ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#Fed


บล.พาย แนะกลยุทธ์เด็ด คัดหุ้นถูก - ปันผลสูง เช็ก!

บล.พาย แนะกลยุทธ์เด็ด คัดหุ้นถูก - ปันผลสูง เช็ก!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า Pi Daily ผลประชุม FED อาจสะท้อนถึง Stagflation ในสหรัฐฯ ตลาดจึงคาดหวังถึงการผ่อนคลายในระยะถัดไป หากเงินเฟ้อไม่ร้อนแรงจนเกินไป FED ก็อาจลดดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้ง เป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นระยะสั้น แต่ทองคำยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง           ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 383 จุด (+0.92%) หลังจาก FED มีมติคงดอกเบี้ยตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ พร้อมส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.3% หลังสหรัฐฯรายงานสต็อกน้ำมันดิบลดลง           เมื่อคืนที่ผ่านมา FED ได้คงดอกเบี้ยไว้ระดับเดิม สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์กันไว้ อย่างไรก็ตามมุมมองต่อเศรษฐกิจเริ่มเปลี่ยนไปเพราะประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯจะขยายตัวเพียง 1.7%YoY จากคาดการณ์ครั้งก่อนหน้าที่ 2.1%YoY พร้อมกับปรับเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 2.7%YoY จากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 2.5%YoY โดยประเมินดอกเบี้ยปลายปี 25 ไว้ที่ 3.9% ปัจจุบันค่ากลางของดอกเบี้ย FED อยู่ที่ 4.4% หากค่าเฉลี่ยดอกเบี้ยปลายปีอยู่ที่ 3.9% ก็เท่ากับว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ซึ่งอาจแบ่งเป็น 0.25% 2 ครั้ง โดยเท่ากับประมาณการครั้งก่อนหน้าในการประชุมเดือน ธ.ค. 24 แต่อย่างไรก็ตามจุดน่าสนใจคือทิศทางต่อเศรษฐกิจที่ดูอ่อนแรงลง ก็เป็นไปได้ที่หากเงินเฟ้อลดลงได้ผลจากสงครามการค้ามิได้แรงมากนัก อาจะเห็นการลดดอกเบี้ยที่มากกว่า 2 ครั้งก็เป็นไปได้ เพราะภาวะดังกล่าวกำลังสะท้อนว่า FED มองเศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ Stagflation (เศรษฐกิจโตต่ำ เงินเฟ้อขยายตัวสูง) ถ้อยแถลงของประธาน FED ระบุไว้ว่าการเกิดเศรษฐกิจถดถอยนั้นแม้นักวิเคราะห์หลายคนจะปรับเพิ่มโอกาสเกิด แต่สำหรับ FED นั้นการที่เศรษฐกิจตกต่ำแรงโอกาสเป็นไปได้ยังต่ำ สำหรับการขึ้นกำแพงภาษีกับประเทศต่างๆของทรัมป์ FED มองว่ามาตรวัดความคาดหวังเงินเฟ้อในระยะสั้นบางตัวปรับสูงขึ้นเพราะทาง FED เห็นสิ่งนี้ทั้งตลาดและผู้ตอบแบบสำรวจ โดยการบริหารทิศทางนโยบายการเงินจากนี้หากเกิดเหตุไม่คาดคิดเช่นอัตราการว่างงานขยับขึ้นสูงหรือเงินเฟ้อลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้ก็สามารถผ่อนปรนนโยบายได้ หลังจากทราบข้อมูลทั้งหมดพบว่า US Bond Yield ปรับลง สะท้อนมุมมองผ่อนคลายนโยบายจากนักลงทุนและ CME FED Watch ให้น้ำหนักลดดอกเบี้ยครั้งถัดไปในช่วง มิ.ย.           ทั้งนี้ระยะสั้นเป็นบวกกับกลุ่มการเงิน (MTC TIDLOR) ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้ SET ปรับขึ้นมาปิดบวก 1.1% และเป็นการปรับขึ้นในทุกๆ Sector หลังมีรายงานว่านักลงทุนต่างประเทศเริ่มมองหุ้นไทยในทิศทางบวกจาก Valuation ที่ไม่แพงและเชื่อว่า สะท้อนปัจจัยกดดันต่างๆไปมากแล้วและมี ThaiESGx เป็นแรงหนุนเสริม ซึ่งเราก็เห็นด้วยกับมุมมองข้างต้นเมื่อประกอบกับ FED ดำเนินนโยบายที่ไม่เข้มงวดจึงอาจส่งเสริมให้ตลาดหุ้นไทยค่อยๆฟื้นตัว           วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1180 – 1200 เชิงกลยุทธ์การลงทุนแนะสะสมได้เช่นเดิมแต่ยังเน้นย้ำหาหุ้นพื้นฐานดี ราคาหุ้นไม่แพง และมีปันผลในระดับ 2% ขึ้นไป อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) นิคมอุตสาหกรรม (WHA) ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) ธนาคาร (BBL KBANK KTB SCB) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT) อสังหาฯ (AP SPALI) ส่งออก (ITC TU)

