ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#PTTGC


PTTGC จับมือ KBank ลงนามสินเชื่อหมุนเวียนวงเงิน 20,000 ล้านบาท เสริมสภาพคล่องทางการเงิน

PTTGC จับมือ KBank ลงนามสินเชื่อหมุนเวียนวงเงิน 20,000 ล้านบาท เสริมสภาพคล่องทางการเงิน

                  หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568, กรุงเทพมหานคร – บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ได้ลงนามสัญญาสินเชื่อหมุนเวียน (Revolving Facilities) วงเงิน 20,000 ล้านบาท กับธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน สนับสนุนการพลิกสถานการณ์ธุรกิจ และวางรากฐานสู่การเติบโตในอนาคต ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและช่วงขาลงของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี  โดยวงเงินสินเชื่อนี้นับเป็นวงเงินสูงสุดที่บริษัทฯ เคยได้รับ สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือของบริษัท และความเชื่อมั่นจากสถาบันการเงินและภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีต่อศักยภาพของ PTTGC           สัญญาสินเชื่อหมุนเวียนวงเงิน 20,000 ล้านบาทฉบับนี้ เป็นสินเชื่อระยะยาวที่มีความยืดหยุ่นสูงและมีลักษณะพิเศษ โดยสามารถเบิกใช้หรือชำระคืนได้ตามความจำเป็นในการบริหารจัดการธุรกิจ อีกทั้งยังสามารถใช้วงเงินดังกล่าวในการออกเลทเทอร์ออฟเครดิต (Letter of Credit: LC) เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเข้าใจในลักษณะเฉพาะและสถานการณ์ไม่ปกติที่เกิดขึ้นในธุรกิจปิโตรเคมี รวมถึงความเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญระหว่าง KBank และ PTTGC           นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี PTTGC เปิดเผยว่า “วงเงินสินเชื่อหมุนเวียนนี้จะช่วยเสริมสภาพคล่องให้ GC รองรับความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความยืดหยุ่นในการเบิกใช้และชำระคืนตามความจำเป็น เมื่อชำระคืนแล้ว วงเงินก็สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ช่วยให้เราบริหารต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการบริหารกระแสเงินสดและการลดภาระดอกเบี้ย”           นอกจากนี้ GC ยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเข้มงวด ทั้งค่าใช้จ่ายดำเนินงาน (OPEX) และเงินลงทุน (CAPEX) ควบคู่กับการบริหารหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงิน รองรับแผนการพลิกฟื้นธุรกิจและขับเคลื่อนการเติบโตในกลุ่มธุรกิจมูลค่าสูง–คาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน           “ขอขอบคุณธนาคารกสิกรไทยที่ให้ความเชื่อมั่นและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน แต่ยังสะท้อนความมั่นใจในศักยภาพของ GC ในการพลิกสถานการณ์ธุรกิจและขับเคลื่อนการเติบโตในกลุ่มธุรกิจมูลค่าสูง-คาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของเรา” นายทิติพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม           นายทิพากร สายพัฒนา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “ธนาคารกสิกรไทยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน GC ผ่านข้อตกลงสินเชื่อหมุนเวียนในครั้งนี้ ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นแรงหนุนที่ช่วยเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันให้กับ GC และส่งเสริมให้ GC สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว”

ระวัง! หุ้นการเมือง

ระวัง! หุ้นการเมือง

          ดีกรีการเมืองน่าจะร้อนระอุ วันนี้ โหมโรงเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นวันแรก นักวิเคราะห์มองว่า อาจส่งผลในเชิงจิตวิทยาต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงสั้น นักลงทุนคงอยู่ในโหมด "รอดูท่าที" (wait and see)           โดยเฉพาะประเด็นที่อาจมีการพาดพิงถึง โครงการสำคัญของรัฐบาล เช่น โครงการแจกเงิน (Digital Wallet) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคประชาชน ซึ่งหากถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเวทีอภิปราย อาจสร้างความไม่แน่นอน เกี่ยวกับการเดินหน้านโยบายดังกล่าวในช่วงที่เหลือของปีได้           สำหรับภาพรวมการอภิปรายครั้งนี้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบในเชิงพื้นฐานต่อตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรายบุคคล โดยเน้นไปที่บทบาทและสถานะของนางสาวแพทองธาร มากกว่าการอภิปรายเพื่อโจมตีนโยบายเศรษฐกิจโดยรวม           ทั้งนี้ นักลงทุนควรจับตาผลการลงมติในวันที่ 26 มีนาคม 2568 ซึ่งสามารถสะท้อนเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะข้างหน้า หากสามารถผ่านการลงมติไปได้อย่างราบรื่น อาจเป็นปัจจัยบวกในเชิงจิตวิทยาให้กับตลาดหุ้น           ด้าน บล.กรุงศรี จับตากระแสการซื้อหุ้นซื้อคืนจะกลับมาคึกคัก หลัง PTT ประกาศโครงการซื้อหุ้น คืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) วงเงินสูงสุดไม่เกิน 16,000 ลบ. และจำนวนหุ้นซื้อคืน ไม่เกิน 470 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 1.65% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด (implied ราคาหุ้น ซื้อคืนราว 34 บาท/หุ้น)           คาดตลาดมีโอกาสเก็งกำไรหุ้น Big Cap ที่มีศักยภาพดำเนินการได้  พบว่า มีหุ้น Big Cap หลักๆในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ปิโตรเคมี ที่มีโอกาสเห็นการซื้อหุ้นคืนระยะถัดไป อาทิ SCB, KBANK, KTB , BBL, PTTGC, TOP, BCP นอกจาก PTT- TTB ที่ประกาศโครงการดังกล่าวไปแล้ว จับตา  BCP, PTTGC, TOP กันต่อไป           นับเป็นหุ้น Health Care ที่น่าจับตา จากผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด สำหรับ บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด (มหาชน) หรือ BLC ล่าสุด ภก. สุวิทย์ งามภูพันธ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BLC พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมนำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานปี 2567 แก่นักลงทุนใน Opportunity Day โดยมีรายได้ 1,557 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 176.1 ล้านบาท เติบโต 10.7% และ 16.8% ตามลำดับ  ด้านบอร์ดเตรียมขออนุมัติจ่ายเงินปันผล งวดผลการดำเนินงานในปี 2567 จากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในอัตรา 0.09 บาทต่อหุ้น โดยจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล ในวันที่ 11 เมษายน 2568 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 30 เมษายน 2568           ทั้งนี้ ในปี 2568 BLC วางแผนขยายขอบเขตความร่วมมือเพื่อสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ทั้งจากภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยาไทยให้เติบโต พร้อมทั้งสร้างความมั่นคงทางด้านสุขภาพ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้ง มุ่งผลักดันรายได้เติบโตเฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปีตามเป้าหมาย งานนี้ผู้ถือหุ้นสบายใจหายห่วง           ในที่สุดก็กระจ่างชัด นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ TTB แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ข่าวการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB  กับธนาคารทหารไทยธนชาตจำกัด (มหาชน) หรือ TTB นั้น  ไม่เป็นความจริง บริษัทฯ ไม่ได้มีการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกทั้ง TTB  ยังคงมุ่งเน้นพันธกิจสำคัญคือ การ Make REAL Change หรือการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายเพื่อให้ลูกค้าของธนาคารกว่า 10 ล้านคน มีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ผ่านกลยุทธ์การสร้างการเติบโตแบบ Ecosystem Play และการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและสอดคล้องกับแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)           ขณะที่ นายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข ประธานผู้บริหาร Legal Comliance & Financial Crime และเลขานุการบริษัท KTB  ก็ชี้แจงว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และในขณะนี้ คณะกรรมการธนาคารฯ ไม่ได้มีดำริ หรือได้มอบหมายฝ่ายบริหารให้ดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการควบรวมกิจการตามที่เป็นข่าว  ออกมาชี้แจงชัดเจนกันทั้ง 2 ฝ่าย...จบนะ           ปิดท้ายกันที่ หนุ่มน้อยหน้ามนคนขยัน นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน CHOW ล่าสุดได้รับเกียรติเป็นวิทยากรบรรยายหลักสูตร “ความรู้ Solar Rooftop เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์สินเชื่อ SME Green Productivity” ให้กับพนักงาน SME D Bank ทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นให้พนักงาน SME D Bank มีความเข้าใจและสามารถแนะนำข้อมูลให้ลูกค้าที่ต้องการติดตั้ง Solar Rooftop และเข้าร่วมโครงการ สินเชื่อ SME Green Productivity พร้อมดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปีสำหรับ 3 ปีแรก  นักลงทุนคงต้องเกาะติดผลงาน CHOW ให้ดีๆ เพราะนี่อาจจะเป็นดีลนำร่อง เพื่อต่อยอดดีลต่อๆไปก็ได้    การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง By ทีมงานหุ้นวิชั่น     

PTTGC คาดกำไรปีนี้ฟื้น  ใช้อีเทนเป็นวัตถุดิบหนุน เป้า 27.5 บ.

PTTGC คาดกำไรปีนี้ฟื้น ใช้อีเทนเป็นวัตถุดิบหนุน เป้า 27.5 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ คาด PTTGC ไตรมาส1 ปี 68 ฟื้นตัว แม้อาจมีผลขาดทุนปกติอยู่จากโรงกลั่นกลับมาเดินเครื่องปกติ + สัดส่วนอีเทนเป็นวัตถุดิบเพิ่มขึ้น 20% ช่วยให้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้น + กำไรของ allnex เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล           คาดกำไรปีนี้ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อนมีตั้งด้อยค่าก้อนใหญ่ + รับรู้ประโยชน์จากการใช้อีเทนเป็นวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเต็มปี + กลยุทธ์ลดค่าใช้จ่าย + การหยุดผลิต PTTAC และ Vencorex ช่วยให้ค่าใช้จ่ายคงที่ลดลง           ราคาหุ้นซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าบัญชีมาก P/B 0.3x           แนวรับ = 18.5/18.7 แนวต้าน = 19.8/20           PTTGC | ซื้อ | TP=27.5 บ.

‘ซีพี แอ็กซ์ตร้า’ x ‘กลุ่ม ปตท.’  เปิดตัว “AXTRA Green Together”

‘ซีพี แอ็กซ์ตร้า’ x ‘กลุ่ม ปตท.’ เปิดตัว “AXTRA Green Together”

           บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT ผู้ดำเนินธุรกิจ “แม็คโคร-โลตัส” ร่วมกับ กลุ่ม ปตท. นำโดย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  หรือ PTT โดยโครงการบริหารการสร้างประโยชน์ร่วมธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น (Petrochemical and Refining Integrated Synergy Management ; PRISM) เปิดตัวโครงการ “AXTRA Green Together” ขับเคลื่อนการจัดการขยะและส่งเสริมให้คนไทยมีส่วนร่วมในการลดปัญหาขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่ผู้นำด้านการจัดการขยะในประเทศไทย โดยจัดตั้งจุดรับขวดพลาสติกใช้แล้ว (PET) ที่แม็คโครและโลตัส ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งจะนำขวดพลาสติก PET เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลและอัพไซคลิ่งด้วยระบบบริหารจัดการแบบครบวงจรผ่าน GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม เพื่อสร้างคุณค่าเปลี่ยนเป็นเสื้อกีฬา และมอบให้กับเยาวชนในโรงเรียนทั่วไทย โครงการนี้ไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะพลาสติก ยังเป็นการร่วมเฉลิมฉลอง  วันรีไซเคิลโลก พร้อมปลุกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม สอดคล้องเป้าหมายของ ซีพี แอ็กซ์ตร้า ในการลดขยะสู่หลุมฝังกลบให้เป็นศูนย์ภายในปี 2573 และเป้าหมายของกลุ่ม ปตท. ในการมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission)            นางศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบภายใต้หลัก ESG “ที่ ซีพี แอ็กซ์ตร้า เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ครอบคลุมทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยหนึ่งในเป้าหมายหลักของเรา คือ การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผ่านการลดการทิ้งขยะสู่หลุมฝังกลบ ซึ่งรวมถึงบรรจุภัณฑ์พลาสติก สำหรับโครงการ ‘AXTRA Green Together’ เราตั้งเป้ารวบรวมขวดพลาสติกให้ได้ 1,400,000 ขวด เพื่อนำมาสร้างมูลค่าเพิ่ม และนำกลับมาเป็นเสื้อกีฬา อัพไซเคิล มอบให้กับเยาวชนทั่วประเทศ เราเชื่อว่าความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะเป็นพลังสำคัญในการลดปริมาณขยะ บรรเทาภาวะโลกร้อน และสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อโลกที่ยั่งยืน”            นางชนัญชิดา วิบูลคณารักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์องค์กร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า  “GC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาสนับสนุนโครงการ “AXTRA Green Together” นับเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือสำคัญในการสร้างจิตสำนึก ส่งเสริมพฤติกรรมคัดแยกขยะอย่างถูกต้อง ช่วยลดปริมาณขยะจากต้นทาง ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) กิจกรรมครั้งนี้ ได้นำ GC YOUเทิร์น ระบบการบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วครบวงจรเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ AXTRA Green Together ในการส่งขวดพลาสติก PET ใช้แล้ว เข้าสู่ระบบรีไซเคิลอย่างถูกวิธี ซึ่งการขนส่งนั้น ได้ความร่วมมือจาก บริษัท เวสท์บาย เดลิเวอรี่ จำกัด (WasteBuy Delivery) ผู้ดำเนินธุรกิจด้าน            โลจิสติกส์จัดการขยะรีไซเคิล หนึ่งในพันธมิตรของ GC YOUเทิร์น เข้ามามีส่วนร่วมในการขนส่งขวดพลาสติก PET ใช้แล้วจากสาขาแม็คโครและโลตัส ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล กลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลมาตรฐานสูงผ่านบริษัท เอ็นวิคโค จำกัด ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล rPET และ rHDPE มาตรฐานโลกของ GC” โครงการ AXTRA Green Together สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ซีพี แอ็กซ์ตร้า ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ ชุมชน และประชาชนทั่วไป เพื่อร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อมและผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ง่ายๆ เพียงนำขวดพลาสติก PET ใช้แล้วมาทิ้งที่จุดรับขวดที่แม็คโครและโลตัส ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป [PR News]

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

PTTGC จะกลับพลิกกำไร ผ่านจุดต่ำสุด-เป้า21บ.

PTTGC จะกลับพลิกกำไร ผ่านจุดต่ำสุด-เป้า21บ.

                หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายเดิมปี 2025E ที่ 21.00 บาท อิง PBV เป้าหมายที่ 0.36x (เท่ากับ -2.75SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) เรามองว่าผลประกอบการของบริษัทได้ผ่านจุดต่ำสุดในปี 2024 ไปแล้วและจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ในปี 2025E โดยแม้เราเชื่อว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ (olefins spread) จะยังทรงตัวต่ำจากภาพรวมอุตสาหกรรมที่ยังคงมีภาวะอุปทานส่วนเกิน (oversupply) ในปี 2025E แต่บริษัทน่าจะได้ประโยชน์จากการรับวัตถุดิบอีเทน (ethane feedstock) ได้มากขึ้นในปีนี้ (บริษัทคาดว่าสูงขึ้น 20% YoY) สำหรับภาพระยะสั้น                 เชื่อว่าค่าเฉลี่ยรายเดือนน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในเดือน ม.ค.2025 ซึ่งบางส่วนเป็นผลจากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัว สำหรับภาพระยะยาว เชื่อว่าบริษัทจะได้ประโยชน์จากแผนนำเข้า ethane จาก US ซึ่งมีราคาถูก (สัญญานำเข้าปริมาณ 400 พันตันต่อปี (kta)) โดยกำหนดวันดำเนินงานเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2029E                 คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E/2026E ที่ 2.1/3.3 พันล้านบาท เทียบกับ ขาดทุน 2.98 หมื่นล้านบาทในปี 2024                 โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ คือ 1) บริษัทจะไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการตั้งสำรองด้อยค่าของสินทรัพย์ (loss on impairment of assets) 2) ค่าใช้จ่ายทางการเงินจะต่ำลง และ 3) HDPE spread ที่ทรงตัวในช่วง USD340/ton-USD360/ton เทียบกับ USD339/ton ในปี 2024ราคาหุ้นปรับตัวลง 34% และ underperform SET 16% ใน 6 เดือน สะท้อนความกังวลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมที่ยังคงอยู่ในภาวะ oversupply                 ทั้งนี้ เราเชื่อว่าราคาที่ปรับตัวลงมาได้สะท้อนปัจจัยลบเหล่านี้ไปมากแล้วและราคาล่าสุดสะท้อน valuation ที่ไม่แพงที่ 2025E PBV = 0.31x (ประมาณ -3.00SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) ทั้งนี้ แม้เชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทจะยังคงอ่อนแอตามภาพรวมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและโรงกลั่นใน 1Q25E แต่ก็น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

