ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#GULF


GULF โบรกชี้จังหวะน่าสะสม เคาะเป้า 70.25 บ.

GULF โบรกชี้จังหวะน่าสะสม เคาะเป้า 70.25 บ.

              หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ส่องประเด็น ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 5 ที่สัดส่วน 3.25% ใน KBANK และจะจ่ายปันผลรวม 10.5 บาท/หุ้น (ประกอบด้วยปันผลประจำปี 8.0 บาท/หุ้น XD 17 เม.ย.2568 และปันผลพิเศษ 2.5 บาท/หุ้น XD 15 พ.ค.68) ในวันที่ 6 มิ.ย.2568               ฝ่ายวิจัยมองว่าจากกรณีที่ GULF ถือหุ้นจนถึงวันขึ้นเครื่องหมาย XD จะได้รับเงินปันผลราว 808.5 ล้าน บาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 3.8% ของคาดการณ์กำไรปกติปี 2568 ของ GULF               ทั้งนี้ GULF ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเข้าถือหุ้นดังกล่าว โดยระบุว่าเป็น การลงทุนทั่วไปตามนโยบายของบริษัทฯ ซึ่งโดยปกติจะมีportfolio การลงทุนอยู่แล้ว โดยเห็นว่า KBANK เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง, P/BV และ P/E อยู่ในระดับต่ำ, และมีการจ่ายปันผลต่อเนื่องที่ให้dividend yield ราว 7-8%/ปีดังนั้น การเข้าลงทุนดังกล่าวจึงมุ่งหวังผลตอบแทนจากปันผล และ upside จากราคาหุ้น KBANK ในอนาคต ทั้งนี้ GULF ได้ทยอยซื้อสะสม KBANK ตั้งแต่ช่วง4Q67               นอกจากนี้ ในส่วนของนโยบายการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน KBANK รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดโอกาส synergy ร่วมกันระหว่าง GULF และ KBANK ในอนาคต ปัจจุบัน GULF ยังไม่สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าวได้ จึงถือเป็นประเด็นที่ยังคงต้องติดตาม               ฝ่ายวิจัยคงมูลค่าพื้นฐาน ปี 2568 ของ GULF ที่สะท้อนการควบรวมเป็น NewCo แล้ว อยู่ที่ 70.25 บาท ช่วงสั้น 1Q68 คาดกำไร ทำ New High ได้ต่อเนื่อง และระยะยาวที่เห็นการเติบโตที่แข็งแกร่ง ปัจจุบันราคาหุ้นปรับฐานลง มองเป็นจังหวะเข้าสะสมลงทุนระยะยาว               ด้านความเสี่ยงด้านนโยบายลดค่าไฟ คาดส่งผลกระทบต่อ GULF ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากมีสัดส่วนขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมอยู่ในระดับต่ำ ไม่ถึง 10% ของ รายได้ขายไฟฟ้าโดยรวม ทั้งนี้ GULF จะหยุดซื้อขายวันที่21 มี.ค.-2 เม.ย. 2568 และจะเปลี่ยนเป็น NEWCO โดยใช้ ชื่อเดิมว่า GULF ในวันที่ 3 เม.ย. 2568 เป็นต้นไป

ผู้ถือหุ้น GULF ต้องทำตัวอย่างไร

ผู้ถือหุ้น GULF ต้องทำตัวอย่างไร

          วันนี้ เป็นวันซื้อขายสุดท้าย ของ GULF และ INTUCH หลังจากนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมายพักการซื้อขายชั่วคราว (SP) ตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. – 2 เม.ย. 2568 และในช่วงพักการซื้อขาย จะเปลี่ยนแปลงชื่อหลักทรัพย์ GULF เป็น GULFI เพื่อควบรวม GULFI และ INTUCH เป็นบริษัทใหม่ (NewCo)   หลังจากนั้น วันที่ 3 เม.ย. 2568 กลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ภายใต้ชื่อเดิมคือ  GULF           นักลงทุนสามารถ เลือกกระทำการได้ ดังนี้ 1. กรณีต้องการซื้อหรือขาย  ก็ดำเนินการได้ถึงวันที่ 20 มี.ค. ทั้ง GULF และ INTUCH หรือ 2. กรณีต้องการถือครองหลักทรัพย์ต่อ  ก็ไม่ต้องดำเนินการใด ๆ หุ้นจะกลับมาซื้อขายได้ใหม่ในวันที่ 3 เม.ย.2568  สำหรับผู้ถือหุ้นของ GULF (เดิม) และ INTUCH จะได้รับหลักทรัพย์ GULF (ใหม่) ในอัตราส่วนดังนี้ 1 หุ้นเดิมใน GULF (เดิม) ต่อ 1.02974 หุ้น GULF (ใหม่) และ 1 หุ้นเดิมใน INTUCH ต่อ 1.69335 หุ้น GULF (ใหม่)           ขณะที่ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)  ประเมินราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ของ NewCo ที่ 53.25 บาท/หุ้น โดยใช้วิธี Sum of the Part (SOTP) โดยประเมินธุรกิจโรงไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานด้วยวิธี DCF บน WACC 6.4% และ Terminal Growth ที่ 0% และประเมินมูลค่าเงินลงทุนในส่วนของ ADVANC และ THCOM โดยใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ที่ 296.00 บาท/หุ้น และ 16.50 บาท/หุ้น ตามลำดับ และหักลดด้วย Discount 10% โดยหากอิงราคาปิดของ GULF และ INTUCH ณ วันที่ 18 มี.ค. ที่ 49.50 บาท/หุ้น และ 80 บาท/หุ้น ตามลำดับ จะคิดเป็นราคา NewCo ที่ราว 47.80 บาท           ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว สำหรับ WHA สัญญาณราคาเริ่มฟื้นตัว หลังถูกกระหน่ำขายอย่างหนัก จากประเด็นจะนำ WHAID เข้าจดทะเบียนตลาดหุ้น แต่ท้ายสุดผู้บริหารต้องยอมถอย พับแผนไปก่อน และเลื่อน WHAID  ไปอย่างน้อย 2-3 ปี โดยไม่กระทบกับแผนการลงทุนที่ตั้งไว้ ซึ่งผู้บริหารให้เหตุผลว่า เงินที่ได้จากการ spin off ส่วนหนึ่งเตรียมไว้สำหรับการ M&A กิจการที่มองว่า มีโอกาสเสริมธุรกิจของ WHA ส่วนแผนการเพิ่มพื้นที่เช่าอีก 200,000 ตร.ม. ทางผู้บริหารมีความมั่นใจ เพราะจะมีการตั้งโรงงานเพิ่มที่เวียดนามหลายที่  บล.พาย เคาะพื้นฐาน 5.20 บาท           ย้อนมาเกาะติด KBANK อีกที ใกล้เข้ามาแล้ว การจ่ายปันผลรอบแรก หุ้นละ 8 บาท ที่จ่อขึ้น XD วันที่ 8 เม.ย. 2568 และงวดที่2 ปันผลพิเศษอีก 2.50 บาทต่อหุ้น  ขึ้น XD  วันที่ 15 พ.ค. 2568  รวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 28,431,931,116  บาท ที่สำคัญ เงินปันผลจ่ายจากกำไรสะสมที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 20 ผู้ถือหุ้นที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถ ขอเครดิตภาษีเงินปันผลคืนได้ ในอัตรา 20/80 ของเงินปันผลที่ได้รับ           เริ่มคลายกังวลกันเสียที กรณี  BEM  กับสะพานทรุดตัว พระราม 2 เพราะล่าสุดพบว่า ผู้บริหารยืนยันไม่กระทบการดำเนินงาน  เหตุปริมาณการจราจรที่ด่านมีแค่ 0.03% ของการจราจรรวม บล.กสิกรไทยชี้ BEM มีประกัน Business interruption ที่สามารถ claim ได้   แนะ ซื้อสะสม ราคาเป้าหมาย 10.85 บาท           ด้าน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ส่องหุ้น PTTGC คาดไตรมาส1 ปี 2568 ฟื้นตัว แม้อาจมีผลขาดทุนปกติอยู่จากโรงกลั่นกลับมาเดินเครื่องปกติ  แต่มีสัดส่วนอีเทนเป็นวัตถุดิบเพิ่มขึ้น 20% ช่วยให้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้น  และกำไรของ allnex เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล ทำให้กำไรปีนี้ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อนมีตั้งด้อยค่าก้อนใหญ่  รวมรับรู้ประโยชน์จากการใช้อีเทนเป็นวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเต็มปี อีกทั้งกลยุทธ์ลดค่าใช้จ่าย   การหยุดผลิต PTTAC และ Vencorex ช่วยให้ค่าใช้จ่ายคงที่ลดลง ราคาหุ้นซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าบัญชีมาก  แนะซื้อ ราคาเป้าหมาย 27.5 บาท           วกมาที่ บล.ธนชาต  ระบุว่า เริ่มเห็น Sentiment เชิง บวก ขณะที่โบรกต่างชาติ UBS ได้ปรับคำแนะนำหุ้นไทยเป็น “Overweight” จาก “Neutral ” โดยมองว่า Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ใกล้เคียงกับระดับช่วงเกิดโควิด และเชื่อว่าราคาที่ปรับลดลงได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว           นอกจากนี้ การออก Thai ESG Extra ช่วยชดเชยกับเงินที่จะครบกำหนดของ LTF ซึ่งถ้าเทียบหุ้นที่ Valuation น่าสนใจ กำไรเติบโตดี และเริ่มเห็นสัญญาณต่างชาติสะสม แนะนำ “ซื้อ”   กลุ่มแรก ที่เห็น Fund Flow ไหลเข้า ชอบ CENTEL- CBG- MINT- CKP และกลุ่มที่ Fund Flow ไหลออก แต่พื้นฐานดี มีโอกาสเห็น Fund flow ไหลเข้าอีกครั้ง ชอบ KBANK- CPALL- TRUE -BDMS -CPN – WHA การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน [วิพากษ์หุ้นไทย]

[Vision Exclusive] GULF ถือหุ้น KBANK รับปันผล Q2 ที่ 808 ลบ.

[Vision Exclusive] GULF ถือหุ้น KBANK รับปันผล Q2 ที่ 808 ลบ.

           หุ้นวิชั่น – GULF เสริมพอร์ตลงทุน! เข้าถือหุ้น KBANK จำนวน 77 ล้านหุ้น คิดเป็น 3.25% ชี้เป็นหุ้นที่มี P/BV และ P/E ต่ำ สภาพคล่องสูง จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ พร้อมรับรู้เงินปันผลไตรมาส 2/2568 จำนวน 808.5 ล้านบาท มุ่งหวังผลตอบแทนจากปันผลและ Upside ของราคาหุ้นในอนาคต โบรกมองเป็นการตัดสินใจที่ดีในการบริหารเงินสดในมือ การลงทุนใน KBANK มีอนาคต และถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจ            นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าลงทุนใน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันมีสัดส่วนการถือหุ้นใน KBANK จำนวน 77,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 3.25% (รวมข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 13 มีนาคม 2568)            ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้น KBANK ถือเป็นการลงทุนทั่วไป เนื่องจาก GULF มี Portfolio การลงทุนป็นปกติอยู่แล้ว โดย KBANK เป็นหุ้นที่มี สภาพคล่องสูง มีอัตราส่วน P/BV (Price to Book Value Ratio) และ P/E (Price to Earnings Ratio) อยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งยังมีประวัติการ จ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 โดยให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ที่ 7-8% ดังนั้น GULF จึงเข้าลงทุนในหุ้น KBANK โดยมุ่งหวัง ผลตอบแทนจากเงินปันผลและ Upside จากราคาหุ้น ในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทจะรับรู้เงินปันผลใน ไตรมาส 2/2568 จำนวน 808.5 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยต่อยอดศักยภาพการลงทุนและบริหารกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ            นายมงคล พ่วงเภตรา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การตัดสินใจเข้าลงทุนในหุ้น KBANK ของ GULF ถือเป็นกลยุทธ์การบริหารเงินสดที่ชาญฉลาด โดยหลังจากที่ GULF เปิดดำเนินการผลิตไฟฟ้าในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ประเภท IPP ส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดไหลเข้าจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องมีการบริหารสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพ            ทั้งนี้ ที่ผ่านมา GULF ได้แสดงให้เห็นถึง วิสัยทัศน์ที่เฉียบคม ในการลงทุน และ การเข้าลงทุนใน KBANK ครั้งนี้ก็มองว่าจะสร้างผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญให้แก่บริษัท เนื่องจาก KBANK เป็นธนาคารที่มี แนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีประวัติ การจ่ายเงินปันผลที่มั่นคง และมีศักยภาพในการสร้าง ผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการบริหารพอร์ตการลงทุนของ GULF ที่มุ่งเน้น การสร้างมูลค่าเพิ่มจากสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการ HoonVision

GULF ยุคใหม่ ไฉไลกว่าเดิม l Hoon Vision Talk Online

GULF ยุคใหม่ ไฉไลกว่าเดิม l Hoon Vision Talk Online

https://youtu.be/MaiMv3c5vQ4?si=gnH607SvYfGaI6Ob GULF ยุคใหม่ ไฉไลกว่าเดิม l Hoon Vision Talk #หุ้นวิชั่น #GULF #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

GULF-INTUCH นับถอยหลังควบรวม ซื้อขายวันสุดท้ายพรุ่งนี้ 20 มี.ค. หนุนกำไร แตะ 25,504 ลบ.โต 15%

GULF-INTUCH นับถอยหลังควบรวม ซื้อขายวันสุดท้ายพรุ่งนี้ 20 มี.ค. หนุนกำไร แตะ 25,504 ลบ.โต 15%

                หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง GULF ว่า โค้งสุดท้ายก่อนการควบรวมกิจการ ซื้อขายวันสุดท้ายวันที่ 20 มี.ค. 68 ก่อนหยุดพักการซื้อขาย 9 วัน NewCo ผสานพลังธุรกิจโรงไฟฟ้า-ICT คาดกำไรปี 2025 โต 15% แตะ 25,504 ล้านบาท พร้อมศักยภาพขยายตัวต่อเนื่อง ราคาเหมาะสม 53.25 บาท เริ่มต้นคำแนะนำ “TRADING” จับตาอัปไซด์จากคลื่น กสทช. หนุนต้นทุนลด                 การควบรวมกิจการระหว่าง GULF-INTUCH เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายคือ การจัดประชุมผู้ถือหุ้นร่วมในวันที่ 25 มี.ค. 2025 ทั้งนี้หุ้น GULF และ INTUCH จะหยุดพักการซื้อขายหุ้นเป็นระยะเวลา 9 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. 2025 ถึงวันที่ 2 เม.ย. 2025 ดังนั้นนักลงทุนต้องถือหุ้นในวันที่ 20 มี.ค. ซึ่งเป็นวันซื้อขายวันสุดท้ายหากจะแปลงเป็น NewCo โดยระบบจะเปลี่ยนเป็น NewCo ให้โดยอัตโนมัติภายใต้ Ratio 1 หุ้น GULF ต่อ 1.0297                 หุ้นในบริษัทใหม่และ 1 หุ้น INTUCH ต่อ 1.6934 หุ้นในบริษัทใหม่ ระยะสั้นยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก...รอดูความชัดเจนหลังการควบรวม ภายหลังการควบรวม NewCo จะเป็นบริษัทฯ ที่มีธุรกิจหลัก 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจโรงไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน                 ธุรกิจ ICT ภายใต้ ADVANC ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีความคล้ายคลึงกับโครงสร้างเดิมก่อนการควบรวมกิจการ                 ทั้งนี้เรามองว่าในระยะยาวบริษัทฯ จะมีการนำองค์ความรู้ของแต่ละธุรกิจมาเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล อย่างไรก็ตามในระยะสั้นคาดยังไม่เห็น Synergy ที่มีนัยสำคัญระหว่างทั้ง 2 บริษัทฯ (คาดยังเน้นไปที่การลงทุนตามแผนเดิมก่อนการควบรวม)                 ทั้งนี้เรามองว่าภายหลังกระบวนการควบรวมเสร็จสิ้นบริษัทฯ จะมีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเติบโตของ NewCo ในระยะยาว หลังคาด Net IBD/E ของ NewCo จะอยู่ที่เพียง 0.9 เท่า เทียบกับ GULF ที่ราว 1.9 เท่า (มีความสามารถในการกู้ยืมที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการควบรวม)คาดกำไรปกติของ NewCo เติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากทั้งธุรกิจไฟฟ้าและ ICT                 เบื้องต้นคาดกำไรปกติปี 2025 ของ NewCo ที่ 25,504 ล้านบาท เติบโต 15% YoY (อิงกำไรจากงบเสมือนปี 2024 ที่ 22,240 ล้านบาท) หนุนจากการเริ่มรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากโครงการใหม่ที่ COD ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และส่วนแบ่งกำไรจาก ADVANC ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงการเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจ Data Center และหากมองไปปี 2026-27 คาดกำไรปกติของ NewCo จะยังสามารถเติบโต YoY ได้ต่อเนื่องจากการ COD โครงการใหม่ของธุรกิจโรงไฟฟ้าและ ARPU ของธุรกิจมือถือและ Broadband ที่เพิ่มขึ้น                 นอกจากนี้ประมาณการของเรายังมี Upside เพิ่มเติมจากการเปิดประมูลคลื่นรอบใหม่ของ กสทช. ในช่วง 2Q-3Q25 ที่มีโอกาสส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายของ ADVANC ลดลงได้ราว 1.0-2.0 พันล้านบาท/ปี (เป็น Upside ให้กับราคาเหมาะสมของ NewCo ได้ราว 0.25-0.75 บาท/หุ้น) เริ่มต้นคำแนะนำ “TRADING” อิงราคาเหมาะสม 53.25 บาท/หุ้น                 เราประเมินราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ของ NewCo ที่ 53.25 บาท/หุ้น โดยใช้วิธี Sum of the Part (SOTP) โดยเราประเมินธุรกิจโรงไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานด้วยวิธี DCF บน WACC 6.4% และ Terminal Growth ที่ 0% และเราประเมินมูลค่าเงินลงทุนในส่วนของ ADVANC และ THCOM โดยใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ที่ 296.00 บาท/หุ้น และ 16.50 บาท/หุ้น ตามลำดับ และหักลดด้วย Discount 10% โดยหากอิงราคาปิดของ GULF และ INTUCH ณ วันที่ 18 มี.ค. ที่ 49.50 บาท/หุ้น และ 80.00 บาท/หุ้น ตามลำดับ จะคิดเป็นราคา NewCo ที่ราว 47.80 บาท/หุ้น มี Upside เพียง 11.4% จึงเริ่มต้นคำแนะนำ “TRADING”                 ความเสี่ยงที่สำคัญ: การปรับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของภาครัฐ การปรับแผน PDP ของภาครัฐ การแข่งขันในอุตสาหกรรม ICT ที่รุนแรงกว่าคาดความต้องการใช้งาน Data Center ที่น้อยกว่าคาดขั้นตอนการควบรวมกิจการโค้งสุดท้าย                 การควบรวมกิจการระหว่าง GULF-INTUCH กำลังจะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย คือการจัดประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่างผู้ถือหุ้น GULF และ INTUCH เพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมบริษัท เช่น ชื่อของ NewCo (“Gulf Development”) และการอนุมัติทุนจดทะเบียน เป็นต้น โดยการประชุมดังกล่าวจะเกิดขึ้นในวันที่ 25 มี.ค. 2025 เวลา 15.30 น. โดยจะเป็นการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ทั้ง GULF และ INTUCH ได้มีการกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวไปแล้วเมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ผ่านมา)                 ทั้งนี้หุ้น GULF และ INTUCH จะหยุดพักการซื้อขายหุ้นเป็นระยะเวลา 9 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. 2025 จนถึง วันที่ 2 เม.ย. 2025 ดังนั้นนักลงทุนจะต้องมีหุ้นในวันที่ 20 มี.ค. 2025 ซึ่งจะเป็นวันซื้อขายวันสุดท้ายหากจะแปลงเป็น NewCo โดยนักลงทุนที่ถือหุ้นถึงสิ้นวันที่ 20 มี.ค. 2025 ระบบจะเปลี่ยนเป็น NewCo ให้ภายใต้อัตราส่วน 1 หุ้น GULF ต่อ 1.0297 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้น INTUCH ต่อ 1.6934 หุ้นในบริษัทใหม่ หรือคิดเป็นอัตราส่วนเปรียบเทียบ (Swap Ratio) ระหว่าง GULF-INTUCH ที่ 1.6444 ทั้งนี้หุ้นของ NewCo จะเริ่มซื้อขายในวันที่ 3 เม.ย. 2025 (กลับมาซื้อขายในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค)

[Vision Exclusive] GULF ดาต้าเซ็นเตอร์โตแรง เดินหน้าสู่เป้าหมาย 200MW

[Vision Exclusive] GULF ดาต้าเซ็นเตอร์โตแรง เดินหน้าสู่เป้าหมาย 200MW

          หุ้นวิชั่น - GULF ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์โตแรง ดีมานด์ดีต่อเนื่อง เปิดเฟสแรก 25 MW ที่สมุทรปราการ เม.ย. นี้ พร้อมล่าสุด BOI อนุมัติอีก โครงการขนาด 35 MW เงินลงทุนกว่า 1.34 หมื่นล้านบาท เดินหน้าขยายสู่ ถึง 100-200 เมกะวัตต์ ใน 3-5 ปี ส่วนการควบรวม INTUCH จะหยุดพักการซื้อขายตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. 68 – 2 เม.ย. 68 จะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “GULF” ในการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย.68 เป็นต้นไป           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า GULF เดินหน้าธุรกิจศูนย์ข้อมูล (data center) มีแผนที่จะทยอยเปิดให้บริการเฟสแรกขนาด 25 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่สมุทรปราการ ในเดือนเมษายนปีนี้ นอกจากนี้ล่าสุด มคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการ Data Center 3 โครงการจากประเทศไทย จีน และสิงคโปร์ ได้แก่ บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 02 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม Gulf, Singapore Telecommunications และ AIS เงินลงทุน 13,480 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี , บริษัท Beijing Haoyang Cloud Data Technology จากประเทศจีน เงินลงทุน 72,670 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง และบริษัทในเครือ Empyrion Digital จากประเทศสิงคโปร์ เงินลงทุน 4,720 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร โดยบริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 02 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม Gulf, Singapore Telecommunications และ AIS เงินลงทุน 13,480 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี เป็นโครงการร่วมทุนของบริษัท ขนาด 35 เมกะวัตต์ โดยอยู่ระหว่างการพัฒนา คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปลายปี 2026 ซึ่งบริษัทเชื่อว่าธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ จะเติบโตต่อเนื่อง มั่นใจว่าธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์จะมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลในประเทศไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) และการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายขนาดการให้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 100-200 เมกะวัตต์ ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านการประมวลผลข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ           นอกจากนี้ ในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่ารายได้จะเติบโตขึ้น 20-25% โดยโครงการโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ของบริษัทฯ จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีกประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ในปีนี้ สำหรับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค โครงการต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนายังคงเป็นไปตามแผน โดยโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) มีกำหนดจะเปิดดำเนินการในปี 2568 ขณะที่สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) มีกำหนดจะเปิดดำเนินการในปี 2569 ในส่วนของโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 ณ ปัจจุบัน ได้ดำเนินการถมทะเลเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย และมีแผนที่จะเริ่มก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG terminal) ในช่วงกลางปีนี้ อีกทั้งโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 มีกำหนดรับมอบพื้นที่จากการท่าเรือแห่งประเทศไทยเพื่อเริ่มก่อสร้างท่าเทียบเรือในช่วงปลายปี 2568           ส่วนการควบบริษัทระหว่างบริษัทฯ และ INTUCH โดย GULF จะหยุดพักการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ เป็นระยะเวลา 9 วันทำการ ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 2 เมษายน 2568           ภายหลังการประชุมผู้ถือหุ้นร่วมและการจดทะเบียนการควบบริษัทแล้วเสร็จ บริษัทฯ และ INTUCH จะสิ้นสภาพจากการเป็นนิติบุคคล และเกิดเป็นบริษัทมหาชนจำกัดขึ้นใหม่ (“NewCo”) โดย NewCo จะยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้รับหุ้นของ NewCo เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนที่หุ้นของบริษัทฯ และ INTUCH ซึ่งจะถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดย NewCo จะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์คือ GULF ในการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังกล่าว           ดังนั้น เพื่อให้ NewCo สามารถใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “GULF” ได้ บริษัทฯ จึงขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงชื่อย่อหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ในระหว่างหยุดพักการซื้อขายคือตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2568 – 2 เมษายน 2568 เป็น GULFI และ NewCo จะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “GULF” ในการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2568 เป็นต้นไป รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว Hoonvision

ตลท.ปรับรายชื่อหลักทรัพย์ใช้คำนวณในดัชนี SETCLMV-SETESG-SETHD

ตลท.ปรับรายชื่อหลักทรัพย์ใช้คำนวณในดัชนี SETCLMV-SETESG-SETHD

           หุ้นวิชั่น - ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประกาศการปรับการคำนวณดัชนี SETCLMV, SETESG และ SETHD จากกรณีการควบรวมกิจการของ GULF และ INTUCH            จากกรณีการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) และ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH) นั้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) จะดำเนินการปรับรายชื่อหลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณในดัชนี SETCLMV, SETESG และ SETHD ตามแนวทางที่กำหนดไว้ในหลักเกณฑ์การจัดทำดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ฯ            เพื่อเป็นการให้รายละเอียดตามหลักเกณฑ์การจัดทำดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะไม่มีการปรับน้ำหนักในดัชนี SETCLMV, SETESG และ SETHD เพื่อจำกัดน้ำหนักรายหลักทรัพย์ให้ไม่เกินระดับที่กำหนด (Capped Weight) โดยรายชื่อหลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงและวันที่มีผลในดัชนีจะประกาศให้ทราบเป็นการทั่วไปอีกครั้ง

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

GULF ใช้ชื่อย่อเดิม หลังควบรวมฯเสร็จ

GULF ใช้ชื่อย่อเดิม หลังควบรวมฯเสร็จ

           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่า ตามที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ได้แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัทฯ ครั้งที่ 3/2568 ซึ่งอนุมัติการจัดประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่างผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นของบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (“INTUCH”) ในวันที่ 25 มีนาคม 2568 เวลา 15.30 น. เพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการควบบริษัทระหว่างบริษัทฯ และ INTUCH ตามบทบัญญัติมาตรา 148 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) (“การประชุมผู้ถือหุ้นร่วม”) ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่อ้างถึงนั้น            ภายหลังการประชุมผู้ถือหุ้นร่วมและการจดทะเบียนการควบบริษัทแล้วเสร็จ บริษัทฯ และ INTUCH จะสิ้นสภาพจากการเป็นนิติบุคคล และเกิดเป็นบริษัทมหาชนจำกัดขึ้นใหม่ (“NewCo”) โดย NewCo จะยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้รับหุ้นของ NewCo เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนที่หุ้นของบริษัทฯ และ INTUCH ซึ่งจะถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดย NewCo จะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์คือ GULF ในการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังกล่าว            ดังนั้น เพื่อให้ NewCo สามารถใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “GULF” ได้ บริษัทฯ จึงขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงชื่อย่อหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ในระหว่างหยุดพักการซื้อขายคือตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2568 – 2 เมษายน 2568 เป็น GULFI และ NewCo จะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “GULF” ในการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2568 เป็นต้นไป

GULF ควบรวม INTUCH! เปลี่ยนชื่อย่อ GULFI มีผล 21 มี.ค.68

GULF ควบรวม INTUCH! เปลี่ยนชื่อย่อ GULFI มีผล 21 มี.ค.68

           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ตามที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ได้แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 3/2568 ซึ่งอนุมัติการจัดประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่างผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นของบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (“INTUCH”) ในวันที่ 25 มีนาคม 2568 เวลา 15.30 น. เพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการควบบริษัทระหว่างบริษัทฯ และ INTUCH ตามบทบัญญัติมาตรา 148 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ.2535 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) (“การประชุมผู้ถือหุ้นร่วม”) ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่อ้างถึงนั้น ภายหลังการประชุมผู้ถือหุ้นร่วมและการจดทะเบียนการควบบริษัทแล้วเสร็จ บริษัทฯ และ INTUCH จะสิ้นสภาพจากการเป็นนิติบุคคล และเกิดเป็นบริษัทมหาชนจำกัดขึ้นใหม่ (“NewCo”) โดย NewCo จะยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้รับหุ้นของ NewCo เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนที่หุ้นของบริษัทฯ และ INTUCH ซึ่งจะถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่ง NewCo จะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์เดียวกันกับ บริษัทฯ (กล่าวคือ GULF) ในการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังกล่าว            ดังนั้น เพื่อให้ NewCo สามารถใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์เดียวกันกับบริษัทฯ ได้ บริษัทฯ จึงขอแจ้งการเปลี่ยนแปลง ชื่อย่อหลักทรัพย์ของบริษัทฯ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ชื่อย่อหลักทรัพย์เดิม: GULF ชื่อย่อหลักทรัพย์ใหม่: GULFI

GULF ดีด 3.74% รับ BOI อนุมัติลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์-ลดค่าไฟกระทบจำกัด

GULF ดีด 3.74% รับ BOI อนุมัติลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์-ลดค่าไฟกระทบจำกัด

