ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#SCB


SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.75-34.00 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.75-34.00 บ./ดอลลาร์

        หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.75-34.00 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ มีนาคม ลดลงมาที่ 9 ต่ำสุดในรอบ 4 ปี จากความกังวลเกี่ยวกับราคาที่สูงขึ้นและแนวโน้มเศรษฐกิจ รัสเซียและยูเครนได้ตกลงหยุดยิงในทะเลดำ และจะร่วมกันกำหนดรายละเอียดเพื่อหยุดการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานต่อไป นายชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เตรียมออกมาตรการบรรเทาผลกระทบของเงินเฟ้อต่อผู้บริโภค โดยใช้งบประมาณปีปัจจุบันและงบประมาณปีถัดไปร่วมกัน

ระวัง! หุ้นการเมือง

ระวัง! หุ้นการเมือง

          ดีกรีการเมืองน่าจะร้อนระอุ วันนี้ โหมโรงเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นวันแรก นักวิเคราะห์มองว่า อาจส่งผลในเชิงจิตวิทยาต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงสั้น นักลงทุนคงอยู่ในโหมด "รอดูท่าที" (wait and see)           โดยเฉพาะประเด็นที่อาจมีการพาดพิงถึง โครงการสำคัญของรัฐบาล เช่น โครงการแจกเงิน (Digital Wallet) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคประชาชน ซึ่งหากถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเวทีอภิปราย อาจสร้างความไม่แน่นอน เกี่ยวกับการเดินหน้านโยบายดังกล่าวในช่วงที่เหลือของปีได้           สำหรับภาพรวมการอภิปรายครั้งนี้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบในเชิงพื้นฐานต่อตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรายบุคคล โดยเน้นไปที่บทบาทและสถานะของนางสาวแพทองธาร มากกว่าการอภิปรายเพื่อโจมตีนโยบายเศรษฐกิจโดยรวม           ทั้งนี้ นักลงทุนควรจับตาผลการลงมติในวันที่ 26 มีนาคม 2568 ซึ่งสามารถสะท้อนเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะข้างหน้า หากสามารถผ่านการลงมติไปได้อย่างราบรื่น อาจเป็นปัจจัยบวกในเชิงจิตวิทยาให้กับตลาดหุ้น           ด้าน บล.กรุงศรี จับตากระแสการซื้อหุ้นซื้อคืนจะกลับมาคึกคัก หลัง PTT ประกาศโครงการซื้อหุ้น คืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) วงเงินสูงสุดไม่เกิน 16,000 ลบ. และจำนวนหุ้นซื้อคืน ไม่เกิน 470 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 1.65% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด (implied ราคาหุ้น ซื้อคืนราว 34 บาท/หุ้น)           คาดตลาดมีโอกาสเก็งกำไรหุ้น Big Cap ที่มีศักยภาพดำเนินการได้  พบว่า มีหุ้น Big Cap หลักๆในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ปิโตรเคมี ที่มีโอกาสเห็นการซื้อหุ้นคืนระยะถัดไป อาทิ SCB, KBANK, KTB , BBL, PTTGC, TOP, BCP นอกจาก PTT- TTB ที่ประกาศโครงการดังกล่าวไปแล้ว จับตา  BCP, PTTGC, TOP กันต่อไป           นับเป็นหุ้น Health Care ที่น่าจับตา จากผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด สำหรับ บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด (มหาชน) หรือ BLC ล่าสุด ภก. สุวิทย์ งามภูพันธ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BLC พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมนำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานปี 2567 แก่นักลงทุนใน Opportunity Day โดยมีรายได้ 1,557 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 176.1 ล้านบาท เติบโต 10.7% และ 16.8% ตามลำดับ  ด้านบอร์ดเตรียมขออนุมัติจ่ายเงินปันผล งวดผลการดำเนินงานในปี 2567 จากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในอัตรา 0.09 บาทต่อหุ้น โดยจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล ในวันที่ 11 เมษายน 2568 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 30 เมษายน 2568           ทั้งนี้ ในปี 2568 BLC วางแผนขยายขอบเขตความร่วมมือเพื่อสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ทั้งจากภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยาไทยให้เติบโต พร้อมทั้งสร้างความมั่นคงทางด้านสุขภาพ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้ง มุ่งผลักดันรายได้เติบโตเฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปีตามเป้าหมาย งานนี้ผู้ถือหุ้นสบายใจหายห่วง           ในที่สุดก็กระจ่างชัด นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ TTB แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ข่าวการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB  กับธนาคารทหารไทยธนชาตจำกัด (มหาชน) หรือ TTB นั้น  ไม่เป็นความจริง บริษัทฯ ไม่ได้มีการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกทั้ง TTB  ยังคงมุ่งเน้นพันธกิจสำคัญคือ การ Make REAL Change หรือการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายเพื่อให้ลูกค้าของธนาคารกว่า 10 ล้านคน มีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ผ่านกลยุทธ์การสร้างการเติบโตแบบ Ecosystem Play และการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและสอดคล้องกับแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)           ขณะที่ นายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข ประธานผู้บริหาร Legal Comliance & Financial Crime และเลขานุการบริษัท KTB  ก็ชี้แจงว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และในขณะนี้ คณะกรรมการธนาคารฯ ไม่ได้มีดำริ หรือได้มอบหมายฝ่ายบริหารให้ดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการควบรวมกิจการตามที่เป็นข่าว  ออกมาชี้แจงชัดเจนกันทั้ง 2 ฝ่าย...จบนะ           ปิดท้ายกันที่ หนุ่มน้อยหน้ามนคนขยัน นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน CHOW ล่าสุดได้รับเกียรติเป็นวิทยากรบรรยายหลักสูตร “ความรู้ Solar Rooftop เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์สินเชื่อ SME Green Productivity” ให้กับพนักงาน SME D Bank ทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นให้พนักงาน SME D Bank มีความเข้าใจและสามารถแนะนำข้อมูลให้ลูกค้าที่ต้องการติดตั้ง Solar Rooftop และเข้าร่วมโครงการ สินเชื่อ SME Green Productivity พร้อมดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปีสำหรับ 3 ปีแรก  นักลงทุนคงต้องเกาะติดผลงาน CHOW ให้ดีๆ เพราะนี่อาจจะเป็นดีลนำร่อง เพื่อต่อยอดดีลต่อๆไปก็ได้    การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง By ทีมงานหุ้นวิชั่น     

SCB-KTB ยังไหวไหม มีสัญญาณกำไรโตช้า

SCB-KTB ยังไหวไหม มีสัญญาณกำไรโตช้า

          หุ้นวิชั่น- ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานข้อมูลคุณภาพสินทรัพย์ของกลุ่มธนาคารในไตรมาส 4/67 โดยฝ่ายวิเคราะห์ฯพบว่าธุรกิจหลักสี่กลุ่มมีอัตราส่วน NPL ลดลง นำโดยกลุ่มบริการและการผลิต นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคมี NPL ลดลงเช่นกัน เนื่องจากสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อรถยนต์มี NPL ลดลง ผลจากธนาคารเพิ่มความเข้มงวดของมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อ รวมทั้งการบริหารจัดการ NPL เชิงรุกในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา           อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4/67 สินเชื่อ Stage 2 (underperforming) ยังเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าสินเชื่อกลุ่มนี้น่าจะเพิ่มขึ้นจากการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ทั้งนี้พบว่าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย,สินเชื่อบ้านและสินเชื่อส่วนบุคคลมีอัตราส่วนสินเชื่อ Stage 2 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4/66-4/67 ตรงข้ามกับสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อรถที่มีอัตราส่วนสินเชื่อ stage 2 ลดลง qoq           ขณะเดียวกัน กลุ่มธนาคารมีอัตราการเกิด NPL ใหม่ลดลง 7% qoq ในไตรมาส 4/67 เพราะยอด NPL ใหม่และสินเชื่อที่กลับมาเป็น NPL ลดลง 4.1% qoq และ 17% qoq ตามลำดับ นอกจากนี้ ธนาคารยังเสนอปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกค้าและตัดหนี้สูญในเชิงรุกมากขึ้น           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค.68 ได้พากลุ่มนักลงทุนไปเยี่ยมชมบริษัทสหการประมูล (AUCT) ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่สุดในธุรกิจให้บริการจัดการประมูลรถยนต์ในไทย ด้วยส่วนแบ่งตลาด 40% ตามข้อมูลของผู้บริหาร ทั้งนี้ AUCT จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market cap) อยู่ที่ 4.1 พันล้านบาท โดย AUCT เผยว่าช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ราคารถมือสองฟื้นตัว 10% ฝ่ายวิเคราะห์ฯจึงเชื่อว่าจะทำให้กลุ่มสินเชื่อรถยนต์และธนาคารมีขาดทุนจากการขายรถยึดลดลงในปีนี้ เนื่องจากทั้งปริมาณขายและขาดทุนต่อคันจะลดลง           อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการเติบโตของสินเชื่อรถยนต์ใหม่ยังอยู่ภายใต้แรงกดดัน เพราะความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ไม่ได้ดีขึ้นจากปีที่แล้ว (ที่มา: ธปท.) อีกทั้งคาดว่ายอดขายรถยนต์ในปี 68 น่าจะทรงตัว yoy           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) ในกลุ่มธนาคาร เพราะคาดว่ากำไรก่อนตั้งสำรอง (PPOP) จะเติบโตช้าในอัตรา -1.5%/+1.5%+3.8% ในปี 68/69/70 ขณะที่เลือก SCB และ KTB เป็นหุ้น Top pick เพราะเชื่อว่าธนาคารทั้งสองแห่งจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงที่ 5.5-9.0% ต่อปีและมีอัตราการ เติบโตของกำไรสุทธิ 2-12% ในปี 68-70 แม้ว่าอุตสาหกรรมโดยรวมจะมีสินเชื่อเติบโตชะลอตัว           โดยกลุ่ม ธนาคารจะมี downside risk หาก NPL เพิ่มสูงขึ้นและธปท. ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ส่วน upside risk จะมาจากการที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทยมากขึ้น เพราะจะช่วยกระตุ้นการบริโภค รวมถึงความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ลดลงและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

SCB คาดกำไรปี68 ที่ 4.5 หมื่นลบ. โบรกแนะ “ถือเพื่อรับปันผล” เป้า 125.25 บ.

SCB คาดกำไรปี68 ที่ 4.5 หมื่นลบ. โบรกแนะ “ถือเพื่อรับปันผล” เป้า 125.25 บ.

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.เอเอสแอล ระบุ SCB คาดกำไรสุทธิปี 2025 ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท (+3.3% YoY) โดยสินเชื่อขยายตัว 1.6% และ Fee Income โต 2.2% จากธุรกิจประกันและ Wealth ส่วน Credit cost ลดลงเหลือ 1.7% และ NPLs ratio ลดลงเหลือ 3.3% สะท้อนคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ► แนวโน้ม 1Q25 ทรงตัว QoQ และ YoY จาก NIM ที่ลดลงหลังการปรับลดดอกเบี้ย แต่ยังพอรับมือได้จาก OPEX และ ECL ที่ลดลง ► คงคำแนะนำ “ถือเพื่อรับปันผล” ราคาเป้าหมาย 125.25 บาท อิง PBV 0.87 เท่า โดย Payout Ratio สูงถึง 80% โดยงวด 2H24 จ่ายปันผล 8.44 บาท (ทั้งปี 10.44 บาท) คิดเป็น Div. Yield 6.9% (ทั้งปี 8.5%) XD 16 เม.ย. ทั้งนี้คาดการณ์ Div. Yield ปี 25-27 สูงกว่า 8.8-9.4% แต่เนื่องจาก Upside จำกัด แนะนำ “ถือเพื่อรับปันผล” Earnings Recap               • 4Q24 : กำไรสุทธิเท่ากับ 1.1 หมื่นล้านบาท -5.8%QoQ, -6.1%YoY ดีกว่าตลาดคาด 16% จากการลดลงของการตั้งสำรอง -10.7%QoQ คิดเป็น Credit cost ที่ 1.62% จากฐานที่สูงในปีก่อนที่มีการตั้งเพิ่มในส่วนของ Management overlay ส่วนด้าน PPOP ยังขยายตัว +1.8%QoQ, +9.1%YoY ดีขึ้นเด่น YoY จาก Fee income และรายได้จากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่ลดลง คิดเป็น C/I ที่ 42.7% หลังยุติการดำเนินงานของ PPV ด้าน NII ชะลอตัวลง จากการลดลงของ Earnings yield asset ที่มากกว่า CoF ส่งผลให้ NIM ปรับลดลงเหลือ 3.88% -3 bps QoQ, -8 bps YoY ส่วนสินเชื่อ -1.3%QoQ, -1.0%YoY จากการหดตัวของทั้งสินเชื่อธุรกิจ SME และรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อไม่มีหลักประกันที่หดตัวแรง ส่วน CardX และ AutoX ดีขึ้นเล็กน้อน YoY ด้าน NPLs ratio เท่ากับ 3.37% ลดลง QoQ-YoY จากกลุ่มสินเชื่อบุคคลและ CardX ที่มีคุณภาพดีขึ้น               • 24FY : กำไรสุทธิเท่ากับ 4.39 หมื่นล้านบาท +1.0%YoY ดีขึ้นจาก NII ที่เพิ่มขึ้น และการตั้งสำรองที่ลดลง แม้ว่าจะมีปัจจัยลบจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ชะลอตัว และมีรายการพิเศษจาก Robinhood ทั้งนี้มี ROE เท่ากับ 9.1% (-0.2%YoY) Outlook 25F เน้นการเติบโตอย่างมั่นคง เป้าหมายไม่หวือหวา               • GDP +2.4% : คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้าของทรัมป์ 2.0 ส่งผลต่อภาคการส่งออกจะชะลอตัว ส่วนการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะฟื้นตัวได้ในระดับปานกลาง               • สินเชื่อขยายตัว 1-3% : โดยจะเน้นในกลุ่ม Gen2 (CardX และ AutoX) มากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถในพอร์ต AutoX เพื่อลดผลกระทบของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง               • Credit cost 1.5-1.7% : ปรับตัวลงจากคุณภาพลูกหนี้กลุ่มบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลของ CardX ดีขึ้น สะท้อนผ่านพัฒนาการด้าน NPL ที่ดีขึ้นในกลุ่มนี้               • NIM ในกรอบ 3.6-3.8% : ปรับลดลงจากสิ้นปี 24 ที่ 3.85% โดยพยายามปรับพอร์ตไปยังกลุ่ม Gen2 ที่ให้ Yield สูงในสัดส่วนมากขึ้น               • Fee income ขยายตัว 2-4% : จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และการฟื้นตัวจากธุรกิจประกันผ่าน AutoX รวมถึงค่าธรรมเนียมจากธุรกิจ Gen2 และ 3               • C/I ในช่วง 42-44% : ยังมีค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และ Cloud COEs รวมถึงด้าน IT เพิ่มขึ้นเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี และ AI มากขึ้น               • ผู้บริหารคาดว่า มาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” จะมีมูลหนี้เข้ามา 6-7 พันล้านบาท คาดกำไรสุทธิปีนี้ขยายตัวเพียง 3.3%               • ประเมินกำไรสุทธิทั้งปีที่ 4.5 หมื่นล้านบาท +3.3%YoY โดยคาดสินเชื่อขยายตัว 1.6% ในกลุ่ม Gen 2 เป็นหลัก ส่วน NIM ลดลงที่ระดับ 3.7% ตามกรอบเป้าหมายของ SCB ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมประเมินเติบโตบริเวณกรอบล่างของเป้าธนาคาร 2-4% ที่ 2.2% จากการ cross selling ผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคารโดยเฉพาะธุรกิจประกันและ Wealth อย่างไรก็ดี Credit cost ลดลงเหลือ 1.7% และ NPLs ratio ลดลงเป็น 3.3% จากแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น               • แนวโน้ม 1Q25F เบื้องต้นทรงตัว QoQ และ YoY จาก NIM ที่ลดลงหลังกนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% และ SCB ประกาศลดดอกเบี้ย M-Rate ลง แต่ยังไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอย่างทันที รวมถึงการปรับมูลค่าตลาดที่ลดลงจากเครื่องมือทางการเงิน แต่ยังประคองตัวได้จากการลดลงของ OPEX และ ECL ที่มีแนวโน้มลดลง คงคำแนะนำ “ถือเพื่อรับปันผล” ที่ราคาเป้าหมาย 125.25 บาท               • เราคงคำแนะนำ “ถือเพื่อรับปันผล” โดยมีราคาเป้าหมายที่ 125.25 บาท อิง PBV ที่ 0.87 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยระยะยาว (1.12 เท่า) – 0.75 SD โดดเด่นด้วยการจ่ายปันผลในระดับสูง (payout ratio ที่ 80%) ซึ่งในงวด 2H24 จ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 8.44 บาท (ทั้งปีที่ 10.44 บาท) คิดเป็น Div.yield เท่ากับ 6.9% (คิดเป็นทั้งปี 8.5%) ขึ้น XD 16 เม.ย. ขณะที่แนวโน้มในปี 25-27F คาดหวังการจ่ายปันผลในระดับสูงต่อเนื่อง คิดเป็น Div.yield สูงกว่า 8.8-9.4% แต่ด้วย upside ปัจจุบันที่ค่อนข้างน้อย จึงแนะนำเพียง “ถือเพื่อรับปันผล”               ปัจจัยเสี่ยง: การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย สภาวะหนี้ภาคครัวเรือนในระดับสูง แนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ที่ด้อยคุณภาพ และกฎเกณฑ์จากทางการที่ส่งผลกระทบในเชิงลบ ประเด็นที่มีนัยยะสำคัญด้านความยั่งยืน: การจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (E) และความมั่นคงทางไซเบอร์-ข้อมูลสารสนเทศ (G)

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

SCBลดดอกเบี้ยรายแรก เริ่ม 3 มี.ค.นี้-เป้า125บ.