PTTGC พุ่ง 8.43% รับ spread HDPE ขึ้น-naphtha ลง

PTTGC พุ่ง 8.43% รับ spread HDPE ขึ้น-naphtha ลง

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี เปิดเผยว่า ราคาหุ้นของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากในวันนี้ คาดมาจากการเก็งกำไร หลังส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ หรือ spread HDPE ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลัก ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดมาอยู่ที่ 365 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น 18% MoM จากการรีสต็อกสินค้าของจีน รวมถึงราคา naphtha ก็ปรับตัวลง ตามราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงมา จากความกังวล supply OPEC+ ที่จะออกมาเพิ่มขึ้นตั้งแต่ เม.ย.68 เป็นต้นไป ในขณะที่ demand มีความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า           ด้านค่าการกลั่นสิงคโปร์ (SG GRM) +74% w-w ความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคเพิ่มขึ้น ในขณะที่ supply ตึงตัวขึ้นจากโรงกลั่นในอินเดีย, เกาหลีใต้ และไต้หวัน มีปิดซ่อม หนุนให้ spread ผลิตภัณฑ์หลักฟื้นหมด 15-235% w-w โดยคงมุมมองค่าการกลั่นเดือนมี.ค.68 ฟื้น m-m ได้ปัจจัยบวกจากความต้องการใช้น้ำมันของจีนฟื้นตัวและการปิดซ่อม และลดกำลังการผลิตของโรงกลั่นบางส่วนในภูมิภาค           ขณะที่มองแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/68 คาดดีขึ้น QoQ หรือมีผลขาดทุนลดลง จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากไม่มีปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นนอกแผน ขณะที่มี Stock Loss ไม่มาก, ความต้องการปิโตรเคมีดีขึ้น, อัตรากำไรดีขึ้น จากต้นทุนลดลง และออกจากโลซีซั่นแล้ว           แนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 28 บาท/หุ้น

กลุ่ม ปตท. ผนึกพันธมิตรนำเข้าอีเทน เสริมศักยภาพธุรกิจปิโตรเคมี สร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน

กลุ่ม ปตท. ผนึกพันธมิตรนำเข้าอีเทน เสริมศักยภาพธุรกิจปิโตรเคมี สร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน

          เมื่อเร็วๆ นี้ - บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ลงนามข้อตกลงจ้างเรือขนส่งอีเทนขนาดใหญ่ (Very Large Ethane Carriers : VLECs) กับ MISC Berhad ผู้นำด้านการขนส่งก๊าซเหลวระดับโลก และลงนามข้อตกลงใช้เรือ VLECs ในการขนส่งอีเทนกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) โดยมี นายจตุรงค์ วรวิทย์สุรวัฒนา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ปตท. (ที่ 2 จากซ้าย) Mr. Zahid Osman, President and Group Chief Executive Officer, MISC Berhad (ซ้าย) นายทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ GC (ที่ 3 จากขวา) ร่วมลงนาม โดยมีนายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GC (ที่ 3 จากซ้าย) เป็นประธานในพิธี           ซึ่งเรือ VLECs นี้จะเป็นหนึ่งในเรือที่ขับเคลื่อนด้วยระบบเชื้อเพลิงคู่ (Dual Fuel) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถใช้น้ำมันและอีเทนเป็นเชื้อเพลิง เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดย ปตท. ใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการค้าและการขนส่งระหว่างประเทศ ตลอดจนมีพันธมิตรทางการค้าที่เข้มแข็ง เพื่อจัดหาเรือนำเข้าอีเทนให้กับ GC เสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี การดำเนินงานนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการรุกตลาดขนส่งอีเทน ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกลุ่ม ปตท.           ทั้งนี้ GC ลงนามข้อตกลงการจัดหาอีเทนระยะยาวกับบริษัทในเครือของ Enterprise Products Partners L.P. ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายอีเทนชั้นนำของสหรัฐอเมริกา เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงวัตถุดิบปิโตรเคมีในระยะยาว เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพด้านต้นทุน เสริมสร้างการเติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืน

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

 IVL-PTTGC กอดคอบวก รับอานิสงค์จีนกระตุ้นศก. - ลุ้นเทิร์นอะราวด์

 IVL-PTTGC กอดคอบวก รับอานิสงค์จีนกระตุ้นศก. - ลุ้นเทิร์นอะราวด์

           หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นของ IVL และ PTTGC ที่ปรับตัวขึ้น คาดมาจากจีน มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยปัจจัยหลักๆ คือ การลดการผลิตลง เพื่อเพิ่มการนำเข้า ทำให้ความกังวลต่อซัพพลายของจีนคลายลง ขณะที่ราคาหุ้นดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา ก็ค่อนข้าง  Undervalue มาก              ทั้งนี้มองผลการดำเนินงานของ IVL และ PTTGC ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าปีนี้จะสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้ จากการมุ่งลดต้นทุนเป็นสำคัญ ด้านบล.กรุงศรี ระบุ ประเด็นสำคัญ จาก Capital Markets Day (CMD) 2025            ธุรกิจ CPET มุ่งเจาะตลาดเอเชียมองฐานการผลิตเดิมมีจุดแข็งที่พึ่งพา domestic demand (ราว 76% ของรายได้ CPET) ช่วยลดผลกระทบของสงครามการค้า และได้ประโยชน์จากมาตรการกีดกันการค้าต่อสินค้าจากจีน นอกจากนี้มองมีโอกาสขยายการขาย specialty product ได้ราว 20% ภายใน 2027 หรือราว 1 แสนตัน/ปี มองความต้องการใช้ PET ทั่วโลกยังเติบโตเฉลี่ย 4% ในช่วง 2025-27 โดยเฉพาะอินเดียที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด คาดเฉลี่ยราว 9% ทั้งนี้บริษัทมีแผนจะ JV กับ partner โดยนำ asset มารวมกันเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน, อยู่ระหว่างพิจารณา optimize asset PTA เพิ่มเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และอาจมีโอกาสลงทุนในธุรกิจ MEG/MTBE เพิ่มในอินเดีย (ขึ้นกับสถานะทางการเงินของ IVL ในปี 2027 ด้วย) มูลค่าราว 500$mn ซึ่งเป็นการซื้อต่อจาก Indorama Resources ที่เป็นของ Lohia’s family (50:50 JV กับ Adani Enterprises มูลค่าโครงการรวมราว 5,000$mn COD 2029) - Indovida (ทำ Packaging อยู่ใน CPET) อยู่ระหว่าง spin off ตั้งเป้าภายใน 2026 และตั้งเป้า EBITDA เติบโต 22% ภายใน 2027 เป็นราว 120$mn (Vs. 98$mn ใน 2024) ตามการขยายตลาดในแอฟริกา - Indovinya (surfactants ในธุรกิจ IOD) ตั้งเป้า EBITDA +43% ภายใน 2027 การเติบโตมาจากทั้งปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ, การเพิ่มส่วนแบ่งตลาด, ขยายผลิตภัณฑ์ HVA และการเจาะตลาดเอเชีย ทั้งนี้คงแผน spin off ภายใน 2026 คาดได้เงินทุนราว 1$bn เพื่อนำไปชำระคืนหนี้และต่อยอดการลงทุน - ธุรกิจ Fibers ตั้งเป้า EBITDA เพิ่ม 76% ภายใน 2027 โดยโตจากการขยายตลาดใน America ตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA ราว 27$mn และการลดค่าใช้จ่ายคงที่ รวมถึง optimize asset ตั้งเป้าลดได้ราว 98$mn - มอง 2025-26 อาจบรรลุกำรขายทรัพย์สิน (ส่วนที่ optimize asset) ได้เงินสดราว 150-200$mn ส่วน EBITDA ที่เพิ่มขึ้นจากการ optimize asset คาดราว 130-140$mn (เป้าเดิม 140-150$mn)            ฝ่ายวิเคราะห์ฯ มอง Neutral ต่อข้อมูลจากการจํากัด Capital Markets Day 2025 ภาพรวมเป้าการเพิ่ม EBITDA ภายใน 2027 ของ IVL มองว่ามีความท้าทายในด้านของเป้าปริมาณขาย (fig3) โดยหากให้สมมติฐานว่า margin แทบไม่เพิ่มเหมือนมุมมองของผู้บริหาร จะเสมือนว่าปริมาณขายต้องเพิ่มกว่า 3.8 ล้านตัน/ปี (MTA) หรือ +27% เพื่อให้เป็นไปตามเป้า Vs. ประมาณการที่คาดปริมาณขายเพิ่มราว 1.5 MTA ในช่วง 2025-27            และปี 2024 ที่ flat y-y สะท้อนว่าส่วนหนึ่งต้องอาศัยการ M&A/JV ซึ่งเรามองว่าเร็วเกินไปที่จะให้น้ำหนัก ทั้งนี้ในส่วนของโอกาสในการเข้าลงทุนใน family asset ในอินเดียในช่วง 2027 มองเป็นบวกในด้านของกลยุทธ์ระยะยาวที่มุ่งเจาะตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูงอย่างอินเดีย โดยอยู่ระหว่างรอการเปิดเผยรายละเอียดโครงการดังกล่าวก่อนประเมินผลกระทบ            คงมุมมองปี 2025F ฟื้นสูง y-y คาดกำไรปกติราว 1.1 หมื่นลบ. ได้แรงหนุนจากค่าใช้จ่ายคงที่ลดลงเต็มปี หลังทยอยปิดโรงงานที่ไม่ทำกำไร, integrated spread PET ฟื้นตัวจาก new supply ที่เข้ามาลดลงและโรงผลิตบางส่วน cut run และ stock loss ลดลงตามการเก็บวัตถุดิบหลังผ่านช่วงแรกของการ optimize asset            คงคำแนะนำ Trading Buy ที่ TP25 = 24.0 บาท/หุ้น คงมุมมองสามารถซื้อเก็งกำไรการฟื้นตัวของ PET spread ในช่วงปลาย มี.ค. – 2Q25 ที่มีความต้องการ re-stock และเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน (high season) รวมถึงระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไรใน 1Q25 จาก stock loss และค่าใช้จ่ายคงที่ที่ลดลง

PTTGC เป้าพลิกกำไร ลดต้นทุน-เพิ่มรายได้

PTTGC เป้าพลิกกำไร ลดต้นทุน-เพิ่มรายได้

          หุ้นวิชั่น - PTTGC ตั้งเป้าปี 2568 จะพลิกมีกำไร ฝ่าจุดต่ำสุดมุ่งลดต้นทุน-เพิ่มรายได้ 4,500 ล้านบาทต่อปี ผลักดัน EBITDA 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2573 เดินหน้าโครงการมาบตาพุดให้เป็น Specialty Hub ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขยายศักยภาพของ allnex ขับเคลื่อนธุรกิจ Bio & Circularity เพื่อสร้างโซลูชันที่ยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ           นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า สำหรับ 2568 บริษัทคาดหวังว่าผลประกอบการปี 2568 จะพลิกกลับมามีกำไร โดยจากปีก่อนที่ขาดทุน 29,811 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ผลขาดทุนมีรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวและขาดทุนจากการปรับโครงสร้าง คือ มีการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าและประมาณการค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการปรับโครงสร้างของทั้งกลุ่ม Vencorex และบริษัท PTTAC และการขาดทุนจากการดำเนินงานของ Vencorex และบริษัท PTTAC ดังนั้นหากมาพิจารณาที่ผลขาดทุนจากการดำเนินงานจะมีผลขาดทุนเพียง 3,400 ล้านบาท           ดังนั้นปี 2568 บริษัทตั้งเป้าพลิกธุรกิจด้วย Holistic Optimization เพื่อปรับโครงสร้างต้นทุน เสริมศักยภาพการแข่งขัน และวางรากฐานสู่การเติบโตในอนาคต ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจผันผวนและจุดต่ำสุดอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยตั้งเป้าลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ 4,500 ล้านบาทต่อปี ผ่านมาตรการลดค่าใช้จ่าย เสริมประสิทธิภาพองค์กร และเพิ่มสภาพคล่อง พร้อมขยายธุรกิจมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ (High Value & Low Carbon Business) หากทำได้ตามแผนก็คาดว่า Net Profit จะกลับมาแข็งแรงได้มากขึ้น และผลักดัน EBITDA 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2573           นอกจากนี้ GC เป็นรายแรกที่จะนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ มาใช้ในประเทศไทย ทดแทนวัตถุดิบอื่นๆ เพื่อลดต้นทุนในระยะยาว โดยไม่ต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของโรงงาน ทั้งยังคงเดินหน้าผลักดันมาบตาพุดให้เป็น Specialty Hub ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขยายศักยภาพของ allnex และขับเคลื่อนธุรกิจ Bio & Circularity เพื่อสร้างโซลูชันที่ยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ           นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GC กล่าวว่า “อุตสาหกรรมในภาพรวมกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน นโยบายสหรัฐอเมริกาที่เปลี่ยนแปลง และภาวะอุปทานส่วนเกินในธุรกิจปิโตรเคมี อย่างไรก็ตาม GC ยังเดินหน้าพลิกธุรกิจ หยุดภาวะขาดทุน และมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและมุ่งขยายไปยังธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ GC มั่นใจว่าคนของเรามีศักยภาพพร้อมที่จะสร้างความแตกต่าง เพื่อปรับธุรกิจให้ตอบสนองต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลง"           GC มุ่งมั่นพลิกผลประกอบการด้วย Holistic Optimization เพื่อเร่งนำธุรกิจกลับสู่สถานการณ์ปกติท่ามกลางจุดต่ำสุดของอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ 4,500 ล้านบาทต่อปี ผ่านการประหยัดค่าใช้จ่าย เสริมสภาพคล่องจากสินทรัพย์ที่มี และปรับปรุงการดำเนินงานให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมเสริมความแข็งแกร่งด้วยมาตรการระยะกลางผ่าน 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การเสริมศักยภาพธุรกิจมูลค่าสูง และการเติบโตในธุรกิจที่ยั่งยืน การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันและสร้างความมั่นคงในระยะสั้น GC ได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และรักษาเสถียรภาพของธุรกิจ โดยบรรลุข้อตกลงการจัดหาอีเทนกับ ปตท. คาดว่าจะได้รับการจัดสรรปริมาณอีเทนเพิ่มขึ้นอีก 20% จากปี 2567 พ พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังใช้บริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวทาง Asset Light โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจาณาสินทรัพย์ทั้งหมด และลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (Capex) รวมถึงดำเนินมาตรการเสริมสภาพคล่องผ่านวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน เพื่อรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและรองรับการเติบโตในอนาคต ส่วนแผนการหาพันธมิตรเข้ามาเพิ่มก็เป็นไปตามนโยบายของปตท.           ส่วนการเสริมความมั่นคงด้านวัตถุดิบและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนในระยะยาว GC เป็นรายแรกจะที่นำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ มาใช้ในประเทศไทย เพื่อทดแทนวัตถุดิบอื่นๆ โดยได้ลงนามข้อตกลงร่วมกับ ปตท. และพันธมิตรระดับโลก ได้แก่ บริษัทย่อยใน Enterprise Products Partners บริษัท เอ็มไอเอสซี เบอร์ฮาด และบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด เพื่อจัดหาและขนส่งอีเทนคุณภาพสูง 400,000 ตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี ทั้งนี้ GC สามารถนำอีเทนมาใช้เป็นวัตถุดิบได้โดยไม่ต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของโรงงาน ซึ่งได้รับการออกแบบให้รองรับอีเทนได้ตั้งแต่ต้น ลดความจำเป็นในการลงทุนเพิ่มเติม คาดว่าโครงการจะเริ่มดำเนินการในปี 2572           การเสริมศักยภาพธุรกิจมูลค่าสูง GC เดินหน้า allnex SEA Hub ในระยอง ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในเฟสแรก และคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนภายในปี 2568 โดยมุ่งเน้น Waterborne Coatings และ Coating Resins ชนิดพิเศษ เพื่อขยายตลาดในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ           ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ผลักดัน allnex ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านกลยุทธ์ขยายตลาดและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ในปี 2567 allnex ได้เพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานที่ใหญ่ที่สุดที่ มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน และลงทุนในโรงงานแห่งใหม่ที่ เมืองมะหาด ประเทศอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 โครงการนี้ช่วยเสริมศักยภาพด้านการผลิตและการกระจายสินค้าในตลาดที่มีการเติบโตสูง           นอกจากนี้ การพัฒนามาบตาพุดเป็น Specialty Hub ยังถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ GC เพื่อรองรับธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ โดยอยู่ระหว่างการทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อดึงดูดพันธมิตรระดับโลกที่จะส่งเสริมธุรกิจทั้งห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) เสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทย ควบคู่ไปกับการศึกษาความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจรายอื่น ๆ เพื่อนำโครงการใหม่ ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Specialty Hub โดยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างศูนย์กลางอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์เฉพาะทางที่ครบวงจร อาทิเช่น การร่วมมือกับ Toray เพื่อศึกษาพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ที่เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ สิ่งทอ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยได้รับทุนสนับสนุนญี่ปุ่น จากรัฐบาล คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จในปี 2570 และยังให้ความสำคัญกับน้ำมันอากาศยานด้วย เป็นสิ่งที่บริษัทมีแผนผลักดันเรื่องดังกล่าว การเติบโตในธุรกิจที่ยั่งยืน           GC มุ่งขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านโซลูชันเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมตลาดและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ พลังงานสะอาด วัสดุชีวภาพ ไปจนถึงเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemicals) เพื่อตอบสนองแนวโน้มของตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจหมุนเวียน โดย GC ให้ความสำคัญกับ 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักในธุรกิจ Bio & Circularity ได้แก่ 1. โอลิโอเคมี (Oleochemicals) – มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์จากพืช ผ่านการดำเนินงานของ GGC และ Emery ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้ GC Group พัฒนาโซลูชันเคมีชีวภาพที่สามารถทดแทนการใช้วัตถุดิบฟอสซิลในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ 2. พลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) – ผ่าน NatureWorks บริษัทร่วมทุนกับ Cargill ในการพัฒนาและผลิต PLA ซึ่งเป็นวัสดุชีวภาพที่ย่อยสลายได้ รองรับตลาดบรรจุภัณฑ์ อุตสาหกรรมสิ่งทอ และผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและพร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในปลายปี 2568 3. พลาสติกรีไซเคิล (Recycled Plastics) – เป็นผู้บุกเบิกและขยายตลาดวัสดุรีไซเคิลคุณภาพสูงมาอย่างยาวนาน โดย ENVICCO ผลิต rPET และ rHDPE ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม 4. เชื้อเพลิงและโพลีเมอร์ชีวภาพ (Biofuels & Biopolymer) – GC ขยายศักยภาพผ่าน Biorefinery ที่ครบวงจร ได้แก่ เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) สำหรับอุตสาหกรรมการบิน รวมถึงผลิตภัณฑ์ Bio-chemicals และ Bio-polymer สำหรับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ก่อสร้าง ตกแต่ง ชิ้นส่วนยานยนต์ ขิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า และสิ่งทอ           นอกจากนี้ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน GC ได้รับการจัดอันดับ Top 1% ในดัชนีความยั่งยืนของดาวน์โจนส์ (DJSI) สำหรับอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ทั่วโลกจาก S&P Global และครองอันดับ 1 ต่อเนื่อง 6 ปี เป็นรายแรกและรายเดียวของโลกในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและสร้างคุณค่าให้กับทุกภาคส่วน และล่าสุด GC ได้รับผลการประเมินระดับ A (Leadership Level) ซึ่งเป็นระดับสูงสุด 5 ปีต่อเนื่องด้านการบริหารจัดการน้ำ (Water Security) ภายใต้กรอบการประเมินของสถาบันประเมินความยั่งยืนที่น่าเชื่อถือระดับโลก CDP ประจำปี 2567 จากจำนวนบริษัททั้งหมดที่เข้าร่วมประเมิน กว่า 22,000 บริษัท

