ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

##SET


PTTGC จับมือ KBank ลงนามสินเชื่อหมุนเวียนวงเงิน 20,000 ล้านบาท เสริมสภาพคล่องทางการเงิน

PTTGC จับมือ KBank ลงนามสินเชื่อหมุนเวียนวงเงิน 20,000 ล้านบาท เสริมสภาพคล่องทางการเงิน

                  หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568, กรุงเทพมหานคร – บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ได้ลงนามสัญญาสินเชื่อหมุนเวียน (Revolving Facilities) วงเงิน 20,000 ล้านบาท กับธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน สนับสนุนการพลิกสถานการณ์ธุรกิจ และวางรากฐานสู่การเติบโตในอนาคต ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและช่วงขาลงของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี  โดยวงเงินสินเชื่อนี้นับเป็นวงเงินสูงสุดที่บริษัทฯ เคยได้รับ สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือของบริษัท และความเชื่อมั่นจากสถาบันการเงินและภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีต่อศักยภาพของ PTTGC           สัญญาสินเชื่อหมุนเวียนวงเงิน 20,000 ล้านบาทฉบับนี้ เป็นสินเชื่อระยะยาวที่มีความยืดหยุ่นสูงและมีลักษณะพิเศษ โดยสามารถเบิกใช้หรือชำระคืนได้ตามความจำเป็นในการบริหารจัดการธุรกิจ อีกทั้งยังสามารถใช้วงเงินดังกล่าวในการออกเลทเทอร์ออฟเครดิต (Letter of Credit: LC) เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเข้าใจในลักษณะเฉพาะและสถานการณ์ไม่ปกติที่เกิดขึ้นในธุรกิจปิโตรเคมี รวมถึงความเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญระหว่าง KBank และ PTTGC           นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี PTTGC เปิดเผยว่า “วงเงินสินเชื่อหมุนเวียนนี้จะช่วยเสริมสภาพคล่องให้ GC รองรับความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความยืดหยุ่นในการเบิกใช้และชำระคืนตามความจำเป็น เมื่อชำระคืนแล้ว วงเงินก็สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ช่วยให้เราบริหารต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการบริหารกระแสเงินสดและการลดภาระดอกเบี้ย”           นอกจากนี้ GC ยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเข้มงวด ทั้งค่าใช้จ่ายดำเนินงาน (OPEX) และเงินลงทุน (CAPEX) ควบคู่กับการบริหารหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงิน รองรับแผนการพลิกฟื้นธุรกิจและขับเคลื่อนการเติบโตในกลุ่มธุรกิจมูลค่าสูง–คาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน           “ขอขอบคุณธนาคารกสิกรไทยที่ให้ความเชื่อมั่นและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน แต่ยังสะท้อนความมั่นใจในศักยภาพของ GC ในการพลิกสถานการณ์ธุรกิจและขับเคลื่อนการเติบโตในกลุ่มธุรกิจมูลค่าสูง-คาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของเรา” นายทิติพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม           นายทิพากร สายพัฒนา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “ธนาคารกสิกรไทยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน GC ผ่านข้อตกลงสินเชื่อหมุนเวียนในครั้งนี้ ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นแรงหนุนที่ช่วยเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันให้กับ GC และส่งเสริมให้ GC สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว”

AMATA เป้าขายที่ดิน 3.5 พันไร่ โต15%

AMATA เป้าขายที่ดิน 3.5 พันไร่ โต15%

      หุ้นวิชั่น#AMATA คาดว่าจะมีการลงทุนในประเทศไทยกว่า 7 พันล้านบาท ขยายพื้นที่และพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ไม่นับรวมถึงการลงทุนพลังงานสะอาดและโครงการใหม่ที่เกี่ยวข้องเพื่อปั้นฐานการผลิตเสริมแกร่ง 3 ประเทศต่อเนื่อง ทั้งไทย เวียดนาม และปีนี้พร้อมเปิดขายพื้นที่ นิคมอมตะ ซิตี้ นาหม้อ เขตเศรษฐกิจใหม่ สปป.ลาว ประตูค้าเชื่อมไทย-จีน ตั้งเป้ายอดขายที่ดินกลุ่มอมตะเติบโตกว่า 15%ทั้งในไทยและต่างประเทศ 3,500 ไร่ นางสาวเด่นดาว โกมลเมศ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA เปิดเผยว่า ปี 2568 เป็นปีที่มีความท้าท้าย จากปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในประเทศที่เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวช้า ปัญหาค่าครองชีพ และหนี้ครัวเรือน และปัจจัยภายนอกประเทศ อย่างภาวะเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ ทำให้เกิดการขยายฐานการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ไปยังประเทศที่มีศักยภาพ ต้นทุนการผลิตที่ต่ำ และมีความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้นกลุ่มอมตะ จึงได้เตรียมความพร้อมในการเพิ่มประสิทธิภาพ การให้บริการด้านสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยเตรียมงบลงทุนในไทยไว้ไม่ต่ำกว่า 7 พันล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่และพัฒนาที่ดินรองรับการลงทุนจากภาคอุตสาหกรรม โดยพื้นที่นิคมฯในแต่ละแห่งตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ทางด้านการค้าที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกลุ่มอมตะมีสถานการเงินที่แข็งแกร่ง โดยสิ้นปี 67 มีกระแสเงินสดประมาณ 5 พันล้านบาท และยอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอนอยู่จำนวนมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท สำหรับในปี 2568 ตั้งเป้าหมายยอดขายที่ดินทั้งในไทยและต่างประเทศ 3,500 ไร่ เติบโตจากปีก่อนมากกว่า 15% โดยเฉพาะในเวียดนามที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ทั้งญี่ปุ่น จีน เกาหลี และยุโรป เป็นต้น นางสาวเด่นดาว กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยทั้ง 3 แห่ง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ,นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง และนิคมอุตสาหกรรม ไทย- จีนนั้น ทางกลุ่มอมตะจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมทางด้านพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามหลักปรัชญา “ALL WIN” ถือเป็นการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้านนายโอซามู ซูโด รักษาการประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานแถลงข่าว Outlook 2025 พร้อมจัดกิจกรรมขอบคุณสื่อมวลชน ภายใต้ธีม Eternal Dream ว่ากลุ่มอมตะให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ที่สร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ดังนั้นแผนการการดำเนินงานในปี 2568 จึงได้เตรียมความพร้อมในด้านการพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและนำนวัตกรรมพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ โดยกลุ่มเป้าหมายสำคัญ ได้แก่ จีน และญี่ปุ่น รวมถึงกลุ่มประเทศแถบยุโรป โดยเฉพาะจีนยังมีทิศทางของการย้ายฐานการลงทุนต่อเนื่อง เป็นผลมาจากมาตรการการขึ้นภาษีของ สหรัฐฯ ทำให้ผู้ประกอบการจีนมีการวางแผนย้ายฐานการผลิต เพื่อการบริหารความเสี่ยงด้านต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น “ด้วยระบบ Supply Chain และสาธารณูปโภคที่ทันสมัย รวมถึงความมั่นคงด้านพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสิทธิประโยชน์จากนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทำให้กลุ่มอมตะได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยเฉพาะใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายหลักตามนโยบายของรัฐบาล ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และชิ้นส่วน2. อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB)3.อุตสาหกรรมดิจิทัล Data Center และ Cloud Region 4. อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต และ 5. อุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน” นายซูโดกล่าว นายวรงค์ ตังประพฤทธิ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมตะซิตี้ ลาว จำกัด กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม อมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ นาหม้อ ในสปป.ลาว ปัจจุบันมีทั้งหมด 20,000 ไร่ เป็นที่ดินที่พร้อมพัฒนาแล้ว จำนวน 5,600 ไร่ ซึ่งนิคมฯดังกล่าวถือว่าเป็นเขตเศรษฐกิจแห่งใหม่ของสปป.ลาวที่กลุ่มอมตะได้นำนวัตกรรมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมาพัฒนาและจะผลักดันให้เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี เพื่อเป็นประตูการค้าสู่ประเทศจีนตอนใต้ โดยอาศัยเส้นทางรถไฟความเร็วสูงลาว-จีนเนื่องจากนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวอยู่ห่างจากชายแดนจีนเพียง40กิโลเมตร ล่าสุด ทางนิคมอุตสาหกรรม อมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ นาหม้อ ในสปป.ลาวได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนสูงสุดในภูมิภาค และสิทธิการส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุน โดยการได้รับยกเว้นภาษี 30 ปี สำหรับผู้ลงทุนใน 7 ปีแรกที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร เพื่อสนับสนุนการใช้วัตถุดิบภายในให้มีมูลค่ามากขึ้น,อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์พลังงานทดแทน,อุตสาหกรรมผลิตยานยนต์และอาหาร,อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งแนวทางการพัฒนาของกลุ่มอมตะในลาวนำไปสู่การพัฒนาเป็นเมืองที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในระยะยาว ที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของ สปป.ลาว และภูมิภาคในอนาคต

FVC  ปักหมุด 3 ปี ตั้งศูนย์ไตเทียม-รร.เทคนิคการแพทย์

FVC ปักหมุด 3 ปี ตั้งศูนย์ไตเทียม-รร.เทคนิคการแพทย์

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายวิจิตร เตชะเกษม กรรมการผู้จัดการ (กลาง) พร้อมด้วย นายธนพรรจน์ ตันติวัฒนวิจิตร (ขวา) ผู้จัดการทั่วไป และนางสาวปานจิต ฉิมพาลี (ซ้าย) ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท ฟิลเตอร์ วิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FVC ร่วมนำเสนอข้อมูลภายในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ FVC สำนักงานใหญ่ โดยบริษัทฯ ประกาศตั้งเป้ารายได้ปี 2568 โต 25% จากการเติบโตใน 3 กลุ่มธุรกิจ พร้อมประกาศขับเคลื่อนธุรกิจใน 3 ปีข้างหน้า (ปี 2568 -2570) เดินเกมรุกขยายการให้บริการศูนย์ไตเทียม รวมถึงการเตรียมแผนจัดตั้งโรงเรียนการดูแลทางการแพทย์และเทคนิค (Medical Care & Technical School) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อสร้างบุคลากรเทคนิคการแพทย์สู่ตลาด นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นพัฒนาเสริมสร้างธุรกิจพลังงานสะอาดในอนาคต โดยการลดการใช้กระดาษทั้งหมด เพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน (Neutral for Carbon Footprint)

โกลเบล็ก อัพกำไร KLINIQ  เพิ่มสาขาความสวย - เป้า 36 บ.

โกลเบล็ก อัพกำไร KLINIQ เพิ่มสาขาความสวย - เป้า 36 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุ ถึง KLINIQ ว่า งวด 4Q67 กำไรสุทธิมากกว่าคาด จาก %GPM ที่สูงกว่าคาด           กำไรสุทธิในงวด 4Q67 อยู่ที่ 99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%YoY และ 33%QoQ โดยมี SSSG เติบโต 13%YoY ขณะที่กำไรปี 67 เติบโต 12%YoY แนวโน้มรายได้ในงวด 1Q68 คาดว่าจะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากโมเมนตัมรายได้ที่แข็งแกร่งต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน นอกจากนี้ ได้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปี 68 ขึ้น 15% เป็น 418 ล้านบาท เติบโต 30%YoY โดยตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 10 แห่ง ทั้งนี้ ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" แต่ปรับลดราคาเหมาะสมเป็น 36 บาท           Investment Highlight           ในงวด 4Q67 บริษัทรายงานกำไรสุทธิที่ 99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%YoY และ 33%QoQ โดยมี SSSG เติบโต 13%YoY ซึ่งส่งผลให้กำไรปี 67 เติบโต 12%YoY บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 844 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%QoQ และ 31%YoY ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์เดิม 6% ปัจจัยหนุนหลักมาจากยอดขายสาขาเดิมที่ขยายตัวได้ดีที่ 13%YoY และยอดขายจากสาขาใหม่ที่เปิดดำเนินการ โดยในไตรมาสนี้ บริษัทได้เปิดสาขาใหม่ทั้งหมด 6 แห่ง ประกอบด้วย L.A.B.X 3 สาขา, The KLINIQUE 2 สาขา และ KLINIQ Wellness Spa 1 สาขา อย่างไรก็ตาม มีการปิดสาขา 3 แห่ง เนื่องจากปริมาณ Traffic ในศูนย์การค้าน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 67 บริษัทมีสาขารวม 72 แห่ง ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้น (%GPM) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 54.0% จาก 51.5% ใน 3Q67 และ 53.0% ใน 4Q66 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดสาขาใหม่จำนวนมากในช่วงต้นปี โดยบริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรให้อยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่อง ส่งผลให้มีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%QoQ และ 33%YoY ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 28% สำหรับปี 67 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,983 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31%YoY และมีกำไรสุทธิ 322 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12%YoY           แนวโน้มรายได้ 1Q68F คาดเติบโต QoQ, YoY โมเมนตัมของรายได้ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 68 ยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งและใกล้เคียงกับในงวด 4Q67 ซึ่งเป็นไตรมาสที่ทำจุดสูงสุดต่อเนื่อง อีกทั้งยังเติบโต YoY จากการเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง สำหรับอัตรากำไรขั้นต้น (%GPM) คาดว่าจะอยู่ในระดับ 54% ใกล้เคียงกับงวด 4Q67 ในไตรมาสนี้ บริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่อีก 1 แห่ง ได้แก่ L’Clinic ที่ซีคอน ศรีนครินทร์           ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิปี 68 ขึ้น 15% เป็น 418 ล้านบาท เติบโต 30%YoY           บริษัทได้ปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ปี 68 เล็กน้อยเป็น 3,490 ล้านบาท เติบโต 17%YoY ซึ่งได้รับแรงหนุนจากยอดขายสาขาเดิมที่แข็งแกร่งและการเปิดสาขาใหม่ โดยในปี 68 บริษัทตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ 10 แห่ง ประกอบด้วย The KLINIQUE 3 สาขา, L.A.B.X 4 สาขา และ L’Clinic 3 สาขา นอกจากนี้ ยังได้ปรับเพิ่มสมมติฐาน %GPM เป็น 53.4% จากเดิมที่ 51.5% เนื่องจากอัตรากำไรในงวด 4Q67 ดีกว่าคาด และการเปิดสาขาใหม่ที่น้อยกว่าปีก่อน ซึ่งเปิดถึง 20 สาขา ทำให้ %GPM ไม่ถูกกดดันเหมือนในปี 67 ส่งผลให้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิปี 68 ขึ้น 15% เป็น 418 ล้านบาท เติบโต 30%YoY           คงคำแนะนำ "ซื้อ" แต่ปรับลดราคาเหมาะสมเป็น 36 บาท           ประเมินราคาเหมาะสมโดยใช้ Prospective PER ที่ 19 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับ -1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต ลดลงจากเดิมที่ 24 เท่า ขณะที่ปรับคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 68 เป็น 1.90 บาทต่อหุ้น จากเดิม 1.65 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้ราคาเหมาะสมใหม่อยู่ที่ 36 บาท ลดลงจากเดิมที่ 39.60 บาท โดยราคาหุ้นยังมีอัพไซด์จากราคาปัจจุบันราว 15% นอกจากนี้ คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตอยู่ที่ประมาณ 5.4% ต่อปี ทำให้ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ"

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

จับตา สคร.ชงคลัง ตัดขาย 19 หุ้น

จับตา สคร.ชงคลัง ตัดขาย 19 หุ้น

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ( สคร.) เตรียมเสนอเรื่องต่อกระทรวงการคลังสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาตัดขาย 19 หุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ โดยจะเน้นที่หุ้นซึ่งไม่อยู่ในยุทธศาสตร์รัฐบาล หุ้นที่มีขนาดเล็กและผลประกอบการย่ำแย่ ปัจจุบัน รัฐบาลถือหุ้นทั้งหมด 140 บริษัท (ทั้งรัฐวิสาหกิจและไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ รวมถึงหุ้นที่ได้จากการยึดทรัพย์ในคดีต่างๆ) ทั้งนี้ แม้รัฐฯ จะเน้นย้ำกรณีดังกล่าว แต่อ้างอิงจากข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้ในตลาด พบว่าหุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่มีทั้งสิ้น 13 บริษัท ได้แก่ PTT, AOT, TTB, TFFIF, DMT, BCP, OR, MCOT, MFC, BEYOND, RPH, NEP และ TGH เราประเมินว่าการขายหุ้นดังกล่าวอาจสร้างจิตวิทยาลบต่อตลาดหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหุ้นที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ (หรือบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ) ซึ่งถือเป็นหุ้นยุทธศาสตร์