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า ระบุ ราคาหุ้นของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) ปรับตัวขึ้นมาในวันนี้ คาดได้อานิสงค์บวกจากข่าว คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) อนุมัติลงทุนโครงการ Data Center 3 โครงการจากประเทศไทย จีน และสิงคโปร์ ได้แก่ บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 02 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม Gulf, Singapore Telecommunications และ AIS เงินลงทุน 13,480 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี บริษัท Beijing Haoyang Cloud Data Technology จากประเทศจีน เงินลงทุน 72,670 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง บริษัทในเครือ Empyrion Digital ประเทศสิงคโปร์ เงินลงทุน 4,720 ล้านบาท           ขณะที่ GULF ยังเป็นบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดค่าไฟฟ้าจำกัด หลังนายทักษิณ ชินวัตร แนะให้ปรับลดค่าไฟเหลือ 2.50 บาท เพื่อดึงดูดการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากมีการขายไฟให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมน้อย  เมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าเจ้าอื่น           นอกจากนี้คาดว่านักลงทุนน่าจะเข้ามาสะสมหุ้น ก่อนเปลี่ยนเป็น New Co โดย GULF จะหยุดพักการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ เป็นระยะเวลา 9 วันทำการ ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 2 เมษายน 2568 เพื่อการเตรียมการเกี่ยวกับการจัดสรรหุ้นของ NewCo ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นของ GULF รวมถึงการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนำหลักทรัพย์ของ NewCo เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ           ด้านบล.กรุงศรี ประเมินบอร์ด BOI เคาะส่งเสริมลงทุน 4 โครงการใหญ่ 2 แสนล้านบาท ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีส้ม ตะวันตก 1.09 แสนล้านบาท และ Data Center รวม 3 โครงการ (GSA Data Center 1.3 หมื่นล้านบาท Beijing Haoyang Cloud Data Technology จากประเทศจีน เงินลงทุน 7.26 หมื่นล้านบาท และเครือ Empryion Digital 4.7 พันล้านบาท)           ช่วยหนุนเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้าไทยต่อเนื่อง โดยกลุ่มที่อนุมัติข้างต้นต่อเนื่องเป็นชุดที่ 3 ต่อจากการอนุมัติ Data Center ByteDance, ซันโวด้า 5 หมื่นล้าน ผลิตแบตเตอรี่ต้นน้ำแห่งแรกในไทย ประเมินจิตวิทยาบวกต่อ SET ที่มีความหวังทางบวก New S Curve ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น โดยให้น้ำหนักที่ Data Center จีนที่เริ่มเข้ามาต่อเนื่อง และเม็ดเงินที่ลงทุนโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับสูงกว่าฝั่งสหรัฐฯ ที่เข้ามาก่อน ซึ่งน่าจะยังมีรายอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติม โดยเฉพะกลุ่มผู้ประกอบการเทคฯ อื่นๆ เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในธีม Infra Tech นิคม WHA, AMATA สื่อสาร ADVANC, TRUE โรงไฟฟ้า GULF, GPSC รับเหมางาน Data Center อาทิ STECON, INSET Digital อาทิ BE8, BBIK           เชิงกลยุทธ์ ประเมินพัฒนาการดังกล่าวน่าจะมีส่วนช่วยปรับมุมมองตลาดที่มีเศรษฐกิจไทย ขาด New S Curve ใหม่ๆ ได้บางส่วน ขณะที่หนุนชุดหุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์ดังกล่าว โดยระยะสั้นเน้นหุ้นที่อยู่กลุ่ม Deep Value อาทิ WHA, AMATA, GPSC และหุ้นที่อุตสาหกรรมหลักธุรกิจยังอยู่ใน Upcycle อาทิ ADVANC

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

GULF มุ่งสู่ Net Zero ในปี 2593 เดินหน้าสานต่อภารกิจ “Powering the Future, Empowering the People”

GULF มุ่งสู่ Net Zero ในปี 2593 เดินหน้าสานต่อภารกิจ “Powering the Future, Empowering the People”

           กรุงเทพฯ – 5 มีนาคม 2568 - บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “GULF” เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน ตั้งเป้าลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 และเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ไม่น้อยกว่า 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมดภายในปี 2578 เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมสานต่อภารกิจ “Powering the Future, Empowering the People” ที่ครอบคลุม 4 กลยุทธ์สำคัญ เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำการเป็นองค์กรชั้นนำด้านพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานยั่งยืนในระดับภูมิภาค            “นายธนญ ตันติสุนทร” Executive Officer บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 30 ปี ในการดำเนินธุรกิจ GULF ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน และถือเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กรให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Sustainable Development Goals – SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่มีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ เป้าหมายที่ 7 การสร้างหลักประกันว่าทุกคนเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่ในราคาที่สามารถซื้อหาได้ เชื่อถือได้ และยั่งยืน, เป้าหมายที่ 13 ปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น, เป้าหมายที่ 8 การส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน การจ้างงานเต็มที่และ มีผลิตภาพ และการมีงานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน, เป้าหมายที่ 3 การสร้างหลักประกันการมีสุขภาวะที่ดี และการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกช่วงวัย และเป้าหมายที่ 6 การสร้างหลักประกันเรื่องน้ำและการสุขาภิบาล ให้มีการจัดการอย่างยั่งยืนและมีสภาพพร้อมใช้ สำหรับทุกคน            รวมถึงการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบ ESG ที่ครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ตลอดจนการประเมินประเด็นด้านความยั่งยืนที่มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ และผู้มีส่วนได้เสียทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Materiality Topics) โดยตั้งเป้าหมายที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ลงทุนเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ด้วยการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ไม่น้อยกว่า 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมดภายในปี 2578 พร้อมกับบูรณาการประเด็นด้าน ESG ตลอดห่วงโซ่คุณค่าร่วมกับคู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ            ขณะเดียวกันยังมุ่งสร้างคุณค่าร่วมให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ตั้งแต่พนักงาน ผู้ถือหุ้น ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม เพราะเชื่อว่าความสำเร็จทางธุรกิจต้องเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคม และการมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม GULF จึงได้ดำเนินโครงการพัฒนาชุมชนและสังคมที่ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Powering the future, Empowering the people” ซึ่งครอบคลุม 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่            1) การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคสำหรับชุมชนท้องถิ่น โดยดำเนินการผ่านโครงการ “GULF Sparks, Life Starts เติมพลังไฟให้ชีวิต” เพื่อติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ทุรกันดาร จุดประกายทุกชีวิตให้สว่างไสว ด้วยไฟฟ้าสะอาด โดยดำเนินการไปแล้ว 4 พื้นที่ ได้แก่ 1) โรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ (สาขาร่องกล้าวิทยา) อ.นครไทย จ.พิษณุโลก 2) เกาะทุ่งนางดำ อ.คุระบุรี จ.พังงา 3) บ้านคลองทราย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร และ 4) โรงเรียนมอเคลอะคี อ.ท่าสองยาง จ.ตาก            ตลอดจนโครงการ “Green Energy Green Network for THAIs พลังงานสะอาดเชื่อมเครือข่ายเพื่อคนไทย” ที่ร่วมกับ AIS เพื่อมอบโอกาสในการเข้าถึงพลังงาน และเทคโนโลยีดิจิทัล มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสทางการศึกษา เพิ่มการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข ตลอดจนการเติบโตของเศรษฐกิจชุมชน และยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยในพื้นที่ห่างไกล ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ผลิตพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ให้แสงสว่างแก่ชุมชน พร้อมติดตั้งระบบสื่อสารจากสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้แก่ชุมชนห่างไกล โดยดำเนินการไปแล้วใน 6 พื้นที่ ได้แก่ 1) บ้านดอกไม้สด อ.ท่าสองยาง จ.ตาก 2) บ้านมอโกโพคี อ.ท่าสองยาง จ.ตาก 3) บ้านแม่ตอละ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน 4) บ้านผีปานเหนือ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ 5) บ้านแม่โมงเย้า อ.แม่สรวย จ.เชียงราย และ 6) บ้านขุนก๋อง อ.แม่ทา จ.ลำพูน สามารถผลิตไฟฟ้าได้กว่า 22 กิโลวัตต์ มีประชาชนที่ได้รับประโยชน์กว่า 4,000 คน            2) การสนับสนุนการศึกษา สำหรับทุกเพศทุกวัย ทุกระดับชั้นในทุกพื้นที่ ดำเนินการผ่านโครงการ “หนึ่งทุน หนึ่งฝัน ปั้นอนาคต” ที่จัดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 เพื่อมอบทุนการศึกษาให้กับผู้ป่วยในความดูแลของศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ แก้ไขความพิการบนใบหน้า และกะโหลกศีรษะ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สร้างโอกาสทำตามความฝันให้กับผู้ป่วยของศูนย์ฯ ที่ทางครอบครัวมีรายได้น้อย ให้ได้เข้ารับการศึกษาในระดับสูงสุดตามความมุ่งหวังของครอบครัวและตามศักยภาพทางสติปัญญาและร่างกายของผู้ป่วย            ขณะเดียวกันยังร่วมกับ “มูลนิธิออทิสติกไทย” จัดกิจกรรมเสริมสร้างพัฒนาการ และพัฒนาทักษะด้านศิลปะให้กับเยาวชนจากมูลนิธิฯ ตลอดจนการส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาสำหรับเด็กพิเศษ โดยร่วมกับ “ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดสระบุรี หน่วยบริการแก่งคอย” ในการปรับปรุงห้องเรียน และอาคารสถานที่ให้มีความพร้อม มีความปลอดภัย สะดวกสบาย และเอื้ออำนวยต่อการดูแลเด็กกลุ่มนี้ ตลอดจนการสนับสนุนอุปกรณ์การเรียน เครื่องเล่นต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการในด้านต่าง ๆ            ที่สำคัญยังดำเนินโครงการ “GULF Sparks Energy ชวนน้องท่องโลกพลังงาน” ให้กับเด็ก ๆ นักเรียน โดยนำร่องในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานประเภทต่าง ๆ และรู้จักแหล่งที่มาของพลังงานที่ใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงหลักการทำงาน และกระบวนการผลิต ผ่านฐานกิจกรรมการเรียนรู้ที่สนุกสนาน แฝงไปด้วยสาระและความรู้ พร้อมทั้งปลูกฝังแนวคิดการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย             3) การส่งเสริมสุขภาวะและความเป็นอยู่ที่ดี ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และสาธารณสุข ดำเนินการผ่านโครงการออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ “GULF Sparks Smiles มอบรอยยิ้มสดใสให้ชุมชน” ที่ร่วมกับ “คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563 มาจนถึงปัจจุบัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนในสังคมให้ได้รับการรักษาจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขที่มีคุณภาพ พร้อมกันนี้ยังได้ต่อยอดโครงการด้วยการสนับสนุนการปรับปรุงอาคารโครงการทันตกรรมปากเกร็ด จ.นนทบุรี สำหรับเด็กที่อยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์ในพื้นที่บ้านปากเกร็ด            นอกจากนี้ ยังสนับสนุนกล้องผ่าตัดกระดูกไขสันหลังชนิดแผลเล็ก (Endoscopic Spine Surgery) แก่ศูนย์ผ่าตัดผ่านกระดูกสันหลังและระบบประสาท โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของโรงพยาบาลในการผ่าตัดกระดูกสันหลังชนิดแผลเล็ก ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ลดเวลาการพักฟื้นที่โรงพยาบาล และลดโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียง ตลอดจนการสนับสนุนการสร้างศูนย์ไตเทียม โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงนวัตกรรมการฟอกไตประสิทธิภาพสูง เป็นต้น            และ 4) การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ดำเนินการผ่านโครงการ “Green Mission by Chula x GULF ภารกิจรักษ์ยั่งยืน” โดยร่วมกับ “คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” และ “สถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เพื่อปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับเยาวชนไทย โดยเปิดโอกาสให้เขาเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืน            ไม่เพียงเท่านี้ GULF ยังได้ดำเนินโครงการ “ศูนย์การเรียนรู้และแปลงนาสาธิตหนองแซง” ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่โรงไฟฟ้าหนองแซง จ.สระบุรี โดยได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2557 เพื่อสนับสนุนการทำเกษตรกรรมที่ยั่งยืน และเศรษฐกิจหมุนเวียน ทำให้เห็นว่าโรงไฟฟ้าสามารถอยู่คู่กับชุมชนได้โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต และผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งมีฐานการเรียนรู้ด้านการเกษตรที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการปลูกข้าวอินทรีย์ การปลูกผักผลไม้ การเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ และการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ตลอดจนมีกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อแบ่งปันความรู้ให้แก่เกษตรกร ผู้ที่สนใจได้มาศึกษาดูงาน รวมถึงเป็นพื้นที่สันทนาการในท้องถิ่น ส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์และการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอีกด้วย            “ปัจจุบัน GULF ได้ดำเนินโครงการพัฒนาชุมชนและสังคมที่ยั่งยืน ครอบคลุม 4 กลยุทธ์หลักไปแล้วกว่า 60 โครงการ ครอบคลุม 3,500 ชุมชน ใน 40 จังหวัดของประเทศไทย มีประชาชนจำนวนว่า 20,000 คน ที่ได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการ สามารถสร้างรายได้กว่า 200,000 บาทต่อปี และจากความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อความยั่งยืน ทั้งในมิติการดำเนินธุรกิจ ควบคู่ไปกับการยกระดับชีวิตของผู้คน ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปด้วยกัน ทำให้ GULF ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิก S&P Global Sustainability Yearbook ในกลุ่มอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคไฟฟ้า (Electric Utilities) และยังได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนชั้นนำระดับโลก “FTSE4Good Index” ตลอดจนได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อ “หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings” กลุ่มทรัพยากร จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 และในปี 2567 ที่ผ่านมายังได้รับการประเมินในระดับสูงสุด AAA อีกด้วย”            “GULF จะยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน และพร้อมสานต่อภารกิจ Powering the Future, Empowering the People ตอกย้ำการเป็นองค์กรชั้นนำด้านพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานยั่งยืนระดับภูมิภาค ที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนต่อไป” “นายธนญ” กล่าวทิ้งท้าย. [PR News]

GULF คว้ารางวัล  The Most Attractive Employer - Tech Industry

GULF คว้ารางวัล The Most Attractive Employer - Tech Industry

          บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF คว้ารางวัล ‘Future Trends Corporate Awards’ สาขา ‘The Most Attractive Employer - Tech Industry’ จากเวที Future Trends Award 2025 ตอกย้ำความสำเร็จในการปรับตัวจากบริษัทพลังงาน สู่ผู้นำธุรกิจดิจิทัลที่สามารถดึงดูดบุคลากรและคนรุ่นใหม่ในตลาดที่แข่งขันสูง รวมถึงรักษาคนที่มีความสามารถไว้กับองค์กรได้           นายสมิทธ์ พนมยงค์ Executive Officer GULF กล่าวว่า “กัลฟ์เริ่มต้นจากธุรกิจพลังงาน และขยายสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และล่าสุดคือธุรกิจดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับองค์กร แต่ยังสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและศักยภาพของบริษัทฯ ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล อีกหัวใจสำคัญที่หล่อหลอมให้เราประสบความสำเร็จคือค่านิยมที่เปรียบเสมือนดีเอ็นเอของคน GULF คือ ‘G-U-L-F’ ได้แก่ ‘Goal-Oriented’ มุ่งมั่นพัฒนาตนเอง กล้าที่จะก้าวข้ามทุกขีดจำกัด ‘Unity’ ร่วมแรงร่วมใจ ‘Learning’ ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และ ‘Flexibility’ พร้อมปรับตัวรับทุกความท้าทาย ค่านิยมองค์กรที่แข็งแกร่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ GULF ปรับตัวจากบริษัทพลังงานมาสู่การเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมดิจิทัลได้อย่างราบรื่น และดึงดูดให้บุคลากรที่มีความสามารถอยากเข้ามาร่วมงาน รวมถึงรักษาบุคลากรเหล่านั้นไว้ได้ด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในเกณฑ์สำคัญของการพิจารณารางวัลนี้”           Future Trends Awards 2025 เป็นรางวัลระดับนานาชาติที่มุ่งยกย่ององค์กร ที่สร้างสรรค์นวัตกรรมขับเคลื่อนเทรนด์ใหม่ และเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน พิจารณารางวัลโดยคณะกรรมการที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขา จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Knowing the Future, Be the Winners of Tomorrow นำเสนอภาพรวมเทรนด์โลก ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจและสังคมไทยในอนาคต โดยรางวัลจะมอบให้กับองค์กรที่โดดเด่นในการนำเทรนด์มาใช้อย่างสร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและการเติบโตอย่างยั่งยืนของทุกภาคส่วนในสังคม [PR News]

GULF ปังไม่หยุด! หุ้นกู้ 30,000 ล้าน ยอดจองล้น 2.2 เท่า

GULF ปังไม่หยุด! หุ้นกู้ 30,000 ล้าน ยอดจองล้น 2.2 เท่า

          หุ้นวิชั่น - บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ มูลค่าเสนอขายรวม 30,000 ล้านบาท โดยเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ และประชาชนทั่วไป หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยแสดงความจำนงในการจองหุ้นกู้ของบริษัทฯ มากถึง 2.2 เท่าของจำนวนที่ประสงค์จะเสนอขาย (Oversubscription) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนต่อธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต           สำหรับหุ้นกู้ที่บริษัทฯ เสนอขายในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 5 ชุด ได้แก่ 1. หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.74 ต่อปี มูลค่า 3,500 ล้านบาท 2. หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.00 ต่อปี มูลค่า 6,500 ล้านบาท 3. หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.15 ต่อปี มูลค่า 12,000 ล้านบาท 4. หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.35 ต่อปี มูลค่า 4,000 ล้านบาท และ 5. หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.55 ต่อปี มูลค่า 4,000 ล้านบาท โดยหุ้นกู้ทั้ง 5 ชุดดังกล่าว มีอัตราดอกเบี้ยคงที่เฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 3.15 และอายุเฉลี่ยหุ้นกู้เท่ากับ 5.48 ปี ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นกู้ชุดที่ 1-5 ให้แก่นักลงทุนสถาบันและ/หรือนักลงทุนรายใหญ่ และเสนอขายหุ้นกู้ชุดที่ 2-5 ให้แก่ประชาชนทั่วไป           ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือองค์กร อยู่ที่ “A+” และหุ้นกู้ทุกชุดได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A” แนวโน้ม “บวก (Positive)” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้งให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ซึ่งได้เปิดจองซื้อหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ และวันที่ 3 มีนาคม 2568 และได้ออกหุ้นกู้ในวันที่ 4 มีนาคม 2568           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้ว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นกู้จะยังคงมีความผันผวน ท่ามกลางความกังวลและความระมัดระวังในการลงทุนในหุ้นกู้ของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาดจากนักลงทุน โดยยอดจองซื้อเกินกว่าจำนวนที่เสนอขายที่มากกว่า 2 เท่า ซึ่งยอดจองซื้อจากประชาชนทั่วไปในครั้งนี้สูงถึงกว่า 10,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในผลประกอบการของบริษัทฯ และการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจของบริษัทฯ โดยการระดมทุนดังกล่าว ส่วนหนึ่งจะนำไปคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดและเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ส่วนที่เหลือเพื่อรองรับการขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ ต่อไป บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในหุ้นกู้ของ บริษัทฯ และขอขอบคุณสถาบันการเงินทั้ง 10 แห่ง ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ที่ทำให้การเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทฯ ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเกินคาด”

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

GULF โอกาสโตไม่หยุด ลงทุน 5ปี 9 หมื่นล้านบ.

GULF โอกาสโตไม่หยุด ลงทุน 5ปี 9 หมื่นล้านบ.

          หุ้นวิชั่น - GULF เดินหน้าควบรวม INTUCH จัดตั้งบริษัทใหม่ 'กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์' เสริมความแข็ง ฐานะการเงินที่แกร่ง คาดรับรู้กำไรจาก AIS ไม่ต่ำกว่า 3,500 ล้านบาทต่อปี หนุน EBITDA โตต่อเนื่อง พร้อมลด D/E เหลือ 0.8 เท่า เตรียมลงทุน 90,000 ล้านบาทใน 5 ปี ขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนสู่ 40% ภายในปี 2035 ปีนี้ปักธงรายได้โต 20-25%           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ GULF เปิดเผยถึงความพร้อมเดินหน้าควบรวมกับ บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ "กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)" และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งด้านสถานะทางการเงิน พร้อมต่อยอดการเติบโตของธุรกิจพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และดิจิทัลอย่างยั่งยืน           การควบรวมครั้งนี้จะช่วยเสริมสถานะทางการเงินให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยบริษัทใหม่ยังถือหุ้นตรงใน AIS 40% ทำให้สามารถรับรู้กำไรและ EBITDA ที่เพิ่มขึ้น คาดว่าจะได้รับ Profit Sharing จาก AIS ไม่ต่ำกว่า 3,500 ล้านบาทต่อปี พร้อมกระแสเงินสดจากเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลดลงจาก 1.8 เท่า เหลือ 0.8 เท่า ทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งทางการเงินมากขึ้น พร้อมต่อยอดธุรกิจพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และดิจิทัล โดยตั้งเป้าควบคุมหนี้ไม่ให้เกิน 2 เท่า ซึ่งในอนาคตคาดว่าเครดิตเรตติ้งของบริษัทใหม่จะได้รับการปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินลดลง           การควบรวมครั้งนี้ยังช่วยกระจายความเสี่ยงของรายได้ โดยคาดว่าในอนาคต 60% ของกำไรจะมาจากธุรกิจพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน และ 40% จากธุรกิจดิจิทัลผ่าน AIS ขณะเดียวกัน บริษัทก็ยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจพลังงานเป็นหลัก โดย 80% ของรายได้ยังคงมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้า และมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 40% ภายในปี 2035 จากปัจจุบันที่ 10% ซึ่งบริษัทมีความคืบหน้าในการพัฒนาโครงการที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายแล้ว โดยการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดนี้จะช่วยดึงดูดนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์           ด้านการลงทุนใน AIS หลังการควบรวม จะช่วยให้บริษัทสามารถรับรู้กำไรจาก AIS ได้มากขึ้น พร้อมผลักดันการเติบโตของธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ฟิกบอร์ดแบรนด์ และการต่อยอดสู่ธุรกิจ Virtual Bank ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนสำคัญของบริษัทในอนาคต           สำหรับแนวโน้มรายได้ปี 2568 คาดว่าจะเติบโต 20-25% โดยมีโครงการโรงไฟฟ้าที่จะทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์รวม 1,500 เมกะวัตต์ อาทิ โครงการ HKP หน่วยผลิตที่ 2 กำลังผลิต 770 เมกะวัตต์ ที่เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าแล้วในเดือนมกราคมที่ผ่านมา รวมถึงโครงการโซลาร์ฟาร์มและโซลาร์ฟาร์มร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานในประเทศอีก 7 โครงการ กำลังผลิตรวม 597 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยเปิดดำเนินการในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมปีนี้ นอกจากนี้ โครงการ Solar Rooftop ภายใต้ GULF1 คาดว่าจะจ่ายไฟฟ้าให้ลูกค้าเพิ่มอีก 110 เมกะวัตต์ ส่งผลให้กำลังการผลิตติดตั้งของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 15,100 เมกะวัตต์ เป็น 16,577 เมกะวัตต์           ในส่วนของธุรกิจก๊าซ ปีนี้บริษัทมีแผนขยายการนำเข้า LNG เพิ่มขึ้นเป็น 70 ลำ หรือประมาณ 4-5 ล้านตัน เพื่อรองรับโรงไฟฟ้า GSRC, GPD และ HKP ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้จาก shipper fee สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจก๊าซต่อไป           ธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) มีแผนทยอยเปิดให้บริการ เฟสแรกขนาด 25 เมกะวัตต์ในเดือนเมษายนปีนี้ และตั้งเป้าขยายขนาดการให้บริการเป็น 100-200 เมกะวัตต์ภายใน 3 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลในประเทศไทย ขณะที่ธุรกิจ Cloud ซึ่งบริษัทได้ร่วมมือกับ Google เพื่อให้บริการ Google Distributed Cloud Air-Gapped มีแผนเปิดให้บริการช่วงกลางปี 2568 เพื่อรองรับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ           สำหรับปี 2568 บริษัทมีแผนลงทุน 23,000 ล้านบาท โดย 70% จะใช้ลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียน ส่วนที่เหลือใช้ในธุรกิจดิจิทัล ขณะที่แผนลงทุนระยะ 5 ปี (2025-2029) คาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 90,000 ล้านบาท โดย 80% มุ่งเน้นโครงการพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมในอังกฤษ พลังงานน้ำในลาว รวมถึงแหล่งก๊าซธรรมชาติ และการลงทุนด้านดาต้าเซ็นเตอร์และโครงสร้างพื้นฐาน โดยแหล่งเงินลงทุนจะมาจาก กระแสเงินสดของบริษัท การออกหุ้นกู้ และเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์           ด้านนโยบายการจ่ายเงินปันผล ภายหลังการควบรวมจะขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีการจ่ายเพิ่มกว่าระดับเดิม แต่จะขึ้นอยู่กับแผนการลงทุนในอนาคต           ทั้งนี้ โครงสร้างพอร์ตโรงไฟฟ้าของบริษัทมีความมั่นคงสูง โดยโครงการส่วนใหญ่เป็น โรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) และโครงการพลังงานทดแทนที่ได้รับอัตราค่าไฟแบบ Feed-in Tariff (FiT) คิดเป็นสัดส่วนกว่า 90% ของพอร์ต โดยเน้นจำหน่ายไฟฟ้าให้ EGAT เป็นหลัก ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากมาตรการแทรกแซงของภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่อาจได้รับผลกระทบมีสัดส่วนเพียง 6% ของพอร์ต และบริษัทได้มีมาตรการบริหารความเสี่ยงไว้ล่วงหน้า ทำให้ความเสี่ยงโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้พอร์ตโรงไฟฟ้ายังคงมีเสถียรภาพและไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของนโยบายภาครัฐ

BINANCE TH ร่วมกับ GULF จับมือ  ม.ธรรมศาสตร์ ลงนาม MoU พัฒนา “บุคลากรสินทรัพย์ดิจิทัล”

BINANCE TH ร่วมกับ GULF จับมือ ม.ธรรมศาสตร์ ลงนาม MoU พัฒนา “บุคลากรสินทรัพย์ดิจิทัล”

              หุ้นวิชั่น - BINANCE TH by Gulf BINANCE ผู้นำแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการกำกับดูแลภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาและเติมทักษะให้กับบุคลากรรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย               ข้อมูลจาก ก.ล.ต. เผยมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ณ เดือน มกราคม 2568 มีมูลค่ากว่า 9.95 หมื่นล้านบาท โดยมีบัญชีนักลงทุนมากกว่า 2.45 ล้านราย สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ที่มีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังอยู่ในวงจำกัด สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงแรงงาน ที่ระบุว่า ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยต้องการกําลังแรงงานด้านดิจิทัลมากกว่า 140,000 คน อาทิ วิศวกรซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ข้อมูล นักพัฒนาเอไอ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน ผู้พัฒนาโปรแกรมเซมิคอนดัคเตอร์ ไมโครชิป ออโตเมชั่น และนักการตลาดดิจิทัล               นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า               “กัลฟ์ให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่เพียงภาคการเงินเท่านั้น เรามองเห็นโอกาสในการประยุกต์ใช้บล็อกเชนในธุรกิจที่หลากหลาย เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน และการทำธุรกรรมซื้อขายไฟฟ้า แต่การที่จะขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริง เราจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่พร้อม ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในครั้งนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ ที่จะเข้าใจทั้งด้านพลังงานและเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานของไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น นอกจากนี้ การมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านคริปโตเคอร์เรนซี จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีบล็อกเชนในภูมิภาค และดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้อีกด้วย"               นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด กล่าวว่า "การเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยกำลังขยายตัวขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2024 มูลค่าการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มของเราเติบโตขึ้นกว่า 300% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ จากการยอมรับของนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการอนุมัติ Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ดังนั้นเราจึงต้องเร่งพัฒนาบุคลากรด้านบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลให้ทันต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม ผ่านการพัฒนาหลักสูตร e-Learning และ Blended Learning ที่ครอบคลุมทั้งด้านทฤษฎีและการประยุกต์ใช้จริง โดยจะเน้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชน สินทรัพย์ดิจิทัล การเงินดิจิทัล และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นักศึกษาไทยมีความรู้ทัดเทียมในระดับสากล และพร้อมเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัลของประเทศในอนาคตอันใกล้"               ศาสตราจารย์ ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มุ่งมั่นในการผลิตบัณฑิตที่มีความพร้อมรับมือกับความท้าทายในศตวรรษที่ 21 มธ.พร้อมปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเราตั้งเป้าผลิตบัณฑิตด้านนี้กว่า 8,000 คนต่อปี และความร่วมมือกับผู้นำทั้งในอุตสาหกรรมพลังงานและสินทรัพย์ดิจิทัลครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการเรียนการสอนให้มีความทันสมัย ผ่านการผสมผสานองค์ความรู้จากในและนอกห้องเรียน รวมถึงประสบการณ์จริงจากภาคธุรกิจ ช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด และนำมาต่อยอดได้ นอกจากนั้นนักศึกษาและบุคลากรไทยที่เข้าร่วมโครงการนี้จะได้รับประโยชน์มากมาย เช่น โอกาสในการฝึกงานกับบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โอกาสในการทำงานในตำแหน่งที่กำลังเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน และโอกาสในการสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ"               Changpeng Zhao (CZ) อดีต CEO ของ Binance กล่าวว่า "เราเชื่อว่าการศึกษาเป็นรากฐานของนวัตกรรมและการเข้าถึงทางการเงิน ความร่วมมือของเรากับกัลฟ์และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อให้ความรู้แก่นักศึกษา 1,000 คนเกี่ยวกับบล็อกเชนและ คริปโตถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับคนรุ่นต่อไปของประเทศไทยด้วยความรู้และทักษะที่จำเป็นในการเติบโตในเศรษฐกิจดิจิทัล ประเทศไทยมีระบบนิเวศบล็อกเชนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และการเสริมสร้างความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยี คริปโตให้กับเยาวชนจะช่วยขับเคลื่อนการยอมรับอย่างรับผิดชอบ การเป็นผู้ประกอบการ และการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ความคิดริเริ่มนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนกลุ่มผู้มีความสามารถในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างอุตสาหกรรม คริปโตระดับโลกด้วยการส่งเสริมชุมชนผู้นำ นักพัฒนา และนักประดิษฐ์ในอนาคตที่มีข้อมูลครบถ้วน เรารู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมมือในความพยายามเชิงกลยุทธ์นี้และยังคงมุ่งมั่นที่จะทำให้การศึกษาเกี่ยวกับบล็อกเชนเข้าถึงได้สำหรับทุกคน เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของ Web3"               ความร่วมมือครั้งนี้มีระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่การลงนาม โดยทั้งสามองค์กรจะร่วมกันพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของนักศึกษาและบุคลากรให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการมุ่งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง Digital Asset Hub แห่งอาเซียน ซึ่งคาดว่าภูมิภาคนี้จะมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1.3 แสนล้านบาท ภายในปี 2025

GULF จับมือ Pandora เซ็น MOU นำร่องซื้อขายไฟฟ้าเสมือนจริง (VPPA)

GULF จับมือ Pandora เซ็น MOU นำร่องซื้อขายไฟฟ้าเสมือนจริง (VPPA)

           บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) และ แพนดอร่า (Pandora) แบรนด์เครื่องประดับชั้นนำระดับโลก ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญในการนำร่องสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเสมือนจริง (Virtual Power Purchase Agreement: VPPA) ในประเทศไทย พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ERC Sandbox ระยะที่ 2 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษา พัฒนา และนำ VPPA ไปใช้จริง โครงการนำร่องนี้มีระยะเวลา 1 ปี และถือเป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานหมุนเวียน รวมถึงส่งเสริมแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนในประเทศไทย นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมาย RE100 อีกด้วย เมื่อเสร็จสิ้นโครงการ คาดว่าจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนากรอบการกำกับดูแลของภาครัฐต่อไป            ภายใต้โครงการนำร่องนี้ Pandora จะสามารถสนับสนุนการลงทุนในโครงการพลังงานสะอาดที่ผลิตจากโซลาร์รูฟท็อปของ GULF1 ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกัลฟ์ โดยไม่จำเป็นต้องมีการเชื่อมต่อและรับส่งไฟฟ้าจริง แต่จะมีการชำระเงินค่าส่วนต่างราคาพลังงานหมุนเวียนเสมือนจริง (Financial Settlement) โดยอิงราคาจากกลไกราคา (Pricing Mechanism) ที่จำลองราคาตลาดขายส่ง (Wholesale Market Price) โครงการ VPPA นี้จึงเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองบริษัท โดย GULF จะสามารถลดความผันผวนของราคาตลาดผ่านการกำหนดราคาไฟฟ้าคงที่ ซึ่งจะช่วยให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่มั่นคงยิ่งขึ้น และยังเป็นการสนับสนุนการพัฒนาโครงการและแหล่งพลังงานหมุนเวียนใหม่ๆ อีกด้วย ในขณะที่ Pandora นับเป็นผู้สนับสนุนโครงการนี้โดยการเป็นผู้ชดเชยส่วนต่างราคา พร้อมทั้งมีสิทธิ์ในการได้ใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RE Certificates หรือ RECs) จากโครงการ เพื่อชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โครงการนี้จึงแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้และศักยภาพของ VPPA ในประเทศไทย และยังเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการนำรูปแบบการซื้อขายพลังงานนี้ไปใช้อย่างแพร่หลายในอนาคต            นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF กล่าวว่า “โครงการนำร่อง VPPA ในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงเจตนารมณ์ร่วมกันของทั้งสองบริษัทในการผลักดันการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และมุ่งสู่เป้าหมายการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ที่ GULF เราให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เราตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในพอร์ตโฟลิโอของเราจากปัจจุบัน 10% เป็นมากกว่า 40% ภายในปี 2578 และประกาศเจตนารมณ์ที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 แม้ว่า VPPA จะเป็นที่แพร่หลายในต่างประเทศ แต่ในประเทศไทยยังถือเป็นแนวคิดใหม่ ซึ่งทำให้ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญ ที่นำเราไปสู่การร่วมกันสร้างสรรค์โซลูชั่นที่ยั่งยืนสำหรับทุกบริษัทที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานหมุนเวียน ความสำเร็จของโครงการนี้จะเป็นกุญแจในการเปิดประตูสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ช่วยให้ภาคธุรกิจมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน”            นายจีรเศรษฐ บูรณะสัมฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานห่วงโซ่อุปทานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แพนดอร่า โพรดักชั่น จำกัด เน้นย้ำว่า “ความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การเติบโตของแพนดอร่า และเรามองหาพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์เดียวกันเพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืน เราจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ GULF ในโครงการนำร่องที่สำคัญนี้ เพื่อขับเคลื่อนการขยายตัวของพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ธุรกิจอื่นๆ หันมาใช้พลังงานหมุนเวียน ที่เป็นมิตรต่อทั้งผู้คนและสิ่งแวดล้อม”            โครงการ VPPA นี้เป็นหนึ่งใน 36 โครงการที่เข้าร่วมโครงการ ERC Sandbox ระยะที่ 2 ของ กกพ. ซึ่งเป็นโครงการที่ส่งเสริมนวัตกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในภาคพลังงาน โดยเปิดโอกาสให้ธุรกิจต่างๆ ได้ทดสอบเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ โดยปราศจากข้อจำกัดทางกฎระเบียบที่มีอยู่ เมื่อโครงการนำร่อง VPPA นี้แล้วเสร็จ คาดว่าจะได้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนากรอบการกำกับดูแลพลังงานของประเทศไทย

abs

Hoonvision

GULF ขายหุ้นกู้  ดอกเบี้ย 3-3.55% ต่อปี   

GULF ขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 3-3.55% ต่อปี  

          GULF ประกาศอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่จะเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป จำนวน 4 ชุด โดยหุ้นกู้อายุ 4 ปี มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.00% ต่อปี รุ่นอายุ 5 ปี ที่ 3.15% ต่อปี รุ่นอายุ 7 ปี ที่ 3.35% ต่อปี และรุ่นอายุ 10 ปี ที่ 3.55% ต่อปี ชูอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ “A” และอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ “A+” แนวโน้ม “Positive” มั่นใจได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ กับบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง และเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมเสนอขายระหว่างวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ และ 3 มีนาคม 2568 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 10 แห่ง           บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF หรือ บริษัทฯ) ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจดิจิทัล เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด โดยแต่ละชุดมีอัตราดอกเบี้ยดังนี้ 1) หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.00% ต่อปี 2) หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.15% ต่อปี 3) หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.35% ต่อปี และ 4) หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.55% ต่อปี โดยจะเสนอขายผ่านธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำรวม 10 แห่ง           ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ GULF ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หุ้นกู้ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน โดยผลการดำเนินงานประจำปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567) มีรายได้รวม 124,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% จากปี 2566 มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 39,934 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.9% เมื่อเทียบกับปี 2566 และมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) 18,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากการลงทุนในบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH)           โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 GULF มีสินทรัพย์รวม 496,202 ล้านบาท มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.80 เท่า ซึ่งต่ำกว่าเงื่อนไขและข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิฯ ที่ 3.50 เท่า           นอกจากนี้ ปัจจุบัน GULF อยู่ระหว่างการควบรวมกิจการกับ INTUCH ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงต้นไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ โดยบริษัทใหม่ (NewCo) จะมีผลกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก NewCo จะมีสัดส่วนการถือหุ้นใน ADVANC เพิ่มขึ้นเป็น 40.44% จากเดิมถือทางอ้อมในสัดส่วน 19.16% ส่งผลให้ได้รับส่วนแบ่งกำไรและมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ในอนาคต           ผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจหุ้นกู้ GULF สามารถจองซื้อขั้นต่ำที่ 100,000 บาท และเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากร่างหนังสือชี้ชวนได้ที่ www.sec.or.th และสามารถติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Krungthai NEXT ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572 หรือจองซื้อผ่าน krungsri app สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-888-8888 กด 869 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อผ่านแอป SCB EASY สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ CIMB Thai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) โทร.1428 กด #4 (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) โทร. 02-285-1555 บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา (ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร) บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 [caption id="attachment_37274" align="aligncenter" width="2560"] GULF NP JS Annual Report 2022[/caption] [caption id="attachment_37271" align="aligncenter" width="2560"] default[/caption]

กัลฟ์ จับมือ ทันตะ จุฬาฯ โครงการ GULF Sparks Smiles ปีที่ 5

กัลฟ์ จับมือ ทันตะ จุฬาฯ โครงการ GULF Sparks Smiles ปีที่ 5

          หุ้นวิชั่น - บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ กัลฟ์ ร่วมกับ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินหน้าโครงการออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ "GULF Sparks Smiles มอบรอยยิ้มสดใสให้ชุมชน" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยในปีนี้มีกำหนดการออกหน่วยฯ ทั้งหมด 4 ครั้ง สำหรับครั้งแรกของปีนี้ จัดขึ้นในวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ 2568 ที่โครงการทันตกรรมปากเกร็ด ศูนย์สุขภาพสงเคราะห์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เพื่อบริการทำฟันฟรีให้กับน้องๆ กลุ่มพิเศษจากบ้านนนทภูมิ, บ้านเฟื่องฟ้า, บ้านราชาวดีชาย และบ้านราชาวดีหญิง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการให้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพช่องปาก และกิจกรรมพิเศษอีกมากมายที่ช่วยส่งเสริมทักษะและความรู้ให้กับเยาวชน           ศ.ทพ.ดร.พรชัย จันศิษย์ยานนท์ คณบดี คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า “คณะทันตะ จุฬาฯ และกัลฟ์ ร่วมกันดำเนินโครงการ GULF Sparks Smiles มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสในการรักษาสุขภาพช่องปากอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง โดยหน่วยแรกของปีนี้จัดขึ้นพิเศษในวันแห่งความรัก เพื่อให้บริการทำฟันฟรีกับเด็กและเยาวชนในสถานสงเคราะห์บริเวณพื้นที่ อ.ปากเกร็ด ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงการรับบริการด้านทันตกรรมจึงเป็นผู้ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ต้องขอขอบคุณทีมกัลฟ์อาสา ทันตแพทย์อาสา และจิตอาสาประชาชนทั่วไป ที่ร่วมมือกันทำให้กิจกรรมในวันนี้เกิดขึ้นได้ หวังว่ากิจกรรมในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน และสร้างรอยยิ้มให้กับทุกคน”           “กิจกรรมวันนี้มีอาสาสมัครร่วมมือกันจากหลายภาคส่วน ซึ่งทุกคนได้มาเติมเต็มและมอบความรักให้กันและกันในรูปแบบต่างๆ ผ่านความถนัดของแต่ละคน โดยหมอฟันก็จะส่งความรักผ่านการให้ความรู้เรื่องทันตสุขศึกษา และการให้บริการทางทันตกรรม สำหรับอาสาสมัครคนอื่นๆ ก็จะส่งความรักผ่านการทำกิจกรรมมากมาย อาทิ การทำหมอนช้างที่ช่วยส่งเสริมกล้ามเนื้อมือ การสอนเด็กๆ ปั้นดินน้ำมัน และการทำกิจกรรมเล่นเกมพัฒนาความรู้ให้กับผู้ที่มาร่วมกิจกรรมในวันพิเศษนี้” ทพ.วริศ วัฒนวงศ์วรรณ ทันตแพทย์อาสา กล่าวเสริม           น.ส.เพาพงา ตันบริภัณฑ์ อาสาสมัคร กล่าวว่า “ที่ผ่านมาได้มาร่วมทำกิจกรรมจิตอาสากับโครงการทันตกรรมปากเกร็ดมา 15 ปีแล้ว รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาร่วมทำกิจกรรมจิตอาสา โดยเด็กที่มาส่วนใหญ่ ต้องการความรักความอบอุ่น ซึ่งในวันนี้ทุกคนคงจะได้รับความสุขและรอยยิ้มกลับบ้านไป ไม่ใช่เพียงแค่เด็กๆ แต่รวมถึงจิตอาสาทุกคนด้วย”           น.ส.วริศรา สมบุญ อาสาสมัคร กล่าวว่า “ทราบว่ากัลฟ์เปิดรับอาสาสมัครมาร่วมกิจกรรม GULF Sparks Smiles จึงได้ชวนน้องสาวมาทำกิจกรรมจิตอาสาด้วยกัน ซึ่งวันนี้ได้ร่วมทำหมอนช้างจับมือเพื่อให้น้องๆ ได้ใช้จับหรือบีบระหว่างที่ทำฟัน จะได้รู้สึกผ่อนคลายความกลัวของน้องๆได้ ขอบคุณกัลฟ์และคณะทันตะ จุฬาฯ ที่จัดโครงการดี ๆ แบบนี้"           โครงการออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ GULF Sparks Smiles จะให้บริการตรวจรักษาปัญหาสุขภาพช่องปากในเบื้องต้น อาทิ อุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน เคลือบฟลูออไรด์ และเอ็กซเรย์ รวมไปถึงทันตกรรมที่ซับซ้อนอย่างการผ่าฟันคุด มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมสุขภาพช่องปากที่ดีให้กับประชาชน และลดปัญหาการเข้าถึงบริการทางทันตกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืนของกัลฟ์ ในด้านสังคม (Social) ที่มุ่งเน้นการสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชน โครงการ GULF Sparks Smiles มอบรอยยิ้มสดใสให้ชุมชน ปี 5 จะเดินทางออกหน่วย อีก 3 ครั้ง สามารถติดตามข้อมูลได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ GULF Spark: https://www.facebook.com/GULFSPARK.TH/ และ ช่องทาง Tiktok: https://www.tiktok.com/@GULFspark

3 เหตุผล จังหวะสำคัญลงทุน Bitcoin

3 เหตุผล จังหวะสำคัญลงทุน Bitcoin

          หุ้นวิชั่น - การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่เน้นความยั่งยืนและมีความรู้เป็นพื้นฐานสำคัญ จากผลสำรวจของ Binance TH Academy พบว่านักลงทุนรุ่นใหม่ ๆ กำลังให้ความสำคัญกับการศึกษาและสร้างความเข้าใจในการลงทุนกับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น แทนที่จะเป็นการตัดสินใจลงทุนตามกระแสเหมือนในอดีต พฤติกรรมการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลที่เปลี่ยนไป           จากการสำรวจของเราล่าสุด พบว่าคนไทยที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงลังเลที่จะเริ่มต้น โดยมีสองเหตุผลหลักคือ 1. กังวลเรื่องความผันผวนของราคาและ 2. ขาดความรู้ความเข้าใจที่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการลงทุนในปี 2025 กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น จากการพัฒนาการเรียนรู้แบบเชิงรุกและมีนวัตกรรมการป้องกันความเสี่ยงที่ครอบคลุมมากขึ้น โดยข้อมูลจาก Statista คาดการณ์ว่าในปี 2025 ตัวเลขนักลงทุนทั่วโลกในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลจะเพิ่มเป็น 861 ล้านราย จาก FOMO สู่การลงทุนอย่างมีหลักการ           ปรากฏการณ์ FOMO (Fear Of Missing Out) ที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต กำลังถูกแทนที่ด้วยแนวคิดการลงทุนที่มีหลักเหตุผลมากขึ้น "เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในพฤติกรรมนักลงทุน นักลงทุนรุ่นใหม่มองหาความรู้และเครื่องมือที่จะช่วยจัดการความเสี่ยงมากขึ้น แทนที่จะลงทุนตามกระแสเหมือนในอดีต" กล่าวโดย คุณนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด Education First, Smart Invest Follow: รากฐานการลงทุนในปี 2025           การศึกษาและความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นรากฐานสำคัญของการลงทุนที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความซับซ้อน สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนในงบที่จำกัดและต้องการการคุ้มครองเงินต้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาทักษะการลงทุนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นได้           ล่าสุด Binance TH ได้ริเริ่มแคมเปญ Price Protection ที่นำเสนอแนวคิด "เรียนรู้พร้อมลงทุนไปด้วยกัน" โดยมอบการคุ้มครองเงินลงทุน 100%* สูงสุด 4,000 บาท สำหรับการลงทุนครั้งแรกบน BINANCE TH เป็น Bitcoin* เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้การลงทุนพื้นฐานที่จำเป็น สร้างความมั่นใจและพัฒนาทักษะการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เผย 3 เหตุผลที่ทำให้ปี 2025 เป็นจังหวะสำคัญของการลงทุน Bitcoin การยกเลิก SAB 121 เปิดทางสถาบันการเงินรายใหญ่ การยกเลิกกฏ Staff Accounting Bulletin No. 121 (SAB 121) ของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เปิดโอกาสให้ธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง JPMorgan, Bank of America และ Citibank สามารถให้บริการด้านบิทคอยน์ได้สะดวกขึ้น เนื่องจากไม่ต้องบันทึกบัญชีที่ซับซ้อนเหมือนในอดีต ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบิทคอยน์สำหรับนักลงทุนทั่วไป เช่นเดียวกับที่เราเห็นจากความสำเร็จของ การอนุมัติ Bitcoin ETFs แนวโน้มการถือบิทคอยน์เป็นทุนสำรองของประเทศ แนวคิดการจัดตั้ง Strategic Bitcoin Reserve (SBR) ในสหรัฐอเมริกา กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หากสหรัฐฯ เริ่มถือบิทคอยน์เป็นทุนสำรองอย่างเป็นทางการ อาจเกิด "โดมิโนเอฟเฟกต์" ให้ประเทศอื่น ๆ เช่น บราซิล สาธารณรัฐเช็ก และรัสเซีย พิจารณาแนวทางเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการยอมรับบิทคอยน์ในระดับโลก สภาพคล่องของ USD เพิ่มขึ้น ปัจจัยขับเคลื่อนราคา Bitcoin การเพิ่มขึ้นของปริมาณเงิน M2 ในสหรัฐฯ (เติบโต 6% ในปี 2024) และมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นในปีนี้ ประกอบกับการที่บิทคอยน์มีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญ ทำให้หลายฝ่ายมองว่าบิทคอยน์เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ มีภาระหนี้ที่สูงขึ้นและยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย           ปัจจัยทั้งสามประการนี้กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งอาจทำให้ปี 2025 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการลงทุนในบิทคอยน์           ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังอยู่ในระดับต่ำ คนรุ่นใหม่กำลังมองหาทางเลือกในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นหนึ่งในทางเลือก แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความรู้และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลคริปโตจากการเก็งกำไรระยะสั้นสู่การลงทุนที่มีความรู้เป็นพื้นฐานสำคัญนั้น จะสะท้อนการพัฒนาที่ยั่งยืนของตลาด ผ่านการผสานระหว่างการให้ความรู้และมีมาตรปกป้องเงินลงทุนให้แก่นักลงทุนรุ่นใหม่ เป็นกุญแจสำคัญสร้างความเชื่อมั่นและการเติบโตให้กับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย * เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด สามารถติดตามรายละเอียดแคมเปญ Price Protection ของ BINANCE TH by Gulf Binance ได้ที่ Website หรือ Binance TH Facebook คำเตือน : คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

บอร์ด GULF เคาะชื่อใหม่ “กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์” เดินหน้าประชุม ผถห. 25 มี.ค.นี้

บอร์ด GULF เคาะชื่อใหม่ “กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์” เดินหน้าประชุม ผถห. 25 มี.ค.นี้

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า การกำหนดวันประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่างผู้ถือหุ้นของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และผู้ถือหุ้นของ บริษัทอินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) โดยจะมีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่างผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นของ INTUCH เพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการควบบริษัทตามบทบัญญัติของมาตรา 148แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535(รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) ในวันที่ 25มีนาคม2568 เวลา 15.30น. โดยเป็นการจัดประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์(“การประชุมผู้ถือหุ้นร่วม”หรือ “ที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วม” โดยให้หยุดพักการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ เป็นระยะเวลา 9วันทำการต่อตลาดหลักทรัพย์ฯโดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม2568 ถึงวันที่ 2 เมษายน2568 เพื่อการเตรียมการเกี่ยวกับการจัดสรรหุ้นของNewCoให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นของINTUCH รวมถึงการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนำหลักทรัพย์ของ NewCo เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดย วาระการประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่างผู้ถือหุ้นของบริษัท กัลฟ์เอ็นเนอร์จีดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) และผู้ถือหุ้นของ บริษัท อินทัชโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) วาระที่1 พิจารณาอนุมัติชื่อของ NewCo           ความเห็นคณะกรรมการคณะกรรมการบริษัทฯ เห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วมพิจารณาอนุมัติชื่อของบริษัทใหม่ที่เกิดจากธุรกรรมการควบบริษัท (“NewCo”) ตามรายละเอียดที่เสนอได้แก่ ชื่อภาษาไทย: บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ชื่อภาษาอังกฤษ: Gulf Development Public Company Limited วาระที่ 2 พิจารณาอนุมัติวัตถุประสงค์ของ NewCo           ความเห็นคณะกรรมการ คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วมพิจารณาอนุมัติวัตถุประสงค์ของ NewCo จำนวน 68 ข้อ และการมอบอำนาจให้กรรมการผู้มีอำนาจของ NewCo หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากกรรมการผู้มีอำนาจของ NewCo ในการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนวัตถุประสงค์ของ NewCo ตามรายละเอียดที่เสนอ วาระที่ 3 พิจารณาอนุมัติทุนจดทะเบียน จำนวนหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ของหุ้น และทุนชำระแล้วของ NewCo           ความเห็นคณะกรรมการ คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วมพิจารณาอนุมัติทุนจดทะเบียน จำนวนหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ของหุ้น และทุนชำระแล้วของ NewCo ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ • ทุนจดทะเบียน จำนวน 14,939,837,683 บาท • ทุนชำระแล้ว จำนวน 14,939,837,683 บาท • แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 14,939,837,683 หุ้น • มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท วาระที่ 4 พิจารณาอนุมัติจัดสรรหุ้นของ NewCo           ความเห็นคณะกรรมการ คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วมพิจารณาอนุมัติจัดสรรหุ้นของ NewCo ให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยหุ้นที่จะนำมาจัดสรรเป็นหุ้นสามัญของ NewCo มีจำนวนทั้งสิ้น 14,939,837,683 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และ INTUCH ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และ INTUCH ณ วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของ NewCo (Book Closing Date) ซึ่งได้กำหนดเป็นวันที่ 25 มีนาคม 2568 ในอัตราส่วนตามที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 ของบริษัทฯ และ INTUCH รวมถึงการปัดเศษหุ้น หากมีเศษหุ้นที่เกิดขึ้นจากการคำนวณตาม เอกสารแนบ 2-2-อัตราส่วนการจัดสรร ราคาชดเชยต่อหุ้นกรณีผู้ถือหุ้นถูกปัดเศษหุ้นทิ้ง การที่นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ได้เสนอทำหน้าที่เป็นผู้เกลี่ยหุ้น (Balancer) ในการปัดเศษหุ้น และชำระเงินให้แก่หรือรับเงินชดเชยจาก NewCo ในการเกลี่ยหุ้นดังกล่าว ตลอดจนการมอบอำนาจให้กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทฯ หรือ INTUCH หรือ NewCo หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทฯ หรือ INTUCH หรือ NewCo มีอำนาจดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรหุ้นสามัญของ NewCo ตามรายละเอียดที่เสนอ วาระที่ 5 พิจารณาอนุมัติหนังสือบริคณห์สนธิของ NewCo           ความเห็นคณะกรรมการ คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วมพิจารณาอนุมัติหนังสือบริคณห์สนธิของ NewCo และการมอบอำนาจให้กรรมการผู้มีอำนาจของ NewCo หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากกรรมการผู้มีอำนาจของ NewCo ในการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิของ NewCo ตามรายละเอียดที่เสนอ วาระที่ 6 พิจารณาอนุมัติข้อบังคับของ NewCo           ความเห็นคณะกรรมการ คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วมพิจารณาอนุมัติข้อบังคับของ NewCo จำนวน 64 ข้อ และการมอบอำนาจให้กรรมการผู้มีอำนาจของ NewCo หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากกรรมการผู้มีอำนาจของ NewCo ในการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนข้อบังคับของ NewCo ตามรายละเอียดที่เสนอ วาระที่ที่ 7 พิจารณาอนุมัติการเลือกตั้งกรรมการของ NewCo           ความเห็นคณะกรรมการ คณะกรรมการบริษัทฯ ซึ่งไม่รวมถึงกรรมการผู้มีส่วนได้เสีย เห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วมพิจารณาอนุมัติการเลือกตั้งกรรมการของ NewCo โดยมีรายนามดังต่อไปนี้ วาระที่ 8 พิจารณาอนุมัติการกำหนดรายชื่อกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทของ NewCo           ความเห็นคณะกรรมการ คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วมพิจารณาอนุมัติการกำหนดรายชื่อกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันของ NewCo ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ “นายสารัชถ์ รัตนาวะดี หรือนางพรทิพา ชินเวชกิจวานิชย์ หรือนายบุญชัย ถิราติ หรือนางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ หรือนางโชติกุล สุขภิรมย์เกษม กรรมการสองในห้าคนนี้ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท” วาระที่ 9 พิจารณาอนุมัติการกำหนดค่าตอบแทนกรรมการของ NewCo           ความเห็นคณะกรรมการ คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วมพิจารณาอนุมัติการกำหนดค่าตอบแทนคณะกรรมการและคณะกรรมการชุดย่อยของ NewCo ภายหลังการจดทะเบียนควบบริษัทจนถึงวันที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ NewCo มีมติพิจารณาอนุมัติกำหนดค่าตอบแทนกรรมการเป็นอย่างอื่น วาระที่10 พิจารณาการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีและกาหนดค่าสอบบัญชีของ NewCo สำหรับรอบระยะเวลาปีบัญชีสิ้นสุดวันที่31 ธันวาคม 2568 วาระที่11 พิจารณาเรื่องอื่นๆ(ถ้ามี)

GULF คาดกำไร Q1/68 นิวไฮ 5,000 ล. โบรกชี้หุ้นมีอัพไซด์ เป้า 63.75 บาท

GULF คาดกำไร Q1/68 นิวไฮ 5,000 ล. โบรกชี้หุ้นมีอัพไซด์ เป้า 63.75 บาท

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุ GULF รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 3,901 ล้านบาท (-35% QoQ, -18% YoY) หากหักรายการพิเศษออก กำไรปกติอยู่ที่ 4,759 ล้านบาท (+1% QoQ, +36% YoY) ทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสและใกล้เคียงกับที่เราคาด ส่งผลให้กำไรสุทธิและกำไรปกติปี 2024 อยู่ที่ 18,170 ล้านบาท (+22% YoY) และ 18,400 ล้านบาท (+23% YoY) ตามลำดับ          กำไรปกติสามารถเติบโตได้เล็กน้อย QoQ แม้เข้าสู่ช่วง Low Season ของธุรกิจโรงไฟฟ้า IPP เพราะได้แรงหนุนจากการเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 4 ขนาด 662.5MW ที่ COD เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 25 แบบเต็มไตรมาส และส่วนแบ่งกำไรจากโครงการลมในประเทศ (GGC) และต่างประเทศ (BKR2) ที่เร่งตัวขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล ขณะที่การเติบโตเด่น YoY ได้แรงหนุนจากการรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากโครงการใหม่ที่ COD ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (เช่น โรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 1 และโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 3-4) และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ที่เติบโตราว 19% YoY ตามการแข่งขันในตลาดมือถือและ Broadband ที่ลดลงต่อเนื่อง          GULF ได้มีการประกาศงดจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการปี 2024 หลังมีการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจำนวน 1.01 บาท/หุ้น (Dividend Yield 1.8%, XD 19 ก.พ.) ไปแล้วเมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา ทั้งนี้ GULF จะมีการจัดประชุมนักวิเคราะห์ในวันที่ 20 ก.พ. Our Take          เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ระดับ 5,000 ล้านบาท +/- ทำ New High ได้ต่อเนื่องจากการออกจากช่วง Low Season ของธุรกิจโรงไฟฟ้า IPP รวมถึงการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบมีระบบกักเก็บพลังงานจำนวน 5 โครงการ (ขนาดรวม 531.8MW) ที่ COD ในช่วงปลาย 4Q25 แบบเต็มไตรมาส รวมถึงการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 2 ขนาด 377.3MWe แบบเต็มไตรมาส          GULF และ INTUCH ได้มีการประกาศ Timeline การควบรวมกิจการแบบ Amalgamation เพิ่มเติม ดังนี้ 1. บริษัทฯ จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่างผู้ถือหุ้นของ INTUCH และ GULF ในวันที่ 25 มี.ค. 25 โดยจะขึ้น XM ในวันที่ 21 ก.พ. 25 2. กำหนดให้วันที่ 25 มี.ค. 25 เป็นวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของ NewCo (Book Closing Date) ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ที่จะได้รับการจัดสรรหุ้นใน NewCo จะต้องเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งมีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 25 มี.ค. 25 3. อนุมัติหยุดพักการซื้อขายในช่วงวันที่ 21 มี.ค. - 2 เม.ย. 25          คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ที่ 63.75 บาท/หุ้น มี Upside 11.4% คงคำแนะนำ “TRADING” โดยเรามองว่าในระยะถัดจากนี้จนถึงวันสุดท้ายก่อนการควบรวม หุ้นจะถูกซื้อขายโดยอิง Swap Ratio ระหว่าง GULF-INTUCH (ตารางที่ 3) เป็นหลัก

พักซื้อขายหุ้น GULF-INTUCH  9 วัน จัดสรรหุ้นNewCo เช็กเลย!

พักซื้อขายหุ้น GULF-INTUCH 9 วัน จัดสรรหุ้นNewCo เช็กเลย!