เปิด 17 หุ้น โบรกฯมองรับอานิสงค์ เงินบาทแข็งค่า

เปิด 17 หุ้น โบรกฯมองรับอานิสงค์ เงินบาทแข็งค่า

                 หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส ส่องกลยุทธ์การลงทุน หลังวานนี้ FED และ BOE ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ตามคาดสู่ระดับ 4.75% ซึ่งทาง FED มั่นใจมากขึ้นว่า CPI สหรัฐฯ จะเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2% ได้ ขณะที่เศรษฐกิจยัง ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ POWELL เผยนโยบายจาก ปธน.คนใหม่ จะไม่มีผลต่อ การตัดสินใจในระยะสั้น พร้อมคาดว่านโยบายการคลังที่ขยายตัวและการกีดกัน การค้าจะส่งผลต่อคาดการณ์ในอนาคต จึงยังคงตัดสินใจแบบ MEETING BY MEETING โดย DOT PLOT คาดดอกเบี้ยปลายปี 2024 อยู่ที่ 4.50% และปลายปี 2025 อยู่ที่ 3.50%                    ประเด็นดังกล่าว จึงทำให้เงินบาทเริ่มแข็งค่า ตามการปรับลดดอกเบี้ยของ FED ซึ่งตามกลไกจะหนุนให้ FLOW ต่างชาติมีโอกาสชะลอการไหลออกอยู่บ้างจึงน่าจะหนุนให้ SET INDEX ทรงตัวในกรอบแคบ และมีโอกาสดีดตัวขึ้นในวันนี้ กรอบวันนี้ 1455/1460- 1477 จุด ส่วนกลุ่มที่ได้คาดว่าได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว หุ้นขนาดใหญ่หาก FUND FLOW เริ่มไหลกลับเข้ามา KBANK, SCB, BBL, AOT, PTT, PTTGC, IVL, SCC, CPALL, CRC, CPAXT, ADVANC กลุ่มที่มีต้นทุน หรือหนี้สินสกุลเงินต่างประเทศ GULF, BGRIM, GPSC, PTTEP, AAV

Fed ลดดอกเบี้ย 0.25% ครั้งที่ 2 ของปี จากดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า และ Bond Yield สหรัฐฯ ชะลอตัว

Fed ลดดอกเบี้ย 0.25% ครั้งที่ 2 ของปี จากดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า และ Bond Yield สหรัฐฯ ชะลอตัว

