ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#TOP


TOP ร่วง 5.61% ผถห. UVJ ฟ้อง หวั่นกระทบโครงการ CFP

TOP ร่วง 5.61% ผถห. UVJ ฟ้อง หวั่นกระทบโครงการ CFP

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ดาโอ ระบุ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าบริษัท Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. 2 ใน 3 บริษัทร่วมทุนของ Unincorporated Joint Venture (UJV) ได้เริ่มกระบวนการอนุญาโตตุลาการกับ TOP ต่อ Singapore International Arbitration Centre โดย Samsung และ Saipem ได้ฟ้องร้องถึงการใช้สิทธิของ TOP ในการบังคับหลักประกันของ UJV มูลค่า USD 358 ล้าน ตามที่ TOP ได้แจ้ง SET เมื่อวันที่ 24 ม.ค.68 โดยทั้ง 2 บริษัทได้อ้างถึงการใช้สิทธิบังคับหลักประกันดังกล่าวของ TOP เป็นการใช้สิทธิก่อนถึงกำหนดเวลาและเป็นการดำเนินการที่ไม่สมควร อีกทั้งยังได้เรียกร้องค่าเสียหายกับ TOP สำหรับความเสียหายซึ่งยังมิได้มีการระบุรายละเอียด           DAOL: มีมุมมองเป็นลบเล็กน้อยต่อข่าวนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าในการดำเนินโครงการ Clean Fuel Project (CFP) อย่างไรก็ตาม TOP ได้ยืนยันถึงการปฏิบัติตามข้อบังคับกับ UJV อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้เชื่อว่า ต้องรอดูผลการพิจารณาของศาลต่อคดีนี้ต่อไปถึงจะประเมินได้ว่าจะส่งผลกระทบต่องบการเงินของ TOP หรือไม่ ในเบื้องต้น แม้เชื่อว่าผลประกอบการ 1Q68 ของ TOP จะอ่อนตัว YoY, QoQ ตามแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่อ่อนแอ แต่ระดับต่ำสุดน่าจะผ่านไปแล้วในเดือน ม.ค.68           ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 36.00 บาท อิง PBV เป้าหมายที่ 0.47x (ประมาณ -2.25SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง)

ฟ้องTOPบังคับหลักประกัน โบรกชี้กระทบแค่ไหน เช็ก!

ฟ้องTOPบังคับหลักประกัน โบรกชี้กระทบแค่ไหน เช็ก!

            หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า TOP แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่าบริษัท Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. 2 ใน 3 บริษัทร่วมทุนของ Unincorporated Joint Venture (UJV) ได้เริ่มกระบวนการอนุญาโตตุลาการกับ TOP ต่อ Singapore International Arbitration Centre โดย Samsung และ Saipem ได้ฟ้องร้องถึงการใช้สิทธิของ TOP ในการบังคับหลักประกันของ UJV มูลค่า USD358mn ตามที่ TOP ได้แจ้ง SET เมื่อวันที่ 24 ม.ค.2025 โดยทั้ง 2 บริษัทได้อ้างถึงการใช้สิทธิบังคับหลักประกันดังกล่าวของ TOP เป็นการใช้สิทธิก่อนถึงกําหนดเวลาและเป็นการดําเนินการที่ไม่สมควร อีกทั้งยังได้เรียกร้องค่าเสียหายกับ TOP สําหรับความเสียหายซึ่งยังมิได้มีการระบุรายละเอียด มีมุมมองเป็นลบเล็กน้อยต่อข่าวนี้ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าในการดำเนินโครงการ Clean Fuel Project (CFP)             อย่างไรก็ดี TOP ได้ยืนยันถึงการปฏิบัติตามข้อบังคับกับ UJV อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เชื่อว่าต้องรอดูผลการพิจารณาของศาลต่อคดีนี้ต่อไปถึงจะประเมินได้ว่าจะส่งผลกระทบต่องบการเงินของ TOP หรือไม่ ในเบื้องต้น แม้เราเชื่อว่าผลประกอบการ 1Q25E ของ TOP จะอ่อนตัว YoY, QoQ ตามแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่อ่อนแอ แต่ระดับต่ำสุดน่าจะผ่านไปแล้วในเดือน ม.ค.2025             ยังคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 2025E ที่ 36.00 บาท อิง PBV เป้าหมายที่ 0.47x (ประมาณ -2.25SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลั

TOPโต้สิทธิประกันCFP  ยันข้อกล่าวหาไม่มีมูล-ยื่นค้านแล้ว 

TOPโต้สิทธิประกันCFP ยันข้อกล่าวหาไม่มีมูล-ยื่นค้านแล้ว 

                หุ้นวิชั่น- TOP แจงกรณี Samsung /Saipem  ร้องอนุญาโตตุลาการเกี่ยวกับโครงการพลังงานสะอาดหรือ CFP (Clean Fuel Project) ที่อ้างว่า เป็นการใช้สิทธิบังคับหลักประกัน ก่อนถึงกำหนดเวลาและเป็นการดำเนินการที่ไม่สมควร TOP ยัน ข้อกล่าวหาไม่มีมูล พร้อมยื่นค้านข้อโต้แย้งแล้ว                 นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ") หรือ TOP  แจ้งว่า เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (รวมเรียกว่า "ผู้ร้อง") ได้เริ่มกระบวนการอนุญาโตตุลาการกับบริษัทฯ ต่อ Singapore International Arbitration Centre ("กระบวนการอนุญาโตตุลาการ")                 ผู้ร้องเป็นสมาชิกของกิจการร่วมค้าระหว่าง PSS Netherlands B.V. และ unincorporated joint venture ของผู้ร้องและ Petrofac South East Asia Pte. Ltd. ("กลุ่มกิจการร่วมค้า") ซึ่งบริษัทฯ ได้เข้าทำสัญญาสำหรับการออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (Engineering, Procurement and Construction) ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2561 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติม ("สัญญา EPC") สำหรับโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) ("โครงการ CFP")                 กระบวนการอนุญาโตตุลาการเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องกับบริษัทฯ ในเรื่องสัญญา EPC โดยเฉพาะกรณีการใช้สิทธิของบริษัทฯ ในการบังคับหลักประกันของกลุ่มกิจการร่วมค้าเป็นจำนวนเงินประมาณ 358 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามที่บริษัทฯ ได้เปิดเผยสารสนเทศผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา                 ทั้งนี้ ผู้ร้องได้มีการกล่าวอ้างว่า การใช้สิทธิบังคับหลักประกันดังกล่าวของบริษัทฯ เป็นการใช้สิทธิก่อนถึงกำหนดเวลาและเป็นการดำเนินการที่ไม่สมควร ก็ทั้งยังได้เรียกร้องค่าเสียหายกับบริษัทฯ สำหรับความเสียหายซึ่งผู้ร้องยังมิได้มีการระบุรายละเอียดแต่อย่างใด                 บริษัท  ขอยืนยันว่าบริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญา EPC อย่างเคร่งครัดตลอดมา และจะยังคงปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขดังกล่าวอย่างเคร่งครัดต่อไป โดยพิจารณาถึงผลประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ บริษัท เห็นว่าข้อกล่าวหาของผู้ร้องนั้นไม่มีมูล โดยเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 บริษัทฯ ได้ยื่นคำคัดค้าน เพื่อโต้แย้งข้อเรียกร้องดังกล่าว รวมถึงได้ยื่นข้อเรียกร้องแย้งต่อผู้ร้องตามกระบวนการอนุญาโตตุลาการด้วย                 โดยกระบวนการอนุญาโตตุลาการดังกล่าว เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องกับบริษัทฯ ในเรื่องสัญญา EPC  โดยเฉพาะกรณีการใช้สิทธิ์ของบริษัทฯ ในการบังคับหลักประกันของกลุ่มกิจการร่วมค้าเป็นจำนวนเงินประมาณ 358 ล้านดอลลาร์สหรัฐ                 ทั้งนี้ผู้ร้องอ้างว่าการใช้สิทธิ์บังคับหลักประกันดังกล่าวของบริษัทฯ เป็นการใช้สิทธิ์ก่อนถึงกำหนดเวลาและเป็นการดำเนินการที่ไม่สมควร อีกทั้งยังได้เรียกร้องค่าเสียหายกับบริษัทฯสำหรับความเสียหายซึ่งผู้ร้องยังมิได้ระบุรายละเอียดแต่อย่างใด                 สำหรับผู้ร้องเป็นสมาชิกของกิจการร่วมค้าระหว่าง PSS Netherlands  B.V. และ Unincorporated joint Venture (UJV) ของผู้ร้อง และ Petrofac South East Asia Pte,LTD (กลุ่มกิจการร่วมค้า) ซึ่งบริษัท ได้เข้าทำสัญญาสำหรับการออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง เมื่อวันที่19 ตุลาคม 2561 รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติม (สัญญา EPC) สำหรับโครงการพลังงานสะอาด                 บริษัท ขอให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียว่ากระบวนการอนุญาโตตุลาการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการ CFP ของบริษัทฯ บริษัท ได้มีการเตรียมการสำหรับกระบวนการอนุญาโตตุลาการแล้วและพร้อมที่จะดำเนินการกับกรณีดังกล่าวให้ลุล่วงต่อไป                 บริษัท ยังคงยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีโดยมุ่งเน้นการสร้างผลประโยชน์แก่บริษัทฯ และผู้ถือหุ้น รวมถึงปกป้องสิทธิทางกฎหมายของบริษัทฯ ทั้งนี้ บริษัทฯ จะชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าที่สำคัญของกระบวนการอนุญาโตตุลาการตามหน้าที่ทางกฎหมายของบริษัทฯ ต่อไป

ระวัง! หุ้นการเมือง

ระวัง! หุ้นการเมือง

          ดีกรีการเมืองน่าจะร้อนระอุ วันนี้ โหมโรงเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นวันแรก นักวิเคราะห์มองว่า อาจส่งผลในเชิงจิตวิทยาต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงสั้น นักลงทุนคงอยู่ในโหมด "รอดูท่าที" (wait and see)           โดยเฉพาะประเด็นที่อาจมีการพาดพิงถึง โครงการสำคัญของรัฐบาล เช่น โครงการแจกเงิน (Digital Wallet) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคประชาชน ซึ่งหากถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเวทีอภิปราย อาจสร้างความไม่แน่นอน เกี่ยวกับการเดินหน้านโยบายดังกล่าวในช่วงที่เหลือของปีได้           สำหรับภาพรวมการอภิปรายครั้งนี้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบในเชิงพื้นฐานต่อตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรายบุคคล โดยเน้นไปที่บทบาทและสถานะของนางสาวแพทองธาร มากกว่าการอภิปรายเพื่อโจมตีนโยบายเศรษฐกิจโดยรวม           ทั้งนี้ นักลงทุนควรจับตาผลการลงมติในวันที่ 26 มีนาคม 2568 ซึ่งสามารถสะท้อนเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะข้างหน้า หากสามารถผ่านการลงมติไปได้อย่างราบรื่น อาจเป็นปัจจัยบวกในเชิงจิตวิทยาให้กับตลาดหุ้น           ด้าน บล.กรุงศรี จับตากระแสการซื้อหุ้นซื้อคืนจะกลับมาคึกคัก หลัง PTT ประกาศโครงการซื้อหุ้น คืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) วงเงินสูงสุดไม่เกิน 16,000 ลบ. และจำนวนหุ้นซื้อคืน ไม่เกิน 470 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 1.65% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด (implied ราคาหุ้น ซื้อคืนราว 34 บาท/หุ้น)           คาดตลาดมีโอกาสเก็งกำไรหุ้น Big Cap ที่มีศักยภาพดำเนินการได้  พบว่า มีหุ้น Big Cap หลักๆในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ปิโตรเคมี ที่มีโอกาสเห็นการซื้อหุ้นคืนระยะถัดไป อาทิ SCB, KBANK, KTB , BBL, PTTGC, TOP, BCP นอกจาก PTT- TTB ที่ประกาศโครงการดังกล่าวไปแล้ว จับตา  BCP, PTTGC, TOP กันต่อไป           นับเป็นหุ้น Health Care ที่น่าจับตา จากผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด สำหรับ บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด (มหาชน) หรือ BLC ล่าสุด ภก. สุวิทย์ งามภูพันธ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BLC พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมนำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานปี 2567 แก่นักลงทุนใน Opportunity Day โดยมีรายได้ 1,557 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 176.1 ล้านบาท เติบโต 10.7% และ 16.8% ตามลำดับ  ด้านบอร์ดเตรียมขออนุมัติจ่ายเงินปันผล งวดผลการดำเนินงานในปี 2567 จากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในอัตรา 0.09 บาทต่อหุ้น โดยจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล ในวันที่ 11 เมษายน 2568 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 30 เมษายน 2568           ทั้งนี้ ในปี 2568 BLC วางแผนขยายขอบเขตความร่วมมือเพื่อสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ทั้งจากภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยาไทยให้เติบโต พร้อมทั้งสร้างความมั่นคงทางด้านสุขภาพ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้ง มุ่งผลักดันรายได้เติบโตเฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปีตามเป้าหมาย งานนี้ผู้ถือหุ้นสบายใจหายห่วง           ในที่สุดก็กระจ่างชัด นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ TTB แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ข่าวการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB  กับธนาคารทหารไทยธนชาตจำกัด (มหาชน) หรือ TTB นั้น  ไม่เป็นความจริง บริษัทฯ ไม่ได้มีการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกทั้ง TTB  ยังคงมุ่งเน้นพันธกิจสำคัญคือ การ Make REAL Change หรือการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายเพื่อให้ลูกค้าของธนาคารกว่า 10 ล้านคน มีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ผ่านกลยุทธ์การสร้างการเติบโตแบบ Ecosystem Play และการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและสอดคล้องกับแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)           ขณะที่ นายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข ประธานผู้บริหาร Legal Comliance & Financial Crime และเลขานุการบริษัท KTB  ก็ชี้แจงว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และในขณะนี้ คณะกรรมการธนาคารฯ ไม่ได้มีดำริ หรือได้มอบหมายฝ่ายบริหารให้ดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการควบรวมกิจการตามที่เป็นข่าว  ออกมาชี้แจงชัดเจนกันทั้ง 2 ฝ่าย...จบนะ           ปิดท้ายกันที่ หนุ่มน้อยหน้ามนคนขยัน นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน CHOW ล่าสุดได้รับเกียรติเป็นวิทยากรบรรยายหลักสูตร “ความรู้ Solar Rooftop เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์สินเชื่อ SME Green Productivity” ให้กับพนักงาน SME D Bank ทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นให้พนักงาน SME D Bank มีความเข้าใจและสามารถแนะนำข้อมูลให้ลูกค้าที่ต้องการติดตั้ง Solar Rooftop และเข้าร่วมโครงการ สินเชื่อ SME Green Productivity พร้อมดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปีสำหรับ 3 ปีแรก  นักลงทุนคงต้องเกาะติดผลงาน CHOW ให้ดีๆ เพราะนี่อาจจะเป็นดีลนำร่อง เพื่อต่อยอดดีลต่อๆไปก็ได้    การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง By ทีมงานหุ้นวิชั่น     

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

[ภาพข่าว] ไทยออยล์คว้า 2 รางวัลใหญ่

[ภาพข่าว] ไทยออยล์คว้า 2 รางวัลใหญ่

            เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) นำโดย คุณณัฐพล มีฤทธิ์ รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านบริหารศักยภาพองค์กร พร้อมด้วยคุณสุชาดา ดีชัยยะ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาความเป็นเลิศด้านทรัพยากรบุคคลและองค์กร คุณเบญจวรรณ พุ่มพฤกษ์ ผู้จัดการกลยุทธ์เพื่อความเป็นเลิศด้านทรัพยากรบุคคลและองค์กร และคุณสุกุลยา วีระเดชาพล ผู้จัดการทรัพยากรบุคคลและการเงิน เข้ารับรางวัลสุดยอดองค์กรบริหารคนดีเด่น (People Management Award) ในระดับ Platinum และสารแสดงความยินดีจากพลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข องคมนตรี โดยรับมอบจากคุณสุดคนึง ขัมภรัตน์ นายกสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) พร้อมทั้งรางวัลการดูแลสุขภาวะและความเป็นอยู่ที่ดีขององค์กร (Well-being Organization Award) ซึ่งได้รับมอบจาก ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในงาน Thailand People Management and Well-Being Forum: Award Ceremony and Best Practices Sharing ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ             โดยรางวัลสุดยอดองค์กรบริหารคนดีเด่น (People Management Award) พิจารณาจากระบบบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นมาตรฐานและครอบคลุมทุกกระบวนการของไทยออยล์ ตั้งแต่การจ้างงานไปจนถึงการเกษียณอายุ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารคนควบคู่กับการบริหารองค์กร เพื่อสร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืน สำหรับรางวัลการดูแลสุขภาวะและความเป็นอยู่ที่ดีขององค์กร (Well-being Organization Award) พิจารณาจาก ความมุ่งมั่นในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพนักงาน ตามแนวคิด "Happy Employees, Happy Company" ที่ไทยออยล์ให้ความสำคัญเรื่อง “คนสำราญ งานสำเร็จ” ควบคู่กัน             พิธีมอบรางวัลครั้งนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือของ สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (Personnel Management Association of Thailand-PMAT) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (Thai Listed Companies Association-TLCA) เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ยกระดับการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล รวมถึงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในทุกมิติ เพื่อการเติบโตไปพร้อมกับองค์กรอย่างยั่งยืน และสามารถก้าวขึ้นสู่มาตรฐานสากลระดับโลก

