ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#SPCG


SPCG ขยายฐานโซลาร์รูฟ รักษาระดับปันผล 0.8-1.2 บ.

SPCG ขยายฐานโซลาร์รูฟ รักษาระดับปันผล 0.8-1.2 บ.

          หุ้นวิชั่น - SPCG ประมาณการรายได้ ปี68 ที่ 1,000-1,500 ล้านบาท ยอมรับหมด Adder กระทบรายได้ เตรียมเสริมศักยภาพธุรกิจใหม่ เน้นขยายฐานลูกค้าในธุรกิจ โซลาร์รูฟ โอกาสโตต่อเนื่อง ทั้งลูกค้าอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์ หวังรักษาระดับจ่ายปันผล ที่ 0.8-1.2 บาท / หุ้น แม้มีปัจจัยลบกดดัน           นายพิพัฒน์ วิริยธรานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยว่าบริษัทประมาณการรายได้ปี 2568 ที่ระดับ 1,000 - 1,500 ล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ 2,166.64 ล้านบาท โดยโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 36 แห่ง ที่หมดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในรูป Adder ลงทำให้รายได้ของบริษัทลดลงไปบ้าง รวมถึงปัจจัยด้านค่าอัตราไฟฟ้าผันแปร (FT) ที่ทางภาครัฐได้มีการกำหนดใหม่มีแนวโน้มลดลง คาดว่าส่งผลโดยตรงต่อภาพรวมรายได้           ทั้งนี้ กลยุทธ์สำหรับปี 2568 บริษัทมีแผนการเพิ่มศักยภาพของธุรกิจ โดยจะเสริมสร้างเทรนด์ธุรกิจใหม่ๆ รักษาคุณภาพสินค้าและการบริการ ความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เพิ่มสิทธิประโยชน์ในด้านอื่นๆ โดยจะไม่ลดต้นทุนเพื่อการแข่งขัน และเน้นขยายฐานลูกค้าในธุรกิจ โซลาร์รูฟ ซึ่งปัจจุบันมีภาคเอกชนเป็นหลัก โดยเฉพาะ โรงงานอุตสาหกรรม และ อาคารพาณิชย์ ที่มีการติดตั้งเพื่อกักเก็บพลังงานในช่วงค่าไฟปรับขึ้น           "สำหรับการแข่งขันอนาคตด้านธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบโซลาร์ฟาร์มนั้น การทำโซลาร์ฟาร์มในประเทศไทย เป็นธุรกิจที่ต้องรับการอนุมัติจากภาครัฐ การทำธุรกิจจึงต้องร่วมกับภาครัฐเป็นหลัก โดยบริษัทยังคงติดตามโครงการใหม่ๆ ของภาครัฐ หากมีโครงการใหม่ก็พร้อมร่วมมือ รวมถึงในส่วนธุรกิจต่างประเทศนั้นอยู่ระหว่างการศึกษา โดยบริษัทเน้นการลงทุนในประเทศที่มีความคุ้มค่า หากยังไม่แน่ใจจะยังไม่ลงทุนในประเทศนั้น แต่ที่บริษัทลงทุนในญี่ปุ่นเพราะที่ญี่ปุ่นมีความคุ้มค่าทั้งทางนโยบายภาครัฐและพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง" นายพิพัฒน์ กล่าว           ด้านการจ่ายเงินปันผลนั้นขึ้นอยู่กับผลการประกอบการในอนาคต โดยพยายามให้คงระดับที่ 0.8-1.2 บาท / หุ้น เนื่องจากมีหลายปัจจัย ทั้งด้านอุปกรณ์ที่ใช้มานาน ที่ต้องมีค่าดูแลเพิ่ม ในส่วนนี้บริษัทสามารถควบคุมได้ อีกทั้งยังมีเรื่องค่าอัตราไฟฟ้าผันแปร (FT) ที่ทางรัฐเป็นผู้กำหนด ซึ่งบริษัทไม่สามารถควบคุมได้ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อรายได้           ด้านกรณีพิพาทกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในการฟ้องศาลแพ่งเรียก 3.7 พันล้าน กฟภ. ฐานละเมิดสัญญาซื้อขายไฟโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ EEC หลังยกเลิกการให้ความยินยอมโอนสิทธิหน้าที่ตามสัญญา โดย มูลค่าของความเสียหายยังคงต้องติดตาม โดยเบื้องต้นบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการระดมทุน การจัดซื้อและพัฒนาจัดซื้อที่ดิน และมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ พอสมควร

