ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#TokenX


Bitcoin Strategic Reserve จะเปลี่ยนโฉมระบบการเงินโลกอย่างไร? [HoonVision x TokenX]

Bitcoin Strategic Reserve จะเปลี่ยนโฉมระบบการเงินโลกอย่างไร? [HoonVision x TokenX]

          Crypto Summit และการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve           หุ้นวิชั่น - เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2025 ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve หรือ คลังสำรองยุทธศาสตร์บิตคอยน์ ของรัฐบาลสหรัฐฯ และวันที่ 7 มีนาคม 2025 หลังจาก Bitcoin Strategic Reserve เพียง 1 วัน ได้จัดงานประชุม Crypto Summit ขึ้นที่ทำเนียบขาว ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการประกาศแผนยุทธศาสตร์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลของสหรัฐฯ การตัดสินใจครั้งนี้นับเป็นหมุดหมายที่น่าสนใจ เพราะถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลสหรัฐฯ รับรองบิตคอยน์ให้เป็นหนึ่งในทรัพย์สินสำรองของประเทศอย่างเป็นทางการ           Crypto Summit ที่จัดขึ้นโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ได้เชิญผู้นำในอุตสาหกรรมคริปโตเข้าร่วม เช่น ไมเคิล เซย์เลอร์ (MicroStrategy), ไบรอัน อาร์มสตรอง (Coinbase), แบรด การ์ลิ่งเฮาส์ (Ripple) และคนในวงการคริปโตอีกหลายคน ในวันนั้นเอง ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศนโยบายสำคัญคือ การจัดตั้งคลังสำรองยุทธศาสตร์บิตคอยน์ (Bitcoin Strategic Reserve) โดยออกคำสั่งพิเศษ (Executive Order) ให้รัฐบาลรวบรวมบิตคอยน์ที่มีอยู่ในความครอบครองของรัฐเข้าคลังสำรองนี้ บิตคอยน์ที่นำมาใช้จะมาจากเหรียญที่รัฐบาลได้ยึดมาจากคดีความต่าง ๆ (เช่น คดีอาญาหรือแพ่ง) โดย ไม่ใช้เงินภาษีของประชาชนในการจัดซื้อเพิ่มเติม แนวคิดนี้ทำให้รัฐบาลสามารถสร้างคลังสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่สร้างภาระการคลังใหม่ และทรัมป์ย้ำว่ารัฐบาลจะไม่ขายบิตคอยน์เหล่านี้ออกไป แต่จะเก็บสะสมไว้เสมือน “ทองคำดิจิทัล” ในคลังอย่างถาวร           การตัดสินใจสำคัญที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การที่ทรัมป์สั่งว่า รัฐบาลห้ามขายบิตคอยน์ที่เก็บเข้าคลังสำรอง เพื่อรักษาไว้เป็นมูลค่าระยะยาว นอกจากนี้ยังเปิดช่องให้กระทรวงการคลังและพาณิชย์สหรัฐฯ พิจารณาวิธีเพิ่มบิตคอยน์เข้าสู่คลังในอนาคตอย่าง “budget-neutral” กล่าวคือ หากจะซื้อเพิ่มก็ต้องหาแนวทางที่ไม่เพิ่มภาระงบประมาณหรือภาษีประชาชน ช่วงก่อนการประชุม มีการคาดการณ์ว่ารัฐบาลอาจประกาศซื้อคริปโตเพิ่ม ซึ่งทำให้ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดกว่า 100,000 ดอลลาร์ในเดือนมกราคม 2025 แต่เมื่อประกาศจริงกลับไม่มีแผนซื้อเพิ่มทันที ราคาบิตคอยน์จึงปรับฐานลงมาเล็กน้อยเพราะตลาดผิดหวัง           อีกด้านหนึ่ง ทรัมป์ยังเคยระบุรายชื่อคริปโตที่รัฐบาลสนใจ 5 รายการ (Bitcoin, Ethereum, XRP, Solana และ Cardano) ซึ่งข่าวนี้เองก็เคยทำให้ราคาเหรียญเหล่านั้นขยับสูงขึ้น แต่ภายหลังรัฐบาลตัดสินใจจัดตั้งคลังสำรองเฉพาะบิตคอยน์เท่านั้น ส่วนคริปโตอื่น ๆ จะถูกรวบรวมไว้ใน “คลังสินทรัพย์ดิจิทัล (U.S. Digital Asset Stockpile)” แยกต่างหากโดยรับมาจากของกลางเช่นเดียวกัน ทว่ารัฐจะไม่ซื้อเพิ่มนอกเหนือจากที่ยึดมาได้           นโยบายเชิงสัญลักษณ์นี้สะท้อนถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของสหรัฐฯ ที่หันมายอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง หลังจากก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยวิจารณ์บิตคอยน์ว่าเป็น “กลลวง” (scam) การมี Bitcoin Strategic Reserve ทำให้บิตคอยน์ได้รับสถานะใกล้เคียงกับทรัพย์สินสำรองยุทธศาสตร์อื่น ๆ เช่น น้ำมันปิโตรเลียมและทองคำ ที่รัฐบาลสหรัฐฯ สะสมไว้เพื่อความมั่นคงของประเทศ ในที่ประชุม Crypto Summit รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า จะใช้ Stablecoin เป็นเครื่องมือรักษาสถานะการเป็นสกุลเงินสำรองโลกของดอลลาร์สหรัฐฯ สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการขับเคลื่อนสกุลเงินของตน สะท้อนว่ารัฐบาลสหรัฐฯ พยายามปรับตัวและกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์ในยุคที่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีบทบาทมากขึ้น ทิศทางกฎระเบียบสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศ ในด้านการนำ Bitcoin มาเป็น Strategic Reserve           นอกจากสหรัฐฯ แล้ว หลายประเทศและภูมิภาคได้พัฒนากรอบกฎหมายและแนวทางกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลของตนอย่างต่อเนื่อง ดังนี้: สหภาพยุโรป – กฎหมาย MiCA           ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงปฏิเสธการถือครอง Bitcoin เป็นทุนสำรองของธนาคารกลางสมาชิกในยุโรป โดย Christine Lagarde ประธาน ECB ระบุชัดเจนว่า “มั่นใจว่า... Bitcoin จะไม่ได้รับการบรรจุในทุนสำรองของธนาคารกลางใด ๆ ในยุโรป”​ เหตุผลหลักคือเงินสำรองของธนาคารกลางควรอยู่ในสินทรัพย์ที่มี สภาพคล่องสูงและปลอดภัย ซึ่ง Bitcoin ยังไม่เข้าข่ายตามเกณฑ์นี้ เนื่องจากราคาผันผวนและกระจุกตัวอยู่ในมือผู้ลงทุนบางกลุ่ม2. สิงคโปร์           สิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางการเงินโลก แม้จะสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนและฟินเทค แต่หน่วยงานกำกับดูแลอย่าง Monetary Authority of Singapore (MAS) มีจุดยืนระมัดระวังต่อคริปโตมาโดยตลอด โดย ปฏิเสธแนวคิดการสร้างทุนสำรองด้วยคริปโต อย่างชัดเจน สอดคล้องกับรายงานของ JPMorgan ที่ระบุว่าประเทศอย่าง สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ และโปแลนด์ ต่าง “ปฏิเสธ” แนวคิดการจัดตั้ง strategic crypto reserve (ทุนสำรองเชิงยุทธศาสตร์ในสินทรัพย์คริปโต) ด้วยความกังวลเรื่องความเสี่ยงและความผันผวนของราคา จีน           มีรายงานข่าวว่าจีนได้เริ่มพิจารณา Bitcoin เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองทางยุทธศาสตร์ของประเทศ อย่างไม่เป็นทางการ โดยมีการประชุมภายในแบบลับๆ ตั้งแต่หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2024​  แรงจูงใจหลักมาจากความต้องการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ (การปลดดอลลาร์) และป้องกันความเสี่ยงจากการคว่ำบาตรทางการเงินของตะวันตก ด้วยการถือครองสินทรัพย์นอกอำนาจรัฐสหรัฐฯ เช่น Bitcoin​ โดย ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าจีนอาจเดินหน้าแนวคิดนี้ เนื่องจากสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวของจีนในการลดบทบาทดอลลาร์และเพิ่มความหลากหลายในทุนสำรอง (จีนเพิ่มการถือครองทองคำ, ผลักดันเงินหยวนสู่สากล, และเข้มแข็งความร่วมมือ BRICS ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์)​ ญี่ปุ่น           ญี่ปุ่นมีท่าทีที่น่าสนใจเพราะไม่ได้ปฏิเสธแนวคิดทันทีเหมือนยุโรป แต่ก็ยังไม่ได้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ ในเดือนธันวาคม 2024 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร Satoshi Hamada ได้ยื่นกระทู้ในรัฐสภา เสนอให้รัฐบาลศึกษาความเป็นไปได้ในการนำ Bitcoin มาเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ​ เขาให้เหตุผลว่าควรพิจารณาเปลี่ยนทุนสำรองเงินตราต่างประเทศบางส่วนมาอยู่ในรูปสินทรัพย์ดิจิทัลเช่น Bitcoin เพื่อให้ญี่ปุ่นไม่เสียเปรียบสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะตั้ง ทุนสำรอง Bitcoin เชิงยุทธศาสตร์ และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในระยะยาว (ทั้งในแง่การป้องกันความเสี่ยงเศรษฐกิจและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการเงินใหม่ๆ)​ บราซิล           บราซิลเป็นหนึ่งในประเทศที่เดินหน้าแนวคิดนี้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด ล่าสุดเดือนพฤศจิกายน 2024 Eros Biondini สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบราซิล (สภาคองเกรส) ได้เสนอ ร่างกฎหมาย จัดตั้งทุนสำรอง Bitcoin แห่งชาติ เรียกว่า “Sovereign Strategic Reserve of Bitcoins (RESBit)” โดยมอบหมายให้ธนาคารกลางบราซิลค่อย ๆ จัดสรรเงินเข้าซื้อ Bitcoin จนกระทั่งคิดเป็น สูงสุด 5% ของทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศ (ประมาณ 5% ของทุนสำรอง $355,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตีเป็นมูลค่าราว $18,000 ล้านที่จะอยู่ในรูป Bitcoin หากดำเนินการเต็มที่)​ อาร์เจนตินา           อาร์เจนตินา  อาร์เจนตินากำลังเผชิญวิกฤตค่าเงินและเงินเฟ้อสูง ทำให้แนวคิดการใช้สินทรัพย์ทางเลือกอย่างคริปโตได้รับความสนใจ ในเดือนพฤศจิกายน 2024 Martín Yeza สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (พรรค PRO ฝ่ายขวา) ได้เสนอ ร่างกฎหมายแก้ไขธรรมนูญธนาคารกลาง เพื่อ เปิดทางให้ธนาคารกลางอาร์เจนตินาสามารถซื้อและถือครอง Bitcoin เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศได้ รวมถึงอนุญาตให้ธนาคารกลางสามารถทำเหมือง (ขุด) Bitcoin ได้ด้วย​ และมีเปลี่ยนแปลงสำคัญเมื่อประธานธิบดีคนปัจจุบัน ฮาเวียร์ มีเลย์ (Javier Milei) ซึ่งสนับสนุนคริปโตขึ้นรับอำนาจ และ ประกาศแนวคิด “เสรีภาพทางการเงิน” เปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกใช้เงินสกุลใดก็ได้ รวมถึงคริปโต อย่างไรก็ดี อาร์เจนตินายังไม่มีกรอบกำกับคริปโตแบบเบ็ดเสร็จ อาจต้องปรับนโยบายให้สมดุลกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการเจรจากับเจ้าหนี้ระหว่างประเทศ           ในขณะที่ประเทศเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การออกกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมการออกและการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ป้องกันการฟอกเงิน และคุ้มครองผู้บริโภค (เช่น MiCA ของยุโรปที่ให้กรอบกำกับดูแลคริปโตทั้งหมด, สิงคโปร์และญี่ปุ่นที่เน้นความปลอดภัยและการคุ้มครองนักลงทุน รวมถึงเกาหลีใต้ที่ออกกฎหมายคุ้มครองผู้ใช้) แนวคิดเรื่องการจัดตั้งคลังสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบ “strategic reserve” ยังคงเป็นเฉพาะของสหรัฐฯ และบางประเทศเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ที่ตัดสินใจถือคริปโตในฐานะสินทรัพย์สำรองยุทธศาสตร์อย่างเป็นทางการ แม้ Bitcoin ส่วนใหญ่จะถือครองโดยเอกชนและนักลงทุน แต่ก็มีหลายประเทศที่รัฐบาลถือครอง Bitcoin จำนวนมาก ผ่านการยึดจากอาชญากรรมไซเบอร์หรือการลงทุนโดยตรงในนามของรัฐ ด้านล่างคือ 5 อันดับรัฐบาลที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุดในปัจจุบัน (ข้อมูลประมาณปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025) (ข้อมูลเป็นเพียงการประเมิน) โดยนอกมีเพียงสหรัฐอเมริกาที่นำเข้ามาเป็น strategic reserve สหรัฐอเมริกา – รัฐบาลสหรัฐฯ ถือครอง ประมาณ 198,000 BTC จีน – รัฐบาลจีน ถือครอง ประมาณ 190,000 BTC สหราชอาณาจักร – รัฐบาลอังกฤษถือครอง ประมาณ 61,000 BTC ยูเครน – รัฐบาลยูเครนถือครอง ประมาณ 46,000 BTC ภูฏาน – ราชอาณาจักรภูฏานถือครอง ประมาณ 10,000–13,000 BTC           การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve ถือเป็นก้าวสำคัญที่ส่งสัญญาณให้ทั่วโลกเห็นถึงบทบาทของ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์สำรองเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งอาจกระตุ้นให้ประเทศอื่นๆ ทบทวนแนวทางของตนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและทุนสำรองระหว่างประเทศ แม้ว่าหลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรป และ สิงคโปร์ จะยังคงปฏิเสธแนวคิดนี้ แต่บางประเทศอย่างจีน บราซิล และอาร์เจนตินาเริ่มมีการศึกษาและถกเถียงเรื่องการถือครอง Bitcoin เป็นทุนสำรองของรัฐ หากประเทศเหล่านี้เริ่มเดินหน้าสะสม Bitcoin อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่เร่งให้เกิดการแข่งขันการสะสมทุนสำรองสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างมหาอำนาจ ซึ่งจะส่งผลต่อโครงสร้างของระบบการเงินโลกอย่างมีนัยสำคัญ ในระยะยาว ผลกระทบของ Bitcoin Strategic Reserve ต่อระบบการเงิน และการลงทุนของโลก           การที่สหรัฐอเมริกาจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve อย่างเป็นทางการนั้นถือเป็นสัญญาณที่ส่งผลกระทบหลายมิติในระบบการเงินและการลงทุนโลก           การประกาศการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve โดยสหรัฐและการประชุม Crypto Summit ช่วยหนุนให้ตลาดคริปโตกลับมาคึกคัก ราคาบิตคอยน์ทะยานทะลุระดับ $90,000 อีกครั้งในช่วงที่มีข่าวบวกนี้ (เพิ่มขึ้นราว 11% ภายในวันเดียว)ขณะที่ตลอดปี 2024 ที่ผ่านมา บิตคอยน์ก็ปรับตัวขึ้นกว่า 120% และได้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ $100,000 เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2024 ซึ่งได้จุดกระแสความเชื่อมั่นอย่างร้อนแรงในหมู่นักลงทุนที่สนับสนุนสินทรัพย์ชนิดนี้​ การที่ทรัมป์ส่งสัญญาณว่าจะนำคริปโตสกุลอื่น ๆ อีกสี่สกุล (ได้แก่ XRP, Ether, Solana, Cardano) เข้ามารวมในทุนสำรอง (แม้ภายหลังจะจำกัดให้ใช้เฉพาะคริปโตที่รัฐบาลยึดมาได้) ส่งผลให้ราคาคริปโตโดยรวมพุ่งสูงในวงกว้าง โดยมูลค่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลรวมเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 10% ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังประกาศ (คิดเป็นมูลค่าเพิ่มกว่า $300 พันล้าน)​ นักลงทุนแห่เก็งกำไรในเหรียญทางเลือกที่ถูกเอ่ยถึง ทำให้ราคา altcoins หลายตัวทะยานขึ้น เช่น Cardano (ADA) ที่ราคาเพิ่มขึ้นเกือบ 42% ภายในสัปดาห์นั้นเพียงสัปดาห์เดียว​ ปริมาณซื้อขายและความสนใจของนักลงทุนต่างเพิ่มขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของราคา สะท้อนถึงความเชื่อมั่นเชิงบวกอย่างมากในตลาดกระทิงรอบนี้ อย่างไรก็ดี ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงมีความผันผวนอยู่บ้างเมื่อมีข่าวนโยบายออกมา: ขณะประกาศรายละเอียดว่าทุนสำรองจะใช้บิตคอยน์ที่ยึดมาแทนการเข้าซื้อเพิ่มเติม ราคาบิตคอยน์เกิดการย่อตัวระยะสั้น (ลงประมาณ 4% มาที่ราว $86,000) เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนผิดหวังที่รัฐบาลยังไม่เข้าซื้อสินทรัพย์ใหม่ทันที​ แต่หลังจากนั้นไม่นานตลาดก็ฟื้นตัวกลับมาใกล้ระดับเดิมเมื่อผู้ลงทุนประเมินว่าการมีทุนสำรองดังกล่าวถือเป็นสัญญาณบวกในระยะยาว (ราคาบิตคอยน์ดีดกลับขึ้นมาบริเวณ ~$90,000 ช่วงปลายสัปดาห์)​           โดยรวมแล้วความเชื่อมั่นนักลงทุนต่ออนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ในเกณฑ์สูงมากหลังเหตุการณ์นี้ หลายฝ่ายมองว่าบิตคอยน์กำลังเสริมสถานะความเป็นสินทรัพย์สำหรับการเก็บรักษามูลค่า (store of value) เทียบเคียงทองคำ และมีแนวโน้มจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนมาตรฐานของสถาบันการเงินและเงินทุนสำรองของบริษัทใหญ่ ๆ ในระยะยาว​ ส่วนในระยะยาว มีความเป็นไปได้จะส่งผลกับตลาดการเงินและการลงทุนดังนี้ การรับรอง Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลโดยภาครัฐจะส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนและภาคเอกชนปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับคริปโต เช่น Coinbase, MicroStrategy, และบริษัทFinTech ที่เกี่ยวข้อง จะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากกระแสนี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นโดยรวมอาจต้องรับมือกับความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่เริ่มเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้น อาจจะเป็นตัวเร่งที่ทำให้กองทุนรวมและ ETF ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนสถาบันและกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติจะมองหาการกระจายพอร์ตสินทรัพย์ที่รวมถึง Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ในส่วนของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น การสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลจากภาครัฐทำให้ Bitcoin และคริปโตหลักกลายเป็นสินทรัพย์ประเภทใหม่ ที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีการเติบโตสูงขึ้น และโครงสร้างพื้นฐานของตลาดนี้จะมีมาตรฐานมากขึ้น เช่น การยอมรับเทคโนโลยีบล็อคเชนมากขึ้น และอาจจะกลายเป็นพื้นฐานสำคัญของระบบการเงินของโลก หรือ ราคา Bitcoin อาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหากมีประเทศอื่น ๆ นำไปใช้ในทุนสำรอง (Store of Value) ข้อพิจารณาสำหรับประเทศไทย           ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับ Bitcoin Strategic Reserve แต่การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ อาจจะเป็นจุดสคำคัญในการศึกษาจากตัวอย่างจริง ของต่างประเทศให้เห็นภาพง่ายขึ้น แต่หากตอบสนองช้า ก็อาจจะทำให้สูญเสียโอกาสด้านเทคโนโลยีการเงินและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แนวโน้มระยะยาวสำหรับประเทศไทย: การกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขึ้น เนื่องจากเห็นการใช้งานจริง และ ผลกระทบทั้งข้อดีและข้อเสียจากต่างประเทศ ทำให้ ก.ล.ต. และธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถยกตัวอย่างมาประยุกต์กับประเทศไทยได้ นักลงทุนไทยอาจมีความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะ Bitcoin, Digital Asset  และกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับ (หากกฎหมายไทยอนุญาตให้สถาบันการเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล) ซึ่งจะทำให้ตลาดของสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโตมากขึ้น และ ลดข้อสงสัยกับนักลงทุน เกิดการพัฒนาแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลภายในประเทศ เช่น การกำหนดกรอบการทดสอบนวัตกรรม (sandbox) ที่ทำได้หลากหลายมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนและสถาบันการเงิน CeDeFi ในประเทศไทยอาจเติบโตขึ้น CeDeFi (Centralized & Decentralized Finance) เป็นแนวคิดที่รวมข้อดีของ DeFi (Decentralized Finance) และ CeFi (Centralized Finance) เข้าด้วยกัน ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นในตลาดโลก เช่น การใช้ Bitcoin หรือ Investment Token เป็นหลักประกันในการให้บริการสินเชื่อ ภายใต้การกำกับดูแลที่เหมาะสม แหล่งที่มา Reuters , Cointelegraph , Cryptobriefing, Foreignpolicy.com ผู้เขียน สุทธิรัตน์ หาญพานิชย์ Head of Business Development, Token X

