออกมาตรการช่วยเหลือ ก็จะส่งผลให้ผลกระทบดังกล่าวลดลงไป           ทั้งนี้เป้าหมาย 5 ปีข้างหน้า หรือในปี 73 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ารายได้ เติบโตแตะ 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น การเติบโตของ Organic Growth ราว 7% ต่อปี และการซื้อกิจการ (M&A) ราว 1,000 ล้านเหรีญสหรัฐ ส่วนสัดส่วนธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และ Value added จะอยู่ที่ 25-30% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น ตั้งเป้าอยู่ที่ 20-23%, กำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 8% และ กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) คาดเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า

TU คาดกำไรปี68 ที่ 4,970 ลบ. หวังปันผล 5 - 6% โบรกแนะ TRADING เป้า 13.20 บ.

TU คาดกำไรปี68 ที่ 4,970 ลบ. หวังปันผล 5 - 6% โบรกแนะ TRADING เป้า 13.20 บ.

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี ระบุ Thai Union Group (TU) ระยะสั้นยังไม่เด่น รอติดตามผลการทำ Transformation ระยะสั้นไม่เด่น แนวโน้มกำไรปกติ 1Q25 ชะลอลงทั้ง QoQ และ YoY แนวโน้มกำไรปกติ 1Q25 เบื้องต้นคาดชะลอลงทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจที่ทำให้ปริมาณขายจะชะลอตัวลง ประกอบกับค่าเงินบาทเทียบ USD ที่แข็งค่าขึ้น YoY กดดันการรับรู้รายได้สกุลเงินบาท          และในปีนี้บริษัทจะรุกขยายสินค้า Own Branded มากขึ้นจึงจะมีค่าใช้จ่ายการตลาดที่สูงขึ้น รวมถึงรับรู้ค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาในการ Transformation ต่อเนื่อง ทำให้คาด SG&A/Sales จะสูงขึ้น ประกอบกับจะเริ่มรับรู้อัตราภาษีจ่ายที่สูงขึ้นตามกฎ Global Minimum Tax (GMT) ซึ่งทำให้คาด Effective Tax rate จะสูงขึ้นเป็นราว 11 – 14% จากเดิมที่ราว 7 – 9% เป็นไตรมาสแรก บริษัทตั้งเป้าการเติบโตรายได้ปี 2025 ที่ 3 – 4% และ GPM ที่ 18.5 – 19.5%          บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2025 เติบโตระดับ 3 – 4% มาจาก Organic growth ที่ 6-7% แต่ถูกชดเชยจากค่าเงินบาทแข็งค่าที่ 3% โดยมีธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Care) เป็นเรือธงหลักหนุนการเติบโตระดับ Double Digit ขณะที่ธุรกิจ Ambient และ Frozen ตั้งเป้าการเติบโตระดับ Low Single Digit ส่วน GPM ตั้งเป้าที่ 18.5 – 19.5% สูงขึ้นแม้คาดแนวโน้มราคาต้นทุนวัตถุดิบหลักอย่างทูน่าจะปรับขึ้นราว 10% YoY แต่จะชดเชยด้วยผลของการทำ Transformation และการควบคุมต้นทุน รวมถึงการเน้นขายสินค้า Own Branded ที่มี GPM สูงกว่ามากขึ้น          นอกจากนี้ บริษัทได้ชำระคืน Perp bond มูลค่า 6 พันลบ. และเปลี่ยนไปกู้ยืมระยะสั้นแทน ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนจะสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าอัตราดอกเบี้ยโดยรวมจะปรับลง และทำให้ดอกเบี้ยจ่ายปี 2025 จะใกล้เคียงกับปี 2024 ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2025 ลง สะท้อนเป้าของบริษัท และ GMT          เรามีมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้นต่อแนวโน้มผลประกอบการปี 2025 ของ TU และปรับประมาณการกำไรปกติปี 2025 ลง 14% เป็น 4,970 ลบ. (-1.8% YoY) จากการปรับลดสมมติฐานรายได้ลง 2.6% และปรับเพิ่ม SG&A/Sales และอัตราภาษีจ่ายขึ้น สะท้อนค่าใช้จ่ายที่ปรึกษา และภาษีจ่ายตามกฎ GMT และคาดกำไรปกติจะกลับมาเติบโต YoY อีกครั้งในปี 2026 ที่จะรับรู้ผลของการทำ Transformation ชัดเจนมากขึ้น ระยะสั้นยังขาดปัจจัยบวกหนุน คงคำแนะนำ “TRADING”          ผลของการปรับประมาณการลง ทำให้ราคาเหมาะสมถูกปรับลดลงเป็น 13.20 บาท มี Upside gain 10.8% ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER25 ที่ 11 เท่า ไม่แพง และคาดหวัง Div. Yield ได้ที่ 5 - 6% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นหุ้นขาดปัจจัยบวกหนุนเชิงพื้นฐาน เราคงคำแนะนำ TRADING เชิงกลยุทธ์ เรามอง ITC เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