PTTGC คว้ารางวัล Best Perpetual Bond 2024 in Southeast Asia 

PTTGC คว้ารางวัล Best Perpetual Bond 2024 in Southeast Asia 

          นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี (ขวา) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC รับมอบรางวัล Best Perpetual Bond 2024 in Southeast Asia จาก Mr. Siddiq Bazarwala, CEO/Publisher (ซ้าย) ของ Alpha Southeast Asia ซึ่งเป็นนิตยสารชั้นนำด้านการลงทุน สถาบัน การธนาคารและตลาดทุนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในโอกาสที่ GC ประสบความสำเร็จในการขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ครั้งแรกของบริษัทฯ มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท ซึ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดในกลุ่มเดียวกัน ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อ GC และกลุ่ม ปตท.           ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ ทาง GC จะนำไปใช้ชำระหนี้เงินกู้เดิมทั้งในและต่างประเทศ การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ได้เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับ GC และเสริมสร้างโครงสร้างเงินทุนของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อีกทั้งสนับสนุนก้าวการเติบโตที่จะ มุ่งสู่ “การเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต”

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

PTTGC คว้าระดับ A สูงสุด ด้านบริหารจัดการน้ำ 5 ปีต่อเนื่อง 

PTTGC คว้าระดับ A สูงสุด ด้านบริหารจัดการน้ำ 5 ปีต่อเนื่อง 

              หุ้นวิชั่น - บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ได้รับผลการประเมินระดับ A (Leadership Level) ซึ่งเป็นระดับสูงสุด 5 ปีต่อเนื่องด้านการบริหารจัดการน้ำ (Water Security) ภายใต้กรอบการประเมินของสถาบันประเมินความยั่งยืนที่น่าเชื่อถือระดับโลก CDP ประจำปี 2567 จากจำนวนบริษัททั้งหมดที่เข้าร่วมประเมิน กว่า 22,000 บริษัท               คุณณะรงค์ศักดิ์  จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTTGC เปิดเผยว่า “GC ให้ความสำคัญและมุ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามหลัก Circular Economy โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เพราะเราตระหนักดีว่า น้ำคือทรัพยากรที่สำคัญและมีคุณค่า ไม่ใช่เฉพาะแค่ภาคธุรกิจ แต่ต่อทุกชีวิตบนโลกนี้ เราจึงมุ่งมั่นใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพตลอดกระบวนการผลิต ลดปริมาณการใช้น้ำ นำกลับมาใช้ซ้ำ และหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงระบบบำบัดน้ำที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อป้องกันผลกระทบต่อชุมชน นอกจากนั้นยังร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำในพื้นที่ รวมทั้งการบูรณาการป่าต้นน้ำ เพื่อสร้างแหล่งน้ำชุมชน สร้างสมดุลระบบนิเวศเพื่อความยั่งยืนทั้งระบบ อาทิ โครงการฟื้นป่า รักษ์น้ำ เขาห้วยมะหาด จังหวัดระยอง รวมทั้งการปลูกป่าในหลายพื้นที่ทั่วประเทศแล้วกว่า 21,000 ไร่ในปัจจุบัน โดยการบริหารจัดการน้ำแบบองค์รวมจะเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 (Net Zero)”                CDP (Carbon Disclosure Project) เป็นองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ด้านบริหารการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลคาร์บอนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สำคัญต่อโลก อีกทั้งยังเป็นแหล่งข้อมูลออนไลน์ด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ขององค์กรที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีนักลงทุนจำนวนมากให้ความเชื่อมั่นในข้อมูลของ CDP เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุน โดย CDP มีการแบ่งผลการประเมินออกเป็น 8 ระดับ ตั้งแต่ A ถึง D-

PTTGC คาดปีนี้พลิกกำไร 1.2 พันลบ.โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 28.00 บาท

PTTGC คาดปีนี้พลิกกำไร 1.2 พันลบ.โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 28.00 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ระบุว่า PTT Global Chemicals (PTTGC) 4Q24 ขาดทุนสูงกว่าคาด แต่แนวโน้มค่อยๆ ดีขึ้น           ► ประกาศงบ 4Q24 ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เทียบกับ -1.9 หมื่นล้านบาทใน 3Q24 แต่พลิกจากกำไรสุทธิ 5.1 พันล้านบาทใน 4Q23 และต่ำกว่าที่ประเมินไว้ 14% สาเหตุหลักมาจากอัตรากำไรธุรกิจโอเลฟินส์อ่อนแอกว่าคาดจาก Premium ราคาขายลดลง           ► รายการพิเศษที่สำคัญ ได้แก่ กำไรสต็อกน้ำมันรวม NRV 941 ล้านบาท, กำไร Hedging 253 ล้านบาท, ขาดทุน FX 1 พันล้านบาท, ประมาณการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้าง และยุติการดำเนินงานของ Vencorex และ PTTAC รวม 4.3 พันล้านบาท           ► ผลการดำเนินงานปกติขาดทุน 7.7 พันล้านบาท อ่อนแอลงเทียบกับ -1.1 พันล้านบาทใน 3Q24 และ -2.1 พันล้านบาทใน 4Q23 โดยเมื่อเทียบกับ 3Q24 ปรับตัวลดลงทุกธุรกิจ โดยเฉพาะโอเลฟินส์และ Polymer สาระสำคัญดังนี้ 1. โอเลฟินส์และ Polymer อ่อนแอลง ตามทิศทางราคา PE, ผลกระทบการปรับขึ้นราคาต้นทุน Ethane ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี 600 ล้านบาท (Retroactive ราว 450 ล้านบาท), Premium ราคาขายลดลง 2. อะโรมาติกส์ปรับตัวลงตาม PX และ BZ Spread 3. Phenol Spread ได้รับผลกระทบจากกำลังผลิตใหม่ 4. การเพิ่มขึ้นของ Crack Spread น้ำมันสำเร็จรูปถูกชดเชยด้วยการปิดซ่อมบำรุงหน่วยเพิ่มคุณภาพน้ำมัน ทำให้สัดส่วนผลิตภัณฑ์น้ำมันเตาเพิ่มขึ้น 5. ปริมาณขาย Allnex ลดลงตามปัจจัยฤดูกาลก่อนเข้าสู่วันหยุดสิ้นปี 6. รับรู้ขาดทุนจาก Vencorex เพิ่มขึ้น           ► ทั้งปี 2024 ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท (ต่ำกว่าคาด 6%) หากนับเฉพาะผลการดำเนินงานปกติอยู่ที่ -1 หมื่นล้านบาท (vs -3.2 พันล้านบาทในปี 2023) จาก Crack Spread น้ำมันสำเร็จรูปลดลง และขาดทุนจาก Vencorex เพิ่มขึ้น           ► ประกาศเงินปันผลงวด 2H24 ที่ 0.50 บาท/หุ้น (Yield 2.6%) ขึ้น XD 3 มี.ค. จ่ายเงิน 24 เม.ย. Our Take           ► แนวโน้ม 1Q25 ยังอยู่ภายใต้แรงกดดัน แต่คาดว่าจะฟื้นตัว QoQ เพราะไม่มีรายการค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวรวม 4.7 พันล้านบาท (การตั้งสำรองค่าใช้จ่าย PTTAC, Vencorex และ Retroactive ต้นทุน Ethane), ค่าการกลั่นฟื้นตัวหลัง Yield ผลิตภัณฑ์กลับมาเป็นปกติ, ไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนของ PTTAC           ► ปี 2025 แม้ยังเป็นช่วงที่ท้าทายของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และเป็นช่วงปิดซ่อมใหญ่โรงกลั่นและอะโรมาติกส์ 50-53 วันใน 4Q25 ทำให้ปริมาณขายลดลง 5-10% อย่างไรก็ตาม ภาพรวมจะดีขึ้น YoY จาก 1. ประโยชน์การปรับโครงสร้าง ลดภาระขาดทุนจาก Vencorex และ PTT Asahi ราว 4 พันล้านบาท/ปี และไม่มีการด้อยค่าสินทรัพย์จำนวนมาก 2. ทิศทาง Spread ปิโตรเคมีค่อยๆ ดีขึ้น 3. ปริมาณวัตถุดิบ Ethane เพิ่มขึ้นเป็น 1.9 ล้านตัน (vs 1.6 ล้านตันในปี 2024) 4. สามารถใช้งานท่อ SPM เต็มปี (ลดค่าใช้จ่าย 1.8 พันล้านบาท/ปี)           ► คงประมาณการปี 2025 พลิกเป็นกำไร 1.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ หาก PTTGC สามารถหาเจ้าของใหม่ Vencorex ในไทยและสหรัฐฯ ได้ จะสามารถกลับรายการด้อยค่าที่เกิดขึ้นบางส่วนได้           ► คงราคาเหมาะสม 28.00 บาท ปัจจุบันซื้อขายบน PBV ที่ 0.3 เท่า (Discount -2.0 SD) ถือว่า Downside จำกัดแล้ว คงคำแนะนำ “ซื้อ” ทั้งนี้ มองการฟื้นตัวจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เชิงกลยุทธ์นักลงทุนอาจทยอยสะสมเมื่อหุ้นอ่อนตัว หรือรอผ่านการปรับน้ำหนักดัชนี MSCI Global Standard Index วันที่ 28 ก.พ. (PTTGC ถูกปรับออกจากดัชนี)

PTTGC ไตรมาส 4/67 ขาดทุน1.1 หมื่นล.

PTTGC ไตรมาส 4/67 ขาดทุน1.1 หมื่นล.