จับตาเทรนด์ Tokenization ในไทย ทางเลือกใหม่ของนักลงทุนสายอสังหาฯ

จับตาเทรนด์ Tokenization ในไทย ทางเลือกใหม่ของนักลงทุนสายอสังหาฯ

Tokenization คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร          Tokenization คือ การเปลี่ยนสินทรัพย์ (Asset) ให้กลายเป็นโทเคนดิจิทัลบนบล็อกเชน (Blockchain) โดยโทเคนเหล่านี้จะแทนสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของหรือผลประโยชน์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ เช่น หุ้นในโครงการ อัตราผลตอบแทน หรือสิทธิในการใช้ทรัพย์สิน เป็นต้น การโอนหรือแลกเปลี่ยนโทเคนเหล่านี้จะถูกบันทึกแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger) ทำให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และลดต้นทุนการทำธุรกรรม ข้อดีของการ Tokenize สินทรัพย์ เพิ่มสภาพคล่อง (Liquidity): เมื่อมีการทำโทเคนสำหรับสินทรัพย์ซึ่งปกติอาจสภาพคล่องต่ำ (เช่น อสังหาฯ งานศิลปะ หรือสินค้าการเกษตร) โทเคนเหล่านี้สามารถซื้อขายได้ในตลาดรองดิจิทัลอย่างรวดเร็ว 24/7 มีผู้สนใจได้ทั่วโลก ลดข้อจำกัดในการเข้าถึง: นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ที่เดิมทีต้องใช้เม็ดเงินลงทุนสูง หรือมีโครงสร้างซับซ้อน เช่น กองทุน Private Equity, กองอสังหาริมทรัพย์ในทำเลแพง หรืออื่น ๆ แบ่งหน่วยลงทุนได้: ผู้ถือโทเคนอาจถือแค่บางส่วนของสินทรัพย์ ไม่จำเป็นต้องถือทั้งก้อน ซึ่งทำให้การลงทุนเปิดกว้างและกระจายความเสี่ยงได้สะดวกยิ่งขึ้น          ด้วยเหตุนี้ การ Tokenize จึงเป็นการเปิดโอกาสให้แก่สินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Asset) เช่น อสังหาริมทรัพย์, สิทธิบัตร, ลิขสิทธิ์, งานศิลปะ และสินทรัพย์อีกหลายรูปแบบ ให้สามารถเข้ามาลงทุน และสามารถแลกเปลี่ยนได้อย่างคล่องตัวกว่าเดิม โดยเทรนด์การนำมาประยุกต์นี้เรียกว่า Real World Asset Tokenization หรือ การแปลงสินทรัพย์ในโลกให้อยู่ในรูปแบบโทเคน          โดยในประเทศไทยนั้น การทำ Tokenization ได้เริ่มมีการใช้กับโปรเจ็คต่างๆ ในการ สร้างเหรียญ Investment Token ที่รับรองโดย ก.ล.ต. ออกมาเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน ในการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างของ Tokenization กับโปรเจ็คต่างๆในโลกนี้ 1) Real Estate Backed Tokenization อสังหาริมทรัพย์เป็นตัวอย่างการใช้งานแรกๆ ของการนำมาประยุกต์ใช้งาน ซึ่งมีหลายตัวอย่าง เช่น RealT (สหรัฐอเมริกา): เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายโทเคนที่อิงกับอสังหาริมทรัพย์ มีการแบ่งหน่วยบ้านหรืออาคารให้เป็นโทเคนบนบล็อกเชน Ethereum ผู้ซื้อโทเคนจะได้รับส่วนแบ่งค่าเช่า (Rental Income) ตามสัดส่วนที่ถือ AspenCoin (รีสอร์ทหรูใน Aspen): ออกเหรียญโทเคนเพื่อเป็นหลักฐานการถือสิทธิในโครงการรีสอร์ทระดับไฮเอนด์ โดยผู้ลงทุนสามารถรับผลตอบแทนจากการดำเนินงานของโรงแรมหรือรีสอร์ท Propy: แพลตฟอร์มซื้อขายอสังหาริมทรัพย์บนบล็อกเชน เคยมีการขายบ้านหลังแรกโดยใช้ Smart Contract บนแพลตฟอร์มนี้ 2) IP Tokenization Intellectual Property (IP) หรือทรัพย์สินทางปัญญา เช่น ลิขสิทธิ์เพลง สิทธิบัตร สิ่งประดิษฐ์ ฯลฯ สามารถนำมา Tokenize เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและเปิดให้บุคคลภายนอกสามารถลงทุนในผลงานเหล่านี้ได้ ยกตัวอย่าง มีโปรเจกต์ที่เปิดขาย Token ที่อิงกับค่าสิทธิในการใช้งานเพลง (Music Royalties) ซึ่งเมื่อเพลงได้รับค่าลิขสิทธิ์ ผู้ถือโทเคนก็จะได้รับส่วนแบ่งตามสัดส่วน เช่น Nas แรปเปอร์ระดับตำนาน ได้นำเพลง “Ultra Black” และ “Rare” มาขายสิทธิรายได้ในรูปแบบโทเคน NFT บนแพลตฟอร์ม Royal โดยเปิดให้คนทั่วไปซื้อโทเคนในระดับต่าง ๆ (Gold, Platinum, Diamond) ซึ่งแต่ละระดับจะได้ส่วนแบ่งรายได้ (Streaming Royalties) ไม่เท่ากัน 3) Commodity-backed Tokenization สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) เช่น ทองคำ น้ำมัน หรือผลิตภัณฑ์เกษตร สามารถถูก Tokenize เพื่อใช้แทน “สัญญา” หรือ “กรรมสิทธิ์” ในตัวสินค้า ตัวอย่าง: PAX Gold (PAXG): โทเคนที่อิงกับทองคำแท่งซึ่งฝากไว้อย่างปลอดภัยในห้องเก็บทองคำ ผู้ถือ 1 โทเคน = เป็นเจ้าของทอง 1 ออนซ์ และ Tether Gold (XAUT): คล้ายกันคือ เป็นโทเคนที่มีทองคำเป็นสินทรัพย์อ้างอิง ผู้ถือโทเคนถือสิทธิ์ทองคำในปริมาณที่แน่นอน 4) ตัวอย่างอื่นๆ ที่สามารถทำ Tokenization สำหรับสินทรัพย์ต่าง ๆ อีกมาก เช่น Art-backed Tokens: โทเคนที่ผูกกับมูลค่าของงานศิลปะระดับโลก ทำให้คนทั่วไปสามารถ “ร่วมถือครอง” ผลงานชิ้นเดียวในโลกได้ Carbon Credit Token: โทเคนที่สร้างขึ้นเพื่อเทรดเครดิตคาร์บอน ตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องการลดคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยเปิดตลาดให้โปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากขึ้น Real Estate Tokenization ในประเทศไทย ทำไม Real Estate Tokenization ถึงเป็นที่น่าสนใจในประเทศไทย?          อสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงและส่วนใหญ่มีสภาพคล่องต่ำ นักลงทุนต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการซื้อ-ขาย และยังมีปัญหาด้านขั้นตอนเอกสารและค่าธรรมเนียม แต่เมื่อนำ Blockchain และ Smart Contract มาใช้ เราจะสามารถ: แบ่งหน่วยลงทุน: นักลงทุนทั่วไปที่มีทุนไม่มาก ก็สามารถลงทุนบางส่วนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งบ้าน คอนโดมิเนียม หรืออสังหาฯ เชิงพาณิชย์ ทำธุรกรรมเร็วขึ้น: ลดการพึ่งพาตัวกลาง (เช่น โบรกเกอร์ หรือตัวแทน) จึงลดค่าธรรมเนียมและขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน เปิดตลาดรองขนาดใหญ่: มีตลาดรองสำหรับแลกเปลี่ยนโทเคนอสังหาฯ ได้ทั่วโลก 24/7 ทำให้ผู้ถือโทเคนสามารถขายหน่วยลงทุนได้ง่าย ไม่ต้องรอผู้ซื้อเงินหนาเพียงรายเดียว          ตัวอย่าง Investment Token สำหรับ อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย Real X (1)          RealX หรือชื่อเต็ม RealX Investment Token (โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนเรียลเอ็กซ์) เป็นโทเคนที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด และได้บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด เป็นผู้พัฒนาระบบเสนอขายโทเคน          RealX ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นโทเคนที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือคอนโดในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หมายความว่านักลงทุนรุ่นใหม่ที่สนใจการลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิงหรือมีกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ไม่จำเป็นต้องมีเงินหลักล้านก็สามารถเริ่มลงทุนผ่านโทเคนนี้ได้ โดยเริ่มเพียงหลักร้อยบาท และทางบริษัทฯ ผู้ออกโทเคนก็ได้คัดสรรคอนโดที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพื่ออ้างอิงมูลค่าผลตอบแทนจากกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์เข้ากับโทเคน          โทเคน RealX มีสินทรัพย์ค้ำประกันก็คือคอนโดในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ 1.พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (138 ห้อง) 2.พาร์ค ออริจิ้น พญาไท (123 ห้อง) 3.พาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงศ์ (100 ห้อง)          ซึ่งคอนโดทั้ง 3 โครงการนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง แถมผู้ถือโทเคน RealX ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาดูแลคอนโดด้วยตัวเอง เพราะทางมีทีมงานคอยช่วยดูแลให้          จุดเด่นที่นักลงทุนน่าจะให้ความสนใจโทเคน RealX ก็คือเรื่องของผลตอบแทน ซึ่งทางทางบริษัทฯ ผู้ออกโทเคนก็ได้ระบุไว้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะมาจาก 2 ส่วน ได้แก่ ผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิของคอนโดฯ ทั้ง 3 โครงการเป็นระยะเวลา 10 ปี นับจากเริ่มต้นโครงการ โดยในปีที่ 1–5 บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด ที่อยู่ในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จะรับประกันรายรับสุทธิของโครงการที่ 4% 4.25% 4.50% 4.75% และ 5% ต่อปีของมูลค่าเสนอขายโทเคนดิจิทัลฯ ตามลำดับ ได้รับผลตอบแทนเป็นรายไตรมาสจากการทยอยจำหน่ายคอนโดทั้ง 3 โครงการในปีที่ 6–10 (รวมกรณีขยายอายุโครงการ) รวมกับผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิ          *อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง ผู้ออกโทเคนจึงได้เน้นย้ำว่าผลตอบแทนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ Sirihub (2)          สิริ ฮับ โทเคน (SiriHub Token) เป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนที่ออกโดย บริษัท เอสพีวี 77 จำกัด ภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 และเสนอขายโทเคนดิจิทัลในตลาดแรกผ่าน บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล หรือ ICO Portal ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. และจะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด ซึ่งได้รับใบอนุญาตการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระทรวงการคลังภายใต้การกำกับดูแลโดย ก.ล.ต. โดยมีโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน 2 กลุ่ม ได้แก่ SiriHubA และ SiriHubB สินทรัพย์อ้างอิง          กลุ่มอาคารสำนักงาน สิริ แคมปัส ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยมีสัญญาเช่าระยะยาว 12 ปี ทำให้มีกระแสรายรับสม่ำเสมอ ส่วนแบ่งรายได้ ผู้ลงทุนจะได้รับส่วนแบ่งรายได้ทุกไตรมาส ในอัตราร้อยละ 4.5 ต่อปี สำหรับโทเคน SiriHubA และร้อยละ 8.0 ต่อปี สำหรับโทเคน SiriHubB และจะได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ส่วนสุดท้าย จากการจำหน่ายทรัพย์สินเมื่อสิ้นสุดโครงการ 4 ปี Summer Point Token (Sum X) (3) เป็นเหรียญล่าสุดในประเทศไทย กำหนดวันจองซื้อในเดือน กุมภาพันธ์ 2568          โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนซัมเมอร์พ้อยท์ (Summer Point Token) เป็นโทเคนดิจิทัลที่มีอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเป็นสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งมีการออกและเสนอขายภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“สำนักงาน ก.ล.ต.”) ของประเทศไทย และเป็นไปตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างครบถ้วนและถูกต้อง โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนลำดับที่ 4 ของประเทศไทย ที่เสนอขายผ่าน Token X ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ได้รับความเห็นชอบจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มี ผู้ออกโทเคนดิจิทัล เป็น บริษัท เดอะ อิชชูเออร์ จำกัด (The ISSUER) บริหารอสังหาริมทรัพย์ โดย บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมี ผู้ให้บริการระบบเสนอขาย โทเคนดิจิทัล (ICO Portal) คือ บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (Token X) อัตราผลตอบแทนทั้งโครงการเฉลี่ยต่อปี (IRR) เฉลี่ยร้อยละ 2 ต่อปี ตลอดอายุโครงการโทเคนดิจิทัล มูลค่าและจำนวนโทเคนดิจิทัล ที่เสนอขาย : มูลค่าการเสนอขายไม่เกิน 450,000,000 บาท โดยมีจำนวนโทเคนดิจิทัลที่เสนอขายไม่เกิน 900,000,000 โทเคน ราคาที่เสนอขาย : 50 บาท ต่อโทเคน มูลค่าการจองซื้อขั้นต่ำต่อครั้ง : มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 500 บาท (1,000 โทเคน) จองซื้อ” Summer Point Token พร้อมกัน 24 กุมภาพันธ์ - วันที่ 14 มีนาคม 2568 โอกาสรับอัตราผลตอบแทนทั้งโครงการเฉลี่ยต่อปี 2%* เริ่มต้นเพียง 500 บาทเท่านั้น          โดยสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม หรือ จองซื้อได้ที่ https://summerpointtoken.finance/  หรือ Application Token X (ดาวน์โหลดได้ที่ App Store หรือ GooglePlay) แหล่งอ้างอิง Bitkub (https://www.bitkub.com/th/blog/what-is-realx-be38886d69a) digital (https://spv77.digital/) Summerpoint Token ผู้เขียน สุทธิรัตน์ หาญพานิชย์ Head of Business Development, Token X

