ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#ITC


ITC ร่วง 7.45% โบรกฯ มองผลงาน Q1/68 ต่ำคาด

ITC ร่วง 7.45% โบรกฯ มองผลงาน Q1/68 ต่ำคาด

           หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ITC) ราคาหุ้นวันนี้ร่วงลงมาแรงราว 7.45% หรือ ลบ 1.20 บาท ส่งผลให้ราคาปรับตัวลงมาอยู่ที่ 14.90 บาท จากโบรกฯ มองผลการดำเนินงาน ทั้งรายได้และกำไรในไตรมาส 1/68 ต่ำการคาดการณ์            บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง ระบุ มีมุมมองเป็นกลางถึงลบจากการประชุมนักวิเคราะห์ เนื่องจากแนวโน้มรายได้ใน 1Q68 เติบโตเพียงเล็กน้อย YoY ตํ่ากว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ และแผนทั้งปีที่จะเติบโต 13-15% YoY กดดันโดยการเลื่อนการส่งมอบสินค้าตามความตึงตัวในการจัดหาเรือขนส่งสินค้า เมื่อผนวกกับค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้นตามค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาส่งผลให้คาดการณ์กำไร 1Q68 จะลดลงทั้ง YoY และ QoQ ทั้งนี้ ราคาหุ้นได้ปรับลดลงแรงตั้งแต่ตลาดภาคเช้า ขณะที่กำไร 1Q68 น่าจะเป็นจุดตํ่าสุดของปี จึงมองข้อมูลเป็นกลางถึงลบ

