ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#HoonVision x TokenX


Bitcoin Strategic Reserve จะเปลี่ยนโฉมระบบการเงินโลกอย่างไร? [HoonVision x TokenX]

Bitcoin Strategic Reserve จะเปลี่ยนโฉมระบบการเงินโลกอย่างไร? [HoonVision x TokenX]

          Crypto Summit และการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve           หุ้นวิชั่น - เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2025 ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve หรือ คลังสำรองยุทธศาสตร์บิตคอยน์ ของรัฐบาลสหรัฐฯ และวันที่ 7 มีนาคม 2025 หลังจาก Bitcoin Strategic Reserve เพียง 1 วัน ได้จัดงานประชุม Crypto Summit ขึ้นที่ทำเนียบขาว ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการประกาศแผนยุทธศาสตร์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลของสหรัฐฯ การตัดสินใจครั้งนี้นับเป็นหมุดหมายที่น่าสนใจ เพราะถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลสหรัฐฯ รับรองบิตคอยน์ให้เป็นหนึ่งในทรัพย์สินสำรองของประเทศอย่างเป็นทางการ           Crypto Summit ที่จัดขึ้นโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ได้เชิญผู้นำในอุตสาหกรรมคริปโตเข้าร่วม เช่น ไมเคิล เซย์เลอร์ (MicroStrategy), ไบรอัน อาร์มสตรอง (Coinbase), แบรด การ์ลิ่งเฮาส์ (Ripple) และคนในวงการคริปโตอีกหลายคน ในวันนั้นเอง ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศนโยบายสำคัญคือ การจัดตั้งคลังสำรองยุทธศาสตร์บิตคอยน์ (Bitcoin Strategic Reserve) โดยออกคำสั่งพิเศษ (Executive Order) ให้รัฐบาลรวบรวมบิตคอยน์ที่มีอยู่ในความครอบครองของรัฐเข้าคลังสำรองนี้ บิตคอยน์ที่นำมาใช้จะมาจากเหรียญที่รัฐบาลได้ยึดมาจากคดีความต่าง ๆ (เช่น คดีอาญาหรือแพ่ง) โดย ไม่ใช้เงินภาษีของประชาชนในการจัดซื้อเพิ่มเติม แนวคิดนี้ทำให้รัฐบาลสามารถสร้างคลังสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่สร้างภาระการคลังใหม่ และทรัมป์ย้ำว่ารัฐบาลจะไม่ขายบิตคอยน์เหล่านี้ออกไป แต่จะเก็บสะสมไว้เสมือน “ทองคำดิจิทัล” ในคลังอย่างถาวร           การตัดสินใจสำคัญที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การที่ทรัมป์สั่งว่า รัฐบาลห้ามขายบิตคอยน์ที่เก็บเข้าคลังสำรอง เพื่อรักษาไว้เป็นมูลค่าระยะยาว นอกจากนี้ยังเปิดช่องให้กระทรวงการคลังและพาณิชย์สหรัฐฯ พิจารณาวิธีเพิ่มบิตคอยน์เข้าสู่คลังในอนาคตอย่าง “budget-neutral” กล่าวคือ หากจะซื้อเพิ่มก็ต้องหาแนวทางที่ไม่เพิ่มภาระงบประมาณหรือภาษีประชาชน ช่วงก่อนการประชุม มีการคาดการณ์ว่ารัฐบาลอาจประกาศซื้อคริปโตเพิ่ม ซึ่งทำให้ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดกว่า 100,000 ดอลลาร์ในเดือนมกราคม 2025 แต่เมื่อประกาศจริงกลับไม่มีแผนซื้อเพิ่มทันที ราคาบิตคอยน์จึงปรับฐานลงมาเล็กน้อยเพราะตลาดผิดหวัง           อีกด้านหนึ่ง ทรัมป์ยังเคยระบุรายชื่อคริปโตที่รัฐบาลสนใจ 5 รายการ (Bitcoin, Ethereum, XRP, Solana และ Cardano) ซึ่งข่าวนี้เองก็เคยทำให้ราคาเหรียญเหล่านั้นขยับสูงขึ้น แต่ภายหลังรัฐบาลตัดสินใจจัดตั้งคลังสำรองเฉพาะบิตคอยน์เท่านั้น ส่วนคริปโตอื่น ๆ จะถูกรวบรวมไว้ใน “คลังสินทรัพย์ดิจิทัล (U.S. Digital Asset Stockpile)” แยกต่างหากโดยรับมาจากของกลางเช่นเดียวกัน ทว่ารัฐจะไม่ซื้อเพิ่มนอกเหนือจากที่ยึดมาได้           นโยบายเชิงสัญลักษณ์นี้สะท้อนถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของสหรัฐฯ ที่หันมายอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง หลังจากก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยวิจารณ์บิตคอยน์ว่าเป็น “กลลวง” (scam) การมี Bitcoin Strategic Reserve ทำให้บิตคอยน์ได้รับสถานะใกล้เคียงกับทรัพย์สินสำรองยุทธศาสตร์อื่น ๆ เช่น น้ำมันปิโตรเลียมและทองคำ ที่รัฐบาลสหรัฐฯ สะสมไว้เพื่อความมั่นคงของประเทศ ในที่ประชุม Crypto Summit รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า จะใช้ Stablecoin เป็นเครื่องมือรักษาสถานะการเป็นสกุลเงินสำรองโลกของดอลลาร์สหรัฐฯ สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการขับเคลื่อนสกุลเงินของตน สะท้อนว่ารัฐบาลสหรัฐฯ พยายามปรับตัวและกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์ในยุคที่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีบทบาทมากขึ้น ทิศทางกฎระเบียบสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศ ในด้านการนำ Bitcoin มาเป็น Strategic Reserve           นอกจากสหรัฐฯ แล้ว หลายประเทศและภูมิภาคได้พัฒนากรอบกฎหมายและแนวทางกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลของตนอย่างต่อเนื่อง ดังนี้: สหภาพยุโรป – กฎหมาย MiCA           ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงปฏิเสธการถือครอง Bitcoin เป็นทุนสำรองของธนาคารกลางสมาชิกในยุโรป โดย Christine Lagarde ประธาน ECB ระบุชัดเจนว่า “มั่นใจว่า... Bitcoin จะไม่ได้รับการบรรจุในทุนสำรองของธนาคารกลางใด ๆ ในยุโรป”​ เหตุผลหลักคือเงินสำรองของธนาคารกลางควรอยู่ในสินทรัพย์ที่มี สภาพคล่องสูงและปลอดภัย ซึ่ง Bitcoin ยังไม่เข้าข่ายตามเกณฑ์นี้ เนื่องจากราคาผันผวนและกระจุกตัวอยู่ในมือผู้ลงทุนบางกลุ่ม2. สิงคโปร์           สิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางการเงินโลก แม้จะสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนและฟินเทค แต่หน่วยงานกำกับดูแลอย่าง Monetary Authority of Singapore (MAS) มีจุดยืนระมัดระวังต่อคริปโตมาโดยตลอด โดย ปฏิเสธแนวคิดการสร้างทุนสำรองด้วยคริปโต อย่างชัดเจน สอดคล้องกับรายงานของ JPMorgan ที่ระบุว่าประเทศอย่าง สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ และโปแลนด์ ต่าง “ปฏิเสธ” แนวคิดการจัดตั้ง strategic crypto reserve (ทุนสำรองเชิงยุทธศาสตร์ในสินทรัพย์คริปโต) ด้วยความกังวลเรื่องความเสี่ยงและความผันผวนของราคา จีน           มีรายงานข่าวว่าจีนได้เริ่มพิจารณา Bitcoin เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองทางยุทธศาสตร์ของประเทศ อย่างไม่เป็นทางการ โดยมีการประชุมภายในแบบลับๆ ตั้งแต่หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2024​  แรงจูงใจหลักมาจากความต้องการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ (การปลดดอลลาร์) และป้องกันความเสี่ยงจากการคว่ำบาตรทางการเงินของตะวันตก ด้วยการถือครองสินทรัพย์นอกอำนาจรัฐสหรัฐฯ เช่น Bitcoin​ โดย ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าจีนอาจเดินหน้าแนวคิดนี้ เนื่องจากสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวของจีนในการลดบทบาทดอลลาร์และเพิ่มความหลากหลายในทุนสำรอง (จีนเพิ่มการถือครองทองคำ, ผลักดันเงินหยวนสู่สากล, และเข้มแข็งความร่วมมือ BRICS ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์)​ ญี่ปุ่น           ญี่ปุ่นมีท่าทีที่น่าสนใจเพราะไม่ได้ปฏิเสธแนวคิดทันทีเหมือนยุโรป แต่ก็ยังไม่ได้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ ในเดือนธันวาคม 2024 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร Satoshi Hamada ได้ยื่นกระทู้ในรัฐสภา เสนอให้รัฐบาลศึกษาความเป็นไปได้ในการนำ Bitcoin มาเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ​ เขาให้เหตุผลว่าควรพิจารณาเปลี่ยนทุนสำรองเงินตราต่างประเทศบางส่วนมาอยู่ในรูปสินทรัพย์ดิจิทัลเช่น Bitcoin เพื่อให้ญี่ปุ่นไม่เสียเปรียบสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะตั้ง ทุนสำรอง Bitcoin เชิงยุทธศาสตร์ และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในระยะยาว (ทั้งในแง่การป้องกันความเสี่ยงเศรษฐกิจและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการเงินใหม่ๆ)​ บราซิล           บราซิลเป็นหนึ่งในประเทศที่เดินหน้าแนวคิดนี้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด ล่าสุดเดือนพฤศจิกายน 2024 Eros Biondini สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบราซิล (สภาคองเกรส) ได้เสนอ ร่างกฎหมาย จัดตั้งทุนสำรอง Bitcoin แห่งชาติ เรียกว่า “Sovereign Strategic Reserve of Bitcoins (RESBit)” โดยมอบหมายให้ธนาคารกลางบราซิลค่อย ๆ จัดสรรเงินเข้าซื้อ Bitcoin จนกระทั่งคิดเป็น สูงสุด 5% ของทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศ (ประมาณ 5% ของทุนสำรอง $355,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตีเป็นมูลค่าราว $18,000 ล้านที่จะอยู่ในรูป Bitcoin หากดำเนินการเต็มที่)​ อาร์เจนตินา           อาร์เจนตินา  อาร์เจนตินากำลังเผชิญวิกฤตค่าเงินและเงินเฟ้อสูง ทำให้แนวคิดการใช้สินทรัพย์ทางเลือกอย่างคริปโตได้รับความสนใจ ในเดือนพฤศจิกายน 2024 Martín Yeza สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (พรรค PRO ฝ่ายขวา) ได้เสนอ ร่างกฎหมายแก้ไขธรรมนูญธนาคารกลาง เพื่อ เปิดทางให้ธนาคารกลางอาร์เจนตินาสามารถซื้อและถือครอง Bitcoin เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศได้ รวมถึงอนุญาตให้ธนาคารกลางสามารถทำเหมือง (ขุด) Bitcoin ได้ด้วย​ และมีเปลี่ยนแปลงสำคัญเมื่อประธานธิบดีคนปัจจุบัน ฮาเวียร์ มีเลย์ (Javier Milei) ซึ่งสนับสนุนคริปโตขึ้นรับอำนาจ และ ประกาศแนวคิด “เสรีภาพทางการเงิน” เปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกใช้เงินสกุลใดก็ได้ รวมถึงคริปโต อย่างไรก็ดี อาร์เจนตินายังไม่มีกรอบกำกับคริปโตแบบเบ็ดเสร็จ อาจต้องปรับนโยบายให้สมดุลกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการเจรจากับเจ้าหนี้ระหว่างประเทศ           