ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#CPALL


หุ้นไทย ใจสู้รึเปล่า!

หุ้นไทย ใจสู้รึเปล่า!

          หุ้นวิชั่น - วานนี้(4 เมษายน 2568) ตลาดหุ้นไทย โดนแรงกระหน่ำขายอย่างหนัก จากความกังวลประเด็นเรื่องสงครามการค้ารอบใหม่ ที่ประทุร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง ดัชนีมาปิดที่ 1,125.21 จุด ลดลง 36.60 จุด หรือคิดเป็น 3.15% มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 48,286.09 ล้านบาท ถามว่า ตลาดหุ้นไทยลงมาสุดรึยัง พอรึยัง ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้             มาจับตา วันที่ 9 เมษายนนี้  กันว่า จะมีการบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้ตามที่สหรัฐฯ กำหนดไว้หรือไม่ หรือจะสามารถเจรจาเพื่อเลื่อนออกไปได้ เพราะหากสามารถชะลอการใช้มาตรการได้ จะช่วยลดแรงกดดันจากประเด็นดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาไม่เป็นผล หรือมีมาตรการตอบโต้กลับจากอีกฝ่าย จะยิ่งทำให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น           ขณะที่ หุ้น CPALL น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในยามนี้   โดยรายงานกำไรสุทธิ 7.2 พันล้านบาทในไตรมาส 4/2567 (+31% YoY, +29% QoQ) ได้แรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS), ธุรกิจค้าส่ง และค้าปลีก แม้ว่าจะต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาดเล็กน้อย เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายรวมจาก CPAXT จำนวน 268 ล้านบาท           อย่างไรก็ตาม รายได้รวมยังเติบโต 7% YoY โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายสาขาเดิมที่เพิ่มขึ้น +4.2% และการขยายสาขา +5% YoY โดยในปีที่ผ่านมา CPALL เปิดสาขาใหม่ 182 แห่งในประเทศไทย และขยายธุรกิจไปยังประเทศกัมพูชาและลาว รวมถึงการเปิดศูนย์กระจายสินค้าสำหรับแม็คโครเพิ่มขึ้น           อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของธุรกิจ CVS ปรับตัวเพิ่มขึ้น 70 bps อยู่ที่ระดับ 27.6% จากการเติบโตของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ต้นทุน SG&A ต่อยอดขายเพิ่มขึ้น 40 bps ตามการขยายสาขาและค่าจ้างแรงงาน อย่างไรก็ตาม CPALL ยังคงสามารถบริหารต้นทุนได้ดี และคาดว่าการเติบโตของยอดขายและอัตรากำไรจะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการในปี 2568           แนวโน้มในไตรมาส 1/2568 คาดว่า จะได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐฯ ทั้งโครงการ Easy e-Receipt และ Digital Wallet ขณะเดียวกันราคาหุ้นในปัจจุบันเทรดที่ PE เพียง 16 เท่า เข้าสู่ระดับที่น่าสนใจ โดยก่อนหน้านี้ราคาปรับตัวลงมาประมาณ 10% YTD จากปัจจัยลบเรื่องไม่เข้าร่วมลงทุนในกิจการ Seven & i           ทั้งนี้ Bloomberg ประเมินกำไรสุทธิปี 2568-2569 (ปีงบประมาณ 2025-2026F) อยู่ที่ 28,000 ล้านบาท (+10.6% YoY) และ 31,600 ล้านบาท (+12.6% YoY) ตามลำดับ มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยอยู่ที่ 74.82 บาท (ข้อมูลASL)           มาที่ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ มอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยอาจมีแรงขายลดความเสี่ยงจากความกังวลผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสงครามการค้า ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก และ 3 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้           หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ Div. Yield อย่างน้อย 3% หุ้น SET50 ที่ ADVANC BBL BDMS CPALL PTT และ SET100 BCH BTG           หุ้นปันผลคุณภาพดี โดย 1) สถิติจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปี และ 2) คาดจ่ายปันผลจากกำไรปี 2567 หลังหักจ่ายระหว่างกาลแล้ว Div. Yield สูงเกิน 4% และ Div. Payout Ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว  แนะนำ KTB BBL KBANK           หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน คัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อย 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA  แนะนำ MTC MINT BJC CPF การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น

CPALL สะดวกซื้อ-สะดวกโต! รับแรงหนุนรัฐฯ เป้า 54 บาท

CPALL สะดวกซื้อ-สะดวกโต! รับแรงหนุนรัฐฯ เป้า 54 บาท

                  หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงแรง เข้าสู่โหมด Risk-off โดยดัชนีดาวโจนส์ -3.98% (-1,679 จุด), S&P500 -4.84%, Nasdaq -5.97%, STOXX600 -2.57% ขณะที่ดัชนีความผันผวน VIX Index ปรับขึ้นแตะระดับ 30.02 (+39.56%) นักลงทุนหันไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (US Bond Yield) ปรับตัวลดลง และ Dollar Index อ่อนค่าลง จากความกังวลเกี่ยวกับการประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายน และภาษีศุลกากรแบบครอบจักรวาล (Universal Tariff) ที่จะบังคับใช้ในวันที่ 5 เมษายน ขณะที่จีน (ถูกเรียกเก็บภาษี 34%) และยุโรป (ถูกเรียกเก็บภาษี 20%) ต่างเตรียมออกมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ เช่นกัน                   สำหรับราคาน้ำมันดิบ ปรับตัวลดลง -6% หลังจากกลุ่ม OPEC มีมติเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 411,000 บาร์เรล/วัน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากแผนการเบื้องต้นที่ระดับ 135,000 บาร์เรล/วัน ทั้งนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากความกังวลว่า มาตรการภาษีศุลกากรครั้งใหม่ของสหรัฐฯ จะนำไปสู่สงครามการค้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์น้ำมันทั่วโลก โดยในเชิง Sentiment ถือเป็นลบต่อกลุ่มพลังงาน น้ำมัน และปิโตรเคมี แต่ถือเป็นบวกต่อกลุ่ม Anti-commodity ซึ่งเราชอบหุ้นกลุ่ม SCC, SCGP, CBG, BA, AAV และ BAFS                   ด้านข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.4 ในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2568 จากระดับ 51.0 ในเดือนกุมภาพันธ์ สาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน แม้ความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจจะปรับตัวลดลง ขณะที่ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 6,000 ราย สู่ระดับ 219,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ลดลง 6.1% สู่ระดับ 122.7 พันล้านดอลลาร์ในเดือนกุมภาพันธ์ ปัจจัยในประเทศ: (-) เศรษฐกิจไทยเสี่ยงชะลอตัว (0) ติดตามเงินเฟ้อไทย                   ประเมินว่า SET Index จะแกว่งตัวในลักษณะ Sideway down ในกรอบ 1,150–1,172 จุด โดยยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุนตลาด นักลงทุนยังคงต้องติดตามว่าประเทศไทยจะมีการเจรจาเพื่อไกล่เกลี่ยหรือลดความตึงเครียดกับต่างประเทศได้มากน้อยเพียงใด รวมทั้งในระดับภูมิภาคเองก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน                     แนะนำให้จับตาวันที่ 9 เมษายน ว่าจะมีการบังคับใช้มาตรการตามที่สหรัฐฯ กำหนดไว้หรือไม่ หรือจะสามารถเจรจาเพื่อเลื่อนออกไปได้ เพราะหากสามารถชะลอการใช้มาตรการได้ จะช่วยลดแรงกดดันจากประเด็นดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาไม่เป็นผล หรือมีมาตรการตอบโต้กลับจากอีกฝ่าย จะยิ่งทำให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น คืนนี้ติดตาม: ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนมีนาคมของสหรัฐฯ โดยตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 139,000 ตำแหน่งในเดือนมีนาคม ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ที่เพิ่มขึ้น 151,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.1% ในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ยังต้องติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ด้วย สัปดาห์หน้าติดตาม: ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ประจำเดือนมีนาคม และการบังคับใช้มาตรการภาษีของทรัมป์ Stock Pick: CPALL ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ 54 บาท                   CPALL รายงานกำไรสุทธิ 7.2 พันล้านบาทในไตรมาส 4/2567 (+31% YoY, +29% QoQ) ได้แรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS), ธุรกิจค้าส่ง และค้าปลีก แม้ว่าจะต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาดเล็กน้อย เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายรวมจาก CPAXT จำนวน 268 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายได้รวมยังเติบโต 7% YoY โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายสาขาเดิมที่เพิ่มขึ้น +4.2% และการขยายสาขา +5% YoY โดยในปีที่ผ่านมา CPALL เปิดสาขาใหม่ 182 แห่งในประเทศไทย และขยายธุรกิจไปยังประเทศกัมพูชาและลาว รวมถึงการเปิดศูนย์กระจายสินค้าสำหรับแม็คโครเพิ่มขึ้น                   อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของธุรกิจ CVS ปรับตัวเพิ่มขึ้น 70 bps อยู่ที่ระดับ 27.6% จากการเติบโตของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ต้นทุน SG&A ต่อยอดขายเพิ่มขึ้น 40 bps ตามการขยายสาขาและค่าจ้างแรงงาน อย่างไรก็ตาม CPALL ยังคงสามารถบริหารต้นทุนได้ดี และคาดว่าการเติบโตของยอดขายและอัตรากำไรจะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการในปี 2568                   แนวโน้มในไตรมาส 1/2568 คาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐฯ ทั้งโครงการ Easy e-Receipt และ Digital Wallet ขณะเดียวกันราคาหุ้นในปัจจุบันเทรดที่ PE เพียง 16 เท่า เข้าสู่ระดับที่น่าสนใจ โดยก่อนหน้านี้ราคาปรับตัวลงมาประมาณ 10% YTD จากปัจจัยลบเรื่องไม่เข้าร่วมลงทุนในกิจการ Seven & i ทั้งนี้ Bloomberg ประเมินกำไรสุทธิปี 2568-2569 (ปีงบประมาณ 2025-2026F) อยู่ที่ 28,000 ล้านบาท (+10.6% YoY) และ 31,600 ล้านบาท (+12.6% YoY) ตามลำดับ โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยอยู่ที่ 74.82 บาท แนวรับสำคัญอยู่ที่ 50.25 / 49.25 บาท ซึ่งไม่ควรหลุดต่ำกว่าระดับนี้ ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 52.00 / 54.00 บาท

CPALL พื้นฐานแกร่ง รับอานิสงค์ลดค่าไฟ-ลุ้นซื้อหุ้นคืน

CPALL พื้นฐานแกร่ง รับอานิสงค์ลดค่าไฟ-ลุ้นซื้อหุ้นคืน

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี ระบุ ราคาหุ้นของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL)  วันนี้เคลื่อนไหวนำตลาด ประเมินแรงหนุนจาก 1. เป็นหุ้นพื้นฐานมั่นคงที่ Deep Value เป็นเป้าหมายแรกๆ ในช่วงตลาดเริ่มตั้งฐานเพื่อฟื้นตัว จาก PER ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย 15 ปี -1.43 S.D., PBV ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย 15 ปี -1.6 S.D., Dividend Yield > 3.0%, ยอดขายสาขาเดิม YTD (ม.ค. - ก.พ.) ราว 3% ดีสุดในกลุ่ม สะท้อนความมั่นคง การปรับตัวเก่ง 2. แรงหนุนจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ ประกาศแนวทางลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.99 บาท หนุน CPALL ต้นทุนค่าไฟฟ้า = 2.4% ของรายได้, คาดระดับค่าไฟดังกล่าวที่ลดลงจะเปิด Upside กำไร 4% +/- 3. นักวิเคราะห์พื้นฐาน KSS ประเมิน CPALL เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีศักยภาพดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน โดย Net D/E = 1.45 เท่า, Div Yield > 3%, FCF ปีละ 4.1 หมื่นล้านบาท (9.2% ของมูลค่าตลาด) ด้วยแรงขับเคลื่อนด้านบวกดังกล่าว แนะนำ ซื้อลงทุน ราคาเป้าหมายพื้นฐาน 80 บาท ส่วนเก็งกำไรช่วงสั้น วางแนวรับ (49.75-49 บาท) แนวต้าน (52-54 บาท) Stop Loss 48.75 บาท

CPALL จัดใหญ่ มอบทุนกว่า 1,648 ล้าน รับมือยุค AI

CPALL จัดใหญ่ มอบทุนกว่า 1,648 ล้าน รับมือยุค AI

             หุ้นวิชั่น - เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกภาคส่วนของสังคมอย่างรวดเร็ว วงการศึกษาคือหนึ่งในภาคส่วนที่ต้องพลิกเกมส์ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง การเตรียม “คน” ผ่านการศึกษาจึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย ที่ภาคการศึกษาต้องรับมือให้พร้อม              บมจ.ซีพี ออลล์ ร่วมกับ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ (PAT) และโรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ จัดงาน “CP ALL EDUCATION FORUM 2025: สร้างคนเก่ง คนดี มีความสามารถ ผ่านการศึกษายุค AI”  ตอกย้ำความมุ่งมั่นของซีพี ออลล์ ในการส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชน ก้าวสู่ 30 ปี ร่วมสร้าง “คน” ผ่านการศึกษา ให้เป็นคนเก่ง คนดี มีความสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงาน เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ พร้อมมอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนไทย ผ่านเครือข่ายความร่วมมือกว่า 41,900 ทุน มูลค่ารวมกว่า 1,648 ล้านบาท ภายในงานขนทัพเหล่ากูรูผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและเทคโนโลยี จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อ พร้อมตัวจริงจากหลากหลายวงการ อาทิ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง นวัตกรรุ่นใหม่ ที่มาร่วมถ่ายทอดมุมมอง แบ่งปันประสบการณ์ ชวนค้นหาคำตอบการศึกษาไทยในยุคที่ “AI”               นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ร่วมเปิดมุมมอง CP ALL Education Way – การเรียนรู้ที่เติบโตไปพร้อมโลกอนาคต  ผ่าน 3 แนวทางสร้างคนผ่านการศึกษา “เก่ง ดี มีความสามารถ”  1. สร้างคน “เก่ง” เก่งคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) เก่งเทคโนโลยี (AI & Digital Skills) และเก่งเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) 2. สร้างคน “ดี” เก่งอย่างเดียวไม่พอ โลกอนาคตต้องการคน “ดี” ที่มาจาก DNA  ซึ่งเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนรวมถึงครู อาจารย์ทุกท่านที่ต้องร่วมกันปลูกฝังจริยธรรม ความซื่อสัตย์  ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ความเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจผู้อื่น พลังแห่งความดีนี้จะทำให้เยาวชนเติบโตเป็นคนที่ “คิดดี พูดดี ทำดี กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง”  3. สร้างคน “มีความสามารถ” พร้อมปรับตัว พร้อมเชื่อมโลก ผ่านรูปแบบการเรียนรู้ Work-based Education ซึ่งผสานการเรียนรู้กับการทำงานจริง เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะและความพร้อมในการก้าวสู่การทำงานทันทีหลังสำเร็จการศึกษา (Ready to work)              การเรียนรู้ในรูปแบบของซีพี ออลล์ คือเอาลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าตลอดเวลา  รู้จักใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้คนทำงานง่ายขึ้น เราจะไม่ล้ำสมัย แต่เราจะไม่ล้าสมัย เดินหน้าคิดค้นนวัตกรรม รู้จักเอ๊ะ! PDCA Plan-Do-Check-Act หรือวางแผน ปฏิบัติ ตรวจสอบ ปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา “From By Chance to By Design” จากกระบวนการทดลองบางสาขา สู่การออกแบบอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ทุกสาขา ทุกเวลา ให้บริการเหมือนกัน ทำให้เป็น Knowledge Management หรือ KM เพื่อรวบรวมองค์ความรู้และให้ทุกคนสามารถเข้าถึง "องค์ความรู้" พร้อมสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ผ่านการพัฒนา "คน" ให้พร้อมอยู่ร่วมกับ AI ยกตัวอย่าง สมัยก่อนคนวิ่งแข่งกับม้า คนกลัวม้า ก็หาวิธีคุมม้า สมัยนี้คนกลัว AI ก็หาวิธีคุม AI                               หุ้นวิชั่น - “ปฏิเสธไม่ได้ว่า AI และเทคโนโลยี ได้เปลี่ยนแปลงโลกของเราไปอย่างสิ้นเชิง ในอดีตองค์กรต้องการคนเก่ง แต่วันนี้องค์กรต้องการ “คนที่เรียนรู้เร็ว ปรับตัวได้ไว และมีความรับผิดชอบต่อสังคม” เราเชื่อว่า AI  ไม่ได้มาแทนคน แต่คนใช้ AI เป็น จะมาแทนคนที่ใช้ AI ไม่เป็นและนั่นคือเหตุผลที่ซีพี ออลล์สร้างแนวทางการศึกษา  ที่ผสานการทำงานของคน+AI และเทคโนโลยี เกิดเป็นนวัตกรรม เพื่อเตรียมคนให้พร้อมรับมือกับโลกที่ไม่หยุดนิ่ง” นายยุทธศักดิ์กล่าว ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ซีพี ออลล์ มุ่งมั่นสร้างคนผ่านการศึกษาตามแนวทาง นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อสร้างโอกาสและสร้างรากฐานทางการศึกษา ให้เยาวชนสามารถเข้าถึงการศึกษาทุกระดับผ่านการสร้างความมือร่วมกับเครือข่ายการศึกษา ปี 2538 ร่วมมือกับสถานศึกษาอาชีวศึกษารัฐบาล ผลิตนักเรียน นักศึกษา ระดับ ปวช.และปวส. ปี 2548  สร้างโรงเรียนปัญญาภิวัฒน์เทคโนธุรกิจเป็นแห่งแรก ต่อมายกระดับเป็นวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ (PAT)  ผลิตนักเรียน นักศึกษา ระดับ ปวช.และปวส. ปี 2549 ขยายศูนย์การเรียนปัญญาภิวัฒน์กว่า 20 ศูนย์ทั่วประเทศ ปี 2550 สร้างสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) ยกระดับการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา ปี 2550-2559 ขยายความร่วมมือร่วมกับเครือข่ายการศึกษา ร่วมกับ สมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เครือข่ายอุดมศึกษา, โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาเพื่ออาชีพแก่เยาวชนในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ , สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กรมส่งเสริมการเรียนรู้ และมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (Connext ED) ปี 2560 สร้างโรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ หรือ (สาธิตพีไอเอ็ม) เปิดสอนระดับมัธยมศึกษา ปี 2565 เปิดสถาบันการศึกษาวิทยาการหุ่นยนต์ ALL Robotics ซึ่งเป็นความร่วมมือพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้เทคโนโลยีหุ่นยนต์สำหรับภาคการศึกษาระหว่าง Robot LAB สหรัฐอเมริกา ปี 2568 ขยายความร่วมมือร่วมกับมูลนิธิชาวปักษ์ใต้ และมูลนิธิรักเมืองไทย              ทั้งนี้ภายในงาน “CP ALL EDUCATION FORUM 2025”  ซีพี ออลล์ มอบทุนการศึกษาประจำปีการศึกษา 2568 ให้กับเยาวชนไทยผ่านเครือข่ายความร่วมมือกว่า 41,900 ทุน มูลค่ารวมกว่า 1,648 ล้านบาท สร้างโอกาสทางการศึกษาสู่เยาวชนไทยกว่า 56,883 คน  พร้อมขนทัพเหล่ากูรูผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและเทคโนโลยีมาร่วมถ่ายทอดมุมมอง แบ่งปันประสบการณ์ ในช่วงเสวนาพิเศษ: “โอกาสและความท้าทายของการศึกษาไทยในยุค AI”  พบตัวจริงจากวงการศึกษา  ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa),  รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) และ ลาเต้-มนัส อ่อนสังข์  บรรณาธิการข่าวการศึกษาและแอดมิชชั่น เว็บไซต์ Dek-D  ชวนทุกคนสำรวจอนาคตของการศึกษาไทย ภายใต้บริบทโลกใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเสวนาพิเศษ: “The Changemakers: Social Effects in the AI Era”  พบกับ เขื่อน-ภัทรดนัย เสตสุวรรณ นักจิตบำบัดและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง, หมอฟรัง นรีกุล เกตุประภากร แพทย์ KOL เจ้าของธุรกิจ เจ้าของเพจ LaohaiFrung  และ ภูมิ-อภิภูมิ ชื่นชมภู นวัตกรวัยเยาว์ที่มีความมุ่งมั่นด้านการพัฒนาการศึกษาและนวัตกรรม ช่วงเสวนานี้จะเปิดพื้นที่ให้ผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Changemakers)  จากหลากหลายวงการได้แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคมของ AI และแนวทางในการปรับตัวของมนุษย์ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ภายในงานมีเครือข่ายการศึกษา คณาจารย์ นักเรียนเข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

ค้าปลีกถึงรอบฟื้นตัว CPALL ดาวเด่น -เป้า 75 บ.

ค้าปลีกถึงรอบฟื้นตัว CPALL ดาวเด่น -เป้า 75 บ.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง Commerce Sector ว่า กำลังซื้อฟื้นตัวจำกัด เลือกผู้เล่นที่แข็งแกร่งกว่ากลุ่ม            ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 (1QTD) ดัชนี SSSG ของหุ้นกลุ่มค้าปลีกใน Coverage ของเรามีค่าเฉลี่ยที่ -0.6% YoY โดยถูกกดดันจากจำนวนวันในเดือนกุมภาพันธ์ที่น้อยลง (ปี 2024 เป็นปีอธิกสุรทิน) รวมถึงยอดซื้อที่ลดลงจากมาตรการลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt ทั้งในแง่จำนวนวันที่ใช้โครงการและวงเงินลดหย่อนที่ปรับลดลงจาก 50,000 เหลือ 30,000 บาท อย่างไรก็ตาม SSSG ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็น ยังโดดเด่นกว่ากลุ่มอื่น โดยยังเติบโตเป็นบวก            กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค: SSSG เฉลี่ยอยู่ที่ +1.5% YoY แม้จะเติบโตชะลอลงจาก +1.8% YoY ในช่วง 4Q24 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของการบริโภค โดย CPALL อยู่ที่ +2–3% YoY, CPAXT +1–3% YoY และ BJC +2–3% YoY ขณะที่ธุรกิจอาหารของ CRC ติดลบ 1–3% YoY แม้ธุรกิจในไทยเป็นบวกเล็กน้อย แต่ได้รับแรงกดดันจากธุรกิจในเวียดนาม (ผลกระทบจากค่าเงินบาท/ดองแข็งค่า ทำให้ยอดขายในรูปสกุลเงินดองทรงตัว)            กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและ Home Improvement: SSSG เฉลี่ยอยู่ที่ -3.5% YoY อ่อนแอลงจาก -1.2% YoY ใน 4Q24 โดย CRC ถูกกดดันจากการแข่งขันในเวียดนาม และฐานสูงในอิตาลี ขณะที่ GLOBAL และ HMPRO ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่อ่อนแอ ส่วน DOHOME มีผลการดำเนินงานดีกว่ากลุ่ม โดย SSSG เป็นบวก เนื่องจากได้รับเม็ดเงินจากงบการลงทุนภาครัฐ            แนวโน้มกำไรปกติ 1Q25 คาดว่าจะเติบโต YoY แต่ลดลง QoQ ตามฤดูกาล เนื่องจากพ้นช่วง High Season ของภาคการบริโภค โดยเฉพาะ CPALL และ CPAXT ที่นอกจากยอดขายจะเติบโต ยังได้รับประโยชน์จาก Synergies และการประหยัดต้นทุนหลังการควบรวมกิจการ ขณะที่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและ Home Improvement แม้ SSSG จะติดลบทั้งไตรมาส แต่เราประเมินว่าการขยายสาขาและการเพิ่มสัดส่วนสินค้า Private Brand จะช่วยให้ผลประกอบการใน 1Q25 ทรงตัวถึงเติบโตเล็กน้อย YoY            แนวโน้มกำไรปี 2025: คาดกำไรปกติของกลุ่มค้าปลีกอยู่ที่ 66,000 ล้านบาท เติบโต +11% YoY โดยในไตรมาส 2 คาดว่ากำไรจะลดลง QoQ ตามฤดูกาล ยกเว้น CPALL ที่ได้ประโยชน์จากการเดินทางและ Traffic ช่วงหน้าร้อน สำหรับการเติบโต YoY ได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของกำลังซื้อตามภาคท่องเที่ยว, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ เช่น แจกเงินหมื่นเฟส 3 และมาตรการแก้หนี้ครัวเรือน รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐที่มากกว่าปีก่อน นอกจากนี้รายได้ภาคเกษตรที่คาดว่าจะเติบโตจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจากอิทธิพลของปรากฏการณ์ลานีญา ก็ช่วยสนับสนุนเช่นกัน            ในช่วงครึ่งหลังปี 2568 (2H25) คาดว่าผลประกอบการจะเติบโต YoY โดดเด่นกว่าครึ่งปีแรก หากมาตรการแจกเงินหมื่นเฟส 4 สามารถดำเนินการได้ภายในไตรมาส 3 (วงเงินราว 130,000 ล้านบาท) ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการจับจ่ายภาคการบริโภค ขณะที่ในฝั่งต้นทุน คาดว่ากลุ่มค้าปลีกจะได้ประโยชน์จากต้นทุนค่าไฟฟ้าต่อหน่วยที่มีแนวโน้มลดลง YoY            มุมมองการลงทุน: เรายังคงน้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” (Overweight) สำหรับกลุ่มค้าปลีก แม้ว่ากำลังซื้อในช่วงต้นปี (1QTD) จะฟื้นตัวน้อยกว่าที่คาด แต่ราคาหุ้นที่ปรับลงก่อนหน้านี้น่าจะสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ทำให้ระดับ Valuation ในปัจจุบันน่าสนใจ โดยเลือก CPALL (ราคาเป้าหมาย 75.00 บาท) เป็นหุ้นเด่น จาก SSSG ที่เติบโตดี และได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ โดยปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปี 2025 เพียง 16 เท่า ซึ่งต่ำกว่า -2SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 และ 10 ปี สำหรับกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและ Home Improvement แม้จะมี Upside Gain สูง แต่คาดว่าราคาหุ้นจะเริ่มฟื้นในช่วงปลาย 2Q25 ซึ่งกำไรในครึ่งปีหลังจะเติบโตจากฐานที่ต่ำ และมีแนวโน้มเห็นการฟื้นตัวของภาคอสังหาฯ ซึ่งจะเป็นจังหวะในการทยอยสะสม