Stable Coin เรื่องต้องรู้ [HoonVision x TokenX]

Stable Coin เรื่องต้องรู้ [HoonVision x TokenX]

          หุ้นวิชั่น - Stable Coin เรื่องต้องรู้ 1) Stable Coin คืออะไร Stable Coin คือสกุลเงินดิจิทัล (คริปโทเคอร์เรนซี) ที่ออกแบบให้มีมูลค่า “คงที่” หรือผันผวนน้อย และ ทำหน้าที่เป็น สะพานเชื่อม ระหว่างระบบการเงินดั้งเดิม (traditional finance) กับโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลนี Blockchain ในเชิงปฏิบัติจะมีการกำหนดกลไกเพื่อรักษามูลค่าให้ใกล้เคียงกับสินทรัพย์อ้างอิง เช่น 1 USDC ≈\approx≈ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ผู้ลงทุนหรือผู้ใช้งานจึงมั่นใจได้ว่าราคาจะผันผวนน้อยกว่าเงินคริปโตอื่น ๆ ถือเป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ Stable Coin ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในภาคธุรกิจและผู้บริโภค 2) ข้อดีและโอกาสของ Stable Coin ลดความผันผวน เนื่องจาก Stable Coin ถูกออกแบบให้ราคาผูกกับสินทรัพย์อ้างอิงที่มีมูลค่าคงที่ (เช่น ดอลลาร์สหรัฐ) จึงมีความผันผวนน้อย สร้างความมั่นใจในการใช้งานทั้งในฐานะสื่อกลางการแลกเปลี่ยนและการเก็บรักษามูลค่า ความรวดเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ การโอน Stable Coin บนเครือข่ายบล็อกเชนทำได้อย่างรวดเร็วและค่าใช้จ่ายในการโอนอาจถูกกว่าการโอนเงินผ่านระบบธนาคารแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะการโอนข้ามประเทศ การเข้าถึงตลาดโลก Stable Coin สามารถแลกเปลี่ยนได้ผ่านตลาดคริปโตทั่วโลกแบบ 24/7 ไม่จำกัดวันหยุด และสามารถใช้ได้ในหลายแพลตฟอร์ม เปิดโอกาสให้ธุรกิจและบุคคลทั่วไปเข้าถึงการโอนเงินระหว่างประเทศได้ง่ายขึ้น เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงค่าเงินท้องถิ่น ในบางประเทศที่ค่าเงินผันผวนสูง ผู้คนหรือธุรกิจอาจใช้ Stable Coin เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะอัตราแลกเปลี่ยน ปกป้องมูลค่าทรัพย์สินที่ถืออยู่ โอกาสในอนาคต มีการพัฒนาโซลูชันทางการเงินใหม่ ๆ บนเครือข่าย Stable Coin เช่น การโอนเงินระหว่างประเทศ (cross-border payment) ทันที การสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการกู้ยืม (lending) หรือฝาก (staking) 3) Stable Coin แบ่งเป็นกี่ประเภท Fiat-Backed Stable Coin มีการค้ำประกันด้วยเงินสกุลหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร หรือเงินบาทจริง ๆ ที่ฝากไว้ในบัญชีธนาคารหรือสินทรัพย์ที่มีมูลค่าคงที่ โดยผู้ออกจะต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกันครบตามจำนวนที่ออกเหรียญ เช่น USDC (USD Coin) USDT (Tether) Crypto-Backed Stable Coin ค้ำประกันด้วยเงินคริปโตอื่น ๆ ผ่านสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) แม้จะมีโอกาสผันผวนไปตามตลาดคริปโต แต่ถูกออกแบบให้มีการค้ำประกันเกินมูลค่า (over-collateralized) เพื่อรักษาเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือ เช่น DAI (ค้ำประกันด้วย ETH และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น) Commodities-Backed Stable Coin ถูกหนุนด้วยสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำ น้ำมัน หรือโลหะมีค่าอื่น ๆ ทำให้ผู้ถือ Stable Coin ประเภทนี้มีสิทธิถือครองสินทรัพย์ในปริมาณที่เทียบเท่า ตัวอย่างเช่น PAXG (Pax Gold) XAUT (Tether Gold) Treasury-Backed Stable Coin ประเภทนี้จะได้รับการสนับสนุนจากพันธบัตรหรือสินทรัพย์จากคลังเงินรัฐหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ เช่น USDY (อาจได้รับการค้ำประกันด้วยพันธบัตรหรือสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความมั่นคง) Algorithmic Stable Coin เป็น Stable Coin ที่ไม่ได้มีการค้ำประกันด้วยสินทรัพย์ใด ๆ โดยตรง แต่ใช้ “อัลกอริทึม” และกลไกปรับสมดุลอุปทาน-อุปสงค์เพื่อรักษามูลค่าให้ใกล้เคียงกับที่ตรึงไว้ (peg) ตัวอย่างกลไกทั่วไป ซึ่งไม่ค่อยได้รับความนิยมในสมัยปัจจุบันเท่าใดนัก ได้แก่ UST (Luna) , FRAX 4) ตัวอย่างการนำ Stable Coin ไปใช้งาน สิงคโปร์: XSGD โดย StraitsX (ผู้ถือใบอนุญาต Major Payments Institution License จาก MAS) ออกเหรียญ XSGD เพื่อใช้แทนดอลลาร์สิงคโปร์ในรูปแบบดิจิทัล อาร์เจนตินา (Argentina) อาร์เจนตินาประสบปัญหาเงินเปโซ (Argentine Peso) อ่อนค่าต่อเนื่องและมีภาวะเงินเฟ้อสูง ประชาชนจำนวนหนึ่งจึงหันไปใช้ Stable Coin โดยเฉพาะที่ผูกกับดอลลาร์สหรัฐ เพื่อปกป้องมูลค่าของเงินออม ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจซื้อ USDT หรือ USDC เก็บไว้ในวอลเล็ตแทนการเก็บ Peso บราซิล : Brazil’s Pix ภายในระบบชำระเงินทันที (Instant Payment - IP) ของบราซิล ธนาคารกลางบราซิล (Banco Central do Brasil; BCB) ได้สร้าง “Pix” ซึ่งเป็นระบบ IP scheme ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโอนเงินได้ทันที เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังสามารถเชื่อมต่อกับ Stable Coin เพื่อให้การโอนเงินข้ามพรมแดนสะดวก รวดเร็ว และมีต้นทุนที่ต่ำลง ยุโรป: BVNK BVNK เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อให้ธุรกิจสามารถรับ-ส่ง แลกเปลี่ยน และเก็บรักษา Stable Coin ควบคู่ไปกับสกุลเงินปกติได้อย่างสะดวก ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกรรมระหว่างประเทศได้คล่องตัวมากขึ้น ลดค่าธรรมเนียม และไม่ต้องกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน DeFi (Decentralized Finance) ในโลกของ Decentralized Finance หรือ Web 3.0 มีใช้ Stable Coin ในแอปพลิเคชันทางการเงินแบบกระจายศูนย์ เช่น การปล่อยกู้ (Lending) การยืม (Borrowing) การทำ Yield Farming หรือการซื้อขายบน DEX (Decentralized Exchange) ช่วยให้เกิดสภาพคล่องสูง ปลอดภัย (ผ่าน Smart Contract) และเปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้าถึงบริการการเงินได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง 5) ประเทศไทย และ Stable Coin สำหรับประเทศไทยนั้น Stable Coin เป็นที่พูดถึงมากขึ้นในระยะหลัง ซึ่งจริงๆแล้ว มีการทดลองการใช้งานมาในระยะหนึ่งแล้ว ในรูปแบบวงจำกัด ประเทศไทยมี “Regulatory Sandbox” ซึ่งจัดตั้งโดยธนาคารแห่งประเทศไทยเช่นกัน เพื่อเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินและผู้พัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาทดสอบภายใต้การกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เช่นการนำ stable coin มาใช้กับการทำ programmable payment, cross-border payment และในด้านอื่นๆ เช่น SCB 10X ส่ง Rubie Wallet แอปพลิเคชันกระเป๋าเงินดิจิทัลเข้าร่วมการทดสอบ Regulatory Sandbox ของ ธปท. และ ก.ล.ต. นำนวัตกรรมใหม่ด้านการเงิน ครั้งแรกของเมืองไทยด้วย PBM หรือ Purpose Bound Money  ที่แปลงเงินดิจิทัลที่ผูกกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็น THBX และสามารถทำธุรกรรมการชำระเงิน ภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดบนมือถือที่ปลอดภัย โดยจะเปิดตัวในงานสัมมนา DevCon 2024 โดย PBM จะสามารถตั้งเงื่อนไขอัตโนมัติเพื่อกำหนดการใช้จ่ายได้ในเขตพื้นที่และร้านค้าที่กำหนดเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการศึกษาจากกระทรวงการคลัง ในการพัฒนา Stablecoin ใหม่ มีพันธบัตรรัฐบาลที่ออกใหม่มาเป็นAsset-Backed มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท พร้อมตั้งแพลตฟอร์มเทรดใหม่เสร็จภายในปี 2568 นี้ และเตรียมขยายเฟสต่อไปเตรียมเปิดให้ Stablecoin ใช้ซื้อสินค้าได้ ผู้เขียน สุทธิรัตน์ หาญพานิชย์ Token X