TU โบรกมองโตต่อ เคาะ ‘ซื้อ’ เป้าที่ 14.90 บ.

TU โบรกมองโตต่อ เคาะ ‘ซื้อ’ เป้าที่ 14.90 บ.

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี มีมุมมอง “Neutral” ต่อกำไรปกติ 4Q24 ของ TU ที่ 1,094 ลบ. (-12%y-y,-25%q-q) ใกล้เคียงกับที่ฝ่ายวิจัยและตลาดคาด สาเหตุหลักกดดันกำไรลดลงจากSG&A/sales เพิ่มขึ้น y-y, q-q          สำหรับโมเมนตั้ม 1Q25F คาดกำไรปกติเพิ่มขึ้นy-y จากฐานต่ำ แต่ลดลง q-q จาก Low season และการเริ่มใช้เกณฑ์ภาษี GMT1ม.ค.25 โดยฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรปี 2025F-26F ลดลง -23%/-19% ตามลำดับ จากการปรับสมมติฐาน SG&A/sales และ Effective tax rate เพิ่มขึ้น กระทบ TP ลงมาอยู่ที่ 14.90 บ. (เดิม 19.30 บ.) พร้อมกันนี้มีเงินปันผล 0.35 บ./หุ้น (yield 3%) XD 28 ก.พ. 25 มองราคาที่ลดลงมาในช่วงก่อนหน้า สะท้อนปัจจัยลบไปมาก จึงปรับคำแนะนำเป็น Buy (เดิม Under review) ให้ราคาเป้าหมายที่ 14.90 บ.

TU คาดยอดขายปี 2568 โต 3-4% ทุ่มงบลงทุน 5 พันล้าน

TU คาดยอดขายปี 2568 โต 3-4% ทุ่มงบลงทุน 5 พันล้าน

          นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ TU บริษัทฯ คาดว่ายอดขายจะเติบโต 3-4% จากปีก่อน จากการเติบโตของการดำเนินงานปกติในทุกกลุ่มธุรกิจ อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้อาจถูกชดเชยบางส่วนด้วยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากบริษัทฯ คาดการณ์ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ อัตรากำไรขั้นต้น จะอยู่ที่ 18.5 – 19.5% คาดว่าจะสอดคล้องกับการเติบโตของยอดขาย ขณะที่ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 13.0 – 13.5% เป็นผลจาก transformation costs และค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่มุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ สุดท้ายนี้ บริษัทฯ คาดว่า งบลงทุน (CAPEX) จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากการขยาย ระบบอัตโนมัติในคลังสินค้าของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ที่4.5 – 5.0 พันล้านบาท