                  หุ้นวิชั่น - PTTGC เผยไตรมาส 4/67 ขาดทุนสุทธิรวม 11,738 ล้านบาท ส่วนทั้งปีขาดทุน 29,811 ล้านบาท รายได้ปี 2567 ที่ 604,045 ล้านบาท พร้อมกลยุทธ์ Portfolio Transformation เตรียมงบลงทุน 840 ล้านเหรียญฯ (2568-2572) มุ่งขยายธุรกิจเคมีภัณฑ์และพลังงานใหม่คาดเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ดันความต้องการผลิตภัณฑ์เพิ่ม หนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.50บาทต่อหุ้น กำหนด วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) : 03 มี.ค. 2568 และ กำหนดวันที่จ่ายปันผล วันที่ 24 เม.ย. 2568           นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/2567ในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 132,372 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 จากไตรมาส 3/2567 และ ลดลงร้อยละ 18 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจาก กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นที่ปรับตัวลดลง จากราคาผลิตภัณฑ์ของ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปที่ปรับลดลง สอดคล้องกับราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบโลกที่ปรับลง และ กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่ราคาปรับตัวลดลงในไตรมาสนี้เป็นสำคัญ           นอกจากนี้ สถานการณ์ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงมีความท้าทายจากปัจจัยกดดันทาง เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าจะมีการประกาศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจีน ผลประกอบการทางการเงิน           ในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ รายงาน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 2,663 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 68 โดยมีปัจจัยหลักจาก ธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังคงอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลต่ออุปสงค์ปลายทางของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี การเริ่มดำเนินการของกำลังการผลิตใหม่ในตลาด โดยเฉพาะจากประเทศจีน ส่งผลให้ราคาขายเม็ดพลาสติก โพลิเอทิลีนเฉลี่ยปรับตัวลดลง ส่วนต่างราคากลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับตัวลดลง           สำหรับ ธุรกิจโรงกลั่น มี ค่าการกลั่น (GRM) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดย GRM ในไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 3.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษปรับลดลง เนื่องจากผลกระทบจาก กลุ่มบริษัท Vencorex การปรับลดตามฤดูกาลของธุรกิจอื่นๆ ในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาว โดยเฉพาะใน ทวีปยุโรปและอเมริกา ส่งผลให้ปริมาณการขายของ บริษัท allnex ปรับลดลง ผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบ           ในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ รับรู้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับราคาสัญญาซื้อวัตถุดิบอีเทน จาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ย้อนหลังตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับเพิ่มขึ้น รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ • ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (Stock loss) และกลับรายการการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (NRV Reversal) รวมเป็นกำไร 941 ล้านบาท • กำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงด้านราคา 253 ล้านบาท • ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิและผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน รวมเป็นขาดทุน 1,033 ล้านบาท • รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในไตรมาสนี้ จำนวน 725 ล้านบาท โดย ผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมทุนในธุรกิจปิโตรเคมียังคงอ่อนตัว โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโพลิโพรพิลีนเป็นหลัก กลยุทธ์การบริหารจัดการ Portfolio และผลกระทบทางการเงิน           ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ดำเนินยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ Portfolio เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ (Portfolio Transformation) แต่ต้องเผชิญความท้าทายจาก • สภาวะการแข่งขันอุตสาหกรรมที่รุนแรง • การปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มบริษัท Vencorex และบริษัท พีทีที อาซาฮี เคมิคอล จำกัด (PTTAC) บริษัทฯ ได้รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ไปในไตรมาส 3 ปี 2567 โดยใน ไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทฯ รับรู้ประมาณการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ซึ่งประกอบด้วย: • ประมาณการหนี้สินของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในอนาคตของกลุ่มบริษัท Vencorex จำนวน 1,455 ล้านบาท • ประมาณการหนี้สินของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในอนาคตของ PTTAC จำนวน 2,836 ล้านบาท ผลขาดทุนสุทธิ           เมื่อรวมปัจจัยทั้งหมดแล้ว บริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิรวม 11,738 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2567           ผลประกอบการในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 604,045 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 2 โดยมีสาเหตุสำคัญมาจาก รายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นที่ปรับตัวลดลง จากราคาผลิตภัณฑ์ของ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูป และ กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่ลดลง แม้ว่าปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง เนื่องจากในปี 2566 มี การหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงโมโนเอทิลีนไกลคอลในช่วงครึ่งปีแรก และโรงงานฟีนอลหน่วยที่ 2           โดยภาพรวมในปี 2567 บริษัทฯ มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 31,766 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 17 จากปีก่อนหน้า เนื่องจากผลประกอบการของ กลุ่มผลิตภัณฑ์โรงกลั่นที่อ่อนตัวลงตาม GRM โดย ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบปรับลดลง เป็นหลัก และผลประกอบการของ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงได้รับแรงกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ทำให้อุปสงค์ยังคงชะลอตัวและอุปทานของภาคปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นในระหว่างปี นอกจากนี้ บริษัทฯ รับรู้ รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ ได้แก่           ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (Stock loss) และรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (NRV) รวม 2,457 ล้านบาท กำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวม 383 ล้านบาท           ผลขาดทุนจากเงินลงทุนที่รับรู้ในปีนี้จำนวน 1,462 ล้านบาท โดยขาดทุนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า เนื่องจาก ผลประกอบการของธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลง โดยเฉพาะธุรกิจโพลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) ซึ่งได้รับผลกระทบจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ PVC ที่ลดลงเป็นหลัก กลยุทธ์และการปรับโครงสร้างธุรกิจ           ในปี 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินแนวทางตาม ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ Portfolio ของธุรกิจให้เข้มแข็ง (Portfolio Transformation) เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาว โดยได้ปรับโครงสร้างธุรกิจของ 2 บริษัทหลัก ได้แก่ 1️กลุ่มบริษัท Vencorex – ผู้ผลิต HDI และ HDI Derivatives ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 100 2️ PTTAC – บริษัทในกลุ่มธุรกิจอะคริโลไนไตรล์และเมทิลเมทาคริเลต ซึ่งเป็นบริษัทร่วมค้าที่ยังถือหุ้นร้อยละ 50 • เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 Vencorex France และ Vencorex TDI ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส เพื่อขอเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างทางธุรกิจในชั้นศาลตามกฎหมายของประเทศฝรั่งเศส • เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 ศาลแพ่งได้มีคำสั่งรับคำร้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาเบื้องต้น ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 3-4 เดือน • เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ศาลมีคำสั่งขยายระยะเวลาของกระบวนการดังกล่าวไปจนถึงเดือนมีนาคม 2568 • บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของกลุ่มบริษัท Vencorex และประมาณการหนี้สินสำหรับกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจ รวม 10,028 ล้านบาท ปัจจุบัน Vencorex มีความคืบหน้าในการสรรหาผู้ซื้อสินทรัพย์ในฝรั่งเศส ไทย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 • เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ PTTAC มีมติอนุมัติแผนยุติการดำเนินกิจการ ทำให้บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนตามวิธีส่วนได้ส่วนเสียจาก PTTAC รวม 11,773 ล้านบาท ผลกระทบทางการเงิน           เมื่อรวมปัจจัยทั้งหมด บริษัทฯ รายงาน ขาดทุนสุทธิรวม 29,811 ล้านบาท (-6.62 บาท/หุ้น) ในปี 2567 พิจารณาจาก Adjusted EBITDA ในปี 2567 กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น มีผลประกอบการลดลงจาก ผลกระทบของ GRM ที่ลดลงมากกว่าครึ่ง จาก 9.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2566 เป็น 4.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2567 โดยส่วนใหญ่เป็นผลจาก ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบที่ลดลง กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ทรงตัว           ผลประกอบการโรงโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นอย่างมากจากปีก่อนหน้า ตามทิศทางของ ส่วนต่างผลิตภัณฑ์เอทิลีนและแนฟทาที่เพิ่มขึ้น ในปี 2567 บริษัทฯ มี การหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น ได้แก่โรงงานโอเลฟินส์หน่วยที่ 2/2 ในไตรมาส 1 และไตรมาส 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ           กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง มีผลประกอบการดีขึ้นจากปีก่อนหน้าอย่างมาก เนื่องจาก ปริมาณขายรวมที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก หลังจากปี 2566 มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของ โรงโมโนเอทิลีนไกลคอลในช่วงครึ่งปีแรก และโรงฟีนอลหน่วยที่ 2           กลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์ มีผลประกอบการลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกอ่อนตัวลง แม้ว่าราคาเฉลี่ยของ เม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีน (PE) จะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 และ ปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2           กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพและผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน มีผลประกอบการลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณขายของผลิตภัณฑ์เมทิลเอสเทอร์ลดลงร้อยละ 10 โดยภาครัฐมีการปรับนโยบายลด ส่วนผสมไบโอดีเซลจาก B7 เป็น B5 ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป           กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ มีผลประกอบการลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจาก Vencorex ได้รับแรงกดดันจากราคาผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันสูง รวมถึงอุปสงค์ของลูกค้าที่ชะลอตัวลง ขณะที่ allnex มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปีก่อนหน้า จากปริมาณขายที่เติบโตใน ภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก           แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2568 แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตในระดับคงที่ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตในระดับร้อยละ 3.2 เช่นเดียวกับในปี 2567 (IMF ตุลาคม 2567) โดยมีแนวโน้มค่อยๆ ฟื้นตัว มีปัจจัยสนับสนุนจากการลดลงของเงินเฟ้อ การฟื้นตัวของภาคการผลิตและการขนส่งในบางภูมิภาค รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากหลายประเทศทั่วโลก ทำให้การบริโภคและการลงทุนฟื้นตัวได้ดีขึ้น ช่วยลดแรงกดดันต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาคเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง           อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์หลังเข้ารับตำแหน่งที่อาจส่งผลต่อนโยบายกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและสร้างแรงกดดันต่อภาคธุรกิจโดยรวม กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น           บริษัทฯ คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2568 อยู่ที่เฉลี่ย 73-78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยความต้องการน้ำมันดิบจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากปี 2567 เนื่องจากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะค่อยๆ ฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น           อย่างไรก็ตาม นโยบายการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกและการใช้พลังงานหมุนเวียนในหลายประเทศยังเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบ ด้านอุปทานน้ำมันดิบกลุ่มโอเปกพลัสเพื่อรักษาสมดุลของตลาด ในขณะที่กำลังการผลิตน้ำมันดิบที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากประเทศนอกกลุ่มโอเปก เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล และกายอานา จะช่วยลดความตึงตัวของอุปทานในตลาดลง           สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของโรงกลั่น บริษัทฯ คาดว่าสถานการณ์ราคาและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ในปี 2568 มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากปี 2567 เนื่องจากอุปทานผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตโรงกลั่นใหม่ในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีนและอินเดีย ด้านอุปสงค์คาดการณ์ว่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจีนจะช่วยสนับสนุนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น           บริษัทฯ คาดการณ์ว่าส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซล (10 ppm) กับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 14-17 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันเตากำมะถันต่ำ (Low Sulfur Fuel Oil: LSFO) กับน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ 9-12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันแก๊สโซลีนกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 11-15 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล           ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการยังคงบริหารจัดการรูปแบบการผลิต และสัญญาขายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อบริหารจัดการการจัดหาน้ำมันดิบในการผลิตและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ให้มีความเหมาะสม โดยบริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นในปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 91 กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง           แนวโน้มสถานการณ์ตลาดผลิตภัณฑ์ฟีนอลในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ฟีนอล (P2F) จะอยู่ที่ 230-250 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ใกล้เคียงกับปี 2567 อุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ฟีนอล อะซิโทน และบิสฟีนอลเอ ยังคงมีปัจจัยกดดันจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัว และจะค่อยๆ มีทิศทางดีขึ้น ในส่วนของอุปทานกำลังการผลิตใหม่ในประเทศจีนยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะมีผู้ผลิตบิสฟีนอลเอในญี่ปุ่นประกาศปิดกิจการไป           สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ตลาดของผลิตภัณฑ์โมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG) บริษัทฯ คาดว่าราคา MEG จะอยู่ที่ 510-540 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน คาดว่าจะยังคงมีปัจจัยกดดัน ทั้งจากทางด้านอุปสงค์ที่ยังคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ อีกทั้งยังมีหน่วยการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นในปี 2568 ซึ่งยังเป็นปัจจัยหลักที่กดดันราคา กลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์           แนวโน้มสถานการณ์ตลาดเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE จะเฉลี่ยอยู่ที่ 980 – 1,010 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2567 คาดการณ์ปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์จะฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ นำโดยประเทศกลุ่มเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างประเทศสหรัฐอเมริกา และจีน           อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงมีความผันผวนและถูกกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในประเทศจีน ด้านอุปสงค์คาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโพลิเอทิลีนในปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 107 กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ           คาดการณ์ว่าความต้องการของผลิตภัณฑ์กลุ่มสารเคลือบผิวอุตสาหกรรม (Coating Resin) มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2567 จากการเติบโตของความต้องการของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะยังคงสูงกว่าการเติบโตของ GDP โดยรวม เนื่องจากสัญญาณบวกของการฟื้นตัวในอุตสาหกรรมปลายทาง เช่น กลุ่มยานยนต์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี คาดการณ์ว่าจะเห็นการแข่งขันด้านราคามากขึ้น โดยเฉพาะจากกำลังการผลิตใหม่           ประมาณการงบลงทุนในช่วง 5 ปี (2568-2572) ของกลุ่มบริษัท จำนวนรวม 840 ล้านเหรียญฯ แบ่งเป็น 1.งบลงทุนของบริษัทฯ และบริษัทย่อย (ไม่รวม allnex)   ที่ 183 ล้านเหรียญฯ  ประกอบด้วยปี 2568  จำนวน 163  ล้านเหรียญฯ, ปี 2569 จำนวน 20 ล้านเหรียญฯ 2.งบลงทุนบริษัท Allnex  จำนวนรวม 657 ล้านเหรียญฯ  ประกอบด้วย ปี 2568 จำนวน 126 ล้านเหรียญฯ, ปี 2569 จำนวน 141 ล้านเหรียญฯ, ปี 2570 จำนวน 160 ล้านเหรียญฯ, ปี 2571 จำนวน 138 ล้านเหรียญฯ  และปี 2572 จำนวน 92 ล้านเหรียญฯ           ทั้งนี้ยังงบลงทุนที่ยังไม่ได้นับรวม ได้แก่ งบซ่อมบำรุงประจำปีประมาณ 400 ล้านเหรียญฯ (รวมบริษัท allnex Holding GmbH) , งบลงทุน เช่น โครงการเกี่ยวกับไอที & ดิจิทัล, โครงการปรับปรุงอาคารสำนักงาน, โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต เป็นต้น, งบลงทุนสำหรับการขยายธุรกิจของ Allnex รวมถึงโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วและโครงการลงทุนที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาแต่ไม่รวมโครงการ M&A ขนาดใหญ่ และสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเหรียญสหรัฐต่อสกุลยูโรอยู่ที่ 1.12 สำหรับงบลงทุนของบริษัท allnex

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

PTTGC ชูเสื่ออัพไซเคิล MEGA MAT  ที่งานเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2568

PTTGC ชูเสื่ออัพไซเคิล MEGA MAT ที่งานเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2568

          หุ้นวิชั่น - 15 กุมภาพันธ์ 2568 กรุงเทพมหานคร – 6 พันธมิตรชั้นนำ ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล  เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล มุ่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อ ความยั่งยืน ร่วมมือกับ สถานทูตเนเธอร์แลนด์ (NL) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (CEA) กรุงเทพมหานคร (BMA) ศูนย์เชื่อมโยงอาเซียนด้านการออกแบบเมืองและสรรค์สร้าง (Urban Ally) และ บริษัทออกแบบจากเนเธอร์แลนด์ ผู้ให้คำปรึกษาเรื่องสถาปัตยกรรมและปัญหาในเขตเมือง (MVRDV) ในการสร้างสรรค์ MEGA MAT: Reimagining Waste into Wonder เสื่ออัพไซเคิลจากพลาสติกใช้แล้ว รังสรรค์เป็นผลงานศิลปะขนาดใหญ่ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญของผู้ทอเสื่อในการไล่เฉดสีของเสื่อเพื่อให้ถูกต้องตามการออกแบบ โดยมีแรงบันดาลใจจากหลังคาวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร อีกทั้งต้องประกอบและติดตั้งให้สามารถใช้งานได้จริง กลายเป็นที่สาธารณะสร้างสรรค์ให้กับคนเมืองในเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2568 ออกแบบพร้อมบวก+ (Bangkok Design Week 2025: Design Up+Rising) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนของ GC           นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GC กล่าวว่า “MEGA MAT เป็นอีกผลงานศิลปะที่สะท้อนแนวคิด End-to-End Waste Management หรือ การจัดการขยะพลาสติกตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางของ GC โดยนำพลาสติกใช้แล้วกลับมาสร้างคุณค่าใหม่อย่างเป็นระบบ เสื่อทั้งหมดอัพไซเคิลจากเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีนรีไซเคิล (rPP) ที่มาจากเศษเส้นใยกระสอบใช้แล้วและเศษพลาสติกในประเทศไทย ถักทอเป็นเสื่อไทยได้อย่างประณีตและแข็งแรง กระบวนการนี้ไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะพลาสติก แต่ยังเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือใช้ และสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนในภาคอุตสาหกรรมไทยอีกด้วย           เราเชื่อว่าศิลปะสามารถเป็นสื่อกลางที่ทรงพลังในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม MEGA MAT จึงไม่ใช่แค่ผลงานศิลปะขนาดใหญ่ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเห็นถึงศักยภาพของการรีไซเคิลและอัพไซเคิลเพื่อสร้างสรรค์เป็นสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม” MEGA MAT: Reimagining Waste into Wonder           MEGA MAT เป็นผลงานศิลปะเสื่ออัพไซเคิลขนาดใหญ่ มีความยาว 34.2 เมตร x กว้าง 25.2 เมตร ประกอบด้วย เสื่ออัพไซเคิลไซเคิล จำนวน 532 ผืน แต่ละผืนมีน้ำหนัก 1 กิโลกรัม นำมาเย็บต่อกันอย่างประณีต มีน้ำหนักรวม 532 กิโลกรัม ได้รับแรงบันดาลใจจากหลังคาวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหารกลายเป็นที่สาธารณะสร้างสรรค์ให้กับคนเมือง เสื่อเหล่านี้ผลิตจากเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีนรีไซเคิล (rPP) ซึ่งมาจากเศษเส้นใยกระสอบที่ผ่านการใช้งานแล้ว และเศษพลาสติกใช้แล้วในประเทศไทย นำมาผ่านกระบวนการอัพไซเคิล เปลี่ยนเป็นเม็ดพลาสติกที่มีคุณภาพสูง รีดเป็นเส้น ก่อนที่จะถูกนำมาสร้างสรรค์เป็นเสื่อไทยลวดลายทรงข้าวหลามตัดที่มีสีสันสวยงามและคงทน โดยการสร้างสรรค์นี้ต้องอาศัยความชำนาญของผู้ทอเสื่อในการไล่เฉดสีของเสื่อเพื่อให้ถูกต้องตามการออกแบบ การประกอบเสื่อต้องแข็งแรงแน่นหนา เนื่องจากถูกออกแบบโดยมีแรงบันดาลใจจากหลังคาวัด ทำให้การประกอบและติดตั้งต้องคำนึงถึงน้ำหนักและโครงสร้างที่ต้องถูกยกขึ้น อีกทั้งต้องสามารถใช้งานได้จริง           ภายหลังจบการแสดงผลิตภัณฑ์ในเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2568 ออกแบบพร้อมบวก+ (Bangkok Design Week 2025: Design Up+Rising) แล้ว MEGA MAT จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ต่อ ตั้งแต่การบริจาคให้กับกรุงเทพมหานครเพื่อการใช้งานในพื้นที่สาธารณะต่อไป  การมอบให้พันธมิตรทางธุรกิจของ GC เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ และ การนำเข้าสู่คอลเลกชัน UPTOYOU Spring/Summer 2025 โดยนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น กระเป๋าถือ และ ของที่ระลึก อีกด้วย           GC และพันธมิตรขอเชิญชวนประชาชนร่วมสัมผัสประสบการณ์มหัศจรรย์ MEGA MAT ที่ซึ่งความคิดสร้างสรรค์และความยั่งยืนมาบรรจบกันอย่างลงตัว ให้ทุกคนได้ต่อยอดความคิด                 เพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนไปด้วยกัน ในเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2568 ออกแบบพร้อมบวก+ (Bangkok Design Week 2025: Design Up+Rising) ระหว่างวันที่ 15-23 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร สามารถติดตามรายละเอียดของงานเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ https://www.bangkokdesignweek.com/bkkdw2025 [PR News]

PTTGC ราคาลงรับ MSCI ปรับพอร์ต ปี 68 กำไร 5.5 พันล.

PTTGC ราคาลงรับ MSCI ปรับพอร์ต ปี 68 กำไร 5.5 พันล.