TOP บวก 4.82% รับกำไร 4Q67 สูงกว่าคาด 11-18%

TOP บวก 4.82% รับกำไร 4Q67 สูงกว่าคาด 11-18%

หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กสิกรไทย ระบุ TOP รายงานกำไรไตรมาส 4/67 ที่ 2.77 พันล้านบาท (-6.0% YoY, +165.6% QoQ) สูงกว่าคาดการณ์ของฝ่ายวิเคราะห์และตลาด 11-18% ทั้งนี้ แม้กำไรปกติไตรมาส 1/68 อาจอ่อนตัวลง แต่คาดว่ากำไรสุทธิจะยังอยู่ในระดับสูงจากกำไรสต๊อกน้ำมันที่อาจเกิดขึ้น ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติค่าใช้จ่ายการลงทุนโครงการ CFP ใหม่แล้ว ขณะที่เงินเคลม performance bond ล่าสุดจะถูกรับรู้ในงบกำไร/ขาดทุน 98 ล้านบาท ในไตรมาส 1/68 นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสด คาดจะสามารถประหยัดต้นทุนได้ 0.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล จากการกลับมาดำเนินการ SBM-2 ตั้งแต่เดือน มี.ค. เป็นต้นไป อัตราการจ่ายเงินปันผลจะยังคงอยู่ที่ 40-44% แม้จะต้องสำรองกระแสเงินสดไว้สำหรับโครงการ CFP แนะนำ “ซื้อ” และราคาพื้นฐานที่ 30.10 บาท จากการมูลค่าหุ้นที่ไม่แพง ปัจจัยหนุนราคาหุ้นคือ GRM ที่อาจปรับดีขึ้นในไตรมาส 2/68 และ SBM-2 ที่กลับมาดำเนินการอีกครั้ง

TOP เตรียมบันทึกเงินบังคับหลักประกันฯ 1.2 หมื่นลบ. ใน Q1/68

TOP เตรียมบันทึกเงินบังคับหลักประกันฯ 1.2 หมื่นลบ. ใน Q1/68

           นางสาวทอแสง ไชยประวัติ ผู้จัดการฝ่ายวางแผนการเงิน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมบันทึกเงิน จำนวนรวม 12,339 ล้านบาท หรือเทียบเท่า 358 ล้านเหรียญฯ จากการบังคับหลักประกันภายใต้สัญญา EPC ในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project : CFP) เข้ามาในไตรมาส 1/2568            สำหรับความคืบหน้ากลยุทธ์ 3Vs ประกอบด้วย           กลยุทธ์ที่ 1 Value Maximization หรือการเพิ่มความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักไทยออยล์ โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เมื่อวันศุกร์ ที่ 28 ก.พ.68 เพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP จำนวน 63,028 ล้านบาท หรือเทียบเท่า 1.776 ล้านเหรียญฯ และอนุมัติดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้าง 17,900 ล้านบาท            ด้านความคืบหน้าโครงการลงทุนในธุรกิจโอเลฟินส์ ในบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ประเทศอินโดนีเซีย ปลายปีที่ผ่านมา CAP ได้มีการลงนาม EPC กับบริษัท PT Inti karya Persada Tehnik (IKPT) เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงาน B1 และ MTBE เพิ่มขึ้นกว่า 25% เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ลดการพึ่งพาการนำเข้าของ CAP            กลยุทธ์ที่ 2 หรือ Value Enhancement มุ่งขยายธุรกิจ ผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของไทยออยล์ ไปยังประเทศเป้าหมาย ทั้งไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และอินเดีย โดยยังมุ่งเน้นการขยายธุรกิจที่เป็นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์, คอมมูนิตี้ รวมถึงผลิตภัณฑ์ Specialty Chemical, Specialty polymer ทำใหบริษัทฯ มีตลาดที่กว้างขึ้น            กลยุทธ์ที่ 3 Value Diversification การขยายการลงทุนของไทยออยล์ มีทั้งผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เช่น การซักล้างต่างๆ และการทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานลูกค้า และสร้างความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ รวมถึงการหาพาสเนอร์ในการขยายตลาดในภูมิภาคเช่นเดียวกัน ส่วนธุรกิจใหม่ New S-Curve ไทยออยล์ ยังมุ่งพัฒนาธุรกิจใหม่เกี่ยวกับเทคโนโลยี และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม            ในปี 2568 บริษัทฯ มีแผนการใช้เงินอยู่ราว 87 ล้านเหรียญฯ ซึ่งจะเป็นเงินลงทุนที่นอกเหนือจากโครงการ CFP โดยจะใช้รองรับการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ นอกจากนี้มีแผนพิจารณาหาเงินทุน เช่น การออก Perpetual Bond ในช่วงปลายปีนี้ แต่ในเบื้องต้นแหล่งเงินทุนยังคงมาจากภายใน ทั้งกระแสเงินสดที่มีในมือ และเงินที่ได้จากการดำเนินงาน            บริษัทฯ คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ ปี 2568 จะทรงตัวถึงปรับตัวลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากอุปทานน้ำมันดิบนอกประเทศกลุ่มโอเปกเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเศรษฐกิจโลกยังมีความเปราะบางอยู่ ขณะที่ Crude premium มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น จากการคว่ำบาตรของสหรัฐ ต่ออุตสาหกรรมน้ำมันของรัสเซีย ส่งผลให้มีความต้องการน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น            ส่วนค่าการกลั่นสิงคโปร์ ในปีนี้ คาดปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน จากแรงกดดันของอุปสงค์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก            ตลาดสารอะโรเมติกส์ ในส่วนของราคาสารพาราไซลีน (PX) น่าจะยังมีการเติบโต แต่ด้านบนซลและพาราไซลีน ยังมีความท้าทายอยู่ ขณะที่ราคานํ้ามันหล่อลื่นพื้นฐาน มีแนวโน้มอ่อนตัวลงลกน้อย            สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตามองในปีนี้ ได้แก่ นโยบายต่างๆ ของทรัมป์ ที่คาดว่าจะเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะนโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้า จากทั้ง จีน แคนาดา เม็กซิโก ส่งผลให้เกิดสงครามทางการค้าขึ้น และน่าจะกดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก และความต้องการใช้น้ำมัน, การที่สหรัฐออกมาคว่ำบาตรต่ออุตสาหกรรมน้ำมันของรัสเซีย ทำให้อุปทานน้ำมันตึงตัวขึ้น ส่งผลให้ จีน อินเดีย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย หันไปซื้อน้ำมันดิบจากแหล่งอื่นชั่วคราว โดยปัจจัยดังกล่าวยังต้องจับตาดูท่าทีของทรัมป์เพิ่มเติม รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านด้วย, อุปทานน้ำมันดิบนอกกลุ่มโอเปก ที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยหลักมาจากการผลิตในประเทศสหรัฐ รวมถึงโครงการใหม่ในประเทศใหม่ บราซิล, กายอานา และแคนาดา ซึ่งจะส่งผลกดดันต่อโอเปกพลัส ที่มีการประกาศทยอยปรับเพิ่มขึ้นกำลังการผลิต คงจะต้องดูว่ามีแนวทางอย่างไร เพื่อรักษาสมดุลตลาดน้ำมันดิบในปีนี้

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

TOP หุ้นไม่แพง Discount -2 SD โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 31.00 บาท

TOP หุ้นไม่แพง Discount -2 SD โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 31.00 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า สรุปสาระสำคัญจากงานประชุมนักวิเคราะห์วันที่ 24 ก.พ. Our Take           ► กรมเจ้าท่าอนุมัติให้ TOP กลับมาทดลองใช้งานท่อรับน้ำมันกลางทะเล SBM ตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ. 2025 (เกิดเหตุรั่วไหล และหยุดใช้งานตั้งแต่ ก.ย. 2023) ปัจจุบันเริ่มขนส่งน้ำมันผ่านท่อดังกล่าวแล้ว 2 Cargo (คาดกลับมาใช้อย่างเป็นทางการภายใน 3Q25)           ► เรามองความคืบหน้ากลับมาใช้งานท่อดังกล่าวเร็วกว่าที่ประเมินไว้ เป็นบวกต่อผลประกอบการ ช่วยลดค่าขนส่งน้ำมัน US$0.5/bbl หรือราว 110 ล้านบาท/เดือน ตั้งแต่เดือน มี.ค. เป็นต้นไป           ► บริษัทฯ ให้มุมมองทิศทางอุตสาหกรรมปี 2025 ดังนี้ ราคาน้ำมันปี 2025 ชะลอตัว YoY จากการเพิ่มขึ้นของ Supply มากกว่า Demand ราว 1 ล้านบาร์เรล/วัน โดยปัจจัยกดดันหลักมาจากอุปทาน Non-OPEC เร่งตัว และผลกระทบมาตรการกำแพงภาษีต่อเศรษฐกิจโลก (ประเมิน Demand +1 ล้านบาร์เรล/วัน vs ช่วงก่อนหน้า +1.3 ล้านบาร์เรล/วัน) อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันยังมีความไม่แน่นอน Swing Factor จากนโยบาย Unwind ลดการผลิตของ OPEC+ และการคว่ำบาตรอิหร่าน – รัสเซีย ค่าการกลั่นชะลอตัว YoY จาก Crack Spread น้ำมันเบนซินช่วง 1H25 ถูกกดดันจากการทยอย Ramp-up กำลังผลิตใหม่ของโรงกลั่น Dangote และต้นทุนน้ำมัน Crude Premium สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม Crack Spread น้ำมันอากาศยานและดีเซลยังแข็งแกร่งหนุนจากกิจกรรมการเดินทางอากาศสูงขึ้น และอุณหภูมิหนาวเย็นกว่าปกติ ช่วยบรรเทาผลกระทบได้บางส่วน บริษัทฯ เชื่อว่า Crude Premium ได้แตะจุดสูงสุดแล้วที่ US$5/bbl ช่วงสหรัฐฯ เริ่มประกาศคว่ำบาตร โดยล่าสุดจีนทยอยปรับตัวไปซื้อน้ำมันดิบจากแหล่งอื่น Spread PX ปรับตัวดีขึ้น YoY จากคาดการณ์อุปสงค์เติบโต 1.9 ล้านตัน สูงกว่า Supply Growth ที่ 1.3 ล้านตัน ขณะที่ Spread BZ, Olefins (PE PP), น้ำมันหล่อลื่น มีแนวโน้มถูกกดดันเพราะอุปทานกำลังผลิตใหม่ยังเพิ่มขึ้น ► ผลประชุมผู้ถือหุ้น EGM อนุมัติเดินหน้าก่อสร้างโครงการ CFP ต่อจนแล้วเสร็จ โดยหน่วยกลั่น CDU #4 จะเริ่มใช้งาน 2Q27 และจะ COD เต็มรูปแบบ 3Q28 โดยความชัดเจนด้านผู้รับเหมา คาดมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นช่วงกลางปี 2025 ► สิทธิการเรียกร้องจากหนังสือค้ำประกันตามเงื่อนไขได้รับแล้ว 1.2 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่บันทึกเป็นส่วนลดเงินลงทุนงานระหว่างก่อสร้างในงบแสดงฐานะการเงิน (ส่วนที่บันทึกเป็นรายได้อื่นในงบกำไรขาดทุนอยู่ที่ 98 ล้านบาทใน 1Q25) ทั้งนี้ บริษัทฯ แจ้งว่ายังมีมูลค่าตามหนังสือค้ำประกันส่วนที่เหลือสามารถเรียกร้องเพิ่มเติมได้ในอนาคต ► ภาพรวมเรามองแนวโน้ม 1Q25 ลดลง YoY และไม่เด่น QoQ ตามทิศทาง Spread และ Crude Premium ทั้งนี้ มองว่าตลาดรับรู้ทิศทางงบ 1Q25 ไม่เด่นไปแล้ว ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันไม่แพง PBV อยู่ที่ 0.3 เท่า Discount กว่า -2 SD และระยะสั้นปัจจัยบวกใหม่จากความคืบหน้าการเริ่มใช้งาน SBM ► คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 31.00 บาท

TOPลุยCFPในQ3 เล็งปีนี้กำไร9.9พันล.

TOPลุยCFPในQ3 เล็งปีนี้กำไร9.9พันล.

            หุ้นวิชั่น -บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ คงคำแนะนำ “ซื้อ” TOP ราคาเป้าหมายที่ 36.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.47x (ประมาณ -2.25SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) มีมุมมองเป็นกลางหลังเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์ของบริษัท ซึ่งแนวโน้มยังเป็นไปตามมุมมของเรา ทั้งนี้ TOP ได้อัพเดตถึงภาพรวมตลาดน้ำมันซึ่งมีแนวโน้มที่จะเห็นอุปทานส่วนเกินในปี 2025E ในขณะที่ ภาพรวมค่าการกลั่น (GRM) มีแนวโน้มที่จะทรงตัวหรืออ่อนแอลงจากอุปทานใหม่ที่สูงขึ้นจากจีนและแอฟริกา             อย่างไรก็ดี ตลาดน้ำมันเบนซิน (gasoline) มีแนวโน้มที่จะถูกกดดันจากอุปทานจากโรงกลั่นใหม่ที่สูงขึ้น             สำหรับโครงการพลังงานสะอาด (CFP) TOP ได้รับคำอนุมัติจากผู้ถือหุ้นในการลงทุนเพิ่มเติมแล้ว แต่ผู้บริหารคาดว่าเห็นความชัดเจนมากขึ้นในด้านของแผนปฏิบัติการ (action plan) ภายใน 3Q25Eเราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E-2026E ไว้ที่ 9.8/10.6 พันล้านบาท เทียบกับ 9.9 พันล้านบาทในปี 2024 โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ คือ 1) ค่าการกลั่นตลาด (market GRM) จะอยู่ในช่วง USD5.9/bbl-USD6.4/bbl จาก USD5.4/bbl ในปี 2024 2) ผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss (net of NRV)) จะลดลงอยู่ในช่วง 2.6-3.8 พันล้านบาท เทียบกับ 5.9 พันล้านบาทในปี 2024 3) อัตราการใช้กำลังการกลั่น (crude run) จะอยู่ที่ 303 พันบาร์เรลต่อวัน (kbd) เทียบกับ 304 kbd ในปี 2024ราคาหุ้นปรับตัวลง 51% และ underperform SET 42% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จากผลกระทบของการก่อสร้างโครงการ CFP ที่มีความล่าช้า ราคาปิดล่าสุดสะท้อน valuation ที่ไม่แพงที่ 2025E PBV 0.33x (ประมาณ -2.8SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง)             ทั้งนี้ แม้เราเชื่อว่ากำไรของบริษัทจะลดลง YoY ใน 1Q25E ตามแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและน้ำมันดิบ (crack spread) ที่อ่อนตัวและพรีเมียมน้ำมันดิบ (crude premium) ที่สูงขึ้น แต่เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนปัจจัยเสี่ยงนี้ไปมากแล้ว

TOP โล่งอก! ผู้ถือหุ้นเห็นด้วย 89.73% อนุมัติ6.3หมื่นล. ลุยโครงการ CFP

TOP โล่งอก! ผู้ถือหุ้นเห็นด้วย 89.73% อนุมัติ6.3หมื่นล. ลุยโครงการ CFP

           หุ้นวิชั่น - ที่ประชุมผู้ถือหุ้น TOP ไฟเขียวเห็นด้วย 89.73% เพิ่มเงินลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) เป็นจำนวนเงินประมาณ 63,028 ล้านบาท            นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตามที่บริษัท ได้จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 น. ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-EGM) เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น บริษัทฯ ขอแจ้งมติการประชุมดังกล่าวมาเพื่อทราบ ดังนี้            ระเบียบวาระที่ 1 พิจารณาอนุมัติการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) มติที่ประชุม: ที่ประชุมผู้ถือหุ้นโดยคะแนนเสียงข้างมากของผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุมและออกเสียงลงคะแนนมีมติอนุมัติการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) เป็นจำนวนเงินประมาณ 63,028 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 1,776 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 505 ล้านดอลลาร์สหรัฐ            โดยมีมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมดของโครงการ CFP เป็นจำนวนเงินประมาณ 241,472 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 7,151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 37,216 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 1,078 ล้านดอลลาร์สหรัฐ            และอนุมัติการมอบอำนาจให้คณะกรรมการบริษัทฯ หรือบุคคลที่คณะกรรมการบริษัทฯ มอบหมายเป็นผู้มีอำนาจดำเนินการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการเจรจา กำหนด ตกลง ทำให้เสร็จสมบูรณ์ ลงนามในสัญญา และเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการแก้ไขเปลี่ยนแปลงวิธีการ ระยะเวลา ขั้นตอนการดำเนินงานของโครงการ CFP หรือการกระทำการอื่นใดตามความเหมาะสมและจำเป็นเพื่อให้การดำเนินโครงการ CFP แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์ มติที่ประชุมประกอบด้วยคะแนนเสียง ดังนี้: • เห็นด้วย 1,355,138,914 คะแนน คิดเป็น 89.73% • ไม่เห็นด้วย 155,078,869 คะแนน คิดเป็น 10.26 % • งดออกเสียง 6,530,312 คะแนน • บัตรเสีย 0 คะแนน

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

ไทยออยล์ นำเสนอกลยุทธ์ 3Cs ขับเคลื่อนธุรกิจพลังงานสู่อนาคตที่ยั่งยืน ในงาน FTI EXPO 2025

ไทยออยล์ นำเสนอกลยุทธ์ 3Cs ขับเคลื่อนธุรกิจพลังงานสู่อนาคตที่ยั่งยืน ในงาน FTI EXPO 2025

          หุ้นวิชั่น - เมื่อเร็วๆ นี้ คุณรุ่งนภา จันทร์ชูเกียรติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการพาณิชย์องค์กร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงานกลุ่ม ปตท. และกลุ่มไทยออยล์ ร่วมต้อนรับนายกรัฐมนตรี ในพิธีเปิดงาน FTI EXPO 2025 “EMPOWERING THAI INDUSTRY, ELEVATING THAILAND’S FUTURE เสริมพลังอุตสาหกรรมไทย เพื่ออนาคตไทยที่ยั่งยืน” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 กุมภาพันธ์ 2568 ณ Hall 5-8 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จังหวัดกรุงเทพฯ           ภายในบูทนิทรรศการ ไทยออยล์ได้นำเสนอกลยุทธ์ 3Cs ในการขับเคลื่อนเป้าหมาย Net Zero ซึ่งประกอบด้วย:           C1: Cut Down Existing Emission ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต เช่น โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยผลการดำเนินโครงการกว่า 10 ปีที่ผ่านมา (2012-2024) สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 456,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการเทคโนโลยี Carbon Capture and Storage (CCS) เพื่อดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิต โดยนำไปกักเก็บใต้ดินแบบถาวร เป็นต้น           C2: Compensate Residual Emission ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการปลูกป่า รวมถึงการชดเชยด้วย Carbon Credit โดยในปี 2019 -2024 กลุ่มไทยออยล์ ได้การรับรองคาร์บอนเครดิตสะสม ประมาณ 1.68 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต และการติดตั้งระบบหลังคาโซล่าร์ ที่อาคารสำนักงานไทยออยล์ ศรีราชา           C3: Control Future Emission ควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต ด้วยการแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจคาร์บอนต่ำ เช่น การลงทุนในสตาร์ทอัพด้านไฮโดรเจนสีเขียวผ่านบริษัท TOP Ventures ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มไทยออยล์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม           ไทยออยล์มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “สร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน” โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความยั่งยืน มุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ สนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี 2060