ฟินันเซีย ชู

ฟินันเซีย ชู "CPALL" เด่น ล็อกเป้า Thai ESG Extra

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) แนวโน้มตลาดวันนี้: เราคาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ โดยมีโอกาสปรับตัวลงหลุดแนวรับต่ำสุดเดิมที่ 1,180-1,197 จุด โดยภาพรวมบรรยากาศการลงทุนยังคงผันผวนและถูกกดดันจากการเก็บภาษีตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯ-แคนาดาซึ่งสะท้อนถึงความไม่น่าแน่นอนในระยะถัดไป ตลาดยังคงกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อาจชะลอตัวลง              ขณะที่ความเสี่ยงเงินเฟ้อที่สูงขึ้นยังคงอยู่ โดยคืนนี้ต้องติดตามตัวเลขเงินเฟ้อ CPI (ตลาดคาด Headline +0.3% m-m, +2.9% y-y Core +0.3% m-m, +3.2% y-y) หากออกมาสูงกว่าคาดจะกดดันสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง แต่หากชะลอตัวและต่ำกว่าคาดจะผ่อนคลายกับตลาดและเพิ่มโอกาสที่ FED จะลดดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น ส่วนปัจจัยในประเทศตลาดได้รับ Catalyst บวกจากกองทุน Thai ESG Extra สำหรับโยกเม็ดเงิน LTF เดิมเพื่อถือครองต่อเนื่องและลดหย่อนภาษีเพิ่ม ซึ่งคาดว่าจะช่วยชะลอแรงขาย LTF จากฝั่งสถาบันที่ถูกลูกค้า Redeem ได้ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า              อย่างไรก็ตามเราให้ความสำคัญสูงสุดจากปัจจัยพื้นฐานทั้งการเติบโตของ GDP และ EPS ซึ่งเรายังมองกลุ่ม Domestic Defensive และ Tourism-Related Play น่าจะมีแนวโน้มปรับตัวดีกว่า Global-Related Play ที่ถูกกระทบจากความเสี่ยงของต่างประเทศ กลยุทธ์: ยังเน้น Selective Buy หุ้นที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งในปี 2025 และ Valuation ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดอย่างมีนัยยะ              หุ้นเด่นเดือนมี.ค.: BA, BTG, CPALL, MTC, PR9              FSSIA Portfolio: BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR หุ้นเด่นวันนี้: CPALL              แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 83 บาท โมเมนตัมกำไร 1Q25 คาดว่าจะยังเติบโตได้ต่อเนื่อง y-y หนุนจาก SSSG QTD ที่ยังคงเป็นบวกได้ราว 1-3% ทั้ง 7-Eleven และ CPAXT โดยยังตั้งเป้า SSSG ทั้งปีเติบโตราว +3% ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ คาดกำไรปี 2025 ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท +10% y-y และมีแรงหนุนจาก Synergy Value ของ CPAXT ที่จะเห็นผลชัดขึ้นใน 2H25 นอกจากนี้เราคาด CPALL จะเป็นเป้าในการซื้อกลับจากการมาของ Thai ESG Extra ในอนาคตและการแจกเงินหมื่นเฟส 3  แนวรับ 50/48.75 บาท แนวต้าน 53-53.50/55 บาท              Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากภูมิภาคสุทธิหนาแน่น US$2,381 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$1,291 ล้านและ US$1,025 ล้าน ตามลำดับ ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินไหลออกจากทุกประเทศ สูงสุดที่ไทยและอินโดนีเซียประเทศละ US$20-30 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ายังอยู่ในทิศทางไหลออกจากความไม่แน่นอนเรื่องการเก็บภาษีสินค้าของสหรัฐฯตอบโต้ต่อประเทศอื่นๆ ที่จะรุนแรงขึ้นหรือไม่ ประเด็นสำคัญวันนี้ (+) ครม.ไฟเขียว Thai ESG Extra โดยแบ่งเป็น 1) ให้สามารถโยกเงินจาก LTF มาอยู่ในกองทุน Thai ESG Extra ได้สูงสุด 5 แสนบาท 2) ให้ซื้อ Thai ESG Extra เพิ่มได้อีก 3 แสนบาทในปี 68 โดยจะต้องซื้อในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. ปีนี้ โดยรวมมองเป็น Sentiment บวกอ่อนๆ ต่อ SET Index โดยจะช่วยลดแรงกดดันจากการทยอยขาย LTF ได้ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า (0) กลุ่มไฟฟ้า กกพ. เปิดรับฟังความเห็นการปรับค่าไฟฟ้างวด พ.ค. - ส.ค. 2025 ตั้งแต่ 11-24 มี.ค. นี้ แบ่งเป็น 3 แนวทาง คือ ค่าไฟฟ้าต่อหน่วยต่ำสุดที่ 4.15 บาท, 4.95 บาท และสูงสุดที่ 5.16 บาท เชื่อว่ากรณีค่าไฟที่ 4.15 บาท น่าจะเป็นไปได้สุดและดีกว่าที่ราคาปัจจุบัน อย่างไรก็ตามรัฐบาลจะเคาะราคาสุดท้ายเดือนหน้า หากรัฐบาลยังคงมีนโยบายช่วยเหลือค่าใช้จ่ายประชาชน รัฐบาลอาจจะยังสามารถกดค่าไฟฟ้าต่ำได้อีก โดยการปรับลดหรือชะลอการจ่ายคืนต้นทุนคงค้างของ กฟผ. ส่วนกรณีที่ตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ 4.15 บาท/หน่วย จะมีผลกระทบต่อโรงไฟฟ้ากลุ่ม SPP จำกัด อย่าง BGRIM, GPSC และ WHAUP ขณะที่ GULF กระทบเล็กน้อย ยังให้ความสำคัญในกลุ่มนี้เป็น Underweight Top pick เป็น RATCH ราคาเป้าหมาย 34.80 บาท แนะนำ "ซื้อ" (-) กลุ่มเดินเรือ ค่าระวางเรือเดินทะเลปี 2025 มีแนวโน้มอ่อนตัวจากความต้องการที่อ่อนแอและจำนวนกองเรือที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณเรือตู้คอนเทนเนอร์ดูเหมือนจะ oversupply ซึ่งจะทำให้ค่าระวางเรือปรับลงแรง ส่วนค่าระวางเรือเทกองจะไม่ปรับลงเร็ว เราปรับลดประมาณการกำไรปกติของกลุ่มเรือเทกองลง 17-18% จากต้นทุนการดำเนินงานและค่าบริหารที่สูงกว่าคาด เป็นกำไรปกติของกลุ่มเดินเรือรวมปี 2025 -18% y-y สำหรับค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มปรับลงในปี 2025 โดยปัจจุบันดัชนีค่าระวางเรือ BSI ยังปรับลง 6.4% YTD และเราปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2025 ยังคงคำแนะนำ "ถือ" สำหรับ PSL ราคาเป้าหมาย 7 บาท และ TTA ราคาเป้าหมาย 5.50 บาท (+) BDMS รายได้ผู้ป่วยคนไทยโตราว 6-7% y-y ในช่วง ม.ค. – ก.พ. ส่วนต่างชาติ Middle East โต 25% y-y, Europe 12-13% y-y และ CLMV 10-12% y-y ในช่วง 1H25 ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้คนไทยโต 4-6% y-y และต่างชาติโต 10-15% y-y ส่วน EBITDA margin คาดอยู่ที่ 24-25% ส่วนผลกระทบเรื่อง co-pay น่าจะมีจำกัด โดยปัจจุบันกลุ่ม simple disease และมีการเคลมมากกว่า 3 ครั้งต่อปี คิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียง 1-2% คงประมาณการและราคาเป้าหมาย 36.50 บาท ยังแนะนำ "ซื้อ" (0) CHG รายได้ผู้ป่วยทั่วไปเดือน ม.ค.-ก.พ. เพิ่มขึ้น y-y แต่รายได้ผู้ป่วยประกันสังคมลดลงจากจำนวนผ่าตัดกระเพาะที่ลดลง เราปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2025-26 ลง 5-6% เพื่อสะท้อนรายได้ผู้ป่วยที่จ่ายค่ารักษาเองลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 2.90 บาท แม้คาดกำไร 1Q25 จะยังชะลอตัว y-y แต่จะฟื้นตัวใน 2Q25 จึงยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" (+) PYLON ผู้บริหารมองอุตสาหกรรมเสาเข็มเจาะที่ดีขึ้นในปี 2025 แนวโน้มมาร์จิ้นทยอยดีขึ้น ปัจจุบันมี Backlog ที่ 1.3 พันล้านบาท บริษัทมองว่ารับงานเพิ่มได้อีก 400-500 ล้านบาทในปีนี้ คาด 1Q25 จะพลิกเป็นกำไรจากขาดทุนใน 4Q24 และ +y-y และจะเร่งขึ้นใน 2Q25-3Q25 จากงานใหม่ อาทิ รถไฟฟ้าสายสีสม้, ทางด่วนจตุโชติ เบื้องต้นหากเราให้สมมติฐานรายได้ปี 2025 +30% y-y บน GPM 14% จะได้กำไรสุทธิ 50-60 ล้านบาท ฟื้นตัวจากปี 2024 ที่ 0.5 ล้านบาท

เปิดแล้ว เซเว่นฯ หลวงพระบาง ประชาชน นักท่องเที่ยวให้การต้อนรับสุดคึกคัก

เปิดแล้ว เซเว่นฯ หลวงพระบาง ประชาชน นักท่องเที่ยวให้การต้อนรับสุดคึกคัก

          เซเว่น อีเลเฟเว่น สาขาแรกของแขวงหลวงพระบางเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว ท่ามกลางบรรยากาศคึกคัก ประชาชน นักท่องเที่ยวแห่ใช้บริการเนืองแน่น เป็นอีกหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว เพื่อเติบโตคู่ชุมชนสังคมอย่างยั่งยืน           นายชัยโรจน์ ทิวัตถ์มั่นเจริญ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และ Managing Director International Business บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เปิดเผยว่า ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น สาขา LPB PHOSY บ้านสายลม เมืองหลวงพระบาง ซึ่งเป็นร้านสาขาแรกในแขวงหลวงพระบาง ได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารโดย บริษัท ซีพี ออลล์ ลาว จำกัด ในกลุ่ม ซีพี ออลล์           โดยในพิธีเปิด ได้รับเกียรติจากท่านเวียงทอง หัดสะจัน เจ้านครหลวงพระบาง เป็นประธาน ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติจากภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่ ซึ่งบรรยากาศในวันแรกเป็นไปด้วยความคึกคัก ได้รับความสนใจจากลูกค้าคนลาว และนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้บริการ สมกับที่หลวงพระบางเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญที่มีชื่อเสียงระดับโลก           “หลวงพระบางเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีศักยภาพ พร้อมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเมืองหลวงพระบาง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก เมื่อปี 1995 การคมนาคมขนส่งสะดวก มีท่าอากาศยานสากล และยังตั้งอยู่บนเส้นทางรถไฟความเร็วสูง จากข้อมูลของรัฐบาลลาว ในปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเข้ามาในแขวงหลวงพระบางกว่า 2.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 125.96 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่มาจากจีน ไทย เกาหลีใต้ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติจะใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 125 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อวัน” นายชัยโรจน์ กล่าว           สำหรับจุดเด่นของเซเว่น อีเลฟเว่น ยังคงเน้นสินค้าที่มีคุณภาพหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค ให้บริการ 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว เป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับธุรกิจบริการและการท่องเที่ยวของ สปป.ลาว ควบคู่ไปกับการสร้างงานผ่านการจ้างงานโดยตรง และโดยอ้อมในธุรกิจที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน และยังเปิดพื้นที่ให้สินค้าท้องถิ่นที่มีศักยภาพเข้ามาวางจำหน่ายตามนโยบายส่งเสริมผู้ประกอบการท้องถิ่น เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจของประเทศ           “ซีพี ออลล์ ดำเนินธุรกิจโดยยึดมั่นค่านิยม 3 ประโยชน์ ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ และประชาชน จึงตามด้วยองค์กร รวมทั้งยึดถือปณิธาน Giving and Sharing ในการแบ่งปันโอกาสต่างๆ สู่สังคม ขับเคลื่อนนโยบายความยั่งยืน 2 ลด 4 สร้าง 1 DNA เพื่อให้เซเว่น อีเลฟเว่น เป็นร้านสะดวกซื้อคู่ชุมชนและสังคม” นายชัยโรจน์ เน้นย้ำ           ปัจจุบัน มีเซเว่น อีเลฟเว่น เปิดให้บริการใน สปป.ลาว แล้ว 12 สาขา ในนครหลวงเวียงจันทน์ แขวงจำปาสัก แขวงสะหวันนะเขต แขวงเวียงจันทน์ และล่าสุดคือแขวงหลวงพระบาง

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

บล.กรุงศรี คาด SET “Rebound” ชู GULF, ADVANC, CPALL

บล.กรุงศรี คาด SET “Rebound” ชู GULF, ADVANC, CPALL

             หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1,213-1,220 จุด รับ 1,192-1,187 จุด ปัจจัยหลักวันนี้ 1) US Bond Yield 10ปี ลงต่อ -6 bps สู่ 4.2% เงินเฟ้อ PCE พื้นฐาน +2.6%y-y ต่ำสุดใน 4ปี (ตามคาด) รายได้บุคคลขยายตัว ดีกว่าคาด บ่งชี้วงจรดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับลง+เศรษฐกิจเดินหน้าได้ ลดความกังวลตลาดต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ+เงินไหลเข้าพันธบัตร จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ยูเครน -สหรัฐฯ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงแร่ธาตุ 2) PMI ทั้งภาคผลิตและบริการ จีน ก.พ. 25 ดีกว่าคาด ก่อนติดตามการประชุม Two-session 3) เริ่มมีความชัดเจนการให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี LTF สำหรับเงินที่ย้ายไปกองใหม่ ThaiESG X ประเมินช่วยชะลอแรงขายนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนระยะกลาง-ยาวมีโอกาสกลับมาทยอยซื้อในจุดที่ SET ปัจจุบันอยู่ในโซนลงทุน ERP (Equity Risk Premium) > AVG + 1S.D. เร่งขึ้น 4) การต่อยอดอุตสาหกรรม New S Curve เรื่องใหม่การเร่งลงทุน Tiktok 3.0 แสนล้านบาทใน 5ปี (เดิมมีข่าวเฉพาะขอ BOI เฟสแรกราว 1.26 แสนล้านบาท) อาจบ่งชี้ภาพกระแสเทคฯจีนเน้นไทยมากขึ้น              คาด SET Rebound หุ้นนำ คือ หุ้น Yield ลงหนุน, หุ้นในธีม Infra Tech และ 7 หุ้น Deep Value (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO)              วันนี้แนะนำ GULF, ADVANC, CPALL

CPALLผู้บริหารคอนเฟิร์ม ไม่เข้าลงทุน Seven&i

CPALLผู้บริหารคอนเฟิร์ม ไม่เข้าลงทุน Seven&i

              หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์บล. ดาโอระบุว่า มีมุมมองบวกต่อการประชุมนักวิเคราะห์ที่ผ่านมา โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้1) การขยายสาขาเป็นไปตามเป้า ปี 2024 ปิดที่ 15,245 สาขา ตั้งเป้าปี 2025E ขยาย +700 สาขา เน้นสาขาใหญ่พร้อมที่จอดรถ กัมพูชา +20-30 สาขา ลาว <10 สาขา 2) ตั้งเป้า SSSG ปี 2025E โตมากกว่า GDP คาด GPM เพิ่ม +10-20 bps YoY จากสินค้า RTE ที่เติบโตต่อเนื่อง สัดส่วนบุหรี่ที่ลดลง (คาดเริ่มปกติใน 1Q-2Q25E)               และ personal care ที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยว 3) มุ่งเน้นพัฒนาสินค้า Ready to eat และ Ready to drink อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ของสาขา 4) คาด maintain สัดส่วน O2O sales ได้ต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 11% แม้ยอดขายเติบโต 5) ผู้บริหารยืนยันไม่เข้าร่วมลงทุนใน Seven&i และมองความเสี่ยง counterparty risk ต่ำจากความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันคงประมาณการกำไร 2025E อยู่ที่ 2.75 หมื่นล้านบาท โต +8.4% YoY จากกำไร 4Q24 ที่ 7.18 พันล้านบาท และในปี 2025E จากการขยายสาขาเพิ่มเติม การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และ high season ของธุรกิจค้าส่งใน 1Q25E ต่อเนื่องไปใน 2Q25E ที่เป็น high season ของ CVS               ราคาหุ้นกลับมา outperform ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมาทั้งจากข่าวร่วมลงทุนและความกังวลของตลาด จากความกังวลเริ่มคลี่คลายประกอบกับผลการดำเนินงานที่ออกมาดีกว่าคาด ปัจจุบันเทรดอยู่ที่เพียง 17.7x               ทั้งนี้ทำให้ยังแนะนำ “ซื้อ” CPALL จากกำไร 4Q24 ที่ออกมาดีกว่าคาด และยังคาดเห็นการเติบโตได้ดีต่อเนื่องในทุกธุรกิจในปี 2025E และ overhang จากประเด็นการเข้าร่วมลงทุนใน Seven&i คลี่คลาย ทำให้คาดราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้

MAGURO สาขาใหม่ดันยอด Q4 กำไรทะยาน 149.3%

MAGURO สาขาใหม่ดันยอด Q4 กำไรทะยาน 149.3%

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน MAGURO ไตรมาส 4/67 กำไรทะยาน 149.3% หนุนทั้งปี 67 กำไรแตะ 96.6 ล้านบาท พร้อมกวาดยอดขาย 1,373.3 ล้านบาท โต 31.6%            บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO แจ้งผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ขอเรียนชี้แจงผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่ 4 ปี 2567 และสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยมีรายละเอียดดังนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการเท่ากับ 399.6 ล้านบาทในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 และ 1,373.3 ล้านบาท สำหรับปี 2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.9 และร้อยละ 31.6 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเปิดสาขาใหม่จำนวนทั้งหมด 13 สาขา ในปี 2567 ได้แก่ ร้านมากุโระ จำนวน 5 สาขา ร้านฮิโตริชาบู จำนวน 6 สาขา ร้านทงคัตสึ อาโอกิ จำนวน 1 สาขา (เปิดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567) และร้านคุคูว์ ร้านอาหารประเภท all-day dining จำนวน 1 สาขา (เปิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567) รวมถึงในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 มีอัตราการเติบโตของรายได้ สาขาเดิม (SSSG) ปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ร้อยละ 1.8            บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 เป็นจำนวน 34.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่ากับ 20.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 149.3 และสำหรับปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 96.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.3 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ที่เติบโตเพิ่มขึ้น ประกอบกับการบริหารจัดการโดยการควบคุมต้นทุนขาย ค่าใช้จ่ายในการขาย และค่าใช้จ่ายในการบริหารที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิใน ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา และสำหรับปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เนื่องจากในครึ่งปีแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นจำนวน 7.1 ล้านบาท หากไม่นับรวมค่าใช้จ่ายนี้ บริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิประจำปี 2567 อยู่ที่ 102.3 ล้านบาท หรือมีอัตรากำไรสุทธิ 7.4% (บนสมมติฐานอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล 20%) ซึ่งปรับเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา            กำไรสุทธิของบริษัทฯ ประจำปี 2567 ได้รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (One-time expenses) จำนวน 7.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หากไม่นับรวมค่าใช้จ่ายนี้            บริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิประจำปี 2567 อยู่ที่ 102.3 ล้านบาท หรืออัตรากำไรสุทธิ 7.4% (บนสมมติฐานอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล 20%)

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

CPALL ยันไม่ประสงค์ลงทุนค้าปลีกในญี่ปุ่น

CPALL ยันไม่ประสงค์ลงทุนค้าปลีกในญี่ปุ่น

          นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ตามที่ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนจำนวนมากยังคงแสดงความกังวลใจว่าบริษัทฯ จะเข้าร่วมลงทุนในบริษัทค้าปลีกของประเทศญี่ปุ่น ตามข่าวที่ปรากฏในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ขอเรียนให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนเชื่อมั่นว่า บริษัทฯ มีนโยบายในการลงทุนที่อยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น ผู้มีส่วนได้เสีย และมุ่งเน้นที่จะสร้างการเติบโตของธุรกิจหลักของบริษัทฯ เป็นสำคัญ           บริษัทฯ ขอยืนยันว่า ไม่มีความประสงค์ที่จะเข้าร่วมลงทุนตามข่าวที่ปรากฏแต่อย่างใด

CPALL บวก 5% โบรกฯ อัพราคาเป้าหมายใหม่ 80 บ.

CPALL บวก 5% โบรกฯ อัพราคาเป้าหมายใหม่ 80 บ.

             หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรื ระบุ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL) ใน 4Q67 รายงานกำไรสุทธิที่ 7.2 พันล้านบาท (+31% yoy, +28% qoq) ซึ่งสูงกว่าประมาณการของ Bloomberg และของฝ่ายวิจัยที่ 12% และ 8% ตามลำดับ แม้ว่ายอดขายจะเป็นไปตามคาด แต่อัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานดีกว่าที่คาดไว้ ด้วยกำไร 4Q67 ที่ดี จึงเพิ่มกำไรต่อหุ้น (EPS) ขึ้น 10.4% และ 12% สำหรับปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ              ในปี 2568 คาดว่ากำไรหลักจะเติบโต 15% โดยได้แรงหนุนจาก 1. 3% SSSG, 2. อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 0.2ppt จากการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ไปสู่อัตรากำไรที่สูงขึ้นในทุกหมวด โดยคาดว่าค่าใช้จ่าย SG&A ต่อยอดขายจะทรงตัว yoy ที่ 20.3%              ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 80 บาท (จาก 70 บาท) CPALL เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของเราสำหรับภาคการพาณิชย์ โดยมีการมองเห็นกำไรสูงสุดและการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมที่ 15.2 เท่า P/E ปี 2568 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว -2SD              ทั้งนี้ CPALL จ่ายเงินปันผล 1.35 บาทต่อหุ้นในปีงบประมาณ 2567

CPALL กำไรดีกว่าคาด ชี้พื้นฐาน86บ. ปีนี้โตต่อ

CPALL กำไรดีกว่าคาด ชี้พื้นฐาน86บ. ปีนี้โตต่อ

             หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” CPALL ที่ราคาเป้าหมาย 86.00 บาท อิง PER ปี 2025E ที่ 28x (หรือเท่ากับ -0.8SD below 5-yr avg. PER) บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 7.18 พันล้านบาท (+30.6% YoY, +28.0% QoQ) ดีกว่าคาด 8.4% โดยมีรายได้รวม 2.50 แสนล้านบาท (+6.8% YoY, +6.7% QoQ) ได้แรงหนุนจาก SSSG ของ CVS ที่ +4% และการเปิดสาขาใหม่ 700 สาขา ทำให้สิ้นปี 2024 มีสาขาทั้งหมด 15,245 สาขา ทั้งนี้ GPM อยู่ที่ 22.9% (+70 bps YoY, +20 bps QoQ) จากการเน้นสินค้ากลุ่ม Ready-to-Eat (RTE) ที่มีอัตรากำไรสูง (76% ของยอดขาย) และการเติบโตของ O2O (7Delivery & All Online) ซึ่งมีสัดส่วน 11% ของยอดขาย CVS ขณะที่ SG&A อยู่ที่ 5.06 หมื่นล้านบาท (+9.2% YoY, +4.3% QoQ) เพิ่มขึ้นจาก ต้นทุนพนักงาน และ ค่าโฆษณา ในช่วงเทศกาลปลายปี              อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง -3.9% YoY จากการชำระคืนหนี้ และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น +19.9% YoY จากค่าเช่าและค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นตามยอดขายงประมาณการกำไร 2025E อยู่ที่ 2.75 หมื่นล้านบาท โต +8.4% YoY จากกำไร 4Q24 ที่ 7.18 พันล้านบาท และต่อเนื่องไปในปี 2025E จากการขยายสาขาเพิ่มเติม การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และ high season ของธุรกิจค้าส่งใน 1Q25Eราคาหุ้นปรับตัวลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาทั้งจากข่าวร่วมลงทุนและความกังวลของตลาด ทำให้ปัจจุบันเทรดอยู่ที่เพียง Xx              ทั้งนี้ยังแนะนำ “ซื้อ” CPALL จากกำไร 4Q24 ที่ออกมาดีกว่าคาด และยังคาดเห็นการเติบโตได้ดีต่อเนื่องในทุกธุรกิจในปี 2025E อย่างไรก็ตามยังเป็น overhang จากประเด็นการเข้าร่วมลงทุนใน Seven&I ทำให้ราคาหุ้นยังถูกกดดันจนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องการร่วมลงทุน