SCBลดดอกเบี้ยรายแรก เริ่ม 3 มี.ค.นี้-เป้า125บ.

            หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล . ดาโอระบุว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR : Minimum Overdraft Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.325% เป็น 7.075% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR : Minimum Retail Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.175% เป็น 7.075% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR : Minimum Loan Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.925% เป็น 6.825% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค. เป็นต้นไป (ที่มา: มติชนออนไลน์)             มีมุมมองเป็นลบเล็กน้อย เพราะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ M-Rate ลง โดยรอบนี้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยฝั่งเงินกู้เพียงฝั่งเดียว โดยลดอัตราดอกเบี้ยของ MOR ที่ 0.25%, MRR+MLR ที่ 0.10% ขณะที่ฝั่งเงินฝากไม่ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเลย ซึ่งเราได้รวมผลกระทบในประมาณการกำไรไปแล้วที่ 0.25% ทั้งนี้คาดว่าหลังจากนี้จะเริ่มเห็นการทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยกันออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเรายังคงคําแนะนํา “ถือ” SCB และราคาเป้าหมายที่ 125.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.85x (-1.00SD below 10-yr average PBV)

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.00-34.20 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.00-34.20 บ./ดอลลาร์

            หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.00-34.20 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอ่อนค่าขึ้นจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าเร็ว หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในวันที่ 4 มีนาคม และจะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 10% ในวันเดียวกัน จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 242,000 ราย ในสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปีนี้ คลัง หารือสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และธปท. เร่งจัดทำแผน Master plan เพื่อดันให้เศรษฐกิจปีนี้โต 3-3.5% โดยเน้นที่ภาคท่องเที่ยวและการเกษตร

SCB นำร่อง ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผล 3 มี.ค.นี้

SCB นำร่อง ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผล 3 มี.ค.นี้

         หุ้นวิชั่น - ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.25% มาอยู่ที่ 2.00% ต่อปี เพื่อให้ภาวะการเงินลดความตึงตัว สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ กนง. ประเมินไว้และสามารถรองรับความไม่แน่นอนข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป          นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มเติบโตไม่สูงนักจากปัจจัยท้าทายภายนอกและความเปราะบางภายในประเทศ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้จะมีส่วนช่วยลดต้นทุนทางการเงิน สนับสนุนการใช้จ่ายและการลงทุนให้เกิดสภาพคล่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยจะช่วยบรรเทาความตึงตัวของภาวะการเงินในปัจจุบัน และช่วยให้ภาคธุรกิจและประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ต้องเผชิญกับปัญหาการแข่งขันและข้อจำกัดด้านสภาพคล่องของธุรกิจ รวมถึงลูกค้ารายย่อยที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และต้องรับภาระหนี้สูง          ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารไทยพาณิชย์จึงได้พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR : Minimum Overdraft Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.325% เป็น 7.075% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR : Minimum Retail Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.175% เป็น 7.075% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR : Minimum Loan Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.925% เป็น 6.825% ต่อปี ธนาคารพร้อมให้การสนับสนุนลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมคำนึงถึงศักยภาพและโอกาสในการปรับตัวของลูกค้าในอนาคต สำหรับลูกค้าที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือหรือคำปรึกษาสามารถติดต่อธนาคารได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์ SCB Call Center 02-777-7777

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

SCB เล็งเบอร์ 1 ธุรกิจเวลธ์ ปักธงยึดหัวหาดปี 2569

SCB เล็งเบอร์ 1 ธุรกิจเวลธ์ ปักธงยึดหัวหาดปี 2569

           ไทยพาณิชย์ ตอกย้ำกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch เดินหน้ารุกตลาดบริหารความมั่งคั่งหนึ่งในธุรกิจสำคัญของธนาคาร ปูทางสู่การเป็นดิจิทัลแบงก์ที่เป็นอันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง ชูแนวคิด “Your Success. Our Success.” ความสำเร็จของคุณ คือความสำเร็จของเรา นำเสนอโซลูชันด้านการบริหารความมั่งคั่งแบบองค์รวมโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Holistic and Customer-Centric Wealth Management Solution) ควบคู่กับการยกระดับประสบการณ์การให้บริการลูกค้าแบบไร้รอยต่อ ผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ เชื่อมโยงบริการ และยกระดับกระบวนการทำงานรูปแบบใหม่ เพื่อเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าในฐานะคู่คิดที่ดูแลเคียงข้างและเข้าใจทุกความต้องการในทุกช่วงชีวิต ชู 3 แกนหลักสำคัญ ได้แก่ 1) Customer Centricity เข้าใจทุกความต้องการของลูกค้าในแต่ละช่วงชีวิตอย่างลึกซึ้ง และยึดผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง 2) Hyper-Personalization บริหารความมั่งคั่งตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล 3) Go Global เข้าถึงโอกาสการลงทุนแบบไร้พรมแดน ร่วมกับพันธมิตรระดับโลก ตั้งเป้าภายในสิ้นปี 2569 ขึ้นแท่นธนาคารที่เป็นอันดับหนึ่งด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในประเทศไทย ด้านสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการในส่วนของการลงทุน (Asset Under Advisory: AUA), ความพึงพอใจของลูกค้า (Net Promoter Score: NPS) และการบริหารภาพรวมพอร์ตโฟลิโอให้เติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Portfolio Growth)            นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ภาพรวมธุรกิจบริหารความมั่งคั่งทั่วโลก และประเทศไทยเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 6% โดยคาดการณ์ว่าในปี 2571 ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในไทยจะมีสินทรัพย์มากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ไทยพาณิชย์มองเห็นถึงโอกาสจากการเติบโตของตลาดและจากการเป็นสถาบันทางการเงินอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ทำให้เราสามารถต่อยอดในการทำธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) และสามารถช่วยวางแผนการเงินให้กับลูกค้าได้เต็มรูปแบบและครบวงจร ที่สำคัญธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) นับเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักที่สร้างการเติบโตให้กับธนาคาร”            การดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch สร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยผลดำเนินงานด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งปี 2567 ที่ผ่านมา ยังคงมีผลประกอบการเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ในทุกด้าน สะท้อนจากความไว้วางใจที่ลูกค้ามีให้กับธนาคารในการบริหารจัดการในส่วนของการลงทุน Asset Under Advisory เพิ่มขึ้น 10% ยอดสินเชื่อธุรกิจกลุ่มลูกค้าเวลธ์ (Wealth Lending) และการมอบโซลูชันการดูแลบริหารจัดการ การลงทุน ความคุ้มครอง ผ่านช่องทางธนาคาร ที่ยังคงครองอันดับ 1 ขณะที่เรายังคงสร้างความมั่นใจและผลตอบแทนที่โดดเด่นให้กับลูกค้าด้วยยอดขายอันดับ 1 ในผลิตภัณฑ์หุ้นกู้อนุพันธ์แฝง (Structured Products) 4 ปีซ้อน พร้อม 10 รางวัลการันตีจากสถาบันระดับโลก นอกจากนี้ ธนาคารยังคงเดินหน้ายกระดับประสบการณ์การบริหารความมั่งคั่งด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI ผ่าน SCB WEALTH LINE OA, บริการ AI Advisory Chatbot, WEALTH4U และ MY ALERT            จากการที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และโซลูชันด้านการเงินการลงทุน เราจึงได้ทำการศึกษาข้อมูลเชิงลึกจากลูกค้า และพบว่าสิ่งที่ลูกค้ามองหาจากธนาคารในการดูแลและบริหารความมั่งคั่งคือ ความจริงใจ ใส่ใจ ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารความมั่งคั่ง และสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืน มีผลิตภัณฑ์และโซลูชันด้านการเงินการลงทุนที่ครบวงจร และในปีนี้เราจึงได้วางเป้าหมายธุรกิจบริหารความมั่งคั่งภายใต้แนวคิด “Your Success. Our Success.” ความสำเร็จของคุณ คือความสำเร็จของเรา นำเสนอโซลูชันด้านการบริหารความมั่งคั่งแบบองค์รวมโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Holistic and Customer-Centric Wealth Management Solution) ผสานศักยภาพจากบริษัทภายใต้กลุ่ม SCBX อาทิ บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBAM), บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) บล. ไทยพาณิชย์  จูเลียส แบร์ จำกัด (SCB Julius Baer) และพันธมิตรชั้นนำระดับโลกกว่า 30 ราย เข้ากับขีดความสามารถในการให้คำปรึกษา (Advisory Capability) ในการนำเสนอโซลูชันบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า SCB WEALTH จำนวนกว่า 500,000 ราย โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ SCB PRIME, SCB FIRST และSCB PRIVATE BANKING ทั้งด้านเป้าหมายชีวิต และเป้าหมายด้านการลงทุน โดยยึด 3 กลยุทธ์หลักอันเป็นหัวใจสู่ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ได้แก่ Customer Centricity: คิดจากคุณ เพื่อความสำเร็จในแบบเฉพาะคุณ            มุ่งเน้นเป้าหมายและความต้องการของลูกค้าแต่ละช่วงชีวิตอย่างลึกซึ้ง และยึดผลประโยชน์สูงสุดของลูกค้าเป็นที่ตั้ง โดยคัดสรรผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่เหมาะสมในทุกมิติ ด้วยบริการวางแผนกับที่ปรึกษาด้านการบริหารและต่อยอดความมั่งคั่งมืออาชีพ โดยนำเสนอโซลูชันผ่าน 3 แนวคิดใหม่ ดังนี้ ลูกค้ารู้สึกไม่เป็นธรรม เมื่อต้องจ่ายเงินค่าธรรมเนียม แม้ตลาดติดลบ นำเสนอแนวคิดใหม่ของการลงทุน No Gain No Pay ไม่เก็บค่าธรรมเนียมหากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ถึงเป้าหมาย ซึ่งหลังจากเปิดตัวเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีจนสามารถบรรลุเป้าหมายภายที่วางไว้ภายใน 1 เดือน 13 วัน จากที่ตั้งเป้าที่ 8 เดือน ลูกค้ามีความกังวลเรื่องตลาดผันผวน นำเสนอแนวคิด Capital Protected Fund การลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำ ลดการขาดทุนเงินต้น พร้อมผลตอบแทนที่สูงกว่าการเงินทั่วไป ด้วยยอดขายตั้งแต่ปี 2567 จนถึงปัจจุบัน กว่า 1 แสนล้านบาท ลูกค้าไม่รู้ว่าจะต้องวางแผนบริหารความมั่งคั่งให้ครอบคลุมทุกมิติได้อย่างไร นำเสนอแนวคิด Innovative Holistic Advisory Solution ออกแบบโซลูชันการบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคลที่ตรงตามความต้องการที่หลากหลาย อาทิ การต่อยอดทางการเงิน การดูแลบริหารจัดการ ความคุ้มครอง รวมถึงการส่งต่อความมั่งคั่ง เพื่อสร้างผลลัพธ์ความสำเร็จที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง Hyper-Personalization: ตอบโจทย์ทุกความต้องการ เพื่อคุณโดยเฉพาะ            ยกระดับประสบการณ์การบริหารความมั่งคั่งเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ารายบุคคล ผสานศักยภาพของผู้เชี่ยวชาญเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI ในการดูแลลูกค้าอย่างตรงใจและไร้รอยต่อในทุกมิติ Go Global: ทุกที่ที่มีโอกาส เราให้คุณไปถึงได้ทั่วโลก            เปิดโลกการลงทุนสู่ตลาดโลก พร้อมต่อยอดความมั่งคั่งด้วยโซลูชันทางการเงิน การลงทุน และยกระดับการให้คำปรึกษาจากทีมผู้เชี่ยวชาญของ SCB WEALTH เข้ากับพันธมิตรระดับโลก อาทิ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ และล่าสุด จับมือ BlackRock ผู้นำทางการลงทุนระดับโลก ในการนำเสนอโซลูชันด้านการลงทุนสำหรับลูกค้าไทยพาณิชย์โดยเฉพาะภายใต้แนวคิด กองทุนผสมแนวคิดใหม่ ประกอบด้วยสินทรัพย์ดั้งเดิม และสินทรัพย์ทางเลือก            “ทั้งหมดนี้เพื่อนำไปสู่เป้าหมายสำคัญของไทยพาณิชย์ ในการเป็นธนาคารที่เป็นอันดับหนึ่งด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในประเทศไทย ภายในปี 2569 ด้วยการได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในการบริหารจัดการในส่วนของการลงทุน Asset Under Advisory เติบโต Double Digit จากสินทรัพย์การลงทุนภายใต้ธีม Customer Centricity เติบโตกว่า 2 เท่า ลูกค้า Active ด้านการลงทุนผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มกว่า 30% และสินทรัพย์การลงทุนสกุลเงินต่างประเทศเติบโตกว่า 180,000 ล้านบาท ขณะที่ยังคงสร้างความพึงพอใจของลูกค้า และรักษาผลตอบแทนสะสมที่ยั่งยืนให้กับลูกค้าเหนือกว่าตลาดอย่างต่อเนื่อง” นายกฤษณ์ กล่าวทิ้งท้าย คำเตือน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.40-33.65 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.40-33.65 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.40-33.65 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงหลังเลข PMI ออกมาที่ 50.4 ต่ำกว่าตลาดคาด เงินเฟ้อทั่วไปญี่ปุ่นเดือนมกราคมออกมาที่ 4.0%YOY ตามที่ตลาดคาด ด้านผู้ว่าฯ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวว่า พร้อมเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นหาก Yields ปรับสูงขึ้นเร็วผิดปกติ PMI ยุโรปออกมาที่ 50.2 ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ส่วนการเลือกตั้งในเยอรมนี พบว่านายฟรีดริช เมอซ์ ซึ่งเป็นพรรคผู้นำฝ่ายค้านเดิมมีคะแนนนำ ส่วนพรรครัฐบาลเดิมคะแนนอยู่อันดับ 3

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.45-33.70 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.45-33.70 บ./ดอลลาร์

 หุ้นวิชั่น  - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.45-33.70 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น หลังทรัมป์กล่าวว่าเป็นไปได้ที่จะทำข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับจีนแม้ยังไม่มีขอบเขตและรายละเอียดข้อตกลง อย่างไรก็ดี เงินหยวนกลับมาแข็งค่า นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่ายังไม่มีความประสงค์ที่จะออกพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวมากขึ้น ส่งผลให้ US Treasury yields อายุ 10 ปี ปรับลดลง เงินเยนปรับแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังนักลงทุนมองว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น โดยให้โอกาส 84% ที่จะลดภายในกรกฎาคม

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

SCB ปันผลสูงเกินคาด ช่วยพยุงราคาหุ้น

SCB ปันผลสูงเกินคาด ช่วยพยุงราคาหุ้น

          หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ประเมินหุ้น SCB (Neutral : FV@B130)  หลังประกาศปันผลสูงกว่าฝ่ายวิจัยคาด เข้าสู่ฤดูการประกาศจ่ายปันผลของกลุ่มธนาคาร เริ่มต้นด้วย SCB ถือว่าค่อนข้างน่าพอใจ โดย SCB ประกาศปันผล 2H67 ที่ 8.44 บาท (คิดเป็น Div yield ราว 6.8% และขึ้น XD วันที่ 16 เม.ย. 68) ดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาด 7.92 บาท โดยรวมเงินปันผลจากการดำเนินงานปี 2567 อยู่ที่ 10.44 บาท คิดเป็น Dividend payout ratio ปี 2567 อยู่ที่ 80% เท่ากับปี 2566 ภาพดังกล่าวสะท้อนความชัดเจนในการบริหาร ROE และผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น          ฝ่ายวิจัยมองด้วย Div yield ข้างต้น น่าจะช่วยจำกัดขาบงของราคาหุ้น ท่ามกลางความผันผวนของตลาด อย่างน้อยถึงวัน XD

SCB ประกาศจ่ายปันผล 8.44 บาท/หุ้น ขึ้น XD 16 เม.ย.68

SCB ประกาศจ่ายปันผล 8.44 บาท/หุ้น ขึ้น XD 16 เม.ย.68

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดให้ผู้ถือหุ้น โดยเป็นการจ่ายปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค.2567 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2567 - วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) : 17 เม.ย. 2568 - วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) : 16 เม.ย. 2568 - จ่ายให้กับ : ผู้ถือหุ้นสามัญ - อัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด (บาทต่อหุ้น) : 8.44 - มูลค่าที่ตราไว้ (Par)(บาท) : 10.00 - วันที่จ่ายปันผล : 02 พ.ค. 2568

SCB ยัน King Power จ่ายดอกเบี้ยไม่ขาด โบรกชี้ไม่กังวล แนะ “ซื้อ” เป้า 130 บ.

