ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#CREDIT


CREDIT ปันผลเด่น และ Upside สูง  โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 23.40 บาท

CREDIT ปันผลเด่น และ Upside สูง โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 23.40 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.เอแอสแอล ระบุ CREDIT Outlook น่าสนใจ โดยเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อสูงสุดในกลุ่มธนาคาร (>10%) ภายใต้การควบคุมคุณภาพลูกหนี้ที่มีประสิทธิภาพ (NPLs ratio < 4.5%) ► ประเมินกำไรสุทธิปี 25-26F เท่ากับ 3.86 พันล้านบาท +6% YoY และ 4.14 พันล้านบาท +7% YoY โดย ROE ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารที่มากกว่า 17% ► คำแนะนำ “ซื้อ” มีราคาเป้าหมายสิ้นปี 25F ที่ 23.40 บาท Upside ค่อนข้างสูง พร้อมโอกาสในการเพิ่ม payout ratio มาแตะระดับ 30% เพื่อรักษา ROE > 17% ส่งผลให้ Div. yield สูงกว่า 5% Earnings Review ▪ 4Q24 : กำไรสุทธิที่ 1.19 พันล้านบาท (+2.6% QoQ, +61.1% YoY) ทำนิวไฮต่อเนื่อง จากการขยายตัวของสินเชื่อที่สูงสุดในกลุ่ม (+3.5% QoQ, +13.2% YoY) โดยเฉพาะในกลุ่ม MSME สินเชื่อบุคคล และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ส่วน Credit cost กลับสู่ระดับปกติจากการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพพอร์ตสินเชื่อที่มีเสถียรภาพ ▪ 24FY : กำไรสุทธิเท่ากับ 3.6 พันล้านบาท +1.9% YoY ได้แรงหนุนจากรายได้ดอกเบี้ยที่ขยายตัว 10.3% โดย NIM ชะลอตัวลงเล็กน้อยมาที่ 8.6% และ Credit cost ที่ลดลงเหลือ 265 bps (-31 bps YoY) ช่วยชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิที่ขาดทุนมากขึ้น ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน (C/I = 39.9% +3.2% YoY) ส่วน NPLs Ratio ที่ 4.4% จากปีก่อนที่ 4.2% ตามการขยายตัวของลูกหนี้ S2&3 มากขึ้น ขณะที่การเคลมจาก บสย. (TCG) เพิ่มขึ้น 9.1% YoY สอดคล้องกับการเติบโตของสินเชื่อ โดยการเคลมจาก บสย. เพิ่มขึ้นเป็น 2,721 ล้านบาทในปี 2024 จาก 2,494 ล้านบาทในปี 2023 และ 1,853 ล้านบาทในปี 2022 ทั้งนี้ ROE อยู่ที่ 17.88% ▪ ได้ประกาศจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท (payout ratio = 20.3%) ขึ้น XD 14 พ.ค. คิดเป็น Div. yield ปัจจุบันที่ 3.2% Outlook ▪ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายภาครัฐ การฟื้นตัวของการลงทุนภาครัฐและเอกชน การท่องเที่ยวที่ลุ้นใกล้เคียงกับช่วง Pre-COVID ส่วนปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า ทั้งนี้คาดว่า GDP จะขยายตัว 2.3-3.3% ▪ ธุรกิจกลุ่มธนาคาร คาดว่าจะรักษาการเติบโตในเชิงบวกได้อย่างต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ แรงขับเคลื่อนจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ดีขึ้น แต่การเติบโตของสินเชื่อยังจำกัด จากภาคครัวเรือนที่เปราะบาง มีภาระหนี้สูง