TU ปี67 พลิกมีกำไร 4,985 ล้านบาท เทิร์นอะราวน์ 135.8%

TU ปี67 พลิกมีกำไร 4,985 ล้านบาท เทิร์นอะราวน์ 135.8%

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน TU ประกาศงบปี 67 พลิกกำไร 4,985 ล้านบาท จากปี 66 ขาดทุน 13,933 ล้านบาท เทิร์นอะราวน์ 135.8% พร้อมกวาดยอดขาย 138,433 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นอันดับ 3 ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจ ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 68 ไฟเขียวจ่ายเงินปันผล 0.35 บาทต่อหุ้น รวมปี 67 จ่ายทั้งหมด 0.66 บาท           บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ประกาศผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทฯ รายงานยอดขายอยู่ที่ 35,090 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากผลกระทบเชิงลบจากอัตราแลกเปลี่ยน 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการที่เงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักทุกสกุล โดยเฉพาะเงินยูโร (เฉลี่ยที่ 36.26 บาทต่อยูโร ลดลง 5.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) และเหรียญสหรัฐ (เฉลี่ยที่ 34.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) อย่างไรก็ดียอดขายที่ลดลงได้ถูกชดเชยบางส่วนจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติที่เพิ่มสูงขึ้น 1.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน           นอกจากนี้ ปริมาณขายเพิ่มสูงขึ้น 6.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากความต้องการที่สูงขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ ยกเว้น ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 6,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจอาหารทะลแปรรูป ธุรกิจอาหาร สัตว์เลี้ยง และธุรกิจอาหารสัตว์ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้เติบโต 0.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 18.7% ซึ่งเป็นอัตรากำไรขั้นต้นรายไตรมาสที่สูงสุดเป็นอันดับ 3 ในรอบ 14 ไตรมาสที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 4,963 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน           ส่วนใหญ่เป็นผลจาก transformation costs ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้น และค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นซึ่งสอดคล้องกับปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายจึงเพิ่มขึ้นเป็น 14.1% จาก 11.8% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน หากไม่รวม transformation costs อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายจะอยู่ที่ 13.3% จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ทำให้กำไรจากการดำเนินงานลดลงมาอยู่ที่ 1,590 ล้านบาท           บริษัทฯ บันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 118 ล้านบาท เทียบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาส 4 ปี 2566 จำนวน 68 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพในไตรมาสนี้           รายได้อื่นอยู่ที่ 236 ล้านบาท ลดลง 18.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากฐานที่สูงในไตรมาส 4 ปี 2566 ซึ่งรวมถึงการเคลมประกันภัยครั้งเดียว           ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าอยู่ที่ 157 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ Avanti Group           ต้นทุนทางการเงินอยู่ที่ 598ล้านบาท ลดลง5.1%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทั่วโลกในไตรมาส4 ปี 2567           ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้อยู่ที่ 50 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2567 เทียบกับเครดิตภาษีเงินได้จำนวน 40 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2566 ซึ่งค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นี้ส่วนใหญ่เป็นผลจากการ ไม่ได้รับประโยชน์เครดิตภาษีจาก RL หลังจากการบันทึกรายการด้อยค่าเต็มจำนวนจากการลงทุนทั้งหมดใน RL ในไตรมาส 4 ปี 2566           ด้วยเหตุนี้กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,213 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 3.5% อย่างไรก็ตาม หากไม่รวม transformation costs กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1,512 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ยอดขายของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.7% โดยมีสาเหตุหลักจากผลกระทบตามฤดูกาลของทุกกลุ่มธุรกิจ ยกเว้นธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลงเล็กน้อย 0.8% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 18.7% ในไตรมาส 4 ปี 2567 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 5.2% จากไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่มาจาก transformation costs ค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น เนื่องด้วยผลการดำเนินงานที่ชะลอตัวลงในขณะที่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิปรับตัวลดลง 23.3% และ 13.4% จากไตรมาสก่อน ตามลำดับ           ส่งผลให้ยอดขายในปี 2567 ซึ่งกลับมาเติบโตโดยทำสถิติรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 3 ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา พร้อมด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 18.5% รวมถึง EBITDA สูงสุดเป็น อันดับ 2 ตั้งแต่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจมา • บริษัทฯ รายงานยอดขายที่ 138,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีก่อน เป็นผลจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า • อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 18.5% • EBITDA สูงขึ้น 8.6% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 13,361 ล้านบาท สะท้อนถึงการขยายตัวของธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ • กำไรสุทธิอยู่ที่ 4,985 ล้านบาท โดยมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.08 บาท เพิ่มขึ้น 7.2% และ 134% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ทั้งนี้หากไม่รวม transformation costs กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 22.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 5,685 ล้านบาท • กระแสเงินสดอิสระของบริษัทฯ อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ มีสภาพคล่องสูงพร้อมรองรับการลงทุนในอนาคตและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้งบฐานะทางการเงินพัฒนาการของธุรกิจที่สำคัญในไตรมาส 4 ปี 2567 การใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนจำนวน 6,000ล้านบาท ในเดือนพฤศจิกายน 2567 • เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินการไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนจำนวน 6,000 ล้านบาทเพื่อ ลดผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หลังจากการทำธุรกรรมในครั้งนี้ หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนจะถูกเปลี่ยนการบันทึกบัญชีจากส่วนของผู้ถือหุ้นมาเป็นหนี้สิน โดยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะถูกบันทึกในงบกำไรขาดทุนแทนกำไรสะสมในงบฐานะทางการเงิน ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเพิ่มขึ้นเป็น 0.94 เท่า แต่ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 1.0-1.1 เท่า ทั้งนี้บริษัทฯกำลังพิจารณาออกเงินกู้ส่งเสริมความยั่งยืนใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนภายในปี 2568การจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งที่ 4 • เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินในจำนวนไม่เกิน 200 ล้านหุ้นหรือ 4.49% ของจำนวนทุนที่ชำระแล้ว โดยโครงการซื้นหุ้นคืนครั้งนี้มีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 การจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหุ้น • เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจำนวน 0.35 บาทต่อหุ้นสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี 2567 ถ้านับรวมทั้งปี 2567 บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 0.66 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 59.96% และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจที่ระดับ 5.7% ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลต้องได้รับการอนุมัติจากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีในวันที่ 8 เมษายน 2568 โดยสรุปใน ปี2567 บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 3 ตั้งแต่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจมา อยู่ที่ 138,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีก่อน มีสาเหตุหลักจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 18.5% ในปี 2567           ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวสูงขึ้น 12.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจาก transformation costs ของกลุ่มบริษัท รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้น 13.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจาก Avanti Group และ Lucky Union Foods ถึงแม้ว่าบริษัทฯ ได้หยุดการรับรู้กำไรจาก LDH จากการถอนการลงทุนตั้งแต่ต้นปีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 8.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั่วโลกในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 430 ล้านบาท ในปี 2567 เนื่องจากบริษัทฯ ไม่ได้รับประโยชน์ทางภาษีจาก Red Lobster (RL) หลังจากการบันทึกรายการด้อยค่าเต็มจำนวนจากการลงทุนทั้งหมดใน RL ในไตรมาส 4 ปี 2566 ด้วยเหตุนี้กำไรสุทธิฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งมาอยู่ที่ 4,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิตามที่ปรับปรุงในปี2566 ซึ่งไม่รวมรายการที่เกี่ยวข้องกับ RL ได้แก่ ส่วนแบ่งขาดทุน รายการด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดครั้งเดียว และรายได้ภาษีเงินได้จาก RL