SCB ยัน King Power จ่ายดอกเบี้ยไม่ขาด โบรกชี้ไม่กังวล แนะ “ซื้อ” เป้า 130 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุว่า วันศุกร์ที่ผ่านมาราคาหุ้น SCBX (SCB) ปรับตัวลง 3.2% DoD หลังมีกระแสข่าวเกี่ยวกับยอดลูกหนี้ไม่หมุนเวียนของ AOT ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตลาดมองว่าลูกหนี้สำคัญที่มีการค้างชำระคือกลุ่ม King Power ซึ่งมีการขอเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ขั้นต่ำ (Minimum Guarantee) เดือน ส.ค. 2024 ถึง ก.พ. 2025 ออกไป 18 เดือน โดยยอมจ่ายค่าปรับ 9% ต่อปี สร้างความกังวลว่าจะมีผลส่งต่อมายัง SCB ซึ่งตลาดคาดจะเป็นหนึ่งในธนาคารที่เป็นผู้ออก Bank Guarantee และมี King Power เป็นลูกค้าสินเชื่อบริษัท Our Take           ► เบื้องต้นเราสอบถามไปยัง SCB และพบว่า King Power ยังถูกจัดเป็นลูกหนี้ปกติ แม้จะมีประเด็นค้างชำระค่า Minimum Guarantee กับ AOT ทำให้ธนาคารมีการตั้งสำรองสำหรับกรณีดังกล่าวเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ ข้อมูลลูกค้าถือว่าเป็นข้อมูลที่ Sensitive ทำให้ธนาคารไม่สามารถเปิดเผยมูลหนี้รวมของ King Power ที่มีกับธนาคารได้ แต่ยืนยันว่า King Power ยังมีการชำระดอกเบี้ยเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ           ► จากการสืบค้นข้อมูลงบการเงินปี 2023 ของบริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี และคิงเพาเวอร์ สุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นคู่สัญญากับ AOT มีจำนวนหนี้สินรวม (Total Liabilities) 16,459 ลบ. และ 7,990 ลบ. ตามลำดับ หากประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นภายใต้สมมติฐานเลวร้าย นั่นคือทั้ง 2 บริษัทมีมูลหนี้สินเชื่อรวมที่ 24,449 ลบ. (ราว 1% ของสินทรัพย์เสี่ยง) หากมีการปรับชั้นลูกหนี้ลงเป็น Stage 2 ตามสัญญาณความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น คาดจะมีการตั้งสำรองราว 3,825 ลบ. (สมมติให้หนี้สินดังกล่าวเป็นหนี้สินที่มีหลักประกันครอบคลุมมูลหนี้ 50% และมีการตั้งสำรอง 31.3% ของมูลหนี้หลังหักมูลค่าหลักประกัน ใกล้เคียงกับการตั้งสำรองที่เกิดขึ้นใน 4Q24) คิดเป็น 8.4% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 แต่หากมีการผิดนัดชำระหนี้จนกลายเป็นหนี้ Stage 3 (NPLs) คาดจะมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น 6,957 ลบ. คิดเป็น 15.3% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงอาจรุนแรงน้อยกว่าที่เราประเมินเพราะบางส่วนจะถูกชดเชยด้วย Management Overlay แต่จะทำให้แนวโน้มการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นในระยะยาวเพื่อสร้าง Management Overlay ใหม่ขึ้นมาชดเชย           ► ปัจจุบันเรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ของ SCB ไว้ที่ 45,435 ลบ. โต 3.4% YoY ตามประมาณการเดิม เพราะมองประเด็นดังกล่าวจะไม่กระทบต่อผลดำเนินงานของบริษัท เนื่องจาก King Power ยังมีการดำเนินธุรกิจและสามารถชำระคืนหนี้แก่ธนาคารได้ตามปกติ แต่มีโอกาสที่ธนาคารจะเพิ่มอัตราการตั้งสำรองสำหรับ King Power มากขึ้นกว่าลูกหนี้ปกติ หากมีการค้างชำระแก่ AOT นานขึ้นเรื่อยๆ           ► เรามองราคาหุ้น SCB ที่ปรับตัวลงมาเป็นจังหวะสะสม สำหรับนักลงทุนที่ต้องการหุ้นธนาคารที่มีเงินปันผลน่าสนใจ เพราะแม้ประเมินผลจากการตั้งสำรองในกรณีที่ทั้ง 2 บริษัทกลายเป็นหนี้เสีย SCB ก็ยังสามารถจ่าย Div. Yield ปี 2025 ได้ในระดับสูงกว่า 5.7% ส่วนช่วงสั้นเราคาด SCB จะยังจ่ายปันผลสำหรับกำไรสุทธิ 2H24 จำนวนหุ้นละ 7 บาท คิดเป็น Div. Yield 5.9% ตามประมาณการเดิม เพราะมองประเด็นดังกล่าวไม่ได้ทำให้เงินกองทุนลดลงจนถึงระดับที่น่ากังวล จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานปี 2025 เดิมที่ 130 บาท

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

SCB ร่วง 4% รับ “เจพี มอร์แกน” หั่นเป้า- King Power ชำระหนี้ AOT ล่าช้า

SCB ร่วง 4% รับ “เจพี มอร์แกน” หั่นเป้า- King Power ชำระหนี้ AOT ล่าช้า

         หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.เอเซียพลัส ระบุ ราคาหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ปรับตัวลดลงในวันนี้ โดยมีปัจจัยหลักมาจาก เจพี มอร์แกน ปรับลดน้ำหนักการลงทุน          บริษัทหลักทรัพย์ เจพี มอร์แกน ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนของหุ้น SCB ลงจาก "Neutral" หรือ "คงเดิม" มาเป็น "Underweight" หรือ "ต่ำกว่าตลาด" พร้อมกับปรับลดราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 105 บาท จากเดิมที่ 122 บาท โดยให้เหตุผลว่า หุ้นกลุ่มธนาคารไทย รวมถึง SCB มีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการเมือง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเปราะบาง สำหรับการปรับลดเป้าหมายในครั้งนี้ ประเมินจากค่า PBV ที่ 0.75 เท่า ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2568 ใหม่ที่ 118 บาท ลดลงจากเดิมที่ 127 บาท          อย่างไรก็ตาม SCB ยังคงเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง โดยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 7% อิงจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 65% ในปี 2567-2568 ลดลงจาก 80% ในปี 2566          นอกจากนี้ตลาดยังกังวลต่อประเด็น King Power ที่มีการชำระหนี้แก่ AOT ล่าช้า ซึ่งตลาดคาด SCB จะเป็นธนาคารที่เป็นคนให้ Bank Gurantee กับ King Power ทั้งนี้ปัจจุบันยังติดต่อกับทางบริษัทไม่ได้ เบื้องต้นยอดลูกหนี้ค้างจ่ายของ AOT ที่เพิ่มขึ้นมาจากกรณีดังกล่าวยังอยู่ที่ราว 4 พันล้านบาท

ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ตั้ง เอเดรียน เมซซินาวเออร์ เป็น CEO คนใหม่

ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ตั้ง เอเดรียน เมซซินาวเออร์ เป็น CEO คนใหม่

          หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ และ จูเลียส แบร์ (Julius Baer) ประกาศแต่งตั้ง นายเอเดรียน เมซซินาวเออร์ (Adrian Mazenauer) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด คนใหม่ มีผลทันที           กรุงเทพฯ/ฮ่องกง/สิงคโปร์, 4 กุมภาพันธ์ 2568 - “บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด” (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่าง “ธนาคารไทยพาณิชย์” ธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกของประเทศ และ “จูเลียส แบร์” (Julius Baer) ผู้นำธุรกิจบริหารความมั่งคั่งชั้นนำระดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และผู้ให้บริการธุรกิจไพรเวทแบงก์กิ้งที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย ประกาศแต่งตั้ง นายเอเดรียน เมซซินาวเออร์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด คนใหม่ เพื่อนำทัพไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ สู่ผู้นำที่มีความเป็นเลิศด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจรของเมืองไทย โดยก่อนหน้านี้ นายเอเดรียน ดำรงตำแหน่ง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารฝ่ายการบริหารความมั่งคั่ง บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด           นายเอเดรียน มีประสบการณ์ และบทบาทสำคัญในฐานะผู้บริหารระดับสูงให้กับหลายสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงระดับโลกกว่า 25 ปี โดยร่วมงานกับ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทในปี 2562 ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารฝ่ายการบริหารความมั่งคั่ง ด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และแนวทางที่สร้างสรรค์ในการวางแผนบริหารความมั่งคั่งให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย           ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ นายเอเดรียนจะเป็นผู้กำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ รวมถึงนำทัพทีมดูแลลูกค้าและทีมปฏิบัติการของไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ เพื่อสร้างการเติบโต และตอกย้ำบทบาทผู้นำที่มีความเป็นเลิศด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจรให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงของเมืองไทย           นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการประกาศแต่งตั้งนายเอเดรียน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ ด้วยประสบการณ์การทำงานด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งจากทั่วโลกกว่า 25 ปี ผสานกับความรู้ ความเชี่ยวชาญ ความเข้าใจด้านภูมิทัศน์การบริหารความมั่งคั่งในประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง รวมถึงความทุ่มเทในการทำงานของ นายเอเดรียน จะสามารถสร้างการเติบโตให้ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูง พร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจรในเมืองไทยที่สามารถดูแลและให้บริการแก่ลูกค้าแบบมืออาชีพที่ได้มาตรฐานระดับโลก ตอกย้ำความมุ่งมั่น “Your legacy. Our promise.” ของ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์”           มร.จิมมี่ ลี (Jimmy Lee) ประธานประจำภาคพื้นเอเชีย จูเลียส แบร์ และกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด เปิดเผยว่า “การแต่งตั้งนายเอเดรียน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้บริการลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย จากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับโลก และแนวทางในการบริหารงานแบบที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางของนายเอเดรียน จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในฐานะผู้นำด้านบริหารความมั่งคั่งในภูมิภาค พร้อมทั้งขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย” [PR News]

SCB-KTB ยิลด์ปันผลสูง TTB มีแววซื้อหุ้นคืน

SCB-KTB ยิลด์ปันผลสูง TTB มีแววซื้อหุ้นคืน

          หุ้นวิชั่น-ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ธนาคาร 8 แห่งที่ศึกษา ได้แก่ BBL, KBANK, SCB, KTB, TTB, KKP, TISCO และ CREDIT ทำกำไรสุทธิรวม 5.25 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 4/67 เพิ่มขึ้น 20.9% yoy แต่ลดลง 6.1% qoq และทำให้กำไรสุทธิทั้งปี 67 เพิ่มเป็น 2.18 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6% yoy           ส่วนกำไรก่อนตั้งสำรอง (PPOP) ไตรมาส 4/67 เติบโต 2.7% yoy แต่ลดลง 5.7% qoq ทำให้ PPOP ทั้งปี 67 เติบโต 2.2% yoy โดยกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของกลุ่มธนาคารสูงกว่าประมาณการของ Bloomberg consensus เนื่องจากอัตราการสำรองหนี้สูญลดลงและอัตราการเติบโตของสินเชื่อสูงขึ้น โดยยอดสินเชื่อรวมของกลุ่มขยายตัว 0.3% yoy และ 1.8% qoq ในไตรมาส 4/67 และมีอัตราส่วน NPL ลดลง 18bp qoq เป็น 3.61% และมีอัตราการสำรองหนี้สูญลดลง 9bp qoq เป็น 141bp           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า ธนาคารบางแห่งออกมาเปิดเผยเป้าหมายทางการเงินในปี 68 หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/67 โดยตั้งเป้าสินเชื่อขยายตัวเพียง 0-3% เนื่องจากธนาคารมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อธุรกิจสินเชื่อและให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างหนี้ โดยพบว่าธนาคารยังกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ของสินเชื่อรายย่อย อีกทั้งมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คือ “คุณสู้ เราช่วย” ยังมีอัตราการอนุมัติต่ำ ทั้งนี้ธปท. เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 68 ว่า ลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการเพียง 10% ที่ได้รับอนุมัติ ส่วนระยะเวลาการลงทะเบียนจะสิ้นสุดลงวันที่ 28 ก.พ. 68           ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ประมาณการว่าธนาคารทั้ง 8 แห่งที่ศึกษา จะมียอดสินเชื่อรวมเติบโต 1.1-2.7% ในปี 68-70 ขณะที่มีอัตราการสำรองหนี้สูญ 135bp/126bp/125bp และอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิโดยรวมอยู่ที่ 3.7%/4.3%/4.5% ในปี 68/69/70 ตามลำดับ ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า ธนาคารไทยอยู่ภายใต้แรงกดดัน เพราะต้องบริหารจัดการเงินทุนจำนวนมาก ในขณะที่สินเชื่อมีอัตราการเติบโตชะลอตัว โดยธนาคารบางแห่ง เช่น ธนาคารทหารไทยธนชาต กำลังพิจารณา เรื่องการซื้อหุ้นคืนตามข้อเสนอของรัฐบาล ขณะที่ธนาคารบางแห่งจะปรับขึ้นอัตราการจ่ายเงินปันผลเพื่อเพิ่ม ผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น รวมทั้งเพิ่ม ROE ทั้งนี้ KTB และ KBANK น่าจะจ่ายเงินปันผลสูงขึ้นในปี 68 นี้ ยังแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) ในกลุ่มธนาคาร เพราะคาดว่า PPOP จะเติบโตลดลงในอัตรา -1.4%/+0.8%/+3.5% ในปี 68/69/70 ขณะที่เลือก SCB และ KTB เป็นหุ้น Top pick เพราะเชื่อว่าธนาคารทั้งสองแห่งจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงที่ 5.4-9.2% ต่อปี และมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ 2- 12% ในปี 68-70 นอกจากนี้ เชื่อว่าทั้ง SCB และ KTB จะบริหารจัดการเงินทุนได้ดีกว่าธนาคารอื่นที่ทำการศึกษา ซึ่งจะส่งผลให้ ROE เพิ่มสูงขึ้นในปี 68-70 อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารจะมี downside risk หาก NPL เพิ่มสูงขึ้นและธปท. ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ส่วน upside risk จะมาจากการที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทยมากขึ้น เพราะจะช่วยกระตุ้นการบริโภค, ความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ลดลง และรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

abs

Hoonvision

SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.75-33.95 บาท/ดอลลาร์

SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.75-33.95 บาท/ดอลลาร์

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 75-33.95 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าเร็วจากภาวะ Risk-off หลังตลาดหุ้นโลกลงแรงนำโดยหุ้นกลุ่ม Tech และ semiconductor ส่วน US Treasury yields ลดลงเร็ว ขณะที่ค่าเงินเยนและสวิสฟรังค์ แข็งค่าขึ้น จากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย การเผยแพร่ AI model ต้นทุนต่ำของบริษัท DeepSeek ซึ่งเป็น Startup จีน ทำให้ตลาดกังวลว่าการลงทุนด้าน AI ที่ผ่านมาสูงไป ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าหลัง Scott Bessent สนับสนุนการขึ้น universal tariff อย่างค่อยเป็นค่อยไป

AutoX จับมือ ช่องเวิร์คพอยท์ 23  เปิดตัว “สานฝันด้วยใจ ให้คนไทยร้องไชโย”

AutoX จับมือ ช่องเวิร์คพอยท์ 23 เปิดตัว “สานฝันด้วยใจ ให้คนไทยร้องไชโย”