BPP เผย โรงไฟฟ้าก๊าซฯสหรัฐ แกร่ง รับดีมานด์พุ่ง - ราคาซื้อขายไฟเพิ่ม

BPP เผย โรงไฟฟ้าก๊าซฯสหรัฐ แกร่ง รับดีมานด์พุ่ง - ราคาซื้อขายไฟเพิ่ม

          บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานระดับสากล เผยผลดำเนินงานปี 2567รักษาผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าทุกแห่งได้อย่างมีเสถียรภาพควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อย CO2 โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าในจีนลดการปล่อยคาร์บอนจากโรงไฟฟ้าได้ดีกว่าเกณฑ์ ทำให้มีรายได้เพิ่มเติมจากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emission Allowances: CEAs) เกือบ 90 ล้านบาท เล็งเตรียมความพร้อมโรงไฟฟ้า Temple I และ Temple II ในสหรัฐฯ รับแรงหนุนจากแนวโน้มราคาซื้อขายไฟล่วงหน้าในตลาดไฟฟ้าเสรี ERCOT สูงขึ้นเกือบเท่าตัวในปี 2568 และการคาดการณ์อัตราความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 15-17% ภายในปี 25731 จากการลงทุน Data Centers โดยรัฐเท็กซัสมี การเติบโตของ Data Centers ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐฯ2             นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า “BPP ขับเคลื่อนการเติบโตตามแนวทางการดำเนินธุรกิจ Beyond Quality Megawatts โดยมุ่งมั่นบริหารพอร์ตโฟลิโอให้มีความสมดุลและครอบคลุมมากไปกว่าการขยายกำลังผลิตไฟฟ้า เพื่อมีความยืดหยุ่นในการหาโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโต และสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมั่นคงในระยะยาว โดยปีที่ผ่านมาธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ II ในรัฐเท็กซัส สหรัฐฯ สามารถเดินเครื่องเพื่อส่งมอบพลังงานได้ต่อเนื่อง แม้จะมีราคาซื้อขายไฟฟ้าเฉลี่ยลดลงจากอุณหภูมิและสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่เราเชื่อมั่นว่า ราคาซื้อขายไฟในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นสอดรับกับเทรนด์เทคโนโลยีพลังงานและดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ อีกทั้ง BPP มีมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา (Hedging Risk Management) ด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงิน (Financial Derivative) สำหรับโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งนี้ โดยในปี 2568 จะมีกระแสเงินสดที่จะได้รับจากการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ 40% นอกจากนี้ เรามองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติมของธุรกิจในจีนจากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (CEAs) ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน”           “นอกจากนี้ยังเร่งขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง (Renewables+) เดินหน้าสร้างห่วงโซ่ธุรกิจพลังงานที่แข็งแกร่ง โดยเน้นการลงทุนในโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มขนาดใหญ่ (BESS) และการซื้อขายพลังงาน (Energy Trading) เพื่อสร้าง New S-curve ให้กับบริษัทฯ รวมถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาเสริมการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น” นายอิศรา กล่าวเสริม   ผลการดำเนินงานปี 2567 BPP มีรายได้รวม 25,827 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,746 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานปกติ รวม 7,383 ล้านบาท พร้อมรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วน ผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.49 เท่า โดยไฮไลต์สำคัญในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย ธุรกิจพลังงานความร้อน (Thermal Energy): โรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) ในสปป.ลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ในไทย ยังคงเดินเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรักษาค่าความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) ในระดับสูงที่ร้อยละ 86 และร้อยละ 90 ตามลำดับ และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมจากจำนวนชั่วโมงการผลิตตามสัญญา รวมถึงการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (CHP) และโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง (SLG) ในจีน จากการบริหารต้นทุนถ่านหินที่ดีขึ้นและมีรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้นเกือบ 90 ล้านบาท จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอนของโรงไฟฟ้า (CEAs)ปริมาณประมาณ 290,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุด ที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพของการบริหารจัดการและควบคุมการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีกว่าเกณฑ์ ธุรกิจ Renewables+: ลงทุนในโครงการ BESS เพิ่มเติมอีก 2 แห่งในญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการ Aizu (ไอสึ) และโครงการ Tsuno (ซึโนะ) กำลังการผลิตรวม 208 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2571 ขณะที่โครงการ Iwate Tono กำลังการผลิต 58 เมกะวัตต์-ชั่วโมง มีความคืบหน้า 99% เตรียมเปิด COD ในไตรมาส 2 ปีนี้ และเดินหน้าธุรกิจขายไฟฟ้า Energy Trading ในญี่ปุ่น ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม โดยมีการซื้อขายทั้งหมด 2,816 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ล่าสุดในปี 2568 บ้านปู เน็กซ์ ซึ่ง BPP ถือหุ้นร้อยละ 50 ได้ร่วมกับโซลาร์บีเค บริษัทชั้นนำด้านพลังงานสะอาดในเวียดนาม จัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อให้บริการโซลาร์รูฟท็อปสำหรับกลุ่มธุรกิจเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมในเวียดนาม ตั้งเป้าเฟสแรก 390 เมกะวัตต์           “ด้วยพอร์ตธุรกิจที่มีความหลากหลายและกระจายตัวอย่างสมดุลผ่านการดำเนินธุรกิจเชิงรุกใน 8 ประเทศยุทธศาสตร์ทั่วโลก ทำให้ BPP มีความสามารถปรับตัวรับมือกับภาวะวิกฤติต่างๆ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในแต่ละประเทศเพื่อส่งมอบคุณค่าและผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม พร้อมก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้ผลิตพลังงานระดับโลก” นายอิศรา นิโรภาส กล่าว ทิ้งท้าย

GULF ปังไม่หยุด! หุ้นกู้ 30,000 ล้าน ยอดจองล้น 2.2 เท่า

GULF ปังไม่หยุด! หุ้นกู้ 30,000 ล้าน ยอดจองล้น 2.2 เท่า

          หุ้นวิชั่น - บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ มูลค่าเสนอขายรวม 30,000 ล้านบาท โดยเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ และประชาชนทั่วไป หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยแสดงความจำนงในการจองหุ้นกู้ของบริษัทฯ มากถึง 2.2 เท่าของจำนวนที่ประสงค์จะเสนอขาย (Oversubscription) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนต่อธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต           สำหรับหุ้นกู้ที่บริษัทฯ เสนอขายในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 5 ชุด ได้แก่ 1. หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.74 ต่อปี มูลค่า 3,500 ล้านบาท 2. หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.00 ต่อปี มูลค่า 6,500 ล้านบาท 3. หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.15 ต่อปี มูลค่า 12,000 ล้านบาท 4. หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.35 ต่อปี มูลค่า 4,000 ล้านบาท และ 5. หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.55 ต่อปี มูลค่า 4,000 ล้านบาท โดยหุ้นกู้ทั้ง 5 ชุดดังกล่าว มีอัตราดอกเบี้ยคงที่เฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 3.15 และอายุเฉลี่ยหุ้นกู้เท่ากับ 5.48 ปี ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นกู้ชุดที่ 1-5 ให้แก่นักลงทุนสถาบันและ/หรือนักลงทุนรายใหญ่ และเสนอขายหุ้นกู้ชุดที่ 2-5 ให้แก่ประชาชนทั่วไป           ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือองค์กร อยู่ที่ “A+” และหุ้นกู้ทุกชุดได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A” แนวโน้ม “บวก (Positive)” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้งให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ซึ่งได้เปิดจองซื้อหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ และวันที่ 3 มีนาคม 2568 และได้ออกหุ้นกู้ในวันที่ 4 มีนาคม 2568           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้ว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นกู้จะยังคงมีความผันผวน ท่ามกลางความกังวลและความระมัดระวังในการลงทุนในหุ้นกู้ของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาดจากนักลงทุน โดยยอดจองซื้อเกินกว่าจำนวนที่เสนอขายที่มากกว่า 2 เท่า ซึ่งยอดจองซื้อจากประชาชนทั่วไปในครั้งนี้สูงถึงกว่า 10,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในผลประกอบการของบริษัทฯ และการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจของบริษัทฯ โดยการระดมทุนดังกล่าว ส่วนหนึ่งจะนำไปคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดและเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ส่วนที่เหลือเพื่อรองรับการขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ ต่อไป บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในหุ้นกู้ของ บริษัทฯ และขอขอบคุณสถาบันการเงินทั้ง 10 แห่ง ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ที่ทำให้การเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทฯ ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเกินคาด”

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

EAST ปักธงพอร์ต 2 หมื่นล.ใน 5 ปี ขยายสินเชื่อยานยนต์ฯ-Car 4 Cash

EAST ปักธงพอร์ต 2 หมื่นล.ใน 5 ปี ขยายสินเชื่อยานยนต์ฯ-Car 4 Cash

          หุ้นวิชั่น - บมจ. ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง โชว์ผลการดำเนินงานปี 2567 ทำมีรายได้รวม 709.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.47% หลังพอร์ตลูกหนี้โดยรวมขยายตัวต่อเนื่อง และมีกำไรสุทธิ 62.03 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเปลี่ยนตัวย่อซื้อขายหลักทรัพย์เป็น EAST สะท้อนแนวทางความร่วมมือกับหุ้นส่วนทางธุรกิจทั้ง GMT และ PREMIUM เร่งขยายพอร์ตสินเชื่อโดยรวม 5 ปี เพิ่มเป็น 20,000 ล้านบาท             นายดนุชา วีระพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ตะวันออกพาณิชย์ลิสซิ่ง หรือ EAST เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2567 เป็นปีที่มีความท้าทายการดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อยานยนต์มือสองในประเทศไทย แต่บริษัทฯ ยังสามารถผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานได้เป็นที่น่าพอใจ โดยมีรายได้รวม 709.40 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 8.47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งความสำเร็จมาจากพอร์ตสินเชื่อโดยรวมในปีนี้ขยายตัวต่อเนื่อง เป็นผลให้มีรายได้ดอกผลจากการขายตามสัญญาเช่าซื้อในปีนี้ทำได้ 530.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.36% แม้จะมีการช่วยเหลือลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้เพื่อบรรเทาการชำระหนี้ที่เป็นแรงกดดันทำให้รายได้เช่าซื้อไม่สูงมากนัก ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 62.03 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์การซื้อขายหลักทรัพย์ฯ จาก ECL เป็น “EAST” เพื่อสะท้อนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ในปีนี้ ทั้งนี้ได้ร่วมมือกับหุ้นส่วนทางธุรกิจกับบริษัท GMT ในเครือ ITOCHU Corporation จากประเทศญี่ปุ่น และกลุ่มพรีเมียม คอร์ปอเรชั่น (PREMIUM) โดยผนึกองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญการดำเนินธุรกิจและฐานทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อบริหารจัดการพอร์ตสินเชื่อให้มีคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่รัดกุม รองรับแผนขยายพอร์ตสินเชื่อยานยนต์มือสองและธุรกิจ Car 4 Cash ในประเทศไทย ซึ่งตั้งเป้าภายใน 3 ปี พอร์ตสินเชื่อโดยรวมจะเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท และเป็น 20,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า

DOHOME กำไรฟื้น ชี้พื้นฐาน 9.50 บาท

DOHOME กำไรฟื้น ชี้พื้นฐาน 9.50 บาท

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” DOHOME จากเดิม “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายเดิม 9.50 บาท อิง 2025E PER 31x (3-yr avg.) DOHOME รายงานกำไรปกติ 4Q24 ที่ 160 ล้านบาท (+11% YoY, +108% QoQ) ใกล้เคียงคาดการณ์ โดยมี SSSG พลิกกลับมาเป็นบวกที่ +1.5% (Back office +2%, End-user <1%) ฟื้นตัวจาก 3Q24 ที่ติดลบ -4.5% แต่ยังต่ำกว่าคาดที่ +3-4% รายได้รวมอยู่ที่ 7,623 ล้านบาท (+4.0% YoY, +3.1% QoQ) ได้แรงหนุนจากการเปิดสาขาใหม่ (บางพูน) ขณะที่ GPM อยู่ที่ 16.8% (-10 bps YoY, +40 bps QoQ) ต่ำกว่าคาดจากสัดส่วนสินค้าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น แม้ House Brand ช่วยหนุนมาร์จิ้นแนวโน้ม 1Q25E คาดว่า SSSG ทรงตัวถึงเป็นบวกเล็กน้อย โดย End-user มีโอกาสฟื้นตัวดีขึ้นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ปี 2025E คงประมาณการกำไรที่ 871 ล้านบาท (+29% YoY) จากการขยายสาขาขนาดใหญ่อีกครั้ง โดยคาดเปิด 2 สาขาใหม่ และเริ่มก่อสร้างอีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในระยะกลางราคาหุ้นปรับตัว underperform SET -13.1% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนความกังวลเรื่องกำลังซื้อที่ยังเปราะบาง และแนวโน้มฟื้นตัวที่ช้ากว่าคาด ขณะที่ 6M และ 12M underperform ตลาด -34.4% และ -27.8% ตามลำดับ และการฟื้นตัวของกำลังซื้อ End-user ยังไม่ชัดเจน ทำให้ sentiment ต่อหุ้นยังค่อนข้างลบ อย่างไรก็ตามกำไรปกติ 4Q24 ฟื้นตัวได้ และคาดเห็นการเติบโตต่อใน 2025E/26E จากการ rebound จากฐานต่ำในปี 2023/24     ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” ที่ราคาเป้าหมาย 9.50 บาท อิง 2025E PER 31x จากราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวลงมาเทรดที่ต่ำ ทำให้มี downside จำกั

BGRIM ส่งมอบ RECs ให้แก่ บลจ.กสิกรไทย

BGRIM ส่งมอบ RECs ให้แก่ บลจ.กสิกรไทย

          หุ้นวิชั่น - บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด มหาชน ผู้นำด้านพลังงานและโซลูชันพลังงานหมุนเวียน ร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เดินหน้าสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดผ่านการซื้อ Renewable Energy Certificates (RECs) ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน           คุณ คุณนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศไทยและโซลูชั่นธุรกิจอุตสาหกรรม บริษัทบี.กริม เพาเวอร์ กล่าวว่า "เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน และภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนของ บลจ.กสิกรไทย ความร่วมมือครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างระบบพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในประเทศไทย"           บลจ.กสิกรไทย ในฐานะผู้นำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน ยังคงให้ความสำคัญกับแนวทาง ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) โดยการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ลงทุน การจับมือกับ บี.กริม เพาเวอร์ ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความตั้งใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 2) และส่งเสริมพลังงานสะอาดให้เติบโตในภาคธุรกิจไทย           คุณวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน ของ บลจ.กสิกรไทย กล่าวเสริมว่า "การใช้ Renewable Energy Certificates (RECs) เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของเราในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะช่วยผลักดันภาคธุรกิจไทยให้ก้าวไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง" ความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กรในครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาด เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

BBL เก็งจ่ายปันผลเกินคาด ปีนี้กำไร 4.6 หมื่นล. - เป้า 186 บ.

BBL เก็งจ่ายปันผลเกินคาด ปีนี้กำไร 4.6 หมื่นล. - เป้า 186 บ.