ในขณะที่ประเทศเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การออกกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมการออกและการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ป้องกันการฟอกเงิน และคุ้มครองผู้บริโภค (เช่น MiCA ของยุโรปที่ให้กรอบกำกับดูแลคริปโตทั้งหมด, สิงคโปร์และญี่ปุ่นที่เน้นความปลอดภัยและการคุ้มครองนักลงทุน รวมถึงเกาหลีใต้ที่ออกกฎหมายคุ้มครองผู้ใช้) แนวคิดเรื่องการจัดตั้งคลังสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบ “strategic reserve” ยังคงเป็นเฉพาะของสหรัฐฯ และบางประเทศเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ที่ตัดสินใจถือคริปโตในฐานะสินทรัพย์สำรองยุทธศาสตร์อย่างเป็นทางการ แม้ Bitcoin ส่วนใหญ่จะถือครองโดยเอกชนและนักลงทุน แต่ก็มีหลายประเทศที่รัฐบาลถือครอง Bitcoin จำนวนมาก ผ่านการยึดจากอาชญากรรมไซเบอร์หรือการลงทุนโดยตรงในนามของรัฐ ด้านล่างคือ 5 อันดับรัฐบาลที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุดในปัจจุบัน (ข้อมูลประมาณปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025) (ข้อมูลเป็นเพียงการประเมิน) โดยนอกมีเพียงสหรัฐอเมริกาที่นำเข้ามาเป็น strategic reserve สหรัฐอเมริกา – รัฐบาลสหรัฐฯ ถือครอง ประมาณ 198,000 BTC จีน – รัฐบาลจีน ถือครอง ประมาณ 190,000 BTC สหราชอาณาจักร – รัฐบาลอังกฤษถือครอง ประมาณ 61,000 BTC ยูเครน – รัฐบาลยูเครนถือครอง ประมาณ 46,000 BTC ภูฏาน – ราชอาณาจักรภูฏานถือครอง ประมาณ 10,000–13,000 BTC           การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve ถือเป็นก้าวสำคัญที่ส่งสัญญาณให้ทั่วโลกเห็นถึงบทบาทของ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์สำรองเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งอาจกระตุ้นให้ประเทศอื่นๆ ทบทวนแนวทางของตนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและทุนสำรองระหว่างประเทศ แม้ว่าหลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรป และ สิงคโปร์ จะยังคงปฏิเสธแนวคิดนี้ แต่บางประเทศอย่างจีน บราซิล และอาร์เจนตินาเริ่มมีการศึกษาและถกเถียงเรื่องการถือครอง Bitcoin เป็นทุนสำรองของรัฐ หากประเทศเหล่านี้เริ่มเดินหน้าสะสม Bitcoin อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่เร่งให้เกิดการแข่งขันการสะสมทุนสำรองสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างมหาอำนาจ ซึ่งจะส่งผลต่อโครงสร้างของระบบการเงินโลกอย่างมีนัยสำคัญ ในระยะยาว ผลกระทบของ Bitcoin Strategic Reserve ต่อระบบการเงิน และการลงทุนของโลก           การที่สหรัฐอเมริกาจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve อย่างเป็นทางการนั้นถือเป็นสัญญาณที่ส่งผลกระทบหลายมิติในระบบการเงินและการลงทุนโลก           การประกาศการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve โดยสหรัฐและการประชุม Crypto Summit ช่วยหนุนให้ตลาดคริปโตกลับมาคึกคัก ราคาบิตคอยน์ทะยานทะลุระดับ $90,000 อีกครั้งในช่วงที่มีข่าวบวกนี้ (เพิ่มขึ้นราว 11% ภายในวันเดียว)ขณะที่ตลอดปี 2024 ที่ผ่านมา บิตคอยน์ก็ปรับตัวขึ้นกว่า 120% และได้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ $100,000 เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2024 ซึ่งได้จุดกระแสความเชื่อมั่นอย่างร้อนแรงในหมู่นักลงทุนที่สนับสนุนสินทรัพย์ชนิดนี้​ การที่ทรัมป์ส่งสัญญาณว่าจะนำคริปโตสกุลอื่น ๆ อีกสี่สกุล (ได้แก่ XRP, Ether, Solana, Cardano) เข้ามารวมในทุนสำรอง (แม้ภายหลังจะจำกัดให้ใช้เฉพาะคริปโตที่รัฐบาลยึดมาได้) ส่งผลให้ราคาคริปโตโดยรวมพุ่งสูงในวงกว้าง โดยมูลค่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลรวมเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 10% ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังประกาศ (คิดเป็นมูลค่าเพิ่มกว่า $300 พันล้าน)​ นักลงทุนแห่เก็งกำไรในเหรียญทางเลือกที่ถูกเอ่ยถึง ทำให้ราคา altcoins หลายตัวทะยานขึ้น เช่น Cardano (ADA) ที่ราคาเพิ่มขึ้นเกือบ 42% ภายในสัปดาห์นั้นเพียงสัปดาห์เดียว​ ปริมาณซื้อขายและความสนใจของนักลงทุนต่างเพิ่มขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของราคา สะท้อนถึงความเชื่อมั่นเชิงบวกอย่างมากในตลาดกระทิงรอบนี้ อย่างไรก็ดี ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงมีความผันผวนอยู่บ้างเมื่อมีข่าวนโยบายออกมา: ขณะประกาศรายละเอียดว่าทุนสำรองจะใช้บิตคอยน์ที่ยึดมาแทนการเข้าซื้อเพิ่มเติม ราคาบิตคอยน์เกิดการย่อตัวระยะสั้น (ลงประมาณ 4% มาที่ราว $86,000) เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนผิดหวังที่รัฐบาลยังไม่เข้าซื้อสินทรัพย์ใหม่ทันที​ แต่หลังจากนั้นไม่นานตลาดก็ฟื้นตัวกลับมาใกล้ระดับเดิมเมื่อผู้ลงทุนประเมินว่าการมีทุนสำรองดังกล่าวถือเป็นสัญญาณบวกในระยะยาว (ราคาบิตคอยน์ดีดกลับขึ้นมาบริเวณ ~$90,000 ช่วงปลายสัปดาห์)​           โดยรวมแล้วความเชื่อมั่นนักลงทุนต่ออนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ในเกณฑ์สูงมากหลังเหตุการณ์นี้ หลายฝ่ายมองว่าบิตคอยน์กำลังเสริมสถานะความเป็นสินทรัพย์สำหรับการเก็บรักษามูลค่า (store of value) เทียบเคียงทองคำ และมีแนวโน้มจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนมาตรฐานของสถาบันการเงินและเงินทุนสำรองของบริษัทใหญ่ ๆ ในระยะยาว​ ส่วนในระยะยาว มีความเป็นไปได้จะส่งผลกับตลาดการเงินและการลงทุนดังนี้ การรับรอง Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลโดยภาครัฐจะส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนและภาคเอกชนปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับคริปโต เช่น Coinbase, MicroStrategy, และบริษัทFinTech ที่เกี่ยวข้อง จะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากกระแสนี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นโดยรวมอาจต้องรับมือกับความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่เริ่มเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้น อาจจะเป็นตัวเร่งที่ทำให้กองทุนรวมและ ETF ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนสถาบันและกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติจะมองหาการกระจายพอร์ตสินทรัพย์ที่รวมถึง Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ในส่วนของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น การสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลจากภาครัฐทำให้ Bitcoin และคริปโตหลักกลายเป็นสินทรัพย์ประเภทใหม่ ที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีการเติบโตสูงขึ้น และโครงสร้างพื้นฐานของตลาดนี้จะมีมาตรฐานมากขึ้น เช่น การยอมรับเทคโนโลยีบล็อคเชนมากขึ้น และอาจจะกลายเป็นพื้นฐานสำคัญของระบบการเงินของโลก หรือ ราคา Bitcoin อาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหากมีประเทศอื่น ๆ นำไปใช้ในทุนสำรอง (Store of Value) ข้อพิจารณาสำหรับประเทศไทย           ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับ Bitcoin Strategic Reserve แต่การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ อาจจะเป็นจุดสคำคัญในการศึกษาจากตัวอย่างจริง ของต่างประเทศให้เห็นภาพง่ายขึ้น แต่หากตอบสนองช้า ก็อาจจะทำให้สูญเสียโอกาสด้านเทคโนโลยีการเงินและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แนวโน้มระยะยาวสำหรับประเทศไทย: การกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขึ้น เนื่องจากเห็นการใช้งานจริง และ ผลกระทบทั้งข้อดีและข้อเสียจากต่างประเทศ ทำให้ ก.ล.ต. และธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถยกตัวอย่างมาประยุกต์กับประเทศไทยได้ นักลงทุนไทยอาจมีความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะ Bitcoin, Digital Asset  และกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับ (หากกฎหมายไทยอนุญาตให้สถาบันการเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล) ซึ่งจะทำให้ตลาดของสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโตมากขึ้น และ ลดข้อสงสัยกับนักลงทุน เกิดการพัฒนาแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลภายในประเทศ เช่น การกำหนดกรอบการทดสอบนวัตกรรม (sandbox) ที่ทำได้หลากหลายมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนและสถาบันการเงิน CeDeFi ในประเทศไทยอาจเติบโตขึ้น CeDeFi (Centralized & Decentralized Finance) เป็นแนวคิดที่รวมข้อดีของ DeFi (Decentralized Finance) และ CeFi (Centralized Finance) เข้าด้วยกัน ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นในตลาดโลก เช่น การใช้ Bitcoin หรือ Investment Token เป็นหลักประกันในการให้บริการสินเชื่อ ภายใต้การกำกับดูแลที่เหมาะสม แหล่งที่มา Reuters , Cointelegraph , Cryptobriefing, Foreignpolicy.com ผู้เขียน สุทธิรัตน์ หาญพานิชย์ Head of Business Development, Token X

จับตาเทรนด์ Tokenization ในไทย ทางเลือกใหม่ของนักลงทุนสายอสังหาฯ

จับตาเทรนด์ Tokenization ในไทย ทางเลือกใหม่ของนักลงทุนสายอสังหาฯ