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)  กล่าวว่า ราคาหุ้นของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTG) ที่ปรับตัวลงมาแรงวันนี้ คาดมาจากการที่ MSCI Rebalance (MSCI) ประกาศรายชื่อหุ้นที่ใช้ในดัชนีรอบใหม่ (มีผลที่ราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. นี้) ดัชนี MSCI ACWI Standard Index หุ้นเข้า : ไม่มี ส่วนหุ้นออก : TOP, PTTGC ดัชนีMSCI Global Small Cap หุ้นเข้า : GPSC, PTTGC, SCGP, TOP หุ้นออก : BSRC, TIPH, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSH, PSG,SAPPE, STECON, THG          ทั้งนี้ผลประกอบการ Q4/67 คาดมีผลขาดทุน 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นผลมาจาก 1. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของ PTT Asahi (PTTAC) ประมาณ 3.0 พันล้านบาท และ Vencorex ประมาณ 1.5 พันล้านบาท 2. การปรับปรุงหน่วยเพิ่มคุณภาพน้ำมันของโรงกลั่น 3. Spread petrochemical ยังคงปรับลดลง 4. EBITDA ของ Allnex อยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท ลดลง 10% qoq ตามยอดขายที่ลดลง 6% qoq เนื่องจากเป็น Low season          อย่างไรก็ตาม PTTGC มีกำไรจากการป้องกันความเสี่ยง (Hedging gain) และ Stock gain จำนวน 1.1 พันล้านบาท แต่ถูก offset ด้วย Fx gain ทั้งหมด ธุรกิจ olefins ยังอ่อนแอ คาดว่า EBITDA ของธุรกิจ Olefins ปรับลดลง qoq จากราคาของ HDPE และ LDPE ลดลง 7%, 2.2%, และ 4.7% ตามลำดับ เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และความต้องการยังคงอ่อนแอ รวมไปถึงต้นทุน Ethane ที่ยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นประมาณ 200 ล้านบาท จากการปรับปรุงสัญญาซื้อขายก๊าซ Ethane กับ PTT อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการใช้งาน Ethane ในการผลิตยังคงอยู่ที่ 35% (เทียบกับ 31% ใน 3Q67) Spread Aromatics ลดลง: เราคาดว่า Spread Aromatics (BTX) อยู่ที่ 191 เหรียญต่อตัน ลดลง 21% qoq ตาม Spread PX และ BZ ที่ลดลง 23% และ 16% qoq ตามลำดับ Unplanned Shutdown โรงกลั่น 45 วัน: อัตราการกลั่นใน 4Q67 อยู่ที่ 95% ลดลงจาก 104% ใน 3Q67 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการหยุดซ่อมหน่วยเพิ่มคุณภาพน้ำมันเป็นเวลา 45 วัน ซึ่งเป็น Unplanned shutdown ทำให้สัดส่วนการผลิต Fuel oil เพิ่มขึ้น เนื่องจากการกลั่นในช่วง Unplanned shutdown เป็น Hydro skimming ทำให้ค่าการกลั่นใน 4Q67 อยู่ที่ 5 เหรียญต่อบาร์เรล คงตัว qoq PTTGC จะประกาศงบการเงิน 4Q67 ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 67          ปรับลดประมาณการผลขาดทุนสุทธิปี 67 ลง 28% อยู่ที่ 2.9 หมื่นล้านบาท เพื่อสะท้อนผลประกอบการ 4Q67 ที่อ่อนแอกว่าที่คาด และปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 68 ลง 46% อยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท จากการปรับลดสมมติฐาน Spread ของธุรกิจ petrochemical และรวมประโยชน์ที่ได้จากการหยุดกิจการของ Vencorex และ PTTAC รวมประมาณ 5 พันล้านบาท          แนะนำถือ ราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 23.00 บาท อ้างอิง PBV ที่ระดับ -2.0S.D. ที่ 0.41x เพื่อสะท้อนการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิในปี 68 แม้ราคาหุ้นปัจจุบันจะซื้อขายต่ำกว่าระดับ -2.0S.D. ของ BV ในปี 68 แต่คาดว่าผลประกอบการใน 1H68 ยังมีโอกาสขาดทุนจาก Spread ของธุรกิจปิโตรเคมีที่อยู่ในระดับต่ำ

PTTGC จับมือ UCHA รุกตลาด Polyamide ในกลุ่มอุตสาหกรรม

PTTGC จับมือ UCHA รุกตลาด Polyamide ในกลุ่มอุตสาหกรรม

          บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต และ บริษัท อูเบะ เคมิคอลส์ (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ UCHA ผู้นำด้านการผลิตสารคาโปรแลคตัม ไนลอน และไนลอนคอมพาวน์ รวมถึง ปุ๋ยแอมโมเนีย ซัลเฟต ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการขยายตลาด Polyamide ในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากอุตสาหกรรมยานยนต์ อาทิ อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อ่อนตัว (Flexible Packaging) และ เส้นใยยาว (Filament) เป็นต้น           นายสาโรจน์ พุทธธรรมวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีมูลค่าเพิ่ม บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) กล่าวว่า “ปัจจุบัน GC และ UCHA เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญต่อเนื่องมายาวนาน โดย GC เป็นผู้ดำเนินการจัดหา CX (Cyclohexane) ให้กับ UCHA เพื่อนำไปผลิตเป็น Caprolactam ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต Polyamide (Nylon) ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยนำไปผลิตและขึ้นรูปชิ้นส่วนยานยนต์หลากหลายรูปแบบ  GC เล็งเห็นศักยภาพในการขยายโอกาสทางธุรกิจร่วมกับ UCHA ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ผลิตภัณฑ์กลุ่มบรรจุภัณฑ์อ่อนตัว (Flexible Packaging) อาทิ ถุงใส่อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง และ เส้นใยยาว (Filament) ความร่วมมือในครั้งนี้จึงเกิดขึ้น โดยจะช่วยขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่ม Nylon ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมถึงเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และธุรกิจ ระหว่าง GC และ UCHA”           นายวัชระ พัฒนานิจนิรันดร กรรมการผู้อำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อูเบะ เคมิคอลส์ (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) (UCHA) กล่าวว่า “การจับมือเป็นพันธมิตรร่วมกันระหว่าง GC และ UCHA ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของทั้งสองบริษัท ในการพัฒนาและขยายตลาด Polyamide ให้เติบโตอย่างยั่งยืนโดย UCHA ซึ่งมี Knowhow ทั้งในเรื่องเทคโนโลยีการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ Polyamide  และเป็นผู้นำในตลาด Specialty ได้เล็งเห็นความสำคัญของตลาด Flexible Packaging ที่เติบโตสูงในอาเซียน ขณะที่ GC มีความเชี่ยวชาญในตลาดที่หลากหลาย การรวมความรู้และเทคโนโลยีของทั้งสองบริษัทจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการผสานศักยภาพของทั้งสองฝ่าย เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูง ตอบโจทย์ตลาดและผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด”           ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นการนำจุดแข็งของทั้งสองบริษัทมาต่อยอดโอกาสทางธุรกิจและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกันได้อย่างสมบูรณ์ เชื่อมั่นได้ว่าจะสามารถสร้างความแตกต่างทำให้ผลิตภัณฑ์มีความโดดเด่น ตอบโจทย์เมกะเทรนด์ ตลาดที่หลากหลาย และความต้องการของผู้บริโภค  พร้อมสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

abs

Hoonvision

PTTGC คาดปี 68 พลิกกำไร 1.2 พันลบ. โบรกแนะซื้อ เป้า 28.00 บาท

PTTGC คาดปี 68 พลิกกำไร 1.2 พันลบ. โบรกแนะซื้อ เป้า 28.00 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า คาด PTTGC 4Q24 ขาดทุนลดลง แต่การฟื้นตัวช้ากว่ามุมมองก่อนหน้าคาด 4Q24 จะขาดทุนสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท (ขาดทุนลดลงจาก 1.9 หมื่นล้านบาทใน 3Q24 เนื่องจากรายการด้อยค่าสินทรัพย์ลดลง แต่พลิกจากกำไรสุทธิ 5.1 พันล้านบาทใน 4Q23) โดยเมื่อเทียบกับ 3Q24 จะขาดทุนลดลง QoQ เพราะคาดว่าจะมีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายการหยุดดำเนินงานของ Vencorex และ PTT Asahi รวม 4 พันล้านบาท (เทียบกับด้อยค่าสินทรัพย์ 1.7 หมื่นล้านบาทใน 3Q24)อย่างไรก็ตาม คาดว่าการฟื้นตัวของ 4Q24 จะทำได้น้อยกว่ามุมมองก่อนหน้า และยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจาก : 1. ธุรกิจโรงกลั่น คาดลดลง QoQ เพราะการปิดซ่อมบำรุงหน่วยเพิ่มคุณภาพน้ำมัน ทำให้อัตรากลั่นเหลือ 95% และค่าการกลั่นน่าจะทำได้เพียงประคองตัวที่ US$3.6/bbl เนื่องจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (น้ำมันดีเซล) ลดลง 2. ธุรกิจอะโรมาติกส์ คาดปรับตัวลง QoQ ตามทิศทางส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์หลัก PX และ BZ 3. ธุรกิจโอเลฟินส์ คาดได้รับผลกระทบจากการบันทึกต้นทุนย้อนหลัง (Retroactive) ภายใต้โครงสร้างสัญญาซื้อขาย Ethane ใหม่ (ราคาต้นทุนแพงขึ้น แต่ชดเชยได้จากปริมาณวัตถุดิบ Ethane ที่ให้ Margin ดีเพิ่มขึ้น) 4. ธุรกิจ Polymer คาดอ่อนแอลง QoQ สอดคล้องกับราคาผลิตภัณฑ์ PE ในตลาดโลก และผลกระทบ Lag-time ของราคาขาย 5. ธุรกิจ Performance Chemicals ลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาลช่วง Low Season ของ Allnex ทำให้ปริมาณขายลดลงปรับลดประมาณการปี 2024 สะท้อนคาดการณ์ 4Q24 หาก 4Q24 เป็นไปตามคาด ถือว่าทำได้น้อยกว่ามุมมองก่อนหน้า เราปรับประมาณการปี 2024 ลงเป็นขาดทุนสุทธิ 2.8 หมื่นล้านบาท (เดิมขาดทุน 2.0 หมื่นล้านบาท) โดยปรับลดสมมติฐาน Margin ผลิตภัณฑ์อะโรมาติกส์, Polymer, Performance Chemicals รวมทั้งปรับเพิ่มรายการขาดทุนสต็อกน้ำมัน และขาดทุนด้อยค่าสินทรัพย์ ปี 2025 เริ่มต้นใหม่ สถานการณ์ค่อยๆ ดีขึ้นสำหรับปี 2025 แม้อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังไม่กลับสู่ภาวะสดใส และบริษัทฯ มีแผนปิดซ่อมบำรุงใหญ่โรงกลั่น 50 วันช่วงเดือนต.ค. – พ.ย. อย่างไรก็ตาม เรามองว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้นจากปี 2024 เพราะ: 1. PTTGC ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ช่วยลดภาระขาดทุนจาก Vencorex และ PTT Asahi ราว 4-5 พันล้านบาท/ปี และไม่มีการด้อยค่าสินทรัพย์จำนวนมาก 2. ทิศทาง Spread ปิโตรเคมีค่อยๆ ดีขึ้น 3. ปริมาณวัตถุดิบ Ethane เพิ่มขึ้น ช่วยสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุน 4. รับรู้ประโยชน์จากการกลับมาใช้งานท่อ SPM เต็มปี (ลดค่าใช้จ่าย 1.8 พันล้านบาท/ปี) คงประมาณการปี 2025 พลิกเป็นกำไร 1.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ ยังมี Upside จากรายการพิเศษ หาก PTTGC สามารถหาเจ้าของใหม่ Vencorex ในไทยและสหรัฐฯ ได้ประเด็นลบส่วนใหญ่สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้วปรับราคาเหมาะสมเป็น 28.00 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” จากมุมมองระยะยาว เชื่อว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้น และประเด็นลบส่วนใหญ่สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว ปัจจุบันซื้อขายบน PBV ที่ 0.4 เท่า (Discount -1.7 SD) อย่างไรก็ตาม แนวโน้ม 4Q24 อ่อนแอ อาจทำให้หุ้นมีความเสี่ยงถูกตลาดปรับลดประมาณการ เชิงกลยุทธ์ นักลงทุนอาจเข้าลงทุนหลังผ่านการรายงานงบการเงินวันที่ 17 ก.พ.

PTTGC คาดปี 68 พลิกกำไร 1.2 พันลบ.  โบรกแนะซื้อ เป้า 28.00 บาท

PTTGC คาดปี 68 พลิกกำไร 1.2 พันลบ. โบรกแนะซื้อ เป้า 28.00 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า คาด PTTGC 4Q24 ขาดทุนลดลง แต่การฟื้นตัวช้ากว่ามุมมองก่อนหน้า           คาด 4Q24 จะขาดทุนสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท (ขาดทุนลดลงจาก 1.9 หมื่นล้านบาทใน 3Q24 เนื่องจากรายการด้อยค่าสินทรัพย์ลดลง แต่พลิกจากกำไรสุทธิ 5.1 พันล้านบาทใน 4Q23) โดยเมื่อเทียบกับ 3Q24 จะขาดทุนลดลง QoQ เพราะคาดว่าจะมีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายการหยุดดำเนินงานของ Vencorex และ PTT Asahi รวม 4 พันล้านบาท (เทียบกับด้อยค่าสินทรัพย์ 1.7 หมื่นล้านบาทใน 3Q24)           อย่างไรก็ตาม คาดว่าการฟื้นตัวของ 4Q24 จะทำได้น้อยกว่ามุมมองก่อนหน้า และยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจาก: ธุรกิจโรงกลั่น คาดลดลง QoQ เพราะการปิดซ่อมบำรุงหน่วยเพิ่มคุณภาพน้ำมัน ทำให้อัตรากลั่นเหลือ 95% และค่าการกลั่นน่าจะทำได้เพียงประคองตัวที่ US$3.6/bbl เนื่องจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (น้ำมันดีเซล) ลดลง ธุรกิจอะโรมาติกส์ คาดปรับตัวลง QoQ ตามทิศทางส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์หลัก PX และ BZ ธุรกิจโอเลฟินส์ คาดได้รับผลกระทบจากการบันทึกต้นทุนย้อนหลัง (Retroactive) ภายใต้โครงสร้างสัญญาซื้อขาย Ethane ใหม่ (ราคาต้นทุนแพงขึ้น แต่ชดเชยได้จากปริมาณวัตถุดิบ Ethane ที่ให้ Margin ดีเพิ่มขึ้น) ธุรกิจ Polymer คาดอ่อนแอลง QoQ สอดคล้องกับราคาผลิตภัณฑ์ PE ในตลาดโลก และผลกระทบ Lag-time ของราคาขาย ธุรกิจ Performance Chemicals ลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาลช่วง Low Season ของ Allnex ทำให้ปริมาณขายลดลง ปรับลดประมาณการปี 2024 สะท้อนคาดการณ์ 4Q24           หาก 4Q24 เป็นไปตามคาด ถือว่าทำได้น้อยกว่ามุมมองก่อนหน้า เราปรับประมาณการปี 2024 ลงเป็นขาดทุนสุทธิ 2.8 หมื่นล้านบาท (เดิมขาดทุน 2.0 หมื่นล้านบาท) โดยปรับลดสมมติฐาน Margin ผลิตภัณฑ์อะโรมาติกส์, Polymer, Performance Chemicals รวมทั้งปรับเพิ่มรายการขาดทุนสต็อกน้ำมัน และขาดทุนด้อยค่าสินทรัพย์ ปี 2025 เริ่มต้นใหม่ สถานการณ์ค่อยๆ ดีขึ้น           สำหรับปี 2025 แม้อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังไม่กลับสู่ภาวะสดใส และบริษัทฯ มีแผนปิดซ่อมบำรุงใหญ่โรงกลั่น 50 วันช่วงเดือนต.ค. – พ.ย. อย่างไรก็ตาม เรามองว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้นจากปี 2024 เพราะ: PTTGC ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ช่วยลดภาระขาดทุนจาก Vencorex และ PTT Asahi ราว 4-5 พันล้านบาท/ปี และไม่มีการด้อยค่าสินทรัพย์จำนวนมาก ทิศทาง Spread ปิโตรเคมีค่อยๆ ดีขึ้น ปริมาณวัตถุดิบ Ethane เพิ่มขึ้น ช่วยสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุน รับรู้ประโยชน์จากการกลับมาใช้งานท่อ SPM เต็มปี (ลดค่าใช้จ่าย 1.8 พันล้านบาท/ปี) คงประมาณการปี 2025 พลิกเป็นกำไร 1.2 พันล้านบาท           นอกจากนี้ ยังมี Upside จากรายการพิเศษ หาก PTTGC สามารถหาเจ้าของใหม่ Vencorex ในไทยและสหรัฐฯ ได้ ประเด็นลบส่วนใหญ่สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว           ปรับราคาเหมาะสมเป็น 28.00 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” จากมุมมองระยะยาว เชื่อว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้น และประเด็นลบส่วนใหญ่สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว ปัจจุบันซื้อขายบน PBV ที่ 0.4 เท่า (Discount -1.7 SD)           อย่างไรก็ตาม แนวโน้ม 4Q24 อ่อนแอ อาจทำให้หุ้นมีความเสี่ยงถูกตลาดปรับลดประมาณการ เชิงกลยุทธ์ นักลงทุนอาจเข้าลงทุนหลังผ่านการรายงานงบการเงินวันที่ 17 ก.พ.