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

CPALL กำไรแกร่ง 2.5 หมื่นล. พร้อมปันผลที่ 1.35บาท/หุ้น

CPALL กำไรแกร่ง 2.5 หมื่นล. พร้อมปันผลที่ 1.35บาท/หุ้น

          หุ้นวิชั่น - CPALL โชว์ผลงานปี 2567 แข็งแกร่ง รายได้รวมพุ่ง 987,794 ล้านบาท เติบโต 7.2% ขณะที่กำไรสุทธิพุ่ง 37.1% แตะ 25,346 ล้านบาท จากการขยายตัวของธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อ 7-Eleven และช่องทางออนไลน์ ตั้งเป้าขยายสาขาใหม่ในไทยอีก 700 แห่ง พร้อมบุกกัมพูชา-ลาว เดินหน้าลงทุน 1.2-1.36 หมื่นล้านบาท มุ่งพัฒนาสินค้าอาหาร-เครื่องดื่ม และเร่งโตกลยุทธ์ O2O หนุนยอดขายออนไลน์โตต่อเนื่อง พร้อมอนุมัติปันผล 1.35 บาทต่อหุ้น           บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL หรือ บริษัทฯ) ใคร่ขอรายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2567 โดยฐานะการเงินและผลการดำเนินงานตามงบการเงินรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อย มาจากธุรกิจหลัก ได้แก่ (1) ธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อ (2) ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกและศูนย์การค้า และ (3) ธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสำเร็จรูป ธุรกิจตัวแทนรับชำระค่าสินค้าและบริการ และธุรกิจจำหน่ายและซ่อมแซมอุปกรณ์ค้าปลีก           บริษัทฯ มีรายได้รวม 987,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.2 และกำไรสุทธิ 25,346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 37.1 จากปีก่อน ตามลำดับ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นทุกหน่วยธุรกิจ อันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศที่ยังคงขยายตัว           ด้านการเติบโตของธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อภายใต้เครือข่ายร้านสาขา 7-Eleven บริษัทฯ บรรลุแผนขยายสาขาและมุ่งเน้นการส่งมอบคุณค่าให้ลูกค้าภายใต้สโลแกน “All Convenience” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างช่องทาง Online และ Offline โดย ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีร้าน 7-Eleven ทั่วประเทศรวม 15,245 สาขา เพิ่มขึ้น 700 สาขา จากปีก่อน พร้อมทั้งขยายช่องทางการขายและบริการบน แอปพลิเคชัน 7App ที่รองรับ 7Delivery และ All Online เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า           บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายร้านสาขาในทำเลที่ดี รวมไปถึงการขยายร้านสาขาและพัฒนาร้านสาขาให้มีความแตกต่าง สะท้อนความต้องการของลูกค้าที่ไม่เหมือนกันในแต่ละพื้นที่ เพื่ออำนวยความสะดวกและเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในทุกชุมชน ทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ในรูปแบบของร้านบริษัท ร้าน Store Business Partner (SBP) และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต รวมถึงการพัฒนาร้านในสถานีบริการน้ำมันและร้านที่ตั้งเป็นเอกเทศ (Standalone)           ในระหว่างปี 2567 ธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อได้มีการขยายสาขา 7-Eleven ทั้งร้านบริษัท ร้าน SBP และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต รวมทั้งสิ้น 700 สาขาในไทย ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย (เป้าหมายสำหรับปี 2567 คือ 700 สาขา) ดังนั้น ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีจำนวนร้านสาขาทั่วประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 15,245 สาขา แบ่งเป็น ร้านบริษัท 7,743 สาขา (ร้อยละ 51) เพิ่มขึ้น 407 สาขา ร้าน SBP 6,594 สาขา (ร้อยละ 43) เพิ่มขึ้น 259 สาขา และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต 908 สาขา (ร้อยละ 6) เพิ่มขึ้น 34 สาขา           สำหรับการดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อในต่างประเทศ ในปี 2567 บริษัทฯ ได้ขยายสาขา 7-Eleven ในกัมพูชาเพิ่มขึ้น 30 สาขา และใน สปป.ลาวเพิ่มขึ้น 7 สาขา ทำให้มีสาขา 7-Eleven ที่เปิดให้บริการรวมทั้งสิ้น 112 สาขาในกัมพูชา และ 10 สาขาใน สปป.ลาว           ในด้านของผลิตภัณฑ์และการบริการ บริษัทฯ มุ่งพัฒนาไปสู่การเป็น ร้านอิ่มสะดวกเต็มรูปแบบ โดยให้ความสำคัญกับการปรับตัวตามความต้องการของลูกค้า มีการพัฒนาสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมเพิ่มเมนูสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการนำผลผลิตตรงจากเกษตรกรไทย ทั้งผัก ผลไม้สด และสินค้าเกษตรแปรรูปมาจำหน่ายผ่านร้าน 7-Eleven และช่องทางออนไลน์ ตามยุทธศาสตร์ด้านความยั่งยืน ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างดีจากลูกค้าที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว คุ้มค่า และมีโภชนาการที่ดีในการดำเนินชีวิตประจำวัน           ในปี 2567 สัดส่วนของรายได้จากการขาย ร้อยละ 76.0 มาจากสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และร้อยละ 24.0 มาจากสินค้าอุปโภค โดยสัดส่วนรายได้ในกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งมีการออกสินค้าใหม่ควบคู่กับโปรโมชั่นของกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งสามารถดึงดูดลูกค้าได้เพิ่มขึ้นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สะท้อนให้เห็นว่า ร้าน 7-Eleven เป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งในใจลูกค้าเมื่อนึกถึงอาหารและเครื่องดื่ม ตามสโลแกน "หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา" และ "หิวเมื่อไหร่ก็สั่งเลย" ที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกที่ และทุกเวลา           ในปี 2567 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการรวม 439,787 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 40,229 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 10.1 ในขณะที่ ยอดขายเฉลี่ยของร้านเดิมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 โดยมียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวันอยู่ที่ 83,906 บาท และมียอดซื้อต่อบิลโดยประมาณ 85 บาท ขณะที่จำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ยอยู่ที่ 978 คน ในปีที่ผ่านมา กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ธุรกิจร้านสะดวกซื้อจึงได้ปรับแผนกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงการรักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ด้วยการนำเสนอสินค้าใหม่ๆ ควบคู่กับโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้า           นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้จากการขายสินค้าผ่านกลยุทธ์ O2O (Online to Offline) เช่น 7Delivery และ All Online ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ โดยมีสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 11 ของรายได้จากการขายสินค้ารวมในปีที่ผ่านมา เป้าหมายการขยายสาขา           บริษัทฯ วางแผนที่จะพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการทั้งแพลตฟอร์ม ออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งรวมถึงการขยายเครือข่ายร้านสาขาอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของชุมชน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แหล่งท่องเที่ยว และทำเลที่มีศักยภาพอื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเข้าถึงความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด           บริษัทฯ วางแผนที่จะลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่ในประเทศไทยอีกประมาณ 700 สาขาในปี 2568 และมีเป้าหมายที่จะเปิดร้านใหม่เพิ่มเติมในประเทศ กัมพูชา และ สปป.ลาว ในปี 2568 อีกด้วย ประมาณการรายได้จากการขายและบริการ           อัตราการเติบโตของรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของยอดขายจากร้านสาขาใหม่ และยอดขายเฉลี่ยของร้านเดิม รวมถึงยอดขายจากช่องทางอื่นๆ เช่น 7Delivery และ All Online ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อ ราคาวัตถุดิบ ราคาพลังงาน และการขยายตัวของการบริโภคภายในประเทศ เป็นต้น ประมาณการอัตรากำไรขั้นต้น           บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายอัตรากำไรขั้นต้นอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเน้นการพัฒนาระบบในการคัดสรรสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น และผลักดันให้มีสัดส่วนของสินค้าที่มีกำไรขั้นต้นสูงเพิ่มขึ้น ทั้งจาก สินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภค ประมาณการงบลงทุน           บริษัทฯ คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 12,000 – 13,600 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้: รายการ งบลงทุน (ล้านบาท) การเปิดร้านสาขาใหม่ 3,800 - 4,600 การปรับปรุงร้านเดิม 2,900 - 3,500 โครงการใหม่, บริษัทย่อย และศูนย์กระจายสินค้า 4,000 - 4,100 สินทรัพย์ถาวร และระบบสารสนเทศ 1,300 - 1,400           ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 1.35 บาทต่อหุ้น กำหนด วันที่จ่ายปันผล : 23 พ.ค. 2568 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) : 06 พ.ค. 2568

จับตา CPALL ประกาศงบพรุ่งนี้! ส่องคาดการณ์กำไร Q4/67

จับตา CPALL ประกาศงบพรุ่งนี้! ส่องคาดการณ์กำไร Q4/67

          หุ้นวิชั่น - จับตา CPALL ประกาศงบพรุ่งนี้! ส่องคาดการณ์กำไร Q4/67 “CPALL”  บล.กสิกรไทย           บล.กสิกรไทย คาดว่า CPALL จะรายงานกำไรไตรมาส 4/2567 ที่ 6.6 พันล้านบาท (+19.3% YoY, +16.9% QoQ) การเติบโตYoY และ QoQ ได้แรงหนุนจากการเติบโตยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่เป็นบวกประมาณ 3.5% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์พร้อมรับประทาน (RTE) และผลิตภัณฑ์พร้อมดื่ม (RTD) ในช่วงเทศกาลกินเจ งานกฐิน และฤดูกาลท่องเที่ยว รวมถึงผลประกอบการของ CPAXT ที่ดีขึ้น YoY ดังนั้นคาดการณ์กำไรปี 2567 ที่ 2.47 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.8% YoY การดำเนินงาน คาดการณ์ว่ายอดขายรวมของ CPALL ในไตรมาส 4/2567 จะอยู่ที่ 2.476 แสนล้านบาท (+6.0% YoY, +5.8% QoQ)           คาดว่ายอดขายรวมของธุรกิจ CVS ในไตรมาส 4/2567 จะเพิ่มขึ้น 2% YoY และ 3.6% QoQ เป็น 1.118 แสนล้านบาท ในขณะเดียวกันคาดว่ายอดขายสินค้าจาก CPAXT จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 แสนล้านบาท (+6.3% YoY, +9.4% QoQ) คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะอยู่ที่ 23.5% เพิ่มขึ้น 130bps YoY และ 80bps QoQ โดยได้รับแรงหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจาก CPAXT ขณะที่ GPM ของ CVS คาดว่าจะเพิ่มขึ้น YoY และทรงตัว QoQ ซึ่งสะท้อนถึงยอดขายสินค้า RTE ที่มีอัตรากำไรสูงที่เพิ่มขึ้นและส่วนแบ่งยอดขายผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ลดลง ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ของธุรกิจ CVS คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6% YoY และ 2% QoQ เป็น 3.23 หมื่นล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการเติบโตของยอดขาย โดยเราประเมินว่าอัตราส่วน SG&A ต่อรายได้จะเพิ่มขึ้น 80bps YoY แต่ลดลง 10bps QoQ เป็น 20.6% ของฐานยอดขาย           ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2568-2569 เคาดว่า SSSG ของธุรกิจ CVS ในปี 2568 จะเติบโตในอัตราปานกลางที่ 3% ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่คาดว่ายอดขายจะเติบโตในอัตราที่แข็งแกร่งขึ้นที่ 5.6% จากการขยายสาขาใหม่จำนวนมากขึ้น โดยเรามองในแง่ดีเกี่ยวกับความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นจากยอดขายสินค้ากลุ่ม RTE และ RTD นอกจากนี้ เมื่อรวมการปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ CPAXT ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2568-2569 ขึ้น 7.3% และ 7.9% เป็น 2.78 หมื่นล้านบาท และ 3.16 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ เพื่อสะท้อนถึงการปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ CPAXT และ GPM ของกลุ่ม CVS ที่แข็งแกร่งกว่าคาดตั้งแต่ไตรมาส 3/2567 ซึ่งได้รับแรงหนุนจากยอดขายที่ดีของสินค้ากลุ่ม RTE และ RTD           แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 78.00 บาท  ราคาเป้าหมายอิงวิธีคิดลดเงินสด (DCF) ที่ 78.0 บาท ลดลงจาก 80.0 บาท ด้วยอัตราคิดลดที่ 7.9% จากเดิม 7.7% ราคาเป้าหมายของเราสะท้อนถึง PER ปี 2568 ที่ 26.0 เท่า หรือประมาณ -1.0SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER ในอดีต FSSIA           บลป.เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล คาดการณ์กำไรหลักในไตรมาส 4/2567 ที่ 6.5 พันล้านบาท (+6% q-q, +16% y-y) การเติบโต q-q หนุนโดย CPAXT และการเติบโต y-y หนุนโดยยอดขายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ขยายตัวในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยคาดว่ายอดขายรวมจะเติบโต 5% y-y หนุนโดยทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะยอดขายจากร้านสะดวกซื้อที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 9% y-y จาก SSSG ที่ 3.8% สะท้อนถึงการใช้จ่ายต่อบิลที่สูงขึ้นและการเข้าใช้บริการที่เพิ่มขึ้น คาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นของร้านสะดวกซื้อที่ 29.1% ในไตรมาส 4/2567 (3Q2567 : 29.1%, 4Q2566 : 28.7%) ทรงตัว q-q แต่เพิ่มขึ้น 40bps y-y จากยอดขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง เช่น อาหารพร้อมทาน (RTE), ขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น           นอกจากนี้ FSSIA ยังคงประมาณการกำไรหลักปี 2567 เพิ่มขึ้น 2% เป็น 24.9 พันล้านบาท (+37% y-y) และปรับประมาณการปี 2568-2569 ขึ้นเล็กน้อย 1% เป็น 27.8 พันล้านบาท (+12% y-y) และ 31.6 พันล้านบาท (+13% y-y) ตามลำดับ จากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าที่คาดไว้สำหรับร้านสะดวกซื้อ ค้าส่ง และค้าปลีก โดยในปี 2568 คาดว่าธุรกิจร้านสะดวกซื้อจะรักษาโมเมนตัมการเติบโต โดยคาดการณ์ SSSG ที่ 3%, การขยายสาขาใหม่ 700 แห่งในประเทศไทย (+5% y-y) และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 10bps เป็น 29.2% คำแนะนำและราคาเป้าหมาย: คงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ 83 บาท           FSSIA คงคำแนะนำ "ซื้อ" CPALL ที่ราคาเป้าหมาย 83 บาท โดยมองว่า valuation ยังคงน่าสนใจ โดยปัจจุบันซื้อขายที่ 18x 2025E P/E นอกจากนี้ CPALL จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคของรัฐบาล รวมถึงโครงการ Easy E-Receipt และเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ ตลอดจนแนวโน้มขาลงของค่าไฟฟ้า บล.หยวนต้า           บล.หยวนต้า คาด กำไรปกติงวดไตรมาส 4/67 ของ CPALL อยู่ที่ 6.6 พันล้านบาท เติบโต 7% จากไตรมาสก่อน หรือ QoQ จากไฮซีซั่นของการบริโภคและเติบโต 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หรือ YoY โดยมีปัจจัยหนุนจากยอดขายต่อสาขาเดิมหรือ SSSG ของธุรกิจร้านสะดวกซื้อหรือ CVS เพิ่มขึ้น 50 bps จาก Product mix สัดส่วนยอดขายสินค้ามาจิ้นสูงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง           ส่วนแนวโน้มไตรมาส 1/68 คาดว่ากำไรปกติชะลอตัว QoQ แต่ยังเติบโต YoY ได้ต่อเนื่อง เพราะการบริโภคที่เพิ่มขึ้น จำนวนสาขาใหม่และอัตรากำไรขั้นต้นหรือ GPM ที่ดีขึ้น           ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2568-2569 ขึ้น 2-3% เป็นคาดอยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% และ 2.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% ตามลำดับ สาเหตุหลักจากการปรับประมาณการของ CPAXT ซึ่ง CPALL ถือหุ้น 60% สะท้อนการลดต้นทุนหลังการควบรวมกิจการที่จะเกิดขึ้นเร็วและมากกว่าคาด           กลยุทธ์การลงทุน ยังคงแนะนำซื้อหุ้น CPALL โดยได้ปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 81.50 บาทต่อหุ้น จากเดิมอยู่ที่ 81.00 บาท ซึ่งปัจจุบันหุ้นซื้อขายบนพี/อี เรโชปี 2568 ที่ 19 เท่า ใกล้เคียง -2SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี จึงมองว่าหุ้นไม่แพง และมี Downside ที่จำกัด บล.พาย           บล.พาย คาดรายงานกำไรสุทธิงวดไตรมาส 4/2567 ที่ 6.4 พันล้านบาท (+16%YoY, +14%QoQ) หนุนจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของ ธุรกิจร้าน สะดวกซื้อ (7-Eleven) ที่ +3.2% ในไตรมาส 4/2567 เทียบกับ +3.3% ในไตรมาส 3/2567 และ +3.6% ในไตรมาส 4/2566 ผลจากจำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันที่คาดว่าจะ เพิ่มขึ้นเป็น 990 คน (+3%YoY) ในไตรมาส 4/2567 จาก 965 คนในไตรมาส 4/2566 ตามแนวโน้มจำนวนลูกค้านักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นขึ้น และการเพิ่มสินค้า ประเภทอาหารพร้อมทาน ขนม และสินค้าจาก SME ส่วนยอดขายต่อ บิลคาดทรงตัว YoY และ QoQ ที่ 84 บาทต่อบิล ในไตรมาส 4/2567           คาดเปิดสาขาใหม่ 192 แห่งระหว่างไตรมาส (+5%YoY) ทำให้มีจำนวน สาขารวม ณ สิ้นไตรมาส 4/24 ที่ 15,245 สาขา คาดรายได้จากธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS) มาจากกลุ่มอาหาร คิด เป็นสัดส่วน 76.3% ในไตรมาส 4/2567 เพิ่มจาก 75.4% ในไตรมาส 4/2566 และ ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และ จำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้น           คาดอัตรากำไรขั้นตันจากธุรกิจร้านสะดวกซื้อเพิ่มขึ้นขึ้นเป็น 27.6% ในไตรมาส 4/2567 จาก 26.8% ในไตรมาส 4/2566 หนุนจาก 1) อัตรากำไรกลุ่มสินค้า อาหารที่แข็งแกร่งเป็น 27.2% ในไตรมาส 4/2567 จาก 26.4% ในไตรมาส 4/2566 ผล จากสัดส่วนรายได้จากกลุ่มสินค้าอาหารพร้อมทานที่เพิ่มขึ้น และ 2) อัตรากำไรกลุ่มสินค้าอื่นนอกจากอาหาร ขยายตัวเป็น 29.0% ในไตรมาส 4/2567 จาก 28.2% ในไตรมาส 4/2566 จากสัดส่วนรายได้ผลิตภัณฑ์ส่วน บุคคลที่สูงขึ้น ขณะที่สัดส่วนสินค้าประเภทบุหรี่ที่มีอัตราทำไรต่ำจะ ลดลง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นรวมจะขยายตัว 80 bps YoY ในไตรมาส 4/2567 ใกล้เคียงกับอัตรากำไรขั้นต้นของ CPAXT ที่ขยายตัว 70 bps YoY ในไตรมาส 4/2567           อัตราส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหารต่อยอดขาย สำหรับส่วน ธุรกิจร้านสะดวกซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 29.7% ในไตรมาส 4/2567 จาก 29.4% ในไตรมาส 4/2566 และ Consolidated SG&A-to-sales ratio ของ CPALL เพิ่มขึ้นเป็น 20.4% ในไตรมาส 4/2567 จาก 19.8% ในไตรมาส 4/2566 ผลจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการเติบโตของ Omni Channel           ขณะที่คาดผลประกอบการจากธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งกายใต้ CPAXT จะขยายตัว 18%YoY ในไตรมาส 4/2567 ผลจากการเติบโตของ ยอดขายสาขาเดิม (Makro +1.0% และ Lotus's +1.5%) ในไตรมาส 4/2567           คงคำแนะนำ "ซื้อ" แนวโน้ม SSSG สดใสต่อเนื่องในไตรมาส 1/2568 มูลค่าพื้นฐานที่ 80.00 บาท คำนวณด้วยวิธีคิดลดเงินสด (DCF) ด้วย WACC 8.0%, TG 2.0% เทียบเท่า 27xPE'25E ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยกลุ่มพาณิชย์ไทย

7 สินค้า SME ในเซเว่นฯ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน

7 สินค้า SME ในเซเว่นฯ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน

          หุ้นวิชั่น - ปี 2567 ที่ผ่านมา SME หลายเจ้าปล่อยสินค้าของดีของเด็ดให้เลือกมากมาย และเช่นเคย เซเว่นฯ จะมารวบรวมลิสต์สินค้า SME สุดปัง ฮิตติด Best Seller ที่ขาช้อปตัวยงต้องซื้อติดบ้าน เซเว่น อีเลฟเว่น (7-11) ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ในทุกมิติ เปิด 7 สินค้า SME ดีจนต้องบอกต่อ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน ที่สู้ไม่ถอยสามารถปั้นรายได้พุ่ง เติบโตต่อเนื่อง ก้าวสู่ SME ยุคใหม่ ที่โตไกลไปด้วยกันกับเซเว่นฯ 7 สินค้า SME ดีจนต้องบอกต่อ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน ชุดรวมขนมทองมงคล จาก “ขนมไทยบ้านทองหยอด”           กลายเป็นสินค้าได้รับความนิยมในหมู่คนไทยสายบุญ สายมู โดยชุดรวมขนมทองมงคล ถูกรังสรรค์ ขนาดไซส์มินิ น้ำหนักเบา ราคาเพียง 27 บาท โดดเด่นด้วยแพ็คเกจที่ทันสมัยออกแบบเพื่อให้สะดวกในการรับประทาน เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรับประทานเอง หรือทำบุญในวาระต่างๆ พิธีไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อของคนไทย ซึ่งประกอบไปด้วย ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และเม็ดขนุน จุดเด่นของชุดรวมขนมทองมงคล  เป็นการรวมขนมไทย 4 อย่างไว้ใน 1 กล่อง และผลิตสดใหม่ ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ผ่านการผลิตระดับมาตรฐาน GHP&HACPP ที่ควบคุมให้ขนมสดใหม่ อร่อย กลมกล่อม กลิ่นหอมตามสูตรที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น สามารถดันยอดขายให้ ขนมไทยบ้านทองหยอด ทะลุ 100 ล้าน ปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างมาก ยิ่งหาซื้อได้ง่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศได้ ก็ยิ่งการันตีความปัง ผักโขมอบชีส “รีโอส์ เดลิ” แบรนด์นี้คุณแม่ปลื้มทำให้เรื่องทานผักเป็นเรื่องง่าย           ขอต้อนรับเข้าสู่วงการอาหารอิตาเลียนที่เข้าถึงง่ายมากกับ ผักโขมอบชีส รีโอส์ เดลิ เมนูระดับภัตตาคารสู่เซเว่นฯ ที่รสชาติดี มีคุณประโยชน์ และราคาที่เข้าถึงง่าย บรรจุในถาดเยื่อพืชย่อยสลายได้ในไซส์ที่กำลังอิ่มพอดี ขนาด 100g โดยมีจุดเด่นที่ทำให้ยอดขายปัง 3 หลักการด้วยกัน 1.วัตถุดิบคุณภาพดีที่ผ่านการคัดเลือก  ผักโขมปลอดภัย ผสมกับชีสแท้ๆ เกรดนำเข้า 2.นวัตกรรมการผลิตและรสชาติที่ตอบโจทย์คนไทย ใช้กระบวนการ No-bake process ที่ทำให้หลังอุ่นไมโครเวฟชีสยืดเหมือนสินค้าที่ทำในบ้าน 3.แพ็คเกจจิ้งใช้งานง่าย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บรรจุภัณฑ์ถาดเยื่อพืชที่สามารถลดพลาสติกลงได้ 90% ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มแม่และเด็ก ที่คุณแม่ต้องการให้ลูกๆ ทานผัก ในขณะที่ลูกๆ กลับมองว่าเป็นการทานชีส จึงเกิดเป็นทางออกที่ win win ทั้งคู่ กิมจิผักกาดขาว “คิงเชฟ” เครื่องเคียงตัวดัง สูตรต้นตำรับ ที่สายเกาหลีเกาใจเลิฟมาก           ยังคงอยู่ในหมวดหมู่อาหารนานาชาติ โดนใจสายเกากับ กิมจิผักกาดขาว ในรูปแบบซองพรีเมียมโดดเด่นด้วยสีเขียวสะท้อนแสง ด้วยคอนเซ็ปต์ “ฉีกปากถุง วางตั้ง ตักได้เลย” สามารถทานได้ทุกที่ทุกเวลา แม้แต่ทานในรถก็ยังสะดวก โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีการถนอมอาหารที่สามารถเก็บในบรรจุภัณฑ์ได้ถึง 90 วัน ซึ่งจุดเด่นของคิงเชฟ คือ รสชาติจากสูตรต้นตำรับของประเทศเกาหลี แต่นำมาพัฒนารสชาติให้จัดจ้านถูกปากคนไทย สามารถเลือกรับประทานได้หลายหลายโอกาส โดยลูกค้าเซเว่นส่วนใหญ่ซื้อติดบ้าน บ้างก็ทานเป็นเครื่องเคียงทาน ทานเล่นเป็นของว่าง หรือ นำไปปรุง เช่น คลุกหรือผัดกับข้าว ใส่ในอาหารจานด่วน ใส่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือ ทำเป็นซุปกิมจิ ก็ง่าย สะดวก กิมจินอกจากดีสุขภาพรสชาติดี ยังช่วยส่งเสริมด้านการขับถ่าย มีโพรไบโอติกอีกด้วย เกรนเน่ย์ กราโนล่าบาร์ สแน็กแบบแท่ง สุขภาพดีเอื้อมถึงได้           สแน็กเพื่อสุขภาพจากข้าวและธัญพืช ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเจ้าของแบรนด์เกรนเน่ย์ (Grainey)  เจิ้น-โสรัจ มหรรณพกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูลเกิ้ล จำกัด จากที่เคยน้ำหนักมากถึง 130 กิโลกรัม ตอนนั้นเรียนอยู่ที่อเมริกา เห็นว่าตัวเลือกในการลดน้ำหนักที่นั่นมีมากมาย ทั้งน้ำ โปรตีน และขนม เมื่อเลือกกินของเพื่อสุขภาพผสานกับการออกกำลังกาย สามารถลดน้ำหนักได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน พอกลับมาเมืองไทย จึงเห็นโอกาสในการทำขนมเพื่อสุขภาพ จุดเริ่มต้นมาจากข้าวป๊อป จากนั้นมาพัฒนาให้รสชาติเข้าถึงคนไทย จนมีโอกาสเข้ามาจำหน่ายในเซเว่นฯ ก็ได้รับคำแนะนำให้ผลิตแบบแท่งในราคาเบาๆ 10 บาท เพื่อควบคุมคุณภาพได้ และราคาที่จับต้องได้ ปัจจุบันพัฒนาสูตรตัวแบบแท่งจนเป็นสินค้าขายดีในเซเว่นฯ อย่าง เกรนเน่ย์ กราโนล่าบาร์ ช็อคโกแลตชิพ อัลมอนด์ 25 กรัม และ เกรนเนย์ กราโนล่าบาร์ ไวท์ช็อคแครนเบอร์รี่ 25 กรัม ราคา 15  บาท ตัวเด็ดอีกตัวมัดใจชาว Gen Z, Alpha, First Jobber สามารถทานทุกวันได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ชินเซน น้ำส้มคั้น 100% คั้นสดจากใจใคร ๆ ก็ดื่มได้           ตามมาตำเครื่องดื่มที่เพิ่มความสดชื่นกันบ้าง กับน้ำส้มแบรนด์ SME ไทย แต่ชื่อญี่ปุ่น โดย Shinsen (ชินเซน)  เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า สดชื่น ผลิตจากส้มหลากหลายสายพันธุ์ หลายเบอร์ เพื่อเบลนด์รสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น ด้วยเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ที่หลายคนต้องการเพิ่มความสดชื่น “น้ำส้ม” จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ลูกค้าคว้าติดมือ ที่สำคัญตอบโจทย์สายรักสุขภาพที่ต้องการวิตามินซี รสชาติสดเหมือนคั้นดื่มเองที่บ้าน อีกหนึ่งเทคนิคความอร่อย ยิ่งเก็บในตู้เย็นเพิ่มความสดชื่นและยังรักษาไว้ได้นาน เพราะมีอายุ Shelf Life นานถึง 2 สัปดาห์ ผลิตโดย บริษัท ยูชิ เอฟ แอนด์ บี จำกัด มุ่งช่วยเหลือเกษตรกรไทยให้มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยนำผลไม้ไทยมาแปรรูปด้วยนวัตกรรมจากญี่ปุ่น ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต สะอาด ปลอดภัย ตรวจสอบคุณภาพก่อนถึงมือลูกค้า และยังคงพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคสายสุขภาพให้ดียิ่งขึ้นไป พยัคฆ์ เครื่องดื่มรสชาไทยผสมนม อร่อยเข้มหอมชาหวานน้อยในรูปแบบขวด           ชมรมคนรัก “ชาไทย” ต้องติดใจ! กับแบรนด์คนไทย ชื่อไทยๆ ว่า “พยัคฆ์” มากับโลโก้หัวเสือ ดูมีมนต์ขลัง แต่ราคาน่ารัก 20 บาท ดื่มเย็นๆ จากขวดก็สดชื่น ได้รสชาติเข้มข้น กลิ่นชาเตะจมูก หรือจะเทใส่น้ำแข็งก็หวานหอมกลมกล่อม สินค้าเกิดจากเจ้าของแบรนด์คุณธิติ พัววรานุเคราะห์ CEO บริษัท เก้าหมิง กรุ๊ป จำกัด ที่ชื่นชอบการดื่มชาเป็นชีวิตจิตใจเห็นถึงปัญหาการรอต่อคิวชงทีละแก้ว และการคงรสชาติแบบหวานน้อยให้คงที่ทุกขวด รวมถึงแบบขวดสามารถซื้อเก็บไว้ได้ อยากดื่มตอนไหนก็สะดวก ทำให้ได้รับความนิยมเป็นกระแสบอกกันแบบปากต่อปากในโลกโซเชียล ส่งผลให้ชาไทยพยัคฆ์ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างรวดเร็ว โดยความสำเร็จเกิดจากความตั้งใจในมาตรฐานการคัดเลือกวัตถุดิบ กระบวนการผลิต มีความสะอาด และทุกขวดรสชาติคงที่ ที่สำคัญมีลูกค้าประจำ จนเกิดการแนะนำ และกลายเป็น marketing tool ที่ดีที่ทำให้สินค้ามีความยั่งยืน ทรีทเมนต์กรีนไบโอ ซองสีน้ำเงิน จากตัวตึงร้านขายส่งและร้านเสริมสวย สู่ตัวจี๊ดในเซเว่นฯ ไอเทมสุดท้าย เอาใจสายบิวตี้กันบ้างกับทรีทเมนต์บำรุงผมแบบซอง ทรีทเมนต์ กรีนไบโอ ซองสีน้ำเงินโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ผลิตโดยบริษัท วีชมาร์ต จำกัด ซึ่งก่อนหน้านี้แบรนด์ถือเป็นขวัญใจช่างทำผม และร้านค้าส่ง ได้วางจำหน่ายรูปแบบซองในเซเว่นฯ เมื่อปี 2564 จากคำแนะนำจากผู้บริหารเซเว่นฯ ให้ผลิตกล่องบรรจุจำนวน 6 ซอง เพื่อวางขายบนเชลฟ์ง่ายขึ้น และหากลูกค้าซื้อยกกล่องก็พกง่ายดี ที่ได้รับความนิยมไม่เคยแผ่ว เนื่องจากคุณภาพสินค้าที่ได้รับการยอมรับ หลายคนใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรก สินค้าเหมาะสำหรับผมที่ผ่านการหนีบ ยืด ดัด ทำสีมาอย่างหนักหน่วง ทำให้ผมนุ่ม ลื่น ลดผมแตกปลาย ลดการชี้ฟู มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผู้ชายใช้ได้ ผู้ใหญิงใช้ดี ฐานลูกค้าตอนนี้ครอบคลุมไปต่างประเทศแล้ว อาทิ มาเลเซีย  อินโดนีเซีย สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ที่สำคัญ ทรีทเมนต์กรีนไบโอ เป็นสินค้า Best Seller ในเซเว่นฯ ที่นักท่องเที่ยวเลือกซื้อเป็นของฝากในอันดับต้นๆ โดย คุณศิรดา ศรีประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท วีชมาร์ต จำกัด เจเนอเรชันที่ 2 ฝากไว้ว่า “เราพยายามทำสินค้าให้ถูกและดี มีคุณภาพ ทุกคนเข้าถึงได้ และคงราคาให้ย่อมเยาอยู่เสมอ เพื่อคนไทยค่ะ” ทั้งหมดนี้คือ 7 สินค้า SME ดีจนต้องบอกต่อ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน ที่สามารถปั้นแบรนด์จนเป็นที่รู้จักทั้งไทยและต่างชาติ สามารถนำแบรนด์ไปได้ไกลและยั่งยืน ที่สำคัญยังเข้าใจเข้าถึงผู้บริโภค ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ และรักษาลูกค้าเดิมเอาไว้ สู่ความสำเร็จในระยะยาว สำหรับกุญแจสำคัญในความสำเร็จ คือ ทุกแบรนด์ให้ความสำคัญกับ คุณภาพ ราคา และนวัตกรรมเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตระดับสากล จนเป็นที่ยอมรับว่าแบรนด์ไทยสามารถแข่งขันและเติบโตในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