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

TU คาดกำไรปี 67 ที่ 5,099 ลบ.  โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 16.90 บาท

TU คาดกำไรปี 67 ที่ 5,099 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 16.90 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.ฟิลลิป คาดยอดขาย 4Q67 ที่ 35,200 ลบ. +1.0% q-q, -0.9% y-y และกำไรสุทธิ 1,327 ลบ. -5.3% q-q, +6.6% y-y เมื่อเทียบกับ 4Q66 ยอดขายกลุ่ม Ambient คาดโตเล็กน้อย ขณะที่กลุ่ม PetCare และ Frozen ยอดขาย flat และอ่อนตัวตามลำดับ ด้านยอดขายปี 67 คาด 138,543 ลบ. +1.8% กำไรสุทธิคาดที่ 5,099 ลบ. +13.3% จากการบริหารต้นทุนและส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 68: 16.90 บาท แนวโน้มยอดขาย 4Q67 flat แต่ทั้งปียังโต:           คาดการณ์ยอดขาย 4Q67 อยู่ที่ประมาณ 35,200 ลบ. +1.0% q-q, -0.9% y-y กำไรสุทธิที่ 1,327 ลบ. -5.3% q-q, +6.6% y-y โดยเมื่อเทียบกับ 4Q66 แล้ว คาดว่ากลุ่ม Ambient จะมียอดขายโตขึ้นเล็กน้อยจากการอัดโปรโมชั่นใน US ส่วน PetCare จากฐานเดิมที่สูงทำให้ยอดขายค่อนข้าง flat ทั้งนี้ ส่วนธุรกิจ Frozen มียอดขายที่อ่อนตัวลงจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ อย่างไรก็ตามคาดว่า GPM ยังอยู่ในกรอบ Guidance ที่บริษัทให้ไว้ SG&A/Sales มีแนวโน้มสูงกว่า Guidance จากค่าขนส่งและการตลาดเพื่อฟื้นยอดขายใน US และ EU ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 1,327 ลบ. -5.3% q-q, +6.6% y-y           ทางฝ่ายคาดการณ์ยอดขายปี 67 อยู่ที่ 138,543 ลบ. +1.8% ซึ่งต่ำกว่า Guidance เล็กน้อย อย่างไรก็ตามคาดว่ากำไรขั้นต้นเติบโตสูงกว่าค่าใช้จ่ายโดยรวม ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 67 ที่ 5,099 ลบ. +13.3% คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 68: 16.90 บาท