PTTGC เดินหน้าผลิตเชื้อเพลิง SAF สำเร็จรายแรกของไทย ย้ำศักยภาพผู้นำเคมีภัณฑ์คาร์บอนต่ำระดับโลก

PTTGC เดินหน้าผลิตเชื้อเพลิง SAF สำเร็จรายแรกของไทย ย้ำศักยภาพผู้นำเคมีภัณฑ์คาร์บอนต่ำระดับโลก

          หุ้นวิชั่น - มาบตาพุด จ.ระยอง ประเทศไทย – 15 มกราคม 2568 : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ครบวงจรของไทย ประกาศความสำเร็จในการเริ่มผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) เป็นรายแรกของประเทศ นับเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมพลังงานและเคมีภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมเคมีชีวภาพ ความสำเร็จครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของ GC ในการสร้าง "ความแตกต่างด้วยนวัตกรรม ที่ยั่งยืน" โดยมุ่งสู่การเป็นผู้นำระดับโลกด้านเคมีภัณฑ์ครบวงจรแห่งอนาคต ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050)           การผลิต SAF ของ GC เป็นการต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านการกลั่นและเคมีภัณฑ์ชั้นสูง มาสู่นวัตกรรมพลังงานสะอาดสำหรับอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรและของเสียในประเทศ และส่งเสริมศักยภาพของไทยในการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการบินคาร์บอนต่ำของภูมิภาคอาเซียน           นายทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ GC กล่าวว่า “การผลิต SAF เชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการในวันนี้ พร้อมรองรับความต้องการพลังงานทดแทนของอุตสาหกรรมการบินพาณิชย์ไทยที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และให้ความสำคัญกับการนำแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง SAF ของ GC ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISCC CORSIA (International Sustainability and Carbon Certification – Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation)  ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ยอมรับในอุตสาหกรรมการบินสำหรับการรับรองความยั่งยืน และสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 80%* เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไป (*อ้างอิงตามมาตรฐานการรับรอง ISCC CORSIA) นอกจากนี้ GC ยังได้รับรองมาตรฐาน ISCC Plus (International Sustainability and Carbon Certification Plus) ซึ่งมุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบชีวภาพและวัสดุหมุนเวียนใน  การพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืน โดย GC ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงอีกกว่า 10 ชนิด เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมสิ่งทอ  ถือเป็นการยืนยันถึง     ความมุ่งมั่นในการดำเนินงานภายใต้กรอบความยั่งยืนสูงสุด” ความท้าทายของตลาด           ความต้องการของตลาด SAF กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลจากความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมการบินเชิงพาณิชย์และการกำหนดกรอบกฎหมายที่สนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง           GC ได้เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความท้าทายและโอกาสนี้ ด้วยจุดแข็งสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการกลั่นน้ำมัน และการบริหารจัดการวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการนำน้ำมันพืชใช้แล้วภายในประเทศมาผลิตเป็น SAF เชิงพาณิชย์           นอกจากนี้ GC ยังได้สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรสำคัญในอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งจะช่วยให้ GC สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาด SAF ได้อย่างมั่นคง และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมการบินพาณิชย์และพลังงานในอนาคต จุดเด่นที่สำคัญโรงกลั่นชีวภาพ (Biorefinery) นวัตกรรมการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง: ในเฟสแรก GC วางแผนผลิต SAF 6 ล้านลิตรต่อปี โดยใช้น้ำมันพืชใช้แล้วเป็นวัตถุดิบหลัก และมีแผนขยายการผลิตเป็น 24 ล้านลิตรต่อปีในอนาคต ด้วยการใช้เทคโนโลยีการปรับปรุงโรงกลั่นที่มีอยู่เดิม ทำให้สามารถประหยัดการลงทุนเมื่อเทียบกับการสร้างโรงงานใหม่ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการขยายขีดความสามารถการผลิตพลังงานชีวภาพเพื่อรองรับการเติบโตที่ยั่งยืน(ให้เพิ่มเรื่องการลงทุนต่ำไปด้วย) พันธมิตรเชิงกลยุทธ์: ความร่วมมือระหว่าง GC กับพันธมิตรสำคัญอย่าง OR และการบินไทยในการนำ SAF ไปใช้กับเที่ยวบินทั้งในประเทศและต่างประเทศ นับเป็นก้าวสำคัญของ การพัฒนาเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วภูมิภาค พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง: GC ได้พัฒนาเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมสำคัญหลากหลายประเภท ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ รวมถึงยาและเวชสำอางค์ โดยมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรในประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม: การลงทุนในโครงการนี้ไม่เพียงช่วยเสริมความมั่นคงทางพลังงานของประเทศและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการบิน แต่ยังเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ในอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ พร้อมสนับสนุนเกษตรกรและชุมชนท้องถิ่นผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร ตอกย้ำบทบาทของ GC ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนของประเทศ แผนการเติบโตในอนาคต: ขยายกำลังการผลิตเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ใช้พลังงานทดแทน และการลงทุนในเทคโนโลยีที่ยั่งยืน เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ชีวภาพในอนาคต ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระยะยาว เสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและขยายฐานการตลาด รวมถึงการทำงานร่วมกับองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพและพลังงานทดแทน เพื่อผลักดันการพัฒนาและขยายตลาดผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน พัฒนาและส่งเสริมความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบทางชีวภาพที่ยั่งยืนไปจนถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เพื่อให้กระบวนการผลิตเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ชีวภาพมีความยั่งยืนมากขึ้น ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ส่งมอบโซลูชันอย่างครบวงจรสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมต่างๆ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่อุปทาน สร้างภาพลักษณ์องค์กรในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน ด้วยการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมและธรรมมาภิบาล พร้อมสร้าง ความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคและผู้ถือหุ้นในระยะยาว           GC เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ที่มุ่งมั่นสร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรมที่ยั่งยืน  พร้อมส่งมอบโซลูชันเคมีภัณฑ์ครบวงจรตอบสนองต่อความต้องการของตลาดในอนาคตและขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน และสร้างอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนสำหรับทุกคน [PR News]

PTTGC มุ่งคาร์บอนต่ำ จับมือพันธมิตรโลก

PTTGC มุ่งคาร์บอนต่ำ จับมือพันธมิตรโลก

          หุ้นวิชั่น - 10 มกราคม 2568 กรุงเทพมหานคร : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ตอกย้ำการเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับสากลที่มุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิต พร้อมกับการดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับหลัก ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) โดยตลอดปี 2567 GC ได้บรรลุเป้าหมายสำคัญต่างๆ ได้ดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้  โดยมีผลงานที่โดดเด่นหลายประการ หนึ่งในความสำเร็จที่สำคัญคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 48,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ผ่านการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตกว่า 90 โครงการ หรือเกินเป้าหมายกว่า 100% และมากกว่า 59,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้พลังงานหมุนเวียน หรือเกินจากเป้าหมาย 40%  ซึ่งเป็นผลจากความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภายในประเทศและระดับโลกมากกว่า 40 พันธมิตร GC พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี ขยายฐานลูกค้าใหม่ และตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอกย้ำการเป็นบริษัทที่มุ่งเน้น ความยั่งยืนและสร้างมูลค่าในระยะยาว           นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GC กล่าวว่า “ตลอดปี 2567 GC มุ่งมั่นแสวงหาโอกาสและสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการผลิตผลิตภัณฑ์และเคมีภัณฑ์มูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ เสริมสร้างศักยภาพในการเป็น “ศูนย์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด” (Map Ta Phut Specialty Hub) เพื่อรองรับการขยายธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตอบสนองความต้องการวัสดุที่ยั่งยืนที่เพิ่มสูงขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม นอกจากนี้ GC ได้ขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ๆ ทั้งในประเทศและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานอุตสาหกรรมสากล ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ รวมทั้งบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในทุกมิติ” [video width="960" height="540" mp4="https://www.hoonvision.com/wp-content/uploads/2025/01/CF353EDD54616C1271A86B887E0CA0132F61F20E.mp4"][/video] โดยมีผลสำเร็จในปี 2567 ประกอบด้วย การปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต GC และ KBC Advanced Technology Pte Ltd, a Yokogawa company ร่วมพัฒนา การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Advanced Process Simulation และความรู้ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของ GC และ KBC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดของ GC GC และ Toyo Engineering Corporation ร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการแลกเปลี่ยนความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก GC และ Toray Industries, Inc. ร่วมพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อผลิตกรดมิวโคนิกและกรด อะดิปิกชีวภาพจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร สู่ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำในอนาคต GC และ บริษัท ซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด ร่วมพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานไฮโดรเจน (Future Hydrogen Society) เพื่อร่วมแก้ไขและชะลอปัญหาจากภาวะโลกร้อน GC และ บริษัท HD Hyundai Shell Base Oil ร่วมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์พลอยได้จากกระบวนการกลั่น (Unconverted Oil: UCO) ด้วยการแปรรูป UCO ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและสามารถนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย GC และ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัดร่วมพัฒนาศักยภาพของ Hydrogen Economy ในประเทศไทย รวมถึงบริหารจัดการและพัฒนานวัตกรรม เพื่อผลักดันการใช้ไฮโดรเจนในอุตสาหกรรมต่างๆ GC และ Mitsubishi Heavy Industries Asia Pacific ศึกษาการใช้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นเชื้อเพลิง รวมถึงเทคโนโลยี CCS เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก GC ร่วมกับ บริษัท Econic Technologies และ allnex วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และสารเคลือบผิวจากคาร์บอนที่ถูกดักจับ พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การปรับ Portfolio มุ่งสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ การผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) หรือ SAF           GC เป็นผู้บุกเบิกพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ยั่งยืนด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับน้ำมันพืชใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) รายแรกของประเทศไทยในระดับเชิงพาณิชย์ สอดคล้องกับมาตรฐานระดับโลกที่กำหนดโดยองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization) หรือ ICAO เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นประเทศที่คาร์บอนต่ำ โดยได้ร่วมมือกับ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดจำหน่าย และ ร่วมมือกับ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ การขยายการเติบโตในธุรกิจเม็ดพลาสติกรีไซเคิล rPET คุณภาพสูง ภายใต้แบรนด์ InnoEco by GC ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานการสัมผัสอาหาร (Food Contact) จากองค์การอาหารและยาของไทย (อย.) องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) และหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA) GC ร่วมกับ บริษัท น้ำมันพืชปทุม จำกัด พัฒนาขวดน้ำมันพืชเกสร จากเม็ดพลาสติก รีไซเคิล rPET รายแรกของประเทศไทย สามารถเก็บรักษารสชาติและกลิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่สะอาดและปลอดภัยแก่ผู้บริโภค GC ร่วมกับ บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด และ บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) พัฒนาขวดน้ำแร่จิฟฟี่จากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล rPET 100% ตอบโจทย์ทั้งด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการด้านความยั่งยืน GC ริเริ่ม GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม ในปี 2563 เพื่อบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วอย่างครบวงจร  (End-to-End Waste Management)  สนับสนุนการคัดแยกและหมุนเวียนใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดพร้อมเชื่อมโยงทุกภาคส่วน ด้วยเป้าหมายสำคัญในการร่วมแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกในประเทศ ช่วยลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปัจจุบัน GC YOUเทิร์น ได้พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการรีไซเคิลและขยายความร่วมมือกับพันธมิตรในเครือข่ายมากกว่า 176 ราย พร้อมทั้งมีจุดรวบรวมพลาสติกใช้แล้วกว่า 290 จุด รวมถึงพัฒนาศูนย์บริหารจัดการขยะชุมชน (Community Waste Hub) เพื่อสร้างรายได้และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับชุมชน โดยในปี 2567 ได้ขยายศูนย์บริหารจัดการขยะรีไซเคิลชุมชน 2 ศูนย์ในพื้นที่จังหวัดระยอง คือ (1) ศูนย์บริหารและจัดการขยะรีไซเคิล ธนาคารขยะชมรมรักษ์ทะเลหาดแม่รำพึง อำเภอเมือง และ (2) ศูนย์บริหารและจัดการขยะรีไซเคิล วิสาหกิจชุมชนคัดแยกวัสดุรีไซเคิล อำเภอบ้านฉาง รวมเป็น 11 ชุมชน สามารถหมุนเวียนพลาสติกใช้แล้วเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลและอัพไซเคิลกว่า 1,322 ตัน ลดขยะพลาสติกสู่หลุมฝังกลบ เทียบเท่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1,363,085  กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2e)* หรือ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 143,483  ต้น** * คำนวณด้วยวิธี LESS จาก TGO Guideline ** ปริมาณการกักเก็บ CO2 จากต้นไม้ใหญ่อายุ 10 ปี ในเวลา 1 ปี (Care the Bear) การบริหารจัดการคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากธรรมชาติ โดยดำเนินโครงการปลูกและดูแลป่า ในพื้นที่กว่า 20,000 ไร่ ครอบคลุมป่าบก ป่าชุมชนและป่าชายเลน ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 46,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี พร้อมเสริมสร้างสมดุลของระบบนิเวศอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ GC ยังได้รับรางวัลสำคัญที่สะท้อนความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนและการพัฒนาธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ประกอบด้วย ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) - อันดับ 1 ของโลกในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ใน DJSI World Index ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 และติด Top 10 ในประเภท DJSI World และ Emerging 12 ปีติดต่อกัน Carbon Disclosure Project (CDP) 2023 (ข้อมูลปัจจุบัน) - ได้รับการประเมินในระดับสูงสุด A List (Leadership Level) ด้านการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และด้านการบริหารจัดการน้ำ (Water Security) เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน เป็นบริษัทเดียวในไทยที่ได้รับเกียรติสูงสุดนี้ Ecovadis Sustainability Rating - รางวัล Gold ด้วยผลคะแนนระดับ Advance ในมิติแรงงานและสิทธิมนุษยชน จรรยาบรรณธุรกิจ และการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน และมิติสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้อยู่ในอันดับ Top 5% ของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตเคมีภัณฑ์พื้นฐาน SET Awards 2024 - ได้รับรางวัล SET Sustainability Excellence Awards of Honor กลุ่มรางวัล SET Sustainability Excellence ติดต่อกันเป็นปีที่ 7 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่โดดเด่น ตลอดจนเปิดเผยข้อมูล ผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนได้อย่างครบถ้วนและโปร่งใส SET ESG Rating 2024 - รางวัลเกียรติยศด้านความยั่งยืนระดับ AAA และอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 Asian Excellence Awards - 6 รางวัลความเป็นเลิศแห่งเอเชียจากงาน Asian Excellence Awards ครั้งที่ 14 ได้แก่ CEO ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย CFO ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย นักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม (2 รางวัล) บริษัทนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม และความยั่งยืนแห่งเอเชีย สะท้อน การเป็นผู้นำและการดำเนินธุรกิจที่เป็นเลิศอย่างยั่งยืนภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี และดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมที่ดีในระดับสากล รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น - คว้า 1 รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น จาก The Prime Minister’s Industry Award 2023 กระทรวงอุตสาหกรรม ประเภทการเพิ่มผลผลิตโรงงาน LLDPE เชิดชูองค์กรพัฒนานวัตกรรมที่เป็นประโยชน์และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย CSR-DIW Continuous Award - กลุ่มบริษัทฯ จำนวน 21 โรงงาน ได้รับรางวัลโครงการส่งเสริมโรงงานอุตสาหกรรมให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน เพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 17 สะท้อนความมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนและจัดการสิ่งแวดล้อมของเมืองอย่างยั่งยืน CAC Change Agent Awards - รับรางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แสดงถึงความสำคัญด้านการขยายเครือข่ายธุรกิจโปร่งใส ปราศจากการทุจริตตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานไปยังบริษัทในกลุ่มและบริษัทคู่ค้า เพื่อยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจร่วมกันอย่างมีธรรมาภิบาลสอดคล้องกับเป้าหมาย ในการพัฒนาองค์กรให้เกิดความยั่งยืน Investors' Choice Awards - 100 คะแนนเต็ม จากผลการประเมินคุณภาพการจัดประชุมสามัญ ผู้ถือหุ้น โดยสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 13 การกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทย - ผลประเมินโครงการ ในระดับ “ดีเลิศ” ต่อเนื่องเป็นปีที่13 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย           และในปี 2567 นี้ GC ได้ปิดการเสนอขายการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ครั้งแรกของบริษัทฯ ซึ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดในกลุ่มหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ เป็นที่เรียบร้อย มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท โดยมีผู้ลงทุนสนใจจองซื้อหุ้นกู้เกินเป้าหมายที่ GC ได้ตั้งไว้ ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มีต่อ GC และกลุ่ม ปตท.           GC เชื่อมั่นว่า กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของ GC และการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดเคมีภัณฑ์ของโลก มาจากความร่วมมือและประสานศักยภาพกับพันธมิตร ที่ร่วมกันพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี ควบคู่กับการสร้างโอกาสทางการตลาดเชิงรุก เพื่อสร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระยะยาว

โบรกแนะหุ้นอะไร?  หลัง กนง. คงอัตราดอกเบี้ย 2.25% 

โบรกแนะหุ้นอะไร? หลัง กนง. คงอัตราดอกเบี้ย 2.25% 

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.เอเซีย พลัส เผยแม้ FED จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ตามคาด แต่มุมมองที่ดูระมัดระวังมากขึ้นในการปรับลดดอกเบี้ยทำให้ FEDWATCH TOOL แสดงถึงโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยปี 2568 มีเพียง 2 ครั้ง ส่งผลทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐซึ่งมี VALUATION ที่แพงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วมีแรงขายทำกำไรออกมา โดยดัชนีราคาหุ้นหลักปรับลดตั้งแต่ 2.58% จนถึง 3.6% และ หนุนให้ BOND YIELD ปรับสูงขึ้น           กลับมาที่บ้านเรา กนง. วานนี้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% ตามคาด แต่เริ่มสะท้อนมุมมองเชิงกังวลต่อภาพเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งหากมีสัญญาณไม่ดีก็พร้อมจะพิจารณาดอกเบี้ย โดยภาพรวมเชื่อว่าจากนี้ไป ดอกเบี้ยจะอยู่ในภาวะลงช้าและลงน้อย ส่วนเรื่องอื่นที่อยู่ในความสนใจคือ การเมืองในประเทศที่คาดว่าจะมีแนวโน้มร้อนแรงขึ้นตามลำดับ ในปี 2568 ตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับลงแรง น่าจะส่ง SENTIMENT เชิงลบต่อตลาดหุ้นไทยในเช้าวันนี้ ในทาง TECHNICAL ดูแนวรับแรกที่ 1390 จุด ถัดไปที่ 1384 จุด แนวต้าน 1410 จุด TOP PICK เลือก CK, PTTGC และ WHA

GC จับมือ Honeywell ศึกษา พัฒนาเทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอนอย่างคุ้มค่า

GC จับมือ Honeywell ศึกษา พัฒนาเทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอนอย่างคุ้มค่า

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย – บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต และ Honeywell ผู้นำด้านเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนระดับโลก  ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการศึกษา พัฒนาเทคโนโลยีการดักจับและการใช้ประโยชน์จากคาร์บอนให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด โดยมุ่งเน้นการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีของ Honeywell มาใช้ในกระบวนการดักจับและกักเก็บคาร์บอนด้วยเทคโนโลยี Carbon Capture and Storage (CCS) ในโรงงานของ GC Group และการใช้ประโยชน์จากคาร์บอน หรือ Carbon Capture Utilization (CCU) เพื่อเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2593           นายพรศักดิ์  มงคลตรีรัตน์  ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจเพื่อความเป็นเลิศ  บริษัท พีทีที   โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า “ GC มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือระหว่าง GC และ Honeywell ในครั้งนี้ เป็นการนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยของ Honeywell มาเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กับการสร้างความสมดุลด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำของ GC นอกจากนี้ การแลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรมร่วมกันจะช่วยส่งเสริมความเข้าใจในความต้องการของอุตสาหกรรม และสามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านความยั่งยืนได้ดียิ่งขึ้น”           Tsui Tsui Young, ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Honeywell UOP กล่าวว่า “Honeywell ผู้ดำเนินธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนระดับโลก  สามารถดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 15 ล้านตันต่อปี  โดยความร่วมมือกับ GC ในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย  และมีความมุ่งหวังในการร่วมดำเนินโครงการอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ต่อไปในอนาคตด้วย”           ความร่วมมือนี้ สนับสนุนกลยุทธ์ของ GC ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 [PR News]

PTTGC ปิดดีลขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ใหญ่สุดในไทย มูลค่า 17,000 ลบ.