CPALL สนับสนุนสร้าง “ผู้ประกอบการจิ๋ว”  พาชม “กระเป๋ากระจูด” ในโรงเรียนนำร่อง

CPALL สนับสนุนสร้าง “ผู้ประกอบการจิ๋ว” พาชม “กระเป๋ากระจูด” ในโรงเรียนนำร่อง

          หุ้นวิชั่น - นอกจากโรงเรียนจะต้องเป็นสถานที่ติดอาวุธความรู้ให้แก่เด็กในด้านวิชาการ โรงเรียนยุคใหม่หลายแห่งในปัจจุบัน กำลังมีบทบาทสำคัญใหม่ในการติดอาวุธความรู้ให้แก่เด็กในด้านวิชาชีพ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย เช่นที่โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) จ.พัทลุง ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ให้กลายเป็นหนึ่งในโรงเรียนนำร่องโครงการผู้ประกอบการจิ๋ว ช่วยให้เด็กไทยเก่งทั้งการบริหารการเงิน การตลาด ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์           นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) จ.พัทลุง ถือเป็นหนึ่งใน 6 โรงเรียนนำร่องภายใต้โครงการผู้ประกอบการจิ๋ว ซึ่งเป็นแผนงานหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาโรงเรียนภายใต้ มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) ของซีพี ออลล์ เฟสที่ 6 เพื่อสร้างคนผ่านการศึกษา ให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางการพัฒนาทั้งทักษะการเรียนรู้ ทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต ให้แก่เยาวชนและคนในชุมชน ติดอาวุธทักษะวิชาการควบคู่วิชาชีพให้แก่คนรุ่นใหม่ ช่วยให้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งในทุกด้านพร้อมสำหรับการเติบโตสู่โลกภายนอกอย่างยั่งยืนหลังศึกษาจบ           “เราเลือกโรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) เป็นโรงเรียนนำร่องโครงการผู้ประกอบการจิ๋วในภาคใต้ ด้วย 3 เหตุผลหลัก ได้แก่ 1.สามารถบูรณาการหลักสูตรการเรียนการสอนทั้งวิชาการและวิชาชีพ จนเกิดเป็นศูนย์การเรียนรู้กระจูดได้อย่างยอดเยี่ยม 2.สามารถต่อยอดภูมิปัญญาที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่นอย่างกระจูด ให้กลายเป็นสินค้าที่น่าสนใจ สร้างรายได้กลับสู่ชุมชนอย่างยั่งยืนได้ และ 3.สามารถสร้างการมีส่วนร่วมกับคนในชุมชน ตลอดจนพัฒนานักเรียนและคนในชุมชนให้มีทักษะการเป็นผู้ประกอบการ” นายยุทธศักดิ์ กล่าว           ทั้งนี้ โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) มีผลิตภัณฑ์จากเส้นกกและกระจูด ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านหลากหลายชนิด อาทิ กระเป๋าจากกระจูดสานมือ หูหิ้วถ้วยกาแฟจากเส้นกกโดยผลิตภัณฑ์ได้มีโอกาสเข้าไปวางจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น จำนวน 19 สาขาในเขตภาคใต้ตอนล่าง สร้างรายได้กลับสู่โรงเรียนและชุมชน           ที่ผ่านมา คุณครูและนักเรียนจำนวนกว่า 200  คน ในโรงเรียน ได้เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่การประยุกต์หลักสูตรการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกระจูด เข้ากับกลุ่มสาระการเรียนรู้ทุกรายวิชา สอนทั้งการแปรรูปกระจูด การแปรรูปเส้นกก การออกแบบและเพนท์ลายกระจูด การบริหาร การเงิน การไลฟ์สดขายของ ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ทุกขั้นตอนของการเป็นผู้ประกอบการ สามารถช่วยครอบครัวทำเป็นอาชีพเสริม ช่วยโรงเรียนและชุมชนให้มีรายได้           นางวิไล ยศกิจ อาจารย์ผู้ก่อตั้งโครงการ โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) กล่าวว่า โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการ CONNEXT ED กับทางซีพี ออลล์ ตั้งแต่ประมาณปีการศึกษา 2562 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ องค์ความรู้ ทักษะที่เกี่ยวข้องกับการเป็นผู้ประกอบการ ทักษะยุคดิจิทัล และได้บูรณาการหลักสูตรการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกระจูดและเส้นกก เข้ากับรายวิชาต่างๆ ของนักเรียน ตั้งแต่ชั้นอนุบาล 2 จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เริ่มจากค่อยๆ เรียนรู้ภาพของกระจูด แหล่งที่ตั้ง ประโยชน์ วิธีการเลือก วิธีการจักสานกระเป๋า วิธีการตัด วิธีการควั่น การทำบัญชีรายรับรายจ่าย การไลฟ์ขายของ การจัดระบบ ไปจนถึงการตลาด           “โครงการผู้ประกอบการจิ๋ว ช่วยให้เด็กๆ มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ทั้งด้านการปฏิสัมพันธ์ การพูด การจักสาน การตลาด ตัวผลิตภัณฑ์กระเป๋ากระจูดก็ได้รับการบอกต่อแบบปากต่อปาก จนวันนี้เรามีเพจกระจูดนักเรียน เป็นหนึ่งในช่องทางการจัดจำหน่าย ราคาจัดจำหน่ายมีตั้งแต่แบบที่ยังไม่ตกแต่งใบละ 60-80 บาท ไปจนถึงแบบที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยลูกปัด ใบละหลักพัน สร้างรายได้กลับสู่โรงเรียน ชุมชน และตัวนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ ไปจนถึงช่วงโยกย้ายตำแหน่ง ที่เคยมียอดสั่งซื้อสูงสุดหลักแสนบาท” นางวิไล กล่าว           ทั้งนี้ เธอรู้สึกภูมิใจที่เห็นนักเรียน โรงเรียนและชุมชนพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากชุมชนที่นี่เป็นชุมชนยากจน ชุมชนแออัด พอโรงเรียนเป็นตัวนำ ก็มีส่วนช่วยให้ผลิตภัณฑ์จากกระจูดซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น มีมูลค่าสูงขึ้น และเป็นที่รู้จักวงกว้างมากขึ้น นักเรียนก็ได้มีกิจกรรมที่สร้างประโยชน์ร่วมกับครูและผู้ปกครอง           ด้าน ด.ญ.ธมลวรรณ ปากลาว นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) หรือ น้ำขิง กล่าวว่า ตัวเธอเองได้เริ่มเรียนรู้เรื่องการสานกระจูดจากคุณป้าของเธอตั้งแต่ประมาณชั้น ป.2 และได้มาต่อยอดทักษะอื่นๆ เช่น การขายของออนไลน์ผ่านเพจกระจูดนักเรียน การเพนท์ลายกระเป๋าเป็นลวดลายต่างๆ เช่น ลายการ์ตูน ได้มีทักษะวิชาชีพติดตัว ได้สนิทสนมกับพี่ๆ ชั้นอื่นๆ ผ่านการทำกระจูดร่วมกัน และได้เงินค่าทำกระจูดเป็นทุนการศึกษาในอนาคต           “เมื่อก่อนไลฟ์สดขายของ ได้รับกระแสตอบรับไม่ค่อยดี แต่พอได้รับคำแนะนำจากทางซีพี ออลล์ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีขึ้น ลูกค้าสนใจมากขึ้น ตอนนี้มีทั้งลูกค้าในท้องที่ ลูกค้าคนไทย ลูกค้าต่างชาติ เข้ามาสั่งซื้อสินค้า พวกหนูก็มีรายได้จากการช่วยโรงเรียนไลฟ์สดและจักสาน จนตอนนี้มีเงินเก็บเป็นทุนการศึกษาประมาณ 3,000 บาทแล้ว อนาคต อยากกลับมาเป็นครูสอนการจักสาน” ด.ญ.ธมลวรรณ กล่าว           ปัจจุบัน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ดูแลโรงเรียนภายใต้ CONNEXT ED รวมประมาณ 610 โรงเรียน รวมจำนวนนักเรียนกว่า 160,000 คน โมเดลที่ประสบความสำเร็จของโรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) จะเป็นจุดเริ่มต้นในการขยายผลไปสู่โรงเรียนอื่นๆ ภายใต้ CONNEXT ED เพิ่มเติม โดยเฉพาะโรงเรียน CONNEXT ED ในภาคใต้ เพื่อสร้างรากฐานการศึกษาไทยให้แข็งแรง ช่วยติดอาวุธให้เด็กไทยยุคใหม่มีภูมิคุ้มกันที่ดี เติบโตไปได้อย่างยั่งยืน

CPALL ปีนี้คาดโตแกร่ง Valuation ต่ำ โบรกเคาะเป้า 78.00 บาท

CPALL ปีนี้คาดโตแกร่ง Valuation ต่ำ โบรกเคาะเป้า 78.00 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย แนะนำเก็งกำไร CPALL ในเชิง valuation ที่ราคาลงมาต่ำ -2SD สำหรับ Fwd PE’25 ที่ 16 เท่า และเปิด upside จากความกังวลในเรื่องต่างๆ ต่อความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากภาระที่เพิ่มขึ้นเข้าร่วมลงทุน            มองเป็นโอกาสในการลงทุนใน CPALL หากสัดส่วนการลงทุนเป็นราว 5.6% ตามข่าว และมีการจัดสรรเงินทุนในการกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เราคาดโอกาสกระทบต่องบการเงินค่อนข้างน้อย            นอกจากนี้ เรามองแนวโน้มผลการดำเนินงานเป็นเชิงบวกของ CPAXT ที่ CPALL ถือหุ้นอยู่ 60% จากประโยชน์ของ synergy ที่เร็วกว่าคาดและการเติบโตได้ระดับสูง พร้อมการปรับปรุง margin ในปี 2025            อีกทั้งเราคาดว่า CPALL เองมี SSSG ใน 4Q24 เป็นบวกราว 3.5% คาดว่าผลประกอบการใน 4Q24 จะสามารถเติบโตได้ดีตามคาด CPALL: ราคาเป้าหมาย 78.00 บาท

CPALL  ปัดข่าวลือ! อย่าหลงเชื่อ หุ้นร่วง เพราะข่าวสับสน

CPALL ปัดข่าวลือ! อย่าหลงเชื่อ หุ้นร่วง เพราะข่าวสับสน

          หุ้นวิชั่น - 7 กุมภาพันธ์ 2568 วงแตกกันไปเรียบร้อยสำหรับเซียนทั้งหลายที่ฟันธง รวมทั้งบรรดานักปั่นนักปั้นข่าว จากกรณีกระแสการเข้าซื้อ Seven & i Holdings บริษัทแม่สัญชาติญี่ปุ่นที่ถือครองแบรนด์ 7-Eleven ทั่วโลก โดยเฉพาะทุกสายตาที่จับจ้องไปที่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งบริหารร้านเซเว่นฯ ในประเทศไทย เพราะนอกจากซีพี ออลล์ จะประสบความสำเร็จในการทำเซเว่นฯ ในไทยมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ปัจจุบันยังขยายธุรกิจไปได้ดีทั้งในกัมพูชา และลาว รวมทั้งภาพรวมของบริษัทก็แข็งแกร่ง ต้นตอข่าวลือ            บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งได้เผยแพร่ข้อมูล โดยอ้างอิงจาก Bloomberg ว่า CPALL อาจจะเข้าร่วมดีลมูลค่า 500,000 ล้านเยน (ประมาณ 110,000 ล้านบาท) และยังพาดพิงถึงแหล่งเงินทุน 2 แห่งในสหรัฐฯ คือ Citigroup และ Bank of America ที่จะเข้ามาสนับสนุนการเงินให้กับดีลนี้ ผลที่ตามมาคือ หุ้น CPALL ร่วงลงแตะจุดต่ำสุดที่ 46.75 บาท ก่อนจะปิดที่ 47.50 บาท เพราะนักลงทุนกังวลว่าหากดีลเกิดขึ้นจริง อาจส่งผลให้ CPALL มีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และกระทบต่ออัตราการเติบโตของบริษัท CPALL แจงชัด! ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ           ล่าสุด เช้าวันที่ 7 ก.พ. 2568 บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาชี้แจงผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และขณะนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ ตามที่เป็นข่าว โดยมีเนื้อหาระบุว่า “บริษัทขอยืนยันว่า ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังไม่มีการดำเนินการ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากที่เคยแจ้งไว้” CPALL ยังย้ำอีกว่า หากมีการดำเนินการใด ๆ บริษัทฯ จะทำการชี้แจงต่อสาธารณะผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดของนักลงทุน บทเรียนจากข่าวลือ  ฟังให้รอบด้านก่อนตัดสินใจ           งานนี้ ว่ากันไปเป็นตุเป็นตะจนเก็บเศษหน้ากันไม่ทัน บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่สามารถดำเนินการตามอำเภอใจได้ เพราะมีกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติตาม โดยเฉพาะเรื่องความโปร่งใสในการรายงานข้อมูลต่อสาธารณะ เรื่องนี้ไม่ได้มีผลกระทบแค่บริษัท แต่รวมถึงนักลงทุนรายย่อยที่อาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาด สรุปคือ ต่อไปก่อนจะเชื่อหรือฟังข่าวใด ควรใช้วิจารณญาณและตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มิฉะนั้น อาจกลายเป็น แมงเม่าบินเข้ากองไฟ ได้โดยไม่รู้ตัว

abs

Hoonvision

CPALL ปฎิเสธข่าวลือร่วมลงทุนค้าปลีกญี่ปุ่น

CPALL ปฎิเสธข่าวลือร่วมลงทุนค้าปลีกญี่ปุ่น

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง ชี้แจงข่าวลือเรื่องบริษัทค้าปลีกของประเทศญี่ปุ่นมองหาผู้ร่วมลงทุน โดยอ้างถึงจดหมายที่ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 และต่อมามีข่าวลือว่าบริษัทฯ ได้เข้าทาบทามธนาคารของประเทศสหรัฐฯ สองแห่ง ให้เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินในการ เข้าร่วมลงทุนดังกล่าว บริษัทฯขอยืนยันว่า ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังไม่มีการดำเนินการ และไม่มีการเปลี่ยนแปลง จากที่เคยแจ้งไว้ ทั้งนี้ หากบริษัทฯมีการดำเนินการใดๆ บริษัทฯจะทำการชี้แจงต่อสาธารณะผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป

CPALL จ่อซื้อ Seven & I ญี่ปุ่น คาดกระทบกำไร7-9%ต่อปี

CPALL จ่อซื้อ Seven & I ญี่ปุ่น คาดกระทบกำไร7-9%ต่อปี

          หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า กลุ่มทุนที่จะเข้าซื้อกิจการ Seven & I ในญี่ปุ่นกำลังระดมทุน โดยติดต่อ Citibank และ Bank of America เพื่อสนับสนุนวงเงินกู้           ขณะที่ CPALL กำลังพิจารณาลงทุน 5 แสนล้านเยน ในดีลที่ตระกูลอิโตะและอิโตชูมีแผนเสนอราคาซื้อสูงสุด 9 ล้านล้านเยน โดยเงินทุนผู้ถือหุ้นรวมอยู่ที่ 4 ล้านล้านเยน (ตระกูลอิโตะ 5 แสนล้านเยน, อิโตชูกว่า 1 ล้านล้านเยน ส่วนที่เหลือจากการกู้ยืม) นอกจากนี้ ยังมีความสนใจเข้าร่วมจาก Apollo Global Management, KK&R & Co. และธนาคารใหญ่ในญี่ปุ่นอีกหลายแห่ง (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์)           ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นลบต่อประเด็นการลงทุนนี้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะดอกเบี้ยจ่ายที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4.3 พันล้านบาทต่อปี สูงกว่าส่วนแบ่งกำไรที่คาดว่าจะได้รับประมาณ 2.0 พันล้านบาทต่อปี ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 2025E-26E อาจลดลง 7-9% แม้ว่าจะยังต้องรอดูรายละเอียดของข้อตกลงและโอกาสสร้าง synergy อื่น ๆ แต่ภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นถือเป็นความเสี่ยงสำคัญโดย D/E จะสูงขึ้นเป็น 1.23x (จาก 3Q24 ที่ 0.88x) มองว่าส่งผลให้ราคาหุ้นมีแนวโน้มถูกกดดันในระยะสั้นต่อ           อย่างไรก็ตามต้องติดตามความชัดเจนและรายละเอียดเพิ่มเติมของดีลนี้ต่อ ปัจจุบันประมาณการกำไร 2024E/25E อยู่ที่ 2.5 และ 2.7 หมื่นล้านบาท โต +33%/+11% YoY แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 86.00 บาท อิง PER ปี 2025E ที่ 28x (หรือเท่ากับ -0.8SD below 5-yr avg. PER

CPALL ร่วง 5% กังวลดีลซื้อกิจการ Seven and I กระทบกำไรปี 68-69 ราว 7-8% ต่อปี

CPALL ร่วง 5% กังวลดีลซื้อกิจการ Seven and I กระทบกำไรปี 68-69 ราว 7-8% ต่อปี

          หุ้นวิชั่น - บล.บัวหลวง ระบุ Bloomberg รายงานข่าวกลุ่ม CP อาจจะเข้าร่วมลงทุนซื้อกิจการ Seven and I ในสัดส่วน 5 แสนล้านเยน (1.1 แสนล้านบาท) ทั้งนี้ราคาหุ้น CPALL ทำจุดต่ำสุดที่ 46.75 บาท ลบ 3.25 บาท (-6.95%) ฝ่ายวิจัยมีมุมมองลบ ประเมินดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดจากดีลนี้จะสูงกว่าเงินปันผลที่ได้จากการลงทุนในระยะสั้น เป็น downside ต่อประมาณการกำไรปี 2568-2569 ราว 7-8% ต่อปี แนะนำ wait and see จนกว่ามีรายละเอียดดีลเพิ่มเติม

CPALL ดีลซื้อ 7-11ญี่ปุ่นกดดัน โบรกชี้ไม่น่าเกิดขึ้น-เป้า-86บ.

CPALL ดีลซื้อ 7-11ญี่ปุ่นกดดัน โบรกชี้ไม่น่าเกิดขึ้น-เป้า-86บ.

          หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” CPALL ที่ราคาเป้าหมาย 86.00 บาท อิง PER ปี 2025E ที่ 28x (หรือเท่ากับ -0.8SD below 5-yr avg. PER)           มีมุมมองเป็นกลาง จากการที่บริษัทไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับกับข่าว Seven & I Holdings เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในญี่ปุ่น ที่มีการเจรจากับเครือซีพีให้ร่วมลงทุน (Management Buyout) ซื้อหุ้น “Seven & I Holdings” เพื่อนำบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น เพื่อหลีกเลี่ยงการครอบงำกิจการจาก “Alimentation Couche-Tard” จากแคนาดา โดยมูลค่าดีลอยู่ที่ 58,000 ล้านดอลลาร์           โดยปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจน จากประเด็นดังกล่าว เชื่อว่าหากกลุ่มซีพีสนใจ CPALL จะเป็นหนึ่งในบริษัทที่จะเข้าร่วมซื้อกิจการในครั้งนี้ด้วย           ได้วิเคราะห์สถานะทางการเงินของ CPALL และประเมินว่า CPALL จะสามารถเข้าร่วมลงทุนที่ 15% ของหุ้น “Seven & I Holdings” คิดเป็นเงินลงทุน 2.93 แสนล้านบาท โดยใช้เงินกู้ 100% ที่อัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี ซึ่งจะทำให้ D/E ratio ปรับขึ้นเป็น 1.82x จากปัจจุบันที่ 0.88x (Fig 1.)           โดยหากการเข้าซื้อกิจการสำเร็จ จะส่งผลให้กำไร (ก่อนหักภาษี) ของ CPALL ปี 2025E/26E ลดลง 3.4/2.4 พันล้านบาท หรือคิดเป็น -12%/-7% ของกำไรสุทธิตามลำดับ (Fig 2.) โดยเป็นผลกระทบที่ยังไม่รวมปัจจัยอื่นเช่น ผลบวกจาก synergy benefits             อย่างไรก็ดี มองว่าดีลนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากขนาดของดีลมีมูลค่าที่สูงมาก           ยังคงประมาณการกำไร 2024E/25E อยู่ที่ 2.5 และ 2.7 หมื่นล้านบาท โต +33%/+11% YoY จากประมาณการกำไร 4Q24E ที่ 6.4 พันล้านบาท และต่อเนื่องไปในปี 2025E ราคาหุ้น underperform SET -9% ในช่วง 3 เดือน ระยะสั้นราคาหุ้นคาดว่าจะยังคงถูกกดดันจาก ประเด็นข่าวการเข้าร่วมลงทุนใน Seven & I Holdings

CPALL คาดดีล 7-11 ญี่ปุ่น เกิดยาก โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 79.00 บาท

CPALL คาดดีล 7-11 ญี่ปุ่น เกิดยาก โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 79.00 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.เคจีไอ ระบุ CPALL บริษัทค้าปลีกญี่ปุ่นกำลังหาพันธมิตรร่วมลงทุน ครอบครัวที่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Seven & I กำลังคุยกับเครือ Charoen Pokphand (CP) เพื่อหาพันธมิตรร่วมลงทุน โดยคาดว่าดีลนี้จะมีมูลค่าประมาณ 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ และจะเป็นดีลการเข้าซื้อกิจการโดยผู้บริหาร (management buyout) ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นเท่าที่เคยมีมา ซึ่ง NHK รายงานว่าจำนวนเงินลงทุนที่คาดว่าจะมาจาก CP จะเป็นวงเงินหลักแสนล้านเยน Impact  • เราพบว่าดีลนี้ค่อนข้างแพง เพราะจากข้อมูลของ Bloomberg คาดว่ากำไรสุทธิของ Seven & I Holdings Co., Ltd ในปี 2567F จะอยู่ที่ 1.6 พันล้านดอลลาร์ฯ และปี 2568F จะอยู่ที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์ฯ คิดเป็น PER อิงตามประมาณการกำไรปี 2567F-2568F ที่ประมาณ 37X และ 46X จากวงเงินทุนรวมที่ 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ทั้งนี้ ราคาหุ้น CPALL คิดเป็น PER ที่ 19X ในขณะที่ PER เฉลี่ยของกิจการประเภทนี้ในตลาดโลกอยู่ที่ประมาณ 24.1X (Figure 3)  • เรามองว่าดีลนี้จะมี synergy ค่อนข้างจำกัด เพราะ Seven & I Holdings ทำธุรกิจทั้งร้านสะดวกซื้อ / ห้าง Superstores / ห้างสรรพสินค้า / ร้านขายสินค้าเฉพาะทาง • ทั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์ และ CPALL ซึ่งมีการกล่าวถึง และถูกคาดการณ์ว่าจะเกี่ยวข้องกับดีลนี้ไม่ได้ออกมาตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ CPALL แจ้ง SET ว่าบริษัทดำเนินการตามนโยบายการลงทุนที่สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ โดยการพิจารณาข้อเสนอการลงทุนใด ๆ บริษัทจะดำเนินการด้วยความรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียของบริษัท  • จากการศึกษาของเรา พบว่าดีลขนาดนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ซึ่งจะเป็นการจำกัดส่วนการลงทุนของบริษัท โดยเราประเมินแนวทางการลงทุนเป็นสาม scenario ดังนี้: Scenario 1: บริษัทใช้เงินกู้จากธนาคารทั้ง 100% ซึ่งตาม scenario นี้ มูลค่าการลงทุนสูงที่สุดจะอยู่ที่ประมาณ 3 แสนล้านบาท (15% ของการลงทุนรวม) ซึ่งการกู้เงินที่ระดับนี้จะทำให้สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ปรับแล้ว (net debt to adjusted equity) จาก 0.8X เป็น 1.8X (สัดส่วนสูงสุดตาม bond covenant อยู่ที่ 2.0X) ตาม scenario นี้ ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น (ใช้สมมติฐานต้นทุนการก่อหนี้ที่ 4% ต่อปี) จะมีน้ำหนักมากกว่าส่วนแบ่งกำไรที่คาดว่าจะได้รับ และจะทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2568F ของเรามี downside 12%  Scenario 2: บริษัทใช้เงินกู้จากธนาคาร 85% และใช้เงินอีก 15% จากการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน (perpetual bond) ซึ่งในการที่จะรักษาระดับการลงทุนที่ 15% (เท่ากับใน scenario 1) การใช้เงินทุนจากการออก perpetual bond และการกู้ธนาคารจะทำให้สัดส่วน net debt to adjusted equity อยู่ที่ 1.4X ในขณะที่กำไรสุทธิรวมจะกระทบกับกำไรสุทธิรวมประมาณ 15% เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจาก perpetual bond (เราใช้สมมติฐานที่ 5% ต่อปี) Scenario 3: เพิ่มทุน โดยการเพิ่มทุนและการกู้เงินจากธนาคารจะทำให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะไปหักล้างกับส่วนแบ่งกำไรจาก Seven & I Holdings Co., Ltd ที่ระดับ 30:70 ซึ่งในการที่จะรักษาระดับการลงทุนที่ 15% (เท่ากับใน scenario 1&2) บริษัทต้องเพิ่มทุน 8.87 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเงินทุนชำระแล้วในปัจจุบันที่ 8.9 พันล้านบาทอย่างมาก   เนื่องจากดีลมีขนาดใหญ่มาก ทำให้มีทั้งข้อจำกัดในส่วนที่เกี่ยวกับ bond covenant และจะส่งผลกระทบต่อกำไร เราจึงคาดว่าดีลนี้น่าจะเกิดขึ้นได้ยาก โดยในการที่จะจำกัดผลกระทบต่อกำไร สัดส่วนการลงทุนจะต้องน้อยมาก ๆ (น้อยกว่า 5%) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำไรประมาณ 2-3% (Figure 2) Valuation and Action เราแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 79.00 บาท อิงจาก PER ที่ 27.0X (ค่าเฉลี่ยในอดีตระหว่างหุ้นกลุ่มนี้ในประเทศไทยและในต่างประเทศ -0.5 S.D.) Risks • เศรษฐกิจชะลอตัว • ขยายสาขาใหม่ได้ช้ากว่าที่วางแผนเอาไว้ • Disruption จากเทคโนโลยีใหม่ • ถูกยกเลิกเครื่องหมายการค้า 7-Eleven • ความเสี่ยงด้านโลจิสติกส์