ทำให้มีมาตรการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งชดเชยด้วยการตั้งสำรองที่แข็งแกร่งที่รองรับความเสี่ยงไปก่อนหน้านี้มาพอสมควรแล้ว รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการค่าใช้จ่าย การเพิ่มการลงทุนด้านดิจิทัล ทำให้กลุ่มธนาคารยังสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้ ▪ ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้เป็นตัวเลขสองหลัก (สูงที่สุดของกลุ่ม) จากการโฟกัสในกลุ่มสินเชื่อ MSME ที่มีโมเมนตัมเติบโตต่อเนื่อง (คิดเป็น 67% ของพอร์ตสินเชื่อ) และ Personal loan จากฐานต่ำ (คิดเป็น 2% ของพอร์ตสินเชื่อ) ซึ่งได้เป็นพันธมิตรกับ ASCEND ที่เป็นบริษัทแม่ผู้ให้บริการทรูมันนี่ และคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 8.5 - 9.0% ภายใต้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้ง ▪ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) คงที่จากการเพิ่มการลงทุนในดิจิทัลแบงก์กิ้ง แต่จะมีการควบคุมต้นทุนเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ▪ ด้าน NPL Ratio ตั้งเป้าไม่เกิน 4.5% ตามการขยายตัวของสินเชื่อ ส่วน Credit cost คาดอยู่ในกรอบ 2.5-3.0% ▪ ROE อยู่ที่ 17.0 - 22.0% ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางการเติบโตที่สมดุลและการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ Rough Projection แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 23.40 บาท ▪ เบื้องต้นเราอิงสมมติฐานตามขอบล่างของเป้าหมายที่ธนาคาร Guidance ดังนี้ Loan growth +10% YoY (เติบโตโดดเด่นในสินเชื่อ micro SME, สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อส่วนบุคคล), NIM 8.5%, C/I 40%, Credit cost 280 bps ▪ ประเมินกำไรสุทธิปี 25-26F เท่ากับ 3.86 พันล้านบาท +6% YoY และ 4.14 พันล้านบาท +7% YoY โดย ROE ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารที่มากกว่า 17% ทั้งนี้ คาดหวังการจ่ายปันผลในระดับที่สูงขึ้นแตะระดับ 30% คิดเป็น Div. yield ไม่ต่ำกว่า 5% ▪ ในเชิงกลยุทธ์แนะนำ “ซื้อ” มีราคาเป้าหมายที่ 23.40 บาท อิง PBV ที่ 1.13 เท่า (GGM LT-ROE 16%, TG 2.5%) โดยราคาปัจจุบันซื้อขายบน PBV ที่ 1.0 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง (1.28 เท่า) – 1.0 SD โดยผลประกอบการยังมี upside จากการเคลมจาก บสย. เพิ่มขึ้น แนวโน้ม Loan yield ที่สูงขึ้น และแนวโน้ม Credit cost ที่ต่ำกว่าคาด ตามการควบคุมคุณภาพลูกหนี้ที่มีประสิทธิภาพ ปัจจัยเสี่ยง ▪ ภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง, คุณภาพลูกหนี้ที่อาจอ่อนแอลง, แนวโน้ม NIM ที่ปรับลดลง หาก กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่ธนาคารคาด, การขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่เพื่อเพิ่ม Free float ประเด็นที่มีนัยยะสำคัญด้านความยั่งยืน ▪ การให้ความรู้ทางการเงินเพื่อสร้างความเข้าใจและวินัยทางการเงิน (S) ▪ ระบบ ESMS (E) ▪ การเติบโตอย่างยั่งยืน ($) ▪ เทคโนโลยีดิจิทัล ($) ▪ การกำกับดูแลกิจการและจริยธรรมองค์กร (G)