          ออโต้ เอกซ์ (AutoX) ผู้ให้บริการสินเชื่อที่มีทะเบียนเป็นหลักประกันแบรนด์ “เงินไชโย” ภายใต้กลุ่ม SCBX จับมือ บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) พันธมิตรทางธุรกิจเดินหน้าสร้างปรากฏการณ์แห่งการให้ครั้งยิ่งใหญ่ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ด้วยเป้าหมายที่สอดคล้องกันของทั้งสององค์กรในการอยากให้คนไทยมีความสุขในการดำเนินชีวิต และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ล่าสุด ส่งโครงการ “สานฝันด้วยใจ ให้คนไทยร้องไชโย” ผ่านแนวคิดของการ “ให้” ได้แก่ 1.การให้เด็กมีฝัน มีโอกาส 2.การให้คนดีมีที่ทำกิน และ 3.การให้คนไทยมีความสุข ผ่านการเป็นผู้สนับสนุนหลักรายการต่างๆ อาทิ รายการข่าว อีเวนต์ คอนเสิร์ต ของทางสถานีโทรทัศน์ช่องเวิร์คพอยท์ 23 ทั้งหมดนี้เพื่อมอบความสุขให้กับคนไทยทั่วประเทศ ได้มีรอยยิ้ม มีพลังในการดำเนินชีวิตต่อไป           นางอภิพันธ์ เจริญอนุสรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ออโต้เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการมอบโอกาสและความสุขให้กับคนไทยทั่วประเทศผ่านความร่วมมือกับ “ช่องเวิร์คพอยท์ 23” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยในปีนี้เป็นการสร้างปรากฏการณ์แห่งการ “ให้” ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น ผ่านการสนับสนุนทั้งด้านการศึกษา การสร้างโอกาสในการสร้างรายได้ และการส่งมอบความสุขในทุกๆ วันให้กับคนไทย ที่ผ่านมาการเป็นพันธมิตรกับช่องเวิร์คพอยท์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มีความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ในวงกว้างครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้เราสามารถส่งมอบคุณค่าและแก่นแท้ของวิสัยทัศน์องค์กรในการดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นเพื่อช่วยปลดล็อกความเครียดจากภาระทางการเงินให้กับคนไทย ภายใต้แบรนด์ “เงินไชโย” ได้อย่างแท้จริง”           นายปัญญา นิรันดร์กุล ประธานบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ขอขอบคุณทาง “เงินไชโย” ที่ให้โอกาสกับทางช่องเวิร์คพอยท์ 23 ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบความสุขให้กับคนไทย ผ่านช่องทางที่หลากหลายของทางเรา โดยในปีนี้เป็นปีที่ 3 แล้ว รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก และขอยินดีกับผู้รับ นั่นคือคนไทยทั่วประเทศ ที่ได้เจอผู้ใหญ่ใจดีที่มีแต่ให้อย่าง “เงินไชโย” ยิ่งโดยเฉพาะช่องเวิร์คพอยท์23 เรามีกลุ่มคนดูและฐานแฟนคลับมากมาย ทุกเพศทุกวัย ทุกอาชีพ เรายินดีเป็นพื้นที่ศูนย์กลางส่งมอบการให้ที่ยิ่งใหญ่นี้ไปถึงทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการให้โอกาสน้องๆเยาวชนผ่าน รายการชิงช้าสวรรค์, การต่อยอดสร้างอาชีพให้มีพลังในการดำเนินชีวิตของแต่ละครอบครัวใน รายการปัญญาปันสุข, การร่วมเดินทางไปส่งมอบความสุข รอยยิ้ม ความสนุก กับคอนเสิร์ตเวิร์คพอยท์ออนทัวร์ ไชโย ม่วนจอย หรอยแรง และในรายการต่างๆ ซึ่งนับได้ว่าเป็นการสนับสนุนที่เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายคนดูผ่านในทุกคอนเทนต์ทุกช่องทาง และตนเองมั่นใจว่าความตั้งใจส่งมอบความสุขให้กับคนไทยของ “เงินไชโย” ในครั้งนี้และครั้งต่อๆไปจะไม่สูญเปล่า การันตีด้วยการเป็นผู้นำและยืนหนึ่งความสำเร็จในการเสิร์ฟคอนเทนต์ที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มของสถานีโทรทัศน์ช่องเวิร์คพอยท์ 23 ผู้เติบโตอย่างมั่นคงในตลาดเอ็นเตอร์เทนเมนท์”           สามารถติดตามการส่งมอบความสุขให้คนไทยทั่วประเทศได้ทุกวันผ่านช่องเวิร์คพอยท์ 23 หรือ ผ่านทาง Facebook Workpoint ได้ตลอดปี 2025

SCB เป้าหมายปีนี้ดีกว่าคาด แต่กังวล NPL-พื้นฐาน125บ.

SCB เป้าหมายปีนี้ดีกว่าคาด แต่กังวล NPL-พื้นฐาน125บ.

         หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ยังคงคำแนะนำ “ถือ” SCB และปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 125.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.85x (-1.00SD below 10-yr average PBV) จากเดิมที่ 110.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.75x (-125SD below 10-yr average PBV) จากการปรับกำไรและ PBV เพิ่มขึ้น          มีมุมมองเป็นกลางทั้งจากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ที่ให้เป้าหมายการเงินปี 2025E ดีกว่าคาด และประกาศกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ดีกว่าคาด แต่เรายังกังวล NPL ที่ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยกำไรสุทธิ 4Q24 อยู่ที่ 1.17 หมื่นล้านบาท (+7% YoY, +7% QoQ) มากกว่าที่ตลาด +18% และเราคาด +22% เพราะมีกำไรจากเงินลงทุน (FVTPL) เข้ามาช่วยถึง 2.3 พันล้านบาท (เราคาด 500 ล้านบาท) จากกำไรจากพอร์ตการลงทุนของ SCB10X ด้าน NPL มีลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3.37% จากไตรมาสก่อนที่ 3.38% แต่มูลค่า NPL เพิ่มขึ้น +3% QoQ          ขณะที่มีการขาย NPL ที่ 3 พันล้านบาท และ write-off อีก 8.8 พันล้านบาท อย่างไรก็ดี ลูกหนี้จัดชั้น Stage 2 ยังเพิ่มขึ้นอีก +4% QoQ (+8.9 พันล้านบาท) จาก 3Q24 ที่เพิ่มขึ้น +5% QoQ โดยเพิ่มขึ้นจากสินเชื่อบ้านและ SME เป็นหลักเรามีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E/2026E ขึ้น +9%/+7% จากการปรับ Credit cost และ Cost to Income ratio ลดลง ทำให้ได้กำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 4.55 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +4% YoY จากการตั้งสำรองฯที่ลดลง          ขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิ 1Q24E จะเพิ่มขึ้น YoY จากสำรองฯที่ลดลง แต่จะลดลง QoQ จากกำไรจากเงินลงทุนที่ลดลงราคาหุ้นเพิ่มขึ้น +6% และ +17% ช่วง 1 เดือน และ 3 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET เพราะตลาดหุ้นที่เป็นขาลง ทำให้นักลงทุนหันมาหาหุ้นที่มี Dividend yield สูงๆ โดย SCB มี Dividend yield สูงที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ 9% ด้าน Valuation ซื้อขายที่ PBV ที่ 0.86x (-1.00SD below 10-yr average PBV) แพงกว่า KBANK ที่ 0.68x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) และกลุ่มที่ 0.68x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) จึงแนะนำ “ถือ”

SCB ผลงาน Q4 เกินคาดเล็กน้อย เก็งปันผล 8.44 บาท

SCB ผลงาน Q4 เกินคาดเล็กน้อย เก็งปันผล 8.44 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.แลนด์แอนด์เฮาส์ ชี้ SCB ประกาศกำไร 4Q67 ที่ 11,707 ลบ. เพิ่มขึ้น +6.5% YoY  โดยเป็นผลหลักจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมากจาก Gain on investment จากพอร์ตลงทุนที่เพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับรายได้ค่าธรรมเนียมที่ยังคงเติบโตจากรายได้จากการบริหารความมั่งคั่งและธุรกรรมทางการเงิน ขณะที่ควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ดี แม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง และการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (สำรอง ECL) เพิ่มขึ้นก็ตาม           หากเทียบกำไรกับไตรมาสก่อน ยังเพิ่มขึ้น +7% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมากจากเหตุผลข้างต้น และการตั้งสำรอง ECL ที่ลดลงเป็นหลัก           ทั้งปี 67 มีกำไรทั้งสิ้น 43,943 ลบ.ทรงตัว โดย +1% YoY เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิยังคงเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการตั้งสำรอง ECL ที่ลดลงเล็กน้อยเป็นหลัก แต่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยยังปรับตัวลดลงประกอบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ยังคงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย           ยอดเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่  2.4 ล้านล้านบาท ทรงตัวโดยลดลง -1% YTD  โดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ SME และรายย่อยยังคงลดลง แต่สินเชื่อของบริษัทย่อยอย่าง AutoX ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น           ทางด้านคุณภาพสินทรัพย์ %NPL ณ สิ้นปี 67 อยู่ที่ 3.37% ลดลงเล็กน้อยเทียบกับ 3.38% ไตรมาสก่อน และ 3.44% สิ้นปีก่อน  โดยมี coverage ratio ยังสูงอยู่ที่ 158%           เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (งบรวม) ณ สิ้นปี 67 ยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ 18.9% Tier I อยู่ที่ 17.8%           ประกาศเป้าหมายทางการเงินปี 68 คือ 1) ตั้งเป้าสินเชื่อโต 1-3% 2) NIM ที่ 3.6-3.8% 3) รายได้ค่าธรรมเนียมโต 2-4% 4) cost to income ratio ที่ 42-44% 5) credit cost 1.5-1.7% ความเห็น           ผลประกอบการ 4Q67 ออกมาดีกว่าที่คาดเล็กน้อย  โดยกำไรทั้งปี 67 ยังเติบโตจากปีก่อนราว 1%  ราคาเต็มมูลค่า แต่จากที่ SCB ถือเป็นหุ้นธนาคารที่มีอัตราเงินปันผลที่สูงสุดในกลุ่ม คาดงวด 2H67 จ่ายปันผลอีก 8.44 บาท (1H67 จ่าย @2.-) คิดเป็นอัตราปันผลตอบแทนสูงถึง 6.9% จึงแนะนำ ถือ รับปันผล

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.40-34.65 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.40-34.65 บ./ดอลลาร์

หุ้นวิชั่น – กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.65 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากดัชนีเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงและ US treasury yields ที่ปรับลดลงอีกหลังนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า อาจลดดอกเบี้ยได้ภายในครึ่งปีแรกหากเงินเฟ้อยังคงลดลงต่อได้ เลขยอดค้าปลีกสหรัฐออกมาที่ 4%MOM ต่ำกว่าคาดที่ 0.6% จากยอดสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างที่ลดลง เงินเยนแข็งค่าขึ้นต่อ หลังตลาดให้โอกาสที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะขึ้นดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้าเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 84%

เก็งแบงก์ Q4 กำไร โต 11.8% ชู BBL-SCB ปันผลเด่น

เก็งแบงก์ Q4 กำไร โต 11.8% ชู BBL-SCB ปันผลเด่น

          หุ้นวิชั่น- ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่า ในไตรมาส 4/67 ธนาคาร 8 แห่งที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯทำการศึกษา ได้แก่ BBL, KBANK, SCB, KTB, TTB, TISCO, KKP และ CREDIT จะทำกำไรสุทธิรวม 4.85 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% yoy แต่ลดลง 13.2% qoq โดยเชื่อว่ากำไรสุทธิจะลดลง qoq เพราะผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 4/67 ส่วนกำไรสุทธิจะเติบโต yoy มาจากอัตราการสำรองหนี้สูญที่ลดลง           นอกจากนี้ เชื่อว่าในไตรมาส 4/67 กลุ่มธนาคารจะมีสินเชื่อรวมขยายตัว 1.2% qoq แต่ลดลง 0.4% yoy และมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ลดลง 5bp qoq และ 16bp yoy ทั้งนี้คาดว่า KKP, KTB และ CREDIT จะมีกำไรสุทธิเติบโตสูงที่สุด yoy ขณะที่ประมาณการกำไรสุทธิของ KTB, SCB และ KBANK สูงกว่าที่ Bloomberg consensus คาดการณ์ 25.7%, 7.8% และ 5.0% ตามลำดับ ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI คาดว่า กลุ่มธนาคารจะมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโต 14.8% yoy แต่ลดลง 1.3% qoq ในไตรมาส 4/67 โดยรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจะยังเติบโตแข็งแกร่ง yoy จากการบันทึกกำไรจากการลงทุนและกำไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงินผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) แต่จะเติบโตติดลบ qoq เนื่องจาก รายได้ค่าธรรมเนียมจากการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และบริการกองทุนรวมจะลดลง เพราะตลาดหุ้นไทยมีปริมาณการซื้อขายและมูลค่าการซื้อขายต่อวันลดลง           ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ยังคาดว่า กลุ่มธนาคารจะมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้เพิ่มขึ้นจาก 44.6% ในไตรมาส 3/67 เป็น 47.1% ในไตรมาส 4/67 แต่ยังต่ำกว่า 48.8% ในไตรมาส 4/66 เนื่องจากธนาคารมีมาตรการคุมค่าใช้จ่ายและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโตแข็งแกร่ง ดังนั้น กำไรก่อนตั้งสำรองของกลุ่มธนาคารจึงน่าจะเติบโต 1.9% yoy แต่ลดลง 6.1% qoq ในไตรมาส 4/67 โดยตั้งสมมุติฐานอัตราการสำรองหนี้สูญของกลุ่มธนาคารในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 159bp หรือเพิ่มขึ้นจาก 150bp ในไตรมาส 3/67 แต่ต่ำกว่า 181bp ในไตรมาส 4/66 ทั้งนี้ KTB, KBANK, TTB และ CREDIT มีอัตราการสำรองหนี้สูญสูงในไตรมาส 4/67 เพราะมีนโยบายการตั้งสำรองที่รอบคอบและมีการตั้งสำรองส่วนเพิ่มแบบ Management Overlay ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ยังแนะนำ “คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral)” ในกลุ่มธนาคาร เพราะคาดว่ากำไรก่อนตั้งสำ รอง (PPOP) จะเติบโตลดลงมาที่ 1.3-2.0% และมี ROE ที่ 9.0% ในปี 68-69 โดยเลือก BBL ราคาเป้าหมาย 195 บาท และ SCB ราคาเป้าหมาย 130 บาทเป็นหุ้น Top pick เพราะมองว่ายังมีการประเมินมูลค่าน่าสนใจที่ P/BV 0.49 เท่า และ 0.81 เท่าในปี 68 รวมทั้งมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงที่ 4.6% และ 9.1% ในปี 68 ตามลำดับ ขณะที่เชื่อว่าในไตรมาส 4/67 กลุ่มธนาคารยังมีกำไรอ่อนตัว อีกทั้งมีสินเชื่อขยายตัวช้าและ NIM อยู่ภายใต้แรงกดดัน จึงมองว่ากลุ่มธนาคารขาดปัจจัยบวกช่วยหนุน แต่ยังจ่ายเงินปันผลดี อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารมี downside risk หาก NPL เพิ่มสูงขึ้นและธปท.ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ส่วน upside risk จะมาจากการที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไทยมากขึ้น จะช่วยกระตุ้นการบริโภค, ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ลดลงและรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

SCB ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34. 55-34.75 บาท/ดอลลาร์

SCB ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34. 55-34.75 บาท/ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34. 55-34.75 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอ่อนค่าขึ้นจากแรงกดดันด้านแข็งค่าของเงินดอลลาร์หลังมีรายงานข่าวว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมประกาศใช้แผนฉุกเฉินเพื่อขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศ ส่งผลให้ US Treasury yields สูงขึ้น ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ (ADP Employment) ออกมาที่ 122,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 140,000 ตำแหน่ง สะท้อนการจ้างงานที่ชะลอลง ทางการจีนประกาศมาตรการกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน โดยการสนับสนุนเงินเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค และให้เงินเพื่ออัพเกรดเครื่องมือโรงงาน