หุ้นวิชั่น - จับตากำหนดวันประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่างผู้ถือหุ้นของ GULF และ INTUCH กำหนดการหยุดพักการซื้อขายหุ้นของบริษัทเพื่อเตรียมการที่เกี่ยวข้องกับการควบบริษัท และกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของ NewCo คณะกรรมการบริษัทฯ GULF อนุมัติกำหนดให้วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของ NewCo (Book Closing Date) ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ที่จะได้รับการจัดสรรหุ้นใน NewCo จะต้องเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งมีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 25 มีนาคม 2568 เท่านั้น หากผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ไม่มีชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในวันดังกล่าวจะไม่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของ NewCo คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติขอให้หยุดพักการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ เป็นระยะเวลา 9 วันทำการ ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 2 เมษายน 2568 เพื่อการเตรียมการเกี่ยวกับการจัดสรรหุ้นของ NewCo ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นของ GULF รวมถึงการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนำหลักทรัพย์ของ NewCo เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วมพิจารณาอนุมัติทุน จดทะเบียน จำนวนหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ของหุ้น และทุนชำระแล้วของ NewCo ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ ทุนจดทะเบียนจำนวน 14,939,837,683 บาท           ทุนชำระแล้วจำนวน 14,939,837,683 บาท                                                                                                                                                                                                     แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 14,939,837,683 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วมพิจารณาอนุมัติจัดสรรหุ้นของ NewCo ให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยหุ้นที่จะนำมาจัดสรรเป็นหุ้นสามัญของ NewCo มีจำนวนทั้งสิ้น 14,939,837,683 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และ GULF ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และ GULF ณ วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของ NewCo (Book Closing Date) ซึ่งได้กำหนดเป็นวันที่ 25 มีนาคม 2568 ในอัตราส่วนตามที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 ของบริษัทฯ และ GULF รวมถึงการปัดเศษหุ้นหากมีเศษหุ้นที่เกิดขึ้นจากการคำนวณตามอัตราส่วนการจัดสรร ราคาชดเชยต่อหุ้นกรณีผู้ถือหุ้นถูกปัดเศษหุ้นทิ้ง การที่นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ได้เสนอทำหน้าที่เป็นผู้เกลี่ยหุ้น (Balancer) ในการปัดเศษหุ้น และชำระเงินให้แก่หรือรับเงินชดเชยจาก NewCo ในการเกลี่ยหุ้นดังกล่าว ตลอดจนการมอบอำนาจให้กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทฯ หรือ GULF หรือ NewCo หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทฯ หรือ GULF หรือ NewCo มีอำนาจดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรหุ้นสามัญของ NewCo ตามรายละเอียดที่เสนอ

GULF ปี67มีกำไรที่1.84หมื่นล. ปี68 COD 1.5พัน MW

GULF ปี67มีกำไรที่1.84หมื่นล. ปี68 COD 1.5พัน MW

          หุ้นวิชั่น - GULF รายงานผลการดำเนินงานปี 2567 ที่แข็งแกร่ง โดยมีรายได้รวม (total revenue) เท่ากับ 124,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จาก 116,951 ล้านบาท ในปี 2566 และมีกำไรจากการดำเนินงาน (core profit) เท่ากับ 18,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จาก 15,644 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมาปี 2568 คาดรายได้เติบโต 20-25% จากโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ 1,500 เมกะวัตต์ และขยายธุรกิจ Data Center - Cloud เต็มสูบ พร้อมประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 1.01 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 83% ของกำไรสุทธิ กำหนดจ่าย 6 มีนาคมนี้           ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD ที่มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ ซึ่งหน่วยผลิตที่ 3 และ 4 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมีนาคม และตุลาคม 2567 ตามลำดับ ส่งผลให้โรงไฟฟ้า GPD ทั้ง 4 หน่วยเปิดดำเนินการครบตามกำหนดเป็นที่เรียบร้อย           นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (HKP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,540 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 1 (770 เมกะวัตต์) ในเดือนมีนาคม 2567 ในขณะเดียวกัน GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากกลุ่ม GJP จำนวน 1,940 ล้านบาท ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 7 โครงการ โดยมี load factor เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 72% ในปี 2566 เป็น 79% ในปีนี้ เนื่องจากในระหว่างปี 2566 กลุ่มโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้มีการทยอยหยุดซ่อมบำรุง (B-inspection) ตามแผนงาน           อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 โครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD มีกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน จากการรับรู้ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา (maintenance expense) ของทั้ง 4 หน่วย ที่เริ่มทยอยซ่อมบำรุงระหว่างไตรมาส 3/2566 - ไตรมาส 3/2567 แม้ว่าจะมีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ที่เพิ่มขึ้น โดยมี load factor เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 73% ในปี 2566 เป็น 75% ในปี 2567 นอกจากนี้ กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีกำไรที่ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน จากอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลงตามราคาค่า Ft เฉลี่ยที่ลดลงในอัตราที่มากกว่าการลดลงของราคาค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ย โดยค่า Ft เฉลี่ยลดลงจาก 0.89 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2566 เป็น 0.40 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2567           ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยลดลงจาก 385.4 บาท/ล้านบีทียู ในปี 2566 เป็น 326.1 บาท/ล้านบีทียู ในปีนี้ ประกอบกับขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมลดลง เนื่องมาจากความต้องการที่ลดลงในกลุ่มลูกค้ายานยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมมีเพียง 6% ของปริมาณการขายไฟฟ้าทั้งหมด บริษัทฯ จึงได้รับผลกระทบอย่างจำกัด ในส่วนของธุรกิจก๊าซนั้น GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการ PTT NGD จำนวน 1,077 ล้านบาท ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 172% จาก 396 ล้านบาท ในปี 2566 โดยมีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 428.8 บาท/ล้านบีทียู ในปี 2566 เป็น 342.9 บาท/ล้านบีทียู ในปีนี้ ในขณะที่ราคาน้ำมันเตาสูงขึ้นจาก 73.2 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในปี 2566 เป็น 75.7 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในปีนี้ ซึ่งราคาขายส่วนใหญ่ของโครงการ PTT NGD จะอิงกับราคาน้ำมันเตา ในขณะที่ต้นทุนจะขึ้นอยู่กับราคาก๊าซธรรมชาติ           นอกจากนี้ ในปี 2567 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากการลงทุนในบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH) จำนวน 6,345 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จาก 6,101 ล้านบาท ในปี 2566 โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการของ ADVANC ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลจาก ARPU ที่เพิ่มขึ้น จากการมุ่งเน้นจำหน่ายแพ็กเกจที่มีมูลค่าสูงขึ้น ประกอบกับการขยายฐานผู้ใช้บริการและการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ           ทั้งนี้ GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 2567 จำนวน 39,934 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับ 35,370 ล้านบาท ในปี 2566 ในขณะที่กำไรสุทธิ (net profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ในปี 2567 เท่ากับ 18,170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จาก 14,858 ล้านบาท ในปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิที่ลดลง โดยในปี 2567 บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 176 ล้านบาท เทียบกับ 576 ล้านบาท ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด           ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 GULF มีสินทรัพย์รวม 496,202 ล้านบาท หนี้สินรวม 342,363 ล้านบาท และ ส่วนของผู้ถือหุ้น 153,840 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net interest-bearing debt to equity) อยู่ที่ 1.80 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.69 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จากหนี้สินระยะยาวที่เพิ่มขึ้นจากการออกและจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 45,000 ล้านบาท ในปี 2567           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า “ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ในกระบวนการการควบรวมกิจการกับ INTUCH ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงต้นไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ โดยบริษัทใหม่ (NewCo) จะมีผลกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก NewCo จะมีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นใน ADVANC เป็น 40.44% จากเดิมถือทางอ้อมในสัดส่วน 19.16% ส่งผลให้ได้รับส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นประมาณ 3,500 ล้านบาทต่อปี ในขณะเดียวกัน กระแสเงินสดจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสามารถรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ในอนาคต           นอกจากนี้ ในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่ารายได้จะเติบโตขึ้น 20-25% โดยโครงการโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ของบริษัทฯ จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีกประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ในปีนี้ ได้แก่ โครงการ HKP หน่วยผลิตที่ 2 กำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ ที่ได้เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเรียบร้อยตามกำหนดในเดือนมกราคมที่ผ่านมา โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) ภายในประเทศ ที่มีแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 7 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 597 เมกะวัตต์ ในขณะที่โครงการ solar rooftop ภายใต้ GULF1 คาดว่าจะดำเนินการจ่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าเพิ่มอีกประมาณ 100 เมกะวัตต์           ในส่วนของธุรกิจก๊าซ ในปีนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีแผนขยายการนำเข้า LNG เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 70 ลำ หรือประมาณ 4-5 ล้านตัน เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC GPD และ HKP ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทฯ รับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจาก shipper fee โดยเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจก๊าซของบริษัทฯ ต่อไป           สำหรับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค โครงการต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนายังคงเป็นไปตามแผน โดยโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) มีกำหนดจะเปิดดำเนินการในปี 2568 ขณะที่สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) มีกำหนดจะเปิดดำเนินการในปี 2569 ในส่วนของโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 ณ ปัจจุบัน ได้ดำเนินการถมทะเลเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย และมีแผนที่จะเริ่มก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG terminal) ในช่วงกลางปีนี้ อีกทั้งโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 มีกำหนดรับมอบพื้นที่จากการท่าเรือแห่งประเทศไทยเพื่อเริ่มก่อสร้างท่าเทียบเรือในช่วงปลายปี 2568           นอกจากนี้ ธุรกิจศูนย์ข้อมูล (data center) มีแผนที่จะทยอยเปิดให้บริการเฟสแรกขนาด 25 เมกะวัตต์ ในเดือนเมษายนปีนี้ โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายขนาดการให้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 100-200 เมกะวัตต์ ภายใน 3 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลในประเทศไทย ในขณะที่ธุรกิจ cloud ซึ่งบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ Google เพื่อให้บริการ Google Distributed Cloud air-gapped มีแผนเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2568 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านการประมวลผลข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ           นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองถึงการต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจไปสู่บริการอื่น ๆ ในอนาคต ซึ่งรวมถึงการพัฒนาโซลูชัน AI และการเสริมความแข็งแกร่งด้าน cybersecurity เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล           ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 ในอัตรา 1.01 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิเท่ากับ 83% โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 มีนาคม 2568”

GULF ประกาศจ่ายปันผล 1.01 บาท INTUCH จ่ายเงินปันผลพิเศษ 6.54 บาท ขึ้น XD วันที่ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568

GULF ประกาศจ่ายปันผล 1.01 บาท INTUCH จ่ายเงินปันผลพิเศษ 6.54 บาท ขึ้น XD วันที่ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568

          หุ้นวิชั่น - รายงาน บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติการจ่ายปันผลเป็นเงินสด อัตราการจ่ายเงินปันผลพิเศษ 6.54 บาทต่อหุ้น กำหนด วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) : 19 กุมภาพันธ์ 2568 ส่วนวันที่จ่ายปันผล 04 มีนาคม 2568           ส่วนบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทฯ จะจ่ายปันผลเป็นเงินสด อัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 1.01 บาทต่อหุ้น โดยจะจ่ายปันผลวันที่ 06 มี.ค.2568 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) : 19 กุมภาพันธ์ 2568

GULF คาดกำไร Q1 โตต่อ เสี่ยงต่ำรัฐลดค่าไฟ โบรกเคาะเป้า 64.50 บ.

GULF คาดกำไร Q1 โตต่อ เสี่ยงต่ำรัฐลดค่าไฟ โบรกเคาะเป้า 64.50 บ.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อ GULF เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำจากการปรับลดค่าไฟฟ้า โดยโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็นแบบ IPP ที่มีโครงสร้างต้นทุนที่สามารถส่งผ่านได้ และมีสัดส่วนรายได้จากโรงไฟฟ้า SPP ที่ขายให้กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งอาจได้รับผลกระทบเพียง 9% เท่านั้น            ทั้งนี้ เราประเมินว่าหากมีการลดค่าไฟฟ้าลงทุก 0.1 บาทต่อกิโลวัตต์ จะส่งผลกระทบต่อกำไรของ GULF เพียง 1%            นอกจากนี้ GULF ยังมีแนวโน้มกำไรเชิงบวก ทั้งจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าหลัก และธุรกิจดิจิทัลที่เติบโตผ่านการลงทุนใน ADVANC ซึ่งช่วยหนุนให้ผลประกอบการแข็งแกร่งต่อเนื่อง            โดยเราคาดว่ากำไรปกติในไตรมาส 4 ปี 2567 จะเติบโตได้ทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน รวมถึงแนวโน้มกำไรในไตรมาส 1 ปี 2568 มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น            GULF : ราคาพื้นฐาน 64.50 บาท

GULF คาดทิศทางขาขึ้น ลุ้นกำไร  Q1/68 นิวไฮต่อ จากโครงการใหม่หนุน

GULF คาดทิศทางขาขึ้น ลุ้นกำไร Q1/68 นิวไฮต่อ จากโครงการใหม่หนุน

                 หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ประเมินหุ้น GULF  โดยคาดกำไรสุทธิงวด 4Q67 ลดลง32.9%QOQ มาอยู่ที่ 4.0 พันล้านบาท กดดันจากขาดทุนรายการพิเศษ FX และตราสารอนุพันธ์ 850 ล้านบาท จากที่เคยเป็นกำไร 1.3 พันล้านบาทในงวด 3Q67 แต่อย่างไรก็ตาม คาดกำไรปกติขึ้นทำระดับสูงสุด รายไตรมาสเป็นประวัติการณ์ที่ 4.9 พันล้านบาท จากการรับรู้GPD PHASE 4 (231.8 MWE) ได้ไตรมาสแรก และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH และกลุ่มโครงการลมที่ฟื้นตัวตามช่วงฤดูกาล          OUTLOOK 1Q68 คาดกำไรปกติยังทำ NEW HIGH ต่อเนื่อง หนุนหลักจากการรับรู้โครงการใหม่ๆรวม 672.3 MWE ได้ในไตรมาสแรก          คงประมาณการ และ มูลค่าพื้นฐานปี 2568 ของ GULF ที่สะท้อนการควบรวมเป็นNEWCO แล้วที่ 70 บาท/หุ้น ยังเห็นการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งทั้งในระยะสั้น และระยะยาว          อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับฐานลงตามกลุ่มโรงไฟฟ้า จากความกังวลด้านโยบายลดค่าไฟมาแล้วระดับหนึ่ง จนเห็น UPSIDE ที่เปิดกว้างมากขึ้น ขณะที่ผลกระทบจากนโยบายคาดมีจำกัด มองเป็นจังหวะเข้าสะสมลงทุนระยะยาว

GULF มีดีล M&A สหรัฐ หนุนลดค่าไฟฟ้า 3.7บ.

GULF มีดีล M&A สหรัฐ หนุนลดค่าไฟฟ้า 3.7บ.

          หุ้นวิชั่น - GULF เดินหน้าขยายพอร์ตพลังงานเต็มกำลัง! เตรียมงบลงทุนปี 68 หลายหมื่นล้านบาท รองรับธุรกิจไฟฟ้าและ Data Center พร้อมแผน เข้าซื้อโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐ ขนาด 1,000 MW เสริมศักยภาพธุรกิจ ด้านนายสารัชถ์ยืนยัน เอกชนไม่เหมาะลงทุนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และมองว่าสามารถปรับลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาท/หน่วยได้ ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มลดลง หนุนต้นทุนพลังงานให้ถูกลงในอนาคต           นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) และประธานกรรมการบริหาร บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) เปิดเผยในงาน "Chula Thailand Presidents Summit 2025" ว่า บริษัทฯ ได้เตรียมงบลงทุนปี 2568 หลายหมื่นล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจใน กลุ่มพลังงานและศูนย์ข้อมูล (Data Center) รวมถึงการลงทุนในต่างประเทศ ในปีนี้ บริษัทฯ มีแผนเข้าซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐ ขนาด 1,000 เมกะวัตต์ต่อโรง เพื่อเสริมพอร์ตธุรกิจ หลังจากที่ปัจจุบัน GULF มีโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในเมืองชิคาโกแล้ว ชี้เอกชนไม่เหมาะลงทุนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์           นายสารัชถ์ระบุว่า บริษัทฯ ไม่มีแผนลงทุนในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แม้ว่าหลายประเทศ รวมถึงไทย กำลังอยู่ในช่วงศึกษาความเป็นไปได้ เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีเงื่อนไขที่ซับซ้อน และมองว่า ควรเป็นหน้าที่ของภาครัฐในการบริหารจัดการแทนเอกชน หนุนลดค่าไฟเหลือ 3.70 บาท/หน่วย           สำหรับแนวคิดของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เสนอให้ปรับลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาท/หน่วย จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 4.15 บาท/หน่วย นายสารัชถ์มองว่า สามารถทำได้ และจะช่วยลดต้นทุนให้ประชาชน รวมถึงกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ มีเงินมาจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันมากขึ้น จับตาสงครามตะวันออกกลาง-นโยบายพลังงานสหรัฐ หนุนเสถียรภาพก๊าซธรรมชาติ           ด้านภาพรวมตลาดพลังงาน มองว่า สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางและรัสเซีย-ยูเครนเริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติมีเสถียรภาพมากขึ้น พร้อมคาดว่าแนวโน้มราคาจะปรับลดลงในระยะถัดไป           ขณะเดียวกัน นโยบายพลังงานของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สนับสนุนการผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันเพิ่มขึ้น จะช่วยเพิ่มซัพพลายในตลาด ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อแนวโน้มค่าไฟฟ้าในอนาคต

GULF เตรียมเสนอขายหุ้นกู้เรทติ้ง “A” แก่ประชาชนทั่วไป ปลายเดือนก.พ.68

GULF เตรียมเสนอขายหุ้นกู้เรทติ้ง “A” แก่ประชาชนทั่วไป ปลายเดือนก.พ.68

          GULF เตรียมเสนอขายหุ้นกู้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 4 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 4-10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.00-3.75% ต่อปี ชูอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ระดับ “A” และอันดับเครดิตองค์กรระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” สะท้อนความแข็งแกร่งและความมั่นคงของบริษัทในธุรกิจหลักด้านพลังงาน รวมถึงการลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ธุรกิจดิจิทัล และธุรกิจอื่น คาดว่าจะเริ่มเสนอขายในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 10 แห่ง โดยทริสเรทติ้งคาดการณ์การควบรวมกิจการกับ INTUCH ทำให้เกิดบริษัทใหม่ที่มีสถานะทางการเงินเข้มแข็งยิ่งขึ้น ตอกย้ำความมั่นใจนักลงทุน           บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF หรือ บริษัทฯ) ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจดิจิทัล อยู่ระหว่างการเตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.00 – 3.20% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.15 – 3.35% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.35 – 3.55% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.55 – 3.75% ต่อปี ซึ่งบริษัทฯ จะประกาศอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนให้ทราบอีกครั้ง           โดยหุ้นกู้ GULF ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ที่ระดับ “A” ในขณะที่อันดับเครดิตองค์กรอยู่ระดับ “A+” แนวโน้ม “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงมุมมองที่เป็นบวกต่อการควบรวมกิจการกับบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH           บริษัทฯ คาดว่าจะเสนอขายหุ้นกู้จำนวน 4 ชุด ให้แก่ประชาชนทั่วไปในระหว่างวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ และ 3 มีนาคม 2568 ผ่านธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ 10 แห่ง ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ โดยมีมูลค่าจองซื้อขั้นต่ำที่ 100,000 บาท และสามารถเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท           ทั้งนี้ GULF ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นบริษัทอื่น (Holding Company) ที่โครงสร้างหลักแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. ธุรกิจพลังงาน (Energy Business) ประกอบด้วย ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ (Power Generation Business) ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Business) ธุรกิจก๊าซ (Gas Business) 2. ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค (Infrastructure & Utilities Business) และ 3. ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (Digital Infrastructure) โดยโครงการต่าง ๆ ของบริษัทฯ จะได้รับรายได้ที่แน่นอนและสม่ำเสมอ เนื่องจากมีสัญญาระยะยาวกับคู่สัญญาที่มีความน่าเชื่อถือในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมทางหลวง และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า “การออกและเสนอขายหุ้นกู้ ของ GULF ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปชำระคืนเงินกู้เดิมบางส่วน รวมทั้งใช้เพื่อรองรับการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ มีการเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปด้วย ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้รายย่อยได้เข้าถึงการลงทุนในบริษัทฯ ที่มีการเติบโตอย่างมั่นคง และมีความเสี่ยงต่ำ รวมถึงจะได้รับผลตอบแทนอย่างเหมาะสม บริษัทฯ คาดหวังว่า การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนทุกกลุ่ม”           นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ในระหว่างกระบวนการการควบรวมกิจการกับ INTUCH ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงต้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 โดยการควบรวมกิจการของทั้งสองบริษัทจะนำไปสู่การจัดตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) ซึ่งคาดว่าจะมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น มีกระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้น และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งไม่เพียงแต่มีโอกาสผลักดันให้อันดับเครดิตสูงขึ้นในอนาคตเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้บริษัทขยายการลงทุนได้เพิ่มขึ้น และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่แข่งขันได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนศักยภาพในการเติบโตของบริษัทฯ ในระยะยาว” ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากร่างหนังสือชี้ชวนได้ที่ www.sec.or.th และสามารถติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Krungthai NEXT ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572 หรือจองซื้อผ่าน krungsri app สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-888-8888 กด 869 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ SCB EASY สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ CIMB Thai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) โทร. 1428 กด #4 (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) โทร. 02-285-1555 บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา (ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร) บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 [PR News] [caption id="attachment_31255" align="aligncenter" width="2560"] GULF NP JS Annual Report 2022[/caption]

GULF คว้ารางวัล ASEAN & Thailand’s Top Corporate Brands 2024 หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค 4 ปีซ้อน

GULF คว้ารางวัล ASEAN & Thailand’s Top Corporate Brands 2024 หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค 4 ปีซ้อน

          หุ้นวิชั่น - บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF คว้ารางวัลบริษัทที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดในประเทศไทย ในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ด้วยมูลค่าแบรนด์องค์กรกว่า 387,787 ล้านบาท จากงาน ASEAN & Thailand’s Top Corporate Brands 2024 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 15 สะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กรที่แข็งแกร่ง และผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมตามหลักการบริหารจัดการที่ดี           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF กล่าวว่า “รางวัล Thailand’s Top Corporate Brands 2024 เป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ GULF ในการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องและสร้างสรรค์ สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของบริษัท ทั้งในด้านฐานะทางการเงินที่มั่นคงและกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารองค์กรที่มีประสิทธิภาพ พร้อมกับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์และผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน”           งาน ASEAN & Thailand’s Top Corporate Brands 2024 จัดขึ้นโดยหลักสูตรปริญญาโท สาขาการจัดการแบรนด์และการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสื่อในเครือผู้จัดการ เพื่อมอบรางวัลแก่องค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดของประเทศไทยและในอาเซียน สำหรับการวัดมูลค่าแบรนด์องค์กรนั้น คณะผู้วิจัยใช้เครื่องมือวัดมูลค่าแบรนด์องค์กร หรือ CBS Valuation (Corporate Brand Success Valuation) โดยนำตัวเลขจากงบการเงินของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์มาคำนวณ ใช้ค่าเฉลี่ยเวลา 3 ปี โดยได้บูรณาการแนวคิดด้านการตลาด การเงิน และการบัญชี เพื่อให้สามารถคำนวณมูลค่าแบรนด์องค์กรออกมาได้เป็นตัวเลขทางการเงิน ซึ่งองค์กรในไทยที่จะได้รับรางวัลสุดยอดแบรนด์องค์กรไทยจะต้องมีมูลค่าแบรนด์องค์กรตั้งแต่ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป

GULF แกร่ง! คาดกำไรโต แม้ Low Season-ลุ้นทำนิวไฮ

GULF แกร่ง! คาดกำไรโต แม้ Low Season-ลุ้นทำนิวไฮ

          หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า ประเมินหุ้น GULF โดยคงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ที่ 63.75 บาท/หุ้น มี Upside 6.7%   ฝ่ายวิจัยมองว่าราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวได้ดีกว่ากลุ่มโรงไฟฟ้า ขนาดใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนแนวโน้มผลประกอบการในช่วง 4Q24-1Q25 ที่แข็งแกร่งไปแล้ว           จึงคงคำแนะนำ “TRADING”  สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจพิจารณาใช้ Swap Ratio ระหว่าง GULF-INTUCH ในการหาจังหวะเข้าเก็งกำไรก่อนการควบรวม           ทั้งนี้ คาดกำไรปกติ 4Q24 ที่ 4,834 ล้านบาท เติบโต QoQ และ YoY และทำ New High แม้เข้าสู่ช่วง Low Season ของธุรกิจโรงไฟฟ้า IPP เพราะได้แรงหนุน จากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 4 แบบเต็มไตรมาสและปัจจัยฤดูกาลของโครงการลม ในไทยและเยอรมนี รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ที่เติบโตต่อเนื่อง  เบื้องต้นคาดกำไร 1Q25 มีโอกาสทำ New High ได้ ต่อที่ระดับ 5,000 ล้านบาท

เจาะอัตราค่าไฟฟ้าสีเขียว หุ้นไหนได้ประโยชน์?

เจาะอัตราค่าไฟฟ้าสีเขียว หุ้นไหนได้ประโยชน์?

         หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ประเมินจากการที่ กกพ.ได้ดำเนินการให้บริการอัตราค่าไฟฟ้าสีเขียวแบบผู้ใช้ ไฟฟ้าไม่เจาะจงแหล่งที่มา หรือ UGT1 ครั้งแรกในเดือน มค.2025 โดย ร่วมกับกฟผ. กฟน. และ กฟภ. เพื่อรองรับปริมาณความต้องการ โดยเตรียมปริมาณรวม 2,000 ล้านหน่วยต่อปี หรือประมาณ 1,135MW โดยได้กำหนดอัตราอยู่ที่หน่วยละ 4.21 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 6 สต. จากอัตราค่าไฟฟ้าปกติในปัจจุบัน ที่จะเก็บจากผู้ที่ใช้ไฟฟ้า UGT1 เท่านั้น และยังเตรียมการออกเอกสารรับรองไฟฟ้าสะอาดและแหล่งที่มาหรือ I-REC ปัจจุบันมีผู้ติดต่อลงทะเบียนเพื่อสมัครใช้บริการแล้ว 600 ล้านหน่วยหรือ 340 MW          ฝ่ายวิจัยมองข่าวดังกล่าวเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ในการปลดล็อคการเติบโตของผลประกอบการในอนาคตได้ อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยมองว่าคงต้องรอ UGT2 ก่อน ซึ่งจากการชนะประมูลพลังงานหมุนเวียนรอบแรกที่5.2 GW GULF ได้ประโยชน์มากที่สุด คง Neutral สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า          ฝ่ายวิจัยจึงมองโรงไฟฟ้าที่ชนะการประมูล renewable energy รอบแรก 5.2GW ซึ่งหลักๆ จะเป็น GULF จะได้ประโยชน์มากที่สุด ขณะที่ BGRIM และ GPSC และเจ้าอื่นๆจะมีสัดส่วนน้อยมากในการประมูลรอบแรก ทั้งนี้ เพราะ UGT2 จะให้อายุสัญญาที่ยาวกว่าคือ 10 ปี เทียบกับ UGT1 เพียงแค่ 1 ปี และอัตราค่าไฟจะสูงกว่าหรืออยู่ที่ประมาณ 4.55-4.56 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะยิ่งช่วย เพิ่มรายได้ให้หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าได้          สำหรับกลุ่มลูกค้า UGT ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Data Center ธุรกิจการเงิน การผลิต ห้างสรรพสินค้า อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี คาดว่าต่อไปจะเปิดให้บริการไฟฟ้าสีเขียวแบบเจาะจงแหล่งที่มาหรือ UGT2 ในช่วงกลางปี 2025 และคาดว่ารอดูการเปิด Direct PPA 2,000MW เพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลัง 2025

BINANCE TH by Gulf BINANCE จัดงานใหญ่ ตอกย้ำผู้นำตลาดคริปโต

BINANCE TH by Gulf BINANCE จัดงานใหญ่ ตอกย้ำผู้นำตลาดคริปโต

          หุ้นวิชั่น - BINANCE TH เผยปี 67 สินทรัพย์ดิจิทัลเติบโตแข็งแกร่ง มูลค่าซื้อ-ขายโตกว่า 30 เท่า [1] จัดงานใหญ่ "Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE ย้ำผู้นำตลาดคริปโตสำหรับทุกคน เปิดพื้นที่สยามสแควร์จับกลุ่มคนรุ่นใหม่  ให้เรียนรู้-สัมผัสประสบการณ์ A Day in the Life of Cryptonians พร้อมกิจกรรมมากมายจากพันธมิตรชั้นนำให้เข้าถึงและเข้าใจโลกคริปโตกับ 8 โซนไฮไลท์ เต็มอิ่มทั้งสาระและความบันเทิง            คุณนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด กล่าวว่า “เป้าหมายของ Binance TH ในปี 2025 ยังคงให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การดูแลด้านความปลอดภัย ความโปร่งใส และคุณภาพการให้บริการ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง ปีที่ผ่านมาเราเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยมากมายที่หลายประเทศต่างให้การยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น และวันนี้บิตคอยน์สินทรัพย์ดิจิทัลแรกของโลกก็ได้ไต่ขึ้นอันดับ 6 สินทรัพย์การเงินโลกไปแล้ว โดยมีมูลค่ารวมสูงกว่า $1.95 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ [2] แซงหน้าสกุลเงินของทั้งสหราชอาณาจักรและสวิตเซอร์แลนด์ สะท้อนให้เห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงในโลกการเงินการลงทุนที่จะเต็มไปด้วยโอกาสในปีนี้”            สำหรับภาพรวมการให้บริการของ BINANCE TH ในปีที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ใช้งานไทยลงทะเบียนเปิดบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า [1] และมียอดเทรดเพิ่มขึ้นถึง 30 เท่า [1] โดยผู้ใช้งานประเภทบุคคลทั่วไปในประเทศคือกลุ่มที่มีสัดส่วนการลงทุนมากที่สุด [3] และช่วงบิตคอยน์เข้าสู่ All-Time High เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 แตะที่มูลค่ากว่า 1 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ 1 บิตคอยน์ ส่งผลให้มูลค่าตลาดสกุลเงินดิจิทัลเองก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 39.9% มีมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ [4] นับเป็นหมุดหมายการเติบโตสำคัญของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะเป็นโอกาสด้านการเงินให้กับทุกคน ฉลองครบรอบ 1 ปีกับความสำเร็จของ BINANCE TH: จำนวนผู้ใช้งาน BINANCE TH เติบโตขึ้นต่อเนื่องนับจากวันที่เปิดให้บริการ สะท้อนศักยภาพตลาดไทยทั้งด้านการเติบโตและปริมาณการซื้อขาย โดยมุ่งมั่นยกระดับอัตราการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลในกลุ่มคนไทยเพิ่มจาก 12% ในปี 2567 [5] และเทรนด์ PayFi [6] เป็นกุญแจสำคัญของการเกิด RWA ที่จะเข้ามาผลักดันการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยนวัตกรรมในระดับ Application Layer มุ่งเน้นที่การปรับแต่ง AI และการสมัครใช้งานที่ง่ายขึ้น เพื่อเข้าถึงผู้ใช้งานในวงกว้าง ขณะที่ในระดับ Financial Layer จะเห็นการมาของ    สเตเบิลคอยน์และการปรับสภาพคล่องอัตโนมัติเพื่อลดความผันผวนและเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างระบบเงินปกติและคริปโตเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ แพลตฟอร์มที่มีเหรียญให้บริการมากที่สุดในประเทศไทยกว่า 350 [1] เหรียญ ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ สกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้นว่า เราจะเห็นการพัฒนาเกมที่วางอยู่บนรากฐานของคริปโต หรือ Crypo-Based In-Game Economies [7] มากขึ้น สร้างบุคลากรเข้าสู่อีโคซิสเต็ม BINANCE TH Academy  ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศในการให้ความรู้เรื่องบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลมาไว้ในห้องเรียน ตลอดปี 2567 สามารถอบรมคนรุ่นใหม่ผ่านสถาบันการศึกษา เป็นจำนวนกว่า 50,000 ราย [1] เพื่อสร้างนักลงทุนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและนักพัฒนาเทคโนโลยีต้นน้ำ ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนา Digital Economy ในประเทศ พัฒนาเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มให้มีความทันสมัย พร้อมรองรับนักลงทุนสถาบันไทยด้วยการพัฒนาฟีเจอร์การซื้อขาย Easy/Buy Sell ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำการซื้อขายคริปโต หรือดิจิทัลโทเคนต่าง ๆ โดยตรง ยกระดับความปลอดภัยแพลตฟอร์มและเพิ่มมาตรการคุ้มครองผู้ใช้ BINANCE TH มีนโยบายและยกระดับการดูแลผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มเทียบเท่า BINANCE แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก โดยเปิดตัวระบบยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า หรือ Face Verification ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับความปลอดภัยและป้องกันการกระทำผิดทางการเงิน ไปจนถึงร่วมมือกับตำรวจไทยในการสอดส่องและให้ความร่วมมือกรณีเกิดความไม่โปร่งใสทางการเงินดิจิทัล            โอกาสนี้ BINANCE TH  ประเดิมจัดงานใหญ่รับปี 2025 ต้อนรับตลาดกระทิงกับงาน "Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงโปรเจกต์ Crypto Currency ระดับโลก สร้าง Networking สัมผัสเทคโนโลยีมากมายในวงการ Web3  ผ่านการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สาธิต และจำลองประสบการณ์จากพันธมิตรต่าง ๆ มากมาย            “แน่นอนว่า 2025 จะเป็นปีแห่งโอกาสที่น่าตื่นเต้นสำหรับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย เราไม่อยากให้เป็นแค่การเติบโตของตลาด แต่อยากจะทำให้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสสำหรับทุกคน โดยงาน "Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเตรียมความพร้อมของสังคมไทยในการก้าวไปสู่ระบบการเงินยุคใหม่ ที่สินทรัพย์ดิจิทัลจะกลายเป็น ‘กระแสหลักของโลก’ ที่ผู้ใช้งานสามารถเป็นเจ้าของมูลค่าสินทรัพย์ได้อย่างอิสระและโปร่งใส รวมถึงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Web3 อย่างเต็มรูปแบบ” คุณนิรันดร์ กล่าวเพิ่มเติมถึงงาน "Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE "Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE: ถนนสู่ฉากทัศน์การเงินยุคใหม่ ที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงและเข้าใจได้            กิจกรรมจัดเต็มทั้งสาระและไลฟ์สไตล์ความบันเทิงตลอด 2 วัน ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์ต่างประเทศที่น่าสนใจอย่างMoodengsol, Memeland, Lumia ฯลฯ, โซน game พร้อมทั้งกิจกรรมให้ร่วมสนุก รับของรางวัลมากมาย  ฯลฯ ร่วมอัพเดทเทรนด์ลงทุนรับต้นปีบนเวทีเสวนาพิเศษ และแขกคนพิเศษ พร้อมการจับมือทำเวิร์คช็อปสำหรับผู้ที่สนใจอยากเริ่มเทรด โดย BINANCE TH Academy และยังมีโซน Meetup space ที่จำลองบรรยากาศการใช้จ่ายด้วยคริปโต เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้เปิดโลกและสัมผัสประสบการณ์การเงินดิจิทัลบนเทคโนโลยีบล็อกเชนด้วยตนเอง ติดตามข่าวสารงาน Street of the Future เพิ่มเติมได้ที่ Official Facebook: BINANCE TH by Gulf BINANCE คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาข้อมูลและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

GULF คาดกำไร Q1 ทำนิวไฮต่อ  ควบ INTUCH หนุนกระแสเงินสด แนะซื้อ เป้า 63 บ.

