ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#CGSI


ชำแหละ 8 หุ้นแบงก์ แผ่นดินไหวดันหนี้สูญ

ชำแหละ 8 หุ้นแบงก์ แผ่นดินไหวดันหนี้สูญ

           หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่าธนาคารไทย 8 แห่งที่ศึกษา จะทำกำไรสุทธิในไตรมาส 1/68 รวม 5.21 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% yoy แต่ลดลง 0.7% qoq และกำไรก่อนตั้งสำรอง (PPOP) รวม 1.16 แสนล้านบาท ลดลง 0.7% yoy แต่เพิ่มขึ้น 5.8% qoq โดยเชื่อว่าธนาคารน่าจะกันเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉินในไตรมาส 1/68 ไว้แล้ว เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดจากเหตุแผ่นดินไหวในวันที่ 28 มี.ค.68            ดังนั้น อัตราการสำรองหนี้สูญในไตรมาส 1/68 จึงน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 163bp จาก 150bp ในไตรมาส 1/67 และจาก 141bp ในไตรมาส 4/67 ขณะที่ยอดสินเชื่อรวมในไตรมาส 1/68 น่าจะลดลง 1.5% yoy และ 1.1% qoq จากการชำระคืนหนี้ของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และลูกค้ารายย่อย            ธนาคาร 8 แห่งที่ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ทำการศึกษาประกอบด้วย BBL, KBANK, SCB, KTB, TTB, KKP, TISCO และ CREDIT            ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ระบุว่า ธนาคารหลายแห่งออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว ประกอบด้วย การพักชำระหนี้เงินต้นนาน 3 เดือน, เงินกู้เพื่อซ่อมแซมบ้าน/คอนโดมิเนียมดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน, การลดค่างวด 50-75% นาน 3 เดือนและการขยายเวลาผ่อนชำระออกไป 3 เดือน โดยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจะต้องแจ้งธนาคารเพื่อขอเข้าร่วมมาตรการเหล่านี้            ทั้งนี้กรณีการพักชำระดอกเบี้ย/ลดอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 เดือนนั้น เชื่อว่ามาตรการเหล่านี้น่าจะส่งผลให้สินเชื่อเติบโตสูงขึ้น แต่อัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อลดลง ซึ่งประเมินว่าผลกระทบในไตรมาส 2-ไตรมาส 3/68 น่าจะไม่เกิน 15bp ของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM)            ฝ่ายวิเคราะห์ฯ คาดว่า สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (delinquent loans) อาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากลูกค้าบางรายอาจใช้โอกาสนี้เพื่อขอพักชำระหนี้ นอกจากนี้ เหตุแผ่นดินไหวน่าจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มสินเชื่อรายย่อย ซึ่งมีสัดส่วน 29.5% ของสินเชื่อในระบบธนาคารในไตรมาส 4/67 ขณะที่เชื่อว่า BBL จะเป็นธนาคารที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากมาตรการช่วยเหลือลูกค้า เพราะ BBL มีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยน้อยที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ทำการศึกษา คือ 12% ของสินเชื่อรวมในไตรมาส 4/67                        ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ยังแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) ในกลุ่มธนาคาร เพราะคาดว่ากำไรก่อนตั้งสำรองจะเติบโตช้าในอัตรา -1.5%/+1.5%/+3.8% ในปี 68/69/70 ส่วน SCB และ KTB ยังคงเป็นหุ้น Top pick เพราะธนาคารทั้งสองแห่งน่าจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงที่ 7.4-9.1% ต่อปีและมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ 2- 12% ในปี 68-70 แม้ว่ายอดสินเชื่อของอุตสาหกรรมโดยรวมจะเติบโตชะลอตัว            ขณะที่กลุ่มธนาคารจะมี downside risk หาก NPL เพิ่มสูงขึ้นและธปท.ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม ส่วน upside risk จะมาจากการที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทยมากขึ้น เพราะจะช่วยกระตุ้นการบริโภค รวมถึงความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ลดลงและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