“Token X” เตรียมเปิดจองซื้อโทเคนดิจิทัล “Summer Point Token” 24 ก.พ. -14 มี.ค.68

“Token X” เตรียมเปิดจองซื้อโทเคนดิจิทัล “Summer Point Token” 24 ก.พ. -14 มี.ค.68

          บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด หรือ “Token X” ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) เตรียมเปิดจองซื้อโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน “Summer Point Token” ที่ราคาโทเคนละ 0.50 บาท วันที่ 24 กุมภาพันธ์ – 14 มีนาคม 2568 นี้ ผ่านแอปพลิเคชัน “Token X” ชูจุดเด่นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนรูปแบบใหม่ ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นอาคารสำนักงาน Summer Point บนทำเลศักยภาพติด BTS พระโขนง มีอัตราการเช่าเฉลี่ยประมาณ 96% กลุ่มผู้เช่าหลากหลายและเป็นกลุ่มธุรกิจที่กำลังเติบโต มีทีมผู้บริหารอสังหาฯ ที่มีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งโทเคนดิจิทัลสามารถเทรดได้ในตลาดรอง พร้อมรับผลตอบแทนเป็นรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนทั้งโครงการเฉลี่ยต่อปี (IRR) เฉลี่ย 10.2%* ต่อปี และรับเงินต้นทยอยคืน 4% ต่อปี ตลอดอายุโครงการ           นางสาวจิตตินันท์ ชาติสีหราช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด หรือ Token X ภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลในประเทศไทย (ICO Portal) ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“สำนักงาน ก.ล.ต.”) เปิดเผยว่า การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในทำเลศักยภาพใจกลางเมืองต้องใช้เงินทุนสูง จึงเข้าถึงได้ยากสำหรับนักลงทุนรายย่อย บริษัท เดอะ อิชชูเออร์ จำกัด, บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC และ Token X เห็นถึงศักยภาพของสินทรัพย์ดิจิทัล จึงได้พัฒนา “Summer Point Token” โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนที่เชื่อมโยงโลกการเงิน และอสังหาริมทรัพย์เข้าด้วยกัน โดยมีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นอาคารสำนักงาน “Summer Point” บนทำเลทองใจกลางพระโขนง ติดถนนสุขุมวิทและ BTS พระโขนง เพื่อสร้างมิติใหม่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างโอกาสการลงทุนที่เข้าถึงได้ง่ายแก่นักลงทุนทุกระดับ รวมถึงสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว           ล่าสุด Token X เตรียมเปิดจองซื้อ Summer Point Token ผ่านแอปพลิเคชัน Token X และช่องทางอื่นตามที่กำหนดในหนังสือชี้ชวนฯ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ – 14 มีนาคม 2568 ที่ราคาเสนอขายโทเคนละ 0.50 บาท จองซื้อขั้นต่ำที่ 500 บาท (1,000 โทเคน) โดยหลังจากการเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Summer Point Token) แล้วเสร็จ ผู้ถือโทเคนดิจิทัลจะได้รับการจัดสรรโทเคนดิจิทัลของตนเข้าสู่กระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Wallet) ที่แจ้งไว้กับผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล และเมื่อโทเคนดิจิทัลเข้าจดทะเบียนในตลาดรองแล้ว ผู้ถือโทเคนดิจิทัลสามารถโอนย้ายไปยังกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ที่เปิดไว้ตลาดรองดังกล่าวได้ ซึ่งตลาดรองที่สามารถโอนไปได้นั้นต้องเป็นตลาดรองที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. และเป็นไปตามที่ระบุในหนังสือชี้ชวน           ทั้งนี้ สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดสรรผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิและเงินต้นทยอยคืน พร้อมแผนการเผาทำลายโทเคนดิจิทัล เพื่อรักษาสมดุลของมูลค่าโทเคนและตอบสนองต่อสัญญาการลงทุน มีดังนี้ 1) การจัดสรรผลตอบแทน และอัตราผลตอบแทน สำหรับโครงการซัมเมอร์พ้อยท์ ซึ่งเป็นการลงทุนในรูปแบบสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ (Leasehold) ซึ่งกำหนดให้มีการทยอยคืนเงินต้นแก่ผู้ถือโทเคนดิจิทัลในอัตราคงที่ 1.0% ของมูลค่าการระดมทุนเริ่มแรก (450 ล้านบาท) หรือคิดเป็น 4.5 ล้านบาทต่อไตรมาส โดยกระแสเงินสดที่เหลือหลังการชำระคืนเงินต้น จะถูกจัดสรรเป็นผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิ กรณีที่รายรับจากค่าเช่าสุทธิไม่เพียงพอ ผู้ออกโทเคนดิจิทัลจะคืนเฉพาะเงินต้นตามสัดส่วนที่เป็นไปได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ถือโทเคนได้รับผลตอบแทนต่ำกว่าคาดการณ์ ทั้งนี้ สำหรับอัตราผลตอบแทนทั้งโครงการเฉลี่ยต่อปี (IRR) คิดเป็น 10.2%* ต่อปี ตลอดอายุโครงการ โดยอัตราผลตอบแทนมีการประเมินโดยอ้างอิงจากสมมติฐานเกี่ยวกับอัตราการครองพื้นที่ รวมถึงอัตราการปรับเพิ่มค่าเช่าและค่าบริการในอนาคต ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนทั้งโครงการเฉลี่ยต่อปี (IRR) ดังกล่าวจะเป็นอัตราผลตอบแทนทั้งโครงการเฉลี่ยต่อปีเมื่อคำนวณจากการถือครองโทเคนดิจิทัลตั้งแต่วันเริ่มต้นโครงการจนถึงวันสิ้นสุดโครงการ หากการถือครองโทเคนดิจิทัลไม่ได้เป็นไปตามระยะเวลาดังกล่าว อัตราผลตอบแทนทั้งโครงการเฉลี่ยต่อปีอาจมีการเปลี่ยนแปลง 2) วันกำหนดสิทธิการจ่ายผลตอบแทน กำหนดไว้ที่ 00.01 น. ตามเวลาประเทศไทยของ 6 วันทําการภายหลังวันที่ 28 หรือ 29 กุมภาพันธ์ (แล้วแต่วันใดเป็นวันสิ้นสุดของเดือนในแต่ละปี) และวันที่ 15 ของเดือนพฤษภาคม สิงหาคม และพฤศจิกายน ของแต่ละปีจนกระทั่งสิ้นสุดโครงการโทเคนดิจิทัล และ 3) การเผาทำลายโทเคนดิจิทัล เพื่อบริหารจัดการปริมาณโทเคนในตลาด จำนวนโทเคนของผู้ถือโทเคนดิจิทัลจะถูกเผาทำลายในอัตราคงที่ 1.0% ต่อไตรมาส โดยกระบวนการดังกล่าวจะดำเนินการร่วมกับตลาดรองและผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล ในกรณีที่รอบการเผาทำลายแรกน้อยกว่า 3 เดือน อาทิ หากโครงการฯ เริ่มในเดือนมกราคม จะสะสมการเผาทำลายในรอบถัดไป อย่างไรก็ตาม โทเคนดิจิทัลคงเหลือทั้งหมดจะถูกเผาทำลายในไตรมาสสุดท้ายของโครงการ           “Summer Point Token เป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจ เปิดโอกาสให้นักลงทุนทุกระดับสามารถเข้าถึงการลงทุนในโทเคนดิจิทัลที่มีอาคารสำนักงาน บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง เป็นสินทรัพย์อ้างอิง ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นจำนวนน้อย พร้อมรับผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิ และเงินต้นทยอยคืนตลอดอายุโครงการ ตอบโจทย์นักลงทุนที่มองหาการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มีผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและมั่นคงในระยะยาว โดยมีอาคารสำนักงาน Summer Point เป็นสินทรัพย์อ้างอิง” นางสาวจิตตินันท์ กล่าว           นายปรับชะรันซิงห์ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC ผู้นำด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้โมเดลธุรกิจ “สร้าง-ดำเนินการ-ขาย” (Build-Operate-Sale : BOS) กล่าวว่า Summer Point Token เป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน ที่มุ่งนำเสนอโอกาสการลงทุนแบบใหม่ที่เข้าถึงง่าย ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) เพื่อผู้ที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์อ้างอิง โดยมีจุดเด่นดังนี้ 1) ทรัพย์สินของโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ที่มีศักยภาพทางธุรกิจสูง ในทำเลทองบนถนนสุขุมวิท ติด BTS พระโขนง และทางด่วนฉลองรัช ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่เชื่อมต่อไปยังสถานที่สำคัญต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย ทั้งยังรายล้อมด้วยแหล่งช็อปปิ้ง โรงพยาบาล และสถานศึกษาชั้นนำ ส่งผลให้ทำเลดังกล่าวมีแนวโน้มค่าเช่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 2) อาคารทันสมัย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ โครงการออกแบบภายใต้แนวคิด “Work & Play” รองรับการใช้ชีวิตแบบ Work-Life Flow ด้วยพื้นที่ให้เช่าแบบครบวงจร ทั้ง Co-working Space และสำนักงานขนาดย่อม พร้อมพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยประมาณ 96% และมีแนวโน้มค่าเช่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3) ผู้เช่าหลากหลาย ลดความเสี่ยงในการลงทุน ทรัพย์สินของโครงการมีผู้เช่าจากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น สื่อบันเทิง, ร้านอาหาร, ธุรกิจเสริมความงาม เป็นต้น ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีความมั่นคงและมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต 4) เปิดโอกาสลงทุนในโทเคนดิจิทัลที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นอสังหาฯ ด้วยเงินลงทุนจำนวนน้อย โดย “Summer Point Token” ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยให้การทำธุรกรรมโปร่งใส ปลอดภัย และตรวจสอบได้ และยังสามารถซื้อขายโทเคนดิจิทัลในตลาดรองได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตลงทุน นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนทุกกลุ่มเข้าถึงการลงทุนในอาคารสำนักงาน โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก และ 5) บริหารโดยทีมผู้บริหารมืออาชีพ โดย บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ มีทีมบริหารที่มีความชำนาญในการจัดการทรัพย์สินอย่างมืออาชีพ ตั้งแต่การหาผู้เช่า การดูแลรักษาทรัพย์สิน จนถึงเพิ่มมูลค่าแก่โครงการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นคงในระยะยาว           “Summer Point Token เป็นมากกว่าแค่โทเคนดิจิทัล แต่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกอสังหาริมทรัพย์และโลกดิจิทัล ด้วยทำเลทองบนถนนสุขุมวิทที่โดดเด่น และอาคารที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ทำให้ Summer Point Token  จึงเป็นทางเลือกการลงทุนรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และมองหาผลตอบแทนที่ยั่งยืน พร้อมความมั่นคงจากการบริหารงานโดยทีมผู้เชี่ยวชาญของ บูทิค คอร์ปอเรชั่น” นายปรับชะรันซิงห์ กล่าว หมายเหตุ:           *อัตราผลตอบแทนมีการประเมินโดยอ้างอิงจากสมมติฐานเกี่ยวกับอัตราการครองพื้นที่ รวมถึงอัตราการปรับเพิ่มค่าเช่าและค่าบริการในอนาคต ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนทั้งโครงการเฉลี่ยต่อปี (IRR) ดังกล่าวจะเป็นอัตราผลตอบแทนทั้งโครงการเฉลี่ยต่อปีเมื่อคำนวณจากการถือครองโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนตั้งแต่วันเริ่มต้นโครงการจนถึงวันสิ้นสุดโครงการ หากการถือครองโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนไม่ได้เป็นไปตามระยะเวลาดังกล่าว อัตราผลตอบแทนทั้งโครงการเฉลี่ยต่อปีอาจมีการเปลี่ยนแปลง **คำเตือน: โทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนใน Summer Point Token สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ได้แล้ววันนี้ที่เว็บไซต์ Summer Point Token https://bit.ly/4aPbv6n หรือเว็บไซต์ สำนักงาน ก.ล.ต. https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSTD01.aspx?TransID=655028&lang=th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร: 02-949-1399, Line Official: @Tokenx หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Token X: https://tokenxapp.page.link/c6wA [PR News]

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

Blockchain โปร่งใส-ตรวจสอบได้สำหรับ Supply Chain [HoonVision x TokenX]