          หุ้นวิชั่น - ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลง 0.25% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้เป็นการลดในอัตราที่ช้าลงเมื่อเทียบกับครั้งก่อนหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน           หลังจากการปรับลดครั้งใหญ่ 0.50% เมื่อเดือนกันยายน คณะกรรมการตลาดเสรีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Open Market Committee) ได้ลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานสำหรับการกู้ยืมระยะสั้นลงอีก 0.25% หรือ 25 จุดพื้นฐาน มาอยู่ในช่วงเป้าหมาย 4.50% ถึง 4.75% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดการกู้ยืมข้ามคืนระหว่างธนาคาร แต่ยังมีผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยที่ผู้บริโภคต้องจ่าย เช่น ดอกเบี้ยจำนอง บัตรเครดิต และสินเชื่อรถยนต์           ทั้งนี้ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้การที่เฟดลดดอกเบี้ยตามคาด 25 จุดพื้นฐาน แม้ส่งผลให้ Sentiment ผ่อนคลาย เนื่องจากดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า และ Bond Yield สหรัฐฯ ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ยังให้ระมัดระวัง โดยมองว่าตลาดยังกังวลนโยบายของทรัมป์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยมีแนวต้านที่ระดับ 1,478-1,487 จุด และยังมี Downside โดยมีแนวรับที่ 1,450-1,460 จุด           ในเอกสารชี้แจงจาก FED ได้ระบุว่า ตัวชี้วัดสำคัญชี้ให้เห็นว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงขยายตัวในอัตราที่มั่นคง ตั้งแต่ต้นปี สภาวะตลาดแรงงานโดยทั่วไปผ่อนคลายลง และอัตราการว่างงานขยับขึ้นแต่ยังคงต่ำ อัตราเงินเฟ้อมีความคืบหน้าไปสู่เป้าหมาย 2% ของคณะกรรมการ แต่ยังคงค่อนข้างสูง           คณะกรรมการพยายามที่จะบรรลุการจ้างงานสูงสุดและอัตราเงินเฟ้อในอัตรา 2% ในระยะยาว คณะกรรมการตัดสินว่าความเสี่ยงในการบรรลุเป้าหมายการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อนั้นค่อนข้างสมดุลกัน แนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน และคณะกรรมการก็ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงของทั้งสองฝ่ายภายใต้อำนาจหน้าที่ทั้งสองประการ           เพื่อสนับสนุนเป้าหมาย คณะกรรมการจึงตัดสินใจลดช่วงเป้าหมายสำหรับอัตราเงินกองทุนของรัฐบาลกลางลง 0.25% หรือเหลืออยู่ที่ 4.5-4.75% ในการพิจารณาการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมในช่วงเป้าหมายสำหรับอัตราเงินกองทุนของรัฐบาลกลาง คณะกรรมการจะประเมินข้อมูลที่เข้ามา แนวโน้มการพัฒนา และความสมดุลของความเสี่ยงอย่างรอบคอบ คณะกรรมการจะยังคงลดการถือครองหลักทรัพย์ธนารักษ์และหนี้ที่ค้ำประกันโดยหน่วยงานต่อไป คณะกรรมการมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนการจ้างงานสูงสุดและคืนอัตราเงินเฟ้อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 2%           ในการประเมินจุดยืนที่เหมาะสมของนโยบายการเงิน คณะกรรมการจะติดตามผลกระทบของข้อมูลที่เข้ามาต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ คณะกรรมการจะเตรียมปรับจุดยืนของนโยบายการเงินตามความเหมาะสม หากเกิดความเสี่ยงที่อาจขัดขวางการบรรลุเป้าหมายของคณะกรรมการ การประเมินของคณะกรรมการจะพิจารณาข้อมูลที่หลากหลาย รวมถึงสภาวะตลาดแรงงาน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อ และการพัฒนาทางการเงินและระหว่างประเทศ [อ้างอิง](https://www.federalreserve.gov/newsevents/pressreleases/monetary20241107a.htm)

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนกันยายน 2567

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนกันยายน 2567

          หุ้นวิชั่น - คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% เป็น 4.75% – 5.0% ถือเป็นการลดครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี เพื่อเป็นการทำให้ความเสี่ยงต่อเป้าหมายการจ้างงานและเงินเฟ้ออยู่ในจุดสมดุล โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับเชิงบวกแสดงให้เห็นว่าผู้ลงทุนยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะยังไม่เข้าสู่ภาวะ recession นอกจากนี้ หากพิจารณาข้อมูลในอดีตพบว่าหาก FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในประเทศ Emerging Market เริ่มเห็นสัญญาณเงินลงทุนต่างชาติเคลื่อนย้ายมายังตลาดหุ้น ASEAN ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีการปรับเพิ่มขึ้นมากในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ตามลำดับ           นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในส่วนของภายในประเทศยังมีปัจจัยบวก อาทิ การเมืองไทยที่มีความชัดเจนมากขึ้นหลังมีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่รายงานออกมาเข้มแข็งกว่าที่นักวิเคราะห์คาด รวมถึงมาตรการที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนผ่านการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนของผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ ทำให้ผู้ลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อหุ้นไทยในเดือนกันยายนสูงสุดในรอบ 22 เดือน ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจาก Sensitivity Analysis พบว่าหุ้นของบริษัทในกลุ่มส่งออกและท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบเชิงลบต่อคาดการณ์กำไรในอนาคต ซึ่งตรงกันข้ามกับหุ้นของบริษัทในกลุ่ม domestic play และกลุ่มที่มีสัดส่วนนำเข้าเพื่อผลิตสูงที่อาจได้อานิสงส์จากต้นทุนที่ลดลง ขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้นด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นในเดือนที่ผ่านมา ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนกันยายน 2567 ณ สิ้นกันยายน 2567 SET Index ปิดที่ 1,83 จุด เพิ่มขึ้น 6.6% จากสิ้นเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 ทำให้เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้น และกลุ่มที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai ปรับมาอยู่ที่ 62,503 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า และปรับเพิ่มขึ้น 35.8% จากเดือนที่แล้ว ทำให้ 9 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 46,481 ล้านบาท มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) และใน mai 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เอสอีไอ เมดิคัล (SEI) และ บมจ. พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ (PMC) Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ระดับ 8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 17.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.6 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ระดับ 28% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.04% ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนกันยายน 2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 707,472 สัญญา เพิ่มขึ้น 9% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 474,728 สัญญา ลดลง 13.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ที่มา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