TOP พุ่ง 5.69% รับกำไร 4Q67 สูงกว่าคาด

TOP พุ่ง 5.69% รับกำไร 4Q67 สูงกว่าคาด

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ดาโอ ระบุ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท โดยใช้ 2025E PBV ที่ 0.47x (ประมาณ -2.25SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง)           TOP รายงานกำไรสุทธิใน 4Q67 ที่ 2.8 พันล้านบาท เทียบกับกำไร 2.9 พันล้านบาทใน 4Q66 และขาดทุน 4.2 พันล้านบาทใน 3Q67 ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของ consensus และฝ่ายวิจัยคาดไว้ที่ 18% และ 37% ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่เกิดจากกำไรจากธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน (lube base oil) ที่สูงกว่าคาด และผลขาดทุนจากรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานที่ต่ำกว่าคาด           ทั้งนี้ กำไรลดลงเล็กน้อย YoY เนื่องจากการรับรู้ผลขาดทุนจากรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน แต่ฟื้นตัว QoQ ตามแนวโน้มของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและน้ำมันดิบ (crack spread) ที่ดีขึ้น รวมถึงการรับรู้กำไรจากสต็อก (stock gain net of NRV) ที่ดีขึ้น           เชื่อว่าบริษัทอาจจะเห็นกำไรที่อ่อนตัว YoY ใน 1Q68 เนื่องจากค่าการกลั่นตลาด (market GRM) ที่ลดลง อย่างไรก็ตามเชื่อว่า downside ของ crack spread ในปัจจุบันจะมีจำกัดแล้ว           คงประมาณการกำไรสุทธิปี 68 ไว้ที่ 9.8 พันล้านบาท (ทรงตัว YoY) โดยคาดว่าค่าการกลั่นทางบัญชี (accounting GRM) จะสูงขึ้นและช่วยชดเชยกำไรจากรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานที่ลดลง ในขณะเดียวกัน ประเมินกำไรปี 69 ที่ 1.06 หมื่นล้านบาท (+8% YoY) ตามการฟื้นตัวของ market GRM และ stock loss (net of NRV) ที่ลดลง           ราคาหุ้นปรับตัวลง 52% และ underperform SET 50% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จากผลกระทบของการก่อสร้างโครงการ CFP ที่ล่าช้า ราคาปิดล่าสุดสะท้อนมูลค่าหุ้นที่ไม่แพงที่ 2025E PBV 0.32x (ประมาณ -2.8SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) แม้ว่าเราจะยังเห็นความไม่แน่นอนจากการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP แต่เรามองว่าราคาปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยเสี่ยงจากโครงการ CFP ไปมากแล้ว นอกจากนี้ บริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการ 2H67 ที่ 0.7 บาทต่อหุ้น สะท้อนอัตราตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจที่ 2.8% โดยจะขึ้น XD ในวันที่ 27 ก.พ.68

TOP จ่อเปิด SPM หนุนกำไร 1.4 พันลบ. โบรกแนะซื้อ เป้า 31.00 บาท

TOP จ่อเปิด SPM หนุนกำไร 1.4 พันลบ. โบรกแนะซื้อ เป้า 31.00 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุว่า TOP รายงานงบ 4Q24 พลิกเป็นกำไร QoQ หนุนจากธุรกิจการกลั่นน้ำมันหล่อลื่น ประกาศกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท (พลิกจาก -4.2 พันล้านบาทใน 3Q24 แต่ -6% YoY) สูงกว่าที่เราและตลาดประเมินไว้ 13-18% สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายน้อยกว่าคาด รวมทั้งกำไรสต็อกน้ำมัน และ Hedging สูงกว่าคาด หากหักรายการพิเศษ (กำไรสต็อกน้ำมันรวม NRV 95 ล้านบาท, กำไร Hedging 230 ล้านบาท, ขาดทุน FX 487 ล้านบาท) ผลการดำเนินงานปกติทำได้ 3.0 พันล้านบาท ใกล้เคียงคาด (เติบโตสูง QoQ จากฐานต่ำ แต่ -16% YoY) เมื่อเทียบกับ 3Q24 กำไรปกติฟื้นตัว QoQ โดย Market GIM ทำได้ US$7.1/bbl (+31% QoQ) จากผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันหล่อลื่น สาระสำคัญดังนี้ แม้ค่าใช้จ่าย OPEX เพิ่มขึ้น QoQ เป็น US$2.5/bbl (vs US$1.9/bbl) ตามปัจจัยฤดูกาล Spread อะโรเมติกส์ PX และ BZ ถูกกดดันจากอุปสงค์เสื้อผ้า และปริมาณสต็อกในจีนระดับสูง อย่างไรก็ตาม กำไรปกติฟื้นตัว QoQ หนุนจาก ค่าการกลั่นทำได้ US$5.1/bbl (+38% QoQ) จากอุปสงค์ Heating Oil และการท่องเที่ยว หนุน Spread ดีเซล และน้ำมันอากาศยาน อัตรากำไรน้ำมันหล่อลื่นทำได้ US$1.1/bbl (vs US$0.5/bbl) จากความต้องการใช้เพิ่มขึ้นหลังผ่านฤดูมรสุม และผู้ผลิตในเกาหลีใต้ปิดซ่อมบำรุง แนวโน้ม 1Q25 ไม่เด่น            แนวโน้มกำไรปกติ 1Q25 ไม่เด่น ลดลงจากฐานสูง YoY และประคองตัวถึงลดลง QoQ เนื่องจากประเมินว่า การปรับตัวลงของค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล และ PX Spread เพิ่มขึ้นจาก Restocking หลังตรุษจีน – อุปสงค์ PET ช่วงฤดูร้อน จะถูกชดเชยด้วย Crack Spread น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันหล่อลื่น และต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้น คงประมาณการปี 2025…ติดตามความคืบหน้าเปิดใช้งาน SPM            เดือน ก.ค. TOP จะปิดซ่อมใหญ่ CDU #3 30 วัน (กำลังผลิต 180 kbd vs รวม 275 kbd) รวมทั้งหน่วยเพิ่มคุณภาพน้ำมัน, อะโรเมติกส์, น้ำมันหล่อลื่น, LAB อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ให้ข้อมูลว่าอัตรากลั่นปี 2025 จะไม่ต่ำกว่า 100% (vs สมมติฐานเราที่ 100% และปี 2024 ที่ 111%) เราคาดค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นราว US$0.4/bbl (ส่วนที่เหลือจะ Capitalized)            เรามีมุมมองบวกต่อความคืบหน้าการเปิดใช้งานท่อรับน้ำมันกลางทะเล (SPM) โดยบริษัทฯ ได้เปลี่ยนอุปกรณ์แล้ว ปัจจุบันคาดอยู่ระหว่างทดสอบการใช้งาน และขออนุมัติจากหน่วยงานภาครัฐ ช่วยลดค่าขนส่ง Ship-to-ship US$0.5/bbl และเพิ่มกำไรราว 1.4 พันล้านบาทในปี 2025 (ยังไม่รวมในประมาณการ) คงประมาณการปี 2025 ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท +15% YoY ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบมากแล้ว            แม้โมเมนตัมงบ 1Q25 ไม่เด่น และ Overhang ผลประชุม EGM 21 ก.พ. อย่างไรก็ตาม หุ้น -40% ในช่วง 3 เดือน ปัจจุบันซื้อขายบน PBV 0.3 เท่า (-2.2 SD) ถือว่าสะท้อนปัจจัยลบจากงบลงทุนเพิ่มเติมของ CFP และถูกปรับออกจากดัชนี MSCI Standard (Effective 28 ก.พ.) ไปมากแล้ว ปัจจุบัน Risk vs Reward เริ่มน่าสนใจ ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ราคาเหมาะสมใหม่ 31.00 บาท จาก ประกาศ DPS งวด 2H24 ที่ 0.70 บาท/หุ้น (Yield 2.8%) ขึ้น XD 27 ก.พ. จ่ายเงิน 28 เม.ย. ช่วยจำกัด Downside คาดรายจ่ายลงทุน CFP ปี 2025 ไม่สูง ไม่กระทบต่อการจ่ายเงินปันผลอย่างมีนัยสำคัญ ปี 2026 – 2027 กำลังผลิตโรงกลั่นใหม่ในภูมิภาคจะลดลงอย่างมีนัยยะ ติดตามการเปิดใช้ SPM และเรียกร้องสิทธิตามหนังสือค้าประกันงานรับเหมา EPC เพิ่มเติม (ได้รับแล้ว 1.2 หมื่นล้านบาทจากทั้งหมดราว 1.6 หมื่นล้านบาท) ความเสี่ยง – ผลประชุม EGM ขออนุมัติเดินหน้าโครงการ CFP – ทิศทางราคาน้ำมัน และ Crude Premium – หยุดเดินเครื่องนอกแผน – การเปิดใช้งาน SPM – การก่อสร้างโครงการ CFP

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

TOP ปี67มีกำไรที่9.9พันล. ไฟเขียวปันผลอีก 0.70 บาท

TOP ปี67มีกำไรที่9.9พันล. ไฟเขียวปันผลอีก 0.70 บาท

          หุ้นวิชั่น - TOP โชว์ฟื้นตัวในไตรมาส 4/67 มีกำไรสุทธิ 2,767 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 4,218 ล้านบาท ส่วนทั้งปีทำกำไรสุทธิ 9,959 ล้านบาท ขณะที่โครงการ Clean Fuel Project (CFP) เดินหน้าต่อเนื่อง หลังขยายงบลงทุนเพิ่ม รวมกว่า 18,165 ล้านบาท พร้อมอนุมัติ ปันผล 0.70 บาท/หุ้น XD 27 ก.พ. 68 และกำหนดจ่าย 28 เม.ย. นี้           นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานผลประกอบการ ในไตรมาส 4/2567 กลุ่มไทยออยล์มีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น โดยมีรายได้จากการขาย 111,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,944 ล้านบาท จากปริมาณการขายที่เพิ่มสูงขึ้น กลุ่มไทยออยล์มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม ไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 7.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลจากไตรมาสที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากกำไรขั้นต้นจากการกลั่นที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น           ปัจจัยหลักที่หนุนให้กำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน, น้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าด, น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตากับน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะ ส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินกับน้ำมันดิบดูไบ ที่เพิ่มขึ้นจากอุปทานในภูมิภาคที่มีแนวโน้มตึงตัวขึ้น เนื่องจากการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของจีนมีแนวโน้มลดลงจากการปรับลดส่วนลดภาษี ขณะที่ ส่วนต่างน้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าดกับน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้น จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามการท่องเที่ยวช่วงสิ้นปี รวมถึง ส่วนต่างน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบ ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพื่อผลิตความร้อนในช่วงฤดูหนาว นอกจากนี้ ส่วนต่างน้ำมันเตากำมะถันสูงกับน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้น จากอุปทานที่ลดลงจากการลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบ OPEC+           ด้าน Crude Premium ในไตรมาสนี้ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากความกังวลต่อความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม กำไรขั้นต้นจากธุรกิจผลิตสารอะโรเมติกส์ปรับตัวลดลง จาก ส่วนต่างราคาสารพาราไซลีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ที่ลดลง เนื่องจากความต้องการเสื้อผ้าและสิ่งทอไม่เป็นไปตามคาดการณ์ ประกอบกับ กำไรจากธุรกิจปลายน้ำ เช่น สาร PTA ยังคงถูกกดดัน ขณะที่ ส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ปรับตัวลดลง จากปริมาณสารเบนซีนคงคลังของจีนที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี และการเปิดดำเนินการของโรงผลิตสารเบนซีนหลังปิดซ่อมบำรุงในไตรมาสก่อนหน้า สำหรับ กำไรขั้นต้นจากกลุ่มธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับทำความสะอาดปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนอุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้นหลังสิ้นสุดฤดูมรสุม ขณะที่ กำไรขั้นต้นจากธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับเพิ่มสูงขึ้น จากความต้องการใช้ที่ฟื้นตัวหลังผ่านฤดูฝน และอุปทานที่ยังคงตึงตัวจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกลุ่มที่ 1 ในเกาหลีใต้           ด้าน ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยใน Q4/67 เทียบกับ Q3/67 ปรับลดลง ส่งผลให้ใน Q4/67 กลุ่มไทยออยล์มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 2,010 ล้านบาท หรือ 2.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันลดลง 3,370 ล้านบาท ส่งผลให้ กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น 5.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลจาก Q3/67           เมื่อรวม การกลับรายการมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 2,105 ล้านบาทใน Q4/67 เทียบกับ รายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 2,097 ล้านบาทใน Q3/67 และ ผลกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ 224 ล้านบาท (รวมเฉพาะรายการที่เกิดจากการป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์) แล้ว กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA อยู่ที่ 6,472 ล้านบาท เทียบกับ ผลขาดทุน EBITDA 4,268 ล้านบาทในไตรมาสก่อน           นอกจากนี้ ใน Q4/67 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงิน 6 ล้านบาท ลดลง 56 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนหน้า และมี ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 487 ล้านบาท (โดยเป็นผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิของสินทรัพย์และหนี้สินที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ 233 ล้านบาท) เทียบกับ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 1,645 ล้านบาทใน Q3/67 เมื่อหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว ส่งผลให้ ใน Q4/67 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 2,767 ล้านบาท หรือ 1.24 บาทต่อหุ้น เทียบกับ ขาดทุนสุทธิ 4,218 ล้านบาทใน Q3/67           เมื่อเทียบปี 2567 กับปี 2566 กลุ่มไทยออยล์มีอัตราการใช้กำลังการกลั่นลดลง เนื่องจากมีการหยุดเดินเครื่องนอกแผนของหน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 3 (Crude Distillation Unit 3: CDU-3) เป็นเวลา 13 วัน ในเดือนมกราคม 2567 และมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของหน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 1 (Crude Distillation Unit 1: CDU-1) และหน่วยที่เกี่ยวข้องเป็นเวลา 11 วัน ในเดือนพฤษภาคม 2567 ประกอบกับราคาขายผลิตภัณฑ์หลายรายการที่ปรับลดลง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 455,857 ล้านบาท ลดลง 3,545 ล้านบาท           ด้าน กำไรขั้นต้นจากการกลั่นปรับลดลง จากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน, น้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าด และน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบที่ปรับลดลง อันเนื่องมาจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นใหม่ที่เริ่มดำเนินการ ขณะที่ กำไรขั้นต้นจากธุรกิจอะโรเมติกส์ปรับตัวสูงขึ้น จาก ส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณเบนซีนคงคลังของจีนอยู่ในระดับต่ำในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี อย่างไรก็ตาม กำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดปรับลดลง จากอุปสงค์ในประเทศที่ลดลง ประกอบกับ อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับลดลง เช่นกัน           ส่งผลให้ กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลง 2.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 7.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2567 เทียบกับปี 2566 ปรับลดลง จากความกังวลต่อ เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้ กลุ่มไทยออยล์รับรู้ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 5,913 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 5,105 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า           ขณะที่มี รายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 80 ล้านบาท ลดลง 45 ล้านบาท จากปี 2566 เมื่อรวมกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ 626 ล้านบาท (รวมเฉพาะรายการที่เกิดจากการป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์) ส่งผลให้ กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA 22,026 ล้านบาท ลดลง 13,427 ล้านบาท นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์มีผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงิน 265 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 52 ล้านบาท และมีกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ 1,134 ล้านบาทเมื่อหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว ส่งผลให้ ปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 9,959 ล้านบาท ลดลง 9,484 ล้านบาท เทียบกับปี 2566           บริษัทฯและบริษัทในกลุ่มมีแผนการลงทุนโครงการในอนาคตที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ปี 2568 ถึงปี 2570 รวมจำนวนทั้งสิ้น 438 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยประกอบด้วยโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) 69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และการลงทุนในธุรกิจโอเลฟินส์ของบริษัทฯ ผ่านการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk ประมาณ 270 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงโครงการอื่นของบริษัทฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ตามรายละเอียดประมาณการรายจ่ายสำหรับแผนการลงทุนปี 2568 – 2570 สรุปแผนการลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP)           โครงการ CFP มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทฯ โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต เพิ่มคุณค่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และขยายกำลังการกลั่นน้ำมัน เพื่อให้สามารถ กลั่นน้ำมันดิบได้มากขึ้นและหลากหลายชนิดขึ้น ซึ่งช่วยให้เกิด การประหยัดด้านขนาด (Economies of Scale) ลดต้นทุนวัตถุดิบ และเสริมสร้าง ความมั่นคงด้านพลังงาน รวมถึง สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว           บริษัทฯ ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2561 ให้เข้าลงทุนในโครงการ CFP โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 4,825 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 160,279 ล้านบาท และ ดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,016 ล้านบาท บริษัทฯ ได้ลงนามใน สัญญาออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (Engineering, Procurement and Construction - EPC) กับผู้รับเหมาหลัก ได้แก่ • PSS Netherlands B.V. สำหรับงานออกแบบวิศวกรรมและการจัดหาวัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรในต่างประเทศ • กิจการร่วมค้า (Unincorporated Joint Venture) ของ o Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. o Petrofac South East Asia Pte. Ltd. o Saipem Singapore Pte. Ltd. สำหรับงานก่อสร้างและการจัดหาวัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรในประเทศไทยผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19           สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อโครงการ CFP ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ทั้งในขั้นตอนการออกแบบวิศวกรรม การจัดหาอุปกรณ์ และการก่อสร้าง ซึ่งต้องดำเนินการภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงาน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้โครงการเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง จากผลกระทบดังกล่าว ทำให้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการเพิ่มขึ้น และต้อง ขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปจากที่คาดการณ์ไว้เดิม ที่ประชุม คณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 9/2564 ได้พิจารณาอนุมัติ • การขยายกรอบวงเงินดอกเบี้ยระหว่างก่อสร้างของโครงการ CFP จาก 151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,016 ล้านบาท • เพิ่มขึ้นอีก 422 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 14,278 ล้านบาท ต่อมา ในการประชุม คณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 4/2565 ได้พิจารณาอนุมัติ • งบประมาณเพิ่มเติมในการดำเนินโครงการ CFP • เพิ่มงบประมาณของโครงการอีกประมาณ 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 18,165 ล้านบาท • ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการไปอีก 24 เดือน ตามเงื่อนไขในสัญญา EPC การปรับปรุงแผนงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้โครงการ CFP สามารถดำเนินต่อไปจนแล้วเสร็จ และ เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีการอนุมัติ TOP ปันผล 0.70 บาท ขึ้น XD 27 กุมภาพันธ์ 2568 กำหนดการจ่ายเงิน 28 เมายน 2568

