หุ้นไทย ใจสู้รึเปล่า!
หุ้นวิชั่น - วานนี้(4 เมษายน 2568) ตลาดหุ้นไทย โดนแรงกระหน่ำขายอย่างหนัก จากความกังวลประเด็นเรื่องสงครามการค้ารอบใหม่ ที่ประทุร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง ดัชนีมาปิดที่ 1,125.21 จุด ลดลง 36.60 จุด หรือคิดเป็น 3.15% มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 48,286.09 ล้านบาท ถามว่า ตลาดหุ้นไทยลงมาสุดรึยัง พอรึยัง ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ มาจับตา วันที่ 9 เมษายนนี้ กันว่า จะมีการบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้ตามที่สหรัฐฯ กำหนดไว้หรือไม่ หรือจะสามารถเจรจาเพื่อเลื่อนออกไปได้ เพราะหากสามารถชะลอการใช้มาตรการได้ จะช่วยลดแรงกดดันจากประเด็นดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาไม่เป็นผล หรือมีมาตรการตอบโต้กลับจากอีกฝ่าย จะยิ่งทำให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ หุ้น CPALL น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในยามนี้ โดยรายงานกำไรสุทธิ 7.2 พันล้านบาทในไตรมาส 4/2567 (+31% YoY, +29% QoQ) ได้แรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS), ธุรกิจค้าส่ง และค้าปลีก แม้ว่าจะต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาดเล็กน้อย เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายรวมจาก CPAXT จำนวน 268 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายได้รวมยังเติบโต 7% YoY โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายสาขาเดิมที่เพิ่มขึ้น +4.2% และการขยายสาขา +5% YoY โดยในปีที่ผ่านมา CPALL เปิดสาขาใหม่ 182 แห่งในประเทศไทย และขยายธุรกิจไปยังประเทศกัมพูชาและลาว รวมถึงการเปิดศูนย์กระจายสินค้าสำหรับแม็คโครเพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของธุรกิจ CVS ปรับตัวเพิ่มขึ้น 70 bps อยู่ที่ระดับ 27.6% จากการเติบโตของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ต้นทุน SG&A ต่อยอดขายเพิ่มขึ้น 40 bps ตามการขยายสาขาและค่าจ้างแรงงาน อย่างไรก็ตาม CPALL ยังคงสามารถบริหารต้นทุนได้ดี และคาดว่าการเติบโตของยอดขายและอัตรากำไรจะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการในปี 2568 แนวโน้มในไตรมาส 1/2568 คาดว่า จะได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐฯ ทั้งโครงการ Easy e-Receipt และ Digital Wallet ขณะเดียวกันราคาหุ้นในปัจจุบันเทรดที่ PE เพียง 16 เท่า เข้าสู่ระดับที่น่าสนใจ โดยก่อนหน้านี้ราคาปรับตัวลงมาประมาณ 10% YTD จากปัจจัยลบเรื่องไม่เข้าร่วมลงทุนในกิจการ Seven & i ทั้งนี้ Bloomberg ประเมินกำไรสุทธิปี 2568-2569 (ปีงบประมาณ 2025-2026F) อยู่ที่ 28,000 ล้านบาท (+10.6% YoY) และ 31,600 ล้านบาท (+12.6% YoY) ตามลำดับ มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยอยู่ที่ 74.82 บาท (ข้อมูลASL) มาที่ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ มอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยอาจมีแรงขายลดความเสี่ยงจากความกังวลผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสงครามการค้า ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก และ 3 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้ หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ Div. Yield อย่างน้อย 3% หุ้น SET50 ที่ ADVANC BBL BDMS CPALL PTT และ SET100 BCH BTG หุ้นปันผลคุณภาพดี โดย 1) สถิติจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปี และ 2) คาดจ่ายปันผลจากกำไรปี 2567 หลังหักจ่ายระหว่างกาลแล้ว Div. Yield สูงเกิน 4% และ Div. Payout Ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว แนะนำ KTB BBL KBANK หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน คัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อย 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนำ MTC MINT BJC CPF การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น