ฟินันเซีย ชู ITC เด่น อาหารสัตว์ฟื้นตัวนิวไฮ

ฟินันเซีย ชู ITC เด่น อาหารสัตว์ฟื้นตัวนิวไฮ

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ Sideways ที่ระดับ 1,180–1,195 จุด โดยภาพรวมทางเทคนิคยังมีแนวโน้มฟื้นตัวในระยะสั้น ตราบใดที่ไม่หลุดแนวรับสำคัญบริเวณ 1,180 จุด ด้านปัจจัยต่างประเทศแม้จะยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่โดดเด่นเข้ามาหนุน แต่ตลาดมี Sentiment บวกอ่อน ๆ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความเห็นว่า มาตรการจัดเก็บภาษีสินค้ารอบใหม่ในวันที่ 2 เมษายนนี้จะมีลักษณะเฉพาะเจาะจง และอาจไม่รุนแรงอย่างที่ตลาดกังวล ขณะที่ในประเทศ นักลงทุนจับตาการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีระหว่างวันจันทร์ถึงอังคาร ก่อนลงมติในช่วงกลางสัปดาห์ และรอลุ้นมติจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในเรื่องการลดค่าจดจำนองและค่าธรรมเนียมการโอน หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราวไปแล้วในสัปดาห์ก่อน นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าอาจมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วง Low Season เช่น “เที่ยวคนละครึ่ง” ซึ่งจะช่วยประคอง Sentiment และหนุนเศรษฐกิจในภาพรวมได้ในระดับหนึ่ง            มุมมองเชิง Valuation ของตลาดยังคงน่าสนใจ หลังจาก SET Index ปรับตัวลงแรงกว่า 20% จากจุดสูงสุดเมื่อเดือนตุลาคม 2566 โดยปัจจุบันเทรดที่ระดับ PER และ PBV เพียง 12.5 เท่า และ 1.14 เท่าตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนโควิดอย่างมีนัยสำคัญ จึงยังมองว่าเป็นจังหวะในการทยอยสะสมหุ้น โดยแนะนำให้นักลงทุนเน้นกลยุทธ์ Selective Buy ในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และมีแนวโน้มกำไร 1Q25-2025 ที่แข็งแกร่ง รวมถึง Valuation อยู่ในระดับต่ำ หุ้นเด่นประจำเดือนมีนาคม ได้แก่ BA, BTG, CPALL, MTC และ PR9 ส่วนพอร์ตแนะนำของ FSSIA ประกอบด้วย BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO และ SHR            สำหรับหุ้นเด่นวันนี้คือ ITC แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23 บาท แนวโน้มรายได้ไตรมาส 1/68 คาดเติบโตทั้งแบบไตรมาสต่อไตรมาส (q-q) และเทียบกับปีก่อน (y-y) โดยตัวเลขส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงเดือนมีนาคมฟื้นตัวทำจุดสูงสุดในรอบ 5 เดือน แม้จะเริ่มมีผลกระทบจากภาษี Global Minimum Tax แต่กำไรยังคาดว่าจะทรงตัวทั้ง q-q และ y-y ได้ กำไรปี 2025 คาดอยู่ที่ 3.57 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบันเทรดที่ PER เพียง 13.7 เท่า และให้ Dividend Yield เกือบ 6% ต่อปี แนวรับอยู่ที่ 16.00–15.80 และ 15.50 บาท ส่วนแนวต้านที่ 16.50–16.80 และ 17.30–17.50 บาท            ด้านกระแสเงินทุนต่างชาติเมื่อวันศุกร์ พบว่าโดยรวมยังผสมผสาน โดยไหลออกสุทธิราว 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เม็ดเงินยังคงไหลออกจากไต้หวัน (528 ล้านดอลลาร์) และอินโดนีเซีย (142 ล้านดอลลาร์) ขณะที่ไหลเข้าเกาหลีใต้ (615 ล้านดอลลาร์) และไหลเข้าไทยรวมถึงฟิลิปปินส์เล็กน้อยราว 14–18 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนว่าแนวโน้ม Fund Flow ยังไม่มีทิศทางชัดเจน โดยตลาดยังคงรอติดตามปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ดัชนีเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รอบใหม่ในวันที่ 2 เมษายนนี้            สำหรับประเด็นบวกในประเทศ ได้แก่ การส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ที่ออกมาดีกว่าคาด โดยขยายตัว 14% y-y เทียบกับที่ตลาดคาดไว้ที่ 8% ขณะที่การนำเข้าโตเพียง 4% ต่ำกว่าคาด 5.4% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ โดยสินค้าส่งออกเด่น ได้แก่ ยางพารา น้ำตาล ไก่สด อาหารสัตว์เลี้ยง ส่วนสินค้าที่หดตัวได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง และเครื่องดื่มชูกำลัง            ในฝั่งของบริษัทจดทะเบียน มีข่าวบวกจาก CPN ที่ตั้งเป้ารายได้ปี 2025 เติบโต 5–7% โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจโรงแรมและศูนย์การค้า พร้อมตั้งเป้า ROE ระยะ 5 ปีข้างหน้าไว้ที่ 15% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 8–9% ทั้งนี้ยังคงประมาณการกำไรปี 2025–2027 เติบโตเฉลี่ย 5–6% ต่อปี พร้อมคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 83 บาท ส่วน ZEN ตั้งเป้ารายได้โต 7% y-y โดยได้รับแรงหนุนจาก SSSG และธุรกิจผลิต–เทรดดิ้ง แม้จะมีการปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร และชะลอการเปิดสาขาใหม่ ทำให้แนวโน้ม SSSG 1Q25 อาจยังติดลบ 7% อย่างไรก็ดี ธุรกิจด้านการผลิตและเทรดดิ้งยังเติบโตได้ดี จึงคาดว่ากำไร 1Q25 จะทรงตัว y-y ขณะที่ปรับลดประมาณการกำไรปี 2025–2027 ลง 4–5% ให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 6.5 บาท พร้อมปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ถือ”