CPALL ชี้แจงข่าวลือยันยังไม่มีข้อสรุปเงื่อนไข

CPALL ชี้แจงข่าวลือยันยังไม่มีข้อสรุปเงื่อนไข

          นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)หรือ CPALL ตามที่ปรากฏเป็นข่าวโดยสื่อต่างประเทศเกี่ยวกับบริษัทค้าปลีกญี่ปุ่นที่กำลังมองหาผู้ร่วมลงทุนหลายราย ซึ่งบริษัทฯ เป็นหนึ่งในชื่อที่ถูกอ้างถึงในข่าว โดยขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับเงื่อนไขและการคัดเลือกผู้ร่วมลงทุนแต่อย่างใด           บริษัทฯ ขอเรียนให้ทราบว่า บริษัทฯ มีนโยบายการลงทุนที่มุ่งเน้นการเติบโตของธุรกิจ ทั้งนี้ ในกรณีที่บริษัทฯ พิจารณาข้อเสนอใดๆ ในการลงทุน บริษัทฯ จะดำเนินการด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียเป็นสำคัญ

CPALL จัดเวทีแข่งไอเดีย AI

CPALL จัดเวทีแข่งไอเดีย AI "Creative AI Club Hackathon ปีที่ 3"

          หุ้นวิชั่น - ซีพี ออลล์ จัดเวทีประชันไอเดียปัญญาประดิษฐ์ “Creative AI Club Hackathon ปีที่ 3” เปิดทางเยาวชน ม.ปลาย-ปี 1 ร่วมสร้างสรรค์แนวคิดใช้ AI สร้างเซเว่น อีเลฟเว่นในฝันเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้ายุคใหม่ พบหลากผลงานสุดว้าว เล็งเปิดโอกาสเด็กเก่ง-เจ้าของผลงานเจ๋ง ร่วมโครงการ Future Innovator ต่อยอดไอเดียสู่การปฏิบัติจริง ด้านทีม “เหมียว” คว้ารางวัลชนะเลิศ โชว์ไอเดียกล้องวงจรปิด AI “PathVision” สำรวจพฤติกรรมการชมสินค้าในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น สู่การพัฒนาร้านนำเสนอสินค้าบริการเพื่อลูกค้าทุกกลุ่ม            นายป๋วย ศศิพงศ์ไพโรจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนักปัญญาประดิษฐ์สร้างสรรค์ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า บริษัทยังคงเดินหน้าให้ความสำคัญกับการ “สร้างคน” เปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้แสดงทักษะความสามารถอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ได้จัดงาน Creative AI Club Hackathon ปีที่ 3 เปิดโอกาสให้เยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จนถึงระดับอุดมศึกษาชั้นปีที่ 1 เข้าร่วมเวิร์คช็อป 3 วัน 2 คืน พร้อมประชันไอเดียการสร้างสรรค์ผลงานปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ภายใต้ระยะเวลาอันจำกัดเพียง 24 ชั่วโมง โดยมีพี่ๆ เยาวชนจากโครงการค่าย Creative AI Camp รุ่นล่าสุด ก้าวขึ้นมาเป็นทีมผู้จัดงาน (Core Leader) และผู้ให้คำแนะนำรุ่นเยาว์ (Junior Mentor)           สำหรับหัวข้อการประชันไอเดียในปีนี้ คือ “What is the 7-Eleven of your dreams? สร้าง 7-Eleven ในฝันของคุณด้วยพลัง AI” เปิดโอกาสให้เยาวชนได้รับความรู้และสถานการณ์ปัญหา (Pain Point) จากทีมหน่วยธุรกิจ (Business Unit) ต่างๆ ของเซเว่น อีเลฟเว่น รวมถึงได้รับทราบฟังก์ชัน ฟีเจอร์ด้าน AI ที่เซเว่น อีเลฟเว่นมีอยู่แล้ว เพื่อให้เยาวชนได้แสดงศักยภาพ ระเบิดความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาสิ่งใหม่ พร้อมทั้งสามารถต่อยอดกับสิ่งที่มีอยู่แล้วด้วยนวัตกรรม AI           “เทคโนโลยี AI ในวันนี้กลายเป็นเทคโนโลยีทั่วไป หรือ Common Technology ที่คนใช้กันในชีวิตประจำวัน คนไทยจำนวนมากมีประสบการณ์กับ AI มากขึ้น น้องๆ คนรุ่นใหม่เองก็เช่นกัน เราจึงเปิดโอกาสให้น้องๆ สมัครเข้ามาแสดงศักยภาพ แสดงแนวคิดแปลกใหม่ในการสร้างสรรค์ AI ผ่านการประยุกต์ใช้กับร้านเซเว่น อีเลฟเว่น โดยปีนี้มีน้องๆ ให้ความสนใจสมัครถึงกว่า 400 คน ก่อนเราจะคัดเหลือ 40 คน ทีมที่ผ่านเข้ามาแข่งขันในปีนี้ หลายๆ ทีม ไม่เฉพาะทีมที่ได้รับรางวัล ต่างนำเสนอไอเดียแปลกใหม่และน่าสนใจมาก จนทั้งคณะกรรมการและผู้บริหารต่างชื่นชมถึงไอเดียของเหล่า Tech Talent” นายป๋วย กล่าว           ทั้งนี้ ซีพี ออลล์ ได้ให้ความสำคัญกับผลงานของเยาวชน และเปิดโครงการ Future Innovator เป็นโครงการฝึกงานที่ให้น้องๆ เยาวชนที่ผ่านกิจกรรม Creative AI Club Hackathon หรือ Creative AI Camp ได้เข้ามาร่วมต่อยอดผลงานของตัวเองหรือของเพื่อนที่ชนะในแคมป์ รวมถึงมีโอกาสได้รับพิจารณาเข้าทำงานร่วมกับซีพี ออลล์อย่างเต็มรูปแบบในอนาคต           สำหรับรางวัลชนะเลิศ จาก Creative AI Club Hackathon ครั้งที่ 3 ได้แก่ ทีมเหมียว กับผลงาน “กล้องวงจรปิด PathVision” ใช้กล้องวงจรปิดที่มี AI สำรวจพฤติกรรมการหยุดชมสินค้าของลูกค้าในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นแบบไม่ระบุตัวตน เพิ่มประสิทธิภาพการจัดผังร้าน และสร้างประโยชน์ต่อแบรนด์สินค้าและตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าที่สามารถเข้ามาใช้บริการได้สะดวกมากยิ่งขึ้น (สมาชิกในทีม : สุธีร์ธิดา ปิยะจงวิวัฒน์, วรัญชิต วีระศักดิ์, พุฒิพร เจริญวิมลรักษ์ และคุณชมศมนต์ ชมภูคำ) รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ ทีม 7-Twelve กับผลงาน “7-OTP” นำข้อมูลจากเครื่อง POS ของเซเว่น อีเลฟเว่น มาทำนายอนาคต เพื่อให้สามารถแบ่งหน้าที่คนทำงาน และจัดระบบการทำงานในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (สมาชิกในทีม : กมลพร ถอดมูล, ชิติพัทธ์ สร้อยสังวาลย์, พชรพรรณ จงบรรจบ, และวชิรวี ขำรักษา) รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ ทีม Kadjap.CPALL กับผลงาน “Eatit.AI” ไอเดียฟีเจอร์เสริม AI ในแอป 7-Eleven ที่ช่วยแนะนำสินค้าที่สอดคล้องกับความต้องการลูกค้า จัดเซ็ทสินค้า รวมถึงสามารถคำนวณแคลอรี ลดปัญหาลูกค้าเดินเข้ามาแล้วไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร (สมาชิกในทีม : ธนภณ ธนาดุลเปรมเดช, ธนโชติ เทศกัณฑ์, ณภัทร ศรวิชัย และทรงพล ซ้ายขวา)           ด้านนายวรัญชิต วีระศักดิ์ (น้องอะตอม) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายวิทย์-คณิต โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี หนึ่งในสมาชิกทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ กล่าวว่า ผลงานของทีมเริ่มจาก Pain Point ว่า กล้องวงจรปิดในยุคแห่งเทคโนโลยี ควรทำได้มากกว่าฟังก์ชันทั่วไป จึงได้มองถึงการนำกล้องวงจรปิดที่มี AI มาช่วยสำรวจและวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าแบบไม่ระบุตัวตน อาทิ การสำรวจตำแหน่งที่ลูกค้าไปหยุดดูมากที่สุด แล้วสร้างเป็น Heat Map การสำรวจพฤติกรรมลูกค้า ณ ตำแหน่งต่างๆ ว่ามองตรง มองบน หรือมองล่าง เพื่อให้สามารถปรับปรุงผังร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงช่วยให้แบรนด์สินค้าต่างๆ ได้ทราบถึงพฤติกรรมภายในร้านสะดวกซื้อของผู้บริโภค           “การเข้ามาร่วม Creative AI Club Hackathon ของซีพี ออลล์ในครั้งนี้ ช่วยให้ได้รู้จักคนใหม่ๆ ได้ฝึกทำงานในเวลาที่จำกัด มีโจทย์ให้ได้พัฒนาตัวเอง โดยกว่าจะเป็นโปรเจกต์กล้อง PathVision ในครั้งนี้ ทีมอ่านเอกสารภาษาอังกฤษ อ่านสมการคณิตศาสตร์เยอะมาก เพื่อให้พัฒนาฟังก์ชันและโซลูชันได้อย่างเหมาะสม หากมีโอกาสก็อยากเข้ามาทำงานและต่อยอดผลงานนี้ให้เกิดขึ้นจริง และเชื่อว่าผลงานนี้สามารถประยุกต์ใช้ได้ ไม่เฉพาะในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น” นายวรัญชิต กล่าว           นายวรัญชิต กล่าวเพิ่มเติมว่า AI ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากๆ สำหรับมนุษย์ ช่วยให้มนุษย์เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วขึ้นมาก โลกในอนาคต ผู้ที่ใช้ AI เป็น กับผู้ที่ใช้ AI ไม่เป็น จะมีอัตราการประสบความสำเร็จ (Success Rate) แตกต่างกัน การไม่ปรับตัวให้ทัน จะส่งผลต่อความยากลำบากในการใช้ชีวิต ส่วนตัวจึงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ด้าน AI และอยากประกอบอาชีพเป็น Tech Programmer โดยล่าสุด ได้รับโอกาสเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัล (CEDT) ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้ว           ทั้งนี้ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP ALL มีนโยบายส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชน มุ่งมั่นจัดกิจกรรมสนับสนุนทักษะเยาวชนด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI อย่างต่อเนื่อง ผ่านหลากหลายเวที ได้แก่ 1.Creative AI Camp (CAI Camp) ค่ายพัฒนาทักษะ AI ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย-อุดมศึกษา ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีจากนานาประเทศ  ระยะเวลา 3 เดือน 2.Creative AI Club (CAI Club) ชุมชนคน AI ที่เป็นพื้นที่เรียนรู้ พื้นที่สร้างสรรค์ผลงานด้าน AI มีกิจกรรม Workshop อย่างต่อเนื่อง 3.Creative AI Club Hackathon เวทีประชันไอเดียด้าน AI และพัฒนาผลงานภายใต้เวลาจำกัดเพียง 1-2 คืน สำหรับน้อง ๆ เยาวชนระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย-มหาวิทยาลัย ปี 1 และยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่อาจจัดขึ้นเพิ่มเติมในอนาคต ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดกิจกรรมและเวทีต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่  https://www.facebook.com/caicampและ https://caicamp.cpall.co.th/

CPALL คาด Q4 กำไรโตตามคาด 3.5% ปีหน้าโตต่อ ยอด SSSG หนุน

CPALL คาด Q4 กำไรโตตามคาด 3.5% ปีหน้าโตต่อ ยอด SSSG หนุน

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย แนะนำเก็งกำไรเชิง Tactical ใน CPALL จากมูลค่าหุ้นที่ลดลงต่ำถึงระดับ -2SD ที่ Fwd PE’69 ประมาณ 18 เท่า ทำให้มีความเสี่ยงขาลงจำกัด และแนวโน้มผลดำเนินงานที่ดีของ CPAXT ที่ CPALL ถือหุ้น 60% จากประโยชน์การ Synergy ที่เร็วกว่าคาดและการเติบโตระดับสูง พร้อมการปรับปรุงอัตรากำไรในปี 2568 นอกจากนี้ คาดธุรกิจร้านสะดวกซื้อจะมียอดขายสาขาเดิม (SSSG) ไตรมาส 4/2567 เติบโต 3.5% ส่งผลให้ผลประกอบการเติบโตได้ตามคาด อีกทั้งมองแนวโน้มการเติบโตเชิงบวกในปี 2569 จากยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่จะเติบโต 3% พร้อมการขยายอัตรากำไรอย่างต่อเนื่อง CPALL: ราคาพื้นฐาน 78.00 บาท

CPALL คาดกำไรปี 68 โต 20%  Easy E-Receipt หนุน โบรกเคาะเป้า 72 บ.

CPALL คาดกำไรปี 68 โต 20% Easy E-Receipt หนุน โบรกเคาะเป้า 72 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ คาดกำไร 4Q67 CPALL จะเติบโตโดดเด่นทั้ง QoQ และ YoY รับผลบวกจากฤดูกาลท่องเที่ยว เทศกาลฉลองส่งท้ายปี และผลบวกจาก Synergy MAKRO & LOTUS ชัดเจนมากขึ้น หลังควบรวมเสร็จต้น 4Q67           แม้ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงแรงจากความกังวล บ.ลูก CPAXT จะเข้าลงทุนโครงการ Happitat ราว 1.2 หมื่นลบ. แต่ผู้บริหาร CPAXT ปฏิเสธว่าจะไม่ลงทุนโครงการดังกล่าว จนกว่ามั่นใจว่าช่วยเพิ่มฐานกำไร           คาดกำไรปี 67 โตเกิน 30% และโตอีก 20% ในปี 68 โดย 1Q68 ได้ E-Receipt ช่วยหนุนการเติบโต           แนวรับ = 54.5/55.25 แนวต้าน = 57/57.5           CPALL | ซื้อ | TP=72 บ.

CPALLรายได้Q4โตแกร่ง สาขาใหม่ดัน-เป้า 86บ.

CPALLรายได้Q4โตแกร่ง สาขาใหม่ดัน-เป้า 86บ.

          หุ้นวิชั่น บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” CPALL ที่ราคาเป้าหมาย 86.00 บาท อิง PER ปี 2025E ที่ 28x (หรือเท่ากับ -0.8SD below 5-yr avg. PER) คาดกำไร 4Q24E ที่ 6.4 พันล้านบาท ขยายตัว +17% YoY และ +14% QoQ โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้ 1) คาด SSSG ที่เป็นบวกต่อเนื่องจากใน 3Q24 โดยคาด SSSG ใน 4Q24E ของธุรกิจ CVS อยู่ที่ราว +3-4% จากในเดือน ต.ค.และพ.ย. และอ่อนตัวลงในเดือน ธ.ค.ที่เป็นฐานที่สูงในปี 2023 ที่และคาดการขยายสาขาใน 4Q24E ที่ราว 200 สาขา ทำให้คาดรายได้รวม 2.49 แสนล้านบาท +6% YoY และ +6% QoQ โดยรายได้ธุรกิจ CVS คาดเป็นบวกที่ +7% YoY 2) คาด GPM รวมใน 4Q24E ที่ 22.6% โดยคาด GPM ธุรกิจ CVS ยังอยู่ได้ในระดับสูงที่ราว 29% ต่อเนื่อง โดยขยายตัวได้จากสินค้ากลุ่ม Ready-to-eat และ Personal care 3) คาด SG&A ที่ 5.05 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +9% YoY และ +4% QoQ จากค่าใช้จ่ายการลงทุนของ CPAXT ที่ยังมีต่อเนื่องเพิ่มขึ้น YoY และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของยอดขายของธุรกิจคงประมาณการกำไร 2024E/25E อยู่ที่ 2.5 และ 2.7 หมื่นล้านบาท โต +33%/+11% YoY จากประมาณการกำไร 4Q24E ที่ 6.4 พันล้านบาท และต่อเนื่องไปในปี 2025E           อย่างไรก็ตามคาดผลกระทบเชิงบวกจากมาตรการ Easy E-receipt 2.0 จำกัดจากวงเงินที่สามารถนำมาลดหย่อนได้ลดลงเป็น 3 หมื่นจาก 5 หมื่นบาท และสินค้า OTOP หรือวิสาหกิจชุมชมอีก 2 หมื่นบาทราคาหุ้นกลับมา perform ใกล้เคียงกับตลาด จากที่ underperform SET ในช่วง 3 และ 6 เดือนที่ผ่านมา จากคาดได้ผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ หนุนผลการดำเนินงาน 4Q24E-1Q25E ได้ และเรายังแนะนำ “ซื้อ” CPALL จากคาดเห็นการเติบโตได้ดีต่อเนื่องในทุกธุรกิจ

รัฐจ่อลดค่าไฟฟ้า CPALL – CPAXT – DOHOME รับอานิสงส์

รัฐจ่อลดค่าไฟฟ้า CPALL – CPAXT – DOHOME รับอานิสงส์

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี ระบุว่าตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลอาจมีการปรับลดราคาค่าไฟฟ้าอีกครั้งตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2025 เป็นต้นไป มุมมองของนักวิเคราะห์คือสามารถลดราคาลงเหลือ 3.85 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าปี 2025F ต่ำกว่าปี 2024F ถึง 6.1% ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่ม upside ให้กับกำไรปี 2025F ของเราที่ 0.9-4.7% อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลปรับลดเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย (ตามแถลงการณ์ก่อนหน้านี้, -8.8% yoy) upside อาจเพิ่มขึ้นเป็น 1.3%-6.7% ในทั้ง 2 สถานการณ์ผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดอาจเป็น CPALL (4.7%-6.7%) ตามมาด้วย CPAXT (3.5%-5.1%) และ DOHOME (3.1%-4.4%) CPALL (TP 70) และ HMPRO (TP 13.50) เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มนี้ ทั้งสองบริษัทอาจเห็นยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เติบโตในเชิงบวกในปี 2025 และมีการประเมินมูลค่าที่น่าสนใจที่ 17x ถึง 19x, -1.5 ถึง -2SD จากค่าเฉลี่ยระยะยาว ลดค่าไฟฟ้าจากพฤษภาคมเป็นต้นไป           ในความพยายามที่จะลดต้นทุนการครองชีพ รัฐบาลได้ลดราคาค่าไฟฟ้าต่อหน่วยลง 0.03 บาท เหลือ 4.15 บาท ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายน 2025 และยังระบุด้วยว่าสามารถลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้อีกเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วยตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2025 เป็นต้นไป เนื่องจากการขาดทุนหนัก หากค่าไฟฟ้าลดเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย เราคาดว่าสามารถลดลงเหลือ 3.85 บาทต่อหน่วย แม้ว่ายังคงมีความไม่แน่นอนอยู่มาก แต่เราคาดว่าค่าไฟฟ้าทุกๆ 0.10 บาทต่อหน่วยที่ลดลง อาจช่วยเพิ่ม upside ให้กับกำไรของภาคธุรกิจในปี 2025F ได้ที่ 0.4%-1.8% SSSG เป็นบวกในปี 2025           ประเมินว่า SSSG ในปี 2025 อาจฟื้นตัวจากระดับปี 2024 และอยู่ระหว่าง 2%-5% ในปี 2025 ซึ่งอาจได้รับแรงหนุนจาก: 1) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐเพิ่มเติม (โดยเฉพาะการแจกเงินสดเพิ่มเติม 10,000 บาท) และ 2) การเติบโตของ GDP ที่ดีขึ้นในปี 2025F เราหันมามองเชิงบวกมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่ราคาหุ้นยังเป็น laggards เนื่องจากคาดว่า SSSG ของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นบวกจากลบในปี 2024 (รูปที่ 3) และอาจเป็นผลดีต่อราคาหุ้น ความเสี่ยงหลักคือการบริโภคที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คิด           ความเสี่ยงหลักคือการฟื้นตัวของการบริโภคช้ากว่าคาด หุ้นเด่นคือ: 1) CPALL (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 70 บาท) เนื่องจากได้ประโยชน์หลักจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และ 2) HMPRO (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย TP 13.50 บาท) เนื่องจาก valuation ที่ -2SD ในขณะที่ SSSG อาจกลับมาเป็นบวกที่ +2% ในปี 2025F จาก -3.6% ในปี 2024F และเป็น positive catalyst

CPALL คาดกำไร Q4 ที่ 6.4 พันลบ.  โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 70 บาท

CPALL คาดกำไร Q4 ที่ 6.4 พันลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 70 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี ระบุ CPALL โตแกร่ง คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 70 บาท และคงประมาณการทั้งหมด เราประเมินกำไรหลัก 4Q24F จะเติบโต 14% yoy เป็น 6.4 พันล้านบาท เนื่องจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) อาจยังคงอยู่ในเกณฑ์ดีที่ 3.5% สำหรับ CVS และประมาณ 2% สำหรับ CPAXT (บริษัทย่อย 60%) เราเชื่อว่า CPALL จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของรัฐบาล นอกจากนี้ เรายังชอบราคาหุ้นที่ไม่แพง ปัจจุบันเทรดที่ 19.4x P/E ปี 2025           CPALL มี SSSG ที่ดีที่สุดในกลุ่มค้าปลีก CPALL จะประกาศผลประกอบการทั้งปี 2024 ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2025 4Q24F กำไรหลักโตได้ 14% yoy           เราประเมินกำไรหลักจะเติบโต 14% yoy เป็น 6.4 พันล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายสาขาประมาณ 200 แห่ง และ SSSG ที่ดีหรือ 3.5% สำหรับ CVS เราประเมิน SSSG ที่จะ +5% ในเดือนตุลาคม, +3.5% ในเดือนพฤศจิกายน และ +2% ในเดือนธันวาคม โดยเฉลี่ย +3.5% สำหรับ 4Q24 เราเชื่อว่าทั้งเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน SSSG ได้รับแรงหนุนจากการแจกเงินสดจำนวน 10,000 บาท อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มอาจขยาย 0.1ppt yoy เป็น 22.3% ได้แรงหนุนหลักจากการปรับปรุงอาหารสดที่ CPAXT (ทั้งขายส่งและขายปลีก) ในขณะที่ SG&A ของกลุ่มต่อยอดขายอาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.2ppt เป็น 20% เนื่องจากการขยายสาขาที่ CPAXT อาจได้รับมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 2025F กำไรหลักเติบโต 8% yoy           เราคาดว่ากำไรหลักจะเพิ่มขึ้น 8% yoy เป็น 26.3 พันล้านบาท หนุนยอดขายเติบโต 8% yoy (เป็น 1.04 ล้านล้านบาท) สำหรับธุรกิจ CVS เราคาดว่า SSSG จะอยู่ที่ 3% และอาจมีสาขาเพิ่ม 700 แห่งในปี 2568 ซึ่งอาจส่งผลให้ยอดขายเติบโต 8% yoy ความเสี่ยงหลักคือการฟื้นตัวของการบริโภคที่อาจช้ากว่าที่คาด           เราให้ TP ที่ 23.9x P/E ปี 2025F ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว -0.5SD ปัจจุบันซื้อขายที่ 19.4x 2025F P/E ความเสี่ยงหลักคือการฟื้นตัวของการบริโภคช้ากว่าที่คาดซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของรายได้และกำไร

CPALL คาดปี 68 SSSG โต 3% โบรกแนะเก็งกำไร เป้า 78.00 บาท

CPALL คาดปี 68 SSSG โต 3% โบรกแนะเก็งกำไร เป้า 78.00 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย แนะนำเก็งกำไรเชิง Tactical Call ใน CPALL จากมูลค่าหุ้นที่ลดลงต่ำถึงระดับ -2SD ที่ Fwd PE’68 ต่ำกว่า 20 เท่า มีความเสี่ยงขาลงจำกัด และแนวโน้มผลดำเนินงานที่ดีของ CPAXT ที่ CPALL ถือหุ้น 60% จากประโยชน์การควบรวมที่เร็วกว่าคาดและการเติบโตระดับสูง พร้อมการปรับปรุงอัตรากำไรในปี 2568 ขณะที่มูลค่าหุ้นยังถูกกว่า นอกจากนี้ CPALL มียอดขายสาขาเดิมไตรมาส 4/2567 เติบโต 3.5% คาดผลประกอบการจะเติบโตได้ตามคาด และมีโอกาสได้ประโยชน์จากค่าไฟฟ้าที่อาจลดลงเหลือ 3.70-3.90 บาทต่อหน่วย คาดส่งผลบวกต่อกำไรปี 2568 ประมาณ 3% โดยคาดยอดขายสาขาเดิมปี 2568 จะเติบโต 3% พร้อมแผนขยาย 700 สาขา CPALL: ราคาพื้นฐาน 78.00 บาท

CPALL คาดกำไรปี 67 แตะ 26,422 ลบ.  โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 83.00 บาท

CPALL คาดกำไรปี 67 แตะ 26,422 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 83.00 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.ฟิลลิป คาด CPALL ยอดขายและกำไร 4Q67 แข็งแกร่ง คาด 4Q67 ยอดขายรวม 2.48 แสนลบ. +5.8% q-q, +5.9% y-y กำไรสุทธิ 8,256 ลบ. +47.2% q-q, +50.2% y-y ส่วนเฉพาะ CVS คาดยอดขาย 1.13 แสนลบ. +9.0% q-q, +4.4% y-y SSSG +3.4% รับแรงหนุนจาก High season การท่องเที่ยว นอกจากนี้ เปิดสาขาใหม่ตามเป้า 700 สาขา สิ้นปี 67 คาดมีสาขา 7-Eleven รวมทั้งสิ้น 15,260 สาขา คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 68: 83.00 บาท 4Q67 คาดยอดขายและกำไรโตทั้ง q-q และ y-y: ในงบรวมคาดการณ์ยอดขาย 4Q67 อยู่ที่ประมาณ 2.48 แสนลบ. +5.8% q-q, +5.9% y-y กำไรสุทธิที่ 8,256 ลบ. +47.2% q-q, +50.2% y-y และในส่วนของ CVS คาดว่ายอดขายจะอยู่ราว 1.13 แสนลบ. +9.0% q-q, +4.4% y-y คาด SSSG อยู่ที่ประมาณ +3.4% จากการที่เป็นช่วง High season ของการท่องเที่ยว มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 26.3% ทำให้ยอดขายยังมีแรงหนุนท่ามกลางกำลังซื้อที่อ่อนแอของคนในประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทเดินหน้าเปิดสาขาใน 4Q67 ได้ตามเป้าหมาย ทำให้รวมแล้วเปิดสาขาถึงเป้า 700 สาขา สิ้นปี 67 คาดมีสาขา 7-Eleven รวมทั้งสิ้น 15,260 สาขา ทางฝ่ายเชื่อว่าการเติบโตของ CPALL : โดยหลักคือการขยายสาขาและกินส่วนแบ่งการตลาดจาก Traditional Trade ในส่วนยอดขายปี 67 คาดว่าอยู่ที่ 9.57 แสนลบ. +6.8% คาดการณ์กำไรสุทธิปี 67 ที่ 26,422 ลบ. +43.0% คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 68: 83.00 บาท

KSS คาด SET แกว่งตัวในกรอบ ต้าน 1367 จุด แนะ  ADVANC, INTUCH, CPALL เด่น

KSS คาด SET แกว่งตัวในกรอบ ต้าน 1367 จุด แนะ ADVANC, INTUCH, CPALL เด่น

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “แกว่งตัวในกรอบ” ต้าน 1363/1367 จุด รับ 1346/1340 จุด ดัชนี S&P500 แกว่งซึมลงปิด -0.21%กดดันจากแรงขายหุ้น Tech ขณะที่กลุ่ม Value ที่ Laggard ช่วยหนุน ประเมินเกิดจากเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มมีสัญญาณอ่อนลง ยอดค้าปลีก ธ.ค.24 ต่ำกว่าคาด +0.4%m-m ถ่วง US Bond Yield 10 ปี ลงอีก -4 bps และรอติดตามนโยบายที่คุณ Trump เดินหน้าได้เร็ว หลังรับตำแหน่ง 20ม.ค. ในส่วน Trade War ทั้งนี้ ตลาดหุ้น EM อิง MSCI EM ที่แกว่งลงต่อเนื่อง -6.7% ตั้งแต่คุณ Trump ชนะเลือกตั้งน่าจะสะท้อนความเสี่ยง ล่วงหน้าพอสมควรมาแล้ว ทำให้ประเมินความผันผวนอยู่ช่วงปลาย ภายใน แม้ตลาดน่าจะรอติดตามท่าทีคุณ Trump หลังรับตำแหน่งเช่นกัน แต่หากอิงภาพวานนี้ SET แกว่งตัว Underperform สวนทางโลกไปจาก ความเข้าใจคลาดเคลื่อน SSO, ปัจจัยเฉพาะหุ้นกลาง-เล็ก คาด SET วันนี้แกว่งตัวในกรอบได้ หุ้นเด่น คือ หุ้น Domestic ในธีม Peaking Yield (เช่าซื้อ โรงไฟฟ้า สื่อสาร High Yield หนี้สูง) และหุ้น Domestic อิงภาคบริโภคที่กระแสคึกคักตลอดงวด 1H25F วันนี้แนะนำ ADVANC, INTUCH, CPALL เด่น

CPALL คาดปี 67 กำไรโต 30% โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 77 บาท

CPALL คาดปี 67 กำไรโต 30% โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 77 บาท

          หุ้นวิชั่น – บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุ CPALL 4Q67F คาดกำไรเติบโตเด่น qoq และ yoy จากฤดูกาลท่องเที่ยว ช่วงเทศกาล และจาก Synergy FY67F คาดกำไร >30%yoy และ FY68F >15%yoy โดย 1Q68F ได้มาตรการ E-Receipt ช่วย ประเมินราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ 77 บ. เทียบเท่า FY68F P/E=21x

CPALL ชวนช็อป SME – OTOP  Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษีสูงสุด 20,000 บ.