กองทุนมั่นคงสิงคโปร์ GIC ตัดขายหุ้น TOP 2.3 ล้านหุ้น คงเหลือถือ 4.9225%

กองทุนมั่นคงสิงคโปร์ GIC ตัดขายหุ้น TOP 2.3 ล้านหุ้น คงเหลือถือ 4.9225%

           หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับแบบรายงานการจำหน่ายหุ้นของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) โดย GIC PRIVATE LIMITED ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย 2,332,200 หุ้น หรือคิดเป็น 0.1044% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคงเหลือจำนวน 109,962,411 หุ้น คิดเป็น 4.9225% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

TOP หยุดซ่อมบำรุงใหญ่ปี2568 หน่วยผลิตอื่นเดินหน้าปกติ

TOP หยุดซ่อมบำรุงใหญ่ปี2568 หน่วยผลิตอื่นเดินหน้าปกติ

          หุ้นวิชั่น - TOP เตรียมซ่อมบำรุงหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ CDU-3 และหน่วยผลิตสำคัญ ตั้งแต่ กรกฎาคม–สิงหาคม 2568 รวมถึงหน่วยผลิตของ TPX, TLB และ LABIX ยืนยันแผนงานเป็นระบบ ไม่กระทบการผลิตรวม ตามที่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) มีนโยบายที่จะดูแลและบำรุงรักษาหน่วยกลั่นน้ำมันและหน่วยผลิตอื่น ๆ เพื่อรักษาไว้ซึ่งประสิทธิภาพและคุณภาพการผลิตในระดับสูง เพื่อตอบสนองความต้องการใช้น้ำมันภายในประเทศได้อย่างสม่ำเสมอ บริษัทฯ ได้วางแผนการซ่อมบำรุงหน่วยกลั่นน้ำมันดิบและหน่วยผลิตอื่น ๆ ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินการผลิต           บริษัทฯ ขอเรียนให้ทราบว่า ในแผนงานการผลิตปี 2568 บริษัทฯ วางแผนที่จะหยุดการเดินเครื่องหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ หน่วยที่ 3 (CDU-3) และหน่วยผลิตหลักอื่น ๆ เพื่อตรวจซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ตามวาระ (Major Turnaround) โดยมีรายละเอียดดังนี้ หน่วยกลั่นน้ำมันดิบหน่วยที่ 3 (Crude Distillation Unit 3: CDU-3) คาดว่าจะหยุดเดินเครื่องในช่วงเดือน กรกฎาคม 2568 เป็นเวลา 30 วัน หน่วยเพิ่มออกเทนด้วยสารเร่งปฏิกิริยาที่ 1 (Continuous Catalyst Regeneration Platformer Unit 1: CCR-1) คาดว่าจะหยุดเดินเครื่องในช่วงเดือน กรกฎาคม 2568 เป็นเวลา 30 วัน หน่วยแตกโมเลกุลด้วยสารเร่งปฏิกิริยาโดยใช้ไฮโดรเจนร่วม (Hydrocracking Unit 2: HCU-2) คาดว่าจะหยุดเดินเครื่องตั้งแต่ ต้นเดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนสิงหาคม 2568 เป็นเวลา 41 วัน หน่วยผลิตสารอะโรเมติกส์ของ บริษัท ไทยพาราไซลีน จำกัด (TPX) คาดว่าจะหยุดเดินเครื่องตั้งแต่ ต้นเดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนสิงหาคม 2568 เป็นเวลา 45 วัน น่วยผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานของ บริษัท ไทยลูบเบส จำกัด (มหาชน) (TLB) คาดว่าจะหยุดเดินเครื่องตั้งแต่ ต้นเดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนสิงหาคม 2568 เป็นเวลา 45 วัน หน่วยผลิตสาร Linear Alkyl Benzene (LAB) ของบริษัท ลาบิกซ์ จำกัด (LABIX) คาดว่าจะหยุดเดินเครื่องตั้งแต่ ต้นเดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนสิงหาคม 2568 เป็นเวลา 45 วัน           ทั้งนี้ ระหว่างการหยุดซ่อมบำรุงดังกล่าว หน่วยผลิตอื่น ๆ ที่เหลือยังคงดำเนินการตามปกติ

abs

Hoonvision

TOP บริษัทน่าร่วมงาน อันดับ 35 จาก 50 ที่สุดในไทยปี67

TOP บริษัทน่าร่วมงาน อันดับ 35 จาก 50 ที่สุดในไทยปี67

หุ้นวิชั่น - เมื่อเร็วๆ นี้ คุณณัฐพล มีฤทธิ์ รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านบริหารศักยภาพองค์กร และ คุณสุชาดา ดีชัยยะ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาความเป็นเลิศด้านทรัพยากรบุคคลและองค์กร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ขึ้นรับรางวัลจาก คุณเย็นส์ โพลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ คุณจีรวัฒน์ ตั้งบวรพิเชฐ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการสร้างแบรนด์นายจ้าง บริษัท เวิร์คเวนเจอร์ เทคโนโลจีส์ จำกัด ในงานประกาศรางวัล TOP 50 บริษัทน่าร่วมงานมากที่สุดประจำปี 2024 ที่จัดโดย WorkVenture ซึ่งเป็นที่ปรึกษาและผู้นำด้านการสร้างแบรนด์นายจ้างให้กับองค์กรชั้นนำในประเทศไทย ไทยออยล์ ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในองค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุด ด้วยการคว้าอันดับที่ 35 จากการจัดอันดับดังกล่าว การจัดอันดับครั้งนี้มาจากผลสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนกว่า 12,559 คน ที่มีอายุระหว่าง 21-35 ปี ซึ่งประกอบไปด้วยนักศึกษาจบใหม่ พนักงานในช่วงเริ่มต้นอาชีพ และกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ทำงาน การเป็นหนึ่งใน 50 บริษัทที่น่าร่วมงานด้วยในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของไทยออยล์ในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ ด้วยแนวทางการบริหารที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนความก้าวหน้าในสายอาชีพ โดยคำนึงถึงสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance) คุณณัฐพล กล่าวว่า “รางวัลนี้ถือว่าเป็นกำลังใจ และความภาคภูมิใจของพนักงานไทยออยล์ทุกคน เพราะทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างแบรนด์ของไทยออยล์ให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับในทุกวันนี้ ไทยออยล์เป็นบริษัทชั้นนำด้านพลังงานที่ให้ความสำคัญมากกับพลังคน เราพยายามสร้างพลังให้กับคนของเรา เพื่อให้พนักงานของเรามีพลังส่งต่อคุณค่าในตัวให้กับองค์กร ซึ่งตรงกับปณิธาณของไทยออยล์ที่ว่า “Your Value, Our Priority … เพราะคุณค่าของพนักงานคือคุณค่าของไทยออยล์” ไทยออยล์เชื่อมั่นในแนวทาง "Happy Employees, Happy Company" โดยมุ่งสร้างความสุขและแรงบันดาลใจให้กับพนักงานทุกระดับ พร้อมขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ไทยออยล์ยังคงเป็นหนึ่งในองค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุดในประเทศไทย

TOP ได้รับเงินชดเชยCFP หนุนเงินสด-เป้า36บาท

TOP ได้รับเงินชดเชยCFP หนุนเงินสด-เป้า36บาท

           หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า Samsung E&A มีมติจ่ายเงินชดเชยเกี่ยวกับโครงการ CFP มีรายงานว่า บริษัท Samsung E&A ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ลงทุนในกิจการร่วมค้า UJV (ร่วมกับ Petrofac และ Saipem) ซึ่งเป็นผู้รับเหมาหลักของโครงการพลังงานสะอาด (CFP) ได้แจ้งถึงมติคณะกรรมการบริษัท (BOD) หลังจากที่ TOP ได้ขอใช้สิทธิเรียกร้องการรับประกันการดำเนินงานจากการก่อสร้างโครงการ CFP ที่ไม่เป็นไปตามกำหนด ซึ่งทางบริษัทได้จ่ายเงินทดแทนให้กับธนาคารที่ออกพันธบัตรค้ำประกัน (performance bond) จำนวน KRW88.8bn โดย TOP ได้ใช้สิทธิเรียกร้องพันธบัตรส่วนหนึ่งของพันธบัตรที่ค้ำประกัน (ประมาณ 86% ของจำนวนเงินรับประกันทั้งหมด) และ Samsung E&A ได้จ่ายสิทธิเรียกร้องให้กับธนาคารที่ออกพันธบัตรดังกล่าว โดย BOD มีมติ เมื่อวันที่ 16 ม.ค.2025            ทั้งนี้ บริษัทมียอดเงินที่ต้องจ่ายให้กับ TOP อีก KRW57.6bn รวมเป็นเงินที่จ่ายทั้งหมดที่ KRW146.4bn (ประมาณ Bt3.45bn) ในขณะเดียวกัน Samsung E&A กำลังเจรจาเกี่ยวกับการใช้สิทธิเรียกร้องหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญานี้ และวางแผนที่จะยื่นคำร้องต่ออนุญาโตตุลาการหากจำเป็นTOP แจ้งว่าได้บังคับหลักประกันในสัญญา EPC แล้ว TOP รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่าบริษัทได้บังคับหลักประกันภายใต้สัญญาจ้างเหมาทำของ การออกแบบวิศวกรรม การจัดหาและการก่อสร้าง (EPC contract) ระหว่าง TOP และ The Consortium of PSS Netherlands B.V. (Offshore contractor) และกิจการร่วมค้าระหว่าง Samsung E&A (Thailand) Co.,Ltd., Petrofac South East Asia Pte. Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (UJV) (Onshore contractor) เป็นจำนวนเงินประมาณ USD358mn (เทียบเท่าประมาณ 1.23 หมื่นล้านบาท) (ที่มา: SET, ข่าวหุ้น)            มองเป็นบวกจากกระแสเงินสดที่เป็นไปได้ที่จะสูงขึ้น เรามีมุมมองเป็นบวกจากข่าวนี้ซึ่งเราเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มกระแสเงินสดให้กับบริษัทและบริษัทอาจรับรู้เป็นรายได้พิเศษเข้ามาใน 1Q25E ซึ่งน่าจะช่วยชดเชยผลกระทบจากแผนการลงทุนเพิ่มเติมในโครงการ CFP ของ TOP อีก USD2.3bn (รวม ทั้งงบลงทุนและค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยส่วนเพิ่ม) ทั้งนี้ เงินชดเชยหลักประกันที่แจ้งไปอาจแปรเปลี่ยนเป็นเงินสดส่วนเพิ่มประมาณ 5.52 บาทต่อหุ้น และคิดเป็น 16% ของแผนลงทุนส่วนเพิ่มในโครงการ CFP ครั้งล่าสุด            นอกจากนี้ เชื่อว่า TOP จะรายงานผลประกอบการที่ฟื้นตัว QoQ ใน 4Q24E หนุนโดยแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและน้ำมันดิบ (crack spread) ที่ดีขึ้นและการรับรู้กำไรสต๊อก (stock gain net of NRV) CFP ยังรอความชัดเจนจาก EGM แต่ราคาสะท้อนปัจจัยเสี่ยงไปมากแล้ว            สำหรับภาพระยะยาว เราเชื่อว่าโครงการ CFP ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ซึ่งจะมีความชัดเจนมากขึ้นหลังการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) ในวันที่ 21 ก.พ.2025 อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงมาแล้ว 48% นับตั้งแต่มีข่าวบริษัทรับเหมา UJV ไม่ได้ทำการจ่ายเงินให้ผู้รับเหมาช่วงในวันที่ 24 ก.ค.2024 ราคาปิดล่าสุดสะท้อน valuation ที่ไม่แพงที่ 2025E PBV 0.35x (ประมาณ -2.6SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) ขณะที่ราคาปัจจุบันสะท้อนอัตราตอบแทนเงินปันผลที่น่าสนใจ 5.9%-6.3% ในปี 2024E-2025E จึงยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมายที่ 36.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.46x (เท่ากับ -2.25SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 5 ปี)

TOP ได้รับเงินประกันคืน หนุนโครงการ CFP ต่อ

TOP ได้รับเงินประกันคืน หนุนโครงการ CFP ต่อ

             หุ้นวิชั่น - TOP คลายกังวล หลังเคลมเงินประกันโครงการ Clean Fuel Project (CFP) ของ TOP รวม 3.4 พันล้านบาท คาดลดค่าใช้จ่ายลงทุน (CAPEX) เหลือ 1,476 ล้านเหรียญฯ ด้านนักวิเคราะห์คาดเงินค้ำประกันจากผู้รับเหมาอีก 2 รายจะตามมา หนุน TOP เดินหน้าโครงการเสร็จทันปี 2028 ตามแผนใหม่              แหล่งข่าวตลาดทุน เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัท Samsung E&A (“บริษัทฯ”) ได้มีการประชุมไป เมื่อ 16 ม.ค.68 เพื่อพิจารณา              ใน 2 เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับ บมจ.ไทยออยส์ ในฐานะที่เป็นผู้จ้าง ให้บริษัทฯ ทำการก่อสร้างโครงการ Clean Fuel Project ; CFP บมจ.ไทยออยส์ ใช้สิทธิในเรียกร้องเงินประกัน ที่เรียกว่า Performance Bond โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 8.88 หมื่นล้านวอน หรือราว 2.04 พันล้านบาท บริษัทฯ จะมีการจ่ายเงิน อีก 5.76 หมื่นล้านวอน หรือราว 1.36 พันล้านบาท ให้กับ บมจ.ไทยออยส์              จาก 2 รายการนี้ รวมเป็นเงินที่บริษัทฯ จ่ายให้ บมจ.ไทยออยส์ ทั้งสิ้น 1.46 แสนล้านวอน หรือ 3.4 พันล้านบาท              โดยจะมีการบันทึก ค่าใช้จ่ายครั้งนี้ ในงบการเงินของบริษัทฯ (Samsung E&A) ในงวดไตรมาสที่ 4 ปี 2567              ด้าน บล.เอเชียพลัส ระบุว่า จากประเด็นข่าวที่ทาง Samsung ซึ่งเป็น 1 ในผู้รับเหมาโครงการ CFP ของ TOP มีการจ่ายชำระ Bond ราว 100 ล้านเหรียญฯ นั้น              ฝ่ายวิจัยได้ทำการสอบถามไปยังผู้บริหาร TOP พบว่า การจ่ายชำระ Bond ดังกล่าว ของ Samsung เป็นเงินค้ำประกันที่ทางผู้รับเหมาต้องวางไว้ในการก่อสร้างโครงการ CFP หากผู้รับเหมาทำให้โครงการเกิด             ความเสียหาย โครงการไม่ได้ขึ้นตามสัญญา หรือเรียกว่า Performance Bond Claim ซึ่ง Samsung ถือเป็นผู้รับเหมา 1 ใน 3 ของผู้รับเหมาโครงการ ซึ่งคาดว่าอีก 2 ราย ได้แก่ Petrofac และ Saipem จะมีการจ่ายเงินค้ำประกันด้วยในมูลค่าที่เท่ากับ Samsung ชำระต่อไป              ดังนั้นคาด TOP จะได้เงินจากเงินค้ำประกันรวมราว 300 ล้านเหรียญฯ ซึ่งคาดจะมาช่วยลด CAPEX โครงการ CFP ที่ทาง TOP ประกาศก่อนหน้านี้ 1,776 ล้านเหรียญฯ เหลือราว 1,476 ล้านเหรียญฯ โดย TOP จะยังคงเดินหน้าโครงการ CFP ตามแผนเพื่อให้เเล้วเสร็จในปี 2028 ตามแผนใหม่ที่ประกาศไว้ รวมถึงการใช้สิทธิตามสัญญาอยู่ ASPS Research

ด่วน! TOP ผ่อนคลายแล้ว  SamsungE&A ไฟเขียว จ่ายบอนด์ CFP ที่ 3.4พันล.

ด่วน! TOP ผ่อนคลายแล้ว SamsungE&A ไฟเขียว จ่ายบอนด์ CFP ที่ 3.4พันล.