Blockchain โปร่งใส-ตรวจสอบได้สำหรับ Supply Chain [HoonVision x TokenX]

บันไดแห่งความโปร่งใส : ทำบัญชีอย่างไรให้ถูกใจสาย Supply Chain Supply Chain Management and Blockchain Technology Series: Episode 2           ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และ ซับซ้อน การที่เราจะอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่นั้นๆ ก็ไม่ต่างจากการปีนบันไดแห่งความโกลาหลที่มองไม่เห็น เหมือนกับที่ Petyr Baelish หรือ Littlefinger เจ้านิ้วก้อยผู้เจ้าเล่ห์จากซีรีย์เรื่อง Game of Thrones ได้กล่าวไว้ว่า “Chaos is a ladder” ความโกลาหลนั้นไม่ได้เป็นเพียงความวุ่นวายที่ไม่มีจุดหมาย แต่มันคือบันไดสำหรับผู้ที่ฉลาดพอที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้ Lord Baelish มองความไม่แน่นอนของโลกใบนี้เป็นโอกาสที่ซุกซ่อนอยู่ ซึ่งผู้ที่มองเห็นโอกาสในโครงสร้าง และ เส้นทางในความยุ่งเหยิงนั้นจะสามารถไต่ขึ้นไปยังจุดสูงสุดได้           อย่างในโลกของการเงิน ความโกลาหลเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในระบบ แม้จะมีการกำกับดูแล และ มาตรการควบคุมจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ความซับซ้อนของกฎระเบียบ ธุรกรรมที่ไม่โปร่งใส และ การพึ่งพาคนกลาง ทำให้เกิดจุดบอด และ มีช่องว่างอยู่เสมอ           แต่ด้วยการกำเนิดของสิ่งที่ Satoshi Nakamoto ได้คิดค้นขึ้นมาสิ่งที่เรียกว่า Blockchain และ Bitcoin มาเพื่อช่วยให้ความยุ่งเหยิงนี้สามารถถูกแปรเปลี่ยนเป็นความโปร่งใสอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน           ความเจ๋งของ Satoshi คือ การนำเสนอระบบที่ทำให้ทุกธุรกรรมถูกบันทึก และ ยืนยันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนกลาง ทำให้เส้นทางการเงินถูกติดตามได้อย่างแม่นยำ และ ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน เหมือนกับการควบคุมความโกลาหลให้อยู่ในมือ และ ได้สร้างรากฐานใหม่ ที่ทำให้ผู้คนสามารถเชื่อมั่นในระบบที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของทุกคน           ในเกมแห่งอำนาจ ความโกลาหล เป็นได้ทั้งอุปสรรค และ โอกาส เช่นเดียวกันกับโลกของ Supply Chain ที่มีความโกลาหลอยู่มากมายโดยเฉพาะเรื่องการสร้าง Traceability และ จัดการข้อมูลที่ซับซ้อน และ แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เปรียบเสมือนการปีนบันไดแห่งความโกลาหลนี้ ถ้าเราสามารถใช้ความไม่แน่นอน และ ความวุ่นวายให้เกิดประโยชน์ มันจะพาเราไปสู่จุดที่กลายเป็นผู้ไม่พร้อมจะตกจากบันไดแห่งเกมนี้           ใน Episode ที่ 2 นี้ผู้เขียนจะพาทุกท่านไปดูกันว่าการสร้าง Traceability ในโลกของ Supply Chain ด้วยกันกับคู่หูอย่าง Blockchain จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ด้วยการประยุกต์ใช้หลักการทำบัญชีของ Bitcoin           จากที่ได้เกริ่นไปเบื้องต้นถึงต้นกำเนิดของเทคโนโลยี Blockchain และ Bitcoin ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะมาช่วยเปลี่ยนความโกลาหล ยุ่งยากในการทำ Traceability ให้กลายเป็น Solution ที่มีคุณค่า และ มีประสิทธิภาพ           โดยการนำหลักการทำบัญชีของ Bitcoin มาเป็นสารตั้งต้น หรือที่เรียกกันว่า UTXO ด้วยการบันทึกข้อมูลที่โปร่งใส และ เชื่อถือได้ ในทุกขั้นตอนของ Supply Chain จะถูกติดตามและยืนยันได้อย่างแม่นยำ ยิ่งในปัจจุบันที่ทุกคนมีสิทธิที่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้อย่างเสรี เราจะเห็นว่าการสร้าง Traceability จะไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Supply Chain เท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค และ สังคมในวงกว้างอีกด้วย UTXO (Unspent Transaction Output)           หลักการทำงานของการจดบัญชีแบบ UTXO อาจดูซับซ้อน แต่ถ้ามองดีๆ แล้วมันมีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่เราใช้กันเป็นปกติในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ซึ่งก็คือการใช้เงินที่เป็น เหรียญ หรือ ธนบัตร นั่นเอง           ลองนึกภาพการจดบัญชีแบบ UTXO เป็นการบันทึกการใช้เหรียญ หรือ ธนบัตรที่เหลือหลังจากที่เราใช้จ่ายเงินแต่ละครั้ง โดยจะบันทึกไว้ว่าเราได้รับเงินมาเท่าไหร่ และใช้จ่ายเท่าไหร่ โดยไม่สนใจว่าจำนวนเงินทั้งหมดในกระเป๋าของเรามีเท่าไหร่ ณ เวลานั้น เพื่อให้เห็นภาพง่าย ๆ ลองดูตัวอย่างนี้ครับ ตัวอย่างแบบง่ายๆ ครับ สมมติว่า คุณมีธนบัตร 100 บาท จำนวน 1 ใบ ในทางบัญชีจะมีการบันทึกว่า คุณมีธนบัตร 1 ใบที่ยังไม่ได้ใช้งาน ซึ่งมีมูลค่า 100 บาท ธนบัตร 100 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) -> เจ้าของคือ คุณ ยอดคงเหลือของคุณคือ 100 บาท คุณต้องการซื้อของจากร้านอาหาร ราคา 70 บาท แต่ธนบัตรที่คุณมีนั้นเป็นธนบัตรที่มีมูลค่า 100 บาท จำนวน 1 ใบ ดังนั้นคุณต้องใช้ธนบัตรนี้เต็มมูลค่า ในการทำธุรกรรม โดยในทางบัญชี จะทำการบันทึกธุรกรรมในลักษณะนี้ บันทึกว่า ธนบัตร 100 บาท ถูกใช้งานไปแล้ว ซึ่งธนบัตรนั้นมีมูลค่า 100 บาท แต่ของที่ต้องการซื้อนั้น มีราคา 70 บาท ฉะนั้นมันจะมีส่วนต่างที่เป็นจำนวน 30 บาท ในทางบัญชีจะทำการสร้างธนบัตรใหม่ขึ้นมา 2 ใบให้สอดคล้องกับ usecase และ ยอดคงเหลือรวมดังนี้ ธนบัตร 100 บาท 1 ใบ (ใช้งานไปแล้ว) ธนบัตร 70 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) ธนบัตร 30 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) ยอดคงเหลือของคุณคือ 100 บาท ยอดคงเหลือของร้านค้าคือ 0 บาท ซึ่งจะมีการบันทึกว่าทั้ง 2 ธนบัตรนี้เป็นธนบัตรที่ยังไม่ถูกใช้งาน และ ทำการบันทึกความเป็นเจ้าของของ ธนบัตรมูลค่า 70 บาท คือ ร้านอาหาร และ ความเป็นเจ้าของของ ธนบัตรมูลค่า 30 บาท คือ คุณ ธนบัตรมูลค่า 70 บาท จำนวน 1 ใบ ก็คือเงินที่คุณใช้จ่ายให้ร้านอาหารไป และ ธนบัตรมูลค่า 30 บาท จำนวน 1 ใบ คือ เงินที่เหลือ ธนบัตร 100 บาท 1 ใบ (ใช้งานไปแล้ว) ธนบัตร 30 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) ยอดคงเหลือของคุณคือ 30 บาท ยอดคงเหลือของร้านค้าคือ 70 บาท ดังนั้นหลังจากการซื้อของจากร้านอาหาร 70 บาท ทางบัญชีแสดงผลออกมาว่า คุณมี ธนบัตรมูลค่า 30 บาท 1 ใบที่ยังไม่ได้ใช้งาน และ มีธนบัตรมูลค่า 100 บาท 1 ใบ ที่ใช้งานไปแล้ว ซึ่งธนบัตรมูลค่า 30 บาท 1 ใบสามารถนำไปใช้ในการทำธุรกรรมครั้งถัดไปได้ แต่ ธนบัตรมูลค่า 100 บาท 1 ใบจะไม่สามารถใช้ทำธุรกรรมใดๆ ได้อีก           จะเห็นได้ว่าการจดบัญชีแบบ UTXO นั้นมีความซับซ้อน และ ยุ่งยากกว่าการจดบัญชีทั่วๆไป เนื่องจากในระบบ UTXO เราไม่สามารถ แบ่งเหรียญ ออกมาได้ตรงๆ เช่น การใช้ธนบัตร 100 บาทแค่บางส่วน จึงจำเป็นต้องใช้ทั้ง UTXO ที่มีมูลค่ารวมกันเพียงพอเพื่อครอบคลุมยอดชำระ หากมีเศษเหลือก็จะถูกสร้างเป็นเหรียญใหม่เหมือนเงินทอน ซึ่งทำให้การจดบัญชีแบบนี้บน Blockchain สามารถติดตามเหรียญแต่ละเหรียญได้อย่างแม่นยำ และในระบบบัญชีบน Blockchain ทุกธุรกรรมจะมีการบันทึกว่า UTXO ไหนถูกใช้แล้วบ้าง ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ และบันทึกการสร้าง UTXO ใหม่ ทำให้สามารถตรวจสอบการถือครอง และ ความถูกต้องของเหรียญได้อย่างแม่นยำ และเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการทั้งหมด           การนำหลักการของ UTXO มาใช้สร้าง Traceability ให้กับ Asset ใน Supply Chain สามารถช่วยให้แต่ละ สินทรัพย์ หรือ วัตถุดิบถูกติดตามได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยหลักการนี้สามารถทำให้เห็นได้ว่าในแต่ละช่วงเวลาใครเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นบ้าง และ สินทรัพย์นั้นถูกเปลี่ยนมือหรือตรวจสอบสถานะในแต่ละขั้นตอนอย่างไรบ้าง Asset Tracking & Traceability           ในระบบ UTXO ในแต่ละหน่วยที่ยังไม่ถูกใช้งานจะมีตัวตนเฉพาะตัว ดังนั้นสินทรัพย์ใน Supply Chain ก็สามารถบันทึกเป็นหน่วยในลักษณะแบบนี้ได้ ซึ่งมีประโยชน์ดังนี้:           การบันทึกความเป็นเจ้าของ เมื่อสินค้าถูกส่งต่อจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เช่น จากผู้ผลิตไปยังผู้จัดจำหน่าย จะต้องมีการจดบันทึกโดยอ้างอิงมาจากหลักการของ UTXO ที่แสดงถึงการโยกย้ายความเป็นเจ้าของของสินทรัพย์นั้นๆ           การติดตามสถานะ ทุกการเคลื่อนย้าย หรือ เปลี่ยนสถานะของสินค้าจะต้องมีการจดบันทึกข้อมูลสถานะของสินทรัพย์นั้นๆ ในลักษณะที่ทำให้ระบบสามารถติดตามได้ว่าสินค้าชิ้นนั้นผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้างและสถานะล่าสุดอยู่ที่ไหน รวมถึงใครเป็นเจ้าของ หรือ ดูแลในแต่ละช่วงเวลา           การป้องกันการใช้ซ้ำ เช่นเดียวกับการลงบัญชีแบบ UTXO การใช้สินทรัพย์หรือ UTXO หนึ่งไปแล้วจะไม่สามารถใช้อีกได้ เช่น สินค้าที่ถูกส่งออกแล้วจะไม่มีอยู่ในคลังเดิมอีก ทำให้ระบบสามารถป้องกันการใช้สินค้าซ้ำ หรือ สินค้าสูญหายได้           ความโปร่งใส และ การตรวจสอบ ในทุกๆ สินค้าจะมีบันทึกสถานะและเวลา ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องใน Supply Chain สามารถตรวจสอบได้ว่าสินค้าผ่านการตรวจสอบหรือขั้นตอนใดมาแล้วบ้าง และใครเป็นผู้รับผิดชอบในช่วงเวลานั้นๆ โดยอาจจะมีกระบวนการ Transaction History Tracing ที่เกี่ยวข้องกับการบันทึกทั้งหมดใน Supply Chain เพิ่มเติมเข้ามาด้วย Transaction History Tracing เป็นกระบวนการตรวจสอบ และ ติดตามประวัติธุรกรรมย้อนหลังของสินทรัพย์บน Blockchain เพื่อหาว่าเงิน หรือ สินทรัพย์นั้นเคยถูกโอนผ่านใคร หรือ ใช้ในธุรกรรมใดบ้างตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง การทำงานนี้ใช้ได้กับระบบ Blockchain ที่มีการบันทึกข้อมูลธุรกรรมทั้งหมด และ ข้อมูลเหล่านั้นเชื่อมโยงกันในลักษณะเป็น Chain           จบกันไปแล้วครับกับ Episode 2 Accounting อย่างไรให้ถูกใจสาย Chain จากเนื้อหาทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า การใช้หลักการทำบัญชีของ Bitcoin หรือ UTXO ใน Supply Chain นั้นจะช่วยให้เรามี ระบบ Tracking & Traceability ที่โปร่งใสมากโดยทุกคนสามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวของสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำได้ ลดปัญหาการปลอมแปลงข้อมูลใน Supply Chain และทำให้ทุกขั้นตอนของการเคลื่อนย้าย หรือ เปลี่ยนสถานะของสินค้าถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนทั้งหมด ผู้เขียน Tinnakorn Pornsontisakul รายละเอียดเพิ่ม คลิก