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” BBL และราคาเป้าหมายที่ 186.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.60x (-1.00SD below 10-yr average PBV) โดยมีมุมมองเป็นบวกเล็กน้อยต่อการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้โดยลุ้นเงินปันผลที่มีโอกาสมากกว่าที่คาด ขณะที่เป้าหมายทางการเงินใกล้เคียงคาด โดย 1) Loan growth ที่ 3-4% (คาด 3%) จากการเติบโตในส่วนของสินเชื่อรายใหญ่และต่างประเทศ 2) NIM ที่ 2.80-2.90% (ต่ำกว่าคาด 3.00%) เพราะรวมผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% 3) Credit cost ที่ 0.9-1.0% (ดีกว่าที่คาด 1.15%) เพราะมีการตั้งสำรองฯเผื่อมาเยอะมากแล้ว ส่วน NPL ตั้งเป้าไว้ที่ 3%+/- (เราคาด 2.84%) และ 4) Tier 1 ขึ้นมาที่ 17% แล้ว ผู้บริหารคาดว่าจะมีโอกาสปรับ Dividend payout ขึ้นมากกว่าปีก่อนที่ 33% (คาด 32%)แม้ว่าเป้าหมายด้าน Credit cost จะดูมี upside แต่ถูกชดเชยไปกับ NIM ที่จะอ่อนตัวมากกว่าคาด ทำให้ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +3% YoY จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก ขณะที่คาคว่ากำไรสุทธิ 1Q25E จะเพิ่มขึ้น YoY/QoQ จากสำรองฯที่ลดลงราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น +10% และ +17% ในช่วง 1 เดือน และ 3 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET จากกำไรและ Asset quality ที่ดูดี และใกล้ประกาศจ่ายเงินปันผล ประกอบกับ BBL ยังคงมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะมี coverage ratio สูงที่สุดในกลุ่มที่ 334% ด้าน Valuation เทรดที่ PBV ถูกที่สุดในกลุ่มเพียง 0.53x หรือที่ระดับ -1.25SD ย้อนหลัง 10 ปี และถูกกว่ากลุ่มที่เทรดที่ PBV ที่ 0.68x

MTCกำไร 5,867 ล้าน โต19.59% ขาดทุนด้านเครดิตลดลง11%

MTCกำไร 5,867 ล้าน โต19.59% ขาดทุนด้านเครดิตลดลง11%

หุ้นวิชั่น - บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ผลการดำเนินงานรวมสำหรับปี สิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีกำไรสุทธิรวม เท่ากับ 5,867 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไร สุทธิเท่ากับร้อยละ 21.03 จำนวนสาขา มีจำนวน 8,172 สาขา เพิ่มขึ้น 635 สาขา จากวันที่ 31 ธันวาคม 2566 อัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม ร้อยละ 2.75 (วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ร้อยละ 3.11 ) อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเป็น 3.62 เท่า บริษัทฯและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิรวม จำนวน 5,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2566 จำนวน 961 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 19.59 รายได้รวมสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 27,902 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2566 จำนวน 3,376 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 13.76 ค่าใช้จ่ายในการบริการและบริหารสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 รวมจำนวน 10,790 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2566 จำนวน 1,088 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11.21 โดยค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน อันเนื่องมาจากการขยายสาขาและบุคลากรประจำสาขา และค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 5,142 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2566 จำนวน 1,285 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 33.32 อันเนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 3,501 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2566 จำนวน 433 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.01 กำไรสุทธิรวมสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 5,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2566 จำนวน 961 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 19.59

WARRIX “เสื้อโปโล” ฮอต! พุ่งเป้าโกอินเตอร์

WARRIX “เสื้อโปโล” ฮอต! พุ่งเป้าโกอินเตอร์

https://youtu.be/-XC4zLWjpLk?si=OzPSeBzzXPZ5fVLM

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

OR รุกธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม  ตั้งบริษัทย่อยหนุน Lifestyle

OR รุกธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม ตั้งบริษัทย่อยหนุน Lifestyle

          หุ้นวิชั่น - หม่อมหลวงปีกทอง  ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแจ้งว่า บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (“OR”) ในการประชุมคณะกรรมการ OR ครั้งที่ 2/2568 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัท มอ ดู ลัส เวนเจอร์ จำกัด (“Modulus”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ OR ถือหุ้นร้อยละ 100 จัดตั้งบริษัทย่อย โดยถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 ของทุนจดทะเบียน โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มแรกจำนวน 1,000,000 บาท           เพื่อดำเนินธุรกิจและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและสอดคล้องกับกลยุทธ์การสร้างการเติบโตในธุรกิจ Lifestyle ในอนาคต ทั้งนี้ รายการดังกล่าวไม่ใช่รายการที่เกี่ยวโยงกัน และขนาดของรายการไม่เข้าข่ายที่จะต้องรายงานสารสนเทศตามหลักเกณฑ์การได้มาและจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน แต่เป็นการได้มาซึ่งเงินลงทุนในบริษัทอื่น ซึ่งส่งผลให้บริษัทนั้นมีสถานะเป็นบริษัทย่อย OR

GLOBALชี้ตลาดไทยทรุด ยกเลิกร่วมทุนในฟิลิปปินส์

GLOBALชี้ตลาดไทยทรุด ยกเลิกร่วมทุนในฟิลิปปินส์

          หุ้นวิชั่น - นายวิทูร สุริยวนากุลประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) GLOBAL แจ้งมายังตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ตามที่บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการขยายธุรกิจในประเทศฟิลิปปินส์ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2564 บริษัทฯ ได้เข้าลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัท Cosco Capital Incorporated เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 โดยมีแผนจะจัดตั้งบริษัท Global House Philippines Co., Ltd. เพื่อดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้างและสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศฟิลิปปินส์ โดยบริษัทฯ มีสัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ 55% และบริษัท Cosco Capital Incorporated มีสัดส่วนการลงทุน 45%           ปัจจุบัน โครงการร่วมทุนระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ตามแผนที่วางไว้ เนื่องจากยังไม่มีการจัดตั้งบริษัท Global House Philippines Co., Ltd. และยังไม่มีการลงทุนใด ๆ ทั้งสิ้น สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์ตลาดในประเทศไทยที่ชะลอตัวลง ทำให้บริษัทฯ ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และเป้าหมายทางธุรกิจ           ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้บริษัทฯ ยกเลิกการร่วมทุนกับบริษัท Cosco Capital Incorporated

GLOBAL กำไรลด 11.62%  หนี้ครัวเรือนกดยอดขาย

GLOBAL กำไรลด 11.62% หนี้ครัวเรือนกดยอดขาย

          หุ้นวิชั่น - นายวิทูรสุริยวนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)GLOBAL แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่าภาพรวมการดำเนินธุรกิจ ผลการดำเนินงานประจำปี 2567 บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (หรือ “บริษัทฯ”) มีกำไรสุทธิ (เฉพาะกิจการ) เท่ากับ 2,114.69 ล้านบาท ลดลง 415.66 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.43  เมื่อรวมส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าและการลงทุนในบริษัทย่อย บริษัทฯ จะมีผลกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมเท่ากับ 2,366.86 ล้านบาท ลดลง 311.28 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.62 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 การลดลงของยอดขายเกิดจากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของประเทศที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของประชาชน แม้ว่าบริษัทฯ จะใช้กลยุทธ์ส่งเสริมการขายที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นยอดขายสินค้าอย่างสม่ำเสมอ           พัฒนาการที่สำคัญ           **การขยายสาขา:** บริษัทฯ มีเป้าหมายในการขยายสาขาเพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพิ่มศักยภาพการเข้าถึงลูกค้า โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ดำเนินการขยายสาขาในประเทศเพิ่มอีก 7 แห่ง ได้แก่ สาขาเดอะไนน์เซ็นเตอร์ติวานนท์ (จ.ปทุมธานี), สาขาพิมาย (จ.นครราชสีมา), สาขาปัตตานี, สาขาจะนะ (จ.สงขลา), สาขาสว่างแดนดิน (จ.สกลนคร), สาขาลำปลายมาศ (จ.บุรีรัมย์), และสาขาสวรรคโลก (จ.สุโขทัย) สำหรับสาขาในต่างประเทศ ได้ขยายสาขาเพิ่มอีก 1 แห่งที่จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา ส่งผลให้           ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ มีจำนวนสาขาที่เปิดดำเนินการในประเทศรวม 90 สาขา และในประเทศกัมพูชา รวม 2 สาขา           การปรับปรุงสาขา           นอกจากการขยายสาขาแล้ว บริษัทฯ ยังมีเป้าหมายในการปรับปรุงร้านสาขาเก่าเพื่อแสดงภาพลักษณ์ที่ทันสมัย เพิ่มความสะดวกสบาย และยกระดับประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าของลูกค้าให้มีความพึงพอใจสูงสุด โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงร้านสาขาเก่าเพิ่มอีก 9 แห่ง ได้แก่ สาขายโสธร, สาขาปทุมธานี, สาขาลำพูน, สาขาลำปาง, สาขาบ้านตาด (จ.อุดรธานี), สาขาอุดรธานี, สาขากาญจนบุรี, สาขาปราณบุรี (จ.ประจวบคีรีขันธ์), และสาขาเพชรบูรณ์           ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงร้านสาขาเก่าเรียบร้อยแล้วรวม 38 สาขา

abs

Hoonvision

TIDLOR คาดปีนี้กำไรโต 8.7% รายได้ค่าธรรมเนียมหนุน โบรกเคาะ 22 บาท

TIDLOR คาดปีนี้กำไรโต 8.7% รายได้ค่าธรรมเนียมหนุน โบรกเคาะ 22 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุ Ngern Tid Lor (TIDLOR) กำไรสุทธิ 4Q24 ขยายตัวดี มีโบนัสการขายประกันเพิ่มขึ้น รายได้ดอกเบี้ยขยายตัวต่อ แต่สำรองยังกดดัน เราคาด TIDLOR จะมีกำไรสุทธิ 4Q24 จำนวน 1,065 ลบ. โต 20.6% YoY และ 7.5% QoQ แม้เป็นช่วงที่คาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงขึ้น จากการตั้งค่าใช้จ่ายเพื่อพัฒนาระบบเทคโนโลยี ค่าใช้จ่ายสาขาที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายทางการตลาด แต่คาดว่าปัจจัยลบดังกล่าวจะถูกชดเชยด้วย 1. รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิคาดโต 1.8% QoQ หนุนจากสินเชื่อรวมที่คาดยังโตในระดับ 1.9% QoQ แม้บริษัทเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อมากขึ้น เพื่อควบคุมความเสี่ยง ส่วน NIM คาดปรับขึ้นเล็กน้อยเป็น 16.1% จาก 16% ใน 3Q24 หลังรับรู้ผลจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถและสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองขึ้น 2 ครั้งนับตั้งแต่ 4Q23 ขณะที่ต้นทุนทางการเงินยังควบคุมได้ดี 2. คาดว่ารายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยโต 14.8% QoQ เพราะมีรายได้ค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกิจนายหน้าประกันเพิ่มเข้ามา ซึ่งปกติจะมีโบนัสสำหรับการขายเพิ่มเข้ามาในช่วงปลายปีด้วย 3. คาดว่าการตั้งสำรองลดลง 8.6% QoQ สะท้อนเป็น Credit Cost ที่ 3.5% ลดลงจาก 3.9% ใน 3Q24 หลังได้อานิสงส์บวกจากมาตรการเงิน 10,000 บาทที่รัฐฯ จ่ายให้กับกลุ่มเปราะบางในช่วงปลายเดือน ก.ย. 2024 และเป็นผลจากการคัดกรองลูกหนี้ที่เข้มงวดขึ้น           ปี 2025 คาดว่าการตั้งสำรองผ่อนคลายลง และรายได้ค่าธรรมเนียมโตดีขึ้น           เราปรับลดประมาณการกำไรของ TIDLOR ในปี 2024/25 ลง 2.5%/7.8% ตามลำดับ เพื่อรองรับความเสี่ยงจากพอร์ตเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองที่อาจได้รับผลกระทบทางลบจากแนวโน้มราคารถบรรทุกมือสองที่ปรับลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลขาดทุนจากการขายรถยึดจากธุรกิจดังกล่าวคาดว่ายังทรงตัวสูง ส่วนพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ยังแข็งแรง ลูกหนี้มีความสามารถชำระหนี้ดีขึ้นเรื่อยๆ และใน 1Q25 คาดว่าได้แรงหนุนจากมาตรการอัดฉีดเงิน 10,000 บาทให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ (เฟส 2) ทำให้คาดว่าการตั้งสำรองโดยรวมของ TIDLOR จะปรับลงในปี 2025 ขณะที่ NIM มองว่าเพิ่มขึ้นต่อเล็กน้อยจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ในปี 2024 โดยภายใต้ประมาณการใหม่ เราคาดว่า TIDLOR จะมีกำไรสุทธิปี 2024 จำนวน 4,251 ลบ. โต 12.2% YoY และโตต่อ 8.7% YoY ในปี 2025 แนวโน้มธุรกิจยังขยายตัวได้ต่อ ราคาหุ้นไม่แพง คงคำแนะนำ “ซื้อ” เรามองพื้นฐานของ TIDLOR ยังแข็งแรง แม้มีแรงกดดันจากพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองที่ยังไม่ฟื้นตัว แต่คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมคาดว่าไม่น่ากังวล ขณะที่ประเด็นการปรับโครงสร้างธุรกิจ ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมส่ง Filing ใหม่ให้กับ กลต. และคาดว่าจะเริ่มกระบวนการ Tender Offer หุ้น TIDLOR เดิมได้ภายใน 2Q25 และหลังจากนั้นบริษัทจะเร่งพัฒนาธุรกิจใน CLMV และธุรกิจนายหน้าประกันบน Digital Platform มากขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 32.6% จากมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2025 ที่ 22 บาท เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

ADVANC หุ้น Defensive ไตรมาส4/67 โตต่อ  ปี 2567 คาดกำไรที่ 3.43 หมื่นล้านบาท

ADVANC หุ้น Defensive ไตรมาส4/67 โตต่อ ปี 2567 คาดกำไรที่ 3.43 หมื่นล้านบาท

          หุ้นวิชั่น - ADVANC: มองเป็นหุ้น Defensive ซึ่งกําไรเติบโตได้ต่อเนื่อง 4Q67 คาดกําไรปกติ 8.7 พัน ลบ. เติบโต 23%YoY และ 3%QoQ หนุนจากรายได้การให้บริการหลักที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและการควบคุมต้นทุนที่ดี ส่งผลให้ปี 2567 คาดกําไรปกติ 3.43 หมื่นลบ. เติบโต 20%YoY (สูงกว่าประมาณการของเราอยู่ 8.5%) และประมาณการกําไรปี 2568 ของเราอาจมี Upside ที่มา : บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด

PJW ต่อจิ๊กซอว์ ธุรกิจ New S-curve ปั้นพอร์ตรายได้เพิ่ม 25%

PJW ต่อจิ๊กซอว์ ธุรกิจ New S-curve ปั้นพอร์ตรายได้เพิ่ม 25%

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ - บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก หรือ PJW เดินเกมรุก ปั้นธุรกิจ New S-curve อาทิ งานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม และวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ ประกาศตอกย้ำรายได้เพิ่ม 25% พร้อมหนุนอัตรากำไรขั้นต้นเติบโตกว่า 20% เพิ่มเป็น 20-23% จาก 18% ในรอบ 9 เดือนปี 2567 และ 20%      ในปี 2566 พร้อมวางเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่เพิ่มเป็น 1 ใน 3 ของพอร์ต           นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ มองหาธุรกิจที่เป็น New S-curve ใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ทำให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มีธุรกิจ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มบรรจุภัณฑ์ 2. กลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ และ 3. กลุ่มธุรกิจ Healthcare   และด้วยธุรกิจ New S-curve ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ ประเมินภาพรวม การดำเนินงานในปี 2568 มีทิศทางเติบโตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ คาดการอัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 20% จาก 18% เป็น 20-23% เป็นผลมาจากกลุ่มธุรกิจใหม่ (New S-curve) อย่างกลุ่มธุรกิจ Healthcare  ประกอบด้วย 2 กลุ่มธุรกิจที่บริษัทฯ ได้มีการลงทุนในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ 1. กลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม และ2. กลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์   โดยทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจดังกล่าว เริ่มสร้างรายได้ให้บริษัทฯ ผลักดันผลการดำเนินงานในปี 2568 เติบโตแบบก้าวกระโดด และคาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2569  ส่งผลให้ในอนาคตสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูง มีอัตราการเติบโตสูง มีความสม่ำเสมอและมีความมั่นคงของรายได้ ซึ่งจะผลักดันให้ภาพรวมของอัตรากำไรของ  บริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้นและรายได้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ในปี 2568 นี้ PJW จะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Healthcare อยู่ที่ระดับ 20-25% และในปี 2569 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของรายได้รวม เนื่องจาก บริษัทฯ จะมีรายได้จากการจำหน่ายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ เช่น Oxygen Humidifier, สายยางสำหรับผู้ป่วยฟอกไตและถุงน้ำยาล้างไตผ่านหน้าท้อง เป็นต้น            กลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักมาจากโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, โรงพยาบาลพระราม 9, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (BNH) และโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้กว่า 20% ในปี 2568 “ในปี 2568 จะมีอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่ม Healthcare อยู่ในระดับที่สูงกว่ากลุ่มธุรกิจเดิม (กลุ่มบรรจุภัณฑ์ และกลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์) หรืออยู่ที่ระดับ 22-25% (จากอัตรากำไรขั้นต้นรวมของบริษัทฯอยู่ที่ระดับ 18-20%)” อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่บริษัทฯ ปรับ Portfolio สู่ธุรกิจใหม่ จาก New S-curve ส่งผลให้บริษัทฯ ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ เป็นประมาณ 20% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ เติบโตขึ้นจากเดิมที่ 18-20% เพิ่มเป็น 20-23% และคาดว่าจะปรับเพิ่มสูงในปีถัดๆ ไป ซึ่งเป็นผลจากสัดส่วนรายได้ของกลุ่ม Healthcare               ที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯ จะมีเสถียรภาพความมั่นคงมากขึ้น นอกจากนี้ ในปี 2569 บริษัทฯ ยังเตรียมนำสินค้ากลุ่ม Healthcare เจาะตลาดใน ASEAN มากขึ้นด้วย ส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์ ยังเป็นธุรกิจ Cash cow (ยังทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ) มีการเติบโตต่อเนื่อง  มาตลอด ส่วนกลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2568 ยังไม่แตกต่างจากปี 2567 มากนัก แต่ก็ถือว่า bottom แล้ว แต่ยอดขายจากกลุ่มยานยนต์ของ PJW จะกลับมาดีขึ้นอย่างมากในปี 2569 จะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจาก backlog ที่มีอยู่ของ new model ต่างๆ ที่จะเปิดตัวในปี 2569  โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำแม่พิมพ์เพิ่มเติมสำหรับการขายในปี 2569

PTTEPปริมาณขาย Q4 ทำสถิติ จับตา Q1 ทรงตัว-เป้า 160 บ.