ITC คาดกำไรปี 68 ที่ 3,825 ลบ.  หุ้นมี Upside โบรกแนะซื้อ เป้า 23บาท

ITC คาดกำไรปี 68 ที่ 3,825 ลบ. หุ้นมี Upside โบรกแนะซื้อ เป้า 23บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า มอง ITC เป็นบวกมากขึ้นหลังเข้าประชุมนักวิเคราะห์ แนวโน้มกำไรปกติ 1Q25 เบื้องต้นคาดจะกลับมาเติบโตทั้ง QoQ และ YoY แม้จะเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจและได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีจ่ายที่จะสูงขึ้นตามกฎ Global Minimum Tax (GMT) ก็ตาม แต่เราคาดรายได้จะทรงตัวถึงเติบโตเล็กน้อยได้ QoQ จากปริมาณขายที่ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง และมีคำสั่งซื้อบางส่วนที่เลื่อนการรับรู้รายได้มาจาก 4Q24 โดยบริษัทมีการ Secured คำสั่งซื้อของลูกค้าไว้ 90% ของเป้าหมายแล้ว ประกอบกับเราคาด GPM จะฟื้นตัวขึ้น QoQ และ YoY จากการรับรู้ผลจากการทำ Transformation (Tailwind project) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการควบคุมต้นทุน ประกอบกับคาด SG&A/Sales จะดีขึ้น QoQ เนื่องจากไตรมาสก่อนมีการใช้ค่าใช้จ่ายการตลาดที่สูง และมีค่าที่ปรึกษาอื่นๆ เพิ่มเติม ผลกระทบจาก GMT หนุนอัตราภาษีสูงเป็น 7.0 - 8.5% น้อยกว่าที่ตลาดกังวล           ในส่วนผลกระทบของ GMT บริษัทให้ข้อมูลว่าผลกระทบจริงจากกฎดังกล่าวที่จะถูกจัดสรรมาจากบริษัทแม่ (TU) จะกระทบอัตราภาษีจ่ายในปี 2025 ของ ITC เพิ่มขึ้นเป็น 7.0 – 8.5% (ปี 2024 อยู่ที่ 3.8%) เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าที่เราและตลาดมองไว้ที่ระดับ 15% และยังมีโอกาสลดลงอีกหากมีความชัดเจนด้านการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากทางภาครัฐฯ           นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตรายได้ปี 2025 ที่ 13-15% YoY จากการเน้นลูกค้ากลุ่ม Private Label และได้คำสั่งซื้อจากลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น รวมถึงตั้งเป้าการเติบโตของกำไรขั้นต้นที่ 10 – 12% YoY และ SG&A/Sales ที่ 9 - 10% ปรับประมาณการกำไรปี 2025 ลง เพื่อเพิ่มความระมัดระวัง และสะท้อน GMT           ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2025 ลง 17.6% เป็น 3,825 ลบ. (-0.1% YoY) เพื่อเพิ่มความ Conservative ซึ่งใกล้เคียงกับกรอบล่างของเป้าหมายของบริษัท และสะท้อนอัตราภาษีจ่ายที่สูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตามคือ Trade War โดยหากสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากไทยในอัตราที่น้อยกว่ายุโรปหรือจีน อาจทำให้ได้ประโยชน์จากคำสั่งซื้อที่ย้ายมาไทยมากขึ้น แต่หากขึ้นอัตราภาษีจากไทยสูงกว่า อาจเป็น Downside risk ซึ่งบริษัทมีแผนในการลงทุนโรงงานในสหรัฐฯ หากเกิดกรณีดังกล่าว แม้ปรับกำไรและ PER ลง แต่ราคาเหมาะสมใหม่ยังมี Upside คงคำแนะนำ “ซื้อ”           ผลจากการปรับประมาณการกำไรปกติลง และเราปรับลด PER ในการประเมินมูลค่าลงจาก 20.2 เท่าเป็น 18.1 เท่า เพื่อเพิ่มความระมัดระวัง, สะท้อนภาวะตลาดปัจจุบัน และความเสี่ยงจาก Trade War ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 23.00 บาท ยังมี Upside gain 27.8% และราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER25 เพียง 14 เท่า จากเฉลี่ยในอดีตที่ 20 เท่า สะท้อนราคาหุ้นตอบรับปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