Tokenization คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร          Tokenization คือ การเปลี่ยนสินทรัพย์ (Asset) ให้กลายเป็นโทเคนดิจิทัลบนบล็อกเชน (Blockchain) โดยโทเคนเหล่านี้จะแทนสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของหรือผลประโยชน์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ เช่น หุ้นในโครงการ อัตราผลตอบแทน หรือสิทธิในการใช้ทรัพย์สิน เป็นต้น การโอนหรือแลกเปลี่ยนโทเคนเหล่านี้จะถูกบันทึกแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger) ทำให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และลดต้นทุนการทำธุรกรรม ข้อดีของการ Tokenize สินทรัพย์ เพิ่มสภาพคล่อง (Liquidity): เมื่อมีการทำโทเคนสำหรับสินทรัพย์ซึ่งปกติอาจสภาพคล่องต่ำ (เช่น อสังหาฯ งานศิลปะ หรือสินค้าการเกษตร) โทเคนเหล่านี้สามารถซื้อขายได้ในตลาดรองดิจิทัลอย่างรวดเร็ว 24/7 มีผู้สนใจได้ทั่วโลก ลดข้อจำกัดในการเข้าถึง: นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ที่เดิมทีต้องใช้เม็ดเงินลงทุนสูง หรือมีโครงสร้างซับซ้อน เช่น กองทุน Private Equity, กองอสังหาริมทรัพย์ในทำเลแพง หรืออื่น ๆ แบ่งหน่วยลงทุนได้: ผู้ถือโทเคนอาจถือแค่บางส่วนของสินทรัพย์ ไม่จำเป็นต้องถือทั้งก้อน ซึ่งทำให้การลงทุนเปิดกว้างและกระจายความเสี่ยงได้สะดวกยิ่งขึ้น          ด้วยเหตุนี้ การ Tokenize จึงเป็นการเปิดโอกาสให้แก่สินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Asset) เช่น อสังหาริมทรัพย์, สิทธิบัตร, ลิขสิทธิ์, งานศิลปะ และสินทรัพย์อีกหลายรูปแบบ ให้สามารถเข้ามาลงทุน และสามารถแลกเปลี่ยนได้อย่างคล่องตัวกว่าเดิม โดยเทรนด์การนำมาประยุกต์นี้เรียกว่า Real World Asset Tokenization หรือ การแปลงสินทรัพย์ในโลกให้อยู่ในรูปแบบโทเคน          โดยในประเทศไทยนั้น การทำ Tokenization ได้เริ่มมีการใช้กับโปรเจ็คต่างๆ ในการ สร้างเหรียญ Investment Token ที่รับรองโดย ก.ล.ต. ออกมาเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน ในการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างของ Tokenization กับโปรเจ็คต่างๆในโลกนี้ 1) Real Estate Backed Tokenization อสังหาริมทรัพย์เป็นตัวอย่างการใช้งานแรกๆ ของการนำมาประยุกต์ใช้งาน ซึ่งมีหลายตัวอย่าง เช่น RealT (สหรัฐอเมริกา): เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายโทเคนที่อิงกับอสังหาริมทรัพย์ มีการแบ่งหน่วยบ้านหรืออาคารให้เป็นโทเคนบนบล็อกเชน Ethereum ผู้ซื้อโทเคนจะได้รับส่วนแบ่งค่าเช่า (Rental Income) ตามสัดส่วนที่ถือ AspenCoin (รีสอร์ทหรูใน Aspen): ออกเหรียญโทเคนเพื่อเป็นหลักฐานการถือสิทธิในโครงการรีสอร์ทระดับไฮเอนด์ โดยผู้ลงทุนสามารถรับผลตอบแทนจากการดำเนินงานของโรงแรมหรือรีสอร์ท Propy: แพลตฟอร์มซื้อขายอสังหาริมทรัพย์บนบล็อกเชน เคยมีการขายบ้านหลังแรกโดยใช้ Smart Contract บนแพลตฟอร์มนี้ 2) IP Tokenization Intellectual Property (IP) หรือทรัพย์สินทางปัญญา เช่น ลิขสิทธิ์เพลง สิทธิบัตร สิ่งประดิษฐ์ ฯลฯ สามารถนำมา Tokenize เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและเปิดให้บุคคลภายนอกสามารถลงทุนในผลงานเหล่านี้ได้ ยกตัวอย่าง มีโปรเจกต์ที่เปิดขาย Token ที่อิงกับค่าสิทธิในการใช้งานเพลง (Music Royalties) ซึ่งเมื่อเพลงได้รับค่าลิขสิทธิ์ ผู้ถือโทเคนก็จะได้รับส่วนแบ่งตามสัดส่วน เช่น Nas แรปเปอร์ระดับตำนาน ได้นำเพลง “Ultra Black” และ “Rare” มาขายสิทธิรายได้ในรูปแบบโทเคน NFT บนแพลตฟอร์ม Royal โดยเปิดให้คนทั่วไปซื้อโทเคนในระดับต่าง ๆ (Gold, Platinum, Diamond) ซึ่งแต่ละระดับจะได้ส่วนแบ่งรายได้ (Streaming Royalties) ไม่เท่ากัน 3) Commodity-backed Tokenization สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) เช่น ทองคำ น้ำมัน หรือผลิตภัณฑ์เกษตร สามารถถูก Tokenize เพื่อใช้แทน “สัญญา” หรือ “กรรมสิทธิ์” ในตัวสินค้า ตัวอย่าง: PAX Gold (PAXG): โทเคนที่อิงกับทองคำแท่งซึ่งฝากไว้อย่างปลอดภัยในห้องเก็บทองคำ ผู้ถือ 1 โทเคน = เป็นเจ้าของทอง 1 ออนซ์ และ Tether Gold (XAUT): คล้ายกันคือ เป็นโทเคนที่มีทองคำเป็นสินทรัพย์อ้างอิง ผู้ถือโทเคนถือสิทธิ์ทองคำในปริมาณที่แน่นอน 4) ตัวอย่างอื่นๆ ที่สามารถทำ Tokenization สำหรับสินทรัพย์ต่าง ๆ อีกมาก เช่น Art-backed Tokens: โทเคนที่ผูกกับมูลค่าของงานศิลปะระดับโลก ทำให้คนทั่วไปสามารถ “ร่วมถือครอง” ผลงานชิ้นเดียวในโลกได้ Carbon Credit Token: โทเคนที่สร้างขึ้นเพื่อเทรดเครดิตคาร์บอน ตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องการลดคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยเปิดตลาดให้โปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากขึ้น Real Estate Tokenization ในประเทศไทย ทำไม Real Estate Tokenization ถึงเป็นที่น่าสนใจในประเทศไทย?          อสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงและส่วนใหญ่มีสภาพคล่องต่ำ นักลงทุนต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการซื้อ-ขาย และยังมีปัญหาด้านขั้นตอนเอกสารและค่าธรรมเนียม แต่เมื่อนำ Blockchain และ Smart Contract มาใช้ เราจะสามารถ: แบ่งหน่วยลงทุน: นักลงทุนทั่วไปที่มีทุนไม่มาก ก็สามารถลงทุนบางส่วนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งบ้าน คอนโดมิเนียม หรืออสังหาฯ เชิงพาณิชย์ ทำธุรกรรมเร็วขึ้น: ลดการพึ่งพาตัวกลาง (เช่น โบรกเกอร์ หรือตัวแทน) จึงลดค่าธรรมเนียมและขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน เปิดตลาดรองขนาดใหญ่: มีตลาดรองสำหรับแลกเปลี่ยนโทเคนอสังหาฯ ได้ทั่วโลก 24/7 ทำให้ผู้ถือโทเคนสามารถขายหน่วยลงทุนได้ง่าย ไม่ต้องรอผู้ซื้อเงินหนาเพียงรายเดียว          ตัวอย่าง Investment Token สำหรับ อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย Real X (1)          RealX หรือชื่อเต็ม RealX Investment Token (โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนเรียลเอ็กซ์) เป็นโทเคนที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด และได้บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด เป็นผู้พัฒนาระบบเสนอขายโทเคน          RealX ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นโทเคนที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือคอนโดในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หมายความว่านักลงทุนรุ่นใหม่ที่สนใจการลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิงหรือมีกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ไม่จำเป็นต้องมีเงินหลักล้านก็สามารถเริ่มลงทุนผ่านโทเคนนี้ได้ โดยเริ่มเพียงหลักร้อยบาท และทางบริษัทฯ ผู้ออกโทเคนก็ได้คัดสรรคอนโดที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพื่ออ้างอิงมูลค่าผลตอบแทนจากกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์เข้ากับโทเคน          โทเคน RealX มีสินทรัพย์ค้ำประกันก็คือคอนโดในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ 1.พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (138 ห้อง) 2.พาร์ค ออริจิ้น พญาไท (123 ห้อง) 3.พาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงศ์ (100 ห้อง)          ซึ่งคอนโดทั้ง 3 โครงการนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง แถมผู้ถือโทเคน RealX ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาดูแลคอนโดด้วยตัวเอง เพราะทางมีทีมงานคอยช่วยดูแลให้          จุดเด่นที่นักลงทุนน่าจะให้ความสนใจโทเคน RealX ก็คือเรื่องของผลตอบแทน ซึ่งทางทางบริษัทฯ ผู้ออกโทเคนก็ได้ระบุไว้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะมาจาก 2 ส่วน ได้แก่ ผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิของคอนโดฯ ทั้ง 3 โครงการเป็นระยะเวลา 10 ปี นับจากเริ่มต้นโครงการ โดยในปีที่ 1–5 บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด ที่อยู่ในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จะรับประกันรายรับสุทธิของโครงการที่ 4% 4.25% 4.50% 4.75% และ 5% ต่อปีของมูลค่าเสนอขายโทเคนดิจิทัลฯ ตามลำดับ ได้รับผลตอบแทนเป็นรายไตรมาสจากการทยอยจำหน่ายคอนโดทั้ง 3 โครงการในปีที่ 6–10 (รวมกรณีขยายอายุโครงการ) รวมกับผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิ          *อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง ผู้ออกโทเคนจึงได้เน้นย้ำว่าผลตอบแทนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ Sirihub (2)          สิริ ฮับ โทเคน (SiriHub Token) เป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนที่ออกโดย บริษัท เอสพีวี 77 จำกัด ภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 และเสนอขายโทเคนดิจิทัลในตลาดแรกผ่าน บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล หรือ ICO Portal ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. และจะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด ซึ่งได้รับใบอนุญาตการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระทรวงการคลังภายใต้การกำกับดูแลโดย ก.ล.ต. โดยมีโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน 2 กลุ่ม ได้แก่ SiriHubA และ SiriHubB สินทรัพย์อ้างอิง          กลุ่มอาคารสำนักงาน สิริ แคมปัส ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยมีสัญญาเช่าระยะยาว 12 ปี ทำให้มีกระแสรายรับสม่ำเสมอ ส่วนแบ่งรายได้ ผู้ลงทุนจะได้รับส่วนแบ่งรายได้ทุกไตรมาส ในอัตราร้อยละ 4.5 ต่อปี สำหรับโทเคน SiriHubA และร้อยละ 8.0 ต่อปี สำหรับโทเคน SiriHubB และจะได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ส่วนสุดท้าย จากการจำหน่ายทรัพย์สินเมื่อสิ้นสุดโครงการ 4 ปี Summer Point Token (Sum X) (3) เป็นเหรียญล่าสุดในประเทศไทย กำหนดวันจองซื้อในเดือน กุมภาพันธ์ 2568          โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนซัมเมอร์พ้อยท์ (Summer Point Token) เป็นโทเคนดิจิทัลที่มีอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเป็นสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งมีการออกและเสนอขายภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“สำนักงาน ก.