PTTEPปริมาณขาย Q4 ทำสถิติ จับตา Q1 ทรงตัว-เป้า 160 บ.

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ ระบุ ว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” PTTEP ที่ราคาเป้าหมายปี 2025E ที่ 160.00 บาท อิงวิธี DCF (WACC 6.7%, TG 0%) และราคาน้ำมันดิบระยะยาวที่ USD65.0/bbl PTTEP รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 1.83 หมื่นล้านบาท (ทรงตัว YoY, +2% QoQ) สอดคล้องกับประมาณการของเราและ consensus โดยดีขึ้น QoQ ตามปริมาณขายเฉลี่ยที่สูงขึ้นแตะระดับสถิติสูงสุดใหม่จากแรงหนุนของรอบโหลดน้ำมันที่สูงขึ้นของโครงการในแอฟริกาและมาเลเซีย และต้นทุนต่อหน่วย (unit cost) ที่ต่ำลงชดเชยราคาขายเฉลี่ย (blended ASP) ที่อ่อนตัวตามราคาขายน้ำมันเฉลี่ย (liquid ASP) ที่ลดลง ทั้งนี้ เชื่อว่าผลประกอบการจะทรงตัว QoQ ใน 1Q25E ซึ่งน่าจะเห็นราคาขายเฉลี่ยก๊าซธรรมชาติ (gas ASP) ที่สูงขึ้นช่วยชดเชยปริมาณขายเฉลี่ยที่ลดลง QoQ ได้ นอกจากนี้ บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการ 2H24 ที่ 5.125 บาทต่อหุ้น สะท้อนอัตราตอบแทนที่ 4.1% โดยจะขึ้น XD ในวันที่ 25 ก.พ.2025เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ขึ้น 4% เป็น 7.15 หมื่นล้านบาท หลักๆเพื่อสะท้อนสมมติฐาน gas ASP ที่สูงขึ้นและ unit cost ที่ต่ำลง ทั้งนี้ เราเชื่อว่ากำไรจะทรงตัวสูงในปี 2026E แม้จะลดลง 12% YoY ตาม blended ASP ที่ลดลงจาก gas ASP และ liquid ASPราคาหุ้นปรับตัวลง 12% และ underperform SET 14% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สอดคล้องกับระดับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงตามความกังวลต่อภาพรวมอุปสงค์การใช้น้ำมันโลก ทั้งนี้ ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ 2025E PBV ที่น่าดึงดูดที่ 0.87x (ประมาณ -1.65SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) และอัตราตอบแทนเงินปันผลที่น่าสนใจที่ 7.5%-7.7% ในปี 2024-2025E

COCOCO บุกตลาดญี่ปุ่น!! ด้วยผลิตภัณฑ์มะพร้าวระดับพรีเมียม

COCOCO บุกตลาดญี่ปุ่น!! ด้วยผลิตภัณฑ์มะพร้าวระดับพรีเมียม

          หุ้นวิชั่น - ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ  บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) (“COCOCO”) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงได้เดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่น และสำรวจสินค้า ภายใต้แบรนด์ Thaicoco ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์มะพร้าวชั้นนำจากประเทศไทย โดยวางจำหน่ายใน Gyomu Supermarket ซูเปอร์มาร์เก็ตยอดนิยมที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศและเป็น ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำที่ได้รับความนิยมอย่างมาก การเปิดตัวใน Gyomu Supermarket ช่วยให้ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นเข้าถึงผลิตภัณฑ์มะพร้าวที่สะท้อนรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของไทยได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ใส่ใจสุขภาพ บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายตลาดในญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยสู่มาตรฐานระดับโลก โดย Gyomu Supermarket ซึ่งมีสาขาครอบคลุมทั้ง 47 จังหวัด รวมกว่า 1,000 สาขาทั่วญี่ปุ่น Gyomu Supermarket จะเป็นช่องทางสำคัญในการขยายฐานผู้บริโภค พร้อมยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลโลก และเป็นเป็นช่องทางสำคัญในการเชื่อมโยงสินค้าไทยกับผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น ถือเป็นก้าวสำคัญของ COCOCO ในการนำเสนอคุณค่าของมะพร้าวไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาและขยายตลาดสู่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกต่อไป โดย COCOCO ยังคงมุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงและพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะผลักดันสินค้าไทยให้โดดเด่นบนเวทีโลก

TQR ตั้งเป้ารายได้โต 5-10% ลุยประกันภัยต่อ Alternative-Traditional เต็มสปีด

TQR ตั้งเป้ารายได้โต 5-10% ลุยประกันภัยต่อ Alternative-Traditional เต็มสปีด

          บมจ.ที คิว อาร์ (TQR) เปิดแผนธุรกิจปี 68 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-10% จากปีก่อน เดินหน้าพัฒนา ประกันภัยต่อ Alternative และ Traditional  รูปแบบใหม่ร่วมกับบริษัทประกันภัยชั้นนำต่อเนื่อง ส่วนบริษัทร่วมทุน อัลฟ่าเซคฯ และ อาร์สแควร์ฯ นำเทคโนโลยี AI มาพัฒนาแพลตฟอร์มการให้บริการ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน หนุนผลงานเติบโตอย่างมั่นคง                       นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) (TQR)  เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 5-10% จากปีก่อน โดยธุรกิจประกันภัยต่อ Traditional และ Alternative ยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง TQR มีการพัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่ๆ ร่วมกับบริษัทประกันภัยชั้นนำ เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงและรับมือกับความเสี่ยงอุบัติใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต           “ปี 2568 เราประเมินว่า ผู้บริโภคมีความต้องการในการทำประกันภัยเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จากความเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ และการระบาดของโรคอุบัติใหม่ประกอบกับ บริษัทฯ วางแผนนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ร่วมกับบริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) (TQM) เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้มากขึ้น ทั้ง ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับ ESG โดยเฉพาะในด้านพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์และรถยนต์ไฟฟ้า (EV), ประกันภัยต่อสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal Accident and Health), ประกันภัยไซเบอร์ (Cyber), ประกันภัยความรับผิดของกรรมการและเจ้าหน้าที่บริหาร (Directors and Officers), ประกันภัยต่อการก่อการร้ายและภัยทางการเมือง (Political Violence), ประกันภัยที่อยู่อาศัย ซึ่งธุรกิจประกันภัยต่อจะมีบทบาทสำคัญในการกระจายความเสี่ยงให้กับบริษัทประกันภัย พร้อมทั้ง จะช่วยผลักดันผลงาน TQR ให้เติบโตมั่นคงและยั่งยืน” นายชนะพันธุ์กล่าว                     นางยุพเรศ พิริยะพันธุ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) (TQR) กล่าวว่า สำหรับบริษัทร่วมทุนทั้ง 2 บริษัท ประกอบด้วย “บริษัท อัลฟ่าเซค จำกัด” โดย TQR ถือหุ้นในสัดส่วน 30% เพื่อประกอบธุรกิจประกันภัยไซเบอร์  มีการพัฒนาแพลตฟอร์มการให้บริการให้เป็นระบบอัตโนมัติ (Automatically) และนำเทคโนโลยีAI มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ลูกค้า อีกทั้ง ยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน นอกจากนี้ ยังได้เริ่มขยายธุรกิจในด้านการให้คำปรึกษาและบริการ DPO Outsourcing ไปในกลุ่มอุตสาหกรรมประกันภัยที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจการเงิน การธนาคาร และธุรกิจประกันภัย                     ในส่วนของธุรกิจให้บริการ (Service) ของบริษัทร่วมทุน “บริษัท อาร์สแควร์ จำกัด” ในปีนี้ มุ่งเน้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการปรับปรุงคุณภาพของแพลตฟอร์ม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการลูกค้า โดยนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในด้าน Face Recognition ปัจจุบันมีลูกค้าใช้บริการแล้วจำนวน 4 ราย และมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้าและเครือข่ายไปในอีกหลายอุตสาหกรรม ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจไปในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ในรูปแบบการควบรวมกิจการ (M&A) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ

TMAN คาดปี67 กำไรที่ 452 ลบ. โบรกชี้ปีนี้โตแรง แนะซื้อเป้า 26.00 บาท

TMAN คาดปี67 กำไรที่ 452 ลบ. โบรกชี้ปีนี้โตแรง แนะซื้อเป้า 26.00 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ระบุ TMAN 4Q24 ยอดสั่งซื้อ Propoliz และยาเติบโต QoQ, YoY เราคาดกำไรปกติ 4Q24 ที่ 109 ลบ. (+7% QoQ, +19% YoY) เติบโต QoQ และ YoY จาก 1. กลุ่มยารักษาโรค (สัดส่วน 55% ของรายได้รวม) เติบโตจากยาสามัญที่เปิดตัวใน 3Q24 (ยาโรคเบาหวาน) เป็นยา First Generic (GPM สูงกว่ายา Generic) และได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้ารพ. ขนาดใหญ่ 2. สเปรย์พ่นปาก Propoliz เติบโตจากตลาดในประเทศตามปัจจัยฤดูกาล และลูกค้าต่างประเทศ (จีน, ฮ่องกง, มาเลเซีย) 3. รายได้และสัดส่วนรายได้กลุ่มลูกค้ารพ. เพิ่มขึ้น QoQ และ YoY จากยอดสั่งซื้อยากลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) ทั้งยาออกใหม่และลูกค้ารายใหม่ หาก 4Q24 ใกล้เคียงที่เราคาด กำไรปกติปี 2024 จะอยู่ที่ 452 ลบ. (+17% YoY) แนวโน้ม 1H25 เติบโต YoY จากยาใหม่และการขยายฐานลูกค้ารพ.แนวโน้มผลประกอบการ 1H25 เติบโต HoH และ YoY จาก 1. ยาสามัญที่เปิดตัวในปี 2024 (ยาลดไขมันและยาโรคเบาหวาน) เริ่มติดตลาดและมีคำสั่งซื้อจากลูกค้ากลุ่มรพ. เพิ่มขึ้น 2. Propoliz เจาะตลาดต่างประเทศมากขึ้นโดยใช้ Local Distributors ช่วย และยอดขายของ Propoliz Pluz ที่จะเพิ่มขึ้น หลังได้รับเลขใบอนุญาตยาสำเร็จรูป ทำให้การเบิกจ่ายผ่านประกันในรพ.เอกชนทำได้สะดวกขึ้น 3. กลุ่มคลินิกความงาม มีแผนเพิ่มสินค้าใหม่อย่าง Botox ที่มีความต้องการในตลาดสูง รวมถึงหาลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น ปี 2025 จะเป็นปีที่ดีต่อเนื่อง            เรามองปี 2025 จะเป็นปีที่ดีต่อเนื่องของ TMAN โดยปัจจัยหลักหนุนการเติบโต ได้แก่ 1. ยาใหม่ที่เริ่มวางขายในรพ. ปี 2024 จำนวน 3 ตัว (ยาเบาหวาน ยาปฏิชีวนะ และยาลดไขมัน) จับตลาดได้และเข้าสู่รอบการประมูลและสั่งซื้อของรพ. อีกทั้งมีแผนวางจำหน่ายยาตัวใหม่ 4 ตัวในปี 2025 โดยตัวแรก ยาแก้แพ้รักษาทางเดินหายใจ จะเริ่มวางขายตั้งแต่เดือนก.พ. 2025 นี้ 2. แบรนด์ Propoliz มีโอกาสในการเติบโตมากขึ้นจากทั้งตลาดร้านขายยา, ตลาดรพ. (อ้างอิง IQVIA, ปี 2024 มูลค่าตลาดของสินค้าสเปรย์พ่นปากในรพ. ไทยเติบโตเด่น 44% YoY และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง) และตลาดต่างประเทศ ที่บริษัทฯ จะเน้นการทำการตลาดร่วมกับ Local Distributor มากขึ้น 3. ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นและการเข้าถึงสิทธิการรักษาของภาครัฐมากขึ้น หนุนความต้องการเวชภัณฑ์ เราประเมินผลประกอบการทั้งปี 2025 เติบโต 19% YoY แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมสิ้นปี 2025 ที่ 26.00 บาท ปัจจุบัน Valuation หุ้นซื้อขายบน PER25 เพียง 11.2 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยคู่แข่งในประเทศที่มี PER 15.5 เท่า นอกจากนี้ในระยะสั้นเรามองว่าหุ้นได้ประโยชน์จากสถานการณ์ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ที่รุนแรง ส่งผลให้ความต้องการเวชภัณฑ์เกี่ยวกับทางเดินหายใจเพิ่มสูงขึ้น (เช่น สเปรย์ Propoliz และยาแก้แพ้) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมสิ้นปี 2025 ที่ 26.00 บาท

BJC คาดปีนี้กำไรโต 10%   SSSG บวกต่อ โบรกแนะ “ซื้อ” ที่ 30 บาท

BJC คาดปีนี้กำไรโต 10% SSSG บวกต่อ โบรกแนะ “ซื้อ” ที่ 30 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี ใน 4Q24F คาดว่า BJC จะมีกำไรหลักของ BJC จะลดลง 6% yoy เป็น 1.5 พันล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าเช่าลดลง 2% yoy (เพราะมีการปรับปรุงห้างหลายแห่ง) เหลือ 2.3 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอื่นๆ เติบโตได้ดี โดยเฉพาะบิ๊กซี (มีส่วนแบ่งรายได้ 65%) การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) อยู่ที่ 1.5% อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มขยายตัว 0.8ppt yoy เป็น 21% อาจมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 130 ล้านบาทจากการป้องกันความเสี่ยงในบัญชีเจ้าหนี้ เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยในไตรมาสนี้ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ 30 บาท เนื่องจากเราคิดว่า SSSG จะยังคงเป็นบวกต่อไปในปี 2025 ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น นอกจากนี้ BJC ซื้อขายที่ 17.5 เท่า P/E ปี 2568F -2SD ของค่าเฉลี่ยระยะยาว 4Q24F กำไรหลักลดลงจากค่าเช่าแต่ยอดขายยังดีอยู่ เราประเมินยอดขายเติบโต 3% yoy โดยได้แรงหนุนจากยอดขายเติบโตดีในทุกหมวด โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจสุขภาพที่อาจเติบโต 7% yoy (เนื่องจากเพิ่มงบประมาณจากความล่าช้าครั้งก่อน) Big C (ส่วนแบ่งรายได้ 65%) SSSG หันมาเป็นบวกที่ 1.5% (จาก 0% ใน 3Q24) เนื่องจากสามารถปรับปรุงการเลือกสรรและความสดของผลิตภัณฑ์อาหารสดที่ดึงดูดลูกค้าได้ ยอดขายกลุ่มบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น 3% yoy เนื่องจากยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดีขึ้นในประเทศไทย และเวียดนามซึ่งเจาะกลุ่มผู้ผลิตเครื่องดื่มรายย่อย เราคาดว่าธุรกิจผู้บริโภคยอดขายจะลดลง 3% yoy จากแนวโน้มการบริโภคที่ซบเซาในประเทศไทย อัตรากำไรขั้นต้นอาจเพิ่มขึ้น 0.8ppt yoy (เป็น 21%) จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง (เช่น โซดาแอชในธุรกิจบรรจุภัณฑ์) รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นที่ Big C จากอาหารสดที่ดีขึ้นซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น2025 กำไรหลักคาดว่าจะโต 10% เราคาดว่ากำไรหลักจะเติบโต 10% ในปี 2025F โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของยอดขาย 5% จากทั้งสี่กลุ่ม SSSG ของ Big C อาจอยู่ที่ 2% และอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มอาจทรงตัว yoy (ที่ 20%) เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ (โซดาแอช อะลูมิเนียม) ทรงตัวเป็นส่วนใหญ่ ความเสี่ยงหลักคือการฟื้นตัวของการบริโภคที่อาจช้ากว่าที่คาด เราให้ TP ที่ 23.8x P/E ปี 2025F ซึ่งต่ำกว่าตัวคูณเฉลี่ยระยะยาว -1SD เรามองว่าการฟื้นตัวของ SSSG เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเชิงบวก ความเสี่ยงที่สำคัญคือการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศไทยช้ากว่าคาด