PTTGC ปิดดีลขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ใหญ่สุดในไทย มูลค่า 17,000 ลบ.

          หุ้นวิชั่น - บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “PTTGC”) ผู้นำด้านธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ระดับสากล ของกลุ่ม ปตท. ประกาศความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ครั้งแรก ซึ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน           นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี เปิดเผยว่า GC ได้ปิดการเสนอขายการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ครั้งแรกของบริษัทฯ เรียบร้อยแล้วในวันนี้ ด้วยมูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดในกลุ่มหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ โดยหุ้นกู้ดังกล่าวของ GC กำหนดอัตราดอกเบี้ย 5 ปี 6 เดือนแรกที่ 5.25% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน และเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public offering) ผ่าน 12 สถาบันการเงินชั้นนำ เมื่อวันที่ 4 - 12 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยมีผู้ลงทุนสนใจจองซื้อหุ้นกู้เกินเป้าหมายที่ GC ได้ตั้งไว้ ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มีต่อ GC และกลุ่ม ปตท.           นอกจากนี้ ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ได้เผยว่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ GC ตอบโจทย์ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่มีความมั่นคงทั้งทางด้านการเงินและการดำเนินธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งยังให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจเทียบกับอันดับความน่าเชื่อถือที่สูง โดยหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ นี้มีอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A+(tha)” และ GC มีอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “AA(tha)” แนวโน้ม “มีเสถียรภาพ” โดย ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด           “GC ขอขอบคุณผู้ลงทุนที่ไว้วางใจและให้ความสนใจจองซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ GC เป็นอย่างดีและหวังว่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ จะเป็นของขวัญปีใหม่ที่ทาง GC และกลุ่ม ปตท. มอบให้แก่ผู้ลงทุนรายย่อยทุก ๆ คน รวมทั้งขอบคุณผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 12 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด  ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในครั้งนี้ โดยหลังจากนี้ GC จะนำเงินที่ได้ไปชำระหนี้เงินกู้เดิม ของบริษัทฯ เพื่อช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่น และความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุน อีกทั้งสนับสนุนก้าวการเติบโตที่จะ มุ่งสู่ “การเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต” ต่อไป #ก้าวต่อไปกับการเติบโตที่ยั่งยืนของ GC” นายทิติพงษ์กล่าว

GC จับมือ KBC เร่งทรานส์ฟอร์มดิจิทัล เสริมศักยภาพอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทย

GC จับมือ KBC เร่งทรานส์ฟอร์มดิจิทัล เสริมศักยภาพอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทย

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย – 4 ธันวาคม 2567 – บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต และ KBC Advanced Technology Pte Ltd (KBC), a Yokogawa company บริษัทที่ปรึกษาเชิงเทคโนโลยีชั้นนำที่ให้บริการอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมี ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของ GC โดยมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) The Intelligent Digital Technology Collaboration Program           ความร่วมมือครั้งนี้จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Advanced Process Simulation ที่ล้ำสมัยและความรู้ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของ GC และ KBC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดของ GC โดยเริ่มจากการมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และประสิทธิภาพการผลิต (production efficiency) ที่ดียิ่งขึ้น การผสานการวิเคราะห์ขั้นสูง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับการจำลองกระบวนการที่ซับซ้อน (Advanced Process Simulation) จะช่วยให้ GC และ KBC สามารถมีเครื่องมือในการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น ขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรม และสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างสูงสุด ความร่วมมือนี้จะช่วยให้ GC สามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาดปิโตรเคมีและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นตามกลยุทธ์องค์กร           นายพรศักดิ์ มงคลตรีรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจเพื่อความเป็นเลิศ GC. กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ KBC นี้เป็นการลงทุนตามกลยุทธ์ Holistic Optimization ของ GC ในการเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร ด้านดิจิทัลของ GC โดยการใช้ประโยชน์จาก Advanced Process Simulation ระดับโลกของKBC เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขัน เพิ่มความแข็งแกร่งในด้านเทคโนโลยี สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานได้อย่างมาก รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างนวัตกรรม”           Mr. Takayuki Matsubara, Chief Executive Officer (CEO) of KBC กล่าวว่า “KBC รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ GC ผู้นำในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ความร่วมมือนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของ GC โดย     การผสานซอฟต์แวร์จำลองกระบวนการ (Process Simulation) ของเรากับ AI เราตั้งเป้าที่จะยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของ GC และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม           ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง GC และ KBC นี้ เป็นตัวอย่างของความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างนวัตกรรมและความเป็นผู้นำ ด้านดิจิทัลในอุตสาหกรรมการกลั่นและปิโตรเคมี โดยการใช้จุดแข็งร่วมกัน GC และ KBC พร้อมที่จะขับเคลื่อนความก้าวหน้า   ด้านประสิทธิภาพการดำเนินงาน ความยั่งยืน และประสิทธิภาพทางธุรกิจโดยรวม [PR News]

BGC ร่วมกับ จิฟฟี่ - GC  เปิดตัวขวดน้ำแร่จิฟฟี่ rPET100%

BGC ร่วมกับ จิฟฟี่ - GC เปิดตัวขวดน้ำแร่จิฟฟี่ rPET100%

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ – 4 ธันวาคม 2567 – บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำอย่าง บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด หรือ PTTRM และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดตัว “น้ำแร่จิฟฟี่ ขวดรักษ์โลก ขนาด 500 มิลลิลิตร รุ่น Limited Edition” ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง rPET 100% ภายใต้เทคโนโลยี reShine ของ BGC ที่ช่วยให้ขวดรีไซเคิลมีความสดใสและโดดเด่นไม่แพ้ขวดใหม่ พร้อมจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ร้านจิฟฟี่ทุกสาขาทั่วประเทศ            นายกิตติศักดิ์ โชคลาภทวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่าย Trading บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ให้บริการบรรจุภัณฑ์ครบวงจร เผยถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนในทุกมิติ โดยนวัตกรรม reShine ที่ถูกพัฒนาขึ้นนี้ คือก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับการใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ขวดที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลมีความสดใสและโดดเด่นเมื่ออยู่บนชั้นวางสินค้า เพิ่มความดึงดูดให้กับผลิตภัณฑ์ ขวดน้ำแร่จิฟฟี่นี้จึงไม่เพียงแค่ตอบโจทย์ด้านการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสวยงาม สดใส และน่าใช้งาน พร้อมทั้งลดปริมาณขยะพลาสติกและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยนวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการของตลาด แต่ยังเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับพันธมิตรธุรกิจและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและโลกใบนี้ การร่วมมือในครั้งนี้ระหว่าง BGC, PTTRM และ GC ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการผนึกกำลังเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองทั้งความต้องการของลูกค้าและการดูแลสิ่งแวดล้อม ความสำเร็จในวันนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนในอนาคต และเป็นแรงบันดาลใจให้ภาคส่วนต่าง ๆ หันมาสนับสนุนนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อโลกอย่างต่อเนื่อง            นางพรรณวดี พุฒยางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด หรือ PTTRM ผู้บริหารสถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่นและร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ 150 สาขา เจ้าของแบรนด์น้ำดื่มและน้ำแร่จิฟฟี่ กล่าวว่า “บริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกภายใต้แนวคิดที่ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีโรงงานผลิตน้ำดื่มแบรนด์จิฟฟี่ที่เป็นโรงงานมาตรฐานสากลผ่านการรับรองจากสถาบันชั้นนำในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำบรรจุขวด ผลิตน้ำดื่มจิฟฟี่กว่าปีละ 48 ล้านขวด ในโอกาสนี้เราได้มีพันธมิตรในการดำเนินธุรกิจที่มีแนวคิดและเจตนารมณ์เพื่อยกระดับศักยภาพของผลิตภัณฑ์และร่วมเดินทางไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ระหว่าง GC บริษัทชั้นนำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล ที่มีนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ BGC บริษัทชั้นนำในด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจร เปิดตัว “น้ำแร่จิฟฟี่ ขวดรักษ์โลก ขนาด 500 มิลลิลิตร รุ่น Limited Edition” น้ำแร่คุณภาพมาตรฐานสากลจากแหล่งน้ำธรรมชาติสามโคก ผลิตจากโรงงานมาตรฐานชั้นนำ อุดมด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย บรรจุในขวดจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ที่ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกและก๊าซเรือนกระจก ตอบโจทย์เทรนด์บรรจุภัณฑ์ใหม่ซึ่งผู้ผลิตทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยังช่วยกันดูแลโลกของเราด้วยมือของเรา ในการผลิตน้ำแร่จิฟฟี่ขวดรักษ์โลกนี้ ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกลงได้ถึง 7,290 กิโลกรัม ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 13,000 KgCO2e หรือเทียบเท่าปริมาณการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากต้นไม้ใหญ่ 1,369 ต้น ในเวลา 1 ปี ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมของโลกเรา”           นายกิจชัย เฉลิมสุขสันต์ รักษาการตำแหน่ง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานตลาดและการขาย กลุ่มลูกค้าแพลตฟอร์มอุตสาหกรรม บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า “GC ในฐานะผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล rPET คุณภาพสูง ภายใต้แบรนด์ InnoEco by GC มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงจากพลาสติกใช้แล้วในประเทศไทย 100% ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยของ บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด (ENVICCO) บริษัทใน GC Group ได้รับการรับรองมาตรฐานการสัมผัสอาหาร (Food Contact) โดยได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) เป็นรายแรกในประเทศไทย ตลอดจนหน่วยงานระดับโลก ทั้งองค์การอาหารและยาของประเทศ สหรัฐอเมริกา (US.FDA.) และหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA) มีความภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จร่วมกับ บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด หรือ PTTRM  เจ้าของแบรนด์น้ำแร่จิฟฟี่ และ บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC บริษัทชั้นนำในด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ในการเปิดตัวขวดน้ำแร่จิฟฟี่ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล rPET100% ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  พร้อมส่งมอบคุณค่าด้านความยั่งยืนอย่างเหนือระดับ รวมถึงการลดขยะพลาสติกภายในประเทศและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรม”           ทั้งนี้ น้ำแร่จิฟฟี่ขวดรักษ์โลก ขนาด 500 มิลลิลิตร รุ่น Limited Edition พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษสุดคุ้ม ซื้อ 1 ฟรี 1 ทั้งแบบขวดเดี่ยวและแบบแพ็ค 12 ขวด จำหน่ายในราคาขวดละ 10 บาท และแพ็กละ 109 บาทเท่านั้น สามารถหาซื้อได้ที่ร้านจิฟฟี่ทุกสาขาทั่วประเทศ ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นได้ที่ Facebook : JIFFY Thailand , หรือแอดไลน์ @Jiffyshop [PR News]

PTTGC พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 5 ปี 6 เดือนที่ 5.25%

PTTGC พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 5 ปี 6 เดือนที่ 5.25%

          หุ้นวิชั่น -  บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำด้านธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ระดับสากล ของกลุ่ม ปตท. เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปี 6 เดือนแรกที่ 5.25% พร้อมอันดับความน่าเชื่อถือของ GC ที่  AA(tha) แนวโน้ม “มีเสถียรภาพ” และยืนยันความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่ระดับ A+(tha) จากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า GC พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด (“หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ”) ที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปี 6 เดือนแรกที่ 5.25% ต่อปี หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุญาตให้แบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนมีผลใช้บังคับแล้ว โดย GC จะเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) ระหว่างวันที่ 4-12 ธันวาคม 2567 ผ่านทางผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 12 ราย ซึ่งทาง GC เชื่อมั่นว่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ดังกล่าว จะเป็นทางเลือกการลงทุนที่มั่นคงและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้แก่ผู้ลงทุนรายย่อยในช่วงปลายปีนี้ ที่รอคอยหุ้นกู้ในกลุ่ม ปตท. และเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 ทางบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ได้ประกาศยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่ระดับ A+(tha) ซึ่งคือเป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของ GC และความมุ่งมั่นของ GC ในการก้าวสู่การเป็นบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Petrochemical Hub in South East Asia) การออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ GC ในครั้งนี้ เป็นแผนการเสริมสร้างความยืดหยุ่น ความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุน เพื่อรองรับการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ ทาง GC มีแผนที่จะนำไปใช้ชำระหนี้เงินกู้เดิมทั้งในและต่างประเทศ หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่ GC เสนอขายในครั้งนี้ ในทางบัญชีจะนับเป็นส่วนของทุน 100% เช่นเดียวกันกับหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่เสนอขายโดยบริษัทอื่น และคาดว่าจะได้รับการนับเป็นส่วนของทุน (Equity Credit) 50% จาก Credit Rating ระดับโลกทั้ง 3 ราย ได้แก่ 1) Moody’s Investors Service 2) S&P Global Ratings และ 3) Fitch Ratings Inc. ซึ่งถือว่าเป็น “Big Three” ในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 4-12 ธันวาคม 2567  ผู้สนใจสามารถติดต่อจองซื้อ หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-626-7777 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02-888-8888 กด 869 และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อออนไลน์บนแอปพลิเคชัน Krungthai Next ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร.1572 บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-5000 บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 1428 กด #4 (เปิดจองซื้อเฉพาะผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-009-8351-56 หมายเหตุ: การจัดสรรหุ้นกู้ดังกล่าวให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ตามแต่จะเห็นสมควร คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th

PTTGC ประกาศดอกเบี้ยหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ 5 ปี 6 เดือนแรกที่ 5.25%  เสนอขาย 4 - 12 ธ.ค.2567 นี้

PTTGC ประกาศดอกเบี้ยหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ 5 ปี 6 เดือนแรกที่ 5.25% เสนอขาย 4 - 12 ธ.ค.2567 นี้