กลุ่มธนาคารได้อานิสงส์มาตรการรัฐ โบรกแนะ KBANK - SCB เป็น Top Pick

กลุ่มธนาคารได้อานิสงส์มาตรการรัฐ โบรกแนะ KBANK - SCB เป็น Top Pick

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.หยวนต้า ชี้ BANKING SECTOR กำไรชะลอลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล แต่ยังโต YoY คาดกำไรสุทธิของกลุ่มใน 4Q24 โต 12.9% YoY แต่ลดลง 12% QoQ จากค่าใช้จ่ายที่เร่งตัวขึ้น เราคาดหุ้นกลุ่มธนาคารภายใต้ Coverage ของเราทั้ง 7 แห่ง จะมีกำไรสุทธิรวมใน 4Q24 จำนวน 48,182 ลบ. โต 12.9% YoY จากฐานที่ต่ำในปีก่อน เพราะมีการตั้งสำรองเพื่อรองรับความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทใหญ่ในกลุ่มรับเหมา ขณะที่ปีนี้ยังไม่มีสัญญาณบริษัทใหญ่ที่มีปัญหาเพิ่มเติม แต่คาดกำไรสุทธิกลุ่มจะลดลง 12% QoQ เพราะเป็นช่วงที่หลายธนาคารจะตั้งค่าใช้จ่ายลงทุนพัฒนาระบบงานและเทคโนโลยีจำนวนมาก ทำให้ Cost to Income Ratio เร่งตัวขึ้นสูงกว่าไตรมาสอื่น รวมทั้งมีผลลบจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่คาดจะลดลง เพราะมีผลกระทบเชิงลบจาก NIM ที่ชะลอตัวหลังมีการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2024 อย่างไรก็ดี เราคาดปัจจัยลบดังกล่าวบางส่วนจะถูกชดเชยด้วย รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เร่งตัวขึ้น หนุนจากรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจนายหน้าประกัน, ธุรกิจบริหารจัดการกองทุน และธุรกิจ Wealth Management ที่ขยายตัวได้ดี และ คาดการตั้งสำรองโดยรวมลดลงราว 3.2% QoQ เพราะหลายธนาคารเร่งตั้งสำรองไปมากแล้ว และคาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการรัฐฯ ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีแรงขับเคลื่อนมากขึ้น ธนาคารใหญ่ที่คาดกำไรสุทธิโดดเด่นคือ SCB และ KTB            ในส่วนของธนาคารใหญ่ คาดกำไรสุทธิรวมใน 4Q24 ที่ 40,514 ลบ. โต 14.6% YoY แต่ลดลง 12.9% QoQ โดยธนาคารใหญ่ที่ผลดำเนินงานแข็งแรงคือ SCB (คาดกำไรสุทธิ 11,099 ลบ. +0.9% YoY, +1.4% QoQ) เนื่องจากคาดจะได้อานิสงส์จากธุรกิจ Gen3 ที่มีผลขาดทุนลดลง หลังขายหุ้นบริษัท Purple Venture (ผู้ให้บริการแอป Robinhood) ให้กับกลุ่มยิบ อิน ซอยไปแล้ว รวมทั้งไม่มีค่าใช้จ่ายด้อยค่าเหมือนกับ 3Q24 (บันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าราว 731 ลบ.) ทำให้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานไม่ได้เร่งตัวขึ้นมาก QoQ เหมือนกับธนาคารอื่น ขณะที่การตั้งสำรองคาดลดลง 14% QoQ เพราะคุณภาพสินทรัพย์ของ CardX เริ่มฟื้นตัว รองลงมาคือ KTB (คาดกำไรสุทธิ 10,410 ลบ. +70.4% YoY, -6.3% QoQ) โตเด่น YoY จากฐานต่ำในปีก่อน ส่วน QoQ คาดคุณภาพสินทรัพย์แข็งแรงขึ้น แต่รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิจะปรับลง เพราะมีสินเชื่อกลุ่มงานภาครัฐฯ เพิ่มขึ้นมามาก            ส่วน KBANK (คาดกำไรสุทธิ 9,862 ลบ. +5.0% YoY, -17.6% QoQ) และ BBL (คาดกำไรสุทธิ 9,143 ลบ. +3.2% YoY, -26.7% QoQ) ถูกกดดันจาก NIM ที่ลดลง หลังเน้นขยายสินเชื่อในกลุ่มบริษัทใหญ่มากขึ้น และค่าใช้จ่ายดำเนินงานเร่งตัวขึ้นสูงในช่วงปลายปี แต่คาดการตั้งสำรองจะเริ่มทยอยปรับลง เพราะควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี ธนาคารกลาง/เล็กถูกกดดันจากสินเชื่อเช่าซื้อรถมือหนึ่งที่ชะลอตัวตามยอดขายรถในประเทศ            สำหรับธนาคารขนาดกลาง/เล็ก คาดกำไรสุทธิรวม 7,667 ลบ. โต 4.8% YoY แต่ลดลง 7.0% QoQ ภาพรวมยังมีแรงกดดันจากสินเชื่อรวมที่ชะลอตัวสอดรับกับยอดขายยานยนต์ในประเทศที่แย่ลง และการเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ ทำให้คาด TISCO (คาดกำไรสุทธิ 1,672 ลบ. -6.1% YoY, -2.4% QoQ), TTB (คาดกำไรสุทธิ 4,918 ลบ. +1.1% YoY, -6.0% QoQ) และ KKP (คาดกำไรสุทธิ 1,077 ลบ. +60.8% YoY, -17.5% QoQ)            แนวโน้มการเติบโตของกำไรในปี 2568 จะเริ่มชะลอตัวมากขึ้นจาก NIM ที่ชะลอตัวลง เรามีการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของ SCB ในปี 2024/25 ลง 2.6%/1.6% เพื่อเพิ่มความระมัดระวังในประเด็นการตั้งสำรองสำหรับกลุ่มสินเชื่อบ้านที่มีความเสี่ยงมากขึ้น และปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิของ TTB ขึ้น 3.3% ในปี 2024 เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ควบคุมได้ดีกว่าคาด สำหรับแนวโน้มปี 2025 เรามองว่าการเติบโตของกลุ่มจะค่อนข้างจำกัด โดยประเมินว่ากำไรรวมจะอยู่ที่ 221,245 ลบ. โต 4.7% YoY เพราะมีแรงกดดันจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่จะทยอยปรับตัวลงรับผลของการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ และเป็นผลจากมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่จะมีการลดดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้บางส่วน แลกกับการได้รับส่วนลดอัตราเงินนำส่ง FIDF และโอกาสในการลดการตั้งสำรองลงตามการชำระเงินของลูกหนี้ภายใต้มาตรการที่ดีขึ้น            คงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” แนะนำ KBANK และ SCB เป็น Top Pick ของกลุ่ม แม้เราคาดการเติบโตของกำไรจะจำกัดมากขึ้นตามทิศทางของดอกเบี้ยนโยบาย แต่ผลดำเนินงานยังสามารถโตได้จากการลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานและการทยอยลดการตั้งสำรองลง อีกทั้งเป็นกลุ่มที่มีความโดดเด่นในเรื่องของเงินปันผล (คาดการณ์เงินปันผล 2H24 ในตารางที่ 3) เราจึงคงคำแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารที่ “เท่ากับตลาด” โดยหุ้น Top Pick เราแนะนำ KBANK (TP@175) แม้กำไรสุทธิ 4Q24 จะไม่เด่น แต่คาดจะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในแง่ของคุณภาพสินทรัพย์ ทำให้มีโอกาสที่บริษัทจะลดการตั้งสำรองลงมากกว่าที่ประเมินไว้ อีกทั้งคาดจะเป็นธนาคารเดียวที่ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากมาตรฐานบัญชี TFRS17 ที่จะช่วยลดผลขาดทุนจากธุรกิจประกันชีวิต (KBANK ถือหุ้นใน MTL 51%) นอกจากนี้ยังแนะนำ SCB (TP@130) สำหรับเก็งผลดำเนินงาน 4Q24 ที่คาดจะออกมาแข็งแรงกว่าธนาคารอื่น และมีจุดเด่นที่ปันผล 2H24 ที่คาดจะจ่ายหุ้นละ 7 บาท คิดเป็น Div. Yield 5.9%

SCB-BBL เด่น รับ กนง. คง ดอกเบี้ย

SCB-BBL เด่น รับ กนง. คง ดอกเบี้ย

          บล.หยวนต้า ชี้ กนง. คงดอกเบี้ย 2.25% ตามคาด หลังเศรษฐกิจยังขยายตัวจากภาคท่องเที่ยวและบริการ พร้อมส่งสัญญาณเฝ้าระวังความเสี่ยงสินเชื่อ SMEs ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะเก็บหุ้นกลุ่ม Domestic Play เด่น SCB, KBANK, BBL, CPALL และ CRC           บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.25% หลังจาก ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในครั้งที่ผ่านมา โดยการคง อัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้เนื่องจากเงินเฟ้อที่ยังสามารถเติบโต ในกรอบเป้าหมาย และเศรษฐกิจยังขยายตัว โดยได้รับแรง หนุนจากภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีขึ้น รวมถึง การส่งผ่านต้นทุนในหมวดอาหารอย่างไรก็ดี ยังคงมีความ เสี่ยงด้านสินเชื่อที่ชะลอตัวและความสามารถในการคืนหนี้ที่ ลดลง           โทนจากการแถลงของ กนง. ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจน โดยเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอยู่ในกรอบเป้าหมาย ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และยังไม่มีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ เนื่องจากยังไม่เห็นการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังและติดตามแนวโน้มนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก           นอกจากนี้ยังคงมีความเสี่ยงด้านสินเชื่อที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs อย่างไรก็ดี โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” คาดว่าจะสามารถเข้ามาช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่มีภาระหนี้สูง ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาได้อย่างตรงจุดและส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ           เชิงกลยุทธ์การลงทุน มีมุมมองบวกต่อกลุ่ม Domestic Play เช่น ธนาคาร ค้าปลีก และอาหารและเครื่องดื่ม โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ SCB, KBANK, BBL, TTB, CPALL, CPAXT, BJC, CRC, และ OSP

KSS คาด SET “ช่วงปลายความผันผวน” ต้าน 1415 จุด ชู KTB, SCB, BTS

KSS คาด SET “ช่วงปลายความผันผวน” ต้าน 1415 จุด ชู KTB, SCB, BTS

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “ช่วงปลายความผันผวน” ต้าน 1411/1415 จุด รับ 1380/1363 จุด ดัชนีS&P500 ดิ่ง -2.95% ตอบ รับผลประชุม Fed ที่แม้ปรับลดดอกเบี้ย -25 bps ตามคาด แต่ประเด็นที่ตลาดให้น ้าหนัก คือ Dot Plot ปี2025F ที่คาดปรับลดดอกเบี้ยเหลือ 2 ครั้ง (vs ตลาดคาด 2-3 ครั้ง, เดิม 4 ครั้ง) โดยรวมผลกระทบนโยบาย Trump 2.0 ขณะที่ปรับเพิ่ม GDP ปี2025F สู่ 2.1% (เดิม 2.0%) vs prev. 2.5% หลังประชุม US Bond Yield 10 ปี+12 bps มาที่ 4.51% Dollar Index แข็งค่าสู่ 107.9 จุด ประเมินระยะสั้นท าให้เกิดภาพปรับสถานะ สินทรัพย์เสี่ยงโลกอีกรอบ แต่ประเมินความผันผวนจะอยู่ในช่วงปลาย โดยไทยกดดันจากเงินบาทอ่อนค่าสู่ 34.5 +/- บาท อย่างไรก็ตาม ภาพ หลักปี2025F ที่ Fed ยังมองวงจรดอกเบี้ยเป็นขาลง เศรษฐกิจสหรัฐ Soft Landing vs BOT ที่ยังคงคาดการณ์ GDP ปี2025F เร่งขึ้น โดย มีภายในหนุน เราประเมินความผันผวนระยะสั้นเป็นโอกาสทยอยตั้งรับ หุ้นเด่น คือ กลุ่ม Domestic ที่เกาะไปกับกระแส Yield เร่งขึ้น+เศรษฐกิจ ภายในเด่น อาทิธนาคาร ประกัน ผสาน หุ้น Defensive อาทิสื่อสาร ค้าปลีก (สินค้าจ าเป็น) ร.พ. กลุ่มที่ได้จิตวิทยาบวกเงินบาทอ่อนค่าหนุน วันนี้แนะน ำ KTB, SCB, BTS

SCB FM มองเงินบาทยังผันผวน  คาดแข็งค่าครึ่งหลังปี68

SCB FM มองเงินบาทยังผันผวน คาดแข็งค่าครึ่งหลังปี68

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้จะไม่มากนัก เพราะมองว่าปัจจัย Trump trade ได้ทยอยหมดไปแล้ว สำหรับปี 2025 มองว่าเงินบาทอาจยังอ่อนค่าต่อในช่วงครึ่งแรกของปีเนื่องจาก เศรษฐกิจสหรัฐน่าจะยังแข็งแกร่ง ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปอาจฟื้นช้าทำให้เงินยูโรอ่อน นอกจากนี้ มาตรการ Tariffs จะทำให้การค้าโลกชะลอ กระทบเศรษฐกิจในภูมิภาคทำให้ค่าเงินอ่อน อย่างไรก็ดี SCB FM มองว่าเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 โดยมองว่าการลดดอกเบี้ยของ Fed ราคาน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มลดลง ราคาทองคำที่อาจสูงขึ้น และเงินทุนเคลื่อนย้ายที่อาจไหลกลับเข้า EM ช่วงปลายปี อาจช่วยให้เงินบาทแข็งค่าได้ โดยมองกรอบปลายปีที่ราว 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยไทย SCB FM คาดว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง ในการประชุมแรกเดือน ก.พ. ปีหน้า ตามสถานการณ์สินเชื่อในไทยที่ปรับแย่ลงต่อเนื่อง รวมทั้งเศรษฐกิจไทยที่มีความเสี่ยงด้านลบมากขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0           นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า แม้เงินบาทในเดือนที่ผ่านมาอ่อนค่าเร็วกว่าช่วงหลังเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2016 ที่ Trump ชนะเช่นกัน แต่ SCB FM มองว่าปัจจัยเรื่อง Trump trade ล่าสุดได้จบไปแล้ว ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้จะไม่มากนัก สะท้อนจาก 1) เงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าได้บ้าง หลังเลขเศรษฐกิจไทยออกมาดีกว่าคาด เช่น GDP ไตรมาส 3 และเลขการส่งออก 2) การแต่งตั้ง Scott Bessent เป็น รมว.คลังสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนเชื่อว่านโยบายของ Trump จะไม่แข็งกร้าวมาก Treasury yields จึงปรับลดลงเร็ว และเงินดอลลาร์อ่อนค่า และ 3) ตลาดเริ่มชินกับการประกาศ Tariffs ของ Trump มากขึ้น โดยล่าสุด Trump ประกาศเตรียมขึ้น Tariffs จีน แคนาดา เม็กซิโก และกลุ่ม BRICS ทำให้เงินภูมิภาครวมถึงบาทอ่อนค่า แต่การอ่อนค่ายังน้อยกว่าการประกาศครั้งก่อน ๆ และน้อยกว่าในปี 2017 (Trump 1.0) ด้วยเหตุนี้ จึงมองว่า เงินบาทจะยังผันผวนสูงแต่ไม่อ่อนค่ามาก โดยอาจอยู่ที่กรอบราว 34.00-35.00 ในช่วงที่เหลือของปีนี้           เงินบาทอาจอ่อนค่าต่อช่วงครึ่งแรกของปี 2025 แต่อาจกลับมาแข็งค่าได้ช่วงครึ่งปีหลัง โดยปัจจัยหลักที่จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าต่อได้คือ 1) เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ โดยเฉพาะยุโรป ทำให้เงินดอลลาร์จะยังแข็งค่า และเงินยูโรอาจยังอ่อนค่าต่อได้ 2) การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะกดดันให้เงินภูมิภาคอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยเฉพาะเงินหยวนที่อาจอ่อนค่าเร็วเพราะ Trump อาจใช้ Executive orders เพื่อขึ้น Tariffs ต่อจีนได้เร็ว และ 3) การกีดกันทางการค้าที่น่าจะมีมากขึ้นอาจทำให้การค้าโลกชะลอลง กดดันเศรษฐกิจไทยและคู่ค้าสำคัญ ทำให้เงินบาทอ่อน โดยนายแพททริกมองว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า เงินบาทอาจอ่อนค่าแตะระดับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ สำหรับเงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วงที่เหลือของปี อาจยังไหลออกต่อได้จากความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่มาก และเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งทำให้เงินยังไหลเข้าสหรัฐฯ โดยข้อมูลล่าสุดขี้ว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายกลับไปไหลออกในช่วงไตรมาสที่ 4 ปีนี้ แม้ว่าจะเริ่มไหลเข้าตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ไทยในไตรมาสที่ 3 ก็ตาม           ในระยะยาว มองว่าเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ โดยมองกรอบปลายปีที่ราว 33.50-34.50 ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทอาจเป็นผลจาก 1) การลดดอกเบี้ยของ Fed โดยนายแพททริกมองว่า Fed จะลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปี 2025 ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury yields) ลดลง และดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าได้ 2) รัฐบาลสหรัฐมีแนวโน้มขาดดุลการคลังมากขึ้น จากการลดภาษีและการใช้จ่ายที่มากขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอาจอ่อนค่า 3) เงินทุนเคลื่อนย้ายอาจไหลกลับเข้า EM รวมถึงตลาดเอเชียและไทย 4) ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มลดลงในปี 2025 ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยอาจสูงขึ้น และ 5) ราคาทองคำอาจปรับสูงขึ้นจากแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโลกที่อาจลดลง ซึ่งราคาทองที่สูงขึ้นจะช่วยดันให้เงินบาทแข็งค่าได้           นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในระยะข้างหน้าจะสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค เช่น เงินหยวน และเงินเยน โดยมองว่าเงินหยวนอาจอ่อนค่าต่อในปีหน้า จาก 1) เศรษฐกิจจีนน่าจะชะลอลงต่อ และมาตรการรัฐอาจมีจำกัด 2) ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อ ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยจะยังกว้าง นอกจากนี้ เงินหยวนจะได้รับผลกระทบจากมาตรการ Tariffs มากที่สุด แต่คาดว่า Market reaction อาจน้อยกว่าสมัย Trump 1.0 เนื่องจากนักลงทุนเริ่มเคยชินกับภาษี ทำให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Flight to quality flows) อาจน้อยลง 3) ทางการจีนอาจปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่า เพื่อเป็น Cushion ต่อการส่งออกที่แย่ลง สำหรับมุมมองเงินเยน นายวชิรวัฒน์มองว่า เงินเยนอาจยังเคลื่อนไหว Sideways ในปีนี้ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะยังแข็งแกร่ง ทำให้ดอลลาร์ยังแข็งเทียบกับเยน แต่ในปีหน้าคาดว่า เงินเยนจะทยอยแข็งค่าเทียบต่อดอลลาร์สหรัฐ จากแรงกดดันเงินเฟ้อที่จะยังอยู่สูงตามค่าแรงญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะสามารถขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ ทั้งนี้ ยังต้องจับตาการ Unwind carry trade ที่อาจทำให้เยนแข็งค่าเร็วกว่าคาด           ความผันผวนในระยะต่อไปอาจสูงขึ้น และแนวโน้ม Trade protectionism จากทางสหรัฐฯ อาจทำให้การใช้เงินหยวนกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยเงินทุนเคลื่อนย้ายและเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จะได้รับอิทธิพลจากนโยบายของ Trump ซึ่งมักจะโพสต์ผ่าน Social media จึงมองว่าการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนผ่านการทำธุรกรรม Forward และการหันมาใช้สกุลเงินภูมิภาค เช่น เงินหยวน หรือเงินเยน จะมีความสำคัญมากขึ้น โดยล่าสุดพบว่า สัดส่วนการใช้เงินหยวนผ่านระบบ Swift ปรับเพิ่มขึ้นเร็วในปี 2023 หลังจีนหันมาเน้นการค้าขายในภูมิภาคมากขึ้น และเงินหยวนอ่อนค่าในช่วงดังกล่าวทำให้ผู้ขายได้ประโยชน์มากขึ้น           สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยไทย ตลาดมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยในการประชุมแรกของปีหน้า (เดือนกุมภาพันธ์) และตลาดมองว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในช่วงกลางปี 2025 ทำให้ Terminal rate จะลงไปที่ราว 1.75% อย่างไรก็ดี นายวชิรวัฒน์มองว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง ในการประชุมแรกเดือน ก.พ. ปีหน้า ตามสถานการณ์สินเชื่อที่ปรับแย่ลงต่อเนื่อง รวมทั้งเศรษฐกิจไทยที่มีความเสี่ยงด้านลบมากขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0