GULF คาดกำไร Q1 ทำนิวไฮต่อ ควบ INTUCH หนุนกระแสเงินสด แนะซื้อ เป้า 63 บ.

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ คาด GULF กำไรปกติ 4Q67F กลับมาทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ, YoY จากการ COD โครงการ GPD หน่วยที่ 4 ขนาด 463.75 MWe เต็มไตรมาส ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH เพิ่มขึ้น และปัจจัยฤดูกาลของโครงการ Wind ที่เยอรมนี            คาดกำไรปกติ 1Q68F จะเพิ่มขึ้นอีกและทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อีกจากการ COD โครงการหินกอง หน่วยที่ 2 และ 5 โครงการ Solar 295 MW            ได้ประโยชน์จากการควบบริษัทกับ INTUCH ทำให้ฐานทุนใหญ่ขึ้น กระแสเงินสดเพิ่มขึ้น และการขยายธุรกิจ Data center ขณะที่ผลกระทบจากมาตรการลดค่าไฟฟ้าของภาครัฐไม่มาก            แนวรับ=59/59.5 แนวต้าน=62.5/63            GULF | ซื้อเก็งกำไร | TP=63 บ.

[Vision Exclusive] ไทยพร้อมสู่ตลาดคาร์บอนเครดิต GULF มองโอกาสทำเหรียญ Token

[Vision Exclusive] ไทยพร้อมสู่ตลาดคาร์บอนเครดิต GULF มองโอกาสทำเหรียญ Token

           หุ้นวิชั่น - ตลาดคาร์บอนเครดิตไทยกำลังยกระดับครั้งสำคัญ หลัง ดร.ทักษิณ ชินวัตร เผยโอกาสเปิดศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทย ชี้ช่วยปรับราคาคาร์บอนเครดิตให้แข่งขันได้ในตลาดโลก   ด้าน GULF เดินหน้าพลังงานทดแทนและคาร์บอนเครดิต พร้อมโอกาสแปลงคาร์บอนเครดิตเป็นเหรียญ Token เพื่อขายผ่านแพลตฟอร์ม GULF Binance เสริมสภาพคล่อง ยกระดับความยั่งยืนในภาคพลังงานไทย ตลาดคาร์บอนเครดิตไทยเตรียมยกระดับสร้างโอกาสใหม่ในภาคพลังงานและเศรษฐกิจ            ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แสดงปาฐกถาพิเศษระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เตรียมเปิดตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันราคาคาร์บอนเครดิตในไทยอยู่ที่ 7 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่สิงคโปร์ซื้อขายที่ 14 ดอลลาร์ต่อตัน และยุโรปอยู่ที่ 35 ดอลลาร์ต่อตัน ความแตกต่างนี้ทำให้หากไทยเปิดศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิต จะช่วยให้ราคาดีขึ้นและไม่เสียเปรียบ รวมถึงสร้างประโยชน์จากการส่งออกได้มากขึ้น ดร.ทักษิณหวังว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ GULF เดินหน้าแผนคาร์บอนเครดิต-โทเคนดิจิทัล            ด้านนางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในด้านคาร์บอนเครดิต โดยบริษัทฯ ในฐานะผู้ประกอบการด้านพลังงาน ได้ดำเนินการสะสม I-REC และพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอนเครดิต ทั้งนี้ ในอนาคต บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาและแปลงคาร์บอนเครดิตเป็นโทเคนดิจิทัล (Token) ซึ่งสามารถนำไปซื้อขายบนแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน เช่น GULF Binance ของบริษัทได้            นางสาวยุพาพินระบุเพิ่มเติมว่า หากความต้องการในตลาดเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต จะช่วยเสริมสภาพคล่องในการซื้อขายโทเคนดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการด้านคาร์บอนเครดิตในระยะยาว มุมมองผู้เชี่ยวชาญและผลต่อกลุ่มธุรกิจพลังงาน            บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด แนะนำให้ ก.ล.ต. เร่งดำเนินการเปิดตลาดคาร์บอนเครดิตอย่างจริงจัง แม้ปัจจุบันประเทศไทยมีแพลตฟอร์ม FTIX ที่ดำเนินการโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่แล้ว แต่การสนับสนุนจากภาครัฐจะช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับการจัดทำมาตรฐานและยกระดับให้เป็นสากลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น            นักวิเคราะห์มองว่าการขับเคลื่อนดังกล่าวเป็น Sentiment บวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานหมุนเวียน เช่น GULF, GUNKUL, BGRIM, GPSC และหุ้นที่มีแผนเกี่ยวข้องกับคาร์บอนเครดิต เช่น DITTO, GUNKUL, BCPG, SSP และ STA ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตในระยะยาว รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว

GULF นำเข้า LNG  ป้อนโรงไฟฟ้า มุ่งตามนโยบายเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติ

GULF นำเข้า LNG  ป้อนโรงไฟฟ้า มุ่งตามนโยบายเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติ

          บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ประสบความสำเร็จในการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เข้าสู่ประเทศไทยเป็นเที่ยวแรกของ บริษัท กัลฟ์ แอลเอ็นจี จำกัด เมื่อวันที่ 6 ม.ค.68 โดยได้นำเข้าก๊าซ LNG ล็อตแรก เพื่อจำหน่ายให้กับโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติของกลุ่มบริษัทกัลฟ์ ความสำเร็จในการนำเข้าก๊าซ LNG ครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญในการดำเนินตามนโยบายเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติของรัฐที่มุ่งส่งเสริมการแข่งขัน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดหาแหล่งพลังงาน เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย           บริษัท กัลฟ์ แอลเอ็นจี จำกัด (Gulf LNG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่กัลฟ์ ถือหุ้น 100% ได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper License) จากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการนำเข้าก๊าซ LNG ปริมาณ 6.4 ล้านตันต่อปี เพื่อป้อนให้กับโรงไฟฟ้าในเครือ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า IPP ทั้งโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) และโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) โครงการโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 19 โครงการ และลูกค้าอุตสาหกรรม           สำหรับเที่ยวเรือ LNG ลำแรกนี้ Gulf LNG ได้ลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซ LNG กับบริษัท ADNOC Trading โดยใช้บริการสถานีแอลเอ็นจี มาบตาพุดแห่งที่ 2 (LMPT2) ของบริษัท พีอี แอลเอ็นจี จำกัด (PE LNG) ในการแปรสภาพของเหลวเป็นก๊าซ และส่งเข้าระบบท่อส่งก๊าซของ ปตท.เพื่อส่งไปยังโรงไฟฟ้าในเครือกลุ่มบริษัทกัลฟ์ต่อไป           นอกจากนี้กัลฟ์มีแผนที่จะขยายธุรกิจก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติที่กำลังมองหาผู้ให้บริการรายใหม่ รวมไปถึงการพัฒนาโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 โดยแบ่งเป็นการถมทะเล ซึ่งดำเนินการเรียบร้อยไปแล้วมากกว่า 95% และในส่วนของการพัฒนาโครงการสถานีรับ-จ่าย ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal) คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2570 เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมและความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในอนาคต [PR News]

[Vision Exclusive] ทุบค่าไฟ 3.70บ.เป็นไปได้ เอกชนขอความเป็นธรรม

[Vision Exclusive] ทุบค่าไฟ 3.70บ.เป็นไปได้ เอกชนขอความเป็นธรรม

          อดีตนายกฯ ทักษิณ ชี้เป้าลดค่าไฟเหลือ 3.70 บาท ผู้เชี่ยวชาญชี้เป็นไปได้แต่ต้องจัดการหนี้ EGAT และลดงบฯ ซึ่งอาจกระทบคุณภาพบริการของการไฟฟ้า ด้านเอกชนเข้าใจนโยบายช่วยประชาชน แต่ขอความเป็นธรรมและสนับสนุนต้นทุนก๊าซ พร้อมเตือนว่าหากนโยบายขาดความสมดุล อาจทำให้เกิดการย้ายการลงทุนไปต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ไทยสูญเสียโอกาสด้านพลังงานในระยะยาว           กลุ่มโรงไฟฟ้า หนาวๆ ร้อนๆ หลัง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยระหว่างลงพื้นที่หาเสียงให้ นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เรื่องไฟฟ้า ปีนี้ค่าไฟฟ้าจะต้องลงไปอยู่ที่เลข 3 ไม่ใช่เลข 4 ใจตนอยากให้เหลือหน่วยละ 3.50 บาท แต่คงได้แค่ 3.70 บาท กำลังให้เขาช่วยทุบอยู่ ปีนี้ค่าไฟลงแน่เห็นตัวเลขแล้วทุบได้           ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า เรื่องการลดค่าไฟฟ้ายังต้องมาศึกษารายละเอียดกันอีกที ยังไม่สามารถตอบได้ในขณะนี้           แหล่งข่าวในวงการอุตสาหกรรมพลังงานเปิดเผยว่า สำหรับประเด็นการปรับลดค่าไฟฟ้าลงมาถึงระดับ 3.70 บาทต่อหน่วย ปัจจุบันที่ 4.15 บาทสำหรับงวดม.ค.-เม.ย. 2568 นั้นหากพิจารณาก็มีความเป็นไปได้ โดยจะต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ ทั้งในส่วนของการบริหารจัดการหนี้ที่ค้างชำระอยู่กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งปัจจุบันมียอดหนี้ค้างค่าไฟอยู่ที่ประมาณ 80,000 ล้านบาท หากรัฐนำภาระหนี้ดังกล่าวไปบริหารจัดการเอง วิธีนี้จะช่วยให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าลดลงได้           นอกจากนี้ การสนับสนุนโรงไฟฟ้าที่ได้รับสัญญาสัมปทานในรูปแบบ Adder ซึ่งกำลังจะหมดอายุลงก็จะช่วยลดภาระการสนับสนุนในส่วนนี้ด้วย ทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงมาอยู่ในช่วง 3.80-3.90 บาทต่อหน่วยได้ อย่างไรก็ตาม หากต้องการลดค่าไฟฟ้าให้ต่ำกว่าระดับดังกล่าว หน่วยงานการไฟฟ้าทั้งสามแห่งอาจต้องลดงบประมาณในโครงการบางส่วนหรือปรับลดค่าใช้จ่ายในบางด้าน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการโดยรวม ทั้งนี้ การตัดสินใจลดค่าไฟฟ้าจำเป็นต้องพิจารณาควบคู่กับประเด็นด้านคุณภาพการบริหารจัดการและความมั่นคงของระบบไฟฟ้า เพื่อให้สามารถให้บริการไฟฟ้าอย่างทั่วถึงและครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ           สำหรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้าเอกชน พบว่าโรงไฟฟ้าประเภท IPP (Independent Power Producer) หรือโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ยังไม่ได้รับผลกระทบในขณะนี้ เนื่องจากสัญญาระหว่างโรงไฟฟ้าเอกชนและภาครัฐยังคงดำเนินต่อไปตามปกติ อีกทั้งยังต้องจ่ายค่า AP หรือ ค่าความพร้อมจ่าย ซึ่งเป็นค่าที่ภาครัฐจ่ายให้เพื่อให้โรงไฟฟ้าเตรียมพร้อมเดินเครื่องสำหรับจ่ายกระแสไฟฟ้าตามความต้องการ ถือเป็นส่วนสำคัญในโครงสร้างของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย           ในส่วนของโรงไฟฟ้าประเภท SPP หรือโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก อาจได้รับผลกระทบมากกว่า โดยที่ผ่านมาโรงไฟฟ้า SPP มักได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น ไม่ต้องเสียค่าสายส่ง เพื่อให้สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้อย่างมีเสถียรภาพสำหรับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับลดค่าไฟฟ้าในภาพรวม โรงไฟฟ้า SPP อาจจำเป็นต้องปรับราคาซื้อขายไฟฟ้าในระบบตามไปด้วย ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ยังคงต้องรอความชัดเจนจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปว่าจะมีการดำเนินการในทิศทางใดต่อการบริหารจัดการค่าไฟฟ้าในภาพรวม           ขณะที่ บริษัทโรงไฟฟ้าเอกชนแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นการลดค่าไฟฟ้าว่า ภาคเอกชนเข้าใจถึงความจำเป็นของภาครัฐในการลดภาระค่าไฟฟ้าเพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม เอกชนต้องการให้ภาครัฐพิจารณาอย่างเป็นธรรมและให้ความช่วยเหลือในด้านต้นทุน เช่น ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน เนื่องจากโรงไฟฟ้าถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ มีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ           ทั้งนี้ หากภาคเอกชนต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในเชิงนโยบาย อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการเลือกกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการพัฒนาและขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานในระยะยาว จึงจำเป็นต้องมีความร่วมมือที่สมดุลระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบพลังงานของประเทศ           ในด้านมุมมอง นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุถึง การลดค่าไฟทั่วประเทศเหลือ 3.70 บาท มีความซับซ้อนและใช้งบประมาณมหาศาล จึงมีแนวโน้มที่นโยบายนี้จะไม่เกิดขึ้นในลักษณะ "Across the Board"  ทั้งนี้ คาดว่ารัฐบาลอาจเลือกช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย ซึ่งจะกระทบโครงสร้างพลังงานน้อย  หากการลดค่าไฟเกิดขึ้นเฉพาะกลุ่มเปราะบาง หรือเป็นการปรับลดผ่านโครงสร้างราคาก๊าซ ก็จะไม่มีผลกระทบต่อกำไรของ SPP โดย ค่าไฟงวดใหม่ อาจประกาศช่วงต้นเม.ย. ซึ่งเกิดหลังเลือกตั้ง อบจ. อาจสะท้อนนโยบายที่สมดุลและเป็นไปได้มากกว่า ความกังวลระยะสั้นอาจเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน หากหุ้นกลุ่มนี้ถูกปรับฐานลงแรงเกินไปจากข่าว           ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดว่าอาจมีความเป็นไปได้ไม่มากที่รัฐบาลจะปรับลดค่าไฟฟ้า เนื่องจาก EGAT ได้แบกรับภาระค่า Ft เกือบ 1 แสนล้านบาทแล้ว และการปรับลดค่าไฟฟ้าตามข้อเสนอจะเพิ่มภาระดังกล่าวอีกกว่า 2 หมื่นล้านบาท และทำให้การชำระหนี้ของ EGAT ล่าช้าออกไปนานกว่าสองปี นอกจากนี้ เราคาดการณ์ว่าต้นทุนค่าก๊าซจะลดลง 3-6% เมื่อเทียบกับปีก่อน มาอยู่ที่ประมาณ 330 บาท/mmBTU ในปี 2025 ซึ่งต่ำกว่าอัตราการลดลงของค่าไฟฟ้าที่เสนอ (-11% จากงวด ม.ค.-เม.ย. 2025) ความแตกต่างนี้จะกดดันอัตรากำไร IU ของหุ้นกลุ่ม SPP มากยิ่งขึ้น หากไม่มีมาตรการช่วยเหลือหรือเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ได้ทำการวิเคราะห์ความอ่อนไหว (sensitivity analysis) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการลดค่า Ft ลง 1 สตางค์ต่อหน่วย จะลดกำไรของ BGRIM ลง 1.4% จากกรณีฐาน และ GPSC ลดลง 1.1% ส่วน GULF จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า เนื่องจากสัดส่วนของ SPP ไม่สูงมาก (คิดเป็น 17% ของกำลังการผลิตส่วนของบริษัทที่ติดตั้งทั้งหมด ณ ต.ค. 2567) ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากไม่มีปัจจัยบวกเพิ่มเติม และต้นทุนรวมถึงค่าใช้จ่ายคงที่ การปรับลดค่าไฟฟ้าตามข้อเสนอที่ 3.70 บาท จะลดราคาเป้าหมายสำหรับ GPSC และ BGRIM ลงประมาณ 10% อย่างไรก็ตาม ค่าไฟฟ้าที่เสนอจะต่ำกว่าค่าไฟฟ้าฐานปัจจุบันที่ 3.78 บาท และการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในค่าไฟฟ้าฐานต้องได้รับการอนุมัติและประกาศจากทั้ง ERC และ EGAT นอกจากนี้ หากรัฐบาลมีเงินอุดหนุนต้นทุนค่าก๊าซ จะช่วยจำกัดผลกระทบด้านลบต่อราคาเป้าหมาย โดยเฉพาะหากเงินอุดหนุนดังกล่าวสามารถลดต้นทุนก๊าซลงเหลือ 305 บาท/mmBTU (ลดลง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน) ก็จะไม่มีผลกระทบต่ออัตรากำไร IU (กรณีฐาน)           ยังคงคำแนะนำ "Neutral" สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม Utilities และคำแนะนำ "Trading Buy" สำหรับ BGRIM, GPSC และ GULF รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว

GULFย้ำGMTกระทบไม่ถึง0.5%ของรายได้ จ่ายไฟโรงไฟฟ้าหินกอง-โซลาร์ฟาร์มเข้าระบบ

GULFย้ำGMTกระทบไม่ถึง0.5%ของรายได้ จ่ายไฟโรงไฟฟ้าหินกอง-โซลาร์ฟาร์มเข้าระบบ

         หุ้นวิชั่น - GULF ประเมินจัดเก็บภาษีบริษัทข้ามชาติขั้นต่ำ กระทบเล็กน้อย  คาดกระทบรายได้ไม่เกิน 0.5% และกำไรไม่เกิน 2% พร้อมประสบความสำเร็จ เครื่องโรงไฟฟ้าหินกองหน่วยผลิตที่ 2 ขนาด 700 เมกะวัตต์ ตามกำหนด พร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการโซลาร์ฟาร์มรวม 5 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 295 เมกะวัตต์ ดันกำลังผลิตรวมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 บริษัท หินกองเพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมค้าที่บริษัทฯ ถือหุ้นร่วมกับ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วนร้อยละ 49 และ 51 ตามลำดับ โดยเป็นผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ (Independent Power Producer: IPP) ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (“HKP”) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 2 ซึ่งเป็นหน่วยการผลิตสุดท้ายของโครงการ มีขนาดกำลังการผลิตตามสัญญา 700 เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์) โดยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (“กฟผ.”) เป็นที่เรียบร้อยตามกำหนด (โดยหน่วยผลิตที่ 1 กำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา) โครงการ HKP เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Combined-Cycle Gas Turbine) ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง โดยมีบริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด เป็นผู้จัดหาและนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า โดยโครงการ HKP มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,540 เมกะวัตต์ (แบ่งเป็น 2 หน่วยผลิต หน่วยผลิตละ 770 เมกะวัตต์) ตั้งอยู่ที่ตำบลหินกอง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เป็นระยะเวลา 25 ปี โครงการ HKP ถือเป็นโรงไฟฟ้าที่สำคัญเพื่อความมั่นคงและมีความจำเป็นต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ โดยเฉพาะในภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคใต้ การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการ HKP ดังกล่าว เป็นการต่อยอดการเติบโตของกำลังการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องของกลุ่มบริษัทฯ อีกทั้งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เนื่องจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลประเภทอื่น ในขณะที่ยังคงเสถียรภาพในการผลิตไฟฟ้าให้อยู่ในระดับสูง จึงสามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อีกด้วย         นอกจากนี้ ได้แจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบเรื่องการเข้าลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement) ระหว่างกลุ่มบริษัทฯ กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(“กฟผ.”) เพื่อพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เป็นระยะเวลา 25 ปี จำนวนรวมทั้งสิ้น 25 โครงการ ขนาด กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวมทั้งสิ้น 1,353.1 เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 2,537.8 เมกะวัตต์) ประกอบด้วยโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) จำนวน 13 โครงการ ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 652.9เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 869.8 เมกะวัตต์) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) จำนวน 12 โครงการ ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 700.2 เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 1,668.0 เมกะวัตต์) โดยมีแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2567 – 2572 แล้วนั้น บริษัทฯ ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 กลุ่มบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางอ้อมผ่านบริษัท กัลฟ์ รีนิวเอเบิล เอ็นเนอร์จี จำกัด (“GRE”) ในสัดส่วนร้อยละ 100 ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้วจำนวนรวมทั้งสิ้น 5 โครงการ (“โครงการฯ”) มีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 295.0 เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง531.8 เมกะวัตต์) โดยแบ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน จำนวน 3 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 160.0 เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 212.9 เมกะวัตต์) และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน จำนวน 2 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 135.0 เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 318.9 เมกะวัตต์) โดยรายละเอียดมีดังนี้ ส่วนกรณีที่ประเทศไทยจะเริ่มจัดเก็บภาษีบริษัทข้ามชาติขั้นต่ำ 15% ตามกติกา Global Minimum Tax (GMT) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 บริษัทได้ประเมินว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบในระดับเล็กน้อย โดยเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้รวมที่คาดการณ์ในปี 2568 ผลกระทบนี้จะไม่เกิน 0.5% ของรายได้รวม และต่อกำไรไม่เกิน 2% ดังนั้นไม่ได้กระทบต่อผลประกอบการของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

[Vision Exclusive] GULF รับผลภาษีข้ามชาติน้อย ปี 68 คาดกระทบกำไรไม่ถึง 2%

[Vision Exclusive] GULF รับผลภาษีข้ามชาติน้อย ปี 68 คาดกระทบกำไรไม่ถึง 2%

          หุ้นวิชั่น - GULF ยืนยันมาตรการจัดเก็บภาษีบริษัทข้ามชาติขั้นต่ำ 15% เริ่ม 1 ม.ค. 2568 กระทบต่อกำไรไม่เกิน 2% ส่วนผลกระทบรายได้น้อยกว่า 0.5% ติดตามมาตรการช่วยเหลือภาครัฐ ในสิทธิประโยชน์การผลิตไฟฟ้าสะอาด-ดาต้าเซ็นเตอร์ โบรกมอง หากรัฐสนับสนุนเงินคืน ลดผลกระทบ แนะนำตั้งรับหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เป็น New S Curve อาทิ โรงไฟฟ้า ที่อยู่ในธีม Infra Tech เน้น GULF GPSC           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยถึงกรณีที่ประเทศไทยจะเริ่มจัดเก็บภาษีบริษัทข้ามชาติขั้นต่ำ 15% ตามกติกา Global Minimum Tax (GMT) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ว่า บริษัทได้รับผลกระทบบ้างจากมาตรการดังกล่าว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้รวมที่คาดการณ์ในปี 2568 ผลกระทบนี้จะอยู่ในระดับเล็กน้อย หากคิดจากรายได้คาดว่าจะไม่เกิน 0.5% ของรายได้รวม ส่วนผลกระทบจากกำไรไม่เกิน 2% ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับผลกระทบการด้วย           อย่างไรก็ตาม GULF ยังต้องติดตามแนวทางจากภาครัฐว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อชดเชยผลกระทบหรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้าสะอาดและการพัฒนาโครงการศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นธุรกิจสำคัญที่บริษัทให้ความสำคัญและสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ           ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) อธิบดีกรมสรรพากรเผยว่า ไทยประกาศเก็บภาษีบริษัทข้ามชาติขั้นต่ำ15% เริ่มมีผล 1 ม.ค.2025 เป็นบริษัทที่มีรายได้รวม > 750 ล้านยูโรต่อปี KSS ประเมินหุ้นกลุ่มที่เข้าข่ายคาดจะได้รับผลกระทบ อาทิ 1. กลุ่มส่งออกอาหาร คือ TU (Effective tax rate 7-8%) ส่วน ที่คาดจะกระทบคือ บริษัทในเครือที่อยู่ในไทยราว 35% ที่ได้รับ BOI โดยรวมคาดกระทบต่อประมาณการกำไรปกติปี2025F จำกัดในกรอบ 3-8%  2.) ชิ้นส่วนคือ DELTA (Effective tax rate 5.5%) คาดกระทบต่อประมาณการกำไรปี2025 F มีdownside risk ราว 12% ในกรณีที่ effective tax rate เพิ่มสู่ 15% 3.) กลุ่มโรงไฟฟ้า บางส่วนปัจจุบัน Effective Tax Rate อยู่ราว 5-10% หากนับเฉพาะผลกระทบภาษีคาดกำไรสุทธิจะกระทบอยู่ระหว่าง 5-10%           ทั้งนี้ในส่วนรายละเอียดรายตัว คาดมีช่องทางบริหารจัดการได้ GULF จากการลงทุน ตปท. ของบริษัท มองฐานรายได้และกำไรที่เติบโตต่อเนื่องจากธุรกิจหลักและการเปลี่ยนผ่านไปสู่ New Co จะทำให้ผลกระทบ จำกัดและบริหารจัดการภาษีภายในได้ BGRIM มีลงทุนต่างประเทศ และเป็นการ Conso คาดกระทบ ส่วนหุ้นโรงไฟฟ้าที่กระทบน้อย คือ GPSC ส่วนมากรับรู้เป็น equity income ส่วน RATCH และ EGCO กระทบน้อยจากฐานภาษีสูงใกล้เคียง 15% 4.) กลุ่ม Packaging SCGP มีธุรกิจที่เวียดนาม (14% ของรายได้) ที่อาจต้องเสียภาษีเพิ่มเติม แต่มองผลกระทบต่อภาพรวมจำกัด ประเมินเป็นจิตวิทยาลบอ่อนๆ กลยุทธ์ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินหุ้นที่มีความเสี่ยงกระทบ ส่วนใหญ่ทยอยปรับตัวลงสะท้อนตั้งแต่ต้น – กลางเดือน ธ.ค. 24 แต่หากอิงโอกาสที่รัฐฯน่าจะต้องหาช่องทางสนับสนุนเงินคืนเพื่อลดผลกระทบรวมถึงการบริหารภาษีภายในบริษัทต่างๆ คาดผลกระทบจะจำกัดกว่าที่ประเมินข้างต้น เชิงกลยุทธ์ แนะนำตั้งรับหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เป็น New S Curve ของไทยระยะถัดไป อาทิ โรงไฟฟ้า ที่อยู่ในธีม Infra Tech เน้น GULF GPSC ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำ 15% ตามเกณฑ์ Global Minimum Tax (GMT)ขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ซึ่งถือเป็นการปรับปรุงกฎหมายภาษีนิติบุคคลของไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยประเทศไทยนับเป็นหนึ่งในกว่า 100 ประเทศที่เข้าร่วมกติกาดังกล่าว เริ่มมีผล 1 ม.ค.2025 ความสำคัญของ Global Minimum Tax (GMT) นั้น GMT เป็นหลักการภาษีระดับโลกที่มุ่งเน้นสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันระหว่างประเทศ โดยกำหนดให้บริษัทข้ามชาติที่มีรายได้รวมมากกว่า 750 ล้านยูโรต่อปี (ประมาณ 26,000 ล้านบาท) ต้องชำระภาษีขั้นต่ำ 15% ไม่ว่าบริษัทจะตั้งอยู่ในประเทศใดก็ตาม เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีผ่านการย้ายฐานไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ สำหรับประเทศไทย มาตรการ GMT จะช่วยลดช่องว่างทางภาษี โดยเฉพาะบริษัทที่ได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งในบางกรณีทำให้อัตราภาษีที่แท้จริงต่ำกว่า 15% การออกกฎหมายนี้จะช่วยให้ไทยสามารถเก็บภาษีส่วนต่างเพิ่มได้ ส่งเสริมความเป็นธรรมและเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐ รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว

TRIS คงอันดับเครดิต GULF ที่ระดับ “A+” พร้อมปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น

TRIS คงอันดับเครดิต GULF ที่ระดับ “A+” พร้อมปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "Positive" จาก “Stable”

          บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “A+” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทอยู่ที่ระดับ “A” พร้อมได้รับการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตจาก “Stable” หรือ “คงที่” เป็น “Positive” หรือ “บวก” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS) เพื่อสะท้อนถึงมุมมองที่เป็นบวกต่อการควบรวมกิจการกับบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH อีกทั้งให้ความเห็นว่าภายหลังการควบรวมกิจการ บริษัทใหม่ (NewCo) จะมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น รวมถึงกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ในระดับสูง ตลอดจนการลงทุนที่มีการกระจายตัวที่ดี           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF กล่าวว่า “การได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ ‘A+’ และแนวโน้มเครดิตมุมมองเป็นบวกจาก TRIS ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจของ GULF ที่มีฐานะการเงินที่มั่นคง กระแสเงินสดที่เสถียร ความเสี่ยงต่ำ และการลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพและหลากหลาย รวมถึงการบริหารการเงินที่มีประสิทธิภาพ การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตจาก ‘Stable’ เป็น ‘Positive’ แสดงให้เห็นว่า TRIS มีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัทหลังการควบรวมกิจการกับ INTUCH โดยเฉพาะสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของ NewCo ที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ที่ลดลง ไม่เพียงแต่มีโอกาสผลักดันให้อันดับเครดิตสูงขึ้นในอนาคตเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้บริษัทขยายการลงทุนได้เพิ่มขึ้น ทำให้ GULF สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่แข่งขันได้ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวต่อไป ซึ่ง GULF มีแผนที่จะออกหุ้นกู้อีกประมาณ 25,000-30,000 ล้านบาทในช่วงต้นปี 2568”           ล่าสุด GULF ยังได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ในระดับสูงสุดที่ ‘AAA’ กลุ่มทรัพยากร จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบการกำกับดูแลกิจการที่ดี การบริหารความเสี่ยงอย่างครอบคลุม และการนำข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG) มาดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน

GULF – INTUCH ตั้งโต๊ะเทนเดอร์ ADVANC และ THCOM วันที่ 25 ธ.ค.นี้

GULF – INTUCH ตั้งโต๊ะเทนเดอร์ ADVANC และ THCOM วันที่ 25 ธ.ค.นี้

           ตามที่ และ บริษัท อินทัช โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) และ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ได้แจ้งมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2567 ซึ่งได้อนุมัติธุรกรรมการปรับโครงสร้างของบริษัทฯ โดยรวมถึง(ก) ธุรกรรมการได้มาซึ่งหลักทรัพย์ของ ADVANC โดยการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ ADVANC (โดยไม่รวมหุ้นซึ่งผู้ทำคำเสนอซื้อถืออยู่) โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) และ(ข) ธุรกรรมการได้มาซึ่งหลักทรัพย์ของ THCOM โดยการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ THCOM (โดยไม่รวมหุ้นซึ่งผู้ทำคำเสนอซื้อถืออยู่) โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) (ให้เรียกธุรกรรมตาม (ก) และ (ข) รวมกันว่า “การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ฯ”)โดยมีเงื่อนไขบังคับก่อนตามที่บริษัทฯ ได้เปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 และวันที่ 6 กันยายน 2567 นั้น บริษัทฯ ขอเรียนให้ทราบว่า ขณะนี้ บริษัทฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเงื่อนไขบังคับก่อนดังกล่าวได้สำเร็จลงหรือได้รับการผ่อนผัน (แล้วแต่กรณี) บริษัทฯ จึงจะดำเนินการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ฯ โดยบริษัทฯ ได้ยื่นเอกสารคำเสนอซื้อในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ฯ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 24 ธันวาคม 2567 และจะเริ่มทำการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ฯ ของ ADVANC และ THCOM พร้อมกันในวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ต่อไป

GULF ได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2567 ระดับ AAA

GULF ได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2567 ระดับ AAA

          บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2567 ในระดับสูงสุด ‘AAA’ กลุ่มทรัพยากร (Resources) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย GULF ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ GULF ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบการกำกับดูแลกิจการที่ดี การบริหารความเสี่ยงอย่างครอบคลุม และการนำข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG) มาดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน           GULF มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติ เพื่อสร้างความเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน พร้อมปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มของโลกและการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว โดย GULF เดินหน้าลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 และเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ไม่น้อยกว่า 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ภายในปี 2578 เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ           ในปีนี้มีบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านเกณฑ์และได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings รวม 228 บริษัท โดยมี 56 บริษัท ที่ได้รับการประเมินระดับ AAA โดย SET ESG Ratings คัดเลือกจากบริษัทจดทะเบียนที่สมัครใจเข้าร่วมการประเมิน และมีผลคะแนนจากการตอบแบบประเมินผ่าน 50% ในมิติ E S และ G และต้องผ่านเกณฑ์คุณสมบัติตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด เช่น เป็นบริษัทที่มีผลการประเมินคุณภาพรายงานด้านบรรษัทภิบาล (CGR) โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ตั้งแต่ 3 ดาวขึ้นไป ไม่เป็นบริษัทหรือมีกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทที่ถูกกล่าวโทษหรือได้รับการตัดสินความผิดเรื่อง ESG จากหน่วยงานทางการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่เป็นบริษัทที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย CB, CC, CF, CS เป็นต้น โดยปัจจุบันมีกองทุนบางประเภทที่ใช้ SET ESG Ratings เป็นหนึ่งในนโยบายการลงทุน เช่น กองทุน Thailand ESG Funds (TESG) มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของกองทุน (AUM) กว่า 14,545 ล้านบาท และกองทุนวายุภักษ์หนึ่ง หน่วยลงทุนประเภท ก. มี AUM 150,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะมีกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนด้าน ESG เพิ่มขึ้น สอดรับกับทิศทางความตื่นตัวของ บจ. ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน           ท่านสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ESG ของ GULF ได้ในรายงานความยั่งยืนของบริษัทที่ https://investor.gulf.co.th/th/document/sustainability-reports

GULF จัดกิจกรรม “พาน้องเรียนรู้แปลงนาสาธิต”

GULF จัดกิจกรรม “พาน้องเรียนรู้แปลงนาสาธิต”

           บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF จัดกิจกรรม “พาน้องเรียนรู้แปลงนาสาธิต” ณ ศูนย์การเรียนรู้เกษตรและแปลงนาสาธิต โรงไฟฟ้าหนองแซง จ.สระบุรี โดยมีตัวแทนนักเรียนและคุณครูจากโรงเรียนวัดหนองทางบุญมาร่วมทำกิจกรรม อาทิ การเกี่ยวข้าว, การนวดข้าว, ทำอาหารไก่ไข่, การเก็บไข่ไก่, ทำปุ๋ยมูลไส้เดือน และการทำอาหารจากพืชผักปลอดสารพิษ โดยกิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นให้เยาวชนได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิถีเกษตรอินทรีย์ และการทำเกษตรแบบหมุนเวียน (Circular Farming) รวมไปถึงปลูกฝังเรื่องการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และช่วยลดโลกร้อนได้อีกด้วย            นายกรชนะ มีสมศักดิ์ นักวิชาการเกษตร ประจำศูนย์การเรียนรู้เกษตรและแปลงนาสาธิต โรงไฟฟ้าหนองแซง กล่าวว่า “จากจุดเริ่มต้นที่ศูนย์การเรียนรู้เกษตรและแปลงนาสาธิต เป็นเสมือนต้นแบบทางการเกษตรให้กับชาวบ้านและชุมชนรอบๆ โรงไฟฟ้า ว่าเกษตรกรรมและโรงไฟฟ้าสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่สร้างผลกระทบแล้วนั้น ทุกวันนี้ยังเป็นห้องเรียนนอกสถานที่ให้กับคนในพื้นที่หรือผู้ที่สนใจ ได้มาศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีการเกษตรอีกด้วย โดยวันนี้ได้จัดกิจกรรมฐานการเรียนรู้ทางเกษตรให้กับเด็กๆ 4 ฐาน คือ 1.การเรียนรู้วิถีของชาวนา ผ่านการเกี่ยวข้าว สีข้าว และนวดข้าวแบบดั้งเดิม ฐานที่ 2 นำวัตถุดิบที่ได้จากการสีข้าว เช่น รำข้าว และปลายข้าว มาทำอาหารไก่ไข่ รวมไปถึงเก็บไข่ไก่ และฐานที่ 3 คือฐานให้ความรู้วิธีการทำปุ๋ยมูลไส้เดือน ฐานที่ 4 คือเก็บผักปลอดสารพิษมาทำอาหาร โดยปุ๋ยที่ใช้ปลูกผักก็คือปุ๋ยมูลไส้เดือนที่ทำเองในแปลงนาสาธิต โดยน้องๆ นักเรียนจะได้รับความรู้เรื่องวิถีชาวนาแบบดั้งเดิม เกษตรอินทรีย์ และการเกษตรแบบหมุนเวียน  (Circular Farming) ผ่านกิจกรรมเหล่านี้ โดยกัลฟ์จะยังคงพัฒนาต่อยอดแปลงนาสาธิต แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง และพร้อมเรียนรู้เติบโตไปกับเยาวชนและชุมชนอย่างยั่งยืน”            ด.ญ.แพรไหม สุขธรรมา นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนวัดหนองทางบุญ กล่าวว่า “วันนี้ได้เรียนรู้เรื่องการเกี่ยวข้าว, การเก็บไข่ไก่, วิธีการทำปุ๋ยมูลไส้เดือน และทำอาหารจากผักปลอดสารพิษ โดยหนูชอบฐานกิจกรรมการทำอาหารไก่และเก็บไข่ไก่ที่สุด เพราะสามารถนำไปต่อยอดได้ทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียน และในชุมชนได้ด้วย ขอบคุณพี่ๆ จากบริษัทกัลฟ์ที่จัดกิจกรรมฐานให้ความรู้ผ่านกิจกรรมในวันนี้ ที่นอกจากจะสนุกแล้วยังได้ความรู้อีกด้วย”            ศูนย์การเรียนรู้เกษตรและแปลงนาสาธิต โรงไฟฟ้าหนองแซง ริเริ่มจากความมุ่งมั่นของกัลฟ์ที่จะสร้างพื้นที่เกษตรอินทรีย์ต้นแบบบนพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าที่อยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันดำเนินการมานานกว่า 9 ปีแล้ว นับตั้งแต่ก่อตั้งโรงไฟฟ้าหนองแซงเมื่อปี 2558 บนพื้นที่ 42 ไร่ ซึ่งได้พัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้เกษตรให้กับชุมชนรอบข้างที่ส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม โดยมุ่งเน้นการทำเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี เน้นจัดการพื้นที่และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดการสร้าง PM 2.5 พร้อมทั้งต่อยอดให้เป็นโครงการต้นแบบของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้านการเกษตร เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ และถ่ายทอดไปยังชุมชนในพื้นที่ต่อไป ติดตามข่าวสารของกัลฟ์ได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ GULF Spark:  https://www.facebook.com/GULFSPARK.TH/ และ ช่องทาง Tiktok: https://www.tiktok.com/@GULFspark

GULF ผนึก SiamAI พันธมิตร NVIDIA ผลักดัน AI Cloud ยกระดับดิจิทัลไทย

GULF ผนึก SiamAI พันธมิตร NVIDIA ผลักดัน AI Cloud ยกระดับดิจิทัลไทย

          GULF ร่วมลงทุนในศูนย์ข้อมูลกับ Siam AI พันธมิตรไทยรายแรกของ NVIDIA พร้อมพัฒนาโซลูชั่น AI ครอบคลุมพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และโทรคมนาคม มุ่งเสริมศักยภาพเศรษฐกิจดิจิทัลไทยสู่อนาคต           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่าเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ จำกัด (“GSA DC”) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางอ้อมในสัดส่วนร้อยละ 40 ผ่านบริษัท กัลฟ์ เอดจ์ จำกัด (“Gulf Edge”) ได้ลงนามในสัญญาการให้บริการศูนย์ข้อมูล (Data Center) กับบริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (“Siam AI”) ซึ่งเป็นบริษัทไทยรายแรกที่เป็นพันธมิตรกับ NVIDIA Corporation โดย NVIDIA Corporation เป็นผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยี GPU และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ภายใต้โครงการ NVIDIA Cloud Partner โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ในประเทศไทยและขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลผ่านโซลูชั่น AI บนระบบคลาวด์ (AI Cloud Solutions)           นอกจากนี้ Gulf Edge ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 กำลังอยู่ระหว่างการหารือเพื่อจัดทำบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) กับ Siam AI เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโซลูชั่น AI ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ได้แก่ ธุรกิจพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน บริการดิจิทัล และโทรคมนาคม โดยมุ่งเน้นการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ เช่น การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance) การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Operational Optimization) การนำเสนอบริการเฉพาะบุคคล (Hyper-personalization) และการยกระดับการให้บริการลูกค้า (Enhanced Customer Services)           ความร่วมมือนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศและเสริมสร้างศักยภาพในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

GULF ร่วมกับ “ศูนย์การศึกษาพิเศษแก่งคอย” สานต่อพัฒนาการสำหรับเด็กพิเศษ

GULF ร่วมกับ “ศูนย์การศึกษาพิเศษแก่งคอย” สานต่อพัฒนาการสำหรับเด็กพิเศษ

          หุ้นวิชั่น - “บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)” หรือ “GULF” ร่วมกับ “ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดสระบุรี หน่วยบริการแก่งคอย” จัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาสำหรับเด็กพิเศษ เนื่องในวันคนพิการสากล 3 ธันวาคม 2567 โดยมีกิจกรรมระบายสี และการเล่านิทานที่สอดแทรกการเสริมสร้างพัฒนาการด้วย “หมอนช้างจับมือ” ที่จัดทำโดย “กัลฟ์อาสา” เพื่อช่วยบริหารกล้ามเนื้อมือ และกระตุ้นปลายประสาทของสมอง นอกจากนี้ยังมีการมอบอุปกรณ์การเรียน พร้อมด้วยขนม นม และของใช้ที่จำเป็นสำหรับเด็ก รวมถึงการปรับปรุงห้องเรียนและพัฒนาสนามเด็กเล่นให้มีความสวยงาม พร้อมต่อการใช้งานที่ปลอดภัยอีกด้วย           “นางสาวดรุณี มูลคำภา” ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดสระบุรี กล่าวว่า ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดสระบุรี หน่วยบริการแก่งคอย เริ่มเปิดดำเนินการครั้งแรกเมื่อปี 2559 ปัจจุบันมีเด็กพิเศษที่อยู่ในความดูแลและรับผิดชอบของศูนย์การศึกษาพิเศษฯ แห่งนี้จำนวน 47 ราย โดยแบ่งเป็นเด็กออทิสติก ดาวน์ซินโดรม เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา มีพัฒนาการทางสมองช้า ซึ่งมีทั้งมารับบริการที่ศูนย์ฯ แบบไปเช้าเย็นกลับ และแบบที่มีเจ้าหน้าที่ศูนย์การศึกษาพิเศษฯเข้าไปให้การดูแลที่บ้านของเด็กซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทกัลฟ์ เป็นหน่วยงานเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในการร่วมส่งเสริมการศึกษา พัฒนาทรัพยากรบุคคล เพิ่มการเข้าถึงการศึกษา เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองของเด็กที่มีความจำเป็นพิเศษในพื้นที่ โดยได้สนับสนุนการก่อสร้างอาคารเรียนศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดสระบุรี หน่วยบริการแก่งคอย เพื่อให้มีความสะดวกสบาย และเสริมสร้างความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้มีการปรับปรุงสนามเด็กเล่น การติดตั้งเหล็กดัด และติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ตลอดจนจัดกิจกรรมต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง           “นางสาวจินตนา เพียรรอดวงษ์” ในฐานะหัวหน้าหน่วยบริการ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดสระบุรี หน่วยบริการแก่งคอย กล่าวเสริมว่า กัลฟ์ มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ช่วยเข้ามาเติมเต็มหน่วยบริการแห่งนี้ เพราะนอกจากการปรับปรุงอาคารสถานที่ให้มีความพร้อม มีความปลอดภัย สะดวกสบาย เอื้ออำนวยต่อการดูแลเด็กพิเศษกลุ่มนี้แล้ว ยังสนับสนุนอุปกรณ์การเรียน เครื่องเล่นต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการเด็กในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา รวมถึงการที่พนักงานของกัลฟ์มาจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่เหล่าพี่ ๆ กัลฟ์อาสาได้มาจัดกิจกรรมให้เด็ก ๆ ทั้งการระบายสี การเล่านิทานที่สอดแทรกการส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายของเด็กด้วยหมอนช้างจับมือ ซึ่งเด็ก ๆ สนุกสนานกันเป็นอย่างมาก ที่สำคัญยังมีการนำขนม นม ของใช้ที่จำเป็น รวมถึงอุปกรณ์การเรียนมามอบให้กับศูนย์ฯ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงห้องเรียนโดยกั้นพื้นที่ห้องเรียนระหว่างเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษกับเด็กที่พอช่วยเหลือตัวเองได้ เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  และการปรับปรุงสนามเด็กเล่นให้มีความสวยงาม ปลอดภัยในการใช้งาน ทำให้รู้สึกว่าเด็กกลุ่มนี้ไม่ถูกทอดทิ้ง แม้ว่าหน่วยบริการแห่งนี้จะเป็นศูนย์เล็ก ๆ ก็ตาม           ขณะที่ “นางทองหล่อ ไชยสุ” ผู้ปกครองของเด็กที่มารับบริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดสระบุรี หน่วยบริการแก่งคอย กล่าวว่า การมีศูนย์ที่สามารถช่วยดูแลและให้การศึกษากับเด็กพิเศษใกล้บ้าน นอกจากจะลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้เป็นอย่างมาก ที่สำคัญเด็ก ๆ ยังได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะของตัวเอง อย่างที่น้องมารับบริการที่ศูนย์แห่งนี้ ฯ มีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งช่วยเหลือตัวเองได้ หยิบจับสิ่งของได้ บอกสี บอกลักษณะได้ ที่สำคัญน้องสามารถเข้าสังคมได้มากขึ้น เพราะถ้าบอกว่าไปโรงเรียนน้องจะดีใจมาก น้องชอบไปโรงเรียนมาก การมีศูนย์การศึกษาพิเศษ ฯ แบบนี้จึงเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับเด็กพิเศษ รวมถึงผู้ปกครองอย่างเราที่ต้องหาเช้ากินค่ำอีกด้วย           กัลฟ์ พร้อมที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาของเด็กพิเศษ เพื่อให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันได้ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสังคม สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกัลฟ์ ภายใต้แนวคิด “Powering the Future, Empowering the People” ที่ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาและส่งเสริมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้ความสำคัญกับอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป [PR News] ประมวลภาพ “กัลฟ์” จัดกิจกรรมเสริมสร้างพัฒนาการสำหรับเด็กพิเศษ เนื่องในวันคนพิการสากล 3 ธันวาคม 2567 ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดสระบุรี หน่วยบริการแก่งคอย

เปิดโผ หุ้น AI โอกาสโต! DELTA-GULF-TRUE-INSET น่าจับตา

เปิดโผ หุ้น AI โอกาสโต! DELTA-GULF-TRUE-INSET น่าจับตา

           หุ้นวิชั่น - บริษัท หลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึงในบทวิเคราห์ ถึงประเด็นที่ “เจนเซ่น หวง” (Jensen Huang) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เอ็นวิเดีย” (NVIDIA) ยักษ์ผู้ผลิตชิป AI ที่มีมูลค่าบริษัทกว่า 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เตรียมเยือนประเทศไทย ในงาน “AI Vision for Thailand” ภายใต้ธีม “The First Step for Thailand Sovereign AI” วันที่ 4 ธ.ค. 2567 ณ Embassy Room, Park Hyatt Bangkok พร้อมประกาศแผนลงทุน ดันไทยขึ้นฮับ AI ภูมิภาค ในงาน AI Vision for Thailand ทั้งนี้ธุรกิจของบริษัทในตลาดหุ้นไทยที่อิงกับ NVIDIA ได้แก่ อีเล็คทรอนิคส์ คอมพิวเตอร์ , AI, Cloud และ Data Center เราคัด 3 หุ้นได้ประโยชน์ จากการนี้ ประกอบด้วย DELTA, GULF และ TRUE            ขณะที่ บริษัท หลักทรัพย์ บัว หลวง จำกัด (มหาชน) ระบุถึง เมื่อการเยือนของ Jensen Huang ในเดือนธันวาคมนี้ใกล้เข้ามาแล้ว (คาดว่าสัปดาห์หน้า) ถึงเวลาแล้วที่จะมองไปที่เฟส 1 ของการเปลี่ยนแปลง Gen AI ในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของความต้องการ GPU เมื่อข้อจำกัดในอุปทานทำให้ GPU ขาดแคลน ผู้ที่เริ่มต้นก่อนอย่าง JTS และ LTS จะสามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรได้อย่างมากในระยะนี้            JTS กำลังสร้าง GPU Farm และโมเดล AI Training โดยใช้ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับ KT เพื่อจัดหาผลิตภัณฑ์ NVIDIA GPUs นอกจากการใช้งานของตนเองแล้ว แพลตฟอร์ม Gen AI ของ JTS จะทำหน้าที่เป็นสตูดิโอสำหรับการฝึกฝนและปรับใช้งานสำหรับลูกค้า ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้งาน AI ได้โดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของตนเอง            LTS: SIAM AI เป็นพันธมิตร Nvidia Cloud รายแรก (และรายเดียว) ของประเทศไทย ผ่านความร่วมมือกับ SIAM AI ทำให้ LTS ได้ประโยชน์จากการเป็นพันธมิตร ซึ่งช่วยให้เข้าถึง GPU ได้ก่อนใคร แตกต่างจากโมเดลการจัดจำหน่ายแบบดั้งเดิม โมเดลปัจจุบันของ NVIDIA คือ "By Invitation Only" ซึ่งให้ข้อได้เปรียบแก่พันธมิตรในการได้รับ GPU ที่จัดสรรในตลาดที่มีข้อจำกัดนี้            INSET วางเป้าหมายปี 2025 เติบโตจากธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับ Cloud และ AI โดยมุ่งเน้นการลงทุนใน Data Center ในประเทศไทย จากความพร้อมด้านประสบการณ์ในการก่อสร้างส่วนงานอาคารหลายโครงการ และการเข้าร่วมประมูลงานจากผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในไทย โดยคาดว่าจะมีการประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูลตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า นอกจากนี้ INSET ยังมีโอกาสลุ้นงานในกลุ่ม ICT ที่เกี่ยวข้องกับโครงข่ายต่างๆ เพิ่มเติม            PROEN การเข้ามาของกลุ่ม DAMAC ผู้ให้บริการ Data Center ระดับโลกจากดูไบที่มีลูกค้าทั่วโลก ได้ประกาศลงทุนร่วมกับ PROEN ภายใต้แบรนด์ EDGNEX ด้วยเป้าหมายเริ่มต้น 20MW ในปี 2025-2026 (พร้อมที่ดินรองรับแล้ว) และขยายเพิ่มเป็นหลัก 100MW ในระยะยาว โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา PROEN ได้โอน OTT DC ขนาด 5MW ซึ่งเป็นโครงการแรกให้กลุ่ม DAMAC และรับรู้รายได้-กำไรในช่วง 4Q24 ซึ่งเพิ่มโอกาสให้ PROEN เห็นการ Turnaround ตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป โครงการดังกล่าวจะเปิดให้บริการลูกค้าเฟสแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และเฟส 2-3 จะเปิดครบในกลางปี 2025 โดยจะมีรายได้จากบริการหลังการขายและระบบประมวลผลเพิ่มเติม

GULF ขายบ.ย่อย COCO 1.9 พันล้านบ. บุ๊คเข้าQ4/67 นี้เนื่องจากไม่มี Synergy ธุรกิจ

GULF ขายบ.ย่อย COCO 1.9 พันล้านบ. บุ๊คเข้าQ4/67 นี้เนื่องจากไม่มี Synergy ธุรกิจ

           หุ้นวิชั่น - นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 บริษัทฯ ได้จำหน่ายหุ้นสามัญทั้งหมดใน COCO Investments Pte. Ltd. (“COCO”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 ให้แก่กลุ่ม Legendary Venture VCC (“Legendary Venture”) ด้วยมูลค่าขายทั้งสิ้น 56.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,931.1 ล้านบาท ซึ่งมีผลให้ COCO สิ้นสุดสถานภาพการเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ คาดว่าจะบันทึกการขายเงินลงทุนในช่วงไตรมาส 4/2567 นี้            อนึ่ง COCO เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) และได้มีการร่วมลงทุนกับ Legendary Venture เพื่อลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจอื่นในประเทศเวียดนามตั้งแต่ปี 2564

GULF เดินหน้าโรงไฟฟ้า มองดีมานด์โตต่อเนื่อง

GULF เดินหน้าโรงไฟฟ้า มองดีมานด์โตต่อเนื่อง

           หุ้นวิชั่น – GULF เดินหน้าพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนในพอร์ต เผยโครงการพลังงานทดแทนเฟส 1 ของรัฐ รอลงนามสัญญาอีก 414 เมกะวัตต์ มองหากเลื่อนเฟส 2 ไม่กระทบ และยังพร้อมประมูลงานหากรัฐเปิดโอกาสโครงการใหม่ๆ ปี 68 กำลังการผลิตพุ่งเพิ่มอีก 1,500 เมกะวัตต์ มองปีหน้าดีมานด์ใช้ไฟฟ้าเติบโต ทั้งรถอีวี ดาต้าเซ็นเตอร์หนุน คงเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนให้เป็น 40% เผยงบลงทุนโครงการพลังงานในประเทศ 6 ปี ข้างหน้า ที่ 4 หมื่นล้านบาท           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า บริษัทยังเดินหน้าในการพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนเฟสแรก 5,200 เมกะวัตต์ ซึ่งโครงการที่บริษัทได้รับคัดเลือกมา หากคิดที่บริษัทถือหุ้น 100 % มีโครงการที่ผ่านการคัดเลือกรวม 1,764เมกะวัตต์ โดยมีการลงนามสัญญาไปแล้วกว่า 1,350 เมกะวัตต์ เป็นโครงการโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) และเหลือโครงการที่รอลงนามสัญญาจำนวน 414 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการลม นอกจากนี้ยังมีโครงการที่ร่วมมือกับพันธิตรอีก อย่างไรก็ดีบริษัทจะเดินหน้าในการพัฒนาโครงการต่อเนื่อง สำหรับงบลงทุนโครงการพลังงานทดแทนในประเทศช่วง 6 ปี ข้างหน้าในส่วนที่บริษัทต้องใส่เงินลงทุน อยู่ที่ ประมาณ 40,000 ล้านบาท               ในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ โดยโครงการโรงไฟฟ้า HKP หน่วยผลิตที่ 2 (770 เมกะวัตต์) จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 มกราคม 2568 อีกทั้ง โครงการ solar farms และ solar farms with battery energy storage systems มีแผนที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มเติมรวมอีก 7 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 600 เมกะวัตต์ ในขณะที่โครงการ solar rooftop ภายใต้ GULF1 คาดว่าจะดำเนินการจ่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าเพิ่มอีกประมาณ 100 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ รับรู้กำไรที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการ เชิงพาณิชย์ของโครงการดังกล่าว ในส่วนของธุรกิจนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ปีหน้าบริษัทฯ มีแผนที่จะนำเข้า LNG เป็นจำนวน 70 ลำ หรือประมาณ 5 ล้านตัน เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC, GPD และ HKP นอกจากนี้ ธุรกิจศูนย์ข้อมูล GSA DC (data center) ของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งมีขนาด 50 เมกะวัตต์ โดยเฟสหนึ่งขนาด 25 เมกะวัตต์ อยู่ในระหว่างการก่อสร้างและมีแผนที่จะเปิดให้บริการในเดือนเมษายน 2568             อย่างไรก็ดี คาดการณ์ว่าในปี 2568 ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากหลายปัจจัยสำคัญ อาทิ การการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า (EV Car) และความต้องการไฟฟ้าสะอาดจากธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นต้น ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันการเติบโตของพลังงานสะอาด บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนให้เป็น 40% ของกำลังการผลิตติดตั้งรวม ภายในปี 2578 โดยในปีนี้สัดส่วนพลังงานหมุนเวียนคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 10% สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานที่ยั่งยืน          สำหรับประเด็นที่อาจจะมีการระงับการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) เป็นการชั่วคราว ปริมาณ 2,180 เมกะวัตต์ โดยประเด็นดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทในกลุ่มพลังงานหมุนเวียน บริษัทยังยืนยันความพร้อมที่จะเข้าร่วมการประมูล หากภาครัฐเปิดโอกาสให้มีการดำเนินโครงการใหม่ๆ ต่อไป รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว

GULF เนื้อแท้กำไรแกร่ง เคาะพื้นฐาน65บาท

GULF เนื้อแท้กำไรแกร่ง เคาะพื้นฐาน65บาท

         หุ้นวิชั่น - บล. ดาโอ ระบุว่า ปรับคำแนะนำลงเป็น “ถือ” (เดิม “ซื้อ”) แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 65.00 บาท (เดิม 60.00 บาท) ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2025E อิง SOTP ประเมินราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจาก theme amalgamation และสะท้อนการเติบโตไปมาก (ราคาหุ้น +52% จากวันปรากาศดีล) โดย ณ ราคาปัจจุบันเทรดอยู่ที่ 2025PER 37X ในขณะที่ consensus ประเมินการเติบโตราว 18% ในปี 2025E ทั้งนี้ บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 6.0 พันล้านบาท (ใกล้เคียง consensus คาด) อย่างไรก็ตามหากตัดรายการพิเศษ Fx ออก กำไรปกติอยู่ที่ 4.7 พันล้านบาท (+12% YoY, ทรงตัว QoQ) โดย YoY ได้แรงหนุนจากการ COD โครงการใหม่ GPD และ HKP และส่วนแบ่งกำไรจาก Jackson มากขึ้น ในขณะที่ QoQ ทรงตัวแม้โรงไฟฟ้า IPP มีค่า AP ที่ต่ำลง และโรงไฟฟ้า SPP ถูกค่าก๊าซกดดัน อย่างไรก็ตามได้รับชดเชยจากโครงการ Jackson (ราคาขายไฟเฉลี่ยเพิ่มขึ้นและมีการกลับรายการ property tax) เบื้องต้นเรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 2025E ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท (20% YoY) แนวโน้ม 4Q24E คาดกำไรอยู่ระดับใกล้เคียง QoQ แม้มีปัจจัยฤดูการโรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าน้อยลงแต่คาดได้รับเชยจากโรงไฟฟ้า GPD (663MW COD-4Q24) และผลประกอบการของ INTUCH ที่ดีขึ้นจาก ADVANC ช่วยประคอง ราคาหุ้น outperform SET ราว +48% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จากประเด็นการจัดโครงสร้างการลงทุนของกลุ่ม ทำให้เกิด amalgamation GULF + INTUCH อย่างไรก็ตามคาดว่าราคาหุ้นสะท้อนประเด็นดังกล่าวไปมาก และปัจจุบันเทรดที่ราคา premium ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการเติบโตที่ตลาดประเมิน (2025PER 37X ในขณะที่ consensus ประเมินการเติบโตราว 18% ในปี 2025E) จึงปรับคำแนะนำลงเป็น “ถือ”