CREDIT งบทำสถิติสูงสุด ยอดสินเชื่อแตะ 1.63 แสนล้านบาท โต 13%

CREDIT งบทำสถิติสูงสุด ยอดสินเชื่อแตะ 1.63 แสนล้านบาท โต 13%

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุว่า ปี 2024 CREDIT ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งกำไรสุทธิ 3,624 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% YoY และยอดสินเชื่อรวมที่ 163,159 ล้านบาท +13% YoY           สินเชื่อเติบโตสูงในส่วนของสินเชื่อบุคคล +126% YoY จากฐานต่ำในปีก่อนหน้า โดยมีฐานลูกค้าผลิตภัณฑ์ "ตังค์โต" ที่เติบโตสูงถึง 81% เป็นจำนวน 6.4 หมื่นล้านราย และได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรผู้ให้บริการเครือข่ายทรูมันนี่           ด้านคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับดี โดยมี %NPL เท่ากับ 4.4% เพิ่มขึ้นจากระดับ 4.2% ในปี 2023 แต่ยังอยู่ภายใต้กรอบเป้าหมายที่ระดับไม่เกิน 4.5% สาเหตุที่ %NPL เพิ่มขึ้นมาจากมูลค่าการขาย NPL ราว 1,900 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2,700 ล้านบาท           ความคิดเห็น : ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองบวกจากศักยภาพในการเติบโตของสินเชื่อ โดยมีเป้าหมายสินเชื่อเติบโตต่อเนื่องในระดับ 2 หลัก และ NIM คาดจะทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นสู่ 8.5-9.0% จากระดับ 8.6% ในปี 2023 ส่วนเป้าหมาย credit cost คาดอยู่ที่ 2.5-3% เทียบกับ 2.65% ในปี 2024 ซึ่งลดลงจาก 2.94% ในปี 2023           ทั้งนี้ Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 2025 จะอยู่ที่ 4,081 ล้านบาท เติบโต 13% YoY ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายที่ P/BV 1.12x ซึ่งต่ำกว่าระดับ 1.3x ที่เป็นค่าเฉลี่ยของกลุ่มการเงินที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกัน และยังมี upside ดังนั้นแนะนำ “ซื้อ”

ไทยเครดิต X Butterbear เปิดบัญชี เจาะกลุ่ม Gen Y และ Z

ไทยเครดิต X Butterbear เปิดบัญชี เจาะกลุ่ม Gen Y และ Z

          ธนาคารไทยเครดิต ขอเชิญทุกท่านเข้าสู่บ้านน้องเนย “BUTTERY WORLD” โลกของน้องเนยที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของเด็กหญิงตัวน้อยผู้คอยฮีลใจ มอบรอยยิ้ม ส่งต่อความสุขแก่ทุกคน และด้วยพลังวิเศษเหล่านี้ ทำให้ภายในบ้านหลังนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยมวลความสุขซึ่งซุกซ่อนอยู่ทุกมุมของบ้าน ธนาคารไทยเครดิตร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความพิเศษนี้ด้วยการมอบของที่ระลึกของน้องเนยทันทีเมื่อเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารไทยเครดิต สาขาพารากอน ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2568 ถึง 28 กรกฎาคม 2568 ตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด ในงานเปิดบ้านน้องเนย “BUTTERY WORLD” ที่สยามพารากอนชั้น 5 ภายในบ้านมีทั้งหมด 7 ห้อง และ 1 สวนดอกไม้ ที่รอให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนที่น่ารักของยัยหนู           นายวีรเวท ไชยวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจลูกค้ารายย่อยและธนบดี ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT เปิดเผยว่าถือเป็นครั้งแรกที่ธนาคารไทยเครดิตร่วมเป็นส่วนหนึ่งของบ้านน้องเนย “ BUTTERY WORLD” โดยธนาคารให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน และกระบวนการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีและตอบโจทย์ความต้องการให้กับลูกค้า ธนาคารมีความมุ่งมั่นที่จะขยายฐานลูกค้าเงินฝากไปยังกลุ่มกลุ่มคนรุ่นใหม่ เจาะกลุ่มลูกค้า Gen Y และ Z ที่มีอายุตั้งแต่ 20-45 ปี ที่เน้นการได้รับประสบการณ์มากขึ้น           ธนาคารให้ความสำคัญและมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้คนไทยทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการออมเงินอย่างชาญฉลาด มีโอกาสเข้าถึงการออมเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต ด้วยผลิตภัณฑ์เงินฝากที่มีความปลอดภัย สะดวกสบาย และให้ผลตอบแทนที่ดี นอกจากนี้ลูกค้าของธนาคารทุกท่านสามารถจัดการการเงินด้วยตัวเองได้อย่างเต็มที่และสะดวกทุกที่ทุกเวลา ด้วยแอปพลิเคชัน alpha by Thai Credit ซึ่งจะทำให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่           พิเศษ สำหรับมัมหมี-พ่อหมี ที่มีบัตรเข้าชมงาน Buttery World เพียงแสดงบัตรที่สาขาสยามพารากอน ชั้น 5 รับทันที Gift Card น้องเนย มูลค่า 55 บาท สำหรับ 100 ท่านแรก                       นอกจากนั้น เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารไทยเครดิต สาขาพารากอน รับของสมนาคุณของน้องเนย ในช่วงระยะเวลาโปรโมชั่นคือ 24 มกราคม 2568 ถึง 28 กรกฎาคม 2568 โดยรายละเอียดเป็นไปตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด

CREDIT ประกาศงบปี 2567 ทำกำไรนิวไฮ 3,624.0 ล้านบาท

CREDIT ประกาศงบปี 2567 ทำกำไรนิวไฮ 3,624.0 ล้านบาท

          หุ้นวิชั่น - ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT แจ้งผลการดําเนินงานของธนาคารในไตรมาส 4 ปี 2567 สามารถทําสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ที่ 1,192.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และกําไรสุทธิของธนาคารในปี 2567 เติบโตได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งที่ 3,624.0 ล้านบาท ปัจจัยหลักจากอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อเฉลี่ย (%Credit cost) ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากสินเชื่อด้อยคุณภาพที่เกิดขึ้นใหม่ลดลงจากการบริหารจัดการและคุณภาพหนี้ที่ดีขึ้น หลังจากที่ธนาคารเพิ่มพนักงานติดตามหนี้ (Collection team) ในช่วงต้นปี โดยรายได้ดอกเบี้ยของธนาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 สอดคล้องกับการขยายตัวของเงินให้สินเชื่ออย่างแข็งแกร่งที่ร้อยละ 13.2 เนื่องจากธนาคารสามารถรักษาอัตราการเติบโตของเงินให้สินเชื่อได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวทั่วทุกภาคส่วน จากปริมาณเงินให้สินเชื่อที่เติบโตเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อหลักของธนาคาร โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อบ้าน           ภายใต้การดําเนินงานที่ยังเน้นความรอบคอบ ธนาคารมีอัตราส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิแข็งแกร่งอยู่ที่ร้อยละ 8.6 ลดลงเล็กน้อยจาก 8.7 ในปีก่อน เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ส่งผลให้กําไรสุทธิต่อส่วนของเจ้าของในปี 2567 ยังอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่ร้อยละ 17.88 ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตสําหรับเงินให้สินเชื่อที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เพื่อรักษาระดับของ Coverage ratio ในระดับสูงเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต รายได้ดอกเบี้ย           รายได้ดอกเบี้ยของธนาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1 จากเดิม 15,894.6 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็น 18,138.0 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ 2,134.2 ล้านบาท เนื่องมาจากปริมาณเงินให้สินเชื่อที่เติบโตเพิ่มขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อหลักของธนาคาร โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อบ้าน รวมถึงรายได้จากรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงิน และเงินลงทุนในตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย           ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของธนาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.9 จากเดิม 2,564.0 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็น 3,408.8 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากเงินรับฝากที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ 668.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากปริมาณเงินฝากที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโปรแกรมเงินฝากออมทรัพย์อัลฟา โปรแกรมเงินฝากประจำ และเงินฝากประจำทันใจ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเงินนำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากและ ธปท. เพิ่มขึ้นเท่ากับ 51.9 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ           ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารในปี 2567 เท่ากับ 14,729.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน รายได้ (รายจ่าย) ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ           รายจ่ายค่าธรรมเนียมและบริการของธนาคารสุทธิ เท่ากับ 260.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 191.