CGSI คาด SET ผันผวน มองเป็นจังหวะ Bottom fishing

CGSI คาด SET ผันผวน มองเป็นจังหวะ Bottom fishing

               หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) คาด SET Index จะผันผวนอีกครั้ง ให้กรอบ 1,180-1,200 จุด แม้มองกรอบบริเวณ 1,180-1,200 จุด จะเป็นจังหวะในการ Bottom fishing แต่ท่ามกลางแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกและภายใน เช่นมาตรการภาษีของ Donald Trump, สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน และ เศรษฐกิจไทยที่เติบโตช้าและการปรับ GDP ของไทยที่ลดลง ทำให้ยังมองภาพปัจจุบันเป็นเพียงการเทรดดิ้ง                สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจ เแนะนำติดตามดัชนีเงินเฟ้อไทย (CPI) เดือน ก.พ. วันนี้เวลา 13.30 น. ตลาดคาด 1.10% yoy (เดือนก่อน 1.32%), ดัชนีเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ตลาดคาด 0.9% yoy (เดือนก่อน 0.83%) เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อไทยในปี 68 อยู่ที่ 1% จากการที่สินค้าไทยยังเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีน, แรงกดดันจากราคาพลังงาน และมาตรการประชานิยมของรัฐ                ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง โดย DJIA (-0.99%), Nasdaq (-2.61%), S&P500 (-1.78%) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐและสภาวะ Risk off ในกลุ่ม Valuation สูง โดยดัชนี Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกกังวลของนักลงทุนในตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้น 2.94% แตะระดับ 24.87 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค.67 โดยกลุ่ม หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์, หุ้นผู้ผลิตกลุ่มรถยนต์ รวมถึงกลุ่มบริษัทผลิตชิป สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจ สหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงาน อยู่ที่ 221k ตำแหน่งน้อยกว่าตลาดที่ 233k ตำแหน่ง (vs. เดือนก่อน 242k ตำแหน่ง)                สำหรับด้านตลาดยุโรป ECB ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย (Main Refinancing Rate) 25 bps ลงมาอยู่ที่ 2.65% ตามตลาดคาด ซึ่งเป็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งที่ 6 ตั้งแต่เริ่มวงจรการปรับลดดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย.67 พร้อมทั้งปรับลดเป้าหมาย GDP จาก 1.1% เป็น 0.9% ในปี 68 ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI (+0.1%) ปิดบวกเล็กน้อยโดยได้รับแรงหนุนระหว่างวันหลังจากรัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ จะเพิ่มแรงกดดันสูงสุดด้วยการใช้มาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านเพื่อกดดันการส่งออกน้ำมัน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีของ Donald Trump และ Oversupply จากการที่ OPEC+ เดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนเม.ย. ตามแผนเดิม             หุ้นแนะนำ SHR เชื่อว่า SHR น่าจะมีกำไรเติบโตเป็นบวกใน 1Q68 จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของ Resort ในไทยและโรงแรมในต่างประเทศและ Seasonality สำหรับปี 68 เชื่อว่ามีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 296 ล้านบาท (+121% yoy) ในปี 68 ด้วย RevPAR ที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งของโรงแรมในไทย, ฟิจิและมอริเชียส ส่วน RevPAR ใน Maldives น่าจะยังเติบโตชะลอตัวท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง (Take profit: 2.46 / Stop loss: 2.0) HANA: แม้ธุรกิจน่าจะเผชิญความท้าทายใน 1H68 เริ่มเห็น Risk to reward ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ผู้บริหารคาดว่าจะเห็นการขาดทุนที่ลดลงสำหรับ Powermaster ในกลางปี 68 หลังตัดสินใจหยุดการผลิต Silicon เพราะเสียเปรียบด้านต้นทุน (Take profit: 18.5 / Stop loss: 15.0)

สงครามการค้าเขย่าหุ้นไทย โผหุ้นหลบภัย เช็กได้เลย!

สงครามการค้าเขย่าหุ้นไทย โผหุ้นหลบภัย เช็กได้เลย!

           หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เซ็นคำสั่งฝ่ายบริหาร (executive order) เมื่อวันที่ 1 ก.พ.68 ให้เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 10% ข่าวนี้ทำให้เกิดความกังวลว่าไทยอาจถูกเก็บภาษีสูงขึ้นจากสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯเช่นกัน เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯอยู่ในอันดับที่ 10 ในช่วง 11 เดือนของปี 67 ตามข้อมูลของ United States Census Bureau            โดยในปี 67 การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้ามีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ จึงเชื่อว่าตลาดอาจกังวลกับการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าของสินค้ากลุ่มนี้มากกว่ากลุ่มอื่น            ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า แต่เล็งเห็นปัจจัยบวกจากการที่ Bloomberg consensus คาดการณ์ว่าในไตรมาส 4/67 บริษัทจดทะเบียนของไทยจะมีกำไรสุทธิเติบโตสูงถึง 33% yoy และ 24% qoq ซึ่งน่าจะช่วยลดผลกระทบในตลาด ขณะเดียวกันกลุ่มที่ Bloomberg consensus มองว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตสูงสุด yoy คือ กลุ่มไอซีที, กลุ่มก่อสร้างและกลุ่มเกษตร ส่วนกลุ่มที่น่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตสูงสุด qoq คือ กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มพลังงานและกลุ่มสื่อ ขณะที่คาดการณ์ว่า กลุ่มปิโตรเคมีจะมีกำไรสุทธิเติบโตต่ำสุด yoy และกลุ่มบรรจุภัณฑ์จะมีกำไรสุทธิเติบโตต่ำสุด qoq            ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า เนื่องจากปัจจัยลบรุนแรงจากเศรษฐกิจโลก จึงแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้น domestic play โดยเฉพาะกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคและกลุ่มธนาคาร ซึ่งหุ้น Top pick ประกอบด้วย AMATA, BCH, BH, CBG, CPN, CRC, MTC และ SCB            ขณะที่ยังคงเป้าดัชนี SET สิ้นปี 68 ที่ 1,530 จุด เท่ากับ P/E 15 เท่าในปี 69 หรือ -1.25SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่แนะนำอาจมี downside risk หากรัฐบาลทรัมป์ปรับขึ้นอัตราภาษีสูงกว