          หุ้นวิชั่น - จับตา บริษัท Samsung E&A จ่อชำระเงิน โครงการการ CFP ของ TOP ให้ธนาคารที่ออกพันธบัตรบางส่วน ตามสิทธิเรียกร้อง จำนวน 3.4 พันล้านบาท           แหล่งข่าวตลาดทุน เปิดว่า มีข้อมูลลือสะพัดในห้องค้าหลักทรัพย์ ระบุว่า  คณะกรรมการบริษัท Samsung E&A (“บริษัทฯ”)  ได้มีการประชุมไป เมื่อ 16 ม.ค.68 เพื่อพิจารณาใน 2 เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับ บมจ.ไทยออยส์ ในฐานะที่เป็นผู้จ้าง ให้บริษัทฯ ทำการก่อสร้างโครงการ Clean Fuel Project ; CFP บมจ.ไทยออยส์  ใช้สิทธิในเรียกร้องเงินประกัน ที่เรียกว่า Performance Bond  โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 8.88 หมื่นล้านวอน หรือราว 2.04 พันล้านบาท บริษัทฯ จะมีการจ่ายเงิน อีก 5.76 หมื่นล้านวอน หรือราว 1.36 พันล้านบาท ให้กับ บมจ.ไทยออยส์           จาก 2 รายการนี้ รวมเป็นเงินที่บริษัทฯ จ่ายให้ บมจ.ไทยออยส์ ทั้งสิ้น 1.46 แสนล้านวอน หรือ 3.4 พันล้านบาท           โดยจะมีการบันทึก ค่าใช้จ่ายครั้งนี้ ในงบการเงินของบริษัทฯ (Samsung E&A) ในงวดไตรมาสที่ 4 ปี 2567

ฟิทช์ คงอันดับความน่าเชื่อถือ TOP ที่  A+ หลังเพิ่มเงินลงทุนโครงการพลังงานสะอาด

ฟิทช์ คงอันดับความน่าเชื่อถือ TOP ที่ A+ หลังเพิ่มเงินลงทุนโครงการพลังงานสะอาด

          หุ้นวิชั่น - เมื่อเร็วๆนี้ บริษัท Fitch Ratings (Thailand) หรือ Fitch ได้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ A+ (Tha) ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทในระดับน่าลงทุน หรือ Investment Grade  อย่างไรก็ตาม Fitch ได้ปรับสถานะเป็นมุมมองเชิงลบ (Negative Outlook) จากการขยายระยะเวลาของโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) ซึ่งส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดและเพิ่มค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จ และอาจส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Net Debt/EBITDA) ของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ Fitch ยังเชื่อมั่นว่าไทยออยล์จะสามารถรักษาสถานะเครดิตที่แข็งแกร่ง (Credit Profile) และมีแผนในการดำเนินการเพื่อควบคุมระดับหนี้สินได้  นอกจากการจัดอันดับเครดิตจาก Fitch แล้ว ไทยออยล์ยังได้รับการคงอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ Investment Grade จากอีกสองสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำระดับโลก ได้แก่ S&P Global Ratings (S&P) และ Moody's Investors Service (Moody's) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเสถียรภาพทางการเงินของบริษัทฯ ความสามารถในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจ การได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ Investment Grade จากทั้งสามสถาบันชั้นนำถือเป็นการยืนยันถึงความแข็งแกร่งทางการเงินของไทยออยล์ที่ยังคงสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้น และขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงภายใต้      ความท้าทายที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมพลังงาน โดยไทยออยล์ยังคงมุ่งมั่นในการบริหารจัดการโครงการต่างๆ ตามกลยุทธ์ที่วางไว้ เพื่อสร้างความยั่งยืนและเสริมสร้างความมั่นคงทางธุรกิจในระยะยาว สำหรับบรรณาธิการ ไทยออยล์เป็นผู้ประกอบธุรกิจการโรงกลั่นนํ้ามันแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยมีธุรกิจหลักคือ การกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียม ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 275,000 บาร์เรลต่อวัน   นอกจากนี้ ไทยออยล์มีระบบการบริหารจัดการที่มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ (Operational Excellence) โดยบริหารงานเป็นกลุ่มที่มีการเชื่อมโยงธุรกิจ ทั้งธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน โดยร่วมวางแผนการผลิตก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนต่ำ ขณะเดียวกันมีคุณภาพสูงในระดับโรงกลั่นชั้นนำ (Top quartile) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้ได้เปรียบเชิงต้นทุนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลากหลาย เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจสารทำละลาย ธุรกิจบริหารการขนส่ทางท่อ ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาด และธุรกิจ New S-Curve

TOP ถึงเวลาเทิร์นอะราวน์เป็นกำไร กูรูเคาะเป้า 35 บาท

TOP ถึงเวลาเทิร์นอะราวน์เป็นกำไร กูรูเคาะเป้า 35 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง TOP ว่า 4Q24 Turnaround เป็นกำไร คาด 4Q24 พลิกเป็นบวกจากกำไรปกติฟื้นตัว และขาดทุนสต็อกน้ำมันลดลง           คาด 4Q24 จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท -17% YoY แต่พลิกจากขาดทุนสุทธิ 4.2 พันล้านบาทใน 3Q24 โดยปรับตัวดีขึ้น QoQ จากผลการดำเนินงานปกติที่ได้แรงหนุนจากอัตรากำไรธุรกิจหลัก (Market GIM) คาดทำได้ US$7.1/bbl (+31% QoQ) และไม่มีขาดทุนสต็อกน้ำมันจำนวนมากเหมือนไตรมาสก่อนหน้า เราคาด 4Q24 จะไม่มีผลกระทบจากกำไร/ขาดทุนสต็อกน้ำมัน เพราะประเมินว่าการกลับรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV) ในไตรมาสก่อนราว 2 พันล้านบาท จะช่วยชดเชยราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ลดลง QoQ ได้ทั้งหมด ผลการดำเนินงานปกติ 4Q24 ฟื้นตัวจากฐานต่ำ QoQ           หากไม่นับรายการพิเศษ (คาดขาดทุน FX 500 ล้านบาท และกำไร Hedging 100 ล้านบาท) และผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน ประเมินผลการดำเนินงานปกติจะทำได้ 2.8 พันล้านบาท -20% YoY แต่เติบโตสูงจากฐานต่ำ QoQ สาระสำคัญดังนี้ 1) แม้คาดว่าค่าใช้จ่ายดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นเป็น US$2.4/bbl (vs US$1.9/bbl ใน 3Q24) ตามปัจจัยฤดูกาลช่วงปลายปี 2) อัตรากำไรธุรกิจอะโรมาติกส์ลดลงตาม Spread PX และ BZ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมกำไรปกติจะเติบโตจาก: 3) ค่าการกลั่นคาดทำได้ US$5/bbl (vs US$3.5/bbl ในไตรมาสก่อน) สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของ Crack Spread น้ำมันอากาศยาน และน้ำมันดีเซลตามอุปสงค์น้ำมันในฤดูหนาวและภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเพียงพอชดเชยต้นทุนน้ำมัน (Murban Premium) ที่สูงขึ้นราว US$0.3/bbl ได้ทั้งหมด 4) อัตรากำไรธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นปรับตัวสูงขึ้นมากเป็น US$1.1/bbl (vs US$0.5/bbl ใน 3Q24) สอดคล้องส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้นเพราะเป็นช่วงปิดซ่อมบำรุงของผู้ผลิตในต่างประเทศ ทิศทางผลประกอบการปี 2025 ประคองตัว YoY           หาก 4Q24 เป็นไปตามคาด ประมาณการกำไรปกติและกำไรสุทธิปี 2024 จะมี Downside 7-20% สำหรับ 1Q25 เบื้องต้นคาดผลประกอบการประคองตัว QoQ โดยเชื่อว่าปัจจัยบวกจากโอกาสบันทึกกำไรสต็อกน้ำมัน, ต้นทุนน้ำมัน Murban Premium ที่ลดลง, ค่าใช้จ่ายต่ำลงตามฤดูกาล จะสามารถชดเชยการชะลอตัวของ Margin น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันหล่อลื่นได้ คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท คงคำแนะนำ TRADING...ติดตามผลประชุมเดินหน้า CFP                     ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นปรับฐานแรง -27% ถือว่าสะท้อนปัจจัยลบจากงบลงทุนที่เพิ่มขึ้นของโครงการ CFP ไปมากแล้ว ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PBV ต่ำเพียง 0.3 เท่า (Discount มากกว่า -2.0 SD) ถือว่า Downside จำกัด อย่างไรก็ตาม คงราคาเหมาะสม 35.00 บาท และคำแนะนำ TRADING ไว้ก่อน เพื่อรอดูผลประชุมผู้ถือหุ้น EGM ในวันที่ 21 ก.พ. พิจารณาอนุมัติเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP (ออกเสียงอนุมัติมากกว่า 50%) เพื่อให้การก่อสร้างเดินหน้าต่อจนแล้วเสร็จ รวมทั้งระยะสั้นหุ้นยังมีความเสี่ยงจากการปรับน้ำหนักดัชนี MSCI รอบเดือน ก.พ. คาดเงินปันผลงวด 2H24 ที่ 0.60 บาท/หุ้น คิดเป็น Yield 2.2% (คาดประกาศงบการเงินวันที่ 14 ก.พ. 2025)

TOP ราคาต่ำเกินไป Q4กำไรดีด-ปันผลเกิน5%

TOP ราคาต่ำเกินไป Q4กำไรดีด-ปันผลเกิน5%

 หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” TOP ที่ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 36.00 บาท (เดิม 55.00 บาท) อิง 2025E PBV ใหม่ที่ 0.46x (ประมาณ -2.25SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) มีมุมมองเป็นลบมากขึ้นต่อภาพรวมธุรกิจระยะยาวของ TOP หลังจากคณะกรรมการบริษัท (BOD) มีมติเห็นชอบการเพิ่มเงินลงทุนเพิ่มเติมในโครงการพลังงานสะอาด (CFP) เป็นจำนวน USD1,776mn (ประมาณ 6.30 หมื่นล้านบาท) และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้าง USD505mn (ประมาณ 1.79 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเชื่อว่าน่าจะได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) ในวันที่ 21 ก.พ.2025 เพื่อที่จะทำให้บริษัทสามารถที่จะหลีกเลี่ยงการตั้งสำรองด้อยค่าและตัดจำหน่ายของสินทรัพย์ที่เป็นไปได้ (loss on impairment of assets) ที่อาจจะเกิดขึ้นหากบริษัทไม่สามารถดำเนินโครงการ CFP ได้ อย่างไรก็ดี คงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรในระยะสั้นของบริษัท โดยเราเชื่อว่าบริษัทจะสามารถกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E หนุนโดยการฟื้นตัวของค่าการกลั่นตลาด (market GRM) และผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss) ที่ลดลงเราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E/2025E ลง 11%/15% เป็น 8.7/9.9 พันล้านบาท หลักๆเพื่อสะท้อนสมมติฐาน 1) ราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ยที่ลดลง 2) งบลงทุน (CAPEX) ที่สูงขึ้นจากผลกระทบของโครงการ CFP และ 3) P2F margin ที่ลดลงของธุรกิจอะโรเมติกส์ (Aromatics) ตามแนวโน้มส่วนต่างราคา PX ที่ต่ำลง ราคาหุ้นปรับตัวลง 49% และ underperform SET 56% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จากผลกระทบของการก่อสร้างโครงการ CFP ที่มีความล่าช้า ทั้งนี้ ราคาปิดล่าสุดสะท้อน valuation ที่ไม่แพงที่ 2025E PBV 0.36x (ประมาณ -2.7SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) เชื่อว่าราคาปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยเสี่ยงจากโครงการ CFP ไปมากแล้ว (ซึ่งอาจรวมถึงความกังวลต่อ loss on impairment of assets ที่เป็นไปได้) อย่างไรก็ดี เชื่อว่าบริษัทจะได้รับคำอนุมัติจากที่ประชุม EGM และสามารถดำเนินการก่อสร้างต่อไปได้ นอกจากนี้ เชื่อว่าราคาปัจจุบันยังสะท้อนอัตราตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจในช่วง 5.7%-6.1% ในปี 2024E-2025E

TOP คงอันดับความน่าเชื่อถือ Investment Grade จาก S&P และ Moody’s หลังเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP

TOP คงอันดับความน่าเชื่อถือ Investment Grade จาก S&P และ Moody’s หลังเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP

          หุ้นวิชั่น - เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 บริษัท S&P Global Ratings (S&P) ได้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ที่ระดับ BBB ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ ในระดับน่าลงทุน หรือ Investment Grade  อย่างไรก็ตาม S&P ได้ปรับสถานะการติดตามเครดิตเป็นเชิงลบอันเนื่องมาจากความล่าช้าและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของโครงการ CFP ขณะเดียวกัน ในวันที่ 23 ธันวาคม 2567 บริษัท Moody's Investors Service (Moody's) ได้ประกาศคงอันดับ    ความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ที่ระดับ Baa3 ซึ่งเป็นระดับน่าลงทุน Investment Grade เช่นเดียวกัน โดย Moody's มองว่า   บริษัทฯ มีสภาพคล่องทางการเงินในเกณฑ์ที่ดี และมีการวางแผนมาตรการทางการเงินอย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตาม Moody's ได้ปรับสถานะเป็นมุมมองเชิงลบ จากความล่าช้าและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของโครงการ CFP การได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับน่าลงทุน Investment Grade จากสถาบันทั้งสองแห่งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและเสถียรภาพทางการเงินของบริษัทฯ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและการบริหารจัดการที่มั่นคงในระยะยาว นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นในอนาคต รวมทั้งความสามารถในการดำเนินงานอย่างมั่นคงท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ในอุตสาหกรรม

TOP ย้ำชัดCFPเดินต่อได้ ปันผลปกติไม่ต้องเพิ่มทุน

TOP ย้ำชัดCFPเดินต่อได้ ปันผลปกติไม่ต้องเพิ่มทุน

          หุ้นวิชั่น - TOP เคลียร์เงินลงทุนเพิ่มในโครงการ CFP มาจากเงินสด รวมทั้งการออกหุ้นกู้และเงินกู้ยืม บริษัทฯ เชื่อมั่นว่ามีแหล่งเงินเพียงพอเดินหน้าโครงการฯ ยันไม่ต้องเพิ่มทุน พร้อมจ่ายปันผลตามผลประกอบการปกติ “บัณฑิต” ย้ำ กระบวนการทำงานยึดหลักสากล โปร่งใส และเป็นธรรม แม้อัตราผลตอบแทน IRR ลดเหลือ 7% แต่ยังสูงกว่าต้นทุน  นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)หรือ TOP เปิดเผยว่า สำหรับงบประมาณลงทุนส่วนเพิ่มของโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือCFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาท ที่บริษัทฯ จะใช้ในการดำเนินการก่อสร้าง บริษัทฯ มีแผนจัดหาเงินทุนประกอบด้วย 1. เงินสดคงเหลือและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2025-2027 2.การออกหุ้นกู้ หรือการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งพิจารณาหาเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ เช่น การออก ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน รวมถึงการบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยบริษัทขอยืนยันว่าไม่มีแผนการเพิ่มทุนจากการเพิ่มงบประมาณในการก่อสร้างโครงการในครั้งนี้แต่อย่างใด“บริษัทฯ มั่นใจว่างบประมาณที่ขอเพิ่มเติมเพียงพอต่อการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จ โดยได้ศึกษาและประเมินร่วมกับที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้วยความระมัดระวังว่าสามารถดำเนินโครงการนี้ได้ตามงบประมาณที่วางไว้บริษัทฯ จะบริหารจัดการงบประมาณให้ดีที่สุด อีกทั้งจากการศึกษาและประเมินของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระถึงแม้อัตราผลตอบแทนการลงทุนระดับโครงการในปัจจุบันจะลดลงจากการประเมินในช่วงการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนของกิจการ เมื่อโครงการเสร็จจะทำให้ไทยออยล์มีผลประกอบการทางการเงิน ทั้งในส่วนรายได้ ผลกำไร และฐานะทางการเงินดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นในระยะยาว” นายบัณฑิต กล่าว นายบัณฑิต กล่าวต่อไปอีกว่า การก่อสร้างโครงการฯ ที่ต้องเลื่อนออกไปกว่า 3 ปี เป็นผลมาจากการดำเนินงาน ขั้นตอนที่เหลือเป็นส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชื่อมต่อระบบของโครงการฯ ที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน ดังนั้นก่อนเปิดดำเนินการ จึงต้องทำการทดสอบระบบจนกว่าจะมั่นใจว่าสามารถเปิดดำเนินการได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ การก่อสร้างหน่วยกลั่นใหม่ที่ทำหน้าที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยเปลี่ยนน้ำมันเตาและยางมะตอยให้เป็น น้ำมันอากาศยานและดีเซลไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด เนื่องจากปัญหาการหยุดงานของกลุ่มบริษัทรับเหมาช่วงอัน เนื่องมาจากไม่ได้รับค่าจ้างค้างจ่ายจากผู้รับเหมาหลัก UJV ทำให้การดำเนินโครงการต้องสะดุดจนต้องปรับระยะเวลาดำเนินโครงการออกไป อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ บริษัทฯ ได้พยายามหาทางแก้ไขเพื่อให้การดำเนินงานกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุดเพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปให้แล้วเสร็จ คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถสรุปเวลาให้แน่ชัดขึ้นในปี 2568 นายบัณฑิต กล่าวอีกว่า การเพิ่มเงินงบประมาณก่อสร้างโครงการครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมส่วนใหญ่มาจากเงินสดคงเหลือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และการกู้ยืม ดังนั้นบริษัทฯ ยังคงพิจารณาจ่ายเงินปันผลตามนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิของงบการเงิน ภายหลังจากการหักทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของ บริษัทฯ และตามกฎหมายได้ นายบัณฑิต กล่าวอีกว่า โครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่มีมูลค่าสูง บริษัทฯ ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ในการตรวจรับงานและการจ่ายเงินโครงการฯ ต้องเป็นไปตามหลักสากลและเงื่อนไขในสัญญา มีการตรวจสอบความถูกต้องทั้งในส่วนปริมาณงานและคุณภาพงานจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกส่วน รวมทั้งจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการที่มีความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างเป็นผู้ประเมินและตรวจรับงาน และจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการฯ ให้การดำเนินการเป็นไปตามหลักสากลในการบริหารโครงการขนาดใหญ่ “ขอยืนยันว่าไทยออยล์ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลสำหรับการดำเนินธุรกิจกับผู้มีส่วนได้เสียอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีหน่วยตรวจสอบภายในเพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการทำงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม” นายบัณฑิต กล่าวทิ้งท้าย ด้าน นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการเงินและบัญชี บมจ.ไทยออยล์ (TOP)  เปิดเผยถึง การเพิ่มงบประมาณลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (CFP) อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ปรับลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 12% เหลือ 7% โดยเป็นผลจากการเพิ่มต้นทุนเงินลงทุนและดอกเบี้ย ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้พิจารณาร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินอิสระแล้วว่า แม้อัตราผลตอบแทนจะลดลง แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนของกิจการ ขณะเดียวกัน อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ยังคงได้รับการบริหารให้อยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ไม่เกิน 1 เท่า เพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงินและเสถียรภาพในระยะยาว การดำเนินการดังกล่าวสะท้อนถึงความรอบคอบของบริษัทฯ ในการบริหารจัดการงบประมาณ และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้นว่าโครงการ CFP จะส่งผลเชิงบวกต่อผลประกอบการของบริษัทฯ ในอนาคต

บอร์ด TOP ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณ เร่งเดินหน้าโครงการ CFP

บอร์ด TOP ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณ เร่งเดินหน้าโครงการ CFP