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 278.8 จากงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินให้สินเชื่อ (บสย.) เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่เพิ่มขึ้นของเงินให้สินเชื่อไมโครเอสเอ็มอี และสินเชื่อนาโนและไมโครเครดิต           ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ ของธนาคาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 จากเดิม 4,945.3 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็น 5,830.7 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานที่เพิ่มขึ้น 567.8 ล้านบาท สอดคล้องกับจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของธนาคาร รวมทั้งการขยายสาขาเงินฝาก โดยในปี 2567 ธนาคารมีจำนวนสาขาเงินฝากเพิ่มขึ้น 2 สาขา ที่เมกาบางนา และสยามพารากอน รวมเป็นทั้งหมด 30 สาขา และการเพิ่มพนักงาน RM และพนักงานเก็บเงินและเร่งรัดหนี้สินและกฎหมาย (Collection) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการติดตามหนี้ได้มากขึ้น ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารและอุปกรณ์เพิ่มขึ้น 80.5 ล้านบาท จากการลงทุนเพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลและโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง และค่าภาษีอากรที่เพิ่มขึ้น 70.0 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนธุรกรรมสัญญาของธนาคารที่สูงขึ้น รวมไปถึงการทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานของธนาคารยังอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม ที่ร้อยละ 39.9 สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ธนาคารตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 4,248.9 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เมื่อเปรียบเทียบกับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 4,062.4 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้           อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อเฉลี่ยลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกลับสู่ภาวะปกติในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2024 ปัจจัยหลักมาจากสินเชื่อด้อยคุณภาพที่เกิดขึ้นใหม่ลดลงจากการบริหารจัดการและคุณภาพหนี้ที่ดีขึ้น หลังจากที่ธนาคารเพิ่มพนักงานติดตามหนี้ (Collection team) ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2567 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการตั้งสำรองข้างต้น ส่งผลให้อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อเฉลี่ยของธนาคารลดลงอยู่ที่ 265 bps สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เทียบกับ 294 bps สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 กำไรสำหรับปี/งวด           กำไรสำหรับปีสุทธิงวดปี 2567 เท่ากับ 3,624.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 จากเดิม 3,556.8 ล้านบาท สำหรับงวดปี 2566 ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยรับที่เพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับเงินให้สินเชื่อที่สูงขึ้นของธนาคาร           อย่างไรก็ตาม กำไรต่อหุ้นของธนาคารเท่ากับ 2.95 บาทต่อหุ้นในปี 2567 ลดลงเล็กน้อยจาก 3.05 บาทต่อหุ้นในปี 2566 เป็นผลมาจากจำนวนหุ้นสามัญ (Paid-up capital) ที่เพิ่มขึ้นจาก 1,164,583,332 หุ้น เป็น 1,234,839,222 หุ้น จากการเพิ่มขึ้นของทุนที่ออกและชำระแล้วจากการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และการใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคาร ซึ่งออกให้แก่ผู้บริหารระดับสูง หรือ MSOP ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับเงินให้สินเชื่อเท่ากับ 10,739.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 865.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.8 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้           อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพเท่ากับร้อยละ 148.6 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ลดลงจากร้อยละ 161.4 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยธนาคารมีการติดตามคุณภาพพอร์ตสินเชื่อและความสามารถในการชำระหนี้อย่างรอบคอบ เพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงินของธนาคาร และเพิ่มความสามารถในการรองรับความเสี่ยงในอนาคต สินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs)           สินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs) เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.2 จากเดิม 