SCB รุก “โซลาร์รูฟท็อป”    จับมือ โกดังไฟฟ้าดอทคอม - หัวเว่ย

SCB รุก “โซลาร์รูฟท็อป” จับมือ โกดังไฟฟ้าดอทคอม - หัวเว่ย

          หุ้นวิชั่น - ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่งมั่นสร้างสรรค์วิถีชีวิต “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” ให้คนไทย นำความแข็งแกร่งช่องทาง SCB EASY เชื่อมโอกาสทางธุรกิจกับพันธมิตร มอบความยั่งยืนถึงทุกหลังคาบ้าน จับมือ โกดังไฟฟ้าดอทคอม แพลตฟอร์มอุปกรณ์ไฟฟ้าและโซลาร์ออนไลน์ภายใต้ GUNKUL นำเสนอโซลูชัน “โซลาร์รูฟท็อป” แพ็คเกจติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับที่อยู่อาศัย ชูจุดเด่นด้วยทางเลือกแผงโซลาร์เซลล์คุณภาพสูง มาพร้อมกับอุปกรณ์ Huawei Solar Inverter และบริการติดตั้งครบวงจรจาก GUNKUL เพิ่มโอกาสการเข้าถึงพลังงานสะอาดสำหรับลูกค้าทุกครัวเรือนได้ง่ายๆ แล้ววันนี้ผ่านแอป SCB EASY พิเศษด้วยโปรแกรมการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต SCB และ CardX ดอกเบี้ย 0% 10 เดือน หวังเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านวิถีชีวิตคนไทยสู่ไลฟ์สไตล์ Net Zero โดยมี ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ นางสาวปิติพร พนาภัทร์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Digital Business ธนาคารไทยพาณิชย์ นางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจพลังงานและกลยุทธ์การลงทุน บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) และ นายโลแกน ยู กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพลังงานดิจิทัล บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมประกาศความร่วมมือ           ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารมีความมุ่งมั่นในการเป็น True partner ให้กับลูกค้าตลอดเส้นทางการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการสนับสนุนด้านการเงินยั่งยืน (Sustainable Finance) ที่ครบถ้วนให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมนำศักยภาพทางเทคโนโลยีของธนาคารเข้าขับเคลื่อนความยั่งยืนทุกมิติ นอกจากนี้ ธนาคารยังจะร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ สนับสนุนโครงการความยั่งยืนให้กับลูกค้าของเรา ทั้งนี้ เทรนด์การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดในชีวิตประจำวันกำลังเป็นที่ได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไป ธนาคารจึงต้องการสนับสนุนกลุ่มลูกค้ารายย่อยให้สามารถเข้าถึงทางเลือกการใช้งานพลังงานสะอาดได้อย่างสะดวกสบาย และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินชีวิตประจำวันเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนอีกด้วย จึงได้ร่วมมือกับ กันกุลโกดังไฟฟ้า และ หัวเว่ย เทคโนโลยี่ นำเสนอผลิตภัณฑ์ชุดโซลาร์เซลล์สำหรับที่อยู่อาศัย “โซลาร์รูฟท็อป” ผ่านแอป SCB EASY เพื่อเชิญชวนให้คนไทยร่วมกันขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ สอดคล้องกับเป้าหมายของธนาคารที่มุ่งเป็นธนาคารชั้นนำด้านความยั่งยืน และเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเป้าหมาย Net Zero 2050”           ธนาคารไทยพาณิชย์มุ่งมั่นที่จะนำศักยภาพทางด้านผู้นำดิจิทัลแบงก์สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกความต้องการ ตามกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ด้วยการใช้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นตัวกลางเชื่อมโยงลูกค้าไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ด้วยความแข็งแกร่งของแอป SCB EASY ที่ปัจจุบันครอบคลุมผู้ใช้งานกว่า 18 ล้านราย จึงเป็นช่องทางที่มีศักยภาพในการนำเสนอทางเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนให้กับประชาชนทั่วไป ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงเป็นการสะท้อนความมุ่งมั่นของธนาคารที่จะเป็นพันธมิตรยั่งยืนให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม กลุ่มประชาชนทั่วไปมากขึ้น ช่วยประหยัดค่าไฟ สามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเห็นผล             นางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจพลังงานและกลยุทธ์การลงทุน บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การผนึกกำลังร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ในครั้งนี้ ทาง GUNKUL เชื่อว่าจะสามารถสร้างการเติบโตให้กับตลาดพลังงานสะอาดเนื่องด้วยบทบาทของภาคธนาคารที่เชื่อมโยงกับประชาชนทั่วประเทศผ่านแอป SCB EASY ทางโกดังไฟฟ้าดอทคอมได้คัดสรรโซลูชั่นในการประหยัดค่าไฟพร้อมกับตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อมสำหรับกลุ่มลูกค้าครอบคลุมระดับบ้านเรือนไปจนถึงออฟฟิศขนาดเล็กหรือค่าไฟเริ่มต้นที่ 2,500 บาทต่อเดือน จนถึงค่าไฟที่ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ภายใต้แนวคิด ‘Add Energy to Cart’ ทาง GUNKUL ให้ความสำคัญเสมอมากับอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานและบริการที่มีคุณภาพ ซึ่งนำมาสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซโกดังไฟฟ้าดอทคอมที่มีจุดเด่นด้านตัวเลือกสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำในราคาจับต้องได้และประสบการณ์ช้อปปิ้งที่สะดวกสบายเพื่อเพิ่มทางเลือกแก่ผู้ใช้พลังงานในทุกบทบาท ซึ่งทางแพลตฟอร์มก็ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากหัวเว่ยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดด้านอุปกรณ์ระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ โดยทั้งหมดนี้นอกเหนือจากจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน โซลาร์รูฟท็อปยังสามารถเป็นโอกาสในอนาคตที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า อาทิ คาร์บอนเครดิต และยกระดับศักยภาพทางการแข่งขันให้กับประเทศต่อไป           นายโลแกน ยู กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพลังงานดิจิทัล บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการสร้างอนาคตพลังงานสะอาด เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนและคุณภาพชีวิตของคนไทยในทุกภาคส่วน เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสเข้าถึงพลังงานสะอาดที่ได้จากการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ในการร่วมมือครั้งนี้ เรามีเป้าหมายที่จะผลักดันการใช้งานระบบโซลาร์เซลล์ในประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้อย่างง่ายดาย ด้วยการใช้งานผ่านแอป SCB EASY จากทางธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมรับการดูแลจากบริษัทชั้นนำอย่าง กันกุล โกดังไฟฟ้าแพลตฟอร์ม ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของระบบพลังงานที่เราได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ระบบโซลาร์รูฟท็อปของหัวเว่ย นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การใช้งานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มีประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เจ้าของบ้านได้มากขึ้น พลังงานที่ได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสู่การประหยัดค่าไฟฟ้า ลดปัญหาค่าไฟแพงในปัจจุบัน คืนทุนเร็วในระยะ 5-7 ปี และหากไฟเหลือ สามารถทำกำไรจากการขายไฟฟ้าคืนอย่างน้อยอีก 20-25 ปี” ในแพ็คเกจ “โซลาร์รูฟท็อป” ที่นำเสนอบนแอป SCB EASY นั้น เป็นชุดอุปกรณ์เพื่อการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์คุณภาพสูงจาก Gunkul และหัวเว่ย ประกอบด้วย 1)   แผงโซลาร์เซลล์ (Solar panel) โกดังไฟฟ้าดอทคอมมุ่งเน้นในการส่งมอบแผงโซลาร์เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และมีความปลอดภัย อายุการใช้งานกว่า 25 ปี ทนทานแข็งแรงจากแบรนด์ชั้นนำ Tier 1 ที่ได้รับการยอมรับโดยผู้ติดตั้งและบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก โดยนำเสนอตัวเลือกกำลังผลิตที่หลากหลายตอบโจทย์หน้างานหลังคาทุกรูปแบบ นอกจากนั้นทางแพลตฟอร์มยังมีบริการขนส่งที่ช่วยดูแลให้สินค้าไปถึงมือผู้รับในคุณภาพที่ดีที่สุด 2)   อุปกรณ์แปลงไฟ (Huawei Solar Inverter) อุปกรณ์แปลงไฟในระบบโซลาร์เซลล์ของหัวเว่ย ได้รับการออกแบบให้มีความทนทานและประสิทธิภาพสูง ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย สามารถตรวจสอบการทำงานผ่านแอปพลิเคชัน ช่วยให้ผู้ใช้งานทราบสถานะการทำงานของระบบ รวมถึงดูข้อมูลการประหยัดพลังงานได้ทุกที่ทุกเวลา มีความปลอดภัยสูง มีกำลังไฟหลากหลายเหมาะสมตามความต้องการของแต่ละครัวเรือน 3)         แบตเตอรี่เก็บไฟฟ้า (Huawei Solar Battery) แบตเตอรี่ของหัวเว่ยยังมีระบบความปลอดภัยสูงถึง 5 ขั้น อาทิเช่น เซลล์แบตเตอรี่ชั้นนำ ระบบการป้องกันภายในตัวแบตเตอรี่ และ IP66 ที่กันน้ำกันฝน และสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า 15 ปี โดยมีระบบการบริหารจัดการอัจฉริยะที่สามารถนำพลังงานสะอาดไปใช้ในบ้านเรือนและชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย 4)   อุปกรณ์เพิ่มประสิทธิภาพ (Huawei Optimizer) ที่ช่วยออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงาน แม้ในสภาพที่มีเงาหรือฝุ่น นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยขั้นสูงและการติดตามการทำงานแบบเรียลไทม์ผ่านแอป ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา พร้อมยืดอายุการใช้งานของระบบ 5)   บริการติดตั้งและบริการหลังการขาย "โซลาร์รูปท็อป" ทุกชุดที่ซื้อผ่าน SCB EASY จะได้รับบริการโดย ทีมงานผู้เชี่ยวชาญ วิศวกร และ ช่างมากประสบการณ์ภายใต้การกำกับดูแลจาก Gunkul พร้อมการรับประกัน การติดตั้ง 1 ปี  ล้างแผง 1 ครั้ง  และรับประกันสินค้าสูงสุด 30 ปี และบริการหลังการขายและให้คำปรึกษาโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ 6)         ผ่อนสบาย 0% พิเศษด้วยโปรแกรมการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต SCB และ CardX ดอกเบี้ย 0% 10 เดือน*

SCB ชูยิลด์ปันผล 9.6-10.3% โบรกเคาะเป้า130บาท

SCB ชูยิลด์ปันผล 9.6-10.3% โบรกเคาะเป้า130บาท

หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ โดยเชื่อว่า SCB จะระมัดระวังกับการกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 68 เนื่องจากนักเศรษฐศาสตร์ของ CGSI คาดการณ์ว่า GDP จะขยายตัวเพียง 3% และปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงจะยังฉุดยอดสินเชื่อใหม่ของธุรกิจสินเชื่อรายย่อย อย่างไรก็ตาม มองว่า SCB น่าจะลดค่าใช้จ่ายปีละ 2 พันล้านบาทหลังขายเงินลงทุนในบริษัทเพอร์เพิล เวนเจอร์ส ณ สิ้นไตรมาส 3/67 ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกหนุนการเติบโตของกำไรปี 68 ขณะที่ SCB กล่าวระหว่างประชุมนักวิเคราะห์ว่า จะยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อรายย่อย ซึ่งจะทำให้อัตราการสำรองหนี้สูญลดลงในปี 68-69 ในงวด 9 เดือนแรกของปี 67 SCB ใช้เกณฑ์ที่เข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกันของบริษัท คาร์ด เอกซ์ (CardX, Not listed) ส่งผลให้พอร์ตสินเชื่อของ CardX ในไตรมาส 3/67 ลดลง 15.1% yoy และลดลง 14.3% จากสิ้นปี 66 ซึ่งช่วยยืนยันมุมมองของฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ที่เชื่อว่าการขยายธุรกิจสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันในขณะที่หนี้ครัวเรือนสูง มีความเสี่ยงสูงเกินไป   อย่างไรก็ตาม SCB ยังเดินหน้าขยายพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่อยู่ภายใต้บริษัทออโต้ เอกซ์(AutoX, Not listed) ทำให้สินเชื่อกลุ่มนี้ในไตรมาส 3/67 เติบโตสูงถึง 97.3% yoy และเพิ่มขึ้น 53.4% จากสิ้นปี 66 นอกจากนี้ ยังขยายสินเชื่อดิจิทัลที่อยู่ภายใต้บริษัทอื่นในเครือ ทั้งนี้สินเชื่อดิจิทัลมีสัดส่วน 1.2% ของยอดสินเชื่อรวมในไตรมาส 3/67 ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ปรับประมาณการ EPS ในปี 67-69 ขึ้น 1.8-10.8% เพราะคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ของ SCB จะเพิ่มขึ้น 5-21bp เป็น 3.98-4.03% ขณะที่ปรับสมมติฐานอัตราการสำรองหนี้สูญลงมาอยู่ที่ 178- 188bp ในปี 67-69 เนื่องจาก SCB เพิ่มความเข้มงวดเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อและตัดหนี้สูญอย่างต่อเนื่องช่วง ไตรมาส 4/66-ไตรมาส 3/67 นอกจากนี้ ยังปรับลดอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จาก 42.1-42.3% เป็น 40.6- 41.1% ในปี 68-69 สะท้อนการขายเงินลงทุนในบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส ซึ่งจะส่งผลดีสุทธิในรูปของค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่ลดลง ดังนั้น หากอิงตามประมาณการใหม่ SCB จะมี ROE เพิ่มขึ้น จาก 8.9% ในปี 67 เป็น 9.4-9.9% ในปี 68-69 ขณะที่ยังคาดว่า SCB จะมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงที่ 80% ในปี 67-69 ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ปรับราคาเป้าหมายของ SCB เป็น 130 บาท จาก 111 บาท ซึ่งจะเท่ากับ P/BV 0.88 เท่าในปี 68 ทั้งนี้เป้า P/BV เพิ่มสูงขึ้นหลังจากปรับเพิ่มประมาณการกำไรในปี 68-69 นอกจากนี้ยังปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” เพราะมองว่า EPS น่าจะเติบโตดีในอัตรา 7.3-7.4% ในปี 68-69 และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังน่าสนใจที่ 9.6-10.3% ต่อปี อย่างไรก็ตาม SCB จะมี downside risk หาก NPL พุ่งสูงขึ้นจากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย, สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกัน รวมถึงการที่รายได้ค่าธรรมเนียมต่ำกว่าคาด ส่วนปัจจัยบวกคือความสำ เร็จของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่มุ่งเป้าไปยังกลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย, สินเชื่อรถ และมาตรการลดค่าใช้จ่ายของ SCB

ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่ง Net Zero  ร่วม รพ.พระรามเก้าจัดเงินฝากยั่งยืน

ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่ง Net Zero ร่วม รพ.พระรามเก้าจัดเงินฝากยั่งยืน