CPALL ชวนช็อป SME – OTOP Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษีสูงสุด 20,000 บ.

          สร้างสีสันในการจับจ่ายใช้สอยช่วงต้นปีให้กลับมาคึกคักยิ่งขึ้น “เซเว่น อีเลฟเว่น” ร่วมสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและ OTOP ผ่านโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ในหมวดสินค้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ OTOP ชวนช้อปสินค้าคุณภาพ ของดีของเด็ดของคนไทย ที่ร้านเซเว่นฯ คัดมาให้เลือกสรรกว่า 750 รายการ ครอบคลุมสินค้าอุปโภคบริโภค วางจำหน่ายในร้านเซเว่นฯ และแพลตฟอร์มออนไลน์ 7 Delivery, All Online ผ่านช่องทาง 7 App ส่งเสริมการสร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงช่วยลดหย่อนภาษีให้กับบุคคลที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำใบกำกับภาษี ไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 20,000 บาท เริ่มจับจ่ายได้ตั้งแต่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่เซเว่นฯ ทุกสาขา           บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) CPALL ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เปิดช่องทางการลดหย่อนภาษีผ่านร้าน เซเว่น อีเลฟเว่น ในโครงการ Easy E-Receipt 2.0 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยที่เปิดโอกาสให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือต้องเป็นการซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมในการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice) ความพิเศษของปีนี้คือการแบ่งวงเงินลดหย่อนเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก 30,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าและบริการทั่วไป ส่วนที่สอง 20,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าจากวิสาหกิจชุมชน และสินค้า OTOP ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาชุมชน โดยนโยบายหลักของร้านเซเว่นฯ คือการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยมาอย่างต่อเนื่อง           เซเว่นฯ ร้านสะดวกซื้อที่อยู่เคียงคู่คนไทยมากว่า 35 ปี ขอเป็นกำลังสำคัญในการร่วมสนับสนุนสินค้าวิสาหกิจชุมชน SME และ OTOP ที่เป็นคู่ค้าและอยู่ในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ กว่า 750 รายการสินค้า มาวางจำหน่ายในร้าน  เซเว่นฯ ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม ของทานเล่น และข้าวของเครื่องใช้ โดยทางร้านเซเว่นฯ จะทำป้ายสัญลักษณ์ที่ชั้นวางสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคทราบว่าสินค้านี้เป็นสินค้า OTOP ลดหย่อนภาษีได้ ไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าจับจ่ายใช้สอยได้สะดวก และมั่นใจว่าสินค้ารายการใดบ้างที่ร่วมลดหย่อนภาษีโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ร่วมอุดหนุนได้ที่ร้านเซเว่นฯ ทุกสาขา ทั่วประเทศได้ในวันที่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 สำหรับรายการสินค้า ที่เข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ในร้านเซเว่นฯ อาทิ - สินค้าท้องถิ่นและภูมิปัญญาไทย ได้แก่ น้ำพริก ผัดหมี่อุดร แหนมหมูย่าง ก๋วยจั๊บอุบลกึ่งสำเร็จรูป น้ำอินทผลัมสกัด ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เป็นต้น - สินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภค ได้แก่ ยาสีฟันสมุนไพร แชมพูใบหมี่อัญชัน น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น หมอน ขนมเปี๊ยะ หนังปลาแซลมอนอบกรอบ ทองม้วน กล้วยแปรรูป มะพร้าวแก้ว ครองแครงกรอบ ขนมผิง ลูกอมกะทิ เป็นต้น สำหรับเงื่อนไขการซื้อสินค้าที่จะได้รับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice) ต้องเป็นการซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมในการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice) โดยสังเกตจากป้ายที่ชั้นวางสินค้า ที่ระบุว่าสินค้า OTOP เข้าร่วม Easy E-Receipt 0 นำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์มาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการซื้อสินค้าและบริการ มูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท โดยแบ่งดังนี้ - 30,000 บาท สำหรับซื้อสินค้าและบริการทั่วไป (ยกเว้นโรงแรม ที่พัก) - 20,000 สำหรับซื้อสินค้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ OTOP สำหรับวิธีการขอใบกำกับภาษีสามารถทำได้ 4 วิธี สะดวก ง่าย ทุกช่องทาง 1.ขอผ่าน 7 APP สมัครรับใบเสร็จผ่านไอคอนใบเสร็จ e-Tax และกดขอใบกำกับภาษี 2.ขอกับพนักงานที่ร้าน แจ้งขอใบกำกับภาษีเต็มรูปกับพนักงานร้าน โดยใช้บัตรประชาชนตัวจริง 3.ขอผ่าน 7-ELEVEN Delivery เมื่อลูกค้าทำการสั่งซื้อสำเร็จ กดเข้าเมนูบัญชีของฉัน เลือกประวัติคำสั่งซื้อ และกดแถบข้อความขอใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ 4.ขอผ่าน ALL ONLINE ลูกค้าระบุเลือกขอใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปบนหน้าจอก่อนกดสั่งสินค้า และกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน พร้อมตรวจสอบความถูกต้อง

โบรกคาด CPALL กำไรปี 68 โต 3% มาร์จิ้นดีขึ้น

โบรกคาด CPALL กำไรปี 68 โต 3% มาร์จิ้นดีขึ้น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย แนะนำเก็งกำไรเชิง Tactical Call ใน CPALL จากมูลค่าหุ้นที่ Fwd PE’69 อยู่ที่ราว 20 เท่า ลดลงต่ำถึงระดับ -2SD มี Downside ต่ำ หลังถูกเทขายในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2567 ประกอบกับยอดขายสาขาเดิมเดือนธันวาคมที่เติบโต 3-4% ส่งผลให้ไตรมาส 4/2567 มียอดขายสาขาเดิมเติบโตราว 3.5% คาดผลประกอบการไตรมาส 4/2567 จะเติบโตได้ตามคาด และมีโอกาสได้ประโยชน์จากค่าไฟฟ้าที่อาจลดลงเหลือ 3.70-3.90 บาทต่อหน่วย ซึ่งต้นทุนสาธารณูปโภคคิดเป็น 8% ของต้นทุนดำเนินงาน คาดส่งผลบวกต่อกำไรปี 2568 ประมาณ 3% สำหรับปี 2568 คาดยอดขายสาขาเดิมเติบโต 3% พร้อมการขยาย 700 สาขา ส่งผลให้รายได้เติบโตในระดับกลางถึงสูงแบบหลักเดียว และอัตรากำไรขั้นต้นมีโอกาสเพิ่มขึ้น 10-30 bps ตามกลยุทธ์เน้นสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงRemove featured image CPALL: ราคาพื้นฐาน 80.00 บาท

CPALL คาด ปี68 กำไรโต 3%  แนะเก็งกำไร ชี้เป้า 80 บาท

CPALL คาด ปี68 กำไรโต 3% แนะเก็งกำไร ชี้เป้า 80 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กสิกรไทย แนะนำเก็งกำไรเชิง Tactical ใน CPALL จากมูลค่าหุ้นที่ลดลงต่ำถึงระดับ -2SD ที่ Fwd PE’68 ประมาณ 20 เท่า มีโอกาสฟื้นตัวหลังถูกเทขายในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ประกอบกับยอดขายสาขาเดิมเดือนธันวาคมที่เติบโต 3-4% ส่งผลให้ไตรมาส 4/2567 มียอดขายสาขาเดิมเติบโตราว 3.5% คาดผลประกอบการไตรมาส 4/2567 จะเติบโตได้ตามคาด และมีโอกาสได้ประโยชน์จากค่าไฟฟ้าที่อาจลดลงเหลือ 3.70-3.90 บาทต่อหน่วย ซึ่งต้นทุนสาธารณูปโภคคิดเป็น 8% ของต้นทุนดำเนินงานทั้งหมด คาดจะส่งผลบวกต่อกำไรปี 2568 ประมาณ 3% CPALL: ราคาพื้นฐาน 80.00 บาท

“น้องเนย” เปิดบ้านต้อนรับมัมหมี-พ่อหมี  เข้าสู่ “BUTTERY WORLD PRESENTED BY 7-11”

“น้องเนย” เปิดบ้านต้อนรับมัมหมี-พ่อหมี เข้าสู่ “BUTTERY WORLD PRESENTED BY 7-11”

          หุ้นวิชั่น - ครั้งแรกของไทยและใหญ่ที่สุดในเอเชีย  “น้องเนย” เปิดบ้านต้อนรับมัมหมี-พ่อหมี เริ่ม 25 มกราคมนี้ เป็นต้นไป ที่ ชั้น 5 สยามพารากอน “น้องเนย” เปิดบ้านต้อนรับมัมหมี-พ่อหมี  เข้าสู่ “BUTTERY WORLD PRESENTED BY 7-11” ชั้น 5 สยามพารากอน หลังตกด้อมจนมีมัมหมีพ่อหมีและแฟนคลับทั้งในประเทศและต่างประเทศ “น้องเนย” พร้อมเปิดบ้านต้อนรับทุกคนเข้าสู่ “BUTTERY WORLD PRESENTED BY 7-11” โลกของน้องเนยโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของเด็กหญิงตัวน้อยผู้คอยฮีลใจ มอบรอยยิ้ม ส่งต่อความสุขแก่ทุกคน และด้วยพลังวิเศษเหล่านี้ ทำให้ภายในบ้านหลังนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยมวลความสุขซึ่งซุกซ่อนอยู่ทุกมุมของบ้าน           นายเกรียงกานต์ กาญจนะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด  เปิดเผยว่า หลังจากแบรนด์ BUTTERBEAR เปิดตัวน้องเนย จนเป็นขวัญใจมหาชน ที่คอยฮีลใจให้มัมหมี พ่อหมีทุกครั้งที่ได้พบเจอ ครั้งนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่าง BUTTERBEAR และ อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จับมือกันเนรมิตบ้านน้องเนยใจกลางเมือง ที่สยามพารากอนซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งที่อยู่ในใจนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ  เพื่อส่งต่อและเติมเต็มความสุขแบบแอดวานซ์  ให้มารู้จักไลฟ์สไตล์ที่น่ารักของยัยหนูมากขึ้นผ่านคอนเซ็ปต์บ้าน “A Magical Journey to Our Buttery World”           การเปิดบ้านครั้งนี้ น้องเนยพร้อมร่ายมนต์ความสุขและเตรียมกิจกรรมสุด exclusive ในแต่ละเดือนเพื่อมอบให้มัมหมี พ่อหมี และยกทัพสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษที่มีขายในบ้านนี้เท่านั้น!ภายในบ้านมีทั้ง 7 ห้อง และ 1 สวนดอกไม้ ที่รอให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนที่น่ารักของยัยหนู ห้องแห่งมิตรภาพ           ห้องซึ่งเต็มไปด้วยมิตรภาพของน้องเนย กับ HIPPIEHIPPO BIANCABEAR และ SUNDAEBIRD แก๊งเพื่อนซี๋ที่ไม่เคยทิ้งกัน และกิจกรรมสุดโปรด ก็คือ การซ้อมเต้น เพื่อเตรียมเดบิวต์เป็นไอดอลสาวเท้าไฟสุดซ่า ห้องแห่งความสุข           นอกจากจะทำพี่เลี้ยงปวดหัวกับการบ้านแช่แข็งแล้ว ยังชอบทำให้พี่ๆ ตกใจกลางดึก เพราะน้องเนยชอบย่องลงมาแอบกินป็อกโกแลตในตู้เย็นเป็นประจำทุกคืน ห้องนี้ยังเป็นอีกห้องที่ยัยหนูจะมาร่ายคาถาสเน่ห์ปลายจวักสร้างสรรค์เมนูขนมสุดแสนอร่อยด้วยพลังวิเศษ ห้องแห่งความทรงจำ           ความทรงจำถูกรังสรรค์ขึ้นที่ห้องนี้ สถานที่รวบรวมของวิเศษของน้องเนย ทั้งของเล่น เครื่องประดับ สารพัดของกุ๊กกิ๊ก ที่น้องเนยเตรียมเอามาอวดเหล่ามัมหมี พ่อหมีทุกคน เพื่อเก็บความทรงจำของน้องเนยกลับไปพร้อมรอยยิ้มและพลัง แค่หยิบของวิเศษของยัยหนูขึ้นมา ความทรงจำที่ดีก็หวนคืนกลับมาและทำให้อมยิ้มทุกครั้ง สวนดอกไม้ของยัยหนู           สวนดอกไม้ยักษ์ที่ผลิบานเป็นหน้าน้องเนย พร้อมต้อนรับและแจกความสดใสส่งต่อความเบิกบานให้มัมหมี พ่อหมี ห้องจดชื่อ           เพราะยัยหนูตัวแสบไม่ชอบทำการบ้านเลยแผนว่าจะให้มัมหมี พ่อหมีช่วยทำการบ้านและส่งการบ้านกับ TEACHER MAY บนกระดานวิเศษให้ แต่! ยัยน้องยังชอบซ่อนขนมและของวิเศษ พี่เลี้ยงคนเก่งก็จับได้ทุกรอบเลย น้องเนยเลยต้องจดชื่อพี่ๆไว้ลงสมุดจดชื่อยักษ์ซะเลย ห้องแห่งความฝัน           ยัยน้องอยากชวนมัมหมี พ่อหมี มานอนตีพุงและมาแอบพี่เลี้ยงกินขนมก่อนนอนเป็นเพื่อน ยัยหนูมักจะฝันว่าไปท่องอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยขนมหวาน น้องเนยอยากให้มัมหมี พ่อหมี มาร่วมท่องโลกแห่งความฝันไปพร้อมกับน้องเนย เพราะในความฝันยัยหนูออกตามล่าหาป็อกโกแลตยักษ์ทุกวันเลยค่ะ ห้องสวยสุดในปฐพี           เคล็ดลับความสวยน่ารักตามวิถี Beauty Blogger เริ่มต้นที่ห้องนี้ ห้องสวยสุดในปฐพี ห้องที่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องสำอางค์ มัมหมี พ่อหมี สามารถเก็บภาพจาก Photo booth พร้อมกับน้องเนย และหากมัมหมี หรือพ่อหมีคนไหนอยากซัพพอร์ต Beauty Blogger มือใหม่ ก็สามารถฝากกิ๊ฟไว้ให้น้องเนยได้ใช้ในการเสริมสวยได้เช่นกัน ห้องแห่งความฟิน           หลังจากแจกความสดใส ส่งรอยยิ้ม และมอบความสุขให้กับมัมหมี พ่อหมี และเล่นซุกซนมาทั้งวัน กิจกรรมที่เติมพลังให้ยัยหนูคือการแช่ตัวในอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยอาณาจักรฟองสบู่แสนนุ่มนวล และไอเท็มสุดโปรดของน้องเนยคือ ทิชชู่ scott ที่มอบสัมผัสนุ่มเหมือนปุยนุ่นที่ไม่อาจปล่อยมือได้ เปลี่ยนห้องน้ำที่แสนธรรมดาให้เป็น "World of Softness" พิเศษ !  สำหรับมัมหมี พ่อหมี ตัวจริง เฉพาะวันที่ 24 มกราคมนี้เท่านั้น           น้องเนยเปิดบ้านให้มัมหมี พ่อหมีได้เข้าชมบ้านน้องเนยเป็นกลุ่มแรก ในวันที่ 24 มกราคมนี้ PREMIER PACKAGE โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้           ประเภทที่ 1 Meet & Greet Package ราคา 1,500 บาท ได้รับบัตรเข้าชมบ้านน้องเนย + ถ่ายรูปกับน้องเนยแบบ 1:1 + รับ Official Poster + Poster พร้อมลายสแตมป์น้องเนย + Photo card + สินค้าที่ระลึกจำนวน 1 ชิ้น  เฉพาะรอบเวลา 13.15 - 15.15 และ 15.15 - 17.15 น. จำกัดจำนวน 60 คน/รอบเท่านั้น ใช้เวลาต่อรอบ 2 ชม. คือ เดินชมบ้าน และ Meet & Greet กับน้องเนย           ประเภทที่ 2 Merchandise Package ราคา 750 บาท เปิดทั้งหมด 4 รอบดังนี้ 17.15/ 18.15 น./ 19.15 น../ 20.15 - 21.00 น. (45 นาที) โดยจะได้บัตรเข้าชมบ้านน้องเนย + Official Poster + Poster พร้อมลายสแตมป์น้องเนย + Photo card +สินค้าที่ระลึกจำนวน 1 ชิ้น เปิดบ้านน้องเนยอย่างเป็นทางการ วันที่ 25 มกราคมนี้เป็นต้นไป ราคาบัตรเข้าชมบ้านน้องเนยทั่วไป มี 2 ประเภทดังนี้           ประเภทที่ 1 Admission Ticket ได้รับเฉพาะบัตรเข้าชมบ้านน้องเนยเท่านั้น โดยบัตรผู้ใหญ่ ราคา 499 บาท และ บัตรเด็กราคา 350 บาท (เด็กที่มีความสูงระหว่าง 91-120 เซนติเมตร) และเข้าฟรี สำหรับเด็กที่มีความสูงต่ำกว่า 90 เซนติเมตร           ประเภทที่ 2 Merchandise Package ราคา 750 บาท ได้รับบัตรเข้าชมบ้านน้องเนย พร้อมสินค้าที่ระลึกคอลเลกชันพิเศษที่ไม่มีขายที่ไหน จำนวน 2 ชิ้น เตรียมรับความรักแบบจัดเต็มจากน้องเนย           พิเศษในเดือนแห่งความรักที่น้องเนยจะมามอบความรักแก่มัมหมี พ่อหมี กับ บัตร Meet & Greet Package ราคา 1,500 บาทต่อท่าน ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ วันที่ 1 และวันที่ 23 จำกัดจำนวน 60 คน/รอบเท่านั้น มัมหมี หรือพ่อหมีที่ซื้อบัตรประเภทนี้ จะได้ Meet & Greet น้องเนย พร้อมสิทธิ์ถ่ายภาพแบบ 1:1 รวมถึงได้ Photo card และสินค้าคอลเลกกชันพิเศษจำนวน 1 ชิ้น สินค้าที่ระลึกพิเศษเฉพาะใน Buttery world           ความพิเศษยังไม่สิ้นสุด กับสินค้าที่ระลึกมากมาย ออกแบบใหม่ให้เหล่ามัมหมี พ่อหมี ได้เก็บไว้เป็นคอลเลกชันพิเศษแห่งความทรงจำในบ้านน้องเนย เฉพาะสำหรับผู้ที่ซื้อบัตรเข้าชมบ้านน้องเนยเท่านั้น โดยจำกัดสิทธิ์ซื้อได้ 5 ชิ้นต่อท่าน           น้องเนยรอมัมหมีและพ่อหมีมาร่วมกันค้นหาพลังวิเศษ เติมรอยยิ้ม พลังความสุขและใช้เวลาร่วมกันที่ BUTTERY WORLD เริ่ม 25 มกราคมนี้ เป็นต้นไป ณ ชั้น 5 สยามพารากอน มัมหมีและพ่อหมี ซื้อบัตรได้แล้ววันนี้ที่ www.icvticket.com ติดตามกิจกรรมและสินค้าคอลเลคชันพิเศษได้ที่ Facebook Butterbear.th และ Facebook House of illumination [PR News]

CPALL โตรับไฮซีซั่น  โบรกคาดกำไร ปี 68 พุ่ง 15%

CPALL โตรับไฮซีซั่น โบรกคาดกำไร ปี 68 พุ่ง 15%

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  คาดกำไร CPALL 4Q67 จะเติบโตโดดเด่นทั้ง QoQ และ YoY รับผลบวกจากฤดูกาลท่องเที่ยว เทศกาลส่งท้ายปี และผลบวกจาก Synergy MAKRO & LOTUS ที่ชัดเจนมากขึ้น หลังควบรวมเสร็จต้น 4Q67           ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงจากความกังวลที่บริษัทย่อย CPAXT เข้าไปลงทุนในโครงการ Happitat มูลค่าการลงทุนราว 1.2 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มสร้างกำไรในปี 2573 ทำให้กำไร CPAXT เติบโตลดลง           ยังคงมั่นใจกำไรปี 67 จะเติบโต >30% และเติบโตเกิน 15% ในปี 68 โดย 1Q68 ได้รับผลบวกจาก E-Receipt           แนวรับ = 53.5/53.75 แนวต้าน = 56/57           CPALL | ซื้อ | TP=72 บ.