ITC กำไร 4Q67 ใกล้เคียงคาด  มีปันผล 0.75 บ. ขึ้น XD 26 ก.พ.68

ITC กำไร 4Q67 ใกล้เคียงคาด มีปันผล 0.75 บ. ขึ้น XD 26 ก.พ.68

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.หยวนต้า ระบุ ITC รายงานกำไรสุทธิ 4Q67 ที่ 790 ลบ. แต่มีรายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและขาดทุนพิเศษอื่นๆ สุทธิที่ 11 ลบ. ทำให้กำไรปกติอยู่ที่ 802 ลบ. (-22.1% QoQ, -1.1% YoY) ใกล้เคียงกับคาดการณ์ของเรา และทำให้กำไรปกติทั้งปี 2567 อยู่ที่ 3,830 ลบ. (+65.6% YoY) ► รายได้อยู่ที่ 4.70 พันลบ. (+5.9% QoQ, -1.1% YoY) ใกล้เคียงคาด เติบโต QoQ จากปัจจัยฤดูกาลที่เป็นช่วง High Season แต่ถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัท เนื่องจากมีคำสั่งซื้อบางส่วนถูกชะลอมารับรู้ใน 1Q68 แทนจากปัญหาการขนส่งทางเรือ ► GPM อยู่ที่ 25.5% ดีกว่าคาด โดยชะลอลงจาก 29.8% ใน 3Q67 และ 27.7% ใน 4Q66 จากการรับรู้ค่าเสื่อมราคามากขึ้น และไม่รับรู้การกลับรายการสินค้าคงเหลือมากเหมือนไตรมาสก่อน ► ขณะที่ SG&A/Sales อยู่ที่ 11.2% สูงขึ้นจาก 9.5% ใน 3Q67 และ 6.7% ใน 4Q66 จากการรับรู้ค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาสำหรับการปรับโครงสร้างธุรกิจ ► รายงานเงินปันผลจ่ายงวด 2H67 ที่ 0.75 บาท หรือคิดเป็น Div Yield 4.4% ขึ้น XD วันที่ 26 ก.พ. 2568 Our Take ► แนวโน้มกำไรปกติ 1Q68 คาดชะลอ QoQ และทรงตัว YoY แม้รายได้คาดจะทรงตัว QoQ ได้แม้เป็นช่วง Low Season แต่คาดจะถูกกดดันจากอัตราภาษีจ่ายที่สูงขึ้นตามกฎ Global Minimum Tax ► เราอยู่ระหว่างการทบทวนประมาณการปี 2568 และราคาเหมาะสมใหม่ เบื้องต้นเราอาจจะปรับกำไรปกติลงราว 10 – 15% เพื่อสะท้อน SG&A/Sales ที่สูงขึ้น และอัตราภาษีจ่ายที่สูงขึ้น แต่เบื้องต้นราคาหุ้นปรับลงมามาก ซื้อขายบน PER25 เพียง 14 เท่า เทียบกับอุตสาหกรรมที่ราว 15-20 เท่า คงคำแนะนำ “ซื้อ”

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

ITC กำไรสุทธิปี 67 โต 57.7% จากยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น

ITC กำไรสุทธิปี 67 โต 57.7% จากยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น