        หุ้นวิชั่น - “บอร์ดไทยออยล์” ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณโครงการพลังงานสะอาด (CFP) วงเงิน 63,028 ล้านบาท พร้อมเตรียมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น 21 ก.พ. ปีหน้า ยืนยันผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ ได้ประโยชน์สูงสุด อีกทั้งเพิ่มความแข็งแกร่งและมั่นคงด้านพลังงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ           นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ นัดพิเศษ ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ได้มีมติเห็นชอบเพิ่มงบประมาณในโครงการพลังงานสะอาด   (Clean Fuel Project หรือ CFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาท และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922 ล้านบาท การเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP ครั้งนี้ จะนำไปใช้เพื่อการก่อสร้าง การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ส่วนที่เหลือ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าที่ปรึกษาต่างๆ เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จ    และสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย ที่เกี่ยวข้อง และประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 น. เพื่อขอมติจากผู้ถือหุ้นในการอนุมัติการเพิ่มงบประมาณในโครงการ CFP ดังกล่าว “โครงการ CFP จะทำให้ไทยออยล์มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 400,000 บาร์เรลต่อวัน และสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นโครงการขนาดใหญ่ ปัจจุบันดำเนินการไปแล้วกว่า 90% เมื่อโครงการสำเร็จจะสามารถตอบโจทย์การเติบโตทางกลยุทธ์ในระยะยาว ทำให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ทำให้ไทยออยล์สามารถแข่งขันได้ และเป็นผู้นำ   ในภูมิภาคซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ ในระยะยาว  หากโครงการเดินหน้าต่อจะทำให้ซัพพลายเชน รวมถึงบริษัทรับเหมาก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีงานทำ          มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง” นายบัณฑิตฯ กล่าว

TOP โบรกชี้ประท้วงไม่กระทบ เดินตามแแผน-แนะนำ“ซื้อ”

TOP โบรกชี้ประท้วงไม่กระทบ เดินตามแแผน-แนะนำ“ซื้อ”

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า มีรายงานบริษัทรับเหมาช่วง 28 บริษัทของโครงการพลังงานสะอาด (CFP) เดินทางมารวมตัวกันบริเวณด้านหน้าสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย (สถานทูตเกาหลีใต้) เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้แก้ปัญหาการค้างชำระค่าจ้างที่เกิดขึ้นจากผู้รับเหมากลุ่มหลักกิจการร่วมค้า UJV ซึ่งนำโดยบริษัท Samsung E&A (Thailand) Co.,Ltd. ร่วมกับ Petrofac South East Asia Pte. Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. ทั้งนี้ หากภายในสิ้นปีนี้ยังไม่ได้รับคำตอบกลุ่มผู้รับเหมาช่วงจะนำพนักงานไปเรียกร้องที่บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) (PTT) ภายในสัปดาห์แรกของปี 2025 และขอแนวทางแก้ไขจาก TOP ด้วย โดยผู้รับเหมาช่วงอ้างว่า UJV ค้างชำระค่าจ้างเป็นระยะเวลา 10 เดือน สร้างความเสียหายกว่า 7.0 พันล้านบาทแล้ว นอกจากนี้ ผู้รับเหมาช่วงมีแผนที่จะไปขอความเป็นธรรมกับสถานทูตของอีก 2 ผู้ถือหุ้นด้วย (ที่มา: ข่าวหุ้น) มีมุมมองเป็นกลางต่อข่าวนี้ โดยเรามองว่าการประท้วงที่สถานทูตไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อแนวทางแก้ปัญหาอย่างมีนัยสำคัญ          อย่างไรก็ดี TOP ได้แจ้งก่อนหน้านี้ว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในส่วนของแนวทางการแก้ปัญหานี้ในต้นปี 2025 สำหรับภาพรวมธุรกิจระยะสั้นใน 4Q24E เชื่อว่าบริษัทจะกลับมารายงานกำไรปกติได้ใน 4Q24E หนุนโดยการฟื้นตัวของค่าการกลั่นตลาด (market GRM) และผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss) ที่ลดลง ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรสุทธิ 2024E ที่ 9.7 พันล้านบาท (-50% YoY) อย่างไรก็ดี แม้ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมายที่ 55.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (ประมาณ -1.5SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) แต่สำหรับภาพระยะสั้นจนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้ เราแนะนำให้ลงทุนใน SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท) แทนก่อนการฟื้นตัวที่เป็นไปได้ของผลประกอบการ 4Q24E

[ภาพข่าว] ไทยออยล์ผนึกกำลังสมาคมวอลเลย์บอล ร่วมพัฒนาทักษะกีฬาวอลเลย์บอลให้กับเยาวชนแหลมฉบัง

[ภาพข่าว] ไทยออยล์ผนึกกำลังสมาคมวอลเลย์บอล ร่วมพัฒนาทักษะกีฬาวอลเลย์บอลให้กับเยาวชนแหลมฉบัง

            เมื่อเร็วๆนี้  บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย และเทศบาลนครแหลมฉบัง จัดโครงการ “ไทยออยล์ปั้นฝันเยาวชนสู่ความเป็นหนึ่ง เพื่อพัฒนาทักษะด้านกีฬาวอลเลย์บอล” ณ โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 3 อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ให้กับเยาวชนในพื้นที่แหลมฉบัง โดยมี คุณประพฤทธิ์ ผกผ่า ผู้จัดการ-บริหารงานชุมชน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฯ และได้รับเกียรติจาก คุณธนาพร แก้วเมืองกลาง ผู้อำนวยการกองการศึกษา เทศบาลนครแหลมฉบัง และ คุณสมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ร่วมพิธีเปิดโครงการฯ โดยโครงการดังกล่าว             จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการเล่นกีฬาวอลเลย์บอลและพัฒนาทักษะด้านวอลเลย์บอลให้กับเยาวชนในพื้นที่แหลมฉบัง รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจในการมุ่งสู่การเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลอาชีพ โดยได้มีผู้ฝึกสอนและนักกีฬาทีมชาติจากสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย อาทิ “โค๊ชยะ” นาวาอากาศโท ณัฐพนธ์ ศรีสมุทรนาค อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย “กัปตันกิ๊ฟ” วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ และปลื้มจิตร์ ถินขาว อดีตนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย มาร่วมถ่ายทอดความรู้พร้อมเสริมทักษะและแบ่งปันประสบการณ์ในการอบรมในครั้งนี้อีกด้วย

[ภาพข่าว] TOP รวมพลังจิตอาสา ฟื้นฟูทะเลเกาะสีชังครบวงจร

[ภาพข่าว] TOP รวมพลังจิตอาสา ฟื้นฟูทะเลเกาะสีชังครบวงจร

           เมื่อเร็วๆ นี้ คุณถิรยุทธ ลิมานนท์ ผู้จัดการฝ่ายกิจการสัมพันธ์ และคุณกรภัทร ลิมปพยอม ผู้จัดการฝ่ายกิจการองค์กรและความยั่งยืน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกิจกรรมกับพนักงานจิตอาสาของสายงานด้านกำกับองค์กรและกิจการสัมพันธ์ อำเภอเกาะสีชัง เทศบาลตำบลเกาะสีชัง สำนักงานประมงจังหวัดชลบุรี และโรงเรียนเกาะสีชัง ภายใต้แนวคิด “โครงการคุณริเริ่ม...เราเติมเต็ม ปี 4” ณ ศูนย์เรียนรู้ธนาคารสัตว์ทะเลเกาะสีชัง อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี โดยได้ดำเนินกิจกรรมจิตอาสาทำซั้งเชือก (บ้านปลา) เพื่อเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำตัวอ่อนร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอเกาะสีชัง พร้อมส่งมอบซั้งเชือกดังกล่าวให้กับกลุ่มประมงเกาะสีชัง โดยมี คุณพัฒนา เกตุแก้ว รองนายกเทศมนตรีตำบลเกาะสีชัง เป็นผู้รับมอบ            นอกจากนี้ บริษัทฯ และพนักงานจิตอาสายังได้ร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำและปลูกปะการังอ่อน เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของทะเล รวมถึงร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์โดยนำเศษเปลือกหอยมาใช้แทนปูนและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรคุ้มค่า อีกด้วย  

OPEC+ ขยายเวลาลดการผลิต หุ้นโรงกลั่นน่าลงทุนไหม?

OPEC+ ขยายเวลาลดการผลิต หุ้นโรงกลั่นน่าลงทุนไหม?

           หุ้นวิชั่น - บล. ดาโอ ระบุว่า ประเทศสมาชิก OPEC+ บางประเทศตกลงขยายเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจจนถึงปี 2026E ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีของผู้ผลิตน่ามันรายใหญ่ทั้งในและนอกกลุ่มโอเปค (OPEC and non-OPEC Ministerial Meeting: ONOMM) ครั้งที่ 38 เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2024 มีข้อตกลงที่จะขยายการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจ (voluntary production cuts) ของ 8 ประเทศสมาชิก (รวมถึง ซาอุดิอาระเบีย, รัสเซีย, อิรัก, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE), คูเวต, คาซัคสถาน, อัลจีเรียและโอมาน) ออกไปจนถึงปี 2026E โดยแบ่งออกเป็น 1) voluntary production cuts จำนวน 1.65 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mbd) (ซึ่งประกาศมาตั้งแต่ เม.ย.2023) จะมีผลจนถึง ธ.ค.2026 และ 2) voluntary production cuts จำนวน 2.2 mbd (ซึ่งประกาศในเดือน พ.ย.2023) จะขยายเวลาจนถึงเดือน มี.ค.2025 ก่อนที่จะทยอยปรับลดขนาดรายเดือนจนถึงสิ้นเดือน ก.ย.2026 เพื่อสนับสนุนความมีเสถียรภาพของตลาด โดยการปรับเพิ่มรายเดือนสามารถที่จะหยุดหรือกลับรายการได้ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด ทั้งนี้ การประชุม ONOMM ครั้งที่ 39 จะจัดขึ้นในวันที่ 28 พ.ค.2025 (ที่มา: Reuters, Bloomberg)            มีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ โดยเรามองว่าการขยายเวลาการทยอยถอน voluntary production cuts ออกไปจะทำให้ผลกระทบจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นต่อตลาดน้ำมันโลกจำกัดมากขึ้น            อย่างไรก็ดี เชื่อว่าตลาดน้ำมันโลกยังมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะอุปทานล้นตลาด (oversupply) ในปี 2025E จากภาพรวมอุปสงค์การใช้น้ำมันที่ฟื้นตัวช้ากว่าอุปทานใหม่ที่เข้ามา (โดยเฉพาะจากกลุ่ม non-OPEC+) และเรายังเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวลง YoY ในปี 2025E โดยปัจจุบัน            สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยของเราอยู่ที่ USD80.0/bbl ในปี 2024E และ USD73.0/bbl ในปี 2025E ทั้งนี้เราเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะซื้อขายในกรอบ USD70/bbl-USD75/bbl สำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้            ยังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงาน และชอบหุ้นโรงกลั่นที่น่าจะเห็นการฟื้นตัว QoQ ของผลประกอบการใน 4Q24E            โดยชอบหุ้น SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท), TOP (ซื้อ/เป้า 55.00 บาท) และ BCP (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท)            ทั้งนี้ เชื่อว่าผลประกอบการของกลุ่มโรงกลั่นน่าจะผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้วใน 3Q24 และจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E หนุนโดย 1) การฟื้นตัวของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) และ 2) ผลขาดทุนสต๊อกน้ำมัน (stock loss) ที่เป็นไปได้ที่ลดลงตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่มีความผันผวนน้อยลง QoQ ใน 4Q24E

[ภาพข่าว] ไทยออยล์คว้ารางวัลเกียรติคุณ การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน Sustainability Disclosure Award

[ภาพข่าว] ไทยออยล์คว้ารางวัลเกียรติคุณ การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน Sustainability Disclosure Award

           หุ้นวิชั่น - เมื่อเร็วๆนี้ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัลเกียรติคุณการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน “Sustainability Disclosure Award” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 จากงานมอบรางวัลการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน ประจำปี 2567 จัดโดยสถาบันไทยพัฒน์ ณ ห้องออดิทอเรียม หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยมี คุณกรภัทร ลิมปพยอม ผู้จัดการฝ่ายกิจการองค์กรและความยั่งยืน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนในการรับมอบรางวัลจาก คุณวรณัฐ เพียรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ รางวัลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนต่อสาธารณะและผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ ไทยออยล์เป็นผู้ประกอบธุรกิจการโรงกลั่นนํ้ามันแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยมีธุรกิจหลักคือ การกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียม ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 275,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ ไทยออยล์มีระบบการบริหารจัดการที่มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ (Operational Excellence) โดยบริหารงานเป็นกลุ่มที่มีการเชื่อมโยงธุรกิจ ทั้งธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน โดยร่วมวางแผนการผลิตก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนต่ำ ขณะเดียวกันมีคุณภาพสูงในระดับโรงกลั่นชั้นนำ (Top quartile) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้ได้เปรียบเชิงต้นทุนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลากหลาย เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจสารทำละลาย ธุรกิจบริหารการขนส่ทางท่อ ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาด และธุรกิจ New S-Curve

TOP แจงโครงการ CFP โปร่งใส ย้ำความล่าช้าเกิดจากปัจจัยภายนอก

TOP แจงโครงการ CFP โปร่งใส ย้ำความล่าช้าเกิดจากปัจจัยภายนอก

          หุ้นวิชั่น - ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ระบุว่า นายชัชนัย ปานเพชร ผู้ถือหุ้นของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และประธานสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขอให้ตรวจสอบการกระทำของคณะกรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯ ว่าอาจมีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องหรือไม่ บริษัทฯ ขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้: 1. โครงการพลังงานสะอาด (“โครงการฯ”) เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในด้านการกลั่นน้ำมันและสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ โดยการลงทุนในโครงการฯ บริษัทฯ ได้นำเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาและอนุมัติเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2561 ในคราวนั้น บริษัทฯ ได้จัดให้มีความคิดเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเกี่ยวกับความสมเหตุสมผลและประโยชน์ของโครงการฯ เพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้ถือหุ้น ซึ่งที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติโครงการดังกล่าวด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 99.91 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่เข้าประชุมและออกเสียงลงคะแนน การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมของผู้ถือหุ้นในกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีผลสำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจของบริษัทฯ 2. ความล่าช้าของโครงการฯ เกิดจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้โครงการฯ เกิดความล่าช้าและต้องเจรจาแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมกับผู้รับเหมาหลัก ได้แก่ The Consortium of PSS Netherlands B.V. (Offshore Contractor) และ Unincorporated Joint Venture of Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd., Petrofac South East Asia Pte. Ltd., และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (เรียกรวมกันว่า “UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem”) นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ผู้รับเหมาช่วงบางรายได้ยุติการปฏิบัติงาน เนื่องจาก UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem ไม่ชำระเงินค่าจ้าง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ดำเนินการบริหารจัดการโครงการฯ อย่างดีที่สุด ทั้งด้านการเจรจาสัญญา การควบคุมต้นทุน และการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการฯ จะดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ขอให้ผู้ที่ได้รับข่าวสารใช้วิจารณญาณ บริษัทฯ ขอให้หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและความเสียหายต่อบริษัทฯ บริษัทฯ ขอยืนยันความมุ่งมั่นต่อการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและมีบรรษัทภิบาล พร้อมจะดำเนินการอย่างเต็มความสามารถเพื่อรักษาผลประโยชน์ของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น