PROEN จ่อชิงงานภาครัฐ-เอกชนเกือบ 3 พันล้าน

PROEN จ่อชิงงานภาครัฐ-เอกชนเกือบ 3 พันล้าน

          หุ้นวิชั่น - PROEN ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต20% มั่นใจผลงานทั้งปีมีกำไรสุทธิ ลั่นทุกธุรกิจเติบโตได้ดีทั้ง”ดาต้าเซ็นเตอร์-Cloud-งานโครงการภาครัฐ”  จ่อประมูลงานภาครัฐ-เอกชนมูลค่ารวมเฉียด 3 พันล้าน เผยล่าสุดมี Backlog ในมือกว่า 800 ล้าน ส่วนศูนย์บริการข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ภายใต้แบรนด์ Edgnex Data Centers by DAMAC คาดก่อสร้างแล้วเสร็จ 100%ในเดือนเม.ย.นี้ พร้อมเปิดให้บริการทันที           นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN ผู้ให้บริการ Cloud และ Data Center ครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม PROEN ในปีนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ ที่เป็น Core Business ทั้งในส่วนของธุรกิจให้บริการศูนย์ข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ กลุ่ม ICT ซึ่งเป็นกลุ่มให้บริการด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร (Information Communication and Technology),การให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Internet Service Provider : ISP) และบริการคลาวด์ (Cloud Service)  รวมทั้งการดูแลระบบความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์(Cyber Security) โดยปีนี้คาดว่า รายได้จะเติบโตประมาณ 15-20% และมั่นใจว่าผลงานทั้งปีจะมีกำไรสุทธิ ตามเป้าหมายที่วางไว้       โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากกลุ่มธุรกิจให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ 30% ซึ่งจะมีทั้งรายได้จากศูนย์ดาต้าแห่งใหม่ บนถนนพระราม 9-ศรีนครินทร์ และศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ NT และมาจากกลุ่มธุรกิจให้บริการคลาวด์ Cloud Service สัดส่วน 5%  กลุ่มเทรดดิ้ง 25%   และที่เหลือประมาณ 30-40 % จะมาจากกลุ่มธุรกิจโครงการ ICT นายกิตติพันธ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัท มีมูลค่างานในมือ หรือ Backlog จำนวน 22 โครงการ  ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์และงานโครงการภาครัฐรวมมูลค่าราว 800 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง   และคาดว่าภายในปีนี้บริษัทจะมี Backlog เพิ่มขึ้น  เนื่องจากบริษัทเตรียมที่จะประมูลงานทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนมูลค่ารวมเกือบ 3,000 ล้านบาท สำหรับความคืบหน้าในการเปิดศูนย์บริการข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ภายใต้แบรนด์ Edgnex Data Centers by DAMAC  ตั้งอยู่บนพื้นที่ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ถนนพระราม 9-ศรีนครินทร์  กำลังผลิต 5 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ 100% และพร้อมให้บริการทั้ง 5 เมกะวัตต์ประมาณ เดือนเมษายน นี้ ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าต่างประเทศจองสิทธิการใช้บริการเต็มพื้นที่ ทำให้บริษัทมีแผนที่จะขยายการลงทุนในเฟสถัดไปอีก  15 เมกะวัตต์ ในพื้นที่ติดกัน (พระราม9)  ภายในปีนี้

BA คาด Q1 ไฮซีซั่นสมุย โตแกร่ง PE 10เท่า แนะเก็งกำไร เป้า 26.87 บาท

BA คาด Q1 ไฮซีซั่นสมุย โตแกร่ง PE 10เท่า แนะเก็งกำไร เป้า 26.87 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อ BA และแนะนำเก็งกำไรจากมูลค่าหุ้นที่ PE’68 ลดลงเหลือประมาณ 10 เท่า โดยคาดว่าจะสามารถทำกำไรในไตรมาส 4/2567 แม้จะมีค่าใช้จ่ายตามฤดูกาลสูงขึ้น ต่างจากไตรมาส 4 ของปีก่อนๆ ที่ขาดทุนมาตลอด นอกจากนี้คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวในปี 2568 ที่คาดการณ์นักท่องเที่ยว 37.5-40 ล้านคน และโอกาสได้รับแรงหนุนจากการถ่ายทำซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ที่เกาะสมุย โดยคาดว่าไตรมาส 1/2568 จะเป็นช่วงไฮซีซั่นของสมุย ส่งผลให้ BA มีโอกาสเติบโตแข็งแกร่งในปี 2568 BA : ราคาพื้นฐาน 26.87 บาท

MASTER คาดกำไร Q4 ทำนิวไฮ 200 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 68.50 บาท

MASTER คาดกำไร Q4 ทำนิวไฮ 200 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 68.50 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ชี้ MASTER ปัจจัยพื้นฐานยังเหมือนเดิม หลังจากวานนี้ราคาหุ้นปรับตัวลง 19.9% หลังมีรายงานการขาย Big Lot และมีประเด็นข่าวลือในตลาดมากมายกดดันราคาหุ้น ส่งผลให้บริษัทได้จัดแถลงข่าวอย่างไม่เป็นทางการช่วงบ่ายวานนี้ ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัท Our Takes: ► ผลประกอบการ 4Q24: ผู้บริหารยังยืนยันว่าทำได้ตามเป้าหมายที่เคยให้ Guidance ไว้ ไม่มีประเด็นน่ากังวลแต่อย่างใด เป้าส่วนแบ่งกำไรจาก Partner ที่ 40–50 ล้านบาทในปี 2024 ยังยืนยันว่าทำได้มากกว่า 40 ล้านบาท ► ข่าวลือเกี่ยวกับกรณีผู้ป่วยเสียชีวิต: บริษัทชี้แจงว่า ตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจมาไม่เคยมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น ► Big Lot เช้าวานนี้: เกิดรายการ Big Lot จำนวน 11.4 ล้านหุ้น ที่ราคา 37 บาท ทำให้ตลาดกังวล เนื่องจากราคาต่ำกว่าราคาที่ร่วงลงมา 2 วันติดต่อกันจากระดับ 46 บาท ช่วงเย็นวานนี้บริษัทประกาศว่าผู้ขายหุ้นคือ นพ.ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล โดยจำนวนหุ้นที่จำหน่ายออกคิดเป็นสัดส่วน 3.78% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ส่งผลให้จำนวนหุ้นที่ นพ.ระวีวัฒน์ ถืออยู่ทั้งทางตรงและผ่าน Inglory Investments ลดลงจาก 59.4% เป็น 55.6% ส่วนราคาขายมีส่วนลดจากราคาตลาดวันก่อนหน้าราว 8% แต่ยังสูงกว่าราคา IPO ► ผู้ซื้อ: นักลงทุนสถาบันต่างประเทศที่ติดตามบริษัทมานาน และมีความตั้งใจถือหุ้นของบริษัทในระยะยาว เพื่อเพิ่ม Free Float ของหุ้นในกระดานหลังย้ายตลาดเข้า SET ► การชี้แจงเพิ่มเติม: ผู้บริหารยืนยันว่าการทำ Big Lot จบแล้ว ► Panic Sell: เช้าวานนี้ราคาหุ้นปรับตัวลงไปแตะระดับ Floor ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าอาจมีการบังคับขายหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่นำหุ้นไปวางเป็นหลักประกัน ณ เดือน พ.ย. มีหุ้นวางเป็นหลักประกันอยู่จำนวน 27 ล้านหุ้น คิดเป็น 9% ของหุ้นจดทะเบียนที่ชำระแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารระบุว่า นพ.ระวีวัฒน์ และ Inglory Investments ไม่เคยนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกัน จึงไม่มีการถูกบังคับขายจากผู้ถือหุ้นใหญ่ ► Roadshow ที่อินโดนีเซีย: CEO กำลังอยู่ระหว่าง Roadshow ที่อินโดนีเซีย ครั้งก่อนสามารถปิดยอดขายได้ 20 ล้านบาท ครั้งนี้ตั้งเป้าที่ 40 ล้านบาท ในเวลา 1 วันครึ่ง ความคิดเห็น: คงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการ โดยคาดการณ์กำไร 4Q24 เบื้องต้นอาจทำระดับสูงสุดใหม่ที่มากกว่า 200 ล้านบาทได้ เนื่องจากเป็นช่วง High Season ของรายได้ และ Low Season ของค่าใช้จ่ายทางการตลาด อีกทั้งส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER2025 ต่ำเพียง 17 เท่า และการปรับตัวลงไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งสวนทางกับกำไรปี 2025 ที่มีโอกาสดีกว่าคาด จากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ยังทำไว้เพียง 80 ล้านบาท ซึ่งเป็นขอบล่างของเป้าหมายบริษัทที่ 80–100 ล้านบาท คงคำแนะนำ: ซื้อราคาเป้าหมาย: 68.50 บาท

SAPPE คาดกำไรปี68 นิวไฮ 1,466 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 82.00 บาท

SAPPE คาดกำไรปี68 นิวไฮ 1,466 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 82.00 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า มองว่า SAPPE ราคาหุ้นที่ปรับตัวสะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว คาดกำไรใน 4Q67 สามารถกลับมาเติบโต YoY ได้อีกครั้งเราคาดรายได้ 4Q67 ที่ 1,366 ล้านบาท (-12.8% QoQ, +13.0% YoY) ลดลง QoQ เนื่องจากเป็นช่วง Low season แต่สามารถกลับมาเติบโต YoY ได้อีกครั้ง หนุนจากการปรับโครงสร้างการกระจายสินค้าในอินโดนีเซียที่สิ้นสุดลงและท่าเรือในตะวันออกกลางบางแห่งที่กลับมาเปิดใช้งานตามปกติ รวมถึงการเริ่มรับรู้ผลของการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปยังร้าน Costco ในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม รายได้รวมทั้งปี 2024 อาจเติบโตอยู่ที่เพียง 12.0% ต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ 15-20% เนื่องจากยอดขายในยุโรปที่ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่ GPM ใน 4Q24 คาดอยู่ที่ 45.2% เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY แม้ U-rate จะลดลง เนื่องจากการเริ่มรับรู้ผลของราคาเม็ดพลาสติกที่ปรับตัวลง รวมถึงสัดส่วนส่งออกที่สูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทได้เริ่มใช้สิทธิ BOI เป็นไตรมาสแรก คาดว่าจะสามารถลดภาษีจ่ายได้ราว 14 ล้านบาท จากปัจจัยดังกล่าว คาดกำไรปกติ 4Q24 อยู่ที่ 183 ล้านบาท (-36.4% QoQ, +21.8% YoY) และหากกำไรออกมาตามคาด กำไรของทั้งปีจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประมาณการทั้งปีของเรา คาดกำไรในปี 2025 ยังทำ New High ได้ต่อ แม้มีฐานสูงในปีก่อน เรามีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการในปี 2025 ของ SAPPE โดยคาดกำไรปกติจะเติบโตเป็น 1,466 ล้านบาท (+15.7% YoY) ทำ New High ได้ต่อเนื่อง หนุนจาก: 1. การขยายกำลังการผลิต (+25% YoY) ในช่วง 2Q25           2. ภูมิภาคยุโรปที่คาดกลับมาเติบโตจากการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเป็นแบบ Domestic marketing จากปี 2024 ที่ใช้กลยุทธ์แบบ Global marketing           3. ภูมิภาคสหรัฐฯ เติบโตจากการรับรู้ผลของการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปยังร้าน Costco เต็มปี           4. การออกสินค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 20 SKUs ครอบคลุมการจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ แม้ GPM อาจลดลง YoY จากการรับรู้ค่าเสื่อมที่สูงขึ้นจากการขยายกำลังการผลิต แต่คาดจะชดเชยได้บางส่วนจากราคาต้นทุนวัตถุดิบ เช่น ราคาน้ำตาลและเม็ดพลาสติกที่ปรับตัวลง รวมถึงการรับรู้ประโยชน์จากการยกเว้นภาษีจาก BOI เต็มปี มองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว แนะนำ “ซื้อ”นอกจากนี้ ประมาณการกำไรปี 2025 ยังมี Upside จากการได้ BOI ยกเว้นภาษีเพิ่มเติมจากกำลังการผลิตใหม่ที่อาจส่งผลให้ NPM สูงกว่าที่คาด แต่อาจต้องติดตามผลของลานีญาที่มีโอกาสทำให้ยอดขายในประเทศและเอเชียต่ำกว่าที่คาด เราปรับ PE ในการประเมินมูลค่าลงเป็น 17.0 เท่า จากเดิม 20.0 เท่า เพื่อสะท้อนถึงภาวะตลาดในปัจจุบัน ทำให้ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 82.00 บาท ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรง 36.6% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนปัจจัยลบจากการเติบโตของรายได้ในปี 2024 ที่ต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทไปมากแล้ว โดยราคาหุ้นในปัจจุบันซื้อขายบน PER25 ที่ 12.6 เท่า คิดเป็น -1.5 SD ของ PE Band ย้อนหลัง 5 ปี ขณะที่แนวโน้มกำไรในปี 2025 คาดทำ New High ได้ต่อเนื่อง จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ความเสี่ยงสำคัญ: • ความเสี่ยงจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ • ราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ผันผวน • ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน • การได้รับผลกระทบจากลานีญากดดันอุปสงค์สินค้ากลุ่มเครื่องดื่ม

AOT หมดกังวลนทท.จีน  คาดกำไร Q1 พุ่ง 32% แนะซื้อ เป้า 64.5 บ.

AOT หมดกังวลนทท.จีน คาดกำไร Q1 พุ่ง 32% แนะซื้อ เป้า 64.5 บ.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี เปลี่ยนคำแนะนำ AOT เป็น Buy (เดิม Trading Buy) คงราคาเป้าหมาย (TP25F) 64.50 บาท เรามองว่าราคาหุ้น AOT ลดลงสะท้อนความกังวลประเด็นนักท่องเที่ยวจีนมากเกินไป และเรายังมอง Positive ต่อแนวโน้มกำไร 1Q25F (ต.ค.-ธ.ค. 24) โตต่อเนื่อง (+23% yy +32% qq) ตามการฟื้นตัวของปริมาณการเดินทาง และกำไร 2Q25F มีแนวโน้มโตต่อเนื่องตามฤดูกาล นอกจากนี้ยังมี Upside risk จากอีกหลายโครงการที่คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ • AOT (Buy, TP25F-64.5):

CPAXT คาดกำไรปี68 พุ่ง 13.7 พันลบ. ยอดขายแกร่ง - 50 สาขาใหม่หนุน โบรกชี้เป้า 30 บาท

CPAXT คาดกำไรปี68 พุ่ง 13.7 พันลบ. ยอดขายแกร่ง - 50 สาขาใหม่หนุน โบรกชี้เป้า 30 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี ระบุว่า ฝ่ายบริหารให้แนวทางเชิงบวกสำหรับปี 2025: (1) การเติบโตของยอดขายดี(2) อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 0.6ppt yoy และ (3) เปิดสาขาใหม่ 50 แห่ง โดยได้รวมไว้ในประมาณการกำไรของเรา ซึ่งทำให้กำไรหลักปี 2025F เพิ่มขึ้น 22% และปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น 28% เป็น 30 บาท EPS จะเพิ่มขึ้น31.7% yoy ในปี 2025F ซึ่งราคาหุ้นรับรู้ปัจจัยต่าง ๆ นี้ไว้แล้ว ดังนั้นเราจึงปรับแนะนำ CPAXT เป็น “NEUTRAL” 4Q24F กำไรหลักโต 12% yoy เราประเมินว่ากลุ่ม SSSG อยู่ที่ 1.9% ใน 4Q24F โดยได้แรงหนุนจาก 1.5% ในธุรกิจขายส่ง และ 2.3% ในส่วนค้าปลีก ตัวขับเคลื่อนการเติบโตจะเป็นธุรกิจอาหารสด (ส่วนแบ่งรายได้ประมาณ 35%) ด้วยการเลือกสรรที่ดีขึ้นและการนำเสนอที่สดใหม่ยิ่งขึ้น ซึ่งน่าจะเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นขึ้น 0.6ppt yoy เป็น 14.7% ต้นทุน SG&A/ยอดขายรวมน่าจะลดลง 0.4ppt qoq เป็น 13.3% จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างดี 2025F กำไรหลักโต 26% yoy เราคาดว่า SSSG จะสูงถึง 2.5% ในปี 2025F และยอดขายรวมจะเติบโต 7% อัตรากำไรขั้นต้น จะขยายตัว 0.6ppt (0.25ppt จาก synergies) เนื่องจากกลุ่มยังคงมุ่งเน้นที่กลุ่มอาหารสด ต่อไป รวมถึงได้รับแรงผลักดันจากการทำงานร่วมกันจากการควบรวมกิจการระหว่างแม็คโคร และโลตัสเมื่อเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้เรายังใช้เงินลงทุน 25 พันล้านบาทสำหรับการบำรุงรักษาและ เปิดสาขาใหม่ โดยรวมแล้ว กำไรหลักคาดว่าจะเติบโต 26% yoy เป็น 13.7 พันล้านบาทในปี 2025F ความเสี่ยงหลักคือการฟื้นตัวของการบริโภคที่ช้ากว่าคาดเรากำหนดราคาเป้าหมายของเราไว้ที่ระดับ 22.9x 2025F P/E โดยปัจจุบันมีการซื้อขายที่ระดับ P/E 21.5x ในปี 2025F ทั้งนี้ปัจจัยความเสี่ยงหลักคือการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

HMPRO มีปันผลเกิน 4% Q1/68 รับอานิสงส์ Easy E-Receipt แนะซื้อ เป้า 12.4 บ.