GULF มั่นใจ ปี68 โตก้าวกระโดด ควบรวม GULF -INTUCH เสร็จ

GULF มั่นใจ ปี68 โตก้าวกระโดด ควบรวม GULF -INTUCH เสร็จ

          GULF รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 ด้วยรายได้รวม 31,259 ล้านบาท โต 11% จากปีก่อน พร้อมโชว์กำไรสุทธิ 6,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 79% เดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานและดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง พร้อมคาดการณ์การเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 4 และปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1,470 เมกะวัตต์ มั่นใจเติบโตอย่างก้าวกระโดดภายหลังการควบรวมระหว่าง GULF และ INTUCH เสร็จสิ้น           บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF หรือ บริษัทฯ) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 โดยมีรายได้รวม (total revenue) เท่ากับ 31,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาส 3/2566 และมีกำไรจากการดำเนินงาน (core profit) เท่ากับ 4,710 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จาก 4,203 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โดยโครงการกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD กำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 2 และ 3 ในเดือนตุลาคม 2566 และมีนาคม 2567 ตามลำดับ ส่งผลให้ในไตรมาส 3/2567 GULF รับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการ GPD หน่วยที่ 1-3 ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,987.5 เมกะวัตต์           และโครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (HKP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,540 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 1 ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ GULF รับรู้กำไรจากการดำเนินงานของโครงการ HKP หน่วยที่ 1 ในไตรมาสนี้ อีกทั้ง GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 150 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2566 เป็น 414 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2567 ซึ่งเป็นผลมาจากการกลับรายการภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (property tax) ค้างจ่ายที่บันทึกไว้สูงเกินไปสำหรับปี 2566 และ 9 เดือนแรกของปี 2567 จำนวน 326 ล้านบาท           นอกจากนี้ ในไตรมาส 3/2567 นี้ GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากการลงทุนใน INTUCH จำนวน 1,583 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จาก 1,527 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2566 โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการของ ADVANC ที่ดีขึ้น           อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกชดเชยจาก core profit ที่ลดลงของโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD จากการรับรู้ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา (maintenance expense) ของทั้ง 4 หน่วย ที่เริ่มทยอยซ่อมบำรุงระหว่างไตรมาส 3/2566 - ไตรมาส 3/2567 และปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ลดลง โดยมี load factor เฉลี่ยลดลงจาก 79% ในไตรมาส 3/2566 เป็น 69% ในไตรมาสนี้ นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้า IPP 2 โครงการ และ SPP 7 โครงการภายใต้กลุ่ม GJP มีผลกำไรที่ลดลง เนื่องมาจากผลกระทบจากค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เพิ่มขึ้นจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสนี้ อีกทั้ง โรงไฟฟ้า IPP 2 โครงการ ซึ่งได้แก่ GNS และ GUT มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ที่ลดลง โดยมี load factor เฉลี่ยที่ลดลงจาก 21% ในไตรมาส 3/2566 เป็น 7% ในไตรมาส 3/2567           ประกอบกับ โครงการโรงไฟฟ้า SPP 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลง จากราคาค่า Ft เฉลี่ยที่ลดลงในอัตราที่สูงกว่าการลดลงของราคาค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ย โดยค่า Ft เฉลี่ยลดลงจาก 0.68 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 3/2566 เป็น 0.40 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 3/2567 ในขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยลดลงจาก 345.97 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 3/2566 เป็น 333.79 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาสนี้           ทั้งนี้ GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 3/2567 จำนวน 9,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับ 9,364 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2566 ในขณะที่กำไรสุทธิ (net profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 3/2567 เท่ากับ 6,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79% จาก 3,360 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2566 โดยในไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ รับรู้ผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง เนื่องจากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นจาก 37.01 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 เป็น 32.46 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด           ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 GULF มีสินทรัพย์รวม 486,837 ล้านบาท หนี้สินรวม 338,421 ล้านบาท และ ส่วนของผู้ถือหุ้น 148,416 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net interest-bearing debt to equity) อยู่ที่ 1.71 เท่า ลดลงจาก 1.85 เท่า ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของส่วนของผู้ถือหุ้นจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า “ในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ คาดว่ารายได้รวมยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากโครงการต่าง ๆ ของบริษัทฯ ที่เปิดดำเนินงานตามแผน โดยโครงการโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ซึ่ง GULF จะเริ่มรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มไตรมาสของหน่วยผลิตนี้ในไตรมาส 4/2567 นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) มีแผนที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ 5 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 532 เมกะวัตต์ ในเดือนธันวาคม 2567 ประกอบกับในไตรมาส 4 เป็นช่วง high season ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ส่งผลให้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation ในประเทศไทย และโครงการ BKR2 ในประเทศเยอรมนี คาดว่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น อีกทั้ง ผลการดำเนินงานของ ADVANC คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนผู้ใช้งานและ ARPU ที่เพิ่มขึ้น”           นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในปี 2568 ผลประกอบการของบริษัทฯ คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดภายหลังการควบรวมระหว่าง GULF และ INTUCH เสร็จสิ้น เนื่องจากบริษัทใหม่ (NewCo) จะถือหุ้นโดยตรงใน ADVANC ในสัดส่วน 40.4% ซึ่งทำให้สามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดโดยสมัครใจ แบบมีเงื่อนไขก่อนทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) ของ ADVANC และ THCOM จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4/2567 - 1/2568 ทั้งนี้ การจัดตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงต้นไตรมาส 2/2568           ในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1,470 เมกะวัตต์ โดยโครงการโรงไฟฟ้า HKP หน่วยผลิตที่ 2 (770 เมกะวัตต์) จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 มกราคม 2568 อีกทั้ง โครงการ solar farms และ solar farms with battery energy storage systems มีแผนที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มเติมรวมอีก 7 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 600 เมกะวัตต์ ในขณะที่โครงการ solar rooftop ภายใต้ GULF1 คาดว่าจะดำเนินการจ่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าเพิ่มอีกประมาณ 100 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ รับรู้กำไรที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการ เชิงพาณิชย์ของโครงการดังกล่าว ในส่วนของธุรกิจนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ปีหน้าบริษัทฯ มีแผนที่จะนำเข้า LNG เป็นจำนวน 70 ลำ หรือประมาณ 5 ล้านตัน เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC, GPD และ HKP           นอกจากนี้ ธุรกิจศูนย์ข้อมูล GSA DC (data center) ของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งมีขนาด 50 เมกะวัตต์ โดยเฟสหนึ่งขนาด 25 เมกะวัตต์ อยู่ในระหว่างการก่อสร้างและมีแผนที่จะเปิดให้บริการในเดือนเมษายน 2568 ส่วนธุรกิจ cloud ที่บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ Google เพื่อให้บริการ Google Distributed Cloud air-gapped มีแผนที่จะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2/2568 โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ธุรกิจ health care ธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงสถาบันทางการเงิน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองการต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจไปสู่บริการ           อื่น ๆ ในอนาคต ซึ่งได้แก่ AI และ cybersecurity อีกด้วย ส่วนธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset exchange) ภายใต้แพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance ภายหลังจากการเปิดให้บริการในเดือนมกราคมที่ผ่านมา Gulf Binance ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนและมีผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดที่มากกว่า 20% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย อีกทั้งยังได้มีการคัดสรรคู่เหรียญใหม่ ๆ เพิ่มเติมลงบนแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุน” [PR News]

KSS คาดราคาน้ำมันดิบลงต่อ ชูอานิสงส์หุ้นการบิน โรงไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง

KSS คาดราคาน้ำมันดิบลงต่อ ชูอานิสงส์หุ้นการบิน โรงไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาดราคาน้ำมันดิบปรับลงต่อ อิง Brent -2.61%d-d ปิดที่ USD 71.94/barrel น้ำมันดิบ West Texas -3.32%d-d ปิดที่ USD 68.04/barrel แรงกดดันมาจาก 1.)Dollar แข็งค่าต่อเนื่อง 2.)           ตลาดผิดหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ไม่มีมาตรการกระตุ้นอสังหา การบริโภค 3.)คลายกังวล Supply น่ำมันที่หายไปจากพายุเฮอร์ริเคนในอ่าวเม็กซิโกจะ กลับมา           โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มที่มีต้นทุนน้ำมัน อาทิ กลุ่มสายการบิน เน้น AAV, BA กลุ่ม Anticommodity กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF กลุ่มวัสดุก่อสร้าง TASCO

โบรกคาด GULF กำไร Q3 ที่ 4.5 พันลบ. การผลิตที่เพิ่มขึ้นหนุน

โบรกคาด GULF กำไร Q3 ที่ 4.5 พันลบ. การผลิตที่เพิ่มขึ้นหนุน

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี คาด GULF กำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 4.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% YoY แต่ลดลง 5% QoQ โดยหลัก ๆ มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH, HKP, GJP และอื่น ๆ เพิ่มขึ้น Fx gain ประมาณ 900 ล้านบาท ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2024-26F ขึ้นจากการปรับประมาณการรายได้และรายได้อื่นเพิ่ม และปรับลดต้นทุนทางการเงิน ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 60.25 บาท (จากเดิม 56.75 บาท) และคงคำแนะนำ ‘Trading Buy’ แม้ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนความคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการควบรวมกิจการ และ Valuation จะดูตึงตัว มองว่า ROE หลังการควบรวมกิจการของ GULF ที่ 7-9% ในปี 2025-26F แม้จะต่ำกว่าระดับปัจจุบันที่ 12-13% ยังน่าสนใจเทียบกับ peers คาดกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 4.5 พันล้านบาท (+35% YoY, -5% QoQ)           คาดกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 4.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% YoY แต่ลดลง 5% QoQ โดยหลัก ๆ มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ (GPD units 2-3) อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น และไม่มีการซ่อมบำรุงใหญ่ ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH, HKP, GJP และอื่น ๆ เพิ่มขึ้น Fx gain ประมาณ 900 ล้านบาท การลดลง QoQ เกิดจากรายได้อื่นลดลงและ NCI หรือกำไรจากส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมเพิ่มขึ้น นำไปสู่คาดกำไรหลักหรือ core profit ที่ 3.6 พันล้านบาท (-15% YoY, -27% QoQ) คาดกำไรหลักใน 4Q24F จะดีขึ้น QoQ จากส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้น           คาดกำไรหลักใน 4Q24F จะเพิ่มขึ้น QoQ จากส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นและคาดต้นทุนทางการเงินลดลงจากการจ่ายคืนหนี้บางส่วน ราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 60.25 (จาก Bt 56.75) โดยวิธี SOTP           ประเมินมูลค่าธุรกิจพลังงานของ GULF ที่ 30 บาทต่อหุ้น (เพิ่มจาก 27.5 บาทโดยวิธี DCF สมมติฐาน Beta 1.2, Rf 2.5%, market risk premium 8%) ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานมีมูลค่าที่ 3.5 บาทต่อหุ้น ขณะที่ธุรกิจ ICT (ถือหุ้น 40.44% ใน ADVANC, ถือหุ้น 41.14% ใน THCOM) จะมีมูลค่า 25 บาทต่อหุ้น ส่วนอื่น ๆ มีมูลค่าที่ 1.5 บาทต่อหุ้น หลังจากรวมมูลค่าเหล่านี้และปรับสำหรับเงินสดและหนี้สุทธิ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 60.25 บาท

คัด 3 หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่าและมีแนวโน้มธุรกิจที่เติบโต [HoonVision x FynnCorp]

คัด 3 หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่าและมีแนวโน้มธุรกิจที่เติบโต [HoonVision x FynnCorp]

          ในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า ตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญกับโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจเป็นพิเศษ การแข็งค่าของเงินบาทในครั้งนี้เป็นผลจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการลดดอกเบี้ยเช่นกัน แต่เงินบาทยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากปัจจัยเชิงโครงสร้างทางนโยบายการเงินโลกที่ซับซ้อน           ในภาวะที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเช่นนี้ นักลงทุนควรจับตามองหุ้นที่สามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะบริษัทที่มีปัจจัยหนุนด้านธุรกิจแข็งแกร่งในช่วงปลายปีและต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า ซึ่งจะช่วยเสริมแรงบวกจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น SYNEX, AAV และ GULF เป็นหุ้นสามตัวที่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่าและแนวโน้มธุรกิจที่เติบโตในไตรมาสสุดท้ายของปี รวมถึงมีศักยภาพในการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต 1) SYNEX: ผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้า IT ที่พร้อมจะได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลง SYNEX ผู้นำในการจัดจำหน่ายสินค้า IT ในไทย มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่าซึ่งช่วยลดต้นทุนนำเข้าและเพิ่มอัตรากำไร ประกอบกับการเติบโตของตลาด IT จากเทรนด์การทำงานที่บ้านและเรียนออนไลน์ บริษัทมีโอกาสเติบโตทั้งยอดขายและกำไร โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ที่มีเทศกาลช้อปปิ้งและแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ในปี ภาพรวมธุรกิจ บริษัท ซินเน็ค จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าเทคโนโลยีในประเทศไทย โดยจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประเภทคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อพ่วง ซอฟต์แวร์ ระบบสารสนเทศ และอุปกรณ์สื่อสาร บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าจากผู้ผลิตมากกว่า 50 แบรนด์จากต่างประเทศ ตั้งแต่ Apple, Huawei, Nintendo และ Samsung SYNEX มีฐานลูกค้าเป็นผู้ประกอบการประมาณ 5,000 ราย ประกอบไปด้วยผู้วางระบบซอฟต์แวร์ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีกทั่วประเทศ โดย SYNEX มีช่องทางการจำหน่ายครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ และให้บริการจัดส่งสินค้าและบริการหลังการขาย บริษัทมีรายได้รวมในปี 2566 และช่วงครึ่งแรกของปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 36,000 ล้านบาท และ 18,000 ล้านบาทตามลำดับ โดยปกติแล้ว จะมีสัดส่วนรายได้จากการขายอุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ หรือ ระบบไอที มากกว่า 99% ของรายได้ทั้งหมด แผนภูมิแสดงรายละเอียดรายได้และค่าใช้จ่ายของ SYNEX ในปี 2023 โดยมีรายได้หลักจากการขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และไอที มากถึง 36.47 พันล้านบาท คิดเป็น 99.7% ของรายได้ทั้งหมด สัดส่วนของรายได้แยกตามหมวดของสินค้า โดยมีเปอร์เซ็นต์ของช่วงครึ่งปีแรกของ 2024 เป็นสัดส่วนที่อยู่วงนอก ต้นทุนหลักของ SYNEX คือต้นทุนขายสินค้า ซึ่งคิดเป็นประมาณ 93% ของรายได้ เมื่อแบ่งลงไปอีก จะแยกเป็นการจัดซื้อสินค้า 69% จากผู้ผลิตต่างประเทศที่มีฐานการผลิตในไทย และนำเข้า 31% จากผู้ผลิตในต่างประเทศโดยตรง ในด้านการบริหารสินค้าคงคลัง SYNEX ใช้ระบบการสั่งซื้อตามความถี่การขาย โดยสั่งซื้อสินค้าที่มียอดขายสูงอย่างสม่ำเสมอ และสั่งซื้อล่วงหน้าสำหรับสินค้าโครงการหรือสินค้าที่มีระยะเวลาการส่งมอบนานโดยทั่วไป บริษัทได้รับเครดิตเทอม 30-60 วันจากผู้ผลิตในประเทศ และ 30-45 วันจากผู้ผลิตต่างประเทศ ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อเงินบาทแข็งค่า ราคาหุ้นของ SYNEX ก็มักจะปรับตัวขึ้นตามไปด้วย กราฟนี้แสดงให้เห็นว่าการแข็งค่าของเงินบาท (USD/THB ลดลง) มักสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น SYNEX FynnCorp IAS มองว่าการแข็งค่าของเงินบาทส่งผลดีโดยตรงต่อ SYNEX เนื่องจากช่วยลดต้นทุนการนำเข้าสินค้า IT จากต่างประเทศ ซึ่งคิดเป็น 31% ของสินค้าทั้งหมด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิ เหตุใด SYNEX จึงน่าลงทุน? ผลประโยชน์จากเงินบาทแข็งและการเติบโตของตลาด IT: SYNEX ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการลดลงของต้นทุนนำเข้าเมื่อเงินบาทแข็งค่า ในขณะเดียวกัน ความต้องการสินค้า IT ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากเทรนด์การทำงานที่บ้านและการเรียนออนไลน์ ทำให้บริษัทมีโอกาสเติบโตทั้งในด้านยอดขายและอัตรากำไร โอกาสจากยอดขายพุ่งในไตรมาส 4 และการเปิดตัวสินค้าใหม่: ช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปีมักส่งผลให้ยอดขายของ SYNEX เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับแผนการเปิดตัวสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตรุ่นใหม่ในไตรมาส 4 ปี 2567 จะเป็นตัวเร่งสำคัญในการเติบโตของรายได้ ปัจจัยเสี่ยง การแข่งขันที่รุนแรงและการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี: ตลาด IT มีการแข่งขันสูงและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว SYNEX ต้องรักษาความสามารถในการแข่งขันและบริหารสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าล้าสมัย ภาวะเศรษฐกิจและการพึ่งพาซัพพลายเออร์: ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอาจส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ในขณะที่การพึ่งพาซัพพลายเออร์รายใหญ่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความต่อเนื่องของธุรกิจหากเกิดปัญหากับซัพพลายเออร์หลัก 2) AAV: โอกาสจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเงินบาทแข็งค่า AAV ผู้นำสายการบินต้นทุนต่ำในไทย มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเงินบาทแข็งค่าซึ่งช่วยลดต้นทุนดำเนินงานที่อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ เช่น ค่าเช่าเครื่องบินและค่าบำรุงรักษา บริษัทมีโอกาสเติบโตจากแผนขยายเส้นทางบินใหม่ โดยเฉพาะในเส้นทางที่มียอดจองสูง และการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ภาพรวมธุรกิจ บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV เป็นบริษัทแม่ของสายการบินไทยแอร์เอเชีย ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำชั้นนำในประเทศไทยที่ให้บริการทั้งเที่ยวบินภายในประเทศและระหว่างประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2023 AAV มีรายได้จากการดำเนินงานเที่ยวบินหลักอยู่ที่ 41 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 135% จากปี 2022 สะท้อนถึงความสำเร็จในการเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินและการขยายเส้นทางบินใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดการบิน โดยรายได้จากเที่ยวบินภายในประเทศคิดเป็น 60% และระหว่างประเทศคิดเป็น 40% ของรายได้ทั้งหมด ภาพแสดงการกระจายรายได้และค่าใช้จ่ายของ AAV ในปี 2023 โดยรายได้หลักมาจากการดำเนินงานเที่ยวบิน (41.03 พันล้านบาท) ในปี 2566 ต้นทุนหลักของ AAV ประกอบด้วย ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งคิดเป็น 37% ของต้นทุนรวม และยังเป็นต้นทุนที่มีความผันผวนสูงตามราคาน้ำมันโลก นอกจากนี้ยังมี ค่าใช้จ่ายสนามบินและค่าจอดเครื่องบิน คิดเป็น 14% ซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมการใช้สนามบินและการจอดเครื่องบิน และ ค่าบำรุงรักษาและค่าซ่อมแซม คิดเป็น 15% ของต้นทุนรวม เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาเครื่องบินให้พร้อมใช้งานและปลอดภัย ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลดีโดยตรงต่อ AAV เนื่องจากช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เช่น ค่านํ้ามัน, ค่าเช่าเครื่องบิน และค่าบำรุงรักษา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิ เหตุใด AAV จึงน่าลงทุน การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในภูมิภาค: ตลาดการท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2567 AAV อยู่ในตำแหน่งที่ดีในการได้รับประโยชน์จากการเติบโตนี้ ด้วยเครือข่ายเส้นทางบินที่ครอบคลุมและแบรนด์ที่แข็งแกร่งในภูมิภาค การปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน: AAV ได้ดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงและการบริหารจัดการฝูงบิน กลยุทธ์การขยายธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโต: AAV มีแผนขยายเส้นทางบินใหม่ โดยเฉพาะในเส้นทางที่มีศักยภาพสูงและมียอดจองแน่น เช่น เส้นทางไปยังประเทศจีนและญี่ปุ่น การขยายตัวนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มรายได้ แต่ยังช่วยกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ปัจจัยเสี่ยง ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว: แม้ว่าการท่องเที่ยวจะมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก เช่น สถานการณ์โรคระบาด หรือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ที่อาจส่งผลกระทบต่อปริมาณนักท่องเที่ยวในระยะสั้น ความผันผวนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง: แม้ว่าราคาน้ำมันจะมีแนวโน้มลดลง แต่ยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อต้นทุนการดำเนินงานของ AAV การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมการบิน: การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวอาจนำไปสู่การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรมการบิน โดยเฉพาะในด้านราคา ซึ่งอาจกดดันอัตรากำไรของ AAV ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึง 3)  GULF: ผู้นำด้านพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า GULF ผู้นำในธุรกิจพลังงานของไทย กำลังขยายการลงทุนสู่พลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยได้รับประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่าซึ่งช่วยลดภาระหนี้สินในสกุลเงินดอลลาร์และต้นทุนการนำเข้าเทคโนโลยี บริษัทมีโอกาสเติบโตจากแนวโน้มการลดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลกและการเพิ่มขึ้นของความต้องการบริการดิจิทัล โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนและศูนย์ข้อมูล นอกจากนี้ GULF ยังมีความได้เปรียบจากประสบการณ์และเครือข่ายในอุตสาหกรรมพลังงาน ภาพรวมธุรกิจ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เป็นผู้นำในธุรกิจพลังงานของประเทศไทย โดยดำเนินโครงการด้านพลังงานทั้งจากพลังงานฟอสซิลและพลังงานหมุนเวียน ในปี 2566 บริษัทมีรายได้รวมประมาณ 114 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 21% จากปีก่อน โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าและธุรกิจก๊าซธรรมชาติ GULF มีแผนขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล โดยตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานสะอาดและขยายศูนย์ข้อมูล (Data Centers) ในประเทศไทย โดย GULF เองมีแผนที่จะลงทุน มากถึง 1,800 ล้านบาทใน Data Center ในช่วงระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า รายได้หลักของ GULF ในปี 2023 มาจากธุรกิจพลังงานเป็นหลัก คิดเป็น 93% ของรายได้รวม ซึ่งประกอบไปด้วย ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจพลังงานหมุนเวียน รายได้ส่วนอื่นของ GULF จะมาจากโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค, ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และอื่นๆ แผนภูมิแสดงรายได้และค่าใช้จ่ายของ GULF ในปี 2023 โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจพลังงาน เป็น 106.13 พันล้านบาท สิ้นปี 2566 GULF มีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยกว่า 282,626 ล้านบาท โดยเกือบ 18% อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ค่าเงินมีบทบาทสำคัญต่อภาระหนี้ของบริษัท ในปีที่ผ่านมา บริษัทต้องบันทึกขาดทุนทางบัญชี 576 ล้านบาท จากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แม้ว่าจะไม่ใช่การสูญเสียเงินสดจริง แต่ก็ส่งผลต่อการรายงานผลประกอบการ อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินบาทกลับเป็นผลดีต่อ GULF ในแง่ของการจ่ายหนี้ เพราะทำให้ใช้เงินจ่ายน้อยลงเมื่อหนี้อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์ ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลดีต่อ GULF ในหลายด้าน ประการแรก ช่วยลดภาระหนี้สินในสกุลเงินดอลลาร์ ทำให้บริษัทมีโอกาสในการลดต้นทุนทางการเงินและเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ ประการที่สอง ช่วยลดต้นทุนการนำเข้าเทคโนโลยีและอุปกรณ์สำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนและศูนย์ข้อมูล ซึ่งส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังเพิ่มความคล่องตัวในการขยายการลงทุน ทำให้ GULF สามารถเร่งแผนการลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพสูงได้เร็วขึ้น เหตุใด GULF จึงน่าลงทุน โอกาสการเติบโตในธุรกิจพลังงานสะอาดและดิจิทัล: GULF กำลังขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและศูนย์ข้อมูล ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการลดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลกและการเติบโตของความต้องการบริการดิจิทัล การลงทุนในสองธุรกิจที่มีศักยภาพสูงนี้จะช่วยสร้างแหล่งรายได้ใหม่และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ประโยชน์จากการบริหารต้นทุนและหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ: การแข็งค่าของเงินบาทช่วยลดต้นทุนการนำเข้าอุปกรณ์และเทคโนโลยีสำหรับโครงการใหม่ ขณะเดียวกันก็ช่วยลดภาระหนี้สินในสกุลเงินดอลลาร์ เปิดโอกาสให้ GULF สามารถรีไฟแนนซ์หนี้ในอัตราที่ต่ำลง เพิ่มความสามารถในการทำกำไรและการลงทุนในอนาคต ตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมพลังงาน: GULF มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงาน พร้อมด้วยเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการขยายธุรกิจไปสู่พลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล สามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์และความเชี่ยวชาญที่มีอยู่เพื่อสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่ ปัจจัยเสี่ยง ความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐและกฎระเบียบ: การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านพลังงานและดิจิทัลของภาครัฐ รวมถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง อาจส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนและการดำเนินงานของ GULF โดยเฉพาะในโครงการพลังงานหมุนเวียนและศูนย์ข้อมูล ความผันผวนของราคาพลังงานและวัตถุดิบ: แม้ว่า GULF จะกำลังขยายไปสู่พลังงานหมุนเวียน แต่ธุรกิจหลักยังคงเป็นการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ ความผันผวนของราคาก๊าซธรรมชาติและเชื้อเพลิงอื่นๆ อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและความสามารถในการทำกำไร ความท้าทายในการขยายธุรกิจใหม่: การขยายธุรกิจไปสู่พลังงานหมุนเวียนและศูนย์ข้อมูลอาจเผชิญกับความท้าทายในด้านการดำเนินงานและการแข่งขัน เนื่องจากเป็นธุรกิจใหม่ที่ GULF อาจยังไม่มีประสบการณ์มากนัก อาจต้องใช้เวลาในการสร้างความเชี่ยวชาญและส่วนแบ่งตลาด อ่านรายละเอียดเพิ่ม คลิก https://app.visible.vc/shared-update/b7514fb8-becc-4ff0-a481-b1cba459cb46

บล.กรุงศรีคาด GULF กำไรจะเติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี CAGR 2024-26

บล.กรุงศรีคาด GULF กำไรจะเติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี CAGR 2024-26

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.กรุงศรี ได้กลับมาเริ่มต้นวิเคราะห์ GULF โดยให้คำแนะนำ “Trading Buy” ราคาเป้าหมายที่ 56.75 บาท (ก่อนการรวมผลประโยชน์จากการรวมกิจการ) ทั้งนี้ แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และการประเมินมูลค่า (Valuation) ค่อนข้างตึงตัว แต่คาดว่า ROE จะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 7-9% ในปี 2025-2026F (หลังการรวมกิจการ) และคาดว่ากำไรจะเติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี (CAGR 2024-26) ได้รับแรงหนุนจากโครงการใหม่ๆ นอกจากนี้ การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้น 40.44% ใน ADVANC จะช่วยเพิ่มการเติบโตของกำไร CAGR สูงถึง 17% เรามองว่า GULF จะได้รับการปรับมูลค่าใหม่ (Re-rate) หลังจากการรวมผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการเต็มที่ คาดการณ์กำไรเติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี (2-year 2024-26F CAGR)           เราคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 19% ในปี FY24F, 13% ในปี FY25F และ 11% ในปี FY26F โดยได้รับแรงหนุนหลักจากโครงการพลังงานใหม่ๆ อัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นจาก INTUCH และอื่นๆ การวิเคราะห์ความไว (Sensitivity Analysis) ของเราชี้ว่าการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้น 40.4% ใน ADVANC จะสามารถเพิ่มรายได้ในปี FY25F ได้ 10% และในปี FY26F ได้ 9% ส่งผลให้อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีเพิ่มขึ้นเป็น 17% การลงทุน 3 แสนล้านบาทจะเพิ่ม CAGR ของกำไรสุทธิเป็น 44-54%           การเติบโตที่แข็งแกร่งจากการขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน และจากการที่อัตราส่วนหนี้สินดอกเบี้ยต่อทุน (IBDE) จะลดลงเหลือ 0.7-0.8x ในปี 2025F (หลังการรวมกิจการ) หมายความว่าบริษัทสามารถก่อหนี้ได้ประมาณ 3 แสนล้านบาท เราคาดว่าเงินจำนวนนี้จะถูกลงทุนในพลังงานหมุนเวียนซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปี 2026 และจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1-1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเทียบเท่ามูลค่าหุ้นตามกระแสเงินสดส่วนลด (DCF) ที่ประมาณ 11-18 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้การเติบโตเฉลี่ยต่อปี (2-year 2024-2026F CAGR) อยู่ที่ระดับ 44-54% ราคาเป้าหมายที่ 56.75 บาท (ก่อนการรวมผลประโยชน์) จากวิธี SOTP (2025F)           เราประเมินมูลค่าธุรกิจพลังงานของ GULF ที่ 27.5 บาทต่อหุ้น (DCF สมมติฐาน Beta 1.2, Rf 2.5%, market risk premium 8%) ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานมีมูลค่า 3.5 บาทต่อหุ้น ขณะที่ธุรกิจ ICT (ถือหุ้น 40.44% ใน ADVANC และถือหุ้น 41.14% ใน THCOM) จะมีมูลค่า 24.5 บาทต่อหุ้น ส่วนอื่นๆ มีมูลค่า 1.5 บาทต่อหุ้น เมื่อรวมมูลค่าเหล่านี้และปรับสำหรับเงินสดและหนี้สินสุทธิ ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 56.75 บาท