TOP มองค่าการกลั่นปี68ฟื้นตัว ศึกษาธุรกิจใหม่ไบโอเจท-CCUS

TOP มองค่าการกลั่นปี68ฟื้นตัว ศึกษาธุรกิจใหม่ไบโอเจท-CCUS

         หุ้นวิชั่น - TOP หวังค่าการกลั่นฟื้นตัวในปี 2568 เร่งเครื่องโครงการพลังงานสะอาด (CFP) พร้อมขยายธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างความมั่นคงพลังงานไทยในระยะยาว ยังเดินหน้าศึกษาธุรกิจใหม่ๆ ร่วมกับ กลุ่ม ปตท. และพันธมิตรอื่นๆ เช่น Bio surfactant, Blue หรือ Green Hydrogen, น้ำมันอากาศยานชีวภาพ (Bio Jet),การดักจับ กักเก็บและใช้ประโยชน์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS)สร้างมูลค่าเพิ่มและขยายธุรกิจในระยะยาว           นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แม้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังคงมีความผันผวน แต่ยังคงมีปัจจัยบวกที่จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมพลังงานและโรงกลั่นในปี 2568 อยู่บ้าง โดยความต้องการน้ำมันอากาศยานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของเที่ยวบินพาณิชย์ โดยเฉพาะในเอเชียที่มีอัตราการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลงซึ่งไทยออยล์ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดประมาณ 50% รวมถึงอุปสงค์ของน้ำมันดีเซลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชีย ส่วนตลาดน้ำมันเบนซินแม้ความต้องการใช้ยังคงเติบโตแต่อาจจะได้รับแรงกดดันจากอุปทานของโรงกลั่นใหม่ที่จะเริ่มดำเนินการผลิตในปีหน้า ทำให้ค่าการกลั่นมีแนวโน้มฟื้นตัวได้บ้างในปี 2568 อย่างไรก็ตาม คาดว่ายังคงจะเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจโรงกลั่นในระยะยาว” ไทยออยล์พร้อมรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสในการเติบโตโดยกำหนดกลยุทธ์หลัก 4 ด้านในปี 2568 ประกอบด้วย • เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโรงกลั่น (Strengthen Refinery Business) และ เร่งเดินหน้าโครงการพลังงานสะอาด (CFP) : ไทยออยล์ให้ความสำคัญกับโครงการพลังงานสะอาดที่ถือเป็นกุญแจหลักในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับไทยออยล์ในระยะยาว รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการเพิ่มผลผลิต (Productivity Improvement) เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและควบคุมต้นทุน สำหรับความคืบหน้าโครงการ CFP มีความสำเร็จส่วนแรก คือ การทดลองเดินเครื่องจักรหน่วยกำจัดกำมะถันในน้ำมันดีเซล (HDS-4) ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพื่อรองรับการผลิตน้ำมันดีเซลมาตรฐาน Euro 5 ซึ่งสนับสนุนนโยบายการใช้น้ำมันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นของภาครัฐในต้นปี 2567 โครงการ CFP อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างหน่วยผลิตต่างๆ และได้นำเครื่องจักรหลักเข้ามาในพื้นที่ก่อสร้างเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา ทั้งนี้หน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 4 (CDU-4) มีความคืบหน้าไปมากกว่าส่วนงานอื่นๆ ในขณะที่หน่วย Residue Hydrocracking Unit (RHCU) ซึ่งเป็นหน่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยเปลี่ยนน้ำมันเตา และยางมะตอยให้เป็นน้ำมันอากาศยานและน้ำมันดีเซลนั้น อยู่ระหว่างเร่งติดตั้งอุปกรณ์เครื่องจักรและเชื่อมต่อระบบท่อต่างๆ โดยเป็นหน่วยผลิตที่มีความสลับซับซ้อนอยู่ในพื้นที่จำกัด จึงมีความคืบหน้าของงานน้อยกว่าหน่วยผลิตอื่น • ขยายห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain Extension): มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง สำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายช่องทางการจำหน่าย และขยายตลาดไปยังประเทศที่มีศักยภาพสูง เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อยอดธุรกิจสารเคมีในกลุ่มสารฆ่าหรือยับยั้งเชื้อโรคและสารลดแรงตึงผิว (Disinfectant & Surfactants: D+S) โดยมีบทบาทสำคัญในตลาดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อที่มีแนวโน้มเติบโตสูง นอกจากนี้ ภายใต้แนวทางการดำเนินงาน TOP for The Great Future ไทยออยล์ยังเดินหน้าศึกษาธุรกิจใหม่ๆ ร่วมกับ กลุ่ม ปตท. และพันธมิตรอื่นๆ เช่น Bio surfactant, Blue หรือ Green Hydrogen, น้ำมันอากาศยานชีวภาพ (Bio Jet),การดักจับ กักเก็บ และใช้ประโยชน์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) • เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน (Financial Strength): ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการบริหารความเสี่ยงด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน และรักษาอันดับความน่าเชื่อถือให้อยู่ในระดับน่าลงทุน ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน • ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน (Drive for Sustainability): มุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การสร้างคุณค่าให้กับสังคมและชุมชน ผ่านโครงการต่างๆ เช่น การส่งเสริมการศึกษา การสร้างอาชีพ และการเข้าถึงสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล           นายบัณฑิต กล่าวเสริมว่า “เรามั่นใจว่ากลยุทธ์ทั้ง 4 ด้านนี้จะช่วยให้ไทยออยล์สามารถรับมือกับความท้าทายและบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว พร้อมสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมให้กับผู้ถือหุ้น และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย” ทั้งนี้ ไทยออยล์มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ในปัจจุบันที่กลุ่มบริษัทผู้รับเหมาช่วงของ UJV - Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. (“Samsung”), Petrofac South East Asia Pte. Ltd. (“Petrofac”) และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (“Saipem”) ได้ลงมติจะไม่ดำเนินงานก่อสร้างโครงการ CFP หาก UJV– Samsung, Petrofac และ Saipem ไม่ชำระหนี้ค้างชำระทั้งหมด ซึ่งไทยออยล์ตระหนักถึงความเดือดร้อนของผู้รับเหมาช่วงที่ไม่ได้รับเงินดังกล่าว โดยไทยออยล์ได้มีการทำหนังสือเร่งรัดให้ UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem ตลอดจนบริษัทแม่ของ UJV– Samsung, Petrofac และ Saipem ชำระค่าตอบแทนค้างจ่ายให้แก่บริษัทผู้รับเหมาช่วงมาโดยตลอด เพราะเป็นหน้าที่ตามเงื่อนไขของสัญญารับเหมาช่วง จากกรณีดังกล่าว ไทยออยล์และผู้รับเหมาช่วง ต่างเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการไม่ทำตามสัญญาของ UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem ดังนั้น การเร่งบริหารจัดการโครงการ CFP จึงเป็นเป้าหมายหลักและเร่งด่วน ที่ไทยออยล์มุ่งมั่นในการดำเนินการก่อสร้างโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยได้ติดตามความคืบหน้าเหตุการณ์ล่าสุดอย่างใกล้ชิด และได้ประเมินผลกระทบทั้งด้านแผนงานของโครงการ (Project Timeline) ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น และผลกระทบต่อระบบนิเวศทางธุรกิจ รวมทั้งเร่งดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับไทยออยล์ ตลอดจนเตรียมแนวทางดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อผลักดันการเดินหน้าโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จอย่างละเอียดรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของไทยออยล์และผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ ซึ่งปัจจุบัน คาดว่าจะมีความ ชัดเจนในช่วงต้นปี 2568 ถึงแม้ว่า สถานการณ์การเรียกร้องค่าตอบแทนค้างจ่ายของผู้รับเหมาช่วงจาก UJV– Samsung, Petrofac และ Saipem จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการ CFP ให้ล่าช้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้โครงการ CFP จะต้องเลื่อนเปิดดำเนินการออกไปอย่างไม่มีกำหนดแต่อย่างใด แม้จะยังคงมีอุปสรรคและความท้าทายอีกมาก ไทยออยล์ยังมุ่งมั่นที่จะเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

TOP ได้ CGR ระดับ

TOP ได้ CGR ระดับ "ดีเลิศ" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16

          หุ้นวิชั่น – บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ “ดีเลิศ” (Excellent CGR Rating) หรือ 5 ตราสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 16 และเป็นหนึ่งใน TOP QUARTILE ของบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าทางการตลาดไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท ในงานประกาศผลสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทย (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies: CGR) ประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 ซึ่งจัดโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ที่ได้รับการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คะแนนการประเมินนี้สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจของไทยออยล์ที่ให้ความสำคัญด้าน การกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างต่อเนื่อง คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตามแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแนวคิด ESG (Environment, Social and Governance) สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ควบคู่ไปกับการมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สำหรับบรรณาธิการ ไทยออยล์เป็นผู้ประกอบธุรกิจการโรงกลั่นนํ้ามันแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยมีธุรกิจหลักคือ การกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียม ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 275,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ ไทยออยล์มีระบบการบริหารจัดการที่มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ (Operational Excellence) โดยบริหารงานเป็นกลุ่มที่มีการเชื่อมโยงธุรกิจ ทั้งธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน โดยร่วมวางแผนการผลิตก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนต่ำ ขณะเดียวกันมีคุณภาพสูงในระดับโรงกลั่นชั้นนำ (Top quartile) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้ได้เปรียบเชิงต้นทุนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลากหลาย เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจสารทำละลาย ธุรกิจบริหารการขนส่ทางท่อ ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาด และธุรกิจ New S-Curve

TOP ไตรมาส4 ฟื้นชัด ดีล CFP ไม่กระทบ

TOP ไตรมาส4 ฟื้นชัด ดีล CFP ไม่กระทบ

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ TOP “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายที่ 55.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (ประมาณ -1.5SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) เรามีมุมมองเป็นกลางหลังเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์ โดยแม้ว่าสถานการณ์ผู้รับเหมาของ Clean Fuel Project (CFP) ยังคงมีความไม่ชัดเจนอยู่ แต่เรายังคงมุมมองว่าจุดต่ำสุดของปีนี้น่าจะผ่านไปแล้วและบริษัทน่าจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E หนุนโดยการฟื้นตัวของค่าการกลั่นตลาด (market GRM) และผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss including NRV) ที่ลดลง สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2025E TOP คาดว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวจากอุปทานที่สูงขึ้น (หลักๆจากกลุ่มประเทศ Non-OPEC+) เร็วกว่าอัตราการเติบโตของอุปสงค์ ขณะที่ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) น่าจะฟื้นตัวได้เล็กน้อยจากอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์น้ํามันสําเร็จรูปกึ่งหนักกึ่งเบา (middle distillate) ที่สูงขึ้นตามอุปสงค์การท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E/2025E ที่ 9.7/11.6 พันล้านบาท ลดลงจาก 1.94 หมื่นล้านบาทในปี 2023 โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ คือ 1) Market GRM จะอยู่ในช่วงที่ลดลงที่ USD4.8/bbl-USD5.6/bbl จาก USD8.5/bbl จากการกลับสู่ระดับปกติมากขึ้นของ crack spread 2) อัตราการใช้กำลังการกลั่น (refinery run rate) จะอยู่ที่ 110% เทียบกับ 112% ในปี 2023 และ 3) Stock loss (including NRV) จะอยู่ระหว่าง -6.3 พันล้านบาทถึง -3.8 พันล้านบาท เทียบกับ -932 ล้านบาทในปี 2023 ราคาหุ้นปรับตัวลง 21% และ underperform SET 26% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สอดคล้องกับแนวโน้ม crack spread ที่อ่อนแอตามภาพรวมอุปสงค์การใช้น้ำมันโลก (โดยเฉพาะจีน) ทั้งนี้ ราคาปิดล่าสุดสะท้อน valuation ที่น่าดึงดูดที่ 2025E PBV 0.52x (ประมาณ -2.0SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) เราเชื่อว่าบริษัทจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E หลักๆจาก market GRM ที่ฟื้นตัวและ stock loss ที่ต่ำลง ในขณะที่ ประเด็นของ CFP น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในต้นปี 2025E

[ภาพข่าว] CEO ไทยออยล์ คว้ารางวัล CEO of the Year 2024 in Transformation Excellence

[ภาพข่าว] CEO ไทยออยล์ คว้ารางวัล CEO of the Year 2024 in Transformation Excellence

           เมื่อเร็วๆ นี้ คุณบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัล Bangkok Post CEO of the Year 2024 ในด้าน CEO of the Year in Transformation Excellence จัดขึ้นโดยหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ณ ห้องเวิร์ลบอลรูม โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอทเซ็นทรัลเวิร์ล กรุงเทพฯ โดยมีคุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้เกียรติมอบรางวัลในครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มุ่งพาองค์กรสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่ด้วยการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ รองรับและตอบสนองเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก มีแผนกลยุทธ์และแผนธุรกิจที่ชัดเจน พร้อมปรับเปลี่ยนตามปัจจัยภายในและภายนอกองค์กรให้มีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญในการสร้างเสริมศักยภาพของพนักงานทุกด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าไทยออยล์จะเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน สู่การเป็นองค์กร 100 ปี ต่อไป

วิเคราะห์หุ้นโรงกลั่น TOP มีสัญญาณยังไง?

วิเคราะห์หุ้นโรงกลั่น TOP มีสัญญาณยังไง?

           หุ้นวิชั่น- ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า จากข้อมูลของ Bloomberg แสดงให้เห็นว่า crack spread ของน้ำมันเตาที่มีกำมะถันสูง (HSFO) ในเอเชีย เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดมาที่ 0.8 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรลในเดือนต.ค.67 จาก -6 เหรียญ สหรัฐฯ/บาร์เรลในเดือนก.ย. 67 และ -5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 3/67 เพราะมีปัจจัยหนุนจากการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ซึ่งตารางส่วนใหญ่อยู่ช่วงเดือนต.ค. รวมถึงอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นขนาดเล็กในจีน            ขณะที่ข้อมูลของ S&P Platts ระบุว่า รัฐบาลจีนอาจปรับอัตราภาษีการบริโภคของน้ำมันเตาและบิทูเมน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาระภาษีของโรงกลั่นขนาดเล็กและส่งผลให้โรงกลั่นเหล่านี้ เร่งเติมสต๊อก HSFO ก่อนจะมีการปรับอัตราภาษี จึงเชื่อว่า crack spread ของ HSFO อาจลดลงหลังสิ้นสุดฤดูปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในเดือนพ.ย.-ธ.ค.67 แต่น่าจะยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในงวด 9 เดือนแรกของปี 67 ที่ -6.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล            ตามข้อมูลของ S&P Platts ภูมิภาคเอเชียมีความต้องการน้ำมันอากาศยานเพิ่มขึ้น 330k บาร์เรล/วันในไตรมาส 4/67 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะมีอุปสงค์เพิ่มขึ้นจากจีน (ทั้งเที่ยวบินในประเทศและเที่ยวบินระหว่างประเทศ) และประเทศในกลุ่มอาเซียน เมื่อรวมกับอุปสงค์จากการเติมสต๊อกก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว crack spread ของน้ำมันอากาศยานในเอเชียจะฟื้นตัวมาอยู่ที่ 13.0 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนต.ค.67 จาก 10.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนก.ย. 67            ขณะเดียวกัน แนฟทาในเอเชียอยู่ที่ -2.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนต.ค.หรือดีขึ้นจาก -6.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 3/67 เนื่องจาก Naphtha cracker มีอัตราการผลิตสูงขึ้นเมื่อกลับมาเปิดหลังหยุดซ่อมบำรุง            นอกจากนี้ crack spread ของน้ำมันดีเซลในเอเชียยังเพิ่มขึ้นจาก 10.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนก.ย.67 เป็น 13.0 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนต.ค.หรือช่วงที่โรงกลั่นปิดซ่อมบำรุงมากที่สุด อย่างไรก็ตาม เล็งเห็น downside risk จากอุปสงค์ที่เติบโตจำกัดในจีน หลังยอดขายรถบรรทุก LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) ในประเทศนี้พุ่งสูงขึ้น            ขณะที่คาดว่า crack spread ของน้ำมันเบนซินในเอเชียจะทรงตัวที่ประมาณ 10-11 เหรียญสหรัฐ/ บาร์เรลในไตรมาส 4/67 ก่อนจะลดลงช่วงต้นปี 68 เมื่อหน่วย RFCC (residue catalytic cracking unit) ของ Dangote เริ่มผลิตน้ำมันเบนซิน            ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่า แรงหนุนจาก crack spread ของ HSFO และแนฟทาจะทำให้ค่าการกลั่นตลาด (GRM) ของ SPRC เพิ่มขึ้นจาก 3.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 3/67 เป็น 4.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนต.ค.67 และแม้ว่า PTTGC และ BCP จะมีการผลิต HSFO และแนฟทาไม่มากนัก แต่เชื่อว่า GRM ของทั้งสองบริษัทอาจได้แรงหนุนจากน้ำมันเตาที่มีกำมะถันต่ำ (LSFO) เนื่องจากเชื้อเพลิงเรือเป็นที่ต้องการมากขึ้น (การขนส่ง สินค้าทางทะเลมีระยะทางไกลขึ้น จากปัญหาคอขวดด้านโลจิสติกส์ในตะวันออกกลาง) และโรงกลั่น Dangote มีการส่งออกลดลง นอกจากนี้ หากส่วนต่างระหว่างน้ำมันดีเซลและHSFO หดแคบลงต่อเนื่องถึงปี 68 โครงการพลังงานสะอาด (CFP) จะมีขาดทุนสุทธิถ้า TOP ตัดสินใจเปิด complex แห่งนี้            ยังแนะนำ Neutral กลุ่มโรงกลั่น เพราะเชื่อว่าค่าการกลั่นตลาดจะอยู่ในระดับช่วงกลางวงจรที่ 5-6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปี 68 ขณะที่มองว่า upside risk จะมาจากอุปสงค์ของน้ำมันดีเซลในตลาดโลก และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าคาด ส่วน downside risk จะมาจากขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันที่สูงกว่าคาดและกำลังการผลิตที่เพิ่มเข้ามาในตลาด

TOP ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จับตา Q4 พลิกกำไร

TOP ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จับตา Q4 พลิกกำไร

            หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ ระบุว่า ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” TOP ที่ราคาเป้าหมายที่ 55.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (ประมาณ -1.5SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) TOP รายงานขาดทุนสุทธิ 3Q24 ที่ 4.2 พันล้านบาท เทียบกับ กำไร 10.8 พันล้านบาทใน 3Q23 และกำไร 5.5 พันล้านบาทใน 2Q24 สอดคล้องกับที่ consensus คาดแต่ต่ำกว่าคาด             ทั้งนี้ ผลขาดทุนในไตรมาสนี้หลักๆเกิดจากการรับรู้ผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss including NRV) ก้อนใหญ่และค่าการกลั่นตลาด (market GRM) ที่ยังคงอ่อนแอ             อย่างไรก็ดี เชื่อว่าไตรมาสนี้จะเป็นจุดต่ำสุดของปีแล้วและบริษัทจะสามารถกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E หนุนโดยการฟื้นตัวของ market GRM และ stock loss ที่ลดลง             ทั้งนี้ ยังคงมุมมองเชิงอนุรักษ์นิยมว่าบริษัทอาจจะเห็นความเสี่ยงที่เป็นไปได้ที่โครงการพลังงานสะอาด (CFP) อาจจะมีการรับรู้ต้นทุนบานปลายเพิ่มเติมจากสถานการณ์ปัญหาการเงินของบริษัทผู้รับเหมาช่วงที่ยังคงดำเนินอยู่             คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E/2025E ที่ 9.7/11.6 พันล้านบาท ลดลงจาก 1.94 หมื่นล้านบาทในปี 2023 โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ คือ 1) Market GRM จะอยู่ในช่วงที่ลดลงที่ USD4.8/bbl-USD5.6/bbl จาก USD8.5/bbl จากการกลับสู่ระดับปกติมากขึ้นของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) 2) อัตราการใช้กำลังการกลั่น (refinery run rate) จะอยู่ที่ 110% เทียบกับ 112% ในปี 2023 และ 3) Stock loss (including NRV) จะอยู่ระหว่าง -6.3 พันล้านบาทถึง -3.8 พันล้านบาท เทียบกับ -932 ล้านบาทในปี 2023 ราคาหุ้นปรับตัวลง 19% และ underperform SET 26% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สอดคล้องกับแนวโน้ม crack spread ที่อ่อนแอตามภาพรวมอุปสงค์การใช้น้ำมันโลก (โดยเฉพาะจีน) ที่ยังคงเปราะบาง             ทั้งนี้ ราคาปิดล่าสุดสะท้อน valuation ที่น่าดึงดูดที่ 2025E PBV 0.54x (ประมาณ -1.9SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) กำไรสุทธิ 9M24 คิดเป็น 74% ของประมาณการทั้งปี 2024E ของเรา             ทั้งนี้ เชื่อว่าบริษัทจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ใน 4Q24E หลักๆจาก market GRM ที่ฟื้นตัวและ stock loss ที่ต่ำลง