         หุ้นวิชั่น  - บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ITC) รายงานผลประกอบการไรตมาส 4/2567 และปี 2567 ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิไตรมาส 4 ปี 2567 อยู่ที่ 790.4 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน) อันเป็นผลมาจากการ เพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้น รายได้อื่นที่เพิ่มสูงขึ้น และผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง แม้ว่ายอดขายจะทรงตัว และ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 2567 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ 16.8% เมื่อเทียบกับ 16.1% ในไตรมาส 4 ปี 2566          อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิไตรมาส 4 ปี 2567 ลดลง 19.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากการลดลง ของผลกำไรจากการดำเนินงาน แม้ว่ารายได้อื่นจะเพิ่มสูงขึ้น และผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 2567 ลดลงอยู่ที่ 16.8% เมื่อเทียบกับ 22.0% ในไตรมาส 3 ปี 2567          กำไรสุทธิปี 2567 แข็งแกร่งอยู่ที่ 3,597.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 57.7% เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานที่ลดลงในปีก่อน สาเหตุหลักจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิแข็งแกร่งอยู่ที่ 20.3% ในปี 2567 ปรับตัวสูงขึ้นจาก 14.6% ในปี 2566          บริษัทฯ มีรายได้จากการขายไตรมาส 4 ปี 2567 ที่ 4,697.8 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักมาจากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยง ที่ลดลงในทวีปยูโรปและอเมริกาเมื่อเทียบกับปีก่อน จากลูกค้ารายหลัก เศรษฐกิจชะลอตัว และการขนส่งที่ล่าช้า โดยถูกหักกลบด้วยยอดขายในทวีปเอเชียและโอเชียเนียที่เพิ่มขึ้น และสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียมที่สูงขึ้น โดยรายได้จากการขายรายโตรมาสปรับตัวสูงขึ้น 5.9% เมื่อเทียบกับโตรมาสก่อน จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในทุกตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปอเมริกา และสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียมที่สูงขึ้น          บริษัทฯ มีรายได้จากการขายปี 2567 อยู่ที่ 17,729.1 ล้านบาท กลับมาเติบโตที่ 13.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในทุกตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปยุโรปและอเมริกา เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานที่ลดลงในปีก่อนหน้า รวมถึงกลยุทธ์การปรับราคาของบริษัทฯ และสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมี่ยมที่สูงขึ้น *ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร          ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารไตรมาส 4 ปี 2567 เพิ่มขึ้น 65.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน และเพิ่มขึ้น 28.8% เมื่อ เทียบกับไตรมาสก่อน เป็นผลจากค่าใช้จ่ายในการบริหารและการขายที่สูงขึ้นจากค่าที่ปรึกษาจากโปรเจกต์ทรานส์ฟอร์มเมชั่นธุรกิจ รวมถึงกิจกรรมทางการตลาด และค่าขนส่งสินค้า ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายในไตรมาส 4 ปี 2567 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 11.3% จาก 6.8% ไตรมาส 4 ปี 2566 และ 9.3% ในโตรมาส 3 ปี 2567          ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสำหรับปี 2567 เพิ่มขึ้น 40.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงขึ้นด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวข้างต้น ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย ขึ้นมาอยู่ที่ 9.3% จาก 7.6% ในปี 2566          ภาพรวมอุตสาหกรรมในปี 2567 แม้ว่าจะได้รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และการเติบโตของจำนวนสัตว์เลี้ยงทั่วโลกที่ชะลอตัวลง ตลาดอาหารสุนัขและแมวทั่วโลกคาดว่าจะเติบโต ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ตั้งแต่ปี 2567 ถึง 2572 ที่ 5.7%          สำหรับปี 2567 ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกมีมูลค่า 147.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโตสูงขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน การเติบโตนี้เกิดจากกระแสความนิยมอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม (Premiumization) และ พฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเหมือนเป็นสมาชิกของครอบครัว (Humanization) รวมถึงการใส่ใจสุขภาพและความเป็นอยู่ของสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่เจ้าของสัตว์เลี้ยง แม้ว่าผู้บริโภคบางส่วนจะให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของ ราคา แต่ความต้องการซื้อที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แม้ว่าราคาสินค้าจะสูงขึ้น (Price inelasticity) ของเจ้าของสัตว์เลี้ยง ที่เลือกซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียบอยู่แล้ว ยังคงเป็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโตที่สำคัญของกลุ่มอาหาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของ สกาวะตลาดดังกล่าว บริษัทฯ ได้ดำเมินกลยุทธ์ในการปรับปรุงคุณลักษณะของ สินค้า ปรับระดับราคาสินค้าให้ถูกลงเพื่อให้อยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ และสามารถแข่งขันได้ตามสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน          เป้าหมายการดำเนินงานในปี 2568  บริษัทฯ คาดการณ์การเติบโตของรายได้จากการขายไว้ที่ 13-15% เมื่อเทียบกับปีก่อน , การเติบโตของกำไรขั้นต้น 10-12% เมื่อเทียบกับปีก่อน, อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย ที่ 9-10%, รายจ่ายการลงทุน 1.5 พันล้านบาท, นโยบายการจ่ายเงินปันผล ในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ

ITC โบรกคาด Q4 ยอดขายทะลุเป้า สินค้า Premium ยืนได้ไม่หวั่นภาษี Trump – OECD

ITC โบรกคาด Q4 ยอดขายทะลุเป้า สินค้า Premium ยืนได้ไม่หวั่นภาษี Trump – OECD

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.ฟิลลิป  เผยยอดขายของ ITC ปี 67 คาดทะลุเป้าจากคำสั่งซื้อที่เติบโต และมีแนวโน้มเพิ่ม Payout Ratio แม้เผชิญความเสี่ยงด้านภาษี Global Minimum Tax ของ OECD และภาษีนำเข้าจากสหรัฐ อย่างไรก็ตาม คาดว่าคุณภาพสินค้า Premium ของ ITC และต้นทุนที่ต่ำกว่าผู้ผลิตในสหรัฐยังเป็นแก่นหลักในการแข่งขันท่ามกลางการกีดกันทางการค้าและความเสี่ยงด้านภาษีที่รายล้อม แนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาพื้นฐานปี 68 ที่ 34.25 บาท คาดยอดขายปี 67 ทะลุเป้า ลุ้นเพิ่มปันผล           ใน 4Q67 ยอดสั่งซื้อสินค้าในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมโตขึ้น y-y โดยบริษัทขนส่งสินค้าลงเรือแล้วกว่า 74% ของยอดสั่งซื้อ ทางฝ่ายคาดว่ายอดขาย 4Q67 อยู่ที่ 5,279 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.0% q-q และ 11.2% y-y ประมาณการยอดขายรวมปี 67 อยู่ที่ 18,310 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6% y-y (Company Guidance: +15-17%) ทั้งนี้ บริษัทเคยกล่าวว่าอาจเพิ่ม Payout Ratio หากยอดขายทั้งปีถึงเป้า หากบริษัทคง Payout Ratio ที่ 79% คาดว่าเงินปันผลจากผลประกอบการปี 67 อยู่ที่ 1.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ประมาณ 4.5% โดยบริษัทจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.40 บาทต่อหุ้นไปแล้ว และคาดจ่ายที่เหลือ 0.60 บาทต่อหุ้น แต่ในกรณีที่บริษัทตัดสินใจเพิ่ม Payout Ratio เป็น 90% คาดว่าจะจ่ายที่เหลือ 0.75 บาทต่อหุ้น รวมทั้งสิ้น 1.15 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ประมาณ 5.2% อย่างไรก็ตาม การเพิ่มหรือไม่เพิ่ม Payout Ratio ต้องรอมติที่ประชุม AGM ต้นปี 68 ยังยืนได้ท่ามกลางพายุภาษีจาก Trump และ OECD           เนื่องจากไทยได้ดุลการค้าสหรัฐมากสุดเป็นลำดับที่ 11 และอาหารสัตว์เลี้ยงส่งออกของไทยคิดเป็น 34.8% ของการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของสหรัฐ ทำให้มีความเสี่ยงถูกเพิ่มภาษีนำเข้า 10-20% ตามนโยบายของทรัมป์ที่ต้องการลดการขาดดุลการค้า มีแนวโน้มที่ภาระภาษีนี้จะถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภคผ่านการขึ้นราคาสินค้า และคาดว่าโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า และสินค้าส่วนมากเป็นกลุ่ม Economy จึงไม่ได้แข่งขันโดยตรงกับสินค้า Premium ของ ITC ที่เป็นเซกเมนต์ส่งออกหลักไปยังสหรัฐ           ในส่วนภาษี Global Minimum Tax 15% ของ OECD อาจถูกนำมาใช้ในไทย ซึ่ง ITC มี Effective Tax Rate ที่ 3-5% แต่มีรายได้ไม่ถึง 750 ล้านยูโร จึงยังไม่เข้าเงื่อนไขดังกล่าว คาดว่าปลอดภัยจนกว่าจะถึงปี 71 ที่รายได้คาดการณ์อาจเพิ่มจนถึงเกณฑ์ อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องเตรียมพร้อมหากการเติบโตทำให้บริษัทเข้าสู่เงื่อนไขในอนาคต ราคาพื้นฐานปี 68 ที่ 34.25 บาทต่อหุ้น           โดยวิธี DCF ประเมินราคาพื้นฐานหุ้นด้วยวิธีการ Discounted Cash Flow จาก Free Cash Flow to Equity (FCFE) โดยกำหนดค่า Beta ที่ 0.79 สำหรับปี 2568-2570 และใช้ Adjusted Beta ที่ 0.86 ในปี 2571 เป็นต้นไป สำหรับคำนวณ Terminal Value โดยมี Required Rate of Return for Equity (re) ที่ 6.5% สำหรับปี 2568-2570 และ 6.8% สำหรับปี 2571 เป็นต้นไป และมี Sustainable Growth Rate สำหรับปี 2571 ที่ 2.5% โดยใช้ Estimated Retention Ratio และ ROE เฉลี่ยของกลุ่มบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน           ด้วยตัวธุรกิจที่อยู่ใน Mega Trend ทำให้คาดว่ามีความต้องการสินค้ามากขึ้นในอนาคต ราคาพื้นฐานสำหรับปี 2568 อยู่ที่ 34.25 บาทต่อหุ้น แนะนำ “ซื้อ”