ROJNA คาด Q3 กำไรดีด 628% รับอานิสงส์ GULF เต็มๆ   

ROJNA คาด Q3 กำไรดีด 628% รับอานิสงส์ GULF เต็มๆ   

           หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี คาด ROJNA กำไรสุทธิ 1.9 พันล้านบาทใน 3Q24F เพิ่มขึ้น 628% yoy และ 210% qoq หากไม่รวมกำไรพิเศษ 1.6 พันล้านบาท กำไรธุรกิจหลักจะอยู่ที่ 332 ล้านบาท ลดลง 22% yoy และ 55% qoq จากกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าชะลอตัวลง กำไรธุรกิจหลักใน 9M24F เป็น 1.3 พันล้านบาท ลดลง 10% yoy และคิดเป็น 62% ของประมาณการ FY24F  บริษัทจะประกาศผลการดำเนินงานวันที่ 14 พ.ย.            คาดกำไรจะสูงขึ้น qoq ใน 4Q24 และการซื้อที่ดินจะเป็นปัจจัยหนุนยอดขายในอนาคต พร้อมมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย บริษัทจะรับรู้กำไรจากการขายที่ดินของบริษัทร่วมทุน TRA ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" ยอดขายที่ดินชะลอตัวใน 3Q24            ROJNA มียอดขายที่ดิน 107 ไร่ใน 3Q24 ส่วนใหญ่เป็นโครงการในจังหวัดชลบุรี ส่งผลให้ยอดขายที่ดินใน 9M24 อยู่ที่ 817 ไร่ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทที่ 1,000+ ไร่ แต่อาจน้อยกว่าคาดการณ์ที่ 1,870 ไร่ คาดกำไรสุทธิ 3Q24F จะเติบโตโดดเด่น 628% yoy และ 210% qoq เป็น 1.9 พันล้านบาท หนุนจากกำไรจากการบันทึกราคาตลาดหุ้น GULF และ Frazer Logistics & Commercial Trust 1.5 พันล้านบาท และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 127 ล้านบาท กำไรธุรกิจหลักจะลดลง 22% yoy และ 55% qoq เป็น 332 ล้านบาทจากกำไรโรงไฟฟ้าลดลง กำไรธุรกิจหลัก 9M24F จะเป็น 1.3 พันล้านบาท (-10% yoy) ซึ่งคิดเป็น 62% ของกำไร FY24F            กำไรขั้นต้นของนิคมจะเพิ่มขึ้น 5% yoy แต่ลดลง 33% qoq เป็น 500 ล้านบาทใน 3Q24F เติบโต yoy จากยอดโอนที่สูงขึ้น (+9% yoy เป็น 300 ไร่ใน 3Q24) ซึ่งชดเชยกับอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเป็น 37% เทียบกับ 41.2% ใน 2Q เนื่องจาก product mix การลดลง qoq เนื่องจากยอดโอนลดลง (-19% qoq เป็น 300 ไร่) แม้อัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้น 0.5%            กำไรขั้นต้นของธุรกิจไฟฟ้าจะลดลง 33% yoy และ 24% qoq เป็น 268 ล้านบาทใน 3Q24F กำไรขั้นต้นลดลง yoy เนื่องจากอัตรา Ft เฉลี่ยลดลง (0.4405 บาทใน 3Q23 เทียบกับ 0.3972 บาทใน 3Q24) เทียบกับต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงเล็กน้อย (342 บาท/MMbtu ใน 3Q23 เป็น 340 บาท/MMbtu ใน 3Q24) กำไรขั้นต้นลดลง qoq เนื่องจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติสูงขึ้นเทียบกับ 305 บาท/MMbtu ใน 2Q24 ในขณะที่อัตรา Ft ทรงตัว ราคาเป้าหมาย 9.2 บาท             คาดว่ากำไรธุรกิจหลักจะเพิ่มขึ้น qoq ใน 4Q24F จากกำไรธุรกิจไฟฟ้าที่ดีขึ้น (ต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลง) และยอดโอนที่ดินที่คาดว่าจะสูงขึ้นใน 4Q24F บริษัทซื้อที่ดิน 1,350 ไร่สำหรับนิคมอุตสาหกรรมโรจนะหนองใหญ่ 2 เพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้น ซึ่งมีอัพไซด์ต่อราคาเป้าหมาย บริษัทร่วมทุน TRA (ROJNA ถือหุ้น 25%) วางแผนขายที่ดิน 300-500 ไร่ (จาก 4,600 ไร่) ริมถนนบางนา-ตราด กม.32 คาดว่าราคาตลาดจะสูงกว่าต้นทุน ดังนั้น TRA และ ROJNA จะบันทึกกำไรจากการขายที่ดิน

GULF ฉลุยควบ INTUCH จับตาหนุนธุรกิจโตแกร่ง

GULF ฉลุยควบ INTUCH จับตาหนุนธุรกิจโตแกร่ง

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี รายงานว่า เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา GULF ได้จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) เพื่อพิจารณาการควบรวมกิจการกับ INTUCH โดยผลการลงคะแนนเสียงแสดงให้เห็นว่ามีผู้ถือหุ้นร้อยละ 99.9931 หรือประมาณ 10,497 ล้านเสียงที่สนับสนุนการควบรวม ขณะที่มีเพียง 0.0068% หรือ 715,100 เสียงที่ไม่เห็นด้วย เรามีมุมมองบวกจากค่าใช้จ่ายในการซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านไม่เป็นสาระสำคัญและไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของบริษัท           Our view: การซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านไม่เป็นสาระสำคัญ เพื่อให้เป็นไปตามพรบ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 GULF จะต้องเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านในราคาตลาดในวันที่ทำการสุดท้ายก่อนการประชุม ซึ่งในกรณีนี้คือราคาปิดในวันที่ 2 ตุลาคม 2567 หรือ 56.50 บาท ทำให้ค่าใช้จ่ายในการซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านอยู่ที่เพียง 40.4 ล้านบาท หรือ 0.0085% ของสินทรัพย์รวมของ GULF ณ สิ้นมิ.ย. 2567 เท่านั้น เราจึงมีมุมมองบวกต่อ GULF ที่จะทำให้การควบรวมกิจการกับ INTUCH ไปสู่ขั้นตอนต่อไปได้           สำหรับขั้นตอนต่อไป GULF และ INTUCH จะดำเนินการส่งหนังสือแจ้งเจ้าหนี้ของ GULF และ INTUCH ภายใน 14 วัน หลังวัน EGM และให้ส่งคำคัดค้านภายในสองเดือนนับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติ และเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนการทำธุรกรรมการทำ VTO ใน ADVANC และ THCOM สำเร็จครบถ้วน (หรือได้รับการผ่อนผัน) โดยเงื่อนไขที่สำคัญคือการขอ consent จากเจ้าหนี้ของทั้งสองบริษัท รวมถึงการขอ consent จาก third party ของบริษัทในกลุ่ม และการจัดหาเงินทุนสำหรับ VTO จึงจะเริ่มทำ VTO ของ ADVANC และ THCOM ในช่วง 4Q24-1Q25 นอกจากนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นช่วงที่ผู้รับซื้อหุ้นของ GULF และ INTUCH จากผู้ถือหุ้นที่คัดค้าน (หรืออาจจะดำเนินการก่อนช่วง VTO) โดยราคารับซื้อหุ้น GULF จะอยู่ที่ 56.50 บาท และ INTUCH อยู่ที่ 91 บาท (ราคารับซื้อเดิมของ GULF คือ 45 บาท และ INTUCH คือ 76 บาท ทั้งนี้จากราคา หุ้นที่เกินกว่าที่กำหนดจะเป็นดุลพินิจของผู้รับซื้อหุ้นว่าจะรับซื้อหรือไม่ หากไม่รับซื้อ ทั้ง GULF และ INTUCH ต้องหาผู้มารับซื้อใหม่)           Consensus ราคาเป้าหมายเฉลี่ยอยู่ที่ 57.3 บาท แนะนำซื้อ GULF เทรดอยู่ที่ premium เทียบกับคู่แข่ง โดยจากข้อมูล consensus คือเทรดอยู่ที่ 2024F PBV ที่ 5 เท่า PER ที่ 36 เท่า และมี ROE สูงอยู่ที่ 12% เรามองการประเมินมูลค่าเหมาะสมได้รับการสนับสนุนจากกลยุทธ์ของบริษัทที่จะมีการเติบโตทั้งในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และในธุรกิจโทรคมนาคมผ่าน INTUCH, ADVANC และ THCOM หลังการควบรวมกิจการ

โบรกแนะซื้อ

โบรกแนะซื้อ "INTUCH" มองบวกหากควบรวม ADVANC - GULF

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ระบุว่า ราคาหุ้น INTUCH พุ่งขึ้นอย่างมากในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา แต่ยังคงแนะนำให้ซื้อ INTUCH ปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 98 บาทเป็น 105 บาท (อิงจาก discount NAV ราว 5% ของ ADVANC) เพื่อสะท้อนราคาเป้าหมายที่สูงขึ้น สำหรับ ADVANC การลงทุนใน INTUCH ที่ราคาปัจจุบันสะท้อนถึง EPS ที่เติบโตโดดเด่นในไตรมาส 3 ปี 2567 (พร้อมกับแนวโน้มการปรับประมาณการขึ้น) เช่นเดียวกับเงินปันผลอย่างน้อย 6 บาท หากบริษัทได้รับการอนุมัติในการควบรวมกับ GULF ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นวันนี้ ณ ราคาปัจจุบัน ผลตอบแทนจากเงินปันผลน่าสนใจที่ระดับ 6.4% คาดกำไร 3Q67 อยู่ที่ 3.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% yoy แต่ทรงตัว qoq           ปัจจัยหนุนจากผลดำเนินงานของ ADVANC เนื่องจาก INTUCH มีธุรกิจด้านการลงทุนในธุรกิจเพียงไม่กี่รายการในพอร์ตโฟลิโอ เราคาดว่า ADVANC จะมีกำไร 3.45 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่คงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งถือว่าแข็งแกร่ง เนื่องจากกำไรโดยปกติจะอ่อนตัวลงตามฤดูกาลในไตรมาส 3 โดยลดลง 5-10% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ปีนี้ผลกระทบตามฤดูกาลจะน้อยลง เนื่องจาก ARPU ที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากการแข่งขันที่ลดลง (ดูรายละเอียดในคาดการณ์ผลประกอบการ ADVANC 30/09/2567) มีแนวโน้มปรับกำไรปี 2567 ขึ้นจาก 13.5 พันล้านบาท จากแนวโน้มกำไรของ ADVANC           กำไร 9 เดือนแรกอยู่ที่ 75% ของการคาดการณ์กำไรทั้งปี มี upside risk ต่อการประมาณการของเรา เนื่องจากเราคาดหวังกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นจาก ADVANC ในไตรมาส 4 เนื่องจากเป็นช่วง High season เราคงประมาณการเติบโตของกำไร 16% สำหรับปี 2567 และ 6% สำหรับปี 2568 เราคาดว่า INTUCH จะประกาศเงินปันผลอีกสองครั้งในปีนี้ - เงินปันผลพิเศษ 4 บาท ตามการอนุมัติให้ควบรวมกับ GULF ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นวันนี้ (3 ตุลาคม 2567) และ 2 บาทสำหรับผลประกอบการครึ่งหลังของปี 2567 แนะนำซื้อ ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 105 บาท จาก 98 บาท           ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 105 บาท (จาก 98 บาท) จากการปรับราคาเป้าหมายของ ADVANC เรามีมุมมองเชิงบวกหากมีการอนุมัติการควบรวมกิจการ โดยจะได้ประโยชน์จากผลดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งยังได้รับเงินปันผลพิเศษ 6 บาท ซึ่งคิดเป็นเงินปันผลราว 6%

“โกลเบล็ก” คัดหุ้นธีมลงทุน Data Center

“โกลเบล็ก” คัดหุ้นธีมลงทุน Data Center

          กรุงเทพฯ - บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทย Sideway Up จากแรงหนุนเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ 1 เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 1 ต.ค. และเริ่มซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 7 ต.ค. และล่าสุด Google ประกาศแผนลงทุน Data Center ในไทย หนุนดัชนีในเดือนตุลาคมเคลื่อนไหวในกรอบ 1,400-1,480 จุด และกลยุทธ์ลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุน Data Center ได้แก่ WHA, ADVANC, GULF, TRUE และ INSET           นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนตุลาคม 2567 มีโอกาสปรับตัวขึ้นในลักษณะ Sideway Up โดยมีแรงหนุนจากเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ 1 เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 1 ต.ค. และเริ่มซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 7 ต.ค.ประกอบกับมีแรงหนุนจาก Google ประกาศแผนลงทุน Data Center ในประเทศไทย 3.6 หมื่นล้านบาทภายในปี 2572 จึงให้กรอบดัชนีที่ 1,400-1,480 จุด           นอกจากนี้ทาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าระหว่างวันที่ 1-7 ต.ค. 2567 ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดในวันชาติจีน (Golden Week) จะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทยประมาณ 1.32-1.83 แสนคน เพิ่มขึ้น 57-144% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 คาดว่าจะสร้างรายได้ทาง การท่องเที่ยวประมาณ 3,710-5,180 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 58-121%           ขณะที่ทางธนาคารกลางจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ทั้งลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ระยะ 1 ปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีน ลง 0.30% สู่ระดับ 2.00% ลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.50% สู่ระดับ 6.6% ซื้อคืนพันธบัตร (reverse repo) ระยะ 7 วัน มูลค่า 1.82 แสนล้านหยวน (ราว 2.596 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่อัตราดอกเบี้ย 1.5% เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงิน  รวมทั้งสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเดิมที่ยังผ่อนไม่หมด (existing home loan) ก่อนวันที่ 31 ต.ค. เพื่อฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์           ด้านปัจจัยในประเทศที่ยังคงต้องจับตาต่อ ได้แก่ วันนี้ (2 ต.ค.) จะมีการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.), วันที่ 7 ต.ค. กองทุนวายุภักษ์ เริ่มซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์, สัปดาห์ที่ 2 กระทรวงพาณิชย์แถลงดัชนีเศรษฐกิจการค้า  สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและอัพเดตสถานการณ์ลงทุน, สัปดาห์ที่ 2 หอการค้าไทยร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย, สัปดาห์ที่ 3 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม, วันที่ 16 ต.ค. ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 5/2567, สัปดาห์ที่ 4 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์, กระทรวงพาณิชย์แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย, สัปดาห์ที่ 5 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค  ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค, สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) แถลงดัชนีอุตสาหกรรม, วันที่ 30 ต.ค.รายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ฉบับย่อ และวันที่ 31 ต.ค. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย           ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่น่าจับตาวันที่ 1-7 ต.ค. ตลาดหุ้นจีนปิดทำการเนื่องในวันชาติจีน,วันนี้ (2 ต.ค.) อียู รายงานอัตราว่างงานเดือนส.ค., สหรัฐ รายงานตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ย. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์, วันที่ 3 ต.ค. สหรัฐ รายงานดัชนีภาคบริการเดือนก.ย., วันที่ 4 ต.ค. สหรัฐ รายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย., วันที่ 23 ต.ค. สำนักข่าว CNN จัดโต้วาทีครั้งที่ 2 สำหรับผู้เข้าชิงตำแหน่งปธน.สหรัฐ, วันที่ 5 พ.ย. วันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐและ วันที่ 6-7 พ.ย. ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ           ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุน Data Center  ได้แก่ WHA, ADVANC, GULF, TRUE และ INSET           ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก ประเมินแนวโน้มราคาทองคำในเดือนตุลาคมว่า ราคาทองคำมีโอกาสพักตัว โดยให้ระวังแรงขายทำกำไรหลังประธานเฟดส่งสัญญาณไม่รีบร้อนในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากตัวเลขเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมามีสัญญาณชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง  ทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งต่อไป อย่างไรก็ตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง และปัจจัยทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ยังคงเป็นปัจจัยหนุนทองคำ มองกรอบทองคำเดือนนี้ 2,530 – 2,700 $/Oz คาดว่ามีโอกาสทดสอบแนวรับ

SET มีแรงกดดัน จับตาแนวรับ 1445-1470 จุด มอง PTTEP และ GULF เด่น

SET มีแรงกดดัน จับตาแนวรับ 1445-1470 จุด มอง PTTEP และ GULF เด่น

          หุ้นวิชั่น- คาด SET ได้รับ sentiment ลบ จากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังอิหร่านโจมตีอิสราเอล ทําให้มองกรอบบนยังถูกจํากัดที่แนวต้าน 1470 จุด อย่างไรก็ตาม คาดเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ช่วยประคองดัชนี ทําให้มองกรอบล่างบริเวณแนวรับ 1445-1450 จุด ยังรองรับได้ ทั้งนี้ คาดดัชนีจะ เคลื่อนไหวระหว่างกรอบ 1445-1470 จุด หุ้นเด่นวันนี้ PTTEP: มองราคาน้ำมันที่แข็งแกร่งในระยะสั้นจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น อีกทั้งราคาหุ้นยังคงปรับขึ้นช้ากว่าราคาน้ำมัน และเป็นหุ้นที่เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากกรณีกังวลความไม่สงบในตะวันออกกลาง ขณะที่ผลการดำเนินงานและงบดุลของบริษัทยังแข็งแกร่ง โดยปี 2567 คาดมีกำไรปกติ 8.27 หมื่นล้านบาท เติบโต 5% YoY ทั้งนี้ แนะนำราคาเข้าซื้อวันนี้ไม่เกิน 132.50 บาท GULF: ครึ่งหลังปี 2567 คาดกำไรปกติจะเติบโตแกร่งจากกำลังผลิตใหม่ที่เข้ามาเพิ่ม อาทิ โรงไฟฟ้า IPP ใหม่ GDP หน่วยที่ 4 (662.5 MW) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลายโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา อีกทั้งยังมองบวกต่อดีลควบรวมระหว่าง GULF และ INTUCH นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่เข้าสู่ขาลง และ Valuation น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ PER ปี 2567 ที่ 33 เท่า (-1.0 SD) ที่มา:บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด

INSET พร้อมเติบโตตามอุตสาหกรรม Data Center

INSET พร้อมเติบโตตามอุตสาหกรรม Data Center

          หุ้นวิชั่น - INSET พร้อมเติบโตตามการขยายตัวของอุตสาหกรรม Data Center โดยในอีก 4-5 ปีข้างหน้า เราคาดว่าอุตสาหกรรมนี้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจดิจิทัลและ AI ที่มีบทบาทสำคัญในทุกภาคส่วน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้บริษัทรับงานก่อสร้าง Data Center มากขึ้น คาดว่าจะเริ่มเห็นการประมูลโครงการตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป แต่การรับรู้รายได้จะเกิดขึ้นในปี 2569           นายศักดิ์บวร พุกกะณะสุต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET เปิดเผยกับ หุ้นวิชั่น ว่า อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยล่าสุด Google ได้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 35,000 ล้านบาท ในประเทศไทยระหว่างปี 2568-2572 เพื่อสร้าง Data Center และ Cloud Region แห่งใหม่ ซึ่งเป็นการลงทุนสำคัญที่ช่วยผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้           การลงทุนนี้ไม่เพียงแต่จะยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีในประเทศ แต่ยังเปิดโอกาสให้ประเทศไทยรองรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจดิจิทัลขั้นสูง เช่น 5G, ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI), คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud), Internet of Things (IoT) และ Smart City           นอกจากนี้ การสร้าง Data Center และ Cloud Region ของ Google ยังช่วยดึงดูดผู้ประกอบการด้านบริการข้อมูลระดับโลกเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากประเทศมีความโดดเด่นในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน อัตราค่าไฟฟ้าที่แข่งขันได้ และการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุนของผู้ประกอบการยุคใหม่           สำหรับ INSET ซึ่งให้บริการก่อสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) บริษัทมีความเชี่ยวชาญในด้านการออกแบบและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ Data Center ที่รองรับ Big Data, เทคโนโลยี 5G, Cloud Computing และระบบ AI การขยายตัวของผู้ให้บริการดิจิทัลและคลาวด์ในระดับโลกทำให้เกิดความต้องการ Data Center ที่มีประสิทธิภาพสูงและมีเสถียรภาพ ซึ่ง INSET สามารถตอบโจทย์นี้ได้           ด้วยความพร้อมของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในโครงการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล INSET อยู่ในตำแหน่งที่ดีในการเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้าง Data Center ทั้งจาก Google และผู้ให้บริการเทคโนโลยีรายใหญ่อื่นๆ บริษัทคาดว่าจะเข้าร่วมการประมูลงานตั้งแต่ปลายปีนี้ไปจนถึงปีหน้า มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรม โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการเหล่านี้ในปี 2569           อนึ่ง INSET เป็นผู้ให้บริการก่อสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ, ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโครงข่ายโทรคมนาคม และธุรกิจซ่อมบำรุงและให้บริการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม ส่วนความเห็นนักวิเคราะห์           กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้จะสร้างโอกาสให้ไทยในช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทยมีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G, 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจจากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด           จากการรวบรวมตัวเลขโดย KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขึ้นในประเทศหลักๆ เราประเมินว่าปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 200,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุนในช่วง 4-5 ปี จะส่งผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมประโยชน์ด้านดิจิทัลอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกมากมายต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S-Curve ใหม่ของไทย และเป็น Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว ซึ่งเชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP มุมมองเชิงกลยุทธ์           ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5 ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF, INTUCH, ADVANC, TRUE, INSET, DELTA, STPI (Non-Coverage)           กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะยาวที่จะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8, BBIK           ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาสฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI ซึ่งเราคาดไม่ต่างจากยุค 3G, 4G ที่เคยหนุนหุ้นที่ได้ประโยชน์ อาทิ HANA, ADVICE (Non-Coverage), SYNEX (Non-Coverage) Best Picks: GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE ที่มา : บล.กรุงศรี

GULF จ่ายไฟฟ้า GPD หน่วย4 ผลิต 662.5 MW

GULF จ่ายไฟฟ้า GPD หน่วย4 ผลิต 662.5 MW

          หุ้นวิชั่น - นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 บริษัท กัลฟ์ พีดี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ และเป็นผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ พีดี (“GPD”) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 4 ซึ่งเป็นหน่วยการผลิตสุดท้ายของโครงการ มีกำลังการผลิตติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ โดยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (“กฟผ.”) เป็นที่เรียบร้อยตามกำหนด (โดยหน่วยผลิตที่ 1 - 3 มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,987.5 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2566, 1 ตุลาคม 2566 และ 31 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ตามลำดับ)           โครงการโรงไฟฟ้า GPD ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ปลวกแดง) อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง เป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ (Independent Power Producer: IPP) ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ภายใต้บริษัท อินดิเพนเดนท์ พาวเวอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (“IPD”) ซึ่งถือหุ้นในโรงไฟฟ้า IPP จำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 5,300.0 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ เอสอาร์ซี (“GSRC”) ซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ครบทุกหน่วยการผลิตเป็นที่เรียบร้อยแล้วในปี 2565 และโครงการ GPD ซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ครบทุกหน่วยการผลิตเป็นที่เรียบร้อยแล้วในปัจจุบัน โดยทั้งสองโครงการมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งโครงการละ 2,650.0 เมกะวัตต์ (แบ่งเป็น 4 หน่วยผลิต หน่วยผลิตละ 662.5 เมกะวัตต์) และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เป็นระยะเวลา 25 ปี

วิพากษ์หุ้นโรงไฟฟ้า ใครจะได้ประโยชน์หลัก

วิพากษ์หุ้นโรงไฟฟ้า ใครจะได้ประโยชน์หลัก

          หุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี คาดว่า GULF จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลัก ตามมาด้วย GUNKUL, BGRIM และ GPSC เราคง ‘NEUTRAL’ สำหรับกลุ่ม เนื่องจากการประเมินมูลค่า (valuation) ปัจจุบัน ได้ถูกสะท้อนข่าวดีไปในราคาแล้ว จากการที่ กกพ. เดินหน้าเปิดประมูลรอบที่ 2 สำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนรวม 3.6 GW โดยจะประเมินข้อเสนอจากผู้สมัครจำนวน 198 รายตามคะแนนคุณภาพโดยไม่ต้องแก้ไขข้อเสนอขายไฟฟ้า และจะประกาศผลคัดเลือกภายในสิ้นปีนี้           ด้วยการประมูลรอบที่สองสำหรับกำลังการผลิตรวม 3.6 กิกะวัตต์ภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในรอบนี้จะประกอบด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ 2,632 เมกะวัตต์, พลังงานลม 1,000 เมกะวัตต์, พลังงานชีวมวล 6.5 เมกะวัตต์, และพลังงานจากของเสียอุตสาหกรรม 30 เมกะวัตต์ เพื่อดึงดูดผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้ามากขึ้น กกพ. มีแผนจัดสรรโควตาให้กับผู้ประมูลที่ไม่ได้รับโครงการในรอบแรกเป็นการเฉพาะ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน จะมีกฎระเบียบใหม่ในการจัดซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนภายใต้ระบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565-2573 ซึ่งรวมถึงการซื้อเพิ่มเติมจากผู้สมัคร 198 รายที่เคยผ่านเกณฑ์ความพร้อมทางเทคนิคมาแล้ว แต่ไม่ได้รับการคัดเลือกเนื่องจากปริมาณการจัดซื้อเต็มแล้ว กกพ. จะประเมินการซื้อไฟฟ้าจากคะแนนคุณภาพโดยไม่ต้องแก้ไขข้อเสนอเดิม โดยจำกัดที่ 600 เมกะวัตต์สำหรับพลังงานลม และ 1,580 เมกะวัตต์สำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนพื้นดิน คาดว่าจะประกาศผู้ชนะการประมูลภายในสิ้นปี 2567           หากอ้างอิงถึงผลผู้ชนะการประมูลในรอบแรกและจำนวนเมกะวัตต์ที่ยังไม่ผ่านรอบแรกของแต่ละบริษัท เราคาดว่า GULF (Unrated) จะได้ประโยชน์มากที่สุด ตามมาด้วย GUNKUL, BGRIM, GPSC ทั้งนี้ในรอบแรก GULF ชนะการประมูลคิดเป็น 38% ของการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 5.2 GW ตามมาด้วย GUNKUL (16%), SSP (3.3%), BGRIM (3.1%), WHAUP (2.4%), GPSC (0.15%) และอื่นๆ (37%) เรามองว่าการเดินหน้าและมีความชัดเจนนี้จะส่งผลบวกต่อกระบวนการรับรองไฟฟ้าสีเขียวตามแนวทาง Utility Green Tariff (UGT) ของ กกพ. ที่ต้องอาศัยการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในโครงการรับซื้อไฟฟ้าเช่นกัน ที่ถ้าได้ข้อสรุปจะสามารถประเมินผลตอบแทนได้ชัดเจนขึ้นต่อการลงทุนดังกล่าว           บล.กรุงศรี มีมุมมอง Neutral สำหรับกลุ่ม โดยคงคำแนะนำ Trading Buy ต่อ BGRIM (TP Bt27), GPSC (TP Bt50), BCPG (TP Bt8.20), EGCO (TP Bt137) และคำแนะนำ Buy ต่อ GUNKUL (TP Bt3.85)

GULF ตั้ง Gulf Edge Services บริหารธุรกิจคลาวด์ รุกขยายกลุ่มดิจิทัล

GULF ตั้ง Gulf Edge Services บริหารธุรกิจคลาวด์ รุกขยายกลุ่มดิจิทัล

          หุ้นวิชั่น-นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2567 เรื่องการลงนามในสัญญาความร่วมมือระหว่างบริษัท กัลฟ์ เอดจ์ จำกัด (“Gulf Edge”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 กับบริษัท กูเกิล เอเชีย แปซิฟิก จำกัด (“Google”) เพื่อดำเนินธุรกิจการให้บริการระบบคลาวด์ Google Distributed Cloud air-gapped (“GDC air-gapped”) สำหรับองค์กรในประเทศไทยนั้น           เนื่องจาก Gulf Edge มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding company) โดยปัจจุบันถือหุ้นใน บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ จำกัด บริษัท กัลฟ์ ไฟแนนซ์ จำกัด และ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนและคล่องตัวในการบริหารจัดการธุรกิจคลาวด์ของกลุ่มบริษัทฯ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 บริษัทฯ จึงได้จัดตั้งบริษัท กัลฟ์ เอดจ์ เซอร์วิสเซส จำกัด (“Gulf Edge Services”) ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทยด้วยทุนจดทะเบียน 10,000,000 บาท และเป็นบริษัทย่อยที่ Gulf Edge ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 โดย Gulf Edge Services มีวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการธุรกิจคลาวด์ และให้บริการที่เกี่ยวข้องแก่ลูกค้า เพื่อสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มธุรกิจดิจิทัลของบริษัทฯ ต่อไป

GULF ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเสนอขายหุ้นกู้รวม 25,000 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุน

GULF ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเสนอขายหุ้นกู้รวม 25,000 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุน

          เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้ออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกัน มูลค่ารวมทั้งสิ้น 25,000 ล้านบาท โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน (Institutional Investors) และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่เป็นจำนวนมาก โดยแสดงความจำนงในการจองหุ้นกู้ของบริษัทฯ มากถึง 1.96 เท่าของจำนวนที่ประสงค์จะเสนอขาย (Oversubscription) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพและความแข็งแกร่งของบริษัทฯ สำหรับหุ้นกู้ที่บริษัทฯ เสนอขายในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 5 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.89% ต่อปี มูลค่า 2,500 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.15% ต่อปี มูลค่า 2,687 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.28% ต่อปี มูลค่า 10,013 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.53% ต่อปี มูลค่า 4,800 ล้านบาท และ หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.76% ต่อปี มูลค่า 5,000 ล้านบาท โดยเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยคงที่เท่ากับ 3.37% และอายุเฉลี่ยหุ้นกู้เท่ากับ 6.08 ปี           ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ในระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” และหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับในระดับ “A” แนวโน้ม “คงที่” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้งให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ซึ่งได้เปิดจองซื้อหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 23-25 กันยายน 2567 และได้ออกหุ้นกู้ในวันที่ 26 กันยายน 2567           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้ว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นกู้จะยังคงมีความผันผวน ท่ามกลางความกังวลและความระมัดระวังในการลงทุนในหุ้นกู้ของนักลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาดจากนักลงทุน โดยยอดจองซื้อเกินกว่าจำนวนที่เสนอขายเกือบ 2 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ และการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจของบริษัทฯ โดยการระดมทุนดังกล่าว ส่วนหนึ่งจะนำไปคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในเดือนกันยายน อีกส่วนหนึ่งนำไปคืนหนี้สินระยะสั้นของบริษัทฯ และส่วนที่เหลือเพื่อรองรับการขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ ต่อไป บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในหุ้นกู้ของบริษัทฯ และขอขอบคุณผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ร่วมทั้ง 7 สถาบันที่มีบทบาทสำคัญในการจัดจำหน่ายหุ้นกู้จนประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมในครั้งนี้"

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456