TOP ธุรกิจโรงกลั่นไตรมาส 4/67 ฟื้นตัว น้ำมันเครื่องบินดีมานด์ดี

TOP ธุรกิจโรงกลั่นไตรมาส 4/67 ฟื้นตัว น้ำมันเครื่องบินดีมานด์ดี

           นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต CEO ไทยออยล์ เผยแนวโน้มธุรกิจโรงกลั่นในไตรมาส 4 มีสัญญาณฟื้นตัวจากความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในฤดูหนาวและการท่องเที่ยวที่เติบโต น้ำมันอากาศยานดีขึ้น เตรียมแผนเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจพลังงานสะอาดและโอกาสในธุรกิจใหม่            นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันในไตรมาสที่ 4 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากไตรมาส 3/2567 โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันในช่วงฤดูหนาว รวมถึงการเติบโตของภาคการท่องเที่ยว  ในขณะที่ปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปคงคลังปรับลดลงจากไตรมาสที่ 3 ส่งผลให้ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานกับราคาน้ำมันดิบดูไบมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น สำหรับปี 2568 ถึงแม้ว่าอุปสงค์น้ำมันสำเร็จรูปจะเพิ่มขึ้น แต่อุปทานจากโรงกลั่นน้ำมันใหม่ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งจากในประเทศจีน และเม็กซิโก ที่จะทยอยเปิดดำเนินการในปีนี้และปีหน้า   ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าการกลั่นปรับเพิ่มขึ้นในระดับจำกัด            ในส่วนน้ำมันอากาศยานถือปรับตัวดีขึ้นเพราะยังมีกิจกรรมการบินอยู่ต่อเนื่อง แต่อาจจะยังไม่ถือว่ากลับมาในระดับปกติเพราะปริมาณเที่ยวบินก็ยังไม่กลับมาเทียบเท่าช่วงก่อนโควิด ทั้งนี้ปัจจุบัน ไทยออยล์ มีการผลิตน้ำมันอากาศยานกว่า 18%            อย่างไรก็ดี ไทยออยล์จะติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทาง  การแข่งขันในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการเร่งรัดการก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาดให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ตลอดจนแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ Megatrends เพื่อมุ่งเติบโตเป็นองค์กร 100 ปี อย่างมั่นคง ภายใต้วิสัยทัศน์ สร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน            ส่วนไตรมาส 3/2567 กลุ่มไทยออยล์ขาดทุนสุทธิ 4,218 ล้านบาท สาเหตุจากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลกับราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันช่วงฤดูกาลขับขี่ในประเทศสหรัฐอเมริกา (สหรัฐฯ) ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และมีอุปทานเพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นน้ำมันใหม่ ทำให้ระดับน้ำมันสำเร็จรูปคงคลังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และประเทศจีนยังคงอ่อนแอ ในส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์ปรับตัวลดลงเช่นกันจากส่วนต่างราคาสารพาราไซลีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ที่ปรับลดลงจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจภายในประเทศจีนที่ยังคงเปราะบาง นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์     ทำความสะอาดปรับลดลงเล็กน้อยจากอุปสงค์ที่ถูกกดดันในช่วงฤดูมรสุมในประเทศอินเดีย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่ธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนราคาน้ำมันเตาที่ลดลง            ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 3/2567 ปรับลดลงจากราคาเฉลี่ยในไตรมาส 2/2567 จากตัวเลขการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศจีนต่ำกว่าคาดการณ์ รวมถึงการหดตัวของภาคการผลิต (PMI) ในประเทศสหรัฐฯ และจีน ทำให้อุปสงค์น้ำมันโลกเติบโตในระดับจำกัด ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 5,380 ล้านบาท หรือ 5.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลง 7.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลจากไตรมาส 2 ของปี 2567            ส่วนโครงการ CFP ปัจจุบันการดำเนินงานของโครงการ CFP ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยอุปกรณ์ เครื่องจักร โครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่ที่สำคัญได้ถูกนำเข้ามาในพื้นที่ก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการเร่งประกอบติดตั้งในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เริ่มทดลองเดินเครื่องจักรของหน่วยกำจัดสารกำมะถันในน้ำมันดีเซลหน่วยใหม่ (Hydrodesulfurization; HDS-4) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งการดำเนินงานของหน่วย HDS-4 เร็วกว่าแผนงาน เพื่อรองรับการผลิตน้ำมันมาตรฐาน Euro 5 ที่มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศในปี 2567 ในส่วนของหน่วยผลิตอื่นๆ อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการเพื่อให้เริ่มทยอยทดลองเดินเครื่องจักรได้ต่อไป

[ภาพข่าว] ไทยออยล์รับรางวัล Sustainability Excellence จากเวที SET Awards 2024

[ภาพข่าว] ไทยออยล์รับรางวัล Sustainability Excellence จากเวที SET Awards 2024

              เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) โดย คุณกรภัทร ลิมปพยอม ผู้จัดการ ฝ่ายกิจการองค์กรและความยั่งยืน รับมอบรางวัล SET Awards ประจำปี 2024 ในกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence ประเภท Commended Sustainability Awards จาก ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในพิธีประกาศผลและมอบรางวัล SET Awards ประจำปี 2024 จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย               รางวัลดังกล่าวมอบให้กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจตาม            แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้าน มีการเติบโตด้านเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไทยออยล์              ที่นอกจากให้ความสำคัญต่อการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันแล้ว ยังได้กำหนด       กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG: Environment, Social, and Governance) เพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังและการสร้างคุุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ตามวิสัยทัศน์องค์กรในการ “สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงาน และเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน”

TOP เร่งแก้ปมรับเหมาช่วง พร้อมไปต่อโครงการ CFP

TOP เร่งแก้ปมรับเหมาช่วง พร้อมไปต่อโครงการ CFP

          การก่อสร้างโครงการ Clean Fuel Project (CFP) ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)หรือ TOP หลังจากที่มีการรวมตัวกันของผู้รับเหมาช่วงของโครงการ ในการเรียกร้องค่าตอบแทนค้างจ่ายจากผู้รับเหมาหลัก UJV ซึ่งประกอบด้วย Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd., Petrofac South East Asia Pte. Ltd., และ Saipem Singapore Pte. Ltd. แม้ไทยออยล์จะจ่ายค่าตอบแทนให้ UJV ครบถ้วนตามสัญญา แต่ผู้รับเหมาหลักกลับไม่สามารถจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้รับเหมาช่วงได้ตามกำหนด สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้รับเหมาช่วงไทยและเป็นประเด็นร้อนที่สาธารณชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ           ที่ผ่านมา ไทยออยล์แจงสถานะจ่ายค่าตอบแทนครบ แต่ UJV ค้างจ่ายผู้รับเหมาช่วง ไทยออยล์เปิดเผยว่า ได้จ่ายค่าตอบแทนให้ UJV ครบถ้วนตามสัญญา EPC แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อ UJV ไม่สามารถจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้รับเหมาช่วงได้ตามกำหนด โดยอ้างเหตุผลขาดสภาพคล่อง แม้ไทยออยล์จะพยายามผลักดันให้ UJV ชำระค่าจ้างตามสัญญาด้วยแนวทางต่าง ๆ แต่ข้อจำกัดทางสัญญาทำให้ไทยออยล์ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงหรือจัดการการจ่ายค่าจ้างค้างระหว่าง UJV และผู้รับเหมาช่วงได้โดยตรง           ในด้าน กิจการร่วมค้า (UJV) ประกอบด้วย Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd., Petrofac South East Asia Pte. Ltd., และ Saipem Singapore Pte. Ltd.  ทั้ง 3 บริษัท มีบริษัท แม่ เป็นระดับ international ซึ่งเมื่อดูงบการเงินของบริษัทแม่ของแต่ละบริษัทแล้วมีเงินสดเป็นจำนวนมาก ดังนั้น บริษัทแม่แต่ละบริษัท นั้นมีความสามารถที่จะต้องส่งเงินเข้ามาช่วยบริษัทลูกให้ทำโครงการ CFP ต่อไปได้ ซึ่งก็ต้องติดตามต่อไป ว่าบริษัทแม่จะดำเนินการอย่างไร ในการแก้สถานการณ์ดังกล่าว           ด้านล่าสุด ผู้รับเหมาช่วงแม้ว่าจะไม่มีการชุมนุมแล้วในขณะนี้ แต่ได้มีการ แถลงข่าววันที่ 15 ตุลาคม 2567 ในนาม “สหพันธ์ผู้รับเหมาโรงกลั่น TOP, โครงการ CFP ศรีราชา” (“สหพันธ์”)และได้ชุมนุมหน้าโรงกลั่นฯหลายพันคนในวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ประกอบด้วย  16 บริษัทผู้รับเหมาช่วง  ระบุ UJV ผู้รับเหมาหลัก ค้างจ่ายค่าตอบแทน นานครึ่งปีรวมเป็นเงินหลายพันล้านบาท จนขาดสภาพคล่องและอาจต้องลอยแพแรงงาน 20,000 ชีวิต และจะกระทบต่อ โครงการ  CFP ให้ล่าช้า สำหรับ รายชื่อผู้รับเหมาช่วง 16 บริษัทที่ได้รับความเดือดร้อนและลงชื่อขอความช่วยเหลือประกอบด้วยCAZ (Thailand) PCL [CAZ] CHART Karnchang Laemchabang Co.,Ltd. [CKC] CMG Engineering and Construction Co.,Ltd. [CMG] Firstcon Construction Co.,Ltd. [FSC] IETL Co.,Ltd. [IETL] Italthai Engineering Co.,Ltd. [ITE] Logthai-Hai Leck Engineering [LTHL] Raikothong Construction & Service Co.,Ltd. [RCS] Rayong Maintenance and Contracting [RMC] Sriracha Construction PLC. [SCC] The Seaboard D&C Co.,Ltd. [SBD] Sino-Thai Engineering & Construction PCL. [STECON] SWOT Construction Co.,Ltd. [SWOT] Thai Jurong Engineering Limited [TJEL] THAI ROTARY ENGINEERING PLC. [TREL] V.A.P Service(1997) co.,Ltd. [VAP]           ในส่วนของ ไทยออยล์ ที่ผ่านมาก็ได้ออกมายืนยัน การดำเนินโครงการ CFP แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด โดยให้ความสำคัญต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และจะเร่งผลักดันให้ UJV ชำระค่าตอบแทนค้างจ่ายกับผู้รับเหมาช่วงตามสัญญาระหว่าง UJV กับผู้รับเหมาช่วงแต่ละรายต่อไป อย่างไรก็ดีต้องติดตามการ UJV และบริษัทแม่ จะดำเนินการอย่างไร           ทั้งนี้ โครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) เป็นโครงการพัฒนาพลังงานด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง (Complex Refinery) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการกลั่นน้ำมันและสร้างเสถียรภาพด้านพลังงานให้กับประเทศ โดยใช้งบลงทุนกว่า 4,825 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  โดย CFP มีเป้าหมายเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันจาก 275,000 บาร์เรลต่อวันเป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน เพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการกลั่นน้ำมันหนักได้ถึง 40-50% และผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม           โครงการนี้เริ่มศึกษาความเป็นไปได้ในปี 2557 และดำเนินการออกแบบในปี 2558-2559 โดยในปี 2561 ได้ว่าจ้างบริษัท 3 แห่ง คือ Petrofac, Samsung Engineering และ Saipem ดำเนินการก่อสร้างภายใต้ชื่อ "The Consortium"

TOP ยันโครงการ CFP เดินหน้าต่อ เร่งเงินค้างจ่ายผู้รับเหมาช่วง

TOP ยันโครงการ CFP เดินหน้าต่อ เร่งเงินค้างจ่ายผู้รับเหมาช่วง

          หุ้นวิชั่น - จากกรณีที่มีการรายงานข่าวปรากฏบนสื่อบางสื่อเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 ว่า การรวมตัวชุมนุมเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ของ “สหพันธ์ผู้รับเหมาโรงกลั่น TOP, โครงการ CFP ศรีราชา” (“สหพันธ์”) บริเวณหน้าโรงกลั่นไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี “ส่งผลให้โครงการ CFP ต้องเลื่อนเปิดดำเนินการออกไปอย่างไม่มีกำหนด” และได้มีการรายงานข่าวบนสื่อออนไลน์ว่า บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (“ไทยออยล์”) หรือ TOP ได้จัดจ้างผู้รับเหมาหลัก คือ กิจการร่วมค้าระหว่าง Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd., Petrofac South East Asia Pte. Ltd. แ ละ Saipem Singapore Pte. Ltd. (เรียกรวมกันว่า “UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem”) ที่มีปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างมากในการดำเนินงานโครงการ CFP จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาการจ่ายเงินค่าตอบแทนล่าช้าให้กับผู้รับเหมาช่วงนั้น ไทยออยล์ ขอชี้แจงว่า โครงการ CFP เป็นโครงการขยายโรงกลั่นน้ำมันที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Complex Refinery) เพิ่มขีดความสามารถในด้านการกลั่นน้ำมันและสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ ซึ่งเป็นการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนจำนวนมาก จึงมีความจำเป็นต้องจัดจ้างบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีบริษัทใดที่สามารถดำเนินการได้ ไทยออยล์ได้เริ่มทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ CFP มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 โดยเริ่มการออกแบบกระบวนการผลิตและออกแบบทางวิศวกรรมเบื้องต้น ในปี พ.ศ. 2558-2559 เพื่อให้ได้ข้อมูลเพียงพอในการออกหนังสือเชิญประกวดราคาผู้รับจ้างเหมาท าของ ออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (EPC: Engineering, Procurement and Construction) โครงการ CFP และในปี พ.ศ. 2559           ไทยออยล์ได้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมการประกวดราคา ตามกระบวนการจัดจ้างที่โปร่งใส สอดคล้องตามหลักบรรษัทภิบาล โดยมีหลักเกณฑ์ที่มีมาตรฐาน เช่น การวิเคราะห์งบการเงิน อัตราส่วนทางการเงิน ประสบการณ์ เป็นต้น ซึ่งปรากฏว่า บริษัท 1. Petrofac International (UAE) LLC, 2. Samsung Engineering Co., Ltd., และ 3. Saipem S.P.A. ได้รับการคัดเลือกและได้ทำสัญญาจ้าง EPC ดังกล่าวกับไทยออยล์ ในปี พ.ศ. 2561 ในนามของ The Consortium ประกอบด้วย PSS Netherlands B.V., (Offshore Contractor) และ UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem (Onshore Contractor) โดยบริษัทแม่ของ The Consortium (PSS Netherlands B.V., (Offshore Contractor) และ UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem (Onshore Contractor)) คือ 1. Petrofac Limited 2. Samsung Engineering Co., Ltd. และ 3. Saipem S.P.A. (“บริษัทแม่”) ได้ออกหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของ The Consortium ทั้งหมด           ไทยออยล์ ได้ทราบข่าวมาจากผู้รับเหมาช่วงบางรายในช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. 2567 ว่า UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem ไม่จ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับบริษัทผู้รับเหมาช่วงบางรายตามกำหนด โดย UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem อ้างว่าขาดสภาพคล่องในการดำเนินงาน ทั้งๆ ที่ไทยออยล์ได้มีการจ่ายค่าตอบแทนให้กับ UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem อย่างครบถ้วนมาโดยตลอด และยังมีบริษัทแม่ที่สามารถให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem ได้           ไทยออยล์ ขอชี้แจงว่า การที่สหพันธ์รวมตัวชุมนุมบริเวณหน้าโรงกลั่นไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของไทยออยล์ ในบริเวณดังกล่าว แต่มิได้ส่งผลให้โครงการ CFP ต้องเลื่อนเปิดดำเนินการออกไปอย่างไม่มีกำหนดดังที่สื่อบางรายได้มีการรายงานข่าวแต่อย่างใด           ไทยออยล์ ขอยืนยันว่า ไทยออยล์ ได้มีการจ่ายค่าตอบแทนให้กับ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา EPC อย่างครบถ้วนถูกต้องมาอย่างต่อเนื่อง แต่ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ยังไม่จ่ายค่าตอบแทนค้างจ่ายให้กับบริษัทผู้รับเหมาช่วง           อย่างไรก็ดี ไทยออยล์ตระหนักถึงความเดือดร้อนของสหพันธ์จากการไม่ได้รับค่าตอบแทนค้างจ่าย จาก UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ซึ่งไทยออยล์ ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการผลักดันให้ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ชำระค่าตอบแทนค้างจ่ายกับผู้รับเหมาช่วงตามสัญญาระหว่าง UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem กับผู้รับเหมาช่วงแต่ละรายมาโดยตลอด เช่น การยินยอมให้ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem เรียกเก็บเงินค่าตอบแทนจากไทยออยล์ตามความสำเร็จของงานที่เกิดขึ้นจริง แทนการจ่ายตามการส่งมอบงานเมื่อแล้วเสร็จในแต่ละส่วนตามแผนงานที่ระบุไว้ในสัญญา ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2563 ถึงต้นปี พ.ศ. 2567 รวมถึงการจ่ายค่าจ้างให้เร็วที่สุดภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา เพื่อสนับสนุนสภาพคล่องทางการเงินตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2565 ถึงกลางปี พ.ศ. 2567           นอกจากนี้ ไทยออยล์ได้หารือและเรียกร้องให้ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ยินยอมให้ไทยออยล์หักค่าตอบแทนตามสัญญา EPC ตามมูลค่าที่ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem มีสิทธิ์จะได้รับจากไทยออยล์ตามงวดงาน เพื่อชำระให้กับผู้รับเหมาช่วงโดยตรง แต่ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ยังไม่ให้ความยินยอม           อย่างไรก็ตาม การให้ความช่วยเหลือต่อผู้รับเหมาช่วง ไทยออยล์ยังคงต้องคำนึงถึงว่า ไทยออยล์ มิได้เป็นคู่สัญญากับผู้รับเหมาช่วงโดยตรง จึงไม่สามารถก้าวล่วงดำเนินการใดๆ ในสัญญาระหว่างผู้รับเหมาช่วงและ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ได้ รวมถึง UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ยังได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรแจ้งไม่ให้ไทยออยล์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับสัญญาระหว่าง UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem กับผู้รับเหมาช่วง           ไทยออยล์ ขอยืนยันว่า ไทยออยล์มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยยึดมั่นตามหลักบรรษัทภิบาล และมุ่งหวังให้การดำเนินโครงการ CFP แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด โดยให้ความสำคัญต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และไทยออยล์จะ ดำเนินการผลักดันให้ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ชำระค่าตอบแทนค้างจ่ายกับผู้รับเหมาช่วงตามสัญญาระหว่าง UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem กับผู้รับเหมาช่วงแต่ละรายต่อไป

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456