TU ซื้อหุ้นคืน 3 พันล้าน โบรกเล็งราคาเฉลี่ย15บาท

TU ซื้อหุ้นคืน 3 พันล้าน โบรกเล็งราคาเฉลี่ย15บาท

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน วงเงินไม่เกิน 3 พันล้านบาท และจำนวนหุ้นซื้อคืนไม่เกิน 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.5% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. - 30 มิ.ย. 2025 (ที่มา: SET) มีมุมมองเป็นบวก โดยแผนซื้อหุ้นคืนดังกล่าว imply ราคาซื้อคืนเฉลี่ย 15 บาท/หุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปัจจุบันราว +17% ทำให้มองว่าจะเป็น sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นได้ สำหรับแนวโน้ม 4Q24E เบื้องต้นเราประเมินกำไรปกติจะโต YoY, QoQ หนุนโดยธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงขยายตัวต่อเนื่อง คงกำไรปกติปี 2024E/25E ที่ 5.3 พันล้านบาท/5.6 พันล้านบาท (+6% YoY/+6% YoY) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18.50 บาท อิง SOTP

TU โชว์กำไรสุทธิ Q3 1,400 ลบ. จากกำลังซื้อ-ราคาวัตถุดิบ หนุน

TU โชว์กำไรสุทธิ Q3 1,400 ลบ. จากกำลังซื้อ-ราคาวัตถุดิบ หนุน

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ TU  รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2567 การเพิ่มขึ้นของยอดขาย โดยเป็นผลจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติ (Organic) ประกอบกับมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุด พร้อมทั้งบันทึกกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง - บริษัทฯ รายงานยอดขายอยู่ที่ 34,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการดำเนินงานปกติที่เพิ่มขึ้น 3.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านอัตราแลกเปลี่ยนมีผลกระทบเชิงลบต่อยอดขายรวมเล็กน้อยที่ 0.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน - อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดที่ 19.5% เนื่องจากการฟื้นตัวของความต้องการซื้อในหลายภูมิภาคและราคาวัตถุดิบที่ลดลง - กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,400 ล้านบาท โดยมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.30 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 4.4% และ 8.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ ซึ่งเติบโตอย่างแข็งแกร่งเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน ทั้งนี้หากไม่รวม transformation costs กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญที่ 21.8% มาอยู่ที่ 1,634 ล้านบาท - กระแสเงินสดอิสระของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยมีกระแสเงินสดจำนวน 8,052 ล้านบาทสำหรับงวดเก้าเดือนแรกของปี 2567 และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับที่ดีที่ 0.79 เท่า           ทั้งนี้ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายและปริมาณขายเพิ่มขึ้น 2.7% และ 3.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์มาอยู่ที่ระดับ 18.5% ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวสูงขึ้น 10.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจาก transformation costs ของกลุ่มบริษัท รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุคลากรที่เพิ่มขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้น 16.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจาก Avanti Group และ Lucky Union Foods ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 13.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 380 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ ไม่ได้รับประโยชน์ทางภาษีจาก RL หลังจากการบันทึกรายการด้อยค่าเต็มจำนวนจากการลงทุนทั้งหมดใน RL ในไตรมาส 4 ปี 2566 ด้วยเหตุนี้ กำไรสุทธิฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งมาอยู่ที่ 3,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิตามที่ปรับปรุงในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2566 ซึ่งไม่รวมส่วนแบ่งขาดทุนและรายได้ภาษีเงินได้จาก RL

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011