6,115.6 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็น 7,228.4 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs ratio) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดิมร้อยละ 4.2 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็นร้อยละ 4.4 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567           ตามการคาดการณ์ของธนาคาร ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ที่บริหารจัดการได้ โดยมีสาเหตุหลักมาจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จาก ธปท. หมดโครงการลงในปี 2566 ส่งผลให้สินเชื่อด้อยคุณภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจในประเทศภาพรวมที่ยังคงไม่แน่นอน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อธนาคารในอนาคต           คุณภาพสินเชื่อและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ธนาคาร เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าฟื้นตัวช้า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายเศรษฐกิจและการเมือง           เงินรับฝากของธนาคาร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 เท่ากับ 132,599.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15,837.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.6 จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตอย่างมากในผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำเพิ่มขึ้น 15,926.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.9 รองรับการเติบโตของเงินให้สินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงธนาคารมีการเปิดสาขารับเงินฝากเพิ่ม 2 สาขาในปี 2567           ทั้งนี้ ลูกค้าเงินฝากยังคงมีการฝากเงินกับที่ธนาคารอย่างต่อเนื่อง โดย Rollover rate สำหรับลูกค้าบัญชีเงินฝากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ยังอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 95.9 สัดส่วนเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ต่อเงินฝากรวม (CASA) เท่ากับร้อยละ 27.5 ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเงินฝากประจำเพิ่มขึ้นมากกว่าเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์           อย่างไรก็ตาม สัดส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากของธนาคารยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 123.0 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ลดลงจากร้อยละ 123.5 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566           ส่วนของเจ้าของของธนาคาร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 เท่ากับ 23,032.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.6 จากเดิม 17,505.1 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยมีสาเหตุหลักมาจากหุ้นสามัญและส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญที่เพิ่มขึ้นจากการที่ธนาคารมีการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567           การเพิ่มขึ้นของทุนที่ออกและชำระแล้วจากการใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคาร ซึ่งออกให้แก่ผู้บริหารระดับสูง (MSOP) รวมถึงการเพิ่มขึ้นของกำไรที่เกิดขึ้นระหว่างงวด           ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ธนาคารมีเงินกองทุนตามกฎหมาย ตามหลักเกณฑ์ Basel III ทั้งสิ้นจำนวน 24,470.6 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกองทุนตามกฎหมายชั้นที่ 1 จำนวน 21,338.2 ล้านบาท ทั้งนี้ เงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีที่แล้ว ปัจจัยหลักมาจากหุ้นสามัญและส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญที่เพิ่มขึ้นจากการที่ธนาคารมีการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และแบ่งเป็นเงินกองทุนตามกฎหมายชั้นที่ 2 จำนวน 3,132.4 ล้านบาท           นอกจากนี้ ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงรวมทั้งหมดอยู่ที่ร้อยละ 17.7 มีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ร้อยละ 15.4 และมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ร้อยละ 14.8 ซึ่งสูงกว่าอัตราขั้นต่ำตามที่ ธปท. กำหนดไว้ที่ร้อยละ 11.0 ร้อยละ 8.5 และร้อยละ 7.0 ตามลำดับ