ITC โชว์กำไรสุทธิ Q3/2567 พุ่ง 51.5% แตะ 976.2 ล้านบาท

ITC โชว์กำไรสุทธิ Q3/2567 พุ่ง 51.5% แตะ 976.2 ล้านบาท

           ITC เผยกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2567 ทะลุ 976.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.5% จากปีก่อน อานิสงส์จากยอดขายที่พุ่ง พร้อมกำไรสุทธิสะสม 9 เดือนแรก พุ่ง 85.3% ขานรับดีมานด์อาหารสัตว์เลี้ยงในตลาดอเมริกาและยุโรป ส่วนปีนี้คาดรายได้โต 15-17% ลดลงจากเป้าเดิมเล็กน้อย แต่อัตรากำไรขั้นต้นคาดทำได้ 26-28%            นายไชยวัฒน์ เจริญรุจิตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC เปิดเผยถึง กำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2567 แข็งแกร่งอยู่ที่ 976.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 51.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักจากรายได้จากการขายที่สูงขึ้น กำไรจากการดำเนินงาน และผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 22.0% สูงขึ้นเมื่อเทียบกับ 16.1% ในไตรมาส 3 ปี 2566 อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2567 ลดลงเล็กน้อย 3.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้จากการขายที่ลดลง ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารเพิ่มขึ้น และการลดลงของรายได้อื่น โดยถูกหักกลับบางส่วนจากการลดลงของผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2567 ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2567 ที่ 22.1%            กำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 2,806.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 85.3% เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานที่ลดลงในปีก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้น และผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิแข็งแกร่งอยู่ที่ 21.5% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก 14.0% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566            อีกทั้ง มีรายได้จากการขายในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 ที่ 4,435.7 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 10.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน) สาเหตุหลักจากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปอเมริกาและยุโรป สัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียมที่สูงขึ้น รวมไปถึงกลยุทธ์การปรับราคาของบริษัทฯ ขณะที่รายได้จากการขายลดลงเล็กน้อย 2.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากการขายที่ลดลงในทวีปอเมริกาและยุโรป เนื่องจากปัญหาพื้นที่เรือขาดแคลนและการบริหารตู้ขนส่งของลูกค้า หากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน รายได้จากการขายจะเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน            บริษัทฯ มีรายได้จากการขายในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ที่ 13,031.3 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 20.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน) โดยหลัก ๆ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในทุกตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปอเมริกาและยุโรป เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานที่ลดลงในปี 2566 สัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียมที่สูงขึ้น และกลยุทธ์การปรับราคาของบริษัทฯ            สำหรับปี 2567 เป้าหมายผลการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทมีการปรับรายได้จากการขายอยู่ที่ 15-17% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งลดลงจากเป้าหมายเดิมที่ 18-19% และแต่อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะทำได้ 26-28% มากกว่าเดิมที่ 24-26% ทั้งนี้นโยบายการจ่ายเงินปันผลจะอยู่ในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ            บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC เป็นหนึ่งในผู้นำในการรับจ้างผลิต (OEM) ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก และได้ถูกจัดอันดับโดย www.petfoodindustry.com ให้เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food Company) อันดับ 5 ของเอเชียในปี 2566 ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกในจังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดสงขลา ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกว่า 195,400 ตันต่อปี            อีกทั้ง บริษัทฯ ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพระดับกลางถึงพรีเมียม และขนมสำหรับแมวและสุนัขที่ทำจากวัตถุดิบหลักคือเนื้อปลาและเนื้อไก่ ในปี 2566 บริษัทฯ มีรายการผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายทั้งหมด 4,858 รายการ ให้บริการลูกค้ากว่า 435 รายใน 46 ประเทศทั่วโลก โดยนอกเหนือจากการรับจ้างผลิตแล้ว บริษัทฯ ยังจำหน่ายอาหารและขนมสำหรับสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ได้แก่ Bellotta, Marvo, ChangeTer, Calico Bay และ Paramount

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456