ล.ต.”) ของประเทศไทย และเป็นไปตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างครบถ้วนและถูกต้อง โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนลำดับที่ 4 ของประเทศไทย ที่เสนอขายผ่าน Token X ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ได้รับความเห็นชอบจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มี ผู้ออกโทเคนดิจิทัล เป็น บริษัท เดอะ อิชชูเออร์ จำกัด (The ISSUER) บริหารอสังหาริมทรัพย์ โดย บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมี ผู้ให้บริการระบบเสนอขาย โทเคนดิจิทัล (ICO Portal) คือ บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (Token X) อัตราผลตอบแทนทั้งโครงการเฉลี่ยต่อปี (IRR) เฉลี่ยร้อยละ 2 ต่อปี ตลอดอายุโครงการโทเคนดิจิทัล มูลค่าและจำนวนโทเคนดิจิทัล ที่เสนอขาย : มูลค่าการเสนอขายไม่เกิน 450,000,000 บาท โดยมีจำนวนโทเคนดิจิทัลที่เสนอขายไม่เกิน 900,000,000 โทเคน ราคาที่เสนอขาย : 50 บาท ต่อโทเคน มูลค่าการจองซื้อขั้นต่ำต่อครั้ง : มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 500 บาท (1,000 โทเคน) จองซื้อ” Summer Point Token พร้อมกัน 24 กุมภาพันธ์ - วันที่ 14 มีนาคม 2568 โอกาสรับอัตราผลตอบแทนทั้งโครงการเฉลี่ยต่อปี 2%* เริ่มต้นเพียง 500 บาทเท่านั้น          โดยสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม หรือ จองซื้อได้ที่ https://summerpointtoken.finance/  หรือ Application Token X (ดาวน์โหลดได้ที่ App Store หรือ GooglePlay) แหล่งอ้างอิง Bitkub (https://www.bitkub.com/th/blog/what-is-realx-be38886d69a) digital (https://spv77.digital/) Summerpoint Token ผู้เขียน สุทธิรัตน์ หาญพานิชย์ Head of Business Development, Token X

Stable Coin เรื่องต้องรู้ [HoonVision x TokenX]

Stable Coin เรื่องต้องรู้ [HoonVision x TokenX]

          หุ้นวิชั่น - Stable Coin เรื่องต้องรู้ 1) Stable Coin คืออะไร Stable Coin คือสกุลเงินดิจิทัล (คริปโทเคอร์เรนซี) ที่ออกแบบให้มีมูลค่า “คงที่” หรือผันผวนน้อย และ ทำหน้าที่เป็น สะพานเชื่อม ระหว่างระบบการเงินดั้งเดิม (traditional finance) กับโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลนี Blockchain ในเชิงปฏิบัติจะมีการกำหนดกลไกเพื่อรักษามูลค่าให้ใกล้เคียงกับสินทรัพย์อ้างอิง เช่น 1 USDC ≈\approx≈ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ผู้ลงทุนหรือผู้ใช้งานจึงมั่นใจได้ว่าราคาจะผันผวนน้อยกว่าเงินคริปโตอื่น ๆ ถือเป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ Stable Coin ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในภาคธุรกิจและผู้บริโภค 2) ข้อดีและโอกาสของ Stable Coin ลดความผันผวน เนื่องจาก Stable Coin ถูกออกแบบให้ราคาผูกกับสินทรัพย์อ้างอิงที่มีมูลค่าคงที่ (เช่น ดอลลาร์สหรัฐ) จึงมีความผันผวนน้อย สร้างความมั่นใจในการใช้งานทั้งในฐานะสื่อกลางการแลกเปลี่ยนและการเก็บรักษามูลค่า ความรวดเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ การโอน Stable Coin บนเครือข่ายบล็อกเชนทำได้อย่างรวดเร็วและค่าใช้จ่ายในการโอนอาจถูกกว่าการโอนเงินผ่านระบบธนาคารแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะการโอนข้ามประเทศ การเข้าถึงตลาดโลก Stable Coin สามารถแลกเปลี่ยนได้ผ่านตลาดคริปโตทั่วโลกแบบ 24/7 ไม่จำกัดวันหยุด และสามารถใช้ได้ในหลายแพลตฟอร์ม เปิดโอกาสให้ธุรกิจและบุคคลทั่วไปเข้าถึงการโอนเงินระหว่างประเทศได้ง่ายขึ้น เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงค่าเงินท้องถิ่น ในบางประเทศที่ค่าเงินผันผวนสูง ผู้คนหรือธุรกิจอาจใช้ Stable Coin เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะอัตราแลกเปลี่ยน ปกป้องมูลค่าทรัพย์สินที่ถืออยู่ โอกาสในอนาคต มีการพัฒนาโซลูชันทางการเงินใหม่ ๆ บนเครือข่าย Stable Coin เช่น การโอนเงินระหว่างประเทศ (cross-border payment) ทันที การสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการกู้ยืม (lending) หรือฝาก (staking) 3) Stable Coin แบ่งเป็นกี่ประเภท Fiat-Backed Stable Coin มีการค้ำประกันด้วยเงินสกุลหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร หรือเงินบาทจริง ๆ ที่ฝากไว้ในบัญชีธนาคารหรือสินทรัพย์ที่มีมูลค่าคงที่ โดยผู้ออกจะต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกันครบตามจำนวนที่ออกเหรียญ เช่น USDC (USD Coin) USDT (Tether) Crypto-Backed Stable Coin ค้ำประกันด้วยเงินคริปโตอื่น ๆ ผ่านสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) แม้จะมีโอกาสผันผวนไปตามตลาดคริปโต แต่ถูกออกแบบให้มีการค้ำประกันเกินมูลค่า (over-collateralized) เพื่อรักษาเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือ เช่น DAI (ค้ำประกันด้วย ETH และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น) Commodities-Backed Stable Coin ถูกหนุนด้วยสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำ น้ำมัน หรือโลหะมีค่าอื่น ๆ ทำให้ผู้ถือ Stable Coin ประเภทนี้มีสิทธิถือครองสินทรัพย์ในปริมาณที่เทียบเท่า ตัวอย่างเช่น PAXG (Pax Gold) XAUT (Tether Gold) Treasury-Backed Stable Coin ประเภทนี้จะได้รับการสนับสนุนจากพันธบัตรหรือสินทรัพย์จากคลังเงินรัฐหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ เช่น USDY (อาจได้รับการค้ำประกันด้วยพันธบัตรหรือสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความมั่นคง) Algorithmic Stable Coin เป็น Stable Coin ที่ไม่ได้มีการค้ำประกันด้วยสินทรัพย์ใด ๆ โดยตรง แต่ใช้ “อัลกอริทึม” และกลไกปรับสมดุลอุปทาน-อุปสงค์เพื่อรักษามูลค่าให้ใกล้เคียงกับที่ตรึงไว้ (peg) ตัวอย่างกลไกทั่วไป ซึ่งไม่ค่อยได้รับความนิยมในสมัยปัจจุบันเท่าใดนัก ได้แก่ UST (Luna) , FRAX 4) ตัวอย่างการนำ Stable Coin ไปใช้งาน สิงคโปร์: XSGD โดย StraitsX (ผู้ถือใบอนุญาต Major Payments Institution License จาก MAS) ออกเหรียญ XSGD เพื่อใช้แทนดอลลาร์สิงคโปร์ในรูปแบบดิจิทัล อาร์เจนตินา (Argentina) อาร์เจนตินาประสบปัญหาเงินเปโซ (Argentine Peso) อ่อนค่าต่อเนื่องและมีภาวะเงินเฟ้อสูง ประชาชนจำนวนหนึ่งจึงหันไปใช้ Stable Coin โดยเฉพาะที่ผูกกับดอลลาร์สหรัฐ เพื่อปกป้องมูลค่าของเงินออม ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจซื้อ USDT หรือ USDC เก็บไว้ในวอลเล็ตแทนการเก็บ Peso บราซิล : Brazil’s Pix ภายในระบบชำระเงินทันที (Instant Payment - IP) ของบราซิล ธนาคารกลางบราซิล (Banco Central do Brasil; BCB) ได้สร้าง “Pix” ซึ่งเป็นระบบ IP scheme ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโอนเงินได้ทันที เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังสามารถเชื่อมต่อกับ Stable Coin เพื่อให้การโอนเงินข้ามพรมแดนสะดวก รวดเร็ว และมีต้นทุนที่ต่ำลง ยุโรป: BVNK BVNK เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อให้ธุรกิจสามารถรับ-ส่ง แลกเปลี่ยน และเก็บรักษา Stable Coin ควบคู่ไปกับสกุลเงินปกติได้อย่างสะดวก ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกรรมระหว่างประเทศได้คล่องตัวมากขึ้น ลดค่าธรรมเนียม และไม่ต้องกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน DeFi (Decentralized Finance) ในโลกของ Decentralized Finance หรือ Web 3.0 มีใช้ Stable Coin ในแอปพลิเคชันทางการเงินแบบกระจายศูนย์ เช่น การปล่อยกู้ (Lending) การยืม (Borrowing) การทำ Yield Farming หรือการซื้อขายบน DEX (Decentralized Exchange) ช่วยให้เกิดสภาพคล่องสูง ปลอดภัย (ผ่าน Smart Contract) และเปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้าถึงบริการการเงินได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง 5) ประเทศไทย และ Stable Coin สำหรับประเทศไทยนั้น Stable Coin เป็นที่พูดถึงมากขึ้นในระยะหลัง ซึ่งจริงๆแล้ว มีการทดลองการใช้งานมาในระยะหนึ่งแล้ว ในรูปแบบวงจำกัด ประเทศไทยมี “Regulatory Sandbox” ซึ่งจัดตั้งโดยธนาคารแห่งประเทศไทยเช่นกัน เพื่อเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินและผู้พัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาทดสอบภายใต้การกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เช่นการนำ stable coin มาใช้กับการทำ programmable payment, cross-border payment และในด้านอื่นๆ เช่น SCB 10X ส่ง Rubie Wallet แอปพลิเคชันกระเป๋าเงินดิจิทัลเข้าร่วมการทดสอบ Regulatory Sandbox ของ ธปท. และ ก.ล.ต. นำนวัตกรรมใหม่ด้านการเงิน ครั้งแรกของเมืองไทยด้วย PBM หรือ Purpose Bound Money  ที่แปลงเงินดิจิทัลที่ผูกกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็น THBX และสามารถทำธุรกรรมการชำระเงิน ภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดบนมือถือที่ปลอดภัย โดยจะเปิดตัวในงานสัมมนา DevCon 2024 โดย PBM จะสามารถตั้งเงื่อนไขอัตโนมัติเพื่อกำหนดการใช้จ่ายได้ในเขตพื้นที่และร้านค้าที่กำหนดเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการศึกษาจากกระทรวงการคลัง ในการพัฒนา Stablecoin ใหม่ มีพันธบัตรรัฐบาลที่ออกใหม่มาเป็นAsset-Backed มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท พร้อมตั้งแพลตฟอร์มเทรดใหม่เสร็จภายในปี 2568 นี้ และเตรียมขยายเฟสต่อไปเตรียมเปิดให้ Stablecoin ใช้ซื้อสินค้าได้ ผู้เขียน สุทธิรัตน์ หาญพานิชย์ Token X

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456