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

ไทยเครดิต ทำสถิติกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 พุ่ง 41.7% หนุนโดยสินเชื่อเติบโตแข็งแกร่ง

ไทยเครดิต ทำสถิติกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 พุ่ง 41.7% หนุนโดยสินเชื่อเติบโตแข็งแกร่ง

          ธนาคารไทยเครดิต ทำสถิติกำไรสุทธิไตรมาส 3/2567 เพิ่มขึ้น 41.7% จากการเติบโตของสินเชื่อและการบริหารความเสี่ยง แม้เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวทั่วถึง ขณะที่ NPL เพิ่มขึ้น 16.1% สู่ 7,098.5 ล้านบาท หรือ 4.5% หลังสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ แต่ยังคงบริหารจัดการได้ดี           ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2567 ธนาคารฯ มีกำไรสุทธิทำนสถิติสูงสุดใหม่เท่ากับ 1,161.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องร้อยละ 41.7 เทียบกับ 820.1 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยหลักจากการที่ธนาคารฯ สามารถรักษาอัตราการเติบโตของเงินให้สินเชื่อได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวทั่วทุกภาคส่วน รวมถึงผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของเงินให้สินเชื่อลดลง จากการบริหารจัดการด้านความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สัดส่วนเงินให้สินเชื่อ stage 2 และ stage 3 ต่อเงินให้สินเชื่อรวมลดลง และลูกหนี้บางส่วนสามารถปรับชั้นไป stage 1 ได้ภายหลังช่วงระยะเวลา monitoring ประกอบกับผลกระทบจากส่วนสูญเสียจากการขาย NPL ลดลง เนื่องจากการปรับแผนลดการขาย NPL ตามคุณภาพหนี้ที่เริ่มดีขึ้น นอกจากนี้ธนาคารฯ ยังมีการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานของธนาคารฯ ที่อยู่ในระดับที่ร้อยละ 39.9 ในไตรมาส 3 ปี 2567 ทั้งนี้ อัตราส่วนต่างอัตรารายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2567 เทียบกับไตรมาส 2 ปี 2567 ของธนาคารฯ ยังแข็งแกร่งอยู่ที่ร้อยละ 8.7 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2 ปี 2567 อย่างไรก็ตาม ธนาคารฯ ยังคงดำเนินงานอย่างรัดกุมเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือน ปี 2567 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารฯ มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.2 ปัจจัยหลักจากเงินให้สินเชื่อที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิของธนาคารลดลงร้อยละ 13.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ของเงินให้สินเชื่อชั้นที่ 2 ที่เป็นผลกระทบเพียงครั้งเดียวจากการสิ้นสุดมาตรการผ่อนผันการจัดชั้นสินเชื่อที่ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 โดยสินเชื่อดังกล่าวจะสามารถจัดชั้นกลับเป็นสินเชื่อปกติได้หลังจากลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 งวด ส่งผลให้ ECL เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานของธนาคารฯ ยังสามารถบริหารจัดการได้ที่อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 38.8 ในงวด 9 เดือน ปี 2567 รวมถึงอัตราส่วนต่างอัตรารายได้ดอกเบี้ยสุทธิในงวด 9 เดือน ปี 2567 ของธนาคารฯ ยังแข็งแกร่งในระดับสูงที่ร้อยละ 8.6 ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับเงินให้สินเชื่อเท่ากับ 10,413.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 540.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.5 จาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพเท่ากับร้อยละ 146.7 ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 ลดลงจากร้อยละ 161.4 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 สินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs) และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs ratio) สินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.1 จากเดิม 6,115.6 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็น 7,098.5 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs ratio) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดิมร้อยละ 4.2 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็นร้อยละ 4.5 ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 ตามการคาดการณ์ของธนาคารฯ ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ที่บริหารจัดการได้ โดยมีสาเหตุหลักมาจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จาก ธปท. หมดโครงการลงในปี 2566 ส่งผลให้สินเชื่อด้อยคุณภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจในประเทศภาพรวมที่ยังคงไม่แน่นอน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ธนาคารฯ เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะฟื้นตัวช้า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายเศรษฐกิจและการเมือง เงินรับฝากของธนาคารฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 เท่ากับ 125,693.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,932.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.6 จากสิ้นปี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตอย่างมากในผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำเพิ่มขึ้น 9,135.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.4 ซึ่งสอดคล้องกับเงินให้สินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารฯ มีการเปิดสาขารับเงินฝากเพิ่มในต้นปี 2567 ทั้งนี้ ลูกค้าเงินฝากยังคงมีการฝากเงินกับธนาคารฯ อย่างต่อเนื่อง โดย Rollover rate สำหรับลูกค้าบัญชีเงินฝากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ยังอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 95.0 สัดส่วนเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ต่อเงินฝากรวม (CASA) เท่ากับร้อยละ 29.1 ใกล้เคียงกับสิ้นปี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 อย่างไรก็ตาม สัดส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากของธนาคารฯ ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 125.4 ณ วันที่ 30 กันยายน 2567

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456