SPCG-‘เซท เอนเนอยี’ ยื่นศาลปกครองกลางฟ้องเรียกค่าเสียหาย กฟภ. ฐานละเมิดบริษัทฯ

SPCG-‘เซท เอนเนอยี’ ยื่นศาลปกครองกลางฟ้องเรียกค่าเสียหาย กฟภ. ฐานละเมิดบริษัทฯ

               หุ้นวิชั่น - บริษัทเอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG (“บริษัท เอสพีซีจีฯ”) และบริษัท เซท เอนเนอยี จำกัด (“บริษัท เซทฯ”) ยื่นศาลปกครองกลาง ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาต (“กฟภ.”) รวมเป็นเงิน 3,709,300,451.24 ล้านบาท ฐานการใช้อำนาจทำให้บริษัท เซทฯ ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาโครงการจัดหาพลังงานไฟฟ้า พลังงานสะอาด และพลังงานสำรองเพื่อใช้ในพื้นที่ EEC โดยเฉพาะ (“โครงการฯ”) ไม่อาจดำเนินโครงการต่อไปได้โดยมีบริษัท เอสพีซีจีฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่   และผ่านอนุมัติอย่างถูกต้องจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น จึงต้องยื่นฟ้องเพื่อเรียกค่าเสียหายนำมาชดเชยแก่ผู้ถือหุ้น                ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจีฯ เปิดเผยว่าบริษัท เอสพีซีจีฯ และบริษัท เซทฯ  ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รวมเป็นเงิน 3,709,300,451.24 ล้านบาท ฐาน กฟภ. ใช้อำนาจละเมิดบริษัทฯ ส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่เมืองใหม่ EEC ที่ได้ดำเนินร่วมกันมาระหว่างบริษัทฯ กฟภ. และบริษัท พีอีเอ เอนคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (รัฐวิสาหกิจที่ กฟภ.ถือหุ้นทั้งหมด) ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับความเสียหายจากการลงทุนในการจัดซื้อที่ดินจากเอกชนเพื่อใช้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่ EEC รวมถึงมีการลงทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว                ทั้งนี้ บริษัท เอสพีซีจีฯ ขอแสดงจุดยืนว่าได้ร่วมดำเนินโครงการฯ ดังกล่าวอย่างโปร่งใส สอดคล้องกับขั้นตอนตามกฎหมาย  บนพื้นฐานของความระมัดรอบคอบและสุจริตมาตลอด จึงต้องการขอความเป็นธรรมและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น โดยที่มาของการยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลางครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นจากเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม  2562 เมื่อสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้ให้กฟภ. หรือบริษัทในเครือของ กฟภ. ศึกษาและวางแผนผลิตพลังงานไฟฟ้าสะอาดการเชื่อมต่อเข้าระบบโครงข่ายไฟฟ้า การจำหน่ายพลังงาน การปรับปรุง บำรุง และรักษาระบบการผลิตและเครือข่ายพลังงานไฟฟ้าสะอาดให้สามารถใช้สนับสนุนการพัฒนากิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดย กฟภ.ได้มอบหมายให้บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (บริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ) ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดที่ กฟภ. ถือหุ้นทั้งหมด เป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ส่งจำหน่ายเข้าระบบโครงข่ายของ กฟภ. ในพื้นที่ EEC                อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณ ผลตอบแทน และการจัดหาแหล่งเงินทุนของ กฟภ. และบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ รวมถึงเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก โดยในระยะแรกการพัฒนาโครงการดังกล่าวจะมีขนาดไม่ต่ำกว่า 500 เมกะวัตต์ (MW) และใช้เงินลงทุนประมาณ 23,000 ล้านบาท SPCG ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและมีความเชี่ยวชาญการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จึงได้รับเชิญให้ร่วมกับบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ ศึกษาความเป็นไปได้ของการดำเนินโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าสะอาด การเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า การจำหน่ายพลังงาน การปรับปรุง บำรุงรักษาระบบการผลิตและเครือข่ายพลังงานไฟฟ้าสะอาด ให้สามารถสนับสนุนการพัฒนากิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่  EEC                จากนั้นบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ ได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ พลังงานอัจฉริยะ และสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ ในพื้นที่ EEC” ร่วมกันระหว่าง 3 องค์กร ได้แก่ บริษัทฯ กฟภ. และบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ และร่วมกันจัดตั้ง บริษัท เซทฯ ในช่วงปลายปี 2562 เพื่อดำเนินโครงการฯ โดยเฉพาะ โดยบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ ได้นำเงินมาร่วมทุนในบริษัท เซทฯ ในสัดส่วนร้อยละ 20 ของเงินลงทุนทั้งหมดตามมติคณะกรรมการของบริษัท เอสพีซีจีฯ และ กฟภ. และปี 2563 ได้ก็เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบริษัท เซทฯ เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของเงินลงทุนทั้งหมดโดยความรับรู้ของ กฟภ. ขณะที่บริษัทเอสพีซีจีฯ ก็ได้ผ่านกระบวนการคัดเลือกเป็นผู้ร่วมทุนตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ร่วมทุนในการจัดตั้งบริษัทกับบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ อย่างถูกต้องทุกประการ                การดำเนินโครงการฯมีความคืบหน้าตามลำดับ โดยเมื่อปลายปี 2563 กฟภ.