abs

มั่นใจ เต็มลิตร ทุกปั๊ม

Fed เตรียมลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุม พ.ย. – คาดลดดอกเบี้ยต่อเนื่องสิ้นปีนี้

Fed เตรียมลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุม พ.ย. – คาดลดดอกเบี้ยต่อเนื่องสิ้นปีนี้

          หุ้นวิชั่น - Fed Speaks ช่วงเช้ามืด ประธาน Fed Powell กล่าวสุนทรพจน์เผย ส่งสัญญาณธนาคารกลางสหรัฐจะกลับไปลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% การประชุม ในเดือน พ.ย. (จากการประชุมรอบรอบล่าสุดที่ Fed ลดดอกเบี้ยครั้งแรกลง 50 bps และตลาดคาดอาจจะเห็นการลดต่อในระดับ50 bps) โดยรวมทำให้ประเมินจาก Dotplot ที่คาดจะเห็นการลดดอกเบี่ยในปีนี้อีก 50 bps ทำให้ประเมินการประชุมอีก 2 ครั้ง คือรอบ พ.ย. และ ธ.ค. Fed จะลดดอกเบี้ยครั้งละ 25 bps ยังย้ำดอกเบี้ยขาลง ที่มา: บล.กรุงศรี

จับตา 10 หุ้นไฟแนนซ์ mai เฟดลดดอกเบี้ย หนุนโอกาสโต

จับตา 10 หุ้นไฟแนนซ์ mai เฟดลดดอกเบี้ย หนุนโอกาสโต

          จากรายงานการประชุมของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% ซึ่งถือเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงในด้านการจ้างงาน แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งก็ตาม ทั้งนี้ เฟดยังส่งสัญญาณว่าอาจมีการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมภายในสิ้นปีนี้           ทีมข่าวหุ้นวิชั่นได้สัมภาษณ์ คุณวิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) ซึ่งได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดภายหลังจากการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ โดยระบุว่า ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลดีต่อ ต้นทุนทางการเงิน ของธุรกิจที่ลดลง และกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลดีอย่างชัดเจนคือ กลุ่มการเงิน (Finance) หรือไฟแนนซ์ เนื่องจากการลดต้นทุนการกู้ยืมจะช่วยกระตุ้นการลงทุนและการขยายตัวของธุรกิจในกลุ่มนี้           ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยยังมีโอกาสส่งผลบวกต่อ ตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าจะเกิดการเติบโตของเศรษฐกิจ และมีการโยกย้ายเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น           นอกจากนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ยังมองว่ากลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ อาจได้รับอานิสงส์จากการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เช่นกัน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมในภาคที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังคงมีความท้าทายในการยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย เนื่องจาก หนี้ครัวเรือน ในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปได้ยาก           ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ฝ่ายวิเคราะห์จึงยังให้น้ำหนักมากกว่ากับ กลุ่มไฟแนนซ์ ที่จะได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้กับกลุ่มการเงิน ทั้งในแง่ของการลงทุนและการขยายตัวของธุรกิจ           สำหรับกลุ่มไฟแนนซ์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ปัจจุบันมีบริษัทที่น่าจับตามองอยู่หลายแห่ง โดย 10 บริษัทหลัก ประกอบไปด้วยบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการให้บริการทางการเงินในหลากหลายด้าน อาทิ สินเชื่อ การลงทุน และบริการจัดการสินทรัพย์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ที่จะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน และกระตุ้นการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต ดังต่อไปนี้ รายงานโดย มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว HOONVISION

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011