หุ้นวิชั่น - ธนาคารไทยพาณิชย์ และ โรงพยาบาลพระรามเก้า ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืน ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่เข้าร่วมโครงการ “เงินฝากเพื่อความยั่งยืน” (Sustainability Deposit) เพื่อตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050             นายรังสรรค์ องค์สรณะคม รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Corporate Banking 3 ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เงินฝากเพื่อความยั่งยืน เป็นบัญชีเงินฝากประจำหลากหลายสกุล เช่น เงินไทยบาท, เงินสหรัฐดอลลาร์ และเงินยูโร ซึ่งเป็นหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ธนาคารจะนำไปสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่มีการลงทุนเพื่อลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของธนาคารไทยพาณิชย์ในการเป็นผู้นำด้านการให้สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทย ด้วยเป้าหมายสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน 1.5 แสนล้านในปี 2025 สอดรับกับพันธกิจในการเป็น Net Zero ในปี 2050 โดยมีความพร้อมในการเป็นพันธมิตรที่สนับสนุนลูกค้าทุกกลุ่มไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน             นพ.เสถียร ภู่ประเสริฐ กรรมการผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการผนึกกำลังเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน โดยโรงพยาบาลพระรามเก้า ได้มุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานของธรรมาภิบาล มีความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม            โดยการสนับสนุนการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financing) ในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในด้านสุขภาพ การเงิน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับกรอบนโยบายการในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีความรับผิดชอบต่อสังคม สะท้อนให้เห็นว่า นอกจากการมุ่งมั่นยกระดับการให้บริการที่มีประสิทธิภาพแล้ว โรงพยาบาลพระรามเก้ายังมุ่งให้ความสำคัญต่อความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สังคม และสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย            ความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลพระรามเก้า และ ธนาคารไทยพาณิชย์ ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการผสานพลังระหว่างองค์กรธุรกิจและสถาบันการเงินในการสนับสนุนความยั่งยืนระยะยาวให้กับประเทศไทย โดยโรงพยาบาลจะได้รับข้อมูลรายงานประจำปีเกี่ยวกับโครงการเหล่านี้             ทั้งนี้ โรงพยาบาลพระรามเก้า มุ่งหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว ตามแนวทาง ESG คือ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และหลักธรรมาภิบาล (Governance) ผ่านกระบวนการดำเนินธุรกิจในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสีย

SCBX ตั้ง PointX เริ่มลุยบริการ Q1/68

SCBX ตั้ง PointX เริ่มลุยบริการ Q1/68

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (“SCBX”) ขอเรียนว่า SCBX ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยในการจัดตั้งบริษัท พอยท์เอกซ์ จำกัด (PointX Co., Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยรายใหม่ในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน ที่ SCBX ถือหุ้นร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยบริษัท พอยท์เอกซ์ จำกัด ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแล้ว ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาทเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 และมีแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 700 ล้านบาท ภายในไตรมาส 1 ของปี 2568 บริษัท พอยท์เอกซ์ จำกัด (“บริษัท”) ประกอบธุรกิจเพื่อให้บริการแลกคะแนนสะสม (Point Redemption) และบริการพัฒนาและดูแลระบบ Loyalty Program แก่บริษัทต่าง ๆ ในกลุ่มธุรกิจการเงินของ SCBX และบริษัทพันธมิตรตามที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย โดยบริษัทคาดว่าจะเริ่มให้บริการในไตรมาส 1 ของปี 2568 เป็นต้นไป

ไทยพาณิชย์ เพิ่มเอกสิทธิ์การเงิน ผนึก ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด

ไทยพาณิชย์ เพิ่มเอกสิทธิ์การเงิน ผนึก ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด

          หุ้นวิชั่น – ธนาคารไทยพาณิชย์ ตอกย้ำกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch มุ่งสู่การเป็นดิจิทัลแบงก์ที่เป็นอันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง พร้อมมอบประสบการณ์การให้บริการที่เข้าถึงใจ เข้าถึงคุณ จับมือ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ในฐานะผู้ให้บริการเอกสิทธิ์ทางด้านวีซ่าพำนักระยะยาว ภายใต้การกำกับดูแลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภายใต้แนวคิด “Enhance Your Financial Experience” มอบเอกสิทธิ์ด้านการบริหารความมั่งคั่งเหนือระดับให้แก่สมาชิกไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ด้วยประสบการณ์การเงินการลงทุนแบบครบวงจรแก่กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่มีศักยภาพที่เข้ามาพำนักในประเทศไทย โดยมี นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ และนายมนาเทศ อันนวัฒน์ เพรสซิเดนท์ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ร่วมลงนามความร่วมมือ เมื่อเร็วๆ นี้            นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ภายใต้กลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ธนาคารให้ความสำคัญกับการนำขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมายกระดับประสบการณ์การให้บริการที่เข้าใจและรู้ใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นดิจิทัลแบงก์ที่เป็นอันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง ธนาคารไทยพาณิชย์ จึงได้ร่วมมือกับ ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ภายใต้แนวคิด “Enhance Your Financial Experience” มอบเอกสิทธิ์ด้านการเงิน การลงทุนและบริการเหนือระดับที่คัดสรรให้แก่สมาชิกไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ด้วยผลิตภัณฑ์และโซลูชันทางการเงินการลงทุนแบบครบวงจร อาทิ สนับสนุนเรื่องการเปิดบัญชีเงินฝาก การทำธุรกรรมทางการเงินผ่านแอป SCB EASY พร้อมทีมที่ปรึกษาด้านการเงินการลงทุนส่วนบุคคลระดับมืออาชีพ (Relationship Manager) ที่พร้อมดูแลลูกค้าคนสำคัญอย่างใกล้ชิด ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มชาวต่างชาติที่มีศักยภาพที่เข้ามาพำนักในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้อย่างตรงใจ ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการผสานความแข็งแกร่งของทั้งสององค์กรเข้าไว้ด้วยกัน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับบริการทางการเงินการลงทุนที่มีคุณภาพสูงสุดสำหรับสมาชิก พร้อมหวังเป็นส่วนหนึ่งในการดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน สอดรับมาตรการของรัฐบาลในการดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค”           นายมนาเทศ อันนวัฒน์ เพรสซิเดนท์ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด กล่าวว่า “บริษัทฯ ได้ผนึกกำลัง ธนาคารไทยพาณิชย์ พันธมิตรทางด้าน Wealth และหนึ่งในผู้นำด้านสถาบันการเงินของไทย เพื่อตอบโจทย์ตามความต้องการของสมาชิกในการทำธุรกรรมทางการเงินและการลงทุนให้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น พร้อมตอกย้ำความแข็งแกร่งในการดำเนินงานของไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ในฐานะผู้ให้บริการเอกสิทธิ์ทางด้านวีซ่าพำนักระยะยาว มุ่งมั่นดำเนินการนำเสนอบัตรสมาชิกพิเศษไทยแลนด์ พริวิเลจ ที่มาพร้อมกับการบริการพิเศษ ณ สนามบิน และสิทธิประโยชน์ที่หลากหลายครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ให้กับลูกค้าสมาชิกชาวต่างชาติที่พำนักระยะยาวและใช้ชีวิตในประเทศไทยภายใต้แนวคิด “Make Thailand Your Home”

KSS คาด SET วันนี้ “แกว่งขึ้น” ส่องต้าน 1470 จุด AOT, SCB, WHA เด่น

KSS คาด SET วันนี้ “แกว่งขึ้น” ส่องต้าน 1470 จุด AOT, SCB, WHA เด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “แกว่งขึ้น” ต้าน 1463/1470 จุด รับ 1442/1436 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดีดสั้นๆ ดัชนีS&P500 ปิด +0.39%           กลุ่มพลังงานขยับขึ้นนำตลาด ราคาน้ำมันดีดเฉลี่ย 3.18% รับบ่อผลิตน้ำมันนอร์เวย์ Johan Sverdrup หยุดผลิต น้ำมัน (กำลังผลิต 7.5 แสนบาร์เรลต่อวัน) และจิตวิทยาลบสถานการณ์ยูเครน - รัสเซีย กลับมาตึงขึ้น ภาพใหญ่ US Bond Yield 10 ปีติดแนวต้าน 4.5% และเริ่มนิ่งรอติดตามรายงานเศรษฐกิจเพิ่มเติม คลายแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น ผสานภาพบวกพัฒนาการเศรษฐกิจภายใน ทั้ง GDP 3Q24 เติบโต 3%y-y ดีกว่าตลาดคาด และมีสัญญาณเร่งต่อทั้งการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐ+ท่องเที่ยวที่ยังน่าจะขยายตัวสูงต่อเนื่องในระดับ 20%y-y +/-           ขณะที่วันนี้น่าจะมีความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจเสริม บวกต่อค่าเงินบาทเช้านี้แกว่งแข็งค่า 34.6 +/- บาท หนุน SET แกว่งขึ้น หุ้นนำ คือ Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว ธนาคาร เช่าซื้อ นิคม) กลุ่ม Yield นิ่ง+เงินบาทแข็ง (โรงไฟฟ้า) กลุ่มน้ำมันดีดแรงหนุนฝั่งพลังงานต้นน้ำ และปิโตรเคมี Spread สัปดาห์ล่าสุดเด่น +6-10% w-w วันนี้แนะ AOT, SCB, WHA

KSS คาด SET สร้างฐาน ชี้ต้าน 1463 จุด ค้าปลีก ท่องเที่ยว แบงก์ เช่าซื้อเด่น

KSS คาด SET สร้างฐาน ชี้ต้าน 1463 จุด ค้าปลีก ท่องเที่ยว แบงก์ เช่าซื้อเด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “แกว่งสร้างฐาน” ต้าน 1458/1463 จุด รับ 1443/1440 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯแกว่งในกรอบ ดัชนีS&P500 ปิดทรง แม้เงินเฟ้อ CPI ต.ค. 24 ตามตลาดคาด +2.6%y-y, 0.2%m-m และตลาดส่วนใหญ่ยังเชื่อภาพ Fed จะปรับลดดอกเบี้ย ธ.ค. 24 แต่เป็นที่น่าสังเกต US Bond Yield ปรับลงเฉพาะ 2 ปี ส่วน 10 ปีปรับขึ้น บ่งชี้ตลาดยังความกังวลต่อความเสี่ยงผลกระทบนโยบาย ประธานาธิบดี Trump ต่อเงินเฟ้อเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าเช้านี้แตะ 34.9 บาท มองจิตวิทยาลบต่อ SET แต่ภายในกำไร 3Q24 ยังมีพัฒนาการ หลังรายงานเพิ่มเป็น 415 บริษัท ระดับกำไรต่ำกว่าคาดทรงตัว -19.2% (vs วานนี้ -19%) โดยมีกำไรกลุ่ม Domestic เด่นกลบฝั่ง Global พลังงาน+ชิ้นส่วนที่ต่ำคาด กอปรกับ สัญญาณชี้นำระยะถัดไปที่เป็นบวก อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก ต.ค. 24 สูงสุด ในรอบเกือบ 1ปี , กระทรวงการคลังยืนยันพิจารณามาตรการกระตุ้นบริโภค หากการฟื้นตัวมีสัญญาณสะดุด มอง SET ประคองได้ หุ้นเด่น คือ หุ้น Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว ธนาคาร เช่าซื้อ) หุ้น China Plays (เก็งรายงานเศรษฐกิจพรุ่งนี้คาดเริ่มเห็นพัฒนาการบวก) และหุ้นเงินบาทอ่อนค่าหนุน (อาหาร, ชิ้นส่วน) วันนี้แนะ CPALL, IVL, SCB

SCB คุณภาพสินทรัพย์แกร่ง หัวหอกหุ้นเด่นกลุ่มธนาคาร

SCB คุณภาพสินทรัพย์แกร่ง หัวหอกหุ้นเด่นกลุ่มธนาคาร

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ โดยบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (KKPS) ระบุว่า บริษัท เอสซีบี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ยังคงมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและต้นทุนที่ต่ำกว่าคาด KKPS จึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2024 ขึ้น 3% แต่ได้มีการปรับลดประมาณการกำไรลงเล็กน้อย 1% และ 2% ตามลำดับสำหรับปี 2025 และ 2026 จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยยังคงแนะนำ SCB เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มธนาคาร เนื่องจากมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรในปี 2025 และมีอัตราเงินปันผลที่น่าจับตามองอยู่ที่ราว 9%           นอกจากนี้ อัตราการเกิดหนี้เสียใหม่ (NPL formation) ของ SCB ปรับตัวดีขึ้น ลดลงจาก 264 bps ในไตรมาส 2 เหลือ 242 bps ในไตรมาส 3 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยแปดไตรมาสที่ผ่านมา โดยหลักมาจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อเช่าซื้อ ขณะเดียวกันต้นทุนทางด้านเครดิตของสินเชื่อบุคคล (Gen-2) ก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 10.7% ในไตรมาส 2 เหลือ 8.5% ในไตรมาส 3 จากกลยุทธ์การลดความเสี่ยงของ Card X และการปรับปรุงกระบวนการในการติดตามหนี้ ทำให้คุณภาพสินเชื่อที่อยู่อาศัยบางส่วนกลับมาดีขึ้นจาก stage 3 เป็น stage 2 อีกครั้ง           แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ถึงการลดดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปี 2025 แต่ KKPS ยังคงคาดการณ์ผลกำไรของ SCB ที่ 41.8 พันล้านบาทในปี 2025 ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากการขายธุรกิจ Purple Ventures (Robinhood) ซึ่งจะช่วยลดการขาดทุนต่อปีราว 2 พันล้านบาท ขณะเดียวกันการลดค่าใช้จ่ายด้านเครดิตลง 10 bps มาอยู่ที่ 170 bps จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้ คาดว่า SCB จะสามารถรักษาสัดส่วนการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 80% อย่างต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วนเงินทุนสำรองส่วนของผู้ถือหุ้น (CET-1) ที่แข็งแกร่งอยู่ที่ประมาณ 17.8% ซึ่งเพียงพอที่จะเพียงพอรองรับการเติบโตของสินเชื่อราว 2.5% ในช่วงปี 2025-2026

โบรกส่อง SCB หลังประกาศงบไตรมาส 3/67 ทำได้  1.09 หมื่นล้านบาท หุ้นปันผลสูง

โบรกส่อง SCB หลังประกาศงบไตรมาส 3/67 ทำได้ 1.09 หมื่นล้านบาท หุ้นปันผลสูง

           บริษัท หลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง SCB ว่า รายงานกำไรสุทธิใน ไตรมาส3/2567  ที่ 1.09 หมื่นล้านบาท (+13% yoy, +9% qoq) โดยผลประกอบการออกมาดีกว่าที่และตลาดคาดการณ์ไว้ 15% และ 10% ตามลำดับ การขาย Purple Ventures (แอปพลิเคชัน Robinhood) ทำให้ SCB ไม่ต้องแบกรับผลขาดทุนอีกต่อไป SCB คาดว่าอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทุก ๆ 1% จะทำให้ NIM ลดลง 25-30bp ในขณะเดียวกันคุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น qoq โดยเรามีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มของคุณภาพสินทรัพย์ คงคำแนะนำซื้อ            บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุถึง SCB ว่าปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ขึ้น 3% มาอยู่ที่ 4.21 หมื่นล้านบาท (ลดลง 3% YoY) เนื่องจากปรับลดประมาณการอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จาก 43.9% มาอยู่ที่ 42.8% นอกจากนี้ ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ขึ้น 3% มาอยู่ที่ 4.56 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 8% YoY) ดังนั้น ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2568 ของเราเพิ่มขึ้นจาก 110 บาท มาอยู่ที่ 125 บาท PER ปี 2568 ของ SCB อยู่ที่ 8.4 เท่า เป็นไปตามค่าเฉลี่ยกลุ่มธนาคารที่เราให้คำแนะนำที่ 8.3 เท่า PBV ณ สิ้นปี 2568 อยู่ที่ 0.8 เท่า และเราคาด ROE ปี 2568 อยู่ที่ 9.2% ทำให้อัตราส่วน PBV/ROE อยู่ที่ 0.083 เท่า เท่ากับค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่เราให้คำแนะนำที่ 0.082 เท่า เราคาดอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 8% ในปี 2567 และ 2568 นอกจากนี้ คุณภาพสินทรัพย์ของ SCB มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2568 ดังนั้น ปรับเพิ่มคำแนะนำจากขายเป็นซื้อ            บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุถึง SCB ว่า คาดจะมีอัตราผลตอบแทนเงินปั่นผลสูงสุดในกลุ่มธนาคารที่ 8.7% ในปี 2024 (หักเงินปันผลระหว่างกาลเหลือ 5.5%) และให้เพิ่มเป็น 8.9%/9.4% ในปี 2025-26 ถือเป็นจุดเด่นในการลงทุน แม้ SCBX จะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยลดลง โดยประเมินว่าทุก 100 bps ของการปรับลด อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะกระทบต่อ NIM ลดลง 25-30 bps แต่ด้วยการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานได้ดี ทำให้เราปรับคาดการณ์กำไรปี 2024-26 เพิ่มขึ้น 2-4% โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะลดลง 4.3% ในปี 2024 และฟื้นกลับมาขยายตัว 2.2%/5.8% ในปี 2025-26 ด้านผลการดำเนินงานใน ไตรมาส3/2567 กำไรสุทธิแข็งแกร่งที่ 10.9 พันล้านบาท (+13.2% YoY, +9.3% QoQ) คุณภาพสินเชื่อทรงตัว NPL ratio เพิ่มเล็กน้อยที่ 3.4% และ Coverage ratio เพิ่มเป็น 163.9%            บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุถึง SCB ว่า ยังคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 43,229 ล้านบาท (-1% YoY) สำหรับแนวโน้มกำไร ไตรมาส4/2567  นั้นคาดว่าจะเห็นการอ่อนตัวลงจากค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล บวกกับอาจเห็นค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้ Stage 2 ขณะที่แนวโน้มปี 2568 คาดว่าจะมีแรงกดดันจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งกระทบต่อ NIM บวกกับอาจเห็นสินเชื่อชะลอตัวจากความกังวลด้านคุณภาพหนี้ อย่างไรก็ตาม จะไม่มีรายการ One-time จาก Robinhood เช่นในปี 2567 บวกกับไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานของ Robinhood ซึ่งทำให้คาดว่ากำไรยังพอเติบโตได้เล็กน้อยราว 3% YoY แต่ระดับ Div. Yield ที่สูงถึง 6-7% ยังเป็นปัจจัยจูงใจ จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”            บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  ระบุถึง SCB ว่า ธนาคารได้บันทึกการชำระคืนเงินกู้เพิ่มเติมและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพื่อชดเชยการขาดทุนจาก Robinhood ขณะที่ธนาคารแนะว่า NIM ที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มกำไรในระยะสั้น โดยศักยภาพการเติบโตในปีหน้าจะมาจากการไม่รวมผลขาดทุนจาก Robinhood (ราว 3.0 พันล้านบาทที่บันทึกไว้ในปี 2567) ทั้งนี้ เราใช้ PBV ของกำไรปี 2568F ที่ 0.8x (ซึ่งเป็นพรีเมียมกว่าธนาคารอื่นเพื่อสะท้อนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงกว่า) เราจึงได้ราคาเป้าหมายใหม่ปี 2568F ที่ 127 บาท (เพิ่มจากราคาเป้าหมายปี 2567F เดิม 117 บาท) โดยคงคำแนะนำ "ถือ"