ผสานพลัง Blockchain - Supply Chain เปลี่ยนอนาคตโลกอุตสาหกรรม [HoonVision x TokenX]

ผสานพลัง Blockchain - Supply Chain เปลี่ยนอนาคตโลกอุตสาหกรรม [HoonVision x TokenX]

Blockchain x Supply Chain: ทำความรู้จักกับคู่หูทรงพลังแห่งโลกอุตสาหกรรม Supply Chain Management and Blockchain Technology Series: Episode 1 ในโลกของเรา มีสัจธรรมที่บอกถึงคุณค่าของสิ่งมีชีวิตอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือ ความเก่ง ทุกชีวิตบนโลกต่างมีความสามารถเฉพาะตัวที่โดดเด่น เช่น กระต่ายเก่งในการวิ่ง นกเก่งในการบิน หรือ ปลาเก่งในการว่ายน้ำ ความเก่งในแต่ละแบบนั้นแสดงถึงการปรับตัว และ ความอยู่รอดในโลกนี้ แต่เมื่อใดที่ความเก่งของแต่ละสิ่งแตกต่างกัน และ ต้องเผชิญหน้าในสถานการณ์ หรือ อุปสรรคที่แตกต่างกันไป พวกเค้ามักจะต้องการ “คู่หู” ที่เก่งในแบบของตนเองมาช่วยกัน เพื่อให้การทำงานหรือการเอาชีวิตรอดเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ แสดงถึง ภาวะความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกันกับในโลกของธุรกิจและอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนที่ต้องอาศัยการจัดการที่ดี จากประสบการณ์ที่ผูเขียนเป็น Software engineer ที่โลดแล่นอยู่ในวงการ Financial มาโดยตลอด ได้เห็น Evolution ของเทคโนโลยีที่ทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินของทั่วทั้งโลกเปลี่ยนแปลงไป นับตั้งแต่การเกิดขึ้นของ FinTech ไม่ว่าจะเป็น Mobile banking หรือ Trend อย่าง Cashless Society ทั้งหลาย ไปจนถึงการนำ Blockchain มาใช้ในการสร้างความโปร่งใส และ ความปลอดภัยในการทำธุรกรรม และ ในวันนี้เรากำลังเห็นเทคโนโลยี Blockchain ไม่ได้หยุดอยู่แค่โลกของการเงินเท่านั้น แต่มันกำลัง Expand ไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย รวมไปถึงวงการ Supply Chain ซึ่งเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงสินค้าจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค Supply Chain Management เป็นหนึ่งในกระบวนการที่มีการเคลื่อนย้ายโยกย้ายข้อมูล และ สินค้าอย่างรวดเร็ว การขนส่งจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งจะต้องมีการตรวจสอบติดตามข้อมูลอย่างละเอียด และ มีความโปร่งใส แต่ Supply Chain เองก็มีข้อจำกัด และ ข้อด้อยบางอย่างในการทำงานส่งผลให้มีประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผลที่ค่อนข้างแย่ นั่นจึงเป็นที่มาของการหา “คู่หู” ที่มี Relation ที่เหมาะสมในแบบของ Protocooperation เพื่อให้การเปลี่ยนถ่ายยุคสมัยนั้นเป็นไปได้ด้วยดี โดยเทคโนโลยีจะที่เข้ามาเป็น “คู่หู” ในการช่วยเหลือ Supply Chain นั่นก็คือ Blockchain Protocooperation คือ ความสัมพันธ์แบบได้ประโยชน์ร่วมกัน (+, +) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของ 2 สิ่งแบบได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน สามารถขาดกันได้ถึงแม้ว่าจะแยกกันอยู่ก็สามารถดำรงชีวิตหรือทำงานต่อไปได้ตามปกติ Blockchain นั้นเก่งในเรื่องของการสร้างความโปร่งใส และ ความปลอดภัยในการบันทึกข้อมูล และ ด้วยความสามารถในการทำงานแบบ Decentralized Ledger ที่มีกลไกที่ทำให้ข้อมูลไม่สามารถถูกปลอมแปลงได้ อีกทั้งยังทนทานต่อความเสียหายได้อีกด้วย และ ทุกความเคลื่อนไหวสามารถตรวจสอบได้แบบ Real Time ความเก่งกาจในด้านนี้ของ Blockchain จะเข้ามาช่วยเสริมจุดแข็งและแก้จุดอ่อนของ Supply Chain ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเมื่อจับคู่พวกเค้าร่วมกัน เราก็จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรม Supply Chain ไปในทิศทางที่น่าสนใจอย่างแน่นอน โดยตลอด Series นี้ จะพาทุกคนไปดูรายละเอียดต่างๆที่น่าสนใจที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลก Supply Chain และ บทบาทของ เทคโนโลยี Blockchain ที่จะส่งผลต่อธุรกิจเหล่านี้กัน ซึ่งใน Episode 1 นี้ ทุกคนจะได้เห็นว่าทำไมการผสานพลังของ “คู่หู” สองสิ่งนี้ถึงสำคัญและมันจะมาเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรม Supply Chain ได้อย่างไร ก่อนจะไปพูดถึงการรวมกันของ 2 คู่หูสุดเทพ อย่าง Blockchain และ Supply Chain เราคงต้องย้อนมาพูดถึง Supply Chain Management ก่อนว่ามันคืออะไรและมีความสำคัญอย่างไรในโลกธุรกิจ และ อุตสาหกรรม รู้จักกับ Supply Chain สักหน่อย Supply Chain Management คือ กระบวนการที่เชื่อมโยงทุกจุดในระบบ ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบ การขนส่งสินค้า ไปจนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ถึงมือผู้บริโภค ที่มีความครอบคลุมทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะช่วยให้การ Manage นั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้การผลิต และ กระจายสินค้าดำเนินไปอย่างราบรื่น ประหยัดต้นทุน และ มีประสิทธิภาพสูงสุด ในยุคที่โลกเรามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความต้องการของลูกค้าที่ผันผวน และ การแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น ส่งผลให้ในหลายๆ ธุรกิจ และ อุตสาหกรรม Supply Chain ต้องปรับตัวให้ทันตามกระแสของโลก โดยความคล่องตัว และ ประสิทธิภาพ เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับธุรกิจ และ อุตสาหกรรมในยุคนี้ เพราะเพียงแค่ล่าช้า หรือ ผิดพลาดเพียงเพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่ทั้งหมด ซึ่งอาจจะส่งผลเสียอย่างมากต่อธุรกิจ อุตสาหกรรม จนอาจจะนำไปถึงจุดที่ทำให้สูญเสียรายได้ หรือ ลูกค้าเลยก็เป็นได้ และที่สำคัญกว่านั้น Supply Chain ยังเป็นสิ่งที่สร้างการเชื่อมโยงให้กับหลายๆอุตสาหกรรม หากการจัดการ Supply Chain มีปัญหา มันอาจจะส่งผลกระทบต่อกันเป็นลูกโซ่ให้กับ Stakeholder ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต, ผู้จัดจำหน่าย หรือ แม้แต่ผู้บริโภค และ ยิ่งเราอยู่ในยุคที่ทิศทางของธุรกิจมีความเป็น Global สูง มีการส่งออก และ ซื้อขายกันในระดับ Global อย่างมากมาย ทำให้ความถูกต้องแม่นยำ และ ความโปร่งใสในการติดตามสินค้าจึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็นมา เพราะฉะนั้นแล้วการมีระบบที่มีประสิทธิภาพ พร้อมด้วยความสามารถในการติดตามที่น่าเชื่อถือ และ โปร่งใส จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนแปลงธุรกิจ Supply chain ให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ Supply Chain Management ที่ดีไม่ได้มีเพื่อแค่ทำให้เราส่งสินค้าตรงเวลาเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงการบริหารความเสี่ยง การสร้างความโปร่งใสในการตรวจสอบ และ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรอีกด้วย รู้จักกับ Blockchain สักนิด และเมื่อเราพูดถึงการสร้างระบบ Supply Chain Management ที่มีประสิทธิภาพ ที่มีทั้ง ความน่าเชื่อถือ และ ความโปร่งใส เทคโนโลยี Blockchain กลายเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากมีคุณสมบัติที่สอดคล้องกับความต้องการของการทำ Supply Chain Management ในโลกปัจจุบัน Blockchain คือ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลรูปแบบหนึ่ง โดยข้อมูลจะถูก Save ในลักษณะของ Block ซึ่งในแต่ละ Block นั้นจะมี Signature เป็นของตัวเอง โดย Signature ของ Block นั้นจะถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลภายใน Block ผสานเข้ากับ Signature ของ Block ก่อนหน้า ซึ่งเป็นการสร้างการเชื่อมโยงกันระหว่าง Block โดยในลักษณะแบบนี้ เราเรียกว่า Chain ส่งผลให้ข้อมูลที่ถูกบันทึกลง Block ไปแล้วนั้นไม่สามารถแก้ไขหรือปลอมแปลงได้ เพราะเมื่อข้อมูลนั้นถูกแก้ไข เจ้าตัว Signature ของ Block ก็จะเปลี่ยนไปส่งผลให้ Signature ใหม่นั้น ไม่ตรงกับ Signature ที่เก็บอยู่ใน Block ถัดไป และ ก็จะ Effect แบบนี้ไปจนถึง Block สุดท้ายของ Chain หลายๆ คนอาจจะมีความเข้าใจผิดกับคำว่า “ข้อมูลที่เก็บอยู่บน Blockchain ไม่สามารถแก้ไขได้” คำว่า “ไม่สามารถแก้ไขได้” หมายถึง การที่เราไม่สามารถเข้าไป Replace ข้อมูลเดิมที่มีอยู่บน Blockchain ได้ แต่ยังสามารถทำการ Update ข้อมูลเข้าไปใหม่ได้ ซึ่งจะเป็นการแก้ไขในลักษณะของ Trail ยกตัวอย่าง เช่น มีแมวชื่อ A อยู่บน Blockchain แล้วต้องการแก้ไขจากชื่อ A เป็นชื่อ B ก็ สามารถทำได้ตามปกติเลย แต่แมวตัวนั้น ก็จะมี Trail ว่าเคยตั้งชื่อ A อยู่ด้วย สรุปสั้นๆ การแก้ไขข้อมูลบน Blockchain สามารถทำได้แต่จะเป็นในลักษณะของการ Update ที่จะมี Trail ตามหลังเสมอครับ สำหรับธุรกิจ อุตสาหกรรม Supply Chain นั้น Blockchain จะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการทำ Supply Chain Management และ มันยังช่วยส่งเสริมการทำงานให้กับ ระบบ MES ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการผลิต และ การจัดส่งสินค้าให้มีการจัดการที่ดีขึ้น และ ประสิทธิภาพสูง ระบบ MES คือ ระบบที่ใช้ในการจัดการ และ ควบคุมกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม โดยระบบนี้ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างแผนการผลิต (เช่น ERP หรือ Enterprise Resource Planning) และ การทำงานในระดับภาคพื้น โดยระบบ MES จะช่วยเก็บข้อมูล และ ติดตามกระบวนการต่างๆ ในโรงงาน เพื่อให้สามารถมองเห็นภาพรวมของการผลิตในแบบ Realtime และ ช่วยให้การจัดการกระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น และจากนี้ขอขยายความถึงคุณสมบัติที่ว่า “จะเป็นปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนแปลงธุรกิจ Supply Chain ให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ” ที่มีในตัว Blockchain อย่างแรกความโปร่งใส (Transparency) ในทุกๆ การบันทึกข้อมูลที่เกิดขึ้นในระบบ Blockchain จะถูกเก็บอย่างเปิดเผยในบัญชีกลาง (Distributed Ledger) ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบข้อมูลได้แบบ Realtime โดยข้อมูลเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไข หรือ เปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย ทำให้การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจะกลายเป็นเรื่องง่ายดาย และ ช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับทุกๆ Stakeholder ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย อย่างที่สองการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เป็นคุณสมบัติที่เรียกได้ว่าจะเป็นจุดเด่นที่สร้างความได้เปรียบอย่างมากเมื่อใช้ Blockchain ใน Supply Chain โดยทุกครั้งที่มีการเคลื่อนย้ายสินค้า หรือ มีการเปลี่ยนแปลงสถานะ ระบบ Blockchain จะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ไว้ในทุกขั้นตอน ทำให้ Stakeholder ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้บริโภค สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปของสินค้าได้อย่างละเอียด ยกตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่นำเข้า และ การรายละเอียดการใช้งานต่างๆ ในสายการผลิตอย่างชัดเจน ในขณะที่ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบประวัติของสินค้านั้นอย่างละเอียดได้ไม่ว่าจะเป็น ตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต ประวัติการขนส่งตั้งแต่สายการผลิตจนถึง Shelf ที่วางขายสินค้านั้น และ ส่งต่อไปถึงมือของผู้บริโภคได้ และอย่างสุดท้ายคือ ความปลอดภัย (Security) ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติเด่นที่สุดของ Blockchain ด้วยการใช้เทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยต่างๆ ทำให้ข้อมูลที่ถูกบันทึกใน Blockchain ไม่สามารถถูกปลอมแปลง หรือ เข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยปกติแล้วในการ Hosting Blockchain มาใช้งานนั้น เราจะมีการ DeclareNetwork ที่เปรียบเสมือน Community ที่ช่วยจะกันเก็บข้อมูล ซึ่งภายใน Community นั้นก็จะประกอบไปด้วย Node หลายๆ Node ที่เก็บข้อมูล และ Sync ข้อมูลกันอยู่ตลอดเวลาโดยข้อมูลที่เก็บอยู่บน Blockchain นั้นจะถูกกระจายไปยังทุก Node ใน Network ทำให้การโจมตี หรือ Hack ข้อมูลเป็นเรื่องยากมาก ซึ่งเป็น Mechanism ที่ช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับทั้งข้อมูล และ การทำธุรกรรมต่างๆ และด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ Blockchain จึงกลายเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเสริมประสิทธิภาพและสร้างความไว้วางใจให้กับระบบ Supply Chain ไม่ว่าจะเป็นการลดข้อผิดพลาดในกระบวนการต่างๆ การสร้างความโปร่งใสในทุกขั้นตอน หรือ การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ไม่สามารถถูกละเมิดได้ ในปัจจุบัน ระบบ Supply Chain มักจะพบเจอปัญหาหลายอย่าง ซึ่งปัญหาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ Blockchain สามารถเข้ามาช่วยแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น การขาด Traceability ของสินค้า และ วัตถุดิบ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ส่งผลให้เกิดการปลอมแปลงสินค้า ที่ยากจะตรวจสอบ และ อาจทำให้ขาดความเชื่อมั่นกัน ใน Stakeholder ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และผู้บริโภค และ การที่ไม่มีระบบที่สร้างความชัดเจน และ ความโปร่งใสทำให้หลายฝ่ายไม่สามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ได้รับมีความถูกต้อง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ Blockchain สามารถช่วยได้โดยการนำมาสร้างเป็นระบบที่มีความน่าเชื่อถือ และ โปร่งใส ทำให้ Stakeholder สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกการเคลื่อนไหวของสินค้าหรือข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มาของวัตถุดิบ สิ่งเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่น และ โปร่งใสให้กับผู้มีส่วนร่วมทุกฝ่าย ตัวอย่างการใช้งาน 1). การสร้าง Traceability ของอาหาร ในอุตสาหกรรมอาหาร ความสามารถในการทำ Traceability ตั้งแต่ ฟาร์ม สู่ จาน ของผู้บริโภคนั้นมีความสำคัญมาก หากเกิดปัญหา เช่น การปนเปื้อนของอาหาร Blockchain ช่วยให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งที่มาของวัตถุดิบได้ทันทีว่าอาหารเหล่านั้นมาจากที่ใด ผ่านกระบวนการใดมาบ้าง และใครเป็นผู้จัดส่ง สิ่งนี้ช่วยให้กระบวนการเรียกคืนสินค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายต่อผู้บริโภคในวงกว้างได้อีกด้วย นอกจากจะช่วยในเรื่องของการตรวจสอบ การสร้าง Traceability ยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับอาหาร หรือ สินค้านั้นๆ ด้วย เป็นการสร้าง Story ให้กับอาหาร หรือ สินค้า เช่น Steak เนื้อจานนี้ ตั้งแต่เด็กถูกเลี้ยงด้วยหญ้าที่นำเข้ามาจากแหล่งที่มาชั้นยอด อาบน้ำวันละ 3 หน ให้ดื่มน้ำแร่จากเทือกเข้าแอลป์ ผ่านการตัดแต่ง และ ปรุงโดยเชฟที่มีชื่อเสียง ก่อนจะมาถึงร้านอาหารนี้ หรือ อีกตัวอย่างนึงคือ กระเป๋าใบนี้ ถูกทำมาจากหนังจระเข้ในป่าอเมซอน ที่เย็บโดยช่างทำกระเป๋าชื่อดังจากฝรั่งเศษ และ เคยผ่านการใช้งานมาจากดาราชื่อดัง เป็นต้น จากตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้าง Traceability กับ อาหารซึ่ง Regulator ในบางประเทศได้ออกมาตรการบังคับในการจัดการเรื่องนี้อย่างเข้มงวด เช่น FDA ของ USA ได้ออกมาตรการในการทำ Traceability กับอาหารในบางประเภทที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งจะช่วยในการป้องกัน และ จัดการปัญหาด้านความปลอดภัยของอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการมุ่งเน้นให้ทุกฝ่ายใน Supply Chain มีระบบบันทึกข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน และ สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2026 แหล่งข่าวที่มา: https://www.fda.gov/food/food-safety-modernization-act-fsma/fsma-final-rule-requirements-additional-traceability-records-certain-foods 2). การรับรองความถูกต้องของชิ้นส่วนอะไหล่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ การปลอมแปลงชิ้นส่วนอะไหล่เป็นปัญหาที่รุนแรงมาก และ อาจเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่ การนำ Blockchain มาใช้ในระบบ Supply Chain ของอุตสาหกรรมนี้ช่วยให้สามารถตรวจสอบได้ว่าชิ้นส่วนทุกชิ้นที่ถูกส่งไปยังโรงงานประกอบรถยนต์ หรือ ร้านซ่อมเป็นของแท้หรือไม่ เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับชิ้นส่วนจะถูกบันทึกไว้ในระบบตั้งแต่การผลิต การจัดส่ง จนถึงผู้ใช้งานปลายทาง ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถแก้ไขหรือปลอมแปลงได้ง่าย สรุป EP.1 การทำ Supply Chain Management เป็นกระบวนการที่จำเป็นมากในการจัดการวัตถุดิบ สินค้า และ ข้อมูลในเครือข่ายโลจิสติกส์ เพื่อให้ธุรกิจดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในความเป็นจริงธุรกิจ และ อุตสาหกรรมในระบบ Supply Chain นั้นมีความซับซ้อน ยุ่งยาก และ ด้อยประสิทธิภาพไปตามกาลเวลา และ ยุคสมัย Blockchain ในฐานะของ Technology ในยุคสมัยใหม่ ได้เข้ามามีบทบาทในการเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสใน Supply Chain Management โดยช่วยให้การติดตามสินค้าจากแหล่งที่มามีความแม่นยำ ป้องกันการปลอมแปลงข้อมูล และ สร้างความน่าเชื่อถือในทุกขั้นตอน ซึ่งการผสานพลังกันของคู่หูระหว่าง Supply Chain และ Blockchain นั้น เป็นแค่จุดเริ่มต้น ยังมี Room ที่ให้เล่น และ สานต่ออีกมากมาย ซึ่ง คู่หู คู่นี้ค่อนข้างมี Potential สูงในการเปลี่ยนแปลงอนาคตของโลกอุตสาหกรรม โดยใน Episode หน้าผู้เขียนจะมาแชร์เรื่อง Accounting อย่างไรให้ถูกใจสาย Chain โดยในเนื้อหาจะพูดถึง การทำ Accounting สำหรับการสร้าง Traceability ใน Supply Chain ให้ประสิทธิภาพ โดยใช้ Blockchain Technology ผู้เขียน Tinnakorn Pornsontisakul รายละเอียดเพิ่ม คลิก 

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456