HMPRO มีปันผลเกิน 4% Q1/68 รับอานิสงส์ Easy E-Receipt แนะซื้อ เป้า 12.4 บ.

          หุ้นวิชั่น – บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ชี้ 4Q67F กำไรส่อแววสดใส คาดเติบโต qoq และ yoy ได้รับผลบวกจากการซ่อมแซมบ้านหลังผ่านพ้นน้ำท่วม FY67F คาดกำไร +1.2% บวกกับคาดอัตราเงินปันผลเกิน 4% อีกทั้ง 1Q68 ได้รับผลบวกจาก E-Receipt ประเมินราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ 12.4 บ. เทียบเท่า FY68F P/E=18x

CPALL คาดปี 67 กำไรโต 30% โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 77 บาท

CPALL คาดปี 67 กำไรโต 30% โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 77 บาท

          หุ้นวิชั่น – บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุ CPALL 4Q67F คาดกำไรเติบโตเด่น qoq และ yoy จากฤดูกาลท่องเที่ยว ช่วงเทศกาล และจาก Synergy FY67F คาดกำไร >30%yoy และ FY68F >15%yoy โดย 1Q68F ได้มาตรการ E-Receipt ช่วย ประเมินราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ 77 บ. เทียบเท่า FY68F P/E=21x

KSS คาด SET “Rebound” ต้าน 1433 จุด ชู BJC, CRC, KTB

KSS คาด SET “Rebound” ต้าน 1433 จุด ชู BJC, CRC, KTB

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1429/1433 จุด รับ 1415/1411 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งขึ้น ดัชนีS&P500 +0.38% หุ้นเทคฯนำตลาด Broadcom ยังมีโมเมนตัม ขณะที่ปัจจัยมหภาค Flash PMI สหรัฐฯ ธ.ค. 24 ภาคบริการขยายตัว ดีกว่าคาด เร่งขึ้นสู่ 58.5 จุด ชดเชยฝั่งภาคผลิตที่ต่ำกว่าคาด หนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นภาพ Goldilocks to Soft Landing แต่ตลาดน่าจะเริ่มรอสัญญาณช่วงถัดไปโดยเฉพาะมุมมองดอกเบี้ยและเศรษฐกิจจากการประชุม Fed (ไทยทราบผลเช้า 19 ธ.ค.) บ่งชี้จาก US Bond Yield 10 ปีที่ยังแกว่ง 4.4% ขณะที่เอเชียการฟื้นตัวจีนยังค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ความน่าสนใจระยะสั้นที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนยังไม่มาก ด้านไทยหลังตลาดปรับตัวลดลง 6 วันติด ส่งผลให้ Current Equity Risk Premium (ERP) แตะ 3.8% > ค่าเฉลี่ย 3.1% ส่วน Forward ERP ขึ้นไป 4.4% > Avg + 1 S.D. (4.05%) น่าจะเริ่มเป็นจุดกลับมาสร้างความน่าสนใจตลาดหุ้นไทย ผสาน ภายในลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม            ประเมิน SET วันนี้ Rebound หุ้นนำ คือ กลุ่ม Domestic ธนาคาร ค้าปลีก กลุ่มที่เป็นเป้า Domestic Long Term Funds อาทิ สื่อสาร วันนี้แนะนำ BJC, CRC, KTB

“EE” ชี้แจง ลงทุนสู่ธุรกิจเทคฯ  มุ่งความมั่นคงและการเติบโตระยะยาว

“EE” ชี้แจง ลงทุนสู่ธุรกิจเทคฯ มุ่งความมั่นคงและการเติบโตระยะยาว

          หุ้นวิชั่น - บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ EE โดย นายอิศรา เรืองสุขอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมกรณีบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงธุรกิจและอำนาจควบคุมต่อกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วัน 11 ธันวาคม 2567 โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนในธุรกิจ Tech ว่าบริษัทฯจะยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจกัญชงและกัญชาต่อไป แต่ด้วยความผันผวนของนโยบายภาครัฐและภาวะอุตสาหกรรมที่ส่งผลต่อราคาผลผลิตตกต่ำจากสภาวะอุปทานส่วนเกิน บริษัทฯ จึงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการขยายการลงทุนสู่ธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว บริษัทฯ ได้วางแนวทางการขยายสู่ ธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ (“ธุรกิจ Tech”) ซึ่งมีโอกาสในการสร้างรายได้และการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย: 1.         ธุรกิจสื่อเทคโนโลยี (Technology Media) 2.         ธุรกิจให้บริการชำระเงิน (Payment Gateway Solution) 3.         ธุรกิจแพลตฟอร์มตลาดซื้อขาย (Marketplace Platform) บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าธุรกิจ Tech จะสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 12.0 พร้อมศักยภาพการเติบโตที่มั่นคงในอนาคต ทั้งนี้ เพื่อให้การลงทุนในธุรกิจใหม่ดำเนินไปได้ทันต่อสถานการณ์ บริษัทฯ มีแผนระดมทุนผ่าน Private Placement โดยการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด แม้ว่าบริษัทฯ ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อธุรกิจที่อยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนได้ในขณะนี้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียนแห่งอื่น และอาจส่งผลกระทบต่อการเจรจาธุรกรรม บริษัทฯ คาดว่าจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการลงทุนในธุรกิจ Tech ภายในไตรมาส 2–3 ของปี 2568 บริษัทฯ ขอย้ำถึงความตั้งใจที่จะสร้างความมั่นคงและผลตอบแทนอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้น พร้อมมุ่งหน้าสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในอนาคต           เกี่ยวกับบริษัท EE: บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจกัญชงและกัญชา พร้อมขยายสู่ธุรกิจเทคโนโลยีและสารสนเทศ เพื่อสร้างรายได้และการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาว

PF-GRAND มุ่งลดหนี้ 16,000 ลบ. เล็งพันธมิตรใหม่ต่อยอด

PF-GRAND มุ่งลดหนี้ 16,000 ลบ. เล็งพันธมิตรใหม่ต่อยอด

          หุ้นวิชั่น -  กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และ แกรนด์ แอสเสทฯ เผยแผนลดหนี้ สร้างความแข็งแกร่งด้านการเงิน ปี 2567 ลดภาระหนี้ลงแล้ว 8,000 ล้านบาท ปี 2568 เดินหน้าลดหนี้ต่อเนื่องอีก 8,000 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำสุดในรอบทศวรรษ ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้ถึง 1,000 ล้านบาท พร้อมเร่งสร้างรายได้จากโครงการร่วมทุน เตรียมรับคืนเงินลงทุนจากการร่วมทุน 4,000 ล้านบาทภายใน 2 ปี ด้านทิศทางปี 2568 เล็งร่วมมือพันธมิตรรายใหม่ลงทุนต่อยอดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์           นายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) และ แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ (GRAND) วางเป้าหมายในการบริหารจัดการโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่ง ทั้งการลดภาระหนี้ เพิ่มสภาพคล่อง เร่งสร้างยอดขาย รายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงเผชิญกับความท้าทาย การเสริมความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน เป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนและสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มศักยภาพ “กลุ่มบริษัทมีแผนลดภาระหนี้รวม 16,000 ล้านบาท โดยปีนี้สามารถลดภาระหนี้ลงได้แล้ว 8,000 ล้านบาท จากการขายโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท และชำระคืนหุ้นกู้ ภายในปี 2568 ยังตั้งเป้าจะเร่งลดหนี้ลงอย่างต่อเนื่องอีก 8,000 ล้านบาท เป็นของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 3,000 ล้านบาท และ แกรนด์ แอสเสทฯ 5,000 ล้านบาท ทั้งจากการขายที่ดินและเงินลงทุน ร่วมทุน และการชำระคืนหุ้นกู้ การลดภาระหนี้ลงตามแผนจะทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้ถึง 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนทางการเงินครั้งใหญ่ของกลุ่มบริษัท และยังทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง มีสภาพคล่องทางการเงินสูงขึ้น ที่สำคัญยังจะมีผลให้อัตรา ส่วนหนี้สินต่อทุนของกลุ่มบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบทศวรรษ” พร้อมกันนี้ยังจะเร่งสร้างรายได้จากโครงการร่วมทุน ซึ่งกลุ่มบริษัทเริ่มพัฒนาโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรชั้นนำจากต่างประเทศ 3 องค์กร ตั้งแต่ปี 2561 เรื่อยมา และประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับอย่างดีในการสร้างความแตกต่างให้กับตลาดที่อยู่อาศัยด้วยมาตรฐานระดับสากล  ในปี 2568–2569 กลุ่มบริษัทยังจะได้รับคืนเงินลงทุนและ Shareholder Loan จากโครงการร่วมทุน เป็นจำนวน 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและกระแสเงินสดให้กับกลุ่มบริษัท ปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีการพัฒนาโครงการร่วมทุนทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 27,950 ล้านบาท ทั้งการร่วมทุนกับ “ซูมิโตโม ฟอเรสทรี” ผู้นำในธุรกิจป่าไม้และก่อสร้างบ้านจากประเทศญี่ปุ่น ในโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” มูลค่า 6,200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะปิดการขายโครงการได้ในปี 2569 และโครงการบ้านเดี่ยว “เลค ฟอเรสต์ ราชพฤกษ์ตัดใหม่” มูลค่า 4,450 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับ “ฮ่องกง แลนด์” บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ในโครงการ “เลค เลเจ้นด์” บ้านหรูระดับซุเปอร์ลักซ์ชัวรี่ริมทะเลสาบใน 2 ทำเล คือ แจ้งวัฒนะ และ บางนา-สุวรรณภูมิ รวมมูลค่า 13,870 ล้านบาท  มีความร่วมมือกับ “เซกิซุย เคมิคอล” ผู้นำในตลาดรับสร้างบ้านของประเทศญี่ปุ่น พัฒนาบ้านนวัตกรรมที่ก่อสร้างด้วยระบบ       โมดูลาร์ ในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ 5 ทำเล ได้แก่ กรุงเทพกรีฑา รามคำแหง สุขุมวิท รัตนาธิเบศร์ และ แจ้งวัฒนะ มูลค่ารวม 3,430 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดการขายทั้ง 5 ทำเลได้ในกลางปีหน้า สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2568 กลุ่มบริษัทมีความมั่นใจในศักยภาพและโอกาสในการขยายตัวของธุรกิจ ทั้งจากการเปิดโครงการใหม่ การเพิ่มยอดขายจากกลุ่มโครงการลักซ์ชัวรี่ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด บริษัทยังมีแผนพัฒนาโครงการภายใต้คอนเซ็ปท์ใหม่เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าในเซกเมนต์ระดับบน อีกทั้งยังจะมีความร่วมมือกับพันธมิตรรายใหม่ร่วมลงทุนต่อยอดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ

ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย สนับสนุนกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี

ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย สนับสนุนกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี

          หุ้นวิชั่น - นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานรับมอบเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงราย จำนวน 1,000,000 บาท จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ซึ่งบริจาคผ่านกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย โดยมีนายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมด้วยผู้บริหารจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งเป็นผู้แทนจากสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ร่วมมอบ ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

ปตท.สผ. ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการระดับ “ดีเลิศ” จาก CGR 2024

ปตท.สผ. ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการระดับ “ดีเลิศ” จาก CGR 2024

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้รับการประเมินด้านการกำกับดูแลกิจการในระดับ “ดีเลิศ” (Excellent) หรือ 5 สัญลักษณ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ต่อเนื่องเป็นปีที่ 23 และได้รับการจัดอันดับอยู่ใน Top Quartile ของบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าทางการตลาดไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท จากการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน ประจำปี 2567 (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies: CGR 2024) ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ภายใต้การสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การจัดอันดับดังกล่าว สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ปตท.สผ. ในการพัฒนามาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม

L&E ส่งซิก Q4 โตต่อเนื่อง  ชนะประมูลงานโคม LED 60,000 ชุด

L&E ส่งซิก Q4 โตต่อเนื่อง ชนะประมูลงานโคม LED 60,000 ชุด

หุ้นวิชั่น - L&E เผยโค้งสุดท้ายของปีโตกว่า Q3/67 และโมเมนตัมการเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงปี 68 ปัจจัยสนับสนุนจากการทยอยรับรู้รายได้งานในมือ และล่าสุดคว้างานใหม่โคมไฟถนน LED 60,000 ชุด จากการไฟฟ้านครหลวง นอกจากนี้ โอกาสได้งานบัญชีนวัตกรรมจากภาครัฐ ควบคู่บุกช่องทางจัดจำหน่าย และการพัฒนาสินค้านวัตกรรมมากขึ้น รวมทั้ง LEM & LES ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ L&E เริ่มทยอยกลับมาผลิตสินค้าจำนวนมากเพื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกา โดยเน้นปรับปรุงเครื่องจักรลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเพิ่มช่องทางการขาย ชูความแข็งแกร่งรับมือสถานการณ์ตลาดโลกผันผวน นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้นำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้า รวมทั้งอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ของประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจโค้งสุดท้ายของปีสัญญาณดี จากครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ทิศทางไตรมาส 3 เริ่มปรับตัวดีขึ้น และมีโมเมนตัมที่ดีมาถึงไตรมาส 4/67 จากปัจจุบันงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 1,300 ล้านบาท เตรียมทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 60% และในปีหน้า 40% อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงติดตามงานโครงการมิกซ์ยูสใหญ่ๆ 2-3 โครงการที่อยู่ใน Backlog แล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งมอบงานให้แล้วเสร็จทันภายในปีนี้ หรือเลื่อนไปรับรู้ในช่วงต้นปี 68 ทำให้ภาพรวมรายได้ทั้งปีมองว่ายังทรงตัว แต่คาดว่ากำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว นอกจากนี้ ล่าสุด L&E ชนะงานประมูลงานโคมไฟถนน LED 60,000 ชุด จากการไฟฟ้านครหลวงฯ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งคาดการณ์รับรู้รายได้ 30% ในปี 67 ส่วนที่เหลือ 70% ในปี 68 อีกทั้ง บริษัทฯ มีโอกาสคว้างานใหม่ต่อเนื่อง อาทิ งานบัญชีนวัตกรรมจากภาครัฐ รวมทั้ง งานโครงการภาคเอกชนที่มีการเดินหน้าโปรเจ็กต์ใหม่ ควบคู่ให้ความสำคัญในการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่าย และการพัฒนาสินค้านวัตกรรมมากขึ้น ขณะที่ บริษัท แอล แอนด์ อี แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด หรือ LEM และ บริษัท แอล แอนด์ อี โซลิดสเตท จำกัด หรือ LES ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ L&E เริ่มทยอยกลับมาผลิตสินค้าจำนวนมากเพื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกา สนับสนุนผลการดำเนินงานในช่วงโค้งสุดท้ายของปี และที่สำคัญที่สุดคือ การที่โรงงาน LEM & LES ลดต้นทุนต่อเนื่อง มีการเพิ่มกำลังผลิตเครื่องจักรหลักที่สำคัญ จะเห็นผลได้ในปีหน้าอย่างเป็นนัยสำคัญ เนื่องจากการปรับปรุงทำให้เพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้า OEM & ODM ให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ที่มีอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ โคม panel ดาว์ไลท์ ไฮเบย์ ไฟถนน  เป็นต้น เพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้แก่บริษัท ทั้งราคา และคุณภาพที่ลูกค้าเชื่อมั่น บริการดี รวดเร็ว ตรงตามความคาดหวังของลูกค้า นอกจากนี้มีการลงทุนในเครื่องจักรใหม่เพื่อผลิตสินค้าที่มียอดสั่งซื้อสูงเพื่อทดแทนการนำเข้า  เช่น ไฟเส้น LED Strip Lights, อุปกรณ์ควบคุม LED ให้เป็น Smart Lighting  เป็นต้น นายอนันต์ กล่าวเพิ่มเติมถึง การเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน จากการที่ L&E มี จุดแข็งเป็น Lighting Solution Provider ในงานโครงการ เรามีความพร้อมเป็นอย่างมาก แม้ในสถานการณ์โลกผันผวน ทั้งปัจจัยกระทบเรื่องสงคราม และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งในด้านการผลิต รวมทั้ง ประสบการณ์ที่มีก่อนหน้านี้ ในการผลิตสินค้าเป็นจำนวนมากเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ จะทำให้ L&E ได้เปรียบกว่าคู่แข่งขัน เรามองว่าเป็นโอกาสมากกว่าภัยคุกคาม รวมทั้ง เพิ่มช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ เช่น ช่องทางการขายผ่านออนไลน์ เป็น Platform เชื่อมต่อระหว่างลูกค้ากับ L&E นอกจากนี้ การมุ่งเน้นสินค้านวัตกรรมที่แตกต่าง ตอบสนองความต้องการลูกค้าและไลฟ์สไตล์ ยุค 5G  ซึ่งตอนนี้ L&E มีสินค้าที่เป็น IoT+AI ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ และยังคงรักษาโมเมนตัมการเติบโตธุรกิจที่เกี่ยวกับสินค้า IoT ในด้านแสงสว่าง และระบบควบคุมแสงสว่างอาคาร จากประสบการณ์งานโครงการที่ L&E สั่งสมมาในงานโครงการใหญ่ ๆ เช่น โครงการ One Bangkok, Park Silom, Bytedance HQ, Data Center KTB, อาคารจอดรถ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เป็นต้น ทำให้เกิดการพัฒนาสินค้าโคมไฟอัจฉริยะรูปแบบใหม่ง่ายต่อการออกแบบและติดตั้ง ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทดสอบฟังก์ชั่นก่อนใช้งาน และมีธุรกิจใหม่คือ Entertainment  Lighting สนับสนุนงานอีเวนท์ขนาดใหญ่ครบวงจร ทัดเทียมมาตรฐานงานต่างประเทศ อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ยังพร้อมเดินหน้าตอบสนองกับเป้าหมายของภาครัฐในการพัฒนาเมืองใหญ่ มุ่งสู่ Smart City ขับเคลื่อนองค์กรเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน ดำเนินธุรกิจตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และเที่ยงตรง