KSS มอง SCB ปันผลเด่น 9% สูงสุดในกลุ่มแบงก์

KSS มอง SCB ปันผลเด่น 9% สูงสุดในกลุ่มแบงก์

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) มีมุมมอง slightly positive ต่อการประชุมนักวิเคราะห์ของ SCB เพราะคุณภาพสินทรัพย์ของ SCB เห็นสัญญาณดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Gen 2 จากการแก้ปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ของ Gen 2 มาตลอดในช่วงที่ผ่านมา ภาพรวมเรามอง SCB คงปันผลเด่น dividend yield ประมาณ 9% ต่อปี สูงสุดในกลุ่มธนาคาร           ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรสุทธิ 2568-2569 ที่ 4.17 / 4.27 และ 4.38 หมื่นลบ. เดิม 4.06/4.32 และ 4.40 หมื่นลบ. ตามลำดับ มุมมองที่เปลี่ยนไป สินเชื่อรวมต่ำกว่าคาด จากกลยุทธ์การเติบโตสินเชื่ออย่างรัดระวัง           ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายขาลง ฝ่ายวิเคราะห์ใช้สมมุติฐานดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.0% ซึ่งคาดจะมีการปรับลงอีกครั้งในช่วงไตรมาส 1/2567 และค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) ดีกว่าคาด จากธุรกิจ Gen 2

SCB ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผลวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567

SCB ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผลวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567

          ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.50% มาอยู่ที่ 2.25% ต่อปี เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป           นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวไม่สูงนักใกล้เคียงกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินไว้และอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายภายในสิ้นปี ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ธนาคารไทยพาณิชย์จึงได้พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้ของลูกค้ารายย่อยและผู้ประกอบการภาคธุรกิจ โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.575% เป็น 7.325% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.30% เป็น 7.175% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.05% เป็น 6.925% ต่อปี           โดยก่อนหน้านี้ ธนาคารได้ออกมาตรการพิเศษในการช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคลและ SME รายย่อย ตั้งแต่ 16 พฤษภาคม 2567 ถึง 15 พฤศจิกายน 2567 นั้น ธนาคารได้พิจารณาขยายมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวออกไปจนถึง 31 ธันวาคม 2567           ธนาคารพร้อมให้การสนับสนุนลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมคำนึงถึงศักยภาพและโอกาสในการปรับตัวของลูกค้าในอนาคต สำหรับลูกค้าที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือหรือคำปรึกษาสามารถติดต่อธนาคารได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์ SCB Call Center 02-777-7777 [PR News]

SCB กำไร Q3 โต 13.2% เดินหน้าธุรกิจ Virtual Bank

SCB กำไร Q3 โต 13.2% เดินหน้าธุรกิจ Virtual Bank

          SCB โชว์กำไรไตรมาส 3/2567 เพิ่มขึ้น 13.2% แตะ 10,941 ล้านบาท ทั้งปีตั้งเป้าสินเชื่อเติบโตไว้ 3-5% โดย 9เดือน มีการเติบโต 0.3% ขณะเดียวกันบริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจ Virtual Bank ร่วมมือกับ KakaoBank และ WeBank เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในอนาคต คาดประกาศผู้ชนะใบอนุญาตกลางปี 2568           กรุงเทพฯ – บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) รายงานผลกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ของปี 2567 จำนวน 10,941 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับเก้าเดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 32,236 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน           ในไตรมาส 3 ปี 2567 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 32,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเกิดจากการขยายตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ แม้ว่าจะมียอดสินเชื่อโดยรวมลดลง 0.9% เนื่องจากบริษัทฯ มีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย           รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 9,985 ล้านบาท ลดลง 7.5% จากปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมจากการขายประกันภัยและการให้สินเชื่อ           ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในไตรมาส 3 อยู่ที่ 17,606 ล้านบาท ลดลง 4.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ 40.9% ไม่รวมผลกระทบจากการขายแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี Robinhood           บริษัทฯ ตั้งเงินสำรองลดลง 10.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากไม่มีการตั้งสำรองพิเศษในไตรมาสนี้เหมือนปีก่อน คุณภาพสินเชื่อโดยรวมอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ 3.4% ปรับเพิ่มจาก 3.3% ในปีก่อน อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพคงอยู่ในระดับสูงที่ 163.9% เงินกองทุนตามกฎหมายของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่งที่ 19.0%            นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ภายใต้แรงกดดันจากอุทกภัยในหลายพื้นที่ บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและมุ่งเน้นการเติบโตที่มีคุณภาพ           ในเดือนกันยายน 2567 SCBX ได้ยื่นขอใบอนุญาต Virtual Bank ต่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยจัดตั้งกลุ่มบริษัทร่วมกับ KakaoBank ซึ่งเป็นธนาคารดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ และ WeBank ซึ่งเป็นธนาคารดิจิทัลชั้นนำของจีน ประสบการณ์และความสามารถด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งของทั้งสองพันธมิตร พร้อมกับตำแหน่งที่มั่นคงของ SCBX ในประเทศไทย จะช่วยให้ Virtual Bank ของ SCBX ประสบความสำเร็จในอนาคต โดยธปท. จะใช้เวลาประมาณเก้าเดือนในการพิจารณาใบสมัคร และคาดว่าจะประกาศผู้ชนะใบอนุญาตสามรายภายในกลางปี 2568           นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขายกิจการแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี Robinhood ให้กับกลุ่มผู้ลงทุนที่นำโดยบริษัท ยิบอินซอย จำกัด ภายใต้เจตนารมณ์ที่จะส่งต่อแพลตฟอร์มเพื่อคนไทย และการขายกิจการดังกล่าวเป็นการรักษาความมั่นคงทางการเงินและสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน           บริษัทได้สังเกตเห็นสัญญาณของสภาพแวดล้อมที่ “ดีขึ้นเล็กน้อย” แต่ยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการ “ฟื้นตัวอย่างยั่งยืน” โดยทีมเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC ยังคงคาดการณ์การเติบโตของ GDP ที่ร้อยละ 2.5 สำหรับปี 2567 และปรับลดการเติบโตของ GDP ปี 2568 ลงเหลือร้อยละ 2.6 เนื่องจากการกระตุ้นทางการคลังเพิ่มเติมน่าจะมีจำกัด สำหรับธุรกิจของบริษัทเอง คุณภาพสินทรัพย์และผลการดำเนินงานมีเสถียรภาพในไตรมาส 3 ปี 2567 เมื่อเทียบกับที่บริษัทคาดไว้เมื่อสิ้นไตรมาส 2 ปี 2567 ซึ่งเห็นได้ชัดจากอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส 3 ปี 2567 ในขณะที่สินเชื่อด้อยคุณภาพเกิดใหม่ค่อนข้างคงที่จากไตรมาสก่อน ภายในรายได้จากค่าธรรมเนียมที่ลดลง รายได้จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแสดงสัญญาณการฟื้นตัว และรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมทางการเงินก็ดีขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม รายได้ค่าธรรมเนียมในส่วนอื่น ๆ ยังคงค่อนข้างจำกัด ในขณะที่การเติบโตของสินเชื่อโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำ ผลประกอบการโดยรวมในเก้าเดือนแรกของปี 2567 อยู่ในภาวะที่อ่อนแอกว่าเป้าหมายธุรกิจทั้งปี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับภูมิทัศน์ที่ซับซ้อนและการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่ต่ำกว่าที่คาด แม้ว่าจะเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายทั้งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อและการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเป้าหมายทั้งปี ความสามารถในการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ในส่วนของการตั้งสำรอง บริษัทใช้วิธีการตั้งสำรองเพื่อให้มั่นใจว่างบดุลมีความเหมาะสม และคาดว่าอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อของทั้งปีจะอยู่ในกรอบบนของเป้าหมาย ในทางกลับกัน ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเป็นไปตามคาด เนื่องจากการเข้มงวดทางด้านราคา กลยุทธ์การปรับสินเชื่อให้เหมาะสมกับความเสี่ยง สัดส่วนของธุรกิจ Gen 2 ที่เพิ่มขึ้น และการบริหารจัดการสภาพคล่องส่วนเกิน อย่างไรก็ตาม จากการที่ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ซึ่งเร็วกว่าคาดในเดือนตุลาคม 2567 ทำให้ธนาคารจะได้รับผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี แต่คาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิจะยังคงอยู่ในกรอบขั้นสูงได้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้สำหรับเก้าเดือนแรกปี 2567 เป็นไปตามคาดและน่าจะคงอยู่ในกรอบล่างของเป้าหมายทั้งปี

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.20-33.45 บาท/ดอลลาร์

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.20-33.45 บาท/ดอลลาร์

          เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ ด้านดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นช่วงข้ามคืน หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ว่าการขึ้นภาษีนำเข้าเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตดีขึ้นและปกป้องธุรกิจที่ดำเนินในสหรัฐฯ           ราคาน้ำมันกลับมาสูงขึ้นหลังปรับลดลงก่อนหน้านี้จากรายงานที่บอกว่าอิสราเอลจะไม่โจมตีคลังน้ำมันอิหร่าน           เงินเยนกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย โดยนักลงทุนจับตาระดับราว 150 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่ง ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจเข้าแทรกแซง

บล.ดาโอ แนะหุ้นควรมี

บล.ดาโอ แนะหุ้นควรมี "BDMS,SCB,AOT,WHA"

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มอง ตลาดหุ้นไทย มีแรงซื้อเข้ามาเรื่อยๆ อาจได้อานิสงค์จากการซื้อของกองทุน วายุภักษ์ด้วย หากดัชนีฯ ผ่าน 1470 จุดไปได้ จะยืนยันการปรับฐานจบ            กลยุทธ์ ภาพรวมเป็น “ถือ” ควรพร้อมหรือเลือกซื้อหุ้นที่แข็งแกร่งเหนือตลาด หรือจะเป็นกลุ่มที่เป็น high dividend yield หากตลาดมีสัญญาณกลับตัว(ขึ้น) ด้วยเหตุผลใดก็ตาม หุ้น 3 ตัว ที่ควรมี BDMS, SCB , AOT และ WHA หุ้นในพอร์ตวันนี้ BDMS, TRUE*, CPALL เข้ามาใหม่ หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย BDMS (1 5 %) , TRUE*(1 0 %) , CPALL(1 5 %) , SISB (10%) , WHA(10%) , GULF (20%)

[PR News] SCB จับมือ Thunes โอนเงินต่างประเทศผ่าน SCB EASY ครอบคลุม 26 ประเทศ

[PR News] SCB จับมือ Thunes โอนเงินต่างประเทศผ่าน SCB EASY ครอบคลุม 26 ประเทศ

          ธนาคารไทยพาณิชย์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลแบงก์กิ้ง ล่าสุด จับมือ Thunes ผู้ให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศชั้นนำระดับโลก ร่วมพัฒนาศักยภาพบริการโอนเงินต่างประเทศผ่านแอป SCB EASY ด้วยการเพิ่มกลุ่มประเทศรับเงินโอนให้ครอบคลุมทั่วโลก ได้แก่ สวีเดน เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ออสเตรเลีย แคนาดา จีน อินโดนีเซีย อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และเวียดนาม โดยลูกค้าสามารถโอนเงินไปต่างประเทศด้วยสกุลเงินหลักยอดนิยม ได้แก่ ดอลลาร์ออสเตรเลีย ดอลลาร์แคนาดา ดอลลาร์ฮ่องกง ยูโร เยน วอน หยวน โครนาสวีเดน โครเนอเดนมาร์ก รูปียะฮ์ รูปี ริงกิต เปโซ และเวียดนามดอง รวมทั้งหมด 17 สกุลเงิน ครอบคลุม 26 ประเทศ/พื้นที่ปลายทาง ด้วยค่าธรรมเนียมเริ่มต้น 199 บาท ปลายทางได้รับเงินเต็มจำนวน สะดวก รวดเร็วแบบเรียลไทม์ ทำรายการได้ทุกที่ ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมอัดโปรโมชันสุดคุ้ม ลดค่าธรรมเนียมโอนเงินเพียง 99 บาท/รายการ* ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 – 15 มกราคม 2568           นายธนวัฒน์ กิตติสุวรรณ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงาน Digital Juristic & Payment ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ข้อมูลจาก Statista Market Insights ระบุว่าภาพรวมตลาดธุรกรรมการโอนเงินระหว่างประเทศปี 2567 เติบโตกว่า 13% เมื่อเทียบกับปี 2566 และ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยธุรกรรมส่วนใหญ่ของธนาคารฯ นิยมใช้บริการโอนเงินระหว่างประเทศเพื่อการศึกษา (Education) รวมถึงการโอนเงินให้ครอบครัวหรือญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ (Family Support) สอดคล้องกับการเติบโตของจำนวนคนไทยที่ไปศึกษาต่อหรืออาศัยอยู่ต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของลูกค้าที่หันมาทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลแพลตฟอร์มมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงมุ่งมั่นในการนำขีดความสามารถทางเทคโนโลยีอันทันสมัยมาพัฒนาโซลูชันทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพและขยายขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมประเทศปลายทางเพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภค จึงได้ร่วมมือกับ Thunes ผู้ให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศชั้นนำระดับโลก พัฒนาบริการโอนเงินต่างประเทศผ่านแอป SCB EASY ด้วยการเพิ่มกลุ่มประเทศรับเงินโอนให้ครอบคลุมทั่วโลก อีกทั้ง ลูกค้าปลายทางยังได้รับเงินเต็มจำนวน ไม่ต้องชำระเงินเพิ่ม สะดวก รวดเร็วแบบเรียลไทม์ ทำรายการได้ทุกที่ ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โดยมุ่งหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยรองรับความต้องการในการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ และยกระดับประสบการณ์ทางการเงินแบบไร้รอยต่อให้กับลูกค้าของธนาคาร พร้อมเชื่อมต่อบริการทางการเงินทั่วโลกในยุคใหม่อย่างไร้พรมแดน”           ด้าน มร. ไซมอน เนลสัน (Mr. Simon Nelson) Chief Revenue Officer, Middle East & South Asia, Thunes กล่าวว่า “เรามีความภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับธนาคารไทยพาณิชย์ หนึ่งในสมาชิกอันยาวนานของ Thunes Direct Global Network Thunes ในฐานะผู้นำด้านการให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศ ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกของเราในการชำระเงินไปยัง Mobile Wallet และบัญชีธนาคาร มากกว่า 7 พันล้านบัญชี ใน 130 ประเทศทั่วโลก 80 สกุลเงิน เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ หนึ่งในผู้นำดิจิทัลแบงก์กิ้งของเมืองไทย ในการร่วมกันยกระดับศักยภาพการโอนเงินระหว่างประเทศของลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมตอบสนองความต้องการการทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว สามารถควบคุมได้ มีความโปร่งใส และคุ้มค่าอีกด้วย”           เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่ให้การตอบรับบริการโอนเงินต่างประเทศผ่านแอป SCB EASY อย่างดีเสมอมา ธนาคารจังได้จัดโปรโมชันพิเศษ! ลดค่าธรรมเนียมโอนเงิน จากปกติค่าธรรมเนียมเริ่มต้น 199 บาท เหลือเพียง 99 บาท/รายการ* ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 – 15 มกราคม 2568           ธนาคารเปิดให้บริการโอนเงินต่างประเทศผ่านแอป SCB EASY ตั้งแต่ปี 2563 โดยปัจจุบันลูกค้าสามารถโอนเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมกว่า 26 ประเทศปลายทาง รวมทั้งหมด 17 สกุลเงิน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา กลุ่มสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน เนเธอแลนด์ ไอร์แลนด์ ออสเตรีย เบลเยี่ยม โปรตุเกส ฟินแลนด์ สวีเดน เดนมาร์ค สิงคโปร์ ออสเตรเลีย แคนาดา จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย  ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เวียดนาม           สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลบริการโอนเงินต่างประเทศผ่านแอป SCB EASY ได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.scb.co.th/th/personal-banking/other-services/ripple/scb-easy-app.html

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456