CPAXT-CPALLโอกาสลงทุน เปิด3ปัจจัยหนุนกระตุ้นธุรกิจ

CPAXT-CPALLโอกาสลงทุน เปิด3ปัจจัยหนุนกระตุ้นธุรกิจ

           หุ้นวิชั่น - สถานการณ์ตลาดหุ้นและโอกาสในหุ้น CPAXT และ CPALL คาดปีหน้ากำไรเติบโต 19% หลังโบรกฯส่งสัญญาณบวกกรณี CPAXT ชี้แจง AIMC ตลาดหุ้นไทยในปี 2567 เผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยหลายประการ ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ อย่างไรก็ตามในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี นักลงทุนเริ่มกลับมามองหาโอกาสในหุ้นที่มีพื้นฐานดี โดยเฉพาะในกลุ่มที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย คาดการณ์ GDP ไทยปี 2567 จะเติบโตประมาณ 3.8-4% ได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักและกำลังซื้อในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยปรากฏว่าหุ้นกลุ่มค้าปลีกได้ รับอานิสงส์มาตรการรัฐ ทั้ง "Easy E-Receipt 2.0" ช้อปลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท กระตุ้นจับจ่ายคึกคัก ด้านหอการค้าฯ คาดเงินสะพัดแสนล้าน โบรกฯ ชี้เป็นโอกาสสะสมหุ้นกลุ่มค้าปลีก CPALL CPAXT นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวโน้มผลดำเนินงานของ CPAXT ในปี 2567 จะมีผลกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยกำไรสุทธิคาดว่าจะอยู่ที่ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของกำลังซื้อที่ได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงความสำเร็จจากการผสานกลยุทธ์ของโลตัสและแม็คโคร ผู้นำในธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ขณะที่ระดับราคาหุ้น CPAXT ในปัจจุบันที่มีค่า P/E 22 เท่า เมื่อเทียบกับ CPALL ที่มีค่า P/E 19 เท่า ถือว่าถูกกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับลดลงเพิ่มเติมมีค่อนข้างจำกัด โดยเมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มการเติบโตในอนาคต CPAXT ถือว่าน่าสนใจเมื่อพิจารณาจากโอกาสเติบโตในระยะยาว ขณะที่ CPALL ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในตลาดค้าปลีกไทย ด้วยเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven มากกว่า 13,800 สาขา คาดการณ์ว่า รายได้รวมของ CPALL จะเติบโตประมาณ 8-10% ในปี 2567 การฟื้นตัวของยอดขายในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงการจัดโปรโมชั่นช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ราคาหุ้น CPALL ที่ P/E 19 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทำให้เป็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว 3 ปัจจัยหนุน CPALL – CPAXT  สำหรับปัจจัยหนุน CPAXT และ CPALL ประกอบไปด้วย 1.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และการสนับสนุนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ส่งผลบวกต่อธุรกิจค้าปลีก 2. การขยายธุรกิจและการลงทุนใหม่ โดย CPAXT ลงทุนในโครงการ Lotus’s Mall Bangna (The Happitat) ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ที่มั่นคงในอนาคต ด้าน CPALL เร่งขยายสาขา 7-Eleven ทั้งใน และต่างประเทศ 3.ความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก ทั้ง CPAXT และ CPALL ที่ยังคงเป็นผู้นำในกลุ่มค้าปลีกและค้าส่ง ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมและฐานลูกค้าที่กว้างขวาง ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) มองว่า CPALL ยังเป็นหุ้นเด่น หลังผลประกอบการไตรมาส 3 ปีนี้ ออกมาดีกว่าที่คาดจากแนวโน้มกำไรที่ดีขึ้นของจากทั้งแม็คโคร โลตัส ภายใต้ CPAXT (CPALL ถือหุ้น CPAXT อยู่ 34.91 %) รวมทั้งมีอัตราการเติบโตของเซเว่นอีเลฟเว่นสาขาเดิมและการเปิดสาขาใหม่ ส่งผลต่อเนื่องสำหรับผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากการเข้าสู่ช่วงไฮ ซีซั่น รวมทั้งมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อปลายปีของภาครัฐ จะส่งผลบวกต่อผลประกอบการของ CPALL กลยุทธ์แนะนำ “ถือ” และทยอยซื้อสะสม ขณะที่ความกังวลต่อหุ้น CPAXT ที่เผชิญแรงกดดันจากความกังวลของนักลงทุนในสัปดาห์ที่ผ่านมา กรณีเข้าลงทุน Lotus’s Mall Bangna จนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง ทว่าล่าสุดหลังการชี้แจงรายละเอียดต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) นักวิเคราะห์ บล. ฟินันเซีย ไซรัส มีมุมมองเป็นบวกต่อมติของ AIMC ที่ไม่ได้ห้ามลงทุน หรือชะลอการซื้อขาย ซึ่งสามารถคลายความกังวลของนักลงทุนสถาบันต่อทั้งตราสารหนี้และตราสารทุนของ CPAXT  สรุปแล้วในภาพรวม ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญความท้าทาย แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ จะช่วยสร้างโอกาสให้หุ้นในกลุ่มค้าปลีกอย่าง CPAXT และ CPALL สำหรับนักลงทุนที่มองหาหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง CPAXT และ CPALL ถือเป็นโอกาสในการสะสม เพราะหุ้นทั้งสองตัวนี้เต็มไปด้วยโอกาสเติบโตในระยะยาวและราคาหุ้นที่ยังอยู่ในระดับน่าสะสม อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและปัจจัยเสี่ยงในตลาดอย่างใกล้ชิดก่อนตัดสินใจลงทุน

CPALL โบรกปล่อยประเด็นลบ CPAXT คาด Q4 ผลประกอบพีคตาม high season

CPALL โบรกปล่อยประเด็นลบ CPAXT คาด Q4 ผลประกอบพีคตาม high season

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.เอเอสแอล มองแนวโน้ม 4Q24F เป็นช่วงพีคของผลประกอบการตาม high season ของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงได้อานิสงส์จากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างการแจกเงิน 1 หมื่นบาท และ SSSG ยังคงขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่ +3.3% พร้อมทั้งคาดหวังยังคงรักษาระดับของ GPM จากสินค้าพร้อมทาน ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและเพื่อสุขภาพแนวโน้มเติบโต อีกทั้งรักษาระดับ Cost to income ไว้ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้คาดหวังรับรู้รายได้จาก CPAXT ที่ขยายตัวตามการเข้าสู่ช่วง high season ตามฤดูกาลท่องเที่ยว และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้ากลุ่ม HoReCa สั่งซื้อสินค้ามากขึ้น นอกจากนี้ในระยะถัดไป คาดหวังการเกิด synergy หลังการควบรวมกันมากขึ้น ส่วนภาพทั้งปี67-68F เท่ากับ 2.4 หมื่นล้านบาท +29.5%YoY และ 2.7 หมื่นล้านบาท +12.8%YoYตามลำดับ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 80.76 บาท ในเชิง sentiment ประเมินตลาดได้รับรู้ประเด็นลบจากการลงทุนของบริษัทลูกอย่าง CPAXT ไปพอสมควรแล้ว และเชื่อว่าตลาดจะเริ่มกลับมาให้น้ำหนักกับแนวโน้มผลประกอบการที่เติบโต และรับอานิสงส์ที่ประชุม ครม. ล่าสุดได้อนุมัติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ, มาตรการ Easy e-receipt และแจกเงินหมื่นเฟส 2หนุนกำลังซื้อฐานราก ที่เป็นลูกค้าของบริษัท นอกจากนี้ CPALL ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ยัง Laggard ตลาด 8.5% ในรอบ 20 วันที่ผ่านมา มองว่าในระยะสั้นมีโอกาสที่จะเป็นหุ้นเป้าหมายกองทุนวายุภักษ์และ ThaiESGที่จะเข้าซื้อในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี

ครม. อนุมัติมาตรการ Easy e-receipt  แจกเงินดิจิทัลเฟส 2 - ขยายเวลาลดภาษี ผับ บาร์

ครม. อนุมัติมาตรการ Easy e-receipt แจกเงินดิจิทัลเฟส 2 - ขยายเวลาลดภาษี ผับ บาร์

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี เผย ครม. มีมติเห็นชอบแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 ให้กลุ่มผู้สูงอายุ, อนุมัติมาตรการ Easy e-receipt และขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิต ผับ บาร์ ไนต์คลับ อีก 1 ปี เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว บทวิเคราะห์มองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Domestic Play ที่จะได้ประโยชน์ อาทิ ค้าปลีก, ไฟแนนซ์, ร้านอาหาร และท่องเที่ยว (CRC, CPALL, SAWAD, CENTEL, ERW)

CPALL ลงทุน เดอะฟอเรสเทียส์ ทุ่ม 8,390 ลบ. อสังหาฯ Mixed-Use

CPALL ลงทุน เดอะฟอเรสเทียส์ ทุ่ม 8,390 ลบ. อสังหาฯ Mixed-Use

หุ้นวิชั่น - นายสุพจน์ ชิตเกษรพงศ์ เลขานุการบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (“CPALL” หรือ “บริษัทฯ”) รายงานตลาดหลักทรัพย์ ระบุว่า บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) (“CPAXT”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CPALL ได้มีการจัดตั้งบริษัทย่อยทางตรง และจะถือหุ้นในบริษัทย่อยทางอ้อม ดังนี้: เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ได้มีการจัดตั้งบริษัทย่อยทางตรงคือ บริษัท แอ็กซ์ตร้า โกรท พลัส จำกัด ซึ่ง CPAXT ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 95 โดยบริษัท แอ็กซ์ตร้า โกรท พลัส จำกัด จะเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทย่อยทางอ้อมคือ บริษัท แฮปปี้แทท แอท เดอะ ฟอเรสเทียส์ จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 100 (ยกเว้นหุ้น 1 หุ้น) ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use Development) ภายใต้โครงการชื่อ The Happitat ซึ่งประกอบด้วยห้างสรรพสินค้าจำนวน 3 อาคาร และอาคาร Central Utility Plant ที่เป็นศูนย์กลางสาธารณูปโภค โดยโครงการ The Happitat ทั้งหมดตั้งอยู่ภายในโครงการ The Forestias ทั้งนี้ รายการดังกล่าวไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยง และขนาดของรายการไม่เข้าข่ายเป็นรายการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ที่มีนัยสำคัญตามข้อกำหนดของประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 20/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทำรายการที่มีนัยสำคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2551 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) และประกาศที่เกี่ยวข้อง

“คุณสู้ เราช่วย” ดีกับเศรษฐกิจ โบรกชี้เป้า CPALL - CRC

“คุณสู้ เราช่วย” ดีกับเศรษฐกิจ โบรกชี้เป้า CPALL - CRC

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.พาย ชี้เงินเฟ้อสหรัฐฯตามตลาดคาด รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ สภาพคล่องสูงขึ้น (ดีกับเศรษฐกิจ) ปัจจัยนอกประเทศ           ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 99 จุด (-0.2%) แต่ดัชนี S&P500 , Nasdaq ปิดบวกหลังจากที่สหรัฐฯรายงานเงินเฟ้อสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1.8% หลังมีรายงานว่า EU ประกาศคว่ำบาตรรัสเซีย           เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานเงินเฟ้อประจำเดือน พ.ย. พบว่าขยายตัว 2.7%YoY 0.3%MoM และเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัว 3.3%YoY , 0.3%MoM ทั้งคู่ที่กล่าวไปข้างต้นสอดคล้องกับที่ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ โดยการลดลงของเงินเฟ้อ (ขยายตัวน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้) ได้แรงหนุนหลักจากการปรับลงของราคาพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันเตา (-19.5%YoY) รวมไปถึงราคารถมือสองและรถบรรทุก (-3.4%YoY) แต่ทั้งนี้เงินเฟ้อสหรัฐฯแม้จะปรับลงจากจุดสูงสุดราว 9%YoY มาอยู่ที่ 2.7%YoY แต่ตัวเลข 2.7%YoY นั้นก็ถือว่าเร่งขึ้นจากเดือนก่อนที่ 2.6%YoY เป็นผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯเริ่มขยับขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกับการแข็งค่าของ Dollar Index ส่วน CME FED Watch ล่าสุดให้น้ำหนักลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. ราว 98.6% แต่ปี 25 ทั้งปีประเมินว่าจะลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง ลดลงจาก Dot Plot ของ FED ที่ 4 ครั้ง สะท้อนมุมมองที่เข้มงวดมากขึ้นจากตลาด ซึ่งอาจเกิดจากความคาดหวังเงินเฟ้อจะไม่ปรับลงแรง รวมไปถึงการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆภายใต้นโยบายของ Trump จะเป็นอีกแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ ส่วนค่าเงินบาทนั้นกลับมาอ่อนค่าทดสอบ 33.8 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ จากก่อนหน้าที่ 33.6 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนนึงเชื่อว่าเกิดจาก Dollar Index ที่แข็งค่า ด้านปัจจัยในประเทศ           วานนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ออกโครงการเห็นชอบแก้หนี้ SME , กลุ่มเปราะบาง ประกอบไปด้วย (1) มาตรการปรับโครงสร้างหนี้แบบลดภาระดอกเบี้ยโดยเน้นการตัดต้นเงินลูกหนี้ รูปแบบการให้ความช่วยเหลือเน้นที่ลดภาระผ่อนชำระค่างวดโดยค่างวดทั้งหมดจะนำไปตัดเงินต้น (2) ช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่ม Non Bank รูปแบบการช่วยเหลือจะได้แก่ลดภาระการผ่อนชำระค่างวดเป็น 70% ของค่างวดก่อนเข้าร่วมมาตรการพร้อมลดดอกเบี้ย 10% จากดอกเบี้ยก่อนเข้าร่วมตลอดระยะเวลา 3 ปี ความเห็นเราสำหรับสถาบันการเงินคุณภาพสินเชื่อดีขึ้นและภาระสำรองหนี้ฯลดลง ทำให้กล้าจะปล่อยสินเชื่อใหม่มากขึ้นแต่ในช่วง 3 ปีแรก รายได้ดอกเบี้ยรับปรับลดลงสินเชื่อลดลงจากการชำระคืนหนี้กระทบความสามารถการทำกำไร อย่างไรก็ดีผลกระทบส่วนหนึ่งจะถูกชดเชยจากการลดเงินนำส่งค่าธรรมเนียม FIDF ด้านเศรษฐกิจด้วยสภาพคล่องที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนการบริโภค บวกกับกลุ่มค้าปลีก (BJC CRC CPALL) วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1435 – 1450 เชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะ Trading ได้เช่นเดิมรอการฟื้นตัวช่วงถัดไป แนะนำที่กลุ่มค้าปลีก (BJC CRC CPALL DOHOME) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) ธนาคาร (BBL KBANK KTB SCB) ศูนย์การค้า (CPN) ส่งออก (ITC TU) CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)           รายงานกำไรงวด 3Q24 ที่ 5.6 พันล้านบาท (+27%YoY) หลังหักรายการพิเศษจะมีกำไรปกติ 6.2 พันล้านบาท (+45%YoY) ดีกว่าที่เราและตลาดคาด 9% หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่เติบโต 3.3%YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +1.5% และ Lotus’s +2.3%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 4Q24 จะเติบโต YoY และ QoQ ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว CRC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 40.00 บาท)           รายงานกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 2.1 พันล้านบาท (+86%YoY) หลังตัดรายการพิเศษจะมีกำไรปกติที่ 1.6 พันล้านบาท (+24%YoY, +1%QoQ) ดีกว่าที่เราและ BB consensus คาด 17% ทำให้กำไร 9M24 คิดเป็น 68% ของประมาณการกำไรปี2024 กำไร 3Q24 ที่โต YoY มาจากรายได้จากการส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้น การควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดี บวกกับอัตราภาษีจ่ายที่ลดลง แม้ว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่ -3%YoY (ไทย -2%, เวียดนาม -6%, อิตาลี -4%) ขณะที่แนวโน้มช่วง QTD ของ 4Q24 มีทิศทางการฟื้นตัวและพลิกกลับมาเป็นบวกได้ในช่วง 10 วันของเดือนพ.ย. 2024

สินค้าจำเป็นยังบวก สินค้าฟุ่มเฟือยเริ่มฟื้น โบรกชี้หุ้น CPALL - HMPRO เด่น

สินค้าจำเป็นยังบวก สินค้าฟุ่มเฟือยเริ่มฟื้น โบรกชี้หุ้น CPALL - HMPRO เด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี ประเมินการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนเป็นแนวโน้มเดียวกันกับใน 3Q24 นั่นคือสินค้าจำเป็นจะอยู่ในโซนบวก และสินค้าฟุ่มเฟือย (ยกเว้น DOHOME) อยู่ในเชิงลบ หุ้นเด่นของเรายังคงเป็น CPALL (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 80 บาท) และเรามีมุมมองบวกมากขึ้นต่อกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (จากแนวโน้ม SSSG ที่ปรับตัวดีขึ้น) เราจึงเลือก HMPRO (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 13.50 บาท) เป็นอีกหนึ่งหุ้นเด่นเพราะ SSSG ที่เป็นบวกในปี 2025 ซึ่งน่าจะเป็นตัวเร่งเชิงบวกต่อราคาหุ้น SSSG ของกลุ่มสินค้าจำเป็นยังเป็นบวก           ใน 4Q24 CPALL, CPAXT และ BJC น่าจะยังคงมี SSSG เป็นบวกต่อไป โดยได้รับแรงหนุนจาก:           1. การแจกเงินสดจำนวน 10,000 บาท ณ สิ้นเดือนกันยายน ซึ่งส่งผลดีเล็กน้อยต่อ SSSG ในเดือนตุลาคม และ           2. สำหรับ CPAXT และ BJC การให้ความสำคัญกับอาหารสดช่วยให้ดีขึ้น SSSG ในหมวดหมู่นี้ เราสังเกตว่า SSSG สำหรับ CPALL และ BJC นั้นดีที่สุดที่ 5% ในเดือนพฤศจิกายน เทียบกับ 2% สำหรับ CPAXT และเราคิดว่านี่อาจเป็นตัวเร่งเชิงบวกต่อราคาหุ้นทั้งคู่ SSSG กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยดีขึ้น           แต่ยังเป็นลบ DOHOME เป็นหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยแห่งเดียวในการบันทึก SSSG เชิงบวกที่ 3% สำหรับทั้งเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน โดยได้รับการสนับสนุนจาก:           1. การฟื้นฟูหลังน้ำท่วม และ           2. การเบิกจ่ายอย่างต่อเนื่องของรัฐบาล สำหรับ CRC, HMPRO และ GLOBAL ยังคงเห็นว่า SSS ติดลบโดยอยู่ระหว่าง -3% ถึง 0% ในช่วงทั้งสองเดือน เราชอบ HMPRO ซึ่งมี P/E อยู่ที่ 18.7 เท่า FY25F ซึ่งถือว่าถูกที่สุดในกลุ่มค้าปลีกทั้งหมด และเราคาดการณ์การฟื้นตัวที่ 2% SSSG ในปี FY25F ทั้งนี้ HMPRO ซื้อขายที่ -2SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว และมี ROE สูงสุดที่ 24.8% CPALL และ HMPRO เป็นหุ้นเด่น           CPALL เป็นหุ้นที่เราชื่นชอบ เนื่องจาก SSSG ที่สูงสุดในกลุ่ม และการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมที่ 21.3x FY25F P/E รวมทั้งเป็นผู้รับผลประโยชน์ที่ดีที่สุดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ สำหรับ HMPRO เราชอบธุรกิจที่ดีของบริษัท เนื่องจาก ROE ที่สูงที่สุด

CPALL คาด Q4 รายได้พุ่ง อานิสงส์ไฮซีซันท่องเที่ยว-การบริโภคในประเทศ

CPALL คาด Q4 รายได้พุ่ง อานิสงส์ไฮซีซันท่องเที่ยว-การบริโภคในประเทศ

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.เอเอสแอล ระบุแนวโน้ม 4Q24F เป็นช่วงพีคของผลประกอบการตาม high season ของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงได้อานิสงส์จากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างการแจกเงิน 1 หมื่นบาท และ SSSG ยังคงขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่ +3.3% พร้อมทั้งคาดหวังยังคงรักษาระดับของ GPM จากสินค้าพร้อมทาน ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและเพื่อสุขภาพแนวโน้มเติบโต อีกทั้งรักษาระดับ Cost to income ไว้ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้คาดหวังรับรู้รายได้จาก CPAXT ที่ขยายตัวตามการเข้าสู่ช่วง high season ตามฤดูกาลท่องเที่ยว และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้ากลุ่ม HoReCa สั่งซื้อสินค้ามากขึ้น นอกจากนี้ในระยะถัดไป คาดหวังการเกิด synergy หลังการควบรวมกันมากขึ้น           ส่วนภาพทั้งปี 67-68F เท่ากับ 2.35 หมื่นล้านบาท +27%YoY และ 2.67 หมื่นล้านบาท +13.7%YoY ตามลำดับ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 89.67 บาท ในเชิง sentiment ขานรับที่ประชุม ครม. เห็นชอบการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนา ในโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการ และพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว โดยช่วยเหลือในอัตราไร่ละ 1,000 บาท เป็นบวกต่อกลุ่มลูกค้าฐานราก นอกจากนี้ CPALL ถือเป็นหนึ่งในหุ้นหลักของ SET ที่ยัง Laggard หุ้น Big Cap ราว 3.6% ในรอบ 60 วัน มองว่าในระยะถัดไปมีโอกาสที่จะเป็นหุ้นเป้าหมายกองทุนวายุภักษ์และ ThaiESG

บล.ดาโอ อัพเป้า CPALL เป็น 86 บ.กระตุ้นเศรษฐกิจหนุน แนะ “ซื้อ”

บล.ดาโอ อัพเป้า CPALL เป็น 86 บ.กระตุ้นเศรษฐกิจหนุน แนะ “ซื้อ”

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ CPALL (ซื้อ/ปรับเป้าขึ้นเป็น 86.00 บาท) SSSG ใน 4Q24Eยังเห็นเป็นบวก และ GPM ยังทรงตัวสูง ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเป็นกลางต่อประชุมนักวิเคราะห์ โดย guidance ในด้านการขยายสาขายังใกล้เคียงเดิม โดยมีประเด็นคือ 1) การขยายสาขาเป็นไปตามเป้าในปี 2024Eจาก 9M24 ขยายไป 508 สาขา และขยาย 700 สาขาต่อเนื่องในปี 2025E ต่อไปจนกว่าจะครบ 2 หมื่นสาขา รวมถึงในปัจจุบันมี 98 (+11) สาขาในกัมพูชาและ 9 (+3) สาขาในลาว 2) 4Q24E QTD SSSG เป็นบวกต่อเนื่อง คาดอยู่ที่ระดับ+4% และ GPM ทรงตัวสูงต่อจากใน 3Q24 ทำให้คาดกไไรขยายตัวทั้ง YoY และ QoQ หนุนด้วยการท่องเที่ยวตามปัจจัยฤดูกาลปรับประมาณการกำไร 2024E/25E ขึ้น +9%/+2% อยู่ที่ 2.5 และ 2.7 หมื่นล้านบาท โต +33%/11%YoY จากเดิมที่ 2.3 และ 2.7 หมื่นล้านบาท จากผลการดำเนินงาน 9M24 ที่ออกมามี upside ต่อประมาณการเดิมของฝ่ายวิเคราะห์ และมองแนวโน้ม 4Q24E ยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องในทุกธุรกิจ และยังคงมั่นใจขยายสาขา CVS ได้ตามเป้าที่ 700 สาขาในปี 2024E และต่อเนื่องไปในปี 2025E ราคาหุ้น outperform SET ในช่วง 6 และ 12 เดือนที่ผ่านมา จากคาดได้ผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ หนุนผลการดำเนินงาน 2H24E และเรายังแนะนำ “ซื้อ” CPALL จากคาดเห็นการเติบโตได้ดีต่อเนื่องในทุกธุรกิจ

“โกลเบล็ก” คัด 4 หุ้นเด่นรับแจกเงินหมื่น ชู CPALL-CPAXT-BJC-TNP

“โกลเบล็ก” คัด 4 หุ้นเด่นรับแจกเงินหมื่น ชู CPALL-CPAXT-BJC-TNP

          กรุงเทพฯ - บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยผันผวนจากปัจจัยกดดันเรื่องที่ FED จะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง  พร้อมจับตาศาลรัฐธรรมนูญ 22 พ.ย.นี้ ชี้ชัด รับ-ไม่รับคำร้องทักษิณ-เพื่อไทย ล้มล้างการปกครอง จึงให้กรอบดัชนี 1,420-1,470 จุด และกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทให้กลุ่มผู้สูงวัยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ CPALL-CPAXT-BJC-TNP           นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มีโอกาสแกว่งตัวผันผวนจากปัจจัยกดดันคำแถลงการณ์ของประธานเฟดที่บ่งชี้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจชะลอลงตัวลง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวลงแรงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังติดตามศาลรัฐธรรมนูญ นัด 22 พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นการ รับ-ไม่รับคำร้อง ทักษิณ-เพื่อไทย ล้มล้างการปกครอง จึงให้กรอบดัชนีที่ระดับ 1,420-1,470 จุด           ขณะที่มีปัจจัยหุนจากสภาพัฒน์เปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 3/2567 ขยายตัว 3.0% ดีกว่าตลาดคาดระหว่าง 2.4-2.7% และเร่งขึ้นจาก 2.2% จากในไตรมาส 2/2567 จากการผลิตภาคนอกเกษตรที่ขยายตัวเร่งขึ้นตามการขยายตัวของกลุ่มบริการและจากการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ  ส่งผลให้สภาพัฒน์ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2567 สู่ระดับ 2.6% จากเดิม 2.5% ด้านกระทรวงการคลังเตรียมเสนอแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจรายปี โดยเริ่มตั้งแต่ของขวัญปีใหม่ช่วงสิ้นปีนี้ต่อเนื่องถึงตลอดทั้งปีหน้า เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีกำหนดประชุมในวันอังคารนี้ (19 พ.ย.)           อีกทั้งทาง โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ยืนยันกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนว่าสหรัฐฯไม่ต้องการทำสงครามเย็น และไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบของจีน โดยพันธมิตรของสหรัฐฯ ก็ไม่ได้ต่อต้านจีน และออสตัน กูลส์บี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาชิคาโกคาดการณ์ว่า FED อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในปีนี้ และลดลงอีก 1% ในปีหน้าตามที่ได้คาดการณ์ไว้ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา           อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาปัจจัยในประเทศวันนี้ (19 พ.ย.) จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และสัปดาห์ที่ 4 ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์, กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย, สัปดาห์ที่ 5 สศอ. แถลงดัชนีอุตสาหกรรม, สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค, ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค, วันที่ 29 พ.ย. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจ           ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่น่าจับตาวันนี้ 19 พ.ย. อียู รายงานอัตราเงินเฟ้อเดือนต.ค. (ประมาณการครั้งสุดท้าย), สหรัฐ รายงานตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนต.ค., วันที่ 20 พ.ย. ญี่ปุ่น รายงานยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนต.ค., สหรัฐ รายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์, วันที่ 21 พ.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีการผลิตเดือนพ.ย. ยอดขายบ้านมือสองเดือนต.ค. และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนต.ค. และวันที่ 1 ธ.ค. กลุ่มโอเปกพลัสประชุมกำหนดนโยบายการผลิตอย่างเป็นทางการ           ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ ที่ได้ออกนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทให้กลุ่มผู้สูงวัยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ  โดยประเมินว่าหุ้นที่จะได้อานิสงส์จากปัจจัยดังกล่าวได้แก่ CPALL, CPAXT, BJC และ TNP           ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก ประเมินแนวโน้มราคาทองคำในสัปดาห์นี้ ราคาทองคำยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากเงินดอลลาร์แข็งค่า หลัง “ทรัมป์” ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ประกอบกับประธานเฟดส่งสัญญาณไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังตัวเลขเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% และตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามราคาทองคำได้แรงหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น มองกรอบทองคำสัปดาห์นี้ 2,530 – 2,645 $/Oz ลุ้นทดสอบแนวรับ

CPALL ส่องกำไรQ4แกร่ง โบรกชี้เป้า 80 บาท

CPALL ส่องกำไรQ4แกร่ง โบรกชี้เป้า 80 บาท

      หุ้นวิชั่น- ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ในไตรมาส 3/67 CPALL ทำกำไรสุทธิได้ 5.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% yoy ลดลง 10% qoq แต่หากไม่รวมรายการพิเศษ ซึ่งหลักๆคือกำไร/ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของ CPAXT และค่าใช้จ่ายในการควบรวมกิจการ พบว่า CPALL จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติสูงถึง 6.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% yoy และ 1% qoq สูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ฯ และ Bloomberg consensus ราว 4% และ 9% ตามลำดับ โดยมีปัจจัยหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) สูงกว่าคาดของธุรกิจร้านสะดวกซื้อและกำไรที่แข็งแกร่งกว่าคาดของ CPAXT ดังนั้นกำไรสุทธิในงวด 9 เดือนของปี 67 จึงเพิ่มขึ้นแตะ 1.82 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% yoy หรือคิดเป็น 76% ของประมาณการทั้งปี           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า ร้าน 7-Eleven ในไทยมีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) บวก 3.3% ในไตรมาส 3/67 หนุนโดยยอดซื้อต่อบิลที่เพิ่มขึ้น 2.4% yoy และจำนวนลูกค้าที่เข้ามาในร้านเพิ่มขึ้น 0.5% yoy โดยในไตรมาสนี้ CPALL เปิดร้าน 7-Eleven ในไทยอีก 199 สาขา พร้อมทั้งเปิดสาขาเพิ่มในกัมพูชา 11 สาขาและลาว 3 สาขา จึงทำให้จำนวนสาขาโดยรวมในไทยเพิ่มเป็น 15,053 สาขา, กัมพูชา 98 สาขา และลาว 9 สาขา           ส่วนอัตรากำไรจากการขายสินค้าทรงตัว qoq ที่ 27.7%ไตรมาส 3/67 ยังเป็นสถิติสูงสุด เนื่องจากสินค้าที่ไม่ใช่อาหารมี GPM เพิ่มขึ้น 20bp qoq เพราะส่วนผสมการขายที่ดีขึ้นช่วยชดเชยอัตรากำไรจากสินค้าอาหารที่ลดลง 10bp qoq ตามฤดูกาล ขณะที่ GPM โดยรวมจากการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น 70bp yoy ดังนั้นแม้ธุรกิจร้านสะดวกซื้อจะมีอัตราส่วน SG&A/รายได้สูงขึ้น 40bp yoy และ 20bp qoq เป็น 27.5% จากค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้น แต่ไตรมาส 3/67 ธุรกิจนี้ยังคงมีกำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่งถึง 30% yoy เป็น 4.4 พันล้านบาท คิดเป็น 79% ของกำไรสุทธิโดยรวมของ CPALL ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI คาดว่า CPALL จะยังมีกำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่งในไตรมาส 4/67 แม้อาจชะลอตัวลงจากไตรมาส 3/67 หลังผลดีจากค่าไฟฟ้าที่ลดลงค่อยๆหมดไป นอกจากนี้ กำไรสุทธิจาก CPAXT น่าจะเติบโตเพียงเล็กน้อย เนื่องจากฐานกำไร ของ Lotus’s ขยายใหญ่ขึ้น จึงปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 67-69 ขึ้น 1.5-2.3% สะท้อน GPM ที่แข็งแกร่งของร้านสะดวกซื้อ ขณะที่เลื่อนระยะเวลาการลงทุนเป็นสิ้นปี 68 ส่งผลให้ราคาเป้าหมายของ CPALL เพิ่มเป็น 80 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”จากแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งและฐานกำไรที่ใหญ่ขึ้น           อย่างไรก็ตาม CPALL อาจมี downside risk หากมีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและต้นทุนอาหารสดเพิ่มสูงขึ้นส่วนปัจจัยบวกคือการที่บริษัทขยายสาขาในกัมพูชาและสปป.ลาวเร็วกว่าคาดและส่วนแบ่งกำไรจาก CPAXT สูงกว่าคาด เพราะได้ประโยชน์จาก synergy ระหว่าง Makro และ Lotus มากกว่าคาด