OR หนุนพัฒนาเยาวชน  ชู OR Seeding the Future ASEAN Camp

OR หนุนพัฒนาเยาวชน ชู OR Seeding the Future ASEAN Camp

หุ้นวิชั่น - นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR พร้อมด้วย นายรชา อุทัยจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านธุรกิจต่างประเทศ OR ร่วมเปิดโครงการค่ายเยาวชน “OR Seeding the Future ASEAN Camp 2024” ผ่านแนวคิด "Z-Leads: Business Game Changer" ณ ห้องประชุม Multiverse ชั้น 10 อาคารซี ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์           นายดิษทัต กล่าวว่า OR ได้จัดโครงการค่ายเยาวชนเป็นปีที่ 8 เพื่อเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษา ระดับอุดมศึกษา จากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนที่ OR ได้เข้าไปดำเนินธุรกิจอยู่ ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ทั้งที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและในประเทศของตน จำนวน 50 ราย โดยผ่านการคัดเลือกจากผลงานสื่อวีดีโอแสดงวิสัยทัศน์ตามหัวข้อที่กำหนดพร้อมแนะนำตนเอง เพื่อสนองตามนโยบายและทิศทางกลยุทธ์ของ OR ในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายในการเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก (Global Brand) ซึ่งเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการนี้ จะได้รับความรู้ และประสบการณ์ระดับนานาชาติ ผ่านการสร้างเครือข่ายเยาวชนในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนเป็นการสร้างโอกาสในการคัดสรรบุคลากรเพื่อเข้าร่วมงานกับบริษัทในเครือของ OR ที่ดำเนินการอยู่ในภูมิภาคอาเซียน และพัฒนาไปสู่เครือข่ายทรัพยากรบุคคลในกลุ่มประเทศสมาชิก AEC จากกลุ่มเยาวชนสมาชิกค่ายที่มีศักยภาพ ซึ่งถือเป็นการพัฒนาศักยภาพเยาวชนเพื่อช่วยพัฒนาประเทศในอนาคต นอกจากนี้ กลุ่มเยาวชนจะได้มีโอกาสทัศนศึกษาดูงานการดำเนินธุรกิจของ OR และกลุ่ม ปตท. ในประเทศไทย รวมถึงได้ร่วมฝึกงานกับ OR และบริษัทในเครือที่อยู่ในประเทศนั้นๆ เพื่อได้เรียนรู้ประสบการณ์การทำงานจากสถานการณ์จริง ซึ่งจะช่วยให้เยาวชนได้พัฒนาทักษะทางการคิด ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ศักยภาพในด้านต่าง ๆ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงการสร้างเครือข่ายเยาวชนที่แน่นแฟ้นในหมู่เยาวชนในประเทศอาเซียน โครงการ OR Seeding the Future ASEAN Camp ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาศักยภาพเยาวชนอาเซียน แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนในประเทศที่ OR ดำเนินธุรกิจอยู่ ผ่านการสร้างความเข้าใจในธุรกิจและวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน ซึ่งสะท้อนผ่านวิสัยทัศน์ "Empowering All toward Inclusive Growth" หรือ "เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน " โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์ OR กับคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคในอนาคต

KKP ชี้อสังหาฯ ปี 67 หดตัวหนัก บ้านใหม่เสี่ยงเหลือ-หวังมาตรการใหม่ช่วย

KKP ชี้อสังหาฯ ปี 67 หดตัวหนัก บ้านใหม่เสี่ยงเหลือ-หวังมาตรการใหม่ช่วย

          หุ้นวิชั่น - สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร เผยว่าในปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล เผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการชะลอตัวนี้ได้แก่ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 90% ของ GDP การปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังคงอยู่ในระดับสูง และการสะสมของสินค้าคงค้าง (inventory) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการเลือกที่จะชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ รวมถึงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงการระดับราคาสูง ซึ่งอาจนำไปสู่การอิ่มตัวในตลาดสินค้าระดับนี้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม คาดว่าในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสที่จะปรับตัวดีขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมีมากขึ้น เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ย การผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงิน มาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อาจจะมีความเข้มข้นมากขึ้นจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ตลาดมีการฟื้นตัว รวมถึงการลงทุนของภาครัฐและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมจากรัฐบาลใหม่ ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์           กำลังซื้อหด ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยปี 2567 สะดุด จากการคาดการณ์ ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจะลดลง 15% หรือประมาณ 320,000 หน่วย ซึ่งเป็นยอดที่ต่ำที่สุดในรอบ 8 ปี โดยกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะลดลง 8% และในภาคตะวันออกลดลงถึง 11% สาเหตุหลักมาจากการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารที่ยังคงเข้มงวด ประกอบกับภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่           แน้วโน้มการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2567 การเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2567 มีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมที่มียอดเปิดตัวลดลงถึง 50% เมื่อเทียบกับปี 2566 โครงการแนวราบก็มีการชะลอการเปิดตัวเช่นกัน แต่ลดลงในอัตราที่น้อยกว่า (3%) ตลาดบ้านเดี่ยวมีการเติบโตถึง 60% ในเขตปริมณฑล ขณะที่โครงการทาวน์เฮ้าส์กลับพบว่ามียอดเปิดตัวลดลงถึง 24% เนื่องจากกำลังซื้อของกลุ่มระดับกลาง-ล่างลดลงอย่างชัดเจน           ทิศทางการพัฒนาโครงการและความต้องการในปี 2567 บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เป็นประเภทที่อยู่อาศัยที่ยังคงมีความต้องการสูง โดยเฉพาะในระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ ในขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคามากกว่า 15 ล้านบาทเริ่มมีสัญญาณการอิ่มตัว และสินค้าคงค้างของบ้านในระดับนี้มีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน ทาวน์เฮ้าส์กลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่สูง           การปรับตัวของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ได้มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดที่ชะลอตัว เช่น การลดต้นทุนการดำเนินงาน หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการที่มีความยั่งยืน รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังกลุ่มอื่นๆ เช่น โรงแรม อพาร์ทเม้นท์ และสถานออกกำลังกาย เพื่อลดการพึ่งพาตลาดอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียว สำหรับภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนและการปฏิเสธสินเชื่อที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยและการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด อย่างไรก็ตาม การโอนกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติยังคงเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยขับเคลื่อนตลาดได้ในบางพื้นที่ ขณะที่การปรับตัวของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มุ่งเน้นไปที่ความยั่งยืนและการขยายธุรกิจเพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดที่ผันผวน           ตลาดอสังหาฯ ปี 2568 มีปัจจัยบวกจากการลดดอกเบี้ย บ้านแฝด บ้านเดี่ยว 7-15 ล้านมีแนวโน้มโตดี สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระหว่าง 0.5% - 0.75% ในปี 2568 จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคได้ โดยเฉพาะกลุ่มระดับกลางและล่างที่ได้รับผลกระทบจากหนี้ครัวเรือนสูงในช่วงก่อนหน้า การปรับตัวของภาคบริการ ที่คาดว่าจะขยายตัวมากขึ้นในปี 2568 จะช่วยสร้างรายได้และกระตุ้นการบริโภคในวงกว้าง ส่งผลบวกต่อตลาดอสังหาฯ ที่เชื่อมโยงกับภาคบริการในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ และแหล่งท่องเที่ยว โดยผู้ประกอบการควรปรับเปลี่ยนพัฒนาโครงการแนวราบ เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) อย่างไรก็ตามการพัฒนาบ้านเดี่ยวในราคาสูงกว่า 20 ล้านบาทอาจเผชิญภาวะอิ่มตัว แต่โครงการบ้านเดี่ยวในราคากลาง (7-15 ล้านบาท) จะยังคงเป็นตลาดที่น่าลงทุน ส่วนทาวน์เฮ้าส์ กลุ่มระดับราคากลาง-ล่าง ยังคงต้องเฝ้าระวัง จากปัญหารายได้ยังปรับไม่ทันกับราคาทาวน์เฮ้าส์ที่ปรับตัวสูงขึ้น และภาระหนี้ของกลุ่มผู้ซื้อบ้านราคานี้ยังอยู่ในระดับสูง ส่วนบ้านแฝดยังสามารถพัฒนาได้ และมีแนวโน้มเติบโตขึ้น           โอกาสของการพัฒนาโครงการคอนโด คอนโดระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทมีการแข่งขันสูงและกำลังซื้อที่จำกัด น่าจะยังคงชะลอตัวต่อเนื่องในปี 2568 หากไม่มีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ อย่างไรก็ตามกลุ่มนี้จะมีโอกาสในการฟื้นตัวกลับมาเติบโตได้เมื่อโครงการรถไฟฟ้าสร้างใกล้แล้วเสร็จ หรือมีความชัดเจนมากขึ้น อย่าง สายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฏร์บูรณะ) สายสีส้มตะวันตก (ศูนย์วัฒนธรรม-บางขุนนนท์) และสายสีน้ำตาล (แคราย-ลำสาลี)           แนวโน้มการลงทุนจากต่างชาติ ตลาดการซื้อคอนโดของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจีนและรัสเซีย จะยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการขับเคลื่อนตลาดคอนโดในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต พัทยา การพัฒนาของระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการรถไฟฟ้าและสนามบินจะช่วยกระตุ้นการลงทุนในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น           อสังหาฯ เพื่อความยั่งยืนมาแรง ตอบโจทย์ผู้บริโภค แนวโน้มการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่เน้นความยั่งยืน เช่น บ้านประหยัดพลังงาน ระบบกรองอากาศเพื่อลดมลพิษในการอยู่อาศัย การใช้วัสดุรักษ์โลก ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ฯลฯ จะเริ่มเป็นที่ต้องการมากขึ้นในปี 2568 เนื่องจากผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและสุขภาพมากขึ้น การพัฒนาบ้านที่เน้นเทคโนโลยีสีเขียว (Green Tech) จะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันในตลาดได้ สรุปแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 คาดว่าจะมีการฟื้นตัวแบบช้าๆ โดยมีปัจจัยบวกจากการลดดอกเบี้ยและการขยายตัวของภาคบริการ อย่างไรก็ตาม ตลาดคอนโดราคาต่ำยังคงเผชิญความท้าทายสูง ในขณะที่ตลาดแนวราบ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับกลาง จะยังคงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจในการลงทุน

SPREME เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุน โชว์ศักยภาพธุรกิจ

SPREME เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุน โชว์ศักยภาพธุรกิจ

หุ้นวิชั่น - คุณภานุวัฒน์ ขันธโมลีกุล (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร , คุณนงลักษณ์ มุกดา (ที่ 6 แถวหน้าฝั่งซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.สุพรีม ดิสทิบิวชั่น (SPREME) ร่วมกับคุณวรชาติ ทวยเจริญ (ที่ 5 แถวหน้าฝั่งขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ถ่ายภาพร่วมกับกลุ่มนักลงทุน ภายหลังกิจกรรม Company Visit โดยผู้บริหารให้ข้อมูลแผนการดำเนินธุรกิจ โชว์ผลงานไตรมาส 3/2567 กำไรสุทธิ 68.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 226.50% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน และยังมีโครงการที่ทำสัญญาแล้ว รอรับรู้รายได้หลังส่งมอบงาน (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 จำนวน 455.64 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเข้าร่วมประมูลโครงการขนาดใหญ่ (Mega Project) ตามแผน รวมถึงโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการยื่นประมูลกว่า 3,500 ล้านบาท  คาดว่าจะเริ่มต้นดำเนินโครงการได้ในปี 2568 ทำให้ Backlog เพิ่มขึ้น สนับสนุนผลการดำเนินงานในปี 2568 เติบโตก้าวกระโดด ตามเป้าหมายที่วางไว้ ณ ห้องประชุมบริษัท เมื่อเร็วๆ นี้

COCOCO ร่วมงาน Opportunity Day ฉายภาพธุรกิจเติบโต

COCOCO ร่วมงาน Opportunity Day ฉายภาพธุรกิจเติบโต

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO นำโดย ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ และนางสาวพัฒรา ทัศจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินและสารสนเทศ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ “COCOCO” ร่วมให้ข้อมูลผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3/2567 ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) ถ่ายทอดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยรายงานผลการดำเนินงาน 9 เดือนปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้ 4,886 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 3,271 ล้านบาท สนับสนุนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2567 มีกำไรสุทธิ 603 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72%  ทำให้บริษัทฯ คาดว่ารายได้ทั้งปีจะเติบโต 30-40%จากปีก่อนตามเป้าหมายที่คาดไว้ โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการขยายตลาดต่างประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวและกะทิที่ได้รับความนิยมสูงในต่างประเทศ รวมถึงธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่บริษัทเริ่มขยายสู่ตลาดสากลและเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเพิ่มกำลังการผลิต รองรับ Demand ที่เพิ่มขึ้น

WICE ร่วมงาน “Opp day” ย้ำปี 67 เป็นไปตามเป้า จากการขยายเครือข่ายต่อเนื่อง

WICE ร่วมงาน “Opp day” ย้ำปี 67 เป็นไปตามเป้า จากการขยายเครือข่ายต่อเนื่อง

           หุ้นวิชั่น –  นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ พร้อมด้วยนางสาวบุศรินทร์ ต่วนชะเอม ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร ร่วมให้ข้อมูลกับนักลงทุนในงาน Opportunity Day ประจำไตรมาส 3 ปี 2567 เปิดเผยถึงผลดำเนินการ 9 เดือนที่ผ่านมาว่า บริษัทมีรายได้จากการบริการที่ 3,168 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 131 ล้านบาท ขณะที่งบไตรมาส 3 บริษัทมีรายได้ 1,131 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18 ล้านบาท            สำหรับผลประกอบการปี 2567 นี้ คาดว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 20% จากปริมาณการนำเข้าและส่งออกที่เติบโต และค่าระวางเรือที่ปรับตัวดีกว่า ปี 2566 โดยยังคงเน้นกลยุทธ์ในการขยายเครือข่ายทางธุรกิจไปยังต่างประเทศ เพื่อสร้างระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจรครอบคลุมทั่วภูมิภาคตลอดจนการสร้างโซลูชั่นการบริการให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าควบคู่ไปด้วย เพื่อผลักดันให้ WICE เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของภูมิภาคเอเชีย

AMATA 9เดือนกำไรโต21% ฟันยอดขายที่ดิน 2.5 พันไร่

AMATA 9เดือนกำไรโต21% ฟันยอดขายที่ดิน 2.5 พันไร่

          หุ้นวิชั่น - “อมตะ”เผยผลดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2567  รายได้รวมกว่า 9,000 ล้านบาท เติบโต 39% ทำกำไรสุทธิ อยู่ที่ 1,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตุน Backlog สิ้นกันยายนอยู่ที่ 19,269 ล้านบาท สะท้อนผลบวก นักลงทุนย้ายฐานการผลิต เข้าพื้นที่นิคมอมตะ ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมั่นยอดขายที่ดินปี 67 เป็นไปตามเป้าหมาย2,500 ไร่  ชูกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยั่งยืน  มุ่งสู่เมืองอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ ภายในปี 2583           นางสาวเด่นดาว โกมลเมศ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน หรือ AMATA เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น9,011 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ ทั้งสิ้น1,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% สะท้อนถึงแนวโน้มการขยายตัวของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่เข้ามาใช้พื้นที่ลงทุนของอมตะ  ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากทุกกลุ่มธุรกิจหลัก ทั้งจากการโอนที่ดิน รายได้ค่าสาธารณูปโภค และการให้เช่าอาคารและโรงงานสำเร็จรูป และการทำพื้นที่เชิงพาณิชย์เพื่อให้บริการกับลูกค้า          สำหรับรายได้ที่เพิ่มขึ้น มาจากการโอนที่ดิน 4,254 ล้านบาท เติบโตขึ้น 34% รายได้ค่าสาธารณูปโภคและอื่น ๆ 3,967 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 52% และรายได้จากการเช่าอาคารและโรงงานสำเร็จรูป 702 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการโอนที่ดินไปแล้วทั้งสิ้น 766 ไร่ และมีมูลค่ายอดขายที่ยังไม่รับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 จำนวน 19,269 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าในไตรมาส 4  จะมีการลงนามสัญญาซื้อขายที่ดินเพิ่มขึ้น ดังนั้นเชื่อว่ายอดขายที่ดินในปีนี้ จะเป็นไปตามเป้าหมาย  2,500 ไร่           “ผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา ธุรกิจมีอัตราการเติบโตเพิ่มสูงขึ้น  เป็นผลมาจากการบริหารจัดการและการดำเนินกลยุทธ์ที่เน้นการพัฒนาธุรกิจทุกภาคส่วน ทั้งในด้านที่ดิน ระบบสาธารณูปโภค และบริการให้เช่า ซึ่งสอดคล้องกับแผนการเติบโตระยะยาวของบริษัท  ที่มุ่งมั่นการพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรม   ที่เป็นต้นแบบของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศ  ทั้งจากการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน การบริหารจัดการน้ำและขยะมูลฝอยที่มีประสิทธิภาพ และการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญ  ที่อมตะยึดมั่นเพื่อสร้างการเติบโตให้กับชุมชนและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ” นางสาวเด่นดาว กล่าว            อย่างไรก็ตาม การพัฒนาธุรกิจกลุ่มอมตะ ได้วางเป้าหมายการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน  โดยจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30% ภายในปี 2573 และมุ่งสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon City) ภายในปี 2583 โดยมีแผนงานด้านการจัดการพลังงาน การอนุรักษ์น้ำและธรรมชาติ และการบริหารจัดการขยะภายใต้แนวคิด Zero Waste to Landfill ซึ่งเป็นการลดขยะสู่การฝังกลบให้เหลือน้อยที่สุด           นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเน้นการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่มีจุดมุ่งหมายในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสร้างสังคมที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนและยังคงเดินหน้าพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) โดยมุ่งมั่นสร้างเมืองอุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกับทุกภาคส่วน

XSpringยกระดับการเงิน สินทรัพย์ดิจิตอลคึกคัก

XSpringยกระดับการเงิน สินทรัพย์ดิจิตอลคึกคัก

          หุ้นวิชั่น – รู้หรือไม่! บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ “XPG” ประกอบธุรกิจการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อมุ่งหวังผลตอบแทนจากการลงทุน พร้อมทั้งการให้บริการทางการเงินที่ครบวงจรผ่านบริษัทในเครือ          สำหรับ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ “XPG” มีบริษัทในเครือ ประกอบไปด้วย บริษัท กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) – ธุรกิจหลักทรัพย์ และวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด – ธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน บริษัท บริหารสินทรัพย์ เอ็กซ์สปริง จำกัด - ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด – ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล          นางสาววรางคณา อัครสถาพร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ “XPG” เปิดเผยว่า XSpring คาดแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 4/2567 เติบโตโดดเด่น หนุนรายได้รวมทั้งปีแตะเป้าหมาย 1,000 ล้านบาท โดยบริษัทเดินหน้าขยายฐานลูกค้าในตลาดตราสารทุน ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งนี้ XSpring มองว่าภาวะตลาดการเงินที่ตึงตัวส่งผลให้อุปสงค์ทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดขอสินเชื่อเงินทุนมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง สอดรับกับรายได้จากธุรกิจสินเชื่อที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในปัจจุบัน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเล็งเห็นโอกาสในการขยายพอร์ตการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เพื่อเสริมศักยภาพการเติบโตในอนาคต          ธุรกิจของ XSpring มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าเสริมแกร่งทุกกลุ่มธุรกิจ โดยบริษัทมีแผนพิจารณานำเรื่องการจ่ายเงินปันผลเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในช่วงต้นปี 2568 ทั้งนี้ การพิจารณาจ่ายปันผลจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการที่แข็งแกร่งและความพร้อมทางการเงินของบริษัท ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการตอบแทนผู้ถือหุ้นและสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว          บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด หรือ ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัทคาดจะได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่กลับมาคึกคักอีกครั้งภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ค่อนข้างมีมุมมองเชิงบวกต่อสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งจะส่งผลให้รายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการจากการเทรดเพิ่มสูงขึ้น และภาครัฐยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการโอนโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) ทำให้บริษัทเตรียมจะออกเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO) โดยปัจจุบันมีงานในมือแล้ว 2-3 ดีล คาดว่าจะสามารถทยอยออกเสนอขายได้ในไตรมาส 1/2568          นอกจากนี้ XSpring จะมีการเติบโตจากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น โดยได้รับอานิสงส์จากหนี้ในระบบที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อได้ยากขึ้น กลายเป็นโอกาสให้บริษัทขยายการปล่อยสินเชื่อ ขณะเดียวกัน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ในเครือ XSpring AMC เดินหน้าขยายพอร์ต ด้วยเป้าหมายการซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มอีก 1,000-2,000 ล้านบาท จากพอร์ตปัจจุบันที่มีอยู่ราว 4,000-5,000 ล้านบาท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง          บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด – ธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด เปิดเผยว่า คาดสัดส่วนสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ปี 2567 อยู่ที่ราวๆ 10,000 ล้านบาท  ขณะที่สินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำลงทุน (AUA) มีแนวโน้มจะทำได้เกินเป้า ที่ 1,800-2,000 ล้านบาทห          และคาด SET Index ปัจจุบันเคลื่อนไหวในกรอบ 1,460-1,480 จุด ขณะที่ทิศทางในปี 2568 คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นไปที่ระดับ 1,580-1,600 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศและการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวคาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวนถึง 36 ล้านคน ซึ่งจะช่วยเพิ่มการใช้จ่ายภายในประเทศและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยกลับมามีทิศทางที่สดใสขึ้น          สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนในปี 2568 นักลงทุนถูกแนะนำให้ลงทุนในหุ้น 50% โดยกระจายการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เช่น อเมริกา และในตลาดเกิดใหม่อย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย รวมถึงการลงทุนในตลาดหุ้นไทยสำหรับตลาดหุ้นไทย กลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก ท่องเที่ยว บริการ และโรงพยาบาล ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะกลับมาแข็งแกร่งในปีหน้า

BGRIM ประสบความสำเร็จ ปิดการขายหุ้นกู้ 8 พันล้าน

BGRIM ประสบความสำเร็จ ปิดการขายหุ้นกู้ 8 พันล้าน

          หุ้นวิชั่น – บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ผู้ผลิตไฟฟ้าอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 23 โครงการ และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศอีก 41 โครงการ ประสบความสำเร็จจากการออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ โดยผู้ลงทุนให้ความสนใจตอบรับจองซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ มูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท ที่เสนอขายในระหว่างวันที่ 14-15 และ 18-19 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ขณะที่ บี.กริม เพาเวอร์  เผยพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)  ขอขอบคุณผู้ลงทุนที่ให้การตอบรับลงทุนในหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ บี.กริม เพาเวอร์  รวมถึงสถาบันการเงินผู้จัดการการจัดจำหน่ายทั้ง 9 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ที่อำนวยความสะดวกทั้งการให้ข้อมูลและเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี   สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการชำระคืนหนี้หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ครั้งที่ 1/2562 ที่จะถึงกำหนดวันชำระคืนก่อนครบกำหนดครั้งแรก ในเดือนพฤศจิกายน 2567 จำนวน 8,000 ล้านบาท โดย บี.กริม เพาเวอร์ กำหนดอัตราดอกเบี้ยในช่วง 5 ปีแรกไว้ที่ 5.75% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิเลื่อนการชำระดอกเบี้ยพร้อมกับสะสมดอกเบี้ยจ่ายไปชำระในวันใดก็ได้ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ โดยไม่จำกัดระยะเวลาและจำนวนครั้ง ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ออกหุ้นกู้แต่เพียงผู้เดียว ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยจะปรับทุกๆ 5 ปี โดยอ้างอิงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ณ ขณะนั้น แล้วบวกส่วนเพิ่มคงที่ (Initial Credit Spread) 3.49% ต่อปี และส่วนเพิ่มตามช่วงเวลา (Step-up coupon) ตั้งแต่ 0.25% - 2.00% ต่อปี โดย บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท ที่ระดับ “A” แนวโน้ม “คงที่” ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่เสนอขายในครั้งนี้อยู่ที่ระดับ “BBB+” โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 นอกจากนี้ ในปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ ได้ประกาศยุทธศาสตร์ GreenLeap – Global and Green มุ่งสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก และผู้นำด้านการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนและปลอดภัย โดยมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจาก 4,071 เมกะวัตต์ ณ เดือน พฤศจิกายน 2567 เป็น 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 ผ่านการลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นด้านพลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ บี.กริม เพาเวอร์ อยู่ระหว่างการแสวงหาการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มเติมในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม มาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น จีน ตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบีย และประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกา รวมทั้งยุโรป เพื่อกระจายความเสี่ยงจากต้นทุนพลังงาน  ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ บี.กริม เพาเวอร์กล่าวเสริมว่า ปัจจัยที่สนับสนุนการเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ มาจากความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน ทั้งในด้านยุทธศาสตร์และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งการระดมทุนครั้งนี้จะทำให้โครงสร้างทางการเงินของบี.กริม เพาเวอร์ ยังคงความแข็งแกร่ง สอดรับกับแผนการขยายการลงทุนของบริษัท ในอนาคต

ตลท.ขึ้น CB หลักทรัพย์ SABUY และ JCKH

ตลท.ขึ้น CB หลักทรัพย์ SABUY และ JCKH

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นเครื่องหมาย CB บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY และ บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JCKH เป็นเหตุจากบริษัทผิดนัดชำระหนี้สถาบันการเงิน

SKY ผลงาน 9 เดือนนิวไฮรายได้ทะลุ 4,730 ลบ.

SKY ผลงาน 9 เดือนนิวไฮรายได้ทะลุ 4,730 ลบ.

          หุ้นวิชั่น - “สกาย กรุ๊ป” โชว์ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 2567 กวาดรายได้ 4,730 ล้านบาท โต 66% กวาดกำไรสุทธิ 331 ล้านบาท ปัจจัยหนุนการเติบโตหลังตลาดนักท่องเที่ยวฟื้นตัวเต็มที่ผู้โดยสารเดินทางในสนามบินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมเดินหน้าเปิดให้บริการระบบ Biometric ที่สนามบินเต็มรูปแบบ หลังได้รับการตอบรับดีเยี่ยม โชว์แบ็คล็อกแกร่ง 23,000 ล้านบาท เสริมการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว             นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ สกาย กรุ๊ป (SKY Group) เปิดเผยว่า ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย. 67) บริษัทสามารถทำรายได้รวมทั้งสิ้น 4,730 ล้านบาท เติบโตขึ้น 66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) และทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 331 ล้านบาท โดยผลประกอบการในไตรมาส 3/67 (ก.ค.-ก.ย. 67) บริษัทสามารถทำรายได้รวม 1,715 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 111 ล้านบาท โดยมีรายได้เติบโตขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 58% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YOY)           สกาย กรุ๊ป สามารถขับเคลื่อนธุรกิจในช่วง 9 เดือนแรกให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยหนุนหลักๆ มาจากตลาดนักท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างเต็มที่ โดยปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าออกประเทศไทยถึง 100 ล้านคน และคาดว่าในปีนี้จะมีนักเดินทางเข้าออกประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 20 เปอร์เซ็นต์ ทำให้รายได้จากโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับท่าอากาศยาน ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทยังคงเติบโตได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ บริษัทมีการรับรู้รายได้จากบริษัทในเครืออย่าง บริษัท เมทเธียร์ จำกัด และบริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) รวมถึงการลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทอื่นที่มีศักยภาพ อาทิ บริษัท วันทูวัน โปรเฟสชั่นแนล จำกัด (OTP) ส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ           นายสิทธิเดช กล่าวอีกว่า ณ สิ้นไตรมาส 3/67 บริษัทได้เข้าทำสัญญาใหม่และมีงานที่อยู่ระหว่างรอส่งมอบตามสัญญาในอนาคต (Backlog) อยู่ทั้งสิ้นประมาณ 23,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ให้กับสกาย กรุ๊ปในอีกอย่างน้อย 6-7 ปี เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างการเติบโตระยะยาวในอนาคต นอกจานี้ สกาย กรุ๊ป ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ สามารถต่อยอดได้ด้วยเทคโนโลยี เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจว่าในปีนี้ภาพรวมบริษัทจะยังคงเติบโตได้อย่างมั่นคง             สำหรับบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำในประเทศไทยที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบิน การรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ และแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยบริษัทมุ่งเดินหน้าให้บริการโซลูชันใหม่ๆ ให้สอดรับกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบิน พร้อมช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และส่งมอบประสบการณ์การเดินทางที่ดีที่สุดให้กับผู้โดยสารผ่านบริการต่างๆ อาทิ การรวมระบบ แอปพลิเคชัน ระบบรักษาความปลอดภัย และบริการอำนวยความสะดวกภายในท่าอากาศยาน

TOG กำไรปกติ Q3 โต 20%  การผลิตใหม่ดัน - เป้า 12 บ.

TOG กำไรปกติ Q3 โต 20% การผลิตใหม่ดัน - เป้า 12 บ.

       หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ คงคำแนะนำ “ซื้อ” TOG และราคาเป้าหมาย 12.00 บาท โดยปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2025E แต่ de-rate PER ลงเล็กน้อยเป็น 12x (-1SD below 5-yr average PER) จากเดิม 13x เพื่อสะท้อนแนวโน้มการค้าโลกอาจมีปัจจัยท้าทายมากขึ้นจากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใหม่ ทั้งนี้ รายงานกำไรปกติ 3Q24 (ไม่รวมขาดทุน Fx) ที่ 120 ล้านบาท (+20% YoY, +6% QoQ) กำไรปกติที่ปรับตัวขึ้น YoY หนุนโดยการขยายกำลังการผลิตเลนส์ Rx ตั้งแต่ต้นปี ทำให้รองรับคำสั่งซื้อได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ในสหรัฐฯ ขณะที่กำไรปกติโต QoQ ได้อานิสงส์จาก SG&A ลดลงจากค่าใช้จ่ายการเดินทาง รวมถึงค่าใช้จ่ายภาษีปรับตัวลง ซึ่งคาดเป็นผลจากการที่สายการผลิตใหม่ที่ได้สิทธิ BOI ทยอย ramp up แต่ปัจจัยเหล่านี้ถูก offset บางส่วนจากรายได้กลับมาชะลอจากบาทแข็ง คงกำไรปกติปี 2024E/25E ที่ 436 ล้านบาท/478 ล้านบาท (+2% YoY/+10% YoY) สำหรับ 4Q24E เบื้องต้นคาดการณ์กำไรปกติจะปรับตัวดีขึ้น YoY, QoQ หนุนโดยกำลังการผลิตใหม่ ramp up ต่อเนื่องและ high season ราคาหุ้น underperform SET -6% ใน 3 เดือน จากบาทแข็ง แต่เริ่มกลับมา in line กับ SET ใน 1 เดือน แม้จะมีปัจจัยความไม่แน่นอนจากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใหม่ ที่อาจมีการขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งจะกระทบผู้ส่งออก   คาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะถูกชดเชยบางส่วนจากทิศทางเงินบาทที่มีโอกาสอ่อนค่า ขณะที่ล่าสุดเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่าราว 4-5% MoM นอกจากนี้มี catalyst จากการขยายกำลังการผลิตเลนส์ Rx เพิ่มเติม และความคืบหน้ารายละเอียดแผนลงทุนโรงงานใหม่ใน 1Q25E

[ภาพข่าว] TSE ลุ้นข่าวดี! โซลาร์ฟาร์มเฟส 2

[ภาพข่าว] TSE ลุ้นข่าวดี! โซลาร์ฟาร์มเฟส 2

           ข่าวดีมาให้แฟนๆ ลุ้นกันในช่วงปลายปีอีกแล้วสำหรับ บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) ที่พร้อมเกินร้อยในการเข้าร่วมคัดเลือก โครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบFeed-in Tariff (FiT)  ปี 2565 – 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง เฟส2โดยในเฟส 2นี้ ผู้ที่ผ่านการประเมินความพร้อมตามเกณฑ์คะเนนคุณภาพ(scoring)ในเฟสแรกแต่ยังไม่ได้รับการคัดเลือกจะได้สิทธิ์ในการพิจารณาก่อน... โดยTSE มีโครงการอยู่ใน Pipeline กว่า 200 MW และคาดว่าจะได้อย่างน้อย 100 – 150 MW แนวโน้มปังซะขนาดนี้ ใครยังไม่มีหุ้นติดพอร์ตเสียดายแทนเลยคร้า!!

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456