          หุ้นวิชั่น - บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “GC”) ผู้นำด้านธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ระดับสากล ของกลุ่ม ปตท. ประกาศดอกเบี้ยหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน อัตราดอกเบี้ย 5 ปี 6 เดือนแรกที่ 5.25% ต่อปี เสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public offering) ผ่าน 12 สถาบันการเงิน คาดจองซื้อระหว่างวันที่ 4 - 12 ธันวาคม 2567 ชูอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ สูงสุดในไทย ณ ขณะนี้ ที่ระดับ A+(tha) ตอกย้ำการเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ มุ่งสู่เป้า Net Zero ปี 2593 นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี เปิดเผยว่า GC ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด (“หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ”) เรียบร้อยแล้วในวันนี้ อัตราดอกเบี้ย 5 ปี 6 เดือนแรกอยู่ที่ 5.25% ต่อปี และประกาศช่วงเวลาจองซื้อซึ่งคาดว่าอยู่ระหว่างวันที่ 4, 6, 9 และ 11 - 12 ธันวาคม 2567 ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่าย 12 ราย (รวมถึงวันที่ 5, 7 - 8 และวันที่ 10 ธันวาคม 2567 เฉพาะการจองซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้จัดการการจัดจำหน่ายบางรายเท่านั้น รายละเอียดตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน) GC เชื่อว่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ จะเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจของผู้ลงทุนรายย่อยก่อนสิ้นปี 2567 โดยจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท สามารถจองซื้อผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 12 แห่ง ที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด  ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) นายทิติพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า GC มีเป้าหมายในการเป็นองค์กรต้นแบบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในระดับสากล ภายใต้วิสัยทัศน์ “การเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต” บริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 ซึ่งที่ผ่านมา GC ดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามกลยุทธ์ 3 Steps Plus – ประกอบด้วย Step Change - Step Out - Step Up นอกจากนี้ GC ได้กำหนดมาตรการอื่นๆ ที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างยั่งยืน ทั้งแผนการลดหนี้ (Deleverage Plan) และการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ โดยปรับพอร์ตโฟลิโอธุรกิจของบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งขึ้น สำหรับการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ GC ในครั้งนี้ ทาง GC มีแผนที่จะนำเงินไปใช้ชำระหนี้เงินกู้เดิมทั้งในและต่างประเทศ และหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ สามารถนับเป็นส่วนของทุนได้ทั้งในทางบัญชีและในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะเสริมสร้างความยืดหยุ่น ความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุน ให้กับบริษัทฯ ได้ โดยทางบัญชีนั้น หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ จะลงบัญชีเป็นส่วนของทุนได้ 100% ตลอดอายุหุ้นกู้ และในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ จะสามารถนับส่วนของทุน (Equity Credit) ได้ 50% ซึ่งได้รับการยืนยันจากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด แล้ว และคาดว่าจะได้รับการนับส่วนของทุน 50% จากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกทั้ง 3 ราย ได้แก่ 1) Moody’s Investors Service 2) S&P Global Ratings และ 3) Fitch Ratings Inc. ซึ่งถือว่าเป็น “Big Three” ในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดย Fitch Ratings Inc. และ Moody’s จะนับเป็นส่วนของทุนให้ตลอดอายุหุ้นกู้ ในขณะที่ S&P จะนับเป็นส่วนของทุนเฉพาะในช่วง 5 ปี 6 เดือนแรกเท่านั้น หลังจากนั้นจะถูกนับเป็นส่วนของหนี้สินทั้งจำนวน ซึ่งสอดคล้องกับวันที่ GC สามารถใช้สิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนดคือเมื่อครบกำหนด 5 ปี 6 เดือน เพื่อเป็นการบริหารตารางการชำระคืนเงินกู้ (Debt Repayment Profile) ณ ขณะนี้ GC อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ ผู้สนใจสามารถติดต่อจองซื้อ หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-626-7777 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02-888-8888 กด 869 และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อออนไลน์บนแอปพลิเคชัน Krungthai Next ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร.1572 บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-5000 บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 1428 กด #4 (เปิดจองซื้อเฉพาะผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-009-8351-56 หมายเหตุ: แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนยังไม่มีผลใช้บังคับ เนื่องจากอยู่ระหว่างยื่นขออนุญาตต่อสำนักงาน ก.ล.ต. การจัดสรรหุ้นกู้ดังกล่าวให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ตามแต่จะเห็นสมควร คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th

KKS ชี้ PTTGC พลิกมีกำไรปี 68 แนะนำ Trading Buy ราคาเป้าหมาย 30 บาท

KKS ชี้ PTTGC พลิกมีกำไรปี 68 แนะนำ Trading Buy ราคาเป้าหมาย 30 บาท

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน จากบทวิเคราะห์ บล.กรุงศรีฯ ชี้แม้ PTTGC ขาดทุนสุทธิ 3Q24 ที่ -19,312 ล้านบาท พลิกขาดทุน y-y, q-q และแย่กว่าที่เราคาดและตลาดคาด แต่อาจไม่ได้กดดันราคาหุ้น เนื่องจากบริษัทได้ตั้งด้อยค่าฯทั้งหมดในไตรมาสเดียว (ส่วนใหญ่เป็น non-cash) ซึ่งเรามองว่าเป็นจุดต่ำสุดของปี คาดว่า 4Q24F จะขาดทุนน้อยลง q-q และอาจพลิกมีกำไรในปี 2025F ฟื้นตัวจากฝั่งปิโตรเคมีที่ค่าใช้จ่ายคงที่ลดลง หลังจากมีการปรับปรุงทรัพย์สิน การปิดซ่อมของโอเลฟินส์ลดลง, allnex ฟื้นตัวต่อเนื่องตาม demand ของ EU รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงจากการทยอยคืนหนี้ เรามองว่าราคาหุ้นที่ YTD -31% ได้สะท้อนด้อยค่าฯที่ทำให้เกิดขาดทุนใหญ่ในปี 2024F รวมถึงการฟื้นตัวช้าของปิโตรเคมีแล้ว เราจึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็น Trading Buy ที่ราคาเป้าหมายปี 2025F = 30.0 บาท ตั้งด้อยค่าฯ Vencorex และ PTTAC ทีเดียวใน 3Q24 ส่งผลให้ขาดทุนหนัก            รายงานขาดทุนสุทธิ 3Q24 ที่ -19,312 ล้านบาท (เทียบกับ +1,427 ล้านบาทใน 3Q23 และ +1,846 ล้านบาทใน 2Q24) ขาดทุนมากกว่าที่เราคาดและตลาดคาด เพราะมีด้อยค่าธุรกิจ PTTAC อีก -9 พันล้านบาท การแย่ลงมาก y-y q-q มาจากด้อยค่าฯข้างต้นและ Vencorex ราว -9 พันล้านบาท อย่างไรก็ตามรายการด้อยค่าฯส่วนใหญ่เป็น non-cash หากตัดรายการพิเศษทั้งหมดออก ขาดทุนปกติ -4,742 ล้านบาท ต่ำกว่าคาดจากอัตรากำไรของสาย Polyols ที่ต่ำกว่าคาด โดยแย่ลง y-y, q-q ฉุดจาก i) ค่าการกลั่น 3.3 ดอลลาร์/บาร์เรล -72% y-y ไม่มีการหยุดชะงักของ supply และมี net stock loss -3,632 ล้านบาท (เทียบกับ +945 ล้านบาทใน 3Q23, +980 ล้านบาทใน 2Q24) ii) สาย Polyols supply ของ feedstock ตึงตัวฉุดอัตรากำไร และ iii) allnex ยอดขายใน EU เข้าสู่ low season ปริมาณขายและอัตรากำไรลดลง คาด 4Q24F ขาดทุนปกติน้อยลง q-q แม้มีปรับราคาซื้อก๊าซฯกับ PTT            คาดว่า 4Q24F ขาดทุนปกติน้อยลง ฟื้นตัวทั้ง y-y, q-q โดยการฟื้นตัว y-y เพราะ stock loss น้อยลง, โรงโอเลฟินส์ปิดซ่อมน้อยลง และกำลังซื้อใน EU ที่เพิ่มขึ้น หนุนปริมาณขายและอัตรากำไรของ allnex ฟื้นตัว q-q มาจากฝั่งโรงกลั่นเป็นหลัก stock loss น้อยลง และค่าการกลั่นฟื้นตัวตาม demand ของ Gasoil ช่วงฤดูหนาวและ Jet ช่วงท่องเที่ยว กลบฝั่งปิโตรเคมีที่บางส่วนเป็น low season และสายโอเลฟินส์มีผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซฯกับ PTT ย้อนหลังทั้งปี (คาดกระทบราว -670 ล้านบาท) คำแนะนำ            ปรับลดประมาณการปี 2024-26F (ดูรูปที่ 3) สะท้อน stock loss, ด้อยค่าฯ และการฟื้นตัวช้าของ petrochemical spread และปรับราคาเป้าหมายปี 2025F ลงเป็น 30.0 บาท/หุ้น (เดิม 32.0 บาท) มองว่าราคาหุ้นที่ YTD -31% รับรู้เรื่องด้อยค่าฯขนาดใหญ่และการฟื้นตัวช้าของ spread ปิโตรเคมีแล้ว ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น Trading Buy (เดิม Neutral) โดยมองว่า 3Q24 เป็นจุดต่ำสุดของปี แนวโน้มปี 2025F เริ่มพลิกมีกำไรตามการฟื้นตัวของฝั่งปิโตรเคมีที่ค่าใช้จ่ายคงที่/ส่วนแบ่งขาดทุนลดลง หลังจาก optimize Vencorex และ PTTAC, การปิดซ่อมโอเลฟินส์ลดลง รวมถึง allnex ปริมาณขายและอัตรากำไรฟื้นตัวต่อเนื่อง

PTTGC ไตรมาส3 ขาดทุน 19,312 ลบ. โดนด้อยค่า - ปรับโครงสร้างธุรกิจ

PTTGC ไตรมาส3 ขาดทุน 19,312 ลบ. โดนด้อยค่า - ปรับโครงสร้างธุรกิจ

           บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 149,431 ล้านบาท ปรับลดลงร้อยละ 11 จากไตรมาส 2/2567 และปรับลดลงร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากราคาขายกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบเป็นหลัก สำหรับไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ รายงาน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 8,387 ล้านบาท ปรับลดลงร้อยละ 13 จากไตรมาส 2/2567            โดยสาเหตุหลักจากการปรับตัวลดลงของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาต้นทุนวัตถุดิบโพรพิลีน และการปรับลดลงของกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษที่อ่อนตัวลงตามฤดูกาลเป็นหลัก ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ขั้นต้นมีผลประกอบการที่ปรับเพิ่มขึ้นจากธุรกิจอะโรเมติกส์เป็นสำคัญ            ในขณะที่กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นยังทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้าและธุรกิจโอเลฟินส์ที่ปรับลดลง นอกจากนี้บริษัทฯ รับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ/ควบคุมไม่ได้ ได้แก่ ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน และการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Loss Net NRV) รวม 3,912 ล้านบาท กำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 280 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวมเป็น 2,941 ล้านบาท            นอกจากนี้บริษัทฯ รับรู้ส่วนขาดทุนจากเงินลงทุนในไตรมาสนี้จำนวน 279 ล้านบาท ทำให้ในไตรมาส 3/2567 อีกทั้งในไตรมาสนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินแนวทางการปรับโครงสร้างธุรกิจที่ได้รับความท้าทายจากสภาวะการแข่งขันอุตสาหกรรม เพื่อปรับให้พอร์ตโฟลิโอธุรกิจของบริษัทฯ แข็งแกร่งขึ้น และบริษัทฯ ได้รับรู้ผลกระทบจากการปรับโครงสร้างดังกล่าว คือ ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ในกลุ่มบริษัท Vencorex และประมาณการหนี้สินของค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องรวม 8,574 ล้านบาท รวมถึงบริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนตามวิธีส่วนได้ส่วนเสียซึ่งเกิดจากการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์จากบริษัท พีทีที อาซาฮี เคมิคอล จำกัด (เป็นบริษัทร่วมค้าซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 50) จำนวน 8,937 ล้านบาท เมื่อรวมผลกระทบรายการด้อยค่าและปรับโครงสร้างธุรกิจดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิรวม 19,312 ล้านบาทในไตรมาส 3/2567 (-4.28 บาท/หุ้น)

[ภาพข่าว] GC รับรางวัล SET Awards 2024 ต่อเนื่อง เป็นปีที่ 7

[ภาพข่าว] GC รับรางวัล SET Awards 2024 ต่อเนื่อง เป็นปีที่ 7

           นายณะรงศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC รับมอบรางวัล SET Awards 2024 ประเภท Sustainability Excellence Award of Honor โดยได้รับรางวัลต่อเนื่อง เป็นปีที่ 7 เป็นรางวัลเกียรติยศอันทรงเกียรติสะท้อนถึงความมุ่งมั่นเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจบนพื้นฐานความยั่งยืน และกรอบสากลอย่างต่อเนื่อง ภายใต้วิสัยทัศน์ การเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ควบคู่กับการสร้างสมดุุลด้านความยั่งยืน ใน 3 มิติ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และการกำกับดูแลกิจการที่ดี            โดยมีกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ การมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 และ การสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน Circular Economy สร้าง Synergy ปรับพอร์ตโฟลิโอ มุ่งสู่กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์มูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ และกลุ่มธุรกิจ Bio และ Green เพื่อตอบสนองเมกะเทรนด์ของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สู่การเป็น Hub ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้            CEO กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนของบริษัทฯ มาอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจร่วมกับห่วงโซ่ธุรกิจให้เติบโต แข็งแกร่ง เป็นกำลังสำคัญของประเทศ เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สอดรับเจตนารมณ์ เคมีที่เข้าถึงทุกความสุข เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคม ผู้มีส่วนได้เสีย ทุกกลุ่ม และประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป

PTTGC หนุนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ลุย SAF แห่งแรกในประเทศ

PTTGC หนุนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ลุย SAF แห่งแรกในประเทศ

          PTTGC จัดงาน PTTGC Sustainable Living Symposium 2024: GEN S GATHERING ภายใต้แนวคิด “ยั่งยืนไม่ยาก” ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมจัดนิทรรศการแสดงศักยภาพและเทคโนโลยีการผลิตเคมีภัณฑ์มูลค่าสูงคาร์บอนต่ำ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของ PTTGC ครอบคลุมทั้งเคมีภัณฑ์เคลือบผิว    ที่ยั่งยืน ไบโอเคมิคอล พลาสติกชีวภาพ และการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืนแห่งแรกของประเทศไทย (Sustainable Aviation Fuels: SAF) ตลอดจนสร้างโอกาสการเติบโตของประเทศผ่าน allnex ตอบสนองเทรนด์อนาคต สู่การเป็น Specialty Hub ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้             นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTTGC กล่าวว่า "PTTGC มีเป้าหมายในการเป็นองค์กรต้นแบบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในระดับสากล ภายใต้วิสัยทัศน์ “การเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต” พร้อมสร้างสมดุุลด้านความยั่งยืนผ่านการประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ใน 3 มิติ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจและการกำกับดูแลกิจการที่ดี มาเป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปี และในปี 2564 PTTGC ได้กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 มุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ ผ่านการกำหนดแผนงาน การวัดผลและการตรวจสอบที่ชัดเจน ซึ่งสิ่งที่เราดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องนี้ สอดคล้องกับข้อตกลงสำคัญหลายประการจากการประชุมผู้นำระดับโลกในหลายๆ เวที ผู้นำทั่วโลกต่างก็หยิบยกประเด็นความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาความยั่งยืน”            ที่ผ่านมา PTTGC ดำเนินการตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ผ่านการดำเนินโครงการมากกว่า 200 โครงการ มีการใช้หลัก 5R ใช้พลังงานหมุนเวียน นำเทคโนโลยีและ Digitalization เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพโรงงาน รวมถึงแผนการบริหารจัดการคาร์บอน ภายใต้ความร่วมมือในกลุ่มปตท. ทั้งการศึกษาการกักเก็บ การใช้ประโยชน์จากคาร์บอน และการแสวงหาโอกาสในธุรกิจไฮโดรเจน  ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่จะนำไปสู่ Net Zero ของภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย นอกจากนี้ PTTGC ยังมีความร่วมมือครอบคลุมภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการปลูกและดูแลป่า ทั้งป่าบก ป่าชายเลน ป่าชุมชน จนมาถึงการศึกษาการปลูกข้าวนาเปียกสลับแห้ง            งาน PTTGC Sustainable Living Symposium 2024: GEN S GATHERING จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้มาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และพัฒนาความร่วมมือ เพื่อบรรเทาปัญหาโลกเดือด และสร้างความยั่งยืนให้กับโลกใบนี้ พร้อมชวนทุกคนมาเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบ Net Zero Lifestyles รวมถึงจัดนิทรรศการผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  โดยนำเสนอเคมีภัณฑ์เคลือบผิวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์การใช้งานในหลายอุตสาหกรรม  ตั้งแต่สีเคลือบผิวรถยนต์ สีพ่นตู้   คอนเทนเนอร์ สีเฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ Coating Resins จาก allnex ผู้นำด้านเคมีภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนระดับโลก ที่มีความปลอดภัยต่อการใช้งาน ลดการปล่อยของเสียในกระบวนการผลิต จึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น  และยังมีผลิตภัณฑ์ไบโอเคมิคอล ไบโอพลาสติก หรือ พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เช่น แคปซูลกาแฟ  บรรจุภัณฑ์ และเส้นใยสำหรับการพิมพ์ 3 มิติ            นอกจากนี้ PTTGC เป็นบริษัทไทยรายแรกที่ปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันดิบ ด้วยเทคโนโลยีการกลั่นขั้นสูงให้สามารถรองรับวัตถุดิบเหลือใช้จากการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับน้ำมันพืชใช้แล้ว สู่การผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน หรือ SAF ซึ่งถือเป็นพลังงานหมุนเวียน หรือ Renewable & Sustainable Energy ที่มีวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีแผนจะผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนมกราคม 2568  โดยผลิตภัณฑ์ได้รับมาตรฐานด้านความยั่งยืนและการลดการปล่อยคาร์บอน ISSC Plus และ ISSC Corsia ซึ่งรับรองว่าผลิตภัณฑ์จากโครงการนี้ได้รับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้ง Value Chain รวมไปถึงการผลักดันในส่วนของน้ำมันอากาศยานยั่งยื่นหรือ SAF คาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ปี 2568            “เรามองเห็นอนาคตที่ชัดเจนว่า ภาคการผลิตจะเปลี่ยนกระบวนการไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เพียงแค่การตอบสนองต่อความต้องการของตลาด แต่เป็นการลงทุนเพิ่มขึ้นในโซลูชันที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะทำให้ภาคการผลิตสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ไปด้วยกัน” นายณะรงค์ศักดิ์กล่าว            งาน PTTGC Sustainable Living Symposium 2024: GEN S GATHERING คือ ก้าวสำคัญในการปลุกพลังสร้างสรรค์และผสานพลังกับ GEN S ทุกคนเพื่อร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศไทยและโลกใบนี้ให้ยั่งยืนอย่างแท้จริง [caption id="attachment_9645" align="alignnone" width="1620"] art.nattee[/caption] [PR News]

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456