ได้อนุมัติการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อใช้ในพื้นที่เมืองใหม่ EEC โดยมี กฟภ.เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า และบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ เป็นผู้ผลิตไฟฟ้า ต่อมาในปี 2566 กฟภ. ได้มีหนังสือแจ้งถึงบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ ว่า กฟภ.เห็นชอบให้โอนสิทธิและหน้าที่ของผู้ผลิตไฟฟ้าตามสัญญาดังกล่าวจากบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ ให้แก่บริษัท เซทฯ รวมถึงได้แจ้งความคืบหน้าให้ สกพอ. ทราบมาตลอด                ทั้งนี้ เนื่องจากสัญญาระหว่างบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ และบริษัท เซทฯ กำหนดให้บริษัท เซทฯ ต้องจัดหาที่ดิน เพื่อใช้เป็นที่ตั้งโครงการฯ และในกิจการที่เกี่ยวเนื่อง โดยมีกำหนดเวลาการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2569 โดยเมื่อบริษัท เซทฯ ได้รับหนังสือยืนยันตำแหน่งที่ตั้งของที่ดินซึ่งเป็นจุดที่สามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบโครงข่ายไฟฟ้าของ กฟภ. ได้แล้ว บริษัท เซทฯ จึงได้เร่งจัดซื้อที่ดินจากเอกชนเพื่อใช้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่ EEC เฉพาะแปลง และได้ใช้เงินลงทุนเคลียร์พื้นที่ ปรับถมดิน ล้อมรั้ว จ้างที่ปรึกษาด้านต่างๆ เช่น ด้านการเงิน การเงินอิสระ กฎหมาย เทคนิค กฎหมายและระเบียบ             ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการโอนกิจการ เพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านการกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงการฯ รวมถึงมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการ ขอใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าในพื้นที่ EEC                อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยการขอรับใบอนุญาตและการอนุญาต การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2551 กำหนดว่าผู้ขอรับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้า ต้องมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือสัญญาจะซื้อจะขายไฟฟ้ากับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้ามาแสดง อย่างไรก็ตาม กฟภ. กลับไม่ได้จัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟภ. กับบริษัท เซทฯ ตามที่อนุมัติก่อนหน้านี้ บริษัทฯ จึงส่งหนังสือขอเร่งรัดและสงวนสิทธิการขยายระยะเวลาดำเนินการตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในโครงการดังกล่าวซึ่งเป็นการใช้ความระมัดระวังรอบคอบและรักษาประโยชน์สูงสุดของบริษัท เซทฯ แล้ว                ท้ายที่สุด เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 กฟภ. ก็ได้ส่งหนังสือถึงบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ และบริษัท เซทฯ แจ้งว่า กฟภ.ขอยกเลิกหนังสือแจ้งให้ความยินยอมการโอนสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยอ้างว่าบริษัท เซทฯ ไม่ใช่คู่สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟภ. ที่จะอ้างหรือใช้สิทธิขอขยายระยะเวลาตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ รวมทั้งมีหนังสือแจ้ง สกพอ.ว่าได้มีการยกเลิกการให้ความยินยอมโอนสิทธิและหน้าที่ดังกล่าว รวมทั้งขอยกเลิกการยืนยันพื้นที่ติดตั้งโครงการและอัตราค่าไฟฟ้าที่จะรับซื้อในโครงการตามที่เคย แจ้งให้ทราบอันเป็นการใช้อำนาจรัฐซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของ บริษัท เซทฯ                จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อบริษัท เซทฯ ไม่สามารถดำเนินธุรกิจตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินโครงการฯต่อได้ เนื่องจากเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะ เพื่อพัฒนาโครงการจัดหาพลังงานไฟฟ้า พลังงานสะอาด และพลังงานสำรองแก่โครงการ EEC เท่านั้น โดยมีบริษัท เอสพีซีจีฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และได้ผ่านการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของบริษัทเอสพีซีจีฯ ในการประชุมวิสามัญ จึงจำเป็นต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจาก กฟภ. เพื่อนำมาชดเชยผลประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้น”  กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท เอสพีซีจีฯ กล่าว

SPCG กำไรปี 67 ลดลงเหลือ 746 ลบ. 36 โรงไฟฟ้า Adder หมด

SPCG กำไรปี 67 ลดลงเหลือ 746 ลบ. 36 โรงไฟฟ้า Adder หมด

          หุ้นวิชั่น - บมจ.เอสพีซีจี หรือ SPCG ประกาศผลการดำเนินงานปี 2567 ทำรายได้จากการขายและการให้บริการ 2,049.2 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 746.8 ล้านบาท เตรียมจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลัง 0.70 บาทต่อหุ้น รวมทั้งปีจ่าย ปันผลอัตรา 1.20 บาทต่อหุ้น สะท้อนฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง รวมถึงมีอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับต่ำ มั่นใจศักยภาพการสร้างรายได้และกำไรในอนาคตของโครงการโซลาร์ฟาร์ม แม้สิ้นสุดระยะเวลาได้รับ Adder บริษัทฯ ยังคงได้รับเงินจากการขายไฟตามปกติ           ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้และผลกำไรอย่างต่อเนื่องจากการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์ฟาร์ม โดยมีรายได้จากการขายและ การให้บริการ 455.2 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 127.8 ล้านบาท           ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2567 สามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าทั้งสิ้นจำนวน 372.5 ล้านหน่วย ส่งผลให้มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 2,049.2 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 746.8 ล้านบาท ชะลอตัวจากปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 4,125.6 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,973.9 ล้านบาท เนื่องจากโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 36 แห่ง ได้สิ้นสุดระยะเวลาได้รับรายได้เงินอุดหนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่อัตรา 8 บาทต่อหน่วย และรายได้จากธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา หรือ โซลาร์รูฟ ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ได้รับ Adder แต่โครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงมีศักยภาพสร้างรายได้และผลกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากผลการดำเนินงานปี 2567 ที่สามารถสร้างกำไรอย่างต่อเนื่อง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 จึงพิจารณาจ่ายเงินปันผลอัตรา 1.20 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,266,948,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 14.90% เมื่อเทียบกับราคาหุ้น SPCG ที่ 8.05 บาท ณ สิ้นวันทำการของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 โดยบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก ของปี 2567 ไปแล้วในอัตรา 0.50 บาทต่อหุ้น คงเหลือที่จะจ่ายเงินปันผลในงวดนี้ 0.70 บาทต่อหุ้น กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 11 มีนาคม 2568 และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 อย่างไรก็ตามการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SPCG กล่าวว่า บริษัทฯ มีความมั่นใจศักยภาพธุรกิจจะสามารถสร้างรายได้และกำไรอย่างสม่ำเสมอ โดยปัจจุบันมีโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการรวม 36 แห่ง ในพื้นที่ 10 จังหวัดของประเทศไทย อาทิ นครราชสีมา, ขอนแก่น, สกลนคร, นครพนม, บุรีรัมย์ ฯลฯ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม260 เมกะวัตต์ (MW) รวมถึงยังมีรายได้ธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟสำหรับบ้านพักอาศัย สำนักงาน อาคารธุรกิจขนาดเล็ก-ใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรมและอื่น ๆ “แม้ผลการดำเนินงานปีที่ผ่านมาชะลอตัวลง แต่บริษัทฯ ยังคงมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราหนี้สินต่อทุน ณ สิ้นปี 2567 อยู่ในระดับต่ำที่ 0.01 เท่า รวมถึงมีกระแสเงินสดอยู่ในระดับที่ดี สามารถจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอและเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง” ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SPCG กล่าว

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456