KSS คาด SET สร้างฐาน ชี้ต้าน 1463 จุด ค้าปลีก ท่องเที่ยว แบงก์ เช่าซื้อเด่น

KSS คาด SET สร้างฐาน ชี้ต้าน 1463 จุด ค้าปลีก ท่องเที่ยว แบงก์ เช่าซื้อเด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “แกว่งสร้างฐาน” ต้าน 1458/1463 จุด รับ 1443/1440 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯแกว่งในกรอบ ดัชนีS&P500 ปิดทรง แม้เงินเฟ้อ CPI ต.ค. 24 ตามตลาดคาด +2.6%y-y, 0.2%m-m และตลาดส่วนใหญ่ยังเชื่อภาพ Fed จะปรับลดดอกเบี้ย ธ.ค. 24 แต่เป็นที่น่าสังเกต US Bond Yield ปรับลงเฉพาะ 2 ปี ส่วน 10 ปีปรับขึ้น บ่งชี้ตลาดยังความกังวลต่อความเสี่ยงผลกระทบนโยบาย ประธานาธิบดี Trump ต่อเงินเฟ้อเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าเช้านี้แตะ 34.9 บาท มองจิตวิทยาลบต่อ SET แต่ภายในกำไร 3Q24 ยังมีพัฒนาการ หลังรายงานเพิ่มเป็น 415 บริษัท ระดับกำไรต่ำกว่าคาดทรงตัว -19.2% (vs วานนี้ -19%) โดยมีกำไรกลุ่ม Domestic เด่นกลบฝั่ง Global พลังงาน+ชิ้นส่วนที่ต่ำคาด กอปรกับ สัญญาณชี้นำระยะถัดไปที่เป็นบวก อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก ต.ค. 24 สูงสุด ในรอบเกือบ 1ปี , กระทรวงการคลังยืนยันพิจารณามาตรการกระตุ้นบริโภค หากการฟื้นตัวมีสัญญาณสะดุด มอง SET ประคองได้ หุ้นเด่น คือ หุ้น Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว ธนาคาร เช่าซื้อ) หุ้น China Plays (เก็งรายงานเศรษฐกิจพรุ่งนี้คาดเริ่มเห็นพัฒนาการบวก) และหุ้นเงินบาทอ่อนค่าหนุน (อาหาร, ชิ้นส่วน) วันนี้แนะ CPALL, IVL, SCB

CPALL ไตรมาส 3 กำไรโต 28.4% ลุยขยายสาขา 7-Eleven

CPALL ไตรมาส 3 กำไรโต 28.4% ลุยขยายสาขา 7-Eleven

          CPALL เผยกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 แตะ 5,608 ล้านบาท โต 28.4% จากปีก่อน รายได้รวม 241,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% หนุนโดยยอดขายสินค้าจากทุกกลุ่มธุรกิจและการเติบโตของการท่องเที่ยว พร้อมเดินหน้าขยายสาขาร้าน 7-Eleven ในไทยอีก 700 แห่งในปี 2567 รวมถึงเปิดสาขาใหม่ในกัมพูชาและลาว มุ่งลงทุน 12,000-13,000 ล้านบาทเพื่อรองรับการเติบโตทุกช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์           นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL หรือ บริษัทฯ) ใคร่ขอรายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 ปี 2567 โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อย รายงานกำไรสุทธิจำนวน 5,608 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ (หลังปรับปรุงรายการ)* จำนวนเท่ากับ 6,190 ล้านบาท โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้           ในไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 241,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 6.6 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายสินค้าของทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคและศูนย์การค้า และกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ตามการบริโภคภายในประเทศที่ยังคงขยายตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงปลายไตรมาส รวมถึงการท่องเที่ยวในไตรมาสนี้ที่ปรับตัวดีขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ กลยุทธ์ O2O ของแต่ละหน่วยธุรกิจยังคงเป็นปัจจัยเสริมในการเติบโตของรายได้อีกทางหนึ่ง แม้ว่าจะเผชิญกับฝนตกหนักในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ           ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อเปิดร้านสาขาใหม่รวมทั้งสิ้น 199 สาขา ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทฯ มีจำนวนร้านสาขาทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 15,053 สาขา แบ่งเป็น 1. ร้านสาขาบริษัท 7,671 สาขา (ประมาณร้อยละ 51) โดยเปิดใหม่สุทธิ 125 สาขาในไตรมาสนี้ 2. ร้าน SBP และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต 7,382 สาขา (ประมาณร้อยละ 49) โดยเปิดใหม่สุทธิ 74 สาขาในไตรมาสนี้           ร้านสาขาส่วนใหญ่ยังเป็นร้านที่ตั้งเป็นเอกเทศ ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 86 ของสาขาทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นร้านในสถานีบริการน้ำมัน ปตท.           ในไตรมาส 3 ปี 2567 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวม 107,850 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสนี้มียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวันเท่ากับ 81,781 บาท และยอดขายเฉลี่ยของร้านสาขาเดิมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดซื้อต่อบิลโดยประมาณ 84 บาท และจำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 964 คน           ทั้งนี้ จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น           ธุรกิจร้านสะดวกซื้อยังคงใช้แผนกลยุทธ์ที่สอดรับกับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงการรักษาฐานลูกค้าเดิม และขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยนำเสนอสินค้าใหม่ๆ พร้อมโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงความพยายามในการเพิ่มรายได้จากการขายสินค้าผ่านกลยุทธ์ O2O เช่น 7-Delivery และ All Online ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 11 ของรายได้จากการขายสินค้ารวม           อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุมและให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการมุ่งขยายสาขาร้าน 7-Eleven ตามแผน และเพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินค้าและบริการสำหรับลูกค้า ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อยังคงรายงานกำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7,407 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 4,467 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนื กำไรต่อหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการในไตรมาส 3 ปี 2567 เท่ากับ 0.49 บาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในประเทศกัมพูชา รวมทั้งสิ้น 98 สาขา และมีสาขาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จำนวน 9 สาขา คาดการณ์และแนวโน้มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ในปี 2567           เป้าหมายการขยายสาขา บริษัทฯวางแผนที่จะพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ ทั้งแพลตฟอร์ม ออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งรวมถึงการขยายเครือข่ายร้านสาขาต่อเนื่องไปตามการ ขยายตัวของชุมชน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แหล่งท่องเที่ยว และทำเลที่มีศักยภาพ อื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเข้าถึงความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดย บริษัทวางแผนที่จะลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่ในประเทศไทยอีกประมาณ 700 สาขาใน ปี 2567 และมีเป้าหมายที่จะเปิดร้านใหม่เพิ่มในประเทศกัมพูชา และในสปป.ลาว ในปี 2567 อีกด้วย ประมาณการรายได้จากการ ขายและบริการ อัตราการเติบโตของรายได้ ส่วนใหญ่มาจากอัตราการเติบโตของยอดขายจากร้าน สาขาใหม่ และอัตราการเติบโต ของยอดขายเฉลี่ยจากร้านเดิม รวมถึงยอดขายจาก ช่องทางอื่นๆ อาทิ 7Delivery และ All Online ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียง กับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ อาทิ ระดับ ของอัตราเงินเฟ้อ ราคาวัตถุดิบ ราคาพลังงาน และ การขยายตัวของการบริโภค ภายในประเทศ เป็นต้น           ประมาณการอัตรากำไรขั้นต้น บริษัทตั้งเป้าขยายอัตรากำไรขั้นต้นให้ได้อย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเน้นการพัฒนา ระบบในการคัดสรรสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น และผลักดัน ให้มีสัดส่วนของสินค้าที่ก าไรขั้นต้นสูงเพิ่มขึ้น ทั้งจากสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภค           ประมาณการงบลงทุน คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 12,000 – 13,000 ล้านบาท

บล.กรุงศรี คาด SET แกว่งในกรอบ ต้าน 1476 จุด จับตาปัจจัยนอก แนะ ADVANC, AOT, CPALL

บล.กรุงศรี คาด SET แกว่งในกรอบ ต้าน 1476 จุด จับตาปัจจัยนอก แนะ ADVANC, AOT, CPALL

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “แกว่งในกรอบ” ต้าน 1473/1476 จุด รับ 1455/1446 จุด ต่างประเทศรอ 3 ประเด็นคือการเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย. (รู้ผลราว 6 พ.ย. เป็นต้นไป) อิงจากสถิติหลังการเลือกตั้งสหรัฐ 2 รอบก่อนหน้า เดือน พ.ย. - ธ.ค. SET ให้ผลตอนเป็นบวก            การประชุม NPC ของจีนลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ประชุมต่อเนื่องถึงวันที่ 8 พ.ย.) และ 6-7 พ.ย. ประชุม Fed (รู้ผลเช้าวันที่ 8 พ.ย.) คาดลดดอกเบี้ยฯ 25 bps ส่วนภายในภาพทางพื้นฐานยังบวก ตัวเลขยอดผู้ใช้บริการสนามบิน AOT (ชี้นำนักท่องเที่ยวต่างชาติ)ในช่วงวันที่ 1 – 2พ.ย. 2024 ปรับขึ้นทะลุ Pre – covid ที่ระดับ 103.6% ผสานกับรัฐบาลนายกฯ เมื่อวานเร่งรัดให้ทุกหน่วยงานเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตาม เป้าหมายที่ 80% ของงบลงทุนทั้งหมดที่ 9.6 แสนล้านบาท โดยรวมประเมิน GDP Growth ไทยปี 2024 คาด 2.4%y-y มี Upside มองบวกต่อ            SET โดยประเด็นที่ต้องตามวันนี้ เงินเฟ้อไทย เดือน ต.ค. ตลาดคาด 0.96% และประชุม ครม. ลุ้น มาตรการกระตุ้นฝั่งอสังหา ประเมินหุ้นพลังงาน ( น้ำมันบวกแรง 2%) หุ้น China play กลุ่มอสังหา, หุ้นอิงบริการ(สนามบิน, โรงแรม) วันนี้แนะ ADVANC, AOT, CPALL

KSS แนะสะสมหุ้นพื้นฐานดี ชอบ ADVANC, CPALL, TRUE

KSS แนะสะสมหุ้นพื้นฐานดี ชอบ ADVANC, CPALL, TRUE

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET Index บ่ายนี้จะแกว่งในกรอบ 1,477 -1,490 จุด โดยยังไม่มีปัจจัยหนุนหรือกดดันอะไรใหม่ ปัจจัยสำคัญตลาดจะให้โฟกัสคือ วันพฤหัสบดีนี้ รายละเอียดมาตรการและวงเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีน และการรายงานงบฝั่ง Real sector ที่จะเริ่มทยอยประกาศ อาทิ DELTA, TRUE กลยุทธ์แนะนำนักลงทุนทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีโดยเฉพาะกลุ่มที่คาดว่างบไตรมาส 3/67 จะออกมาแข็งแกร่ง ( ADVANC, CPALL, TRUE, IVL MOSHI) โดยมี Top Pick บ่ายนี้ คือ ADVANC, CPALL, TRUE

บล.กรุงศรี มอง SET 1481 จุด PTT, CPALL, IVL เด่น

บล.กรุงศรี มอง SET 1481 จุด PTT, CPALL, IVL เด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” ต้าน 1475/1481 จุด รับ 1460/1455 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งแคบ S&P500-0.21% หลังรายงานเงินเฟ้อ CPI สูงกว่าคาดเล็กน้อบ +2.4%y-y, 0.2%m-m แต่ลดลงจากเดือนก่อน ขณะที่ยอดผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเร่ง +14.7%w-w แย่กว่าคาด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากพายุเฮอริเคน ทำให้ภาพวงจรดอกเบี้ยขาลง และ US Soft Landing ยังเป็นบวกสินทรัพย์เสี่ยงโลก ฝั่งเอเชีย จีนรอติดตามมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมกระทรวงการคลังแถลง 12 ต.ค. และสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ปลายเดือน           ฝ่ายวิเคราะห์มองจะช่วยเปิด Upside เศรษฐกิจประเทศในภูมิภาค ภายใน 16 ต.ค. ติดตามประชุม กนง. Real Yield ที่เป็นบวก 14 เดือน เชิงกลยุทธ์เรามีโอกาสเห็นท่าทีDovish ขึ้น แม้น่าจะยังคงดอกเบี้ย ผสาน เม็ดเงินนักลงทุนสถาบันซื้อต่อเนื่อง 8 วัน ต่างชาติสลับซื้อพันธบัตร 2 วัน และ ต่างชาติ Long TFEX 6 วันติด มองหนุน SET หุ้นกลุ่มน้ำมัน (น้ำมัน +3.5% ความกังวลตะวันออกกลางที่กลับมา+พายุเข้าสหรัฐ+รัฐเตรียมเจรจาพื้นที่ ทับซ้อนทะเล) กลุ่มดอกเบี้ยขาลงหนุน (ค้าปลีก เช่าซื้อ หนี้สูง High Yield โรงไฟฟ้า) หุ้น China Plays วันนี้แนะ PTT, CPALL, IVL เด่น

บล.กรุงศรี คาด SET Index บ่ายนี้ผันผวนในกรอบ 1,460-1,475 จุด

บล.กรุงศรี คาด SET Index บ่ายนี้ผันผวนในกรอบ 1,460-1,475 จุด

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET Index บ่ายนี้ผันผวนในกรอบ 1,460-1,475 จุด โมเมนตัมรวมยังเป็นบวก หุ้นที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวจะยังเป็นกลุ่มนำตลาด กลุ่ม ICT ยังเด่น กลุ่ม PTT และ PTTEP มีข่าวดี ไทย-กัมพูชาเตรียมเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ค้าปลีกและท่องเที่ยวทยอยสะสมก่อนเข้าสู่ high season โดยมี Top Pick บ่ายนี้ คือ ADVANC, CPALL และ ERW           SET Index ปิดตลาดภาคเช้าที่ 1,467.61 จุด +10.64 เปลี่ยนแปลง +0.73% ปรับขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ หุ้นที่ปรับตัวขึ้นเด่นเป็นหุ้น Big cap มีปัจจัยหนุนเฉพาะ อาทิ กลุ่มอิเล็กฯ (DELTA, CCET) ดีมานด์ชิ้นส่วนฯ ยังแกร่ง สะท้อนจากยอดขายของ TSMC ในไต้หวัน และ CCET เพิ่มขึ้นเด่นต่อเนื่อง กลุ่มสื่อสารดักเก็งงบ 3Q24 ผสานกับ INTUCH, GULF มีประเด็นควบรวมกิจการ ประเด็นน่าสนใจ ต่างประเทศ           ไทย-กัมพูชา: Bloomberg รายงานว่า ไทยและกัมพูชาเตรียมเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA) ระหว่างไทยกับกัมพูชาอีกครั้ง เพื่อสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่ง คาดว่ามีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ (10 ล้านล้านบาท) แบ่งเป็นก๊าซธรรมชาติประมาณ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และน้ำมันดิบประมาณ 300 ล้านบาร์เรล เรามองว่าเป็นจิตวิทยาบวกต่อผู้ผลิตและสำรวจฯ ในบ้านเรา คือ PTTEP และ PTT ซึ่งจะเป็น Growth story ในอนาคต ในประเทศ           ความเชื่อมั่น: ม.หอการค้า รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ย. ปรับลงสู่ระดับ 55.3 จาก 56.5 ในเดือน ส.ค. ลดลงเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน จากปัญหาน้ำท่วมและสงครามตะวันออกกลางที่ยังยืดเยื้อ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะพลิกฟื้นตัวในเดือน ต.ค. หลังจากภาครัฐเริ่มแจกเงินให้กับกลุ่มเปราะบาง 1 หมื่นบาทต่อรายไปแล้ว เราคงน้ำหนัก Overweight ต่อกลุ่มค้าปลีกตามเดิม โดย Top Pick คือ CPALL, BJC, และ COM7

CPALL ประกาศงบQ3วันที่13 พ.ย.นี้ โบรกคาดกำไรโต 36% ฟื้นตัวเด่น

CPALL ประกาศงบQ3วันที่13 พ.ย.นี้ โบรกคาดกำไรโต 36% ฟื้นตัวเด่น

           หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.กรุงศรี ระบุถึง CPALL ว่ากลับมาติดตามและยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 80 บาท เชื่อว่ากำไรหลักใน ไตรมาส 3/2567 จะเพิ่มขึ้น 36% yoy แต่ลดลง 6% qoq (อยู่ที่ 5.8 พันล้านบาท) การเติบโตที่ดีเมื่อเทียบกับปีก่อนได้รับแรงหนุนจาก: 1) การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่ดีที่ 2-3% ในทุกธุรกิจ และ 2) อัตรากำไรขั้นต้นที่ขยายตัว 0.4ppt (เป็น 22.2%) จากการมุ่งเน้นที่สาขาใหม่ ธุรกิจอาหารของ CPAXT (CPALL ถือหุ้น 60%) และ CVS ยังคงเน้นอาหารพร้อมรับประทานอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่า CPALL คือผู้ได้รับประโยชน์หลักจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มประชากรขนาดใหญ่ ซึ่ง CPALL ให้ความสำคัญ CPALL จะประกาศผลประกอบการ ไตรมาส 3/2567 ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567

นทท.ต่างชาติ โต7.8% แนะนำสะสมหุ้นท่องเที่ยว AOT - ERW - AAV โดดเด่น

นทท.ต่างชาติ โต7.8% แนะนำสะสมหุ้นท่องเที่ยว AOT - ERW - AAV โดดเด่น

          หุ้นวิชั่น- ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า KSS Strategist Comment: TH Tourism Update นักท่องเที่ยวต่างชาติสัปดาห์ล่าสุด (30 ก.ย. -6 ต.ค.) +7.8%w-w ตามผลบวก Golden Week ส่วนระยะถัดไปมองเร่งต่อจากปัจจัยหนุนฤดูกาลท่องเที่ยว ผสาน นักท่องเที่ยวจีนเร่งขึ้นตามสัญญาณ Flight Capacity จีนสู่ไทย แนะนำสะสม AOT, ERW, AAV, CPALL, BJC, ADVANC Key Ideas : นักท่องเที่ยวต่างชาติสัปดาห์ล่าสุด 30 ก.ย. – 6 ต.ค. ปรับเพิ่มขึ้น +7.8%w-w อยู่ที่ 6.38 แสนคน สูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ เรามองเป็นผลบวกช่วง Golden Week ทั้งนี้ เราประเมินเป็นจุดเริ่มต้นก่อนฟื้นตัวช่วงปลายปี หนุนจาก การเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวต่อเนื่องยาวจากงวด 4Q24 – 1Q25 เริ่มเห็น Upside ของนักท่องเที่ยวจีน โดยปัจจุบันกำลังให้บริการต่อที่นั่ง ต่อ กม. (ASK) ของจีนเดินทางไปต่างประเทศ ณ 7 ต.ค. (หลัง Golden Week) แตะระดับ 75% ของ Pre-COVID ปรับเพิ่มมีนัยฯ 47%y-y นอกจากนี้ ระดับกำลังให้บริการต่อที่นั่ง ต่อ กม. (ASK) ของจีนเดินทางมาไทย ณ 7 ต.ค. สูง 68% ของ Pre-COVID เทียบกับยอดนักท่องเที่ยวจีน 8M24 ที่อยู่เพียง 63% ยิ่งสะท้อนภาพชัดเจน           Strategy: มองโมเมนตัมการฟื้นตัวภาคท่องเที่ยวทยอยชัดเจนขึ้น ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมค่อยๆคลายตัวลง และสถานการณ์ตะวันออกกลางยังเชื่อว่าจำกัดวงระหว่างคู่กรณี เชิงกลยุทธ์แนะนำสะสมหุ้นท่องเที่ยว+ภาคบริการที่คาดฟื้นตัวเด่นช่วงฤดูกาลต่อเนื่อง เน้น AOT(TP Con-68.9) ERW (TP Con-5.3) AAV (TP-2.86) CPALL (TP-77) BJC(TP-30) ADVANC (TP-300)

จัดพอร์ตหุ้นรับวายุภักษ์ KTB-BBL-BCP น่าสะสม

จัดพอร์ตหุ้นรับวายุภักษ์ KTB-BBL-BCP น่าสะสม

หุ้นวิชั่น- บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า การลงทุนที่น่าสนใจ หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากกองทุนวายุภักษ์รอบใหม่ โดยเลือกหุ้น SET100 ที่มีคุณสมบัติ 1) จ่ายเงินปันผลดี โดยให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% 2) มี ESG Ratings สูงตั้งแต่ระดับ A-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว และ 3) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก KTB BBL BCP ADVANC HMPRO นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งคาดได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่มเช่าซื้อ (MTC TIDLOR) กลุ่มอสังหาฯ (AP SIRI) กลุ่มค้าปลีก (CPALL) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF) กลุ่ม REITs (LHHOTEL DIF) นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งได้อานิสงส์บวกจากสถานการณ์น้ำท่วม แนะนำ HMPRO GLOBAL CPALL BJC DCC และ TASCO ซึ่งจากสถิติปีที่เกิด La Nina หากลงทุนช่วงครึ่งหลัง ก.ย. และขายต้น พ.ย. คาดหวังจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 5.0%

CPALL เด่นรับเซเว่นสแกนจ่ายผ่าน Prompt pay เลือกหุ้นเด่นสุดในกลุ่มค้าปลีก-กำไรปีนี้โต 33%

CPALL เด่นรับเซเว่นสแกนจ่ายผ่าน Prompt pay เลือกหุ้นเด่นสุดในกลุ่มค้าปลีก-กำไรปีนี้โต 33%

           หุ้นวิชั่น - เซเว่น อีเลฟเว่น เปิดบริการใหม่ ให้สามารถสแกนจ่ายผ่าน QR Code จากแอปฯ ธนาคารได้แล้วโดยไม่มีขั้นต่ำ ทดลองเปิดให้บริการทั้งหมด 232 สาขาทั่วประเทศ พร้อมรองรับการสแกนผ่าน 7 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารออมสิน ธนาคารยูโอบี และธนาคารมิซูโฮ            บล.กรุงศรี มีมุมมองบวกต่อข่าว ร้านเซเว่นเริ่มเปิดรับสแกนจ่ายผ่าน QR code โดยนำร่อง 232 สาขาทั่วประเทศก่อนจะขยายสาขาให้บริการในระยะถัดไป เพราะเพิ่มช่องทางในการชำระเงิน ดังนั้น ระยะยาวคาดจะช่วยเพิ่มโอกาสในขายสินค้ามากขึ้น            แนวโน้มกำไรปกติ ไตรมาส3/2567 คาดบริเวณ 5.7-5.9 พันล้านบาท เติบโตสูง +36% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตาม 1) ทิศทาง SSSG ที่ยังบวก +1-4% ทุก format และดีกว่ากลุ่มค้าปลีก ประกอบกับ 2) GPM ของร้านเซเว่นและโลตัสส์เป็นขาขึ้น y-y ตามส่วนผสมการขายสินค้ามาร์จิ้นสูงที่ขยับขึ้น            คงคำแนะนำ “BUY” โดยมีราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 84 บาท ยังคงเลือกหุ้นเด่นสุดในกลุ่มค้าปลีก ทั้งนี้ เราชอบ CPALL ที่ 1) โมเมนตั้มกำไรปกติทั้งปี ปี 2567 คาดโต +33% สูงสุดในกลุ่มผู้ขายสินค้าในชีวิตประจำวัน , 2) ระยะยาวจะได้ประโยชน์จากการปรับโครงสร้างของ CPAXT โดยผู้บริหารคาดสร้าง synergies 5.0 พันล้านบาทภายใน 3 ปีข้างหน้า และ 3) Valuation ถูก ราคาหุ้นซื้อขายบน PER ปี 2567 ที่ 25 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -1.25SD ที่มา : บล.กรุงศรี

ดิจิทัลหมื่นบาทมาแล้ว มีหุ้นอะไรได้ประโยชน์?

ดิจิทัลหมื่นบาทมาแล้ว มีหุ้นอะไรได้ประโยชน์?

          หุ้นวิชั่น - บล. DAOL เผยคาดใช้จ่ายกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคมากสุดหลังเริ่มแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท           วานนี้ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เริ่มจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิรับเงิน 10,000 บาท ตามโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล โดยมีการเริ่มทยอยโอนเงินเข้าบัญชีพร้อมเพย์และบัญชีธนาคารที่แจ้งไว้ให้กับผู้มีสิทธิ์ และจะดำเนินการต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. นี้ รวม 6 วัน จำนวน 14.5 ล้านราย หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 145,000 ล้านบาท จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชน พบว่าประชาชนส่วนใหญ่จะนำเงินไปใช้เพื่อการบริโภคและอุปโภคในชีวิตประจำวัน อาทิ ของใช้ในบ้าน, สินค้าเพื่อการศึกษา, สินค้าเพื่อการเกษตร, สินค้าไอที โทรศัพท์มือถือ DAOL: คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่ม Commerce เป็น "มากกว่าตลาด"           โครงการแจกเงิน 10,000 บาทจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม โดยคาดว่าจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ซึ่งจะช่วยหนุนและเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Commerce โดยตรง เรายังมองเป็นบวกต่อกลุ่ม Commerce ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมได้ โดยจะเป็นประโยชน์ทางอ้อมต่อการบริโภคโดยรวมของกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคสูง           ฝ่ายวิเคราะห์ ชอบ CPAXT (ซื้อ/เป้า 36.00 บาท), CPALL (ซื้อ/เป้า 84.00 บาท) และ CRC (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท) ตามลำดับ จากการคาดการณ์การใช้จ่ายจะอยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลัก           รองมาเป็นกลุ่ม Home Improvement HMPRO (ซื้อ/เป้า 15.00 บาท), GLOBAL (ถือ/เป้า 16.00 บาท) และ DOHOME (ถือ/เป้า 11.00 บาท) จากจำนวนสาขาที่มีในพื้นที่ที่มีผู้ได้รับสิทธิ์มากที่สุด ตามลำดับ หุ้นอื่นๆ ที่ได้ประโยชน์           และยังชอบกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคโดยตรง คือ NEO (ซื้อ/เป้า 64.00 บาท) มีสัดส่วนรายได้จากสินค้าอุปโภค 100%, OSP (ซื้อ/เป้า 28.00 บาท) มีสัดส่วนรายได้สินค้าอุปโภคที่ 9% ของรายได้รวม และ SFLEX (ซื้อ/เป้า 4.80 บาท) ได้ประโยชน์ต่อเนื่องจากยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการใช้ flexible packaging เพิ่มขึ้น, CBG (ซื้อ/เป้า 88.00 บาท) กลุ่มเปราะบางเป็นลูกค้าหลักของเครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์คาราบาวแดง คาดช่วยหนุนรายได้เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศใน 4Q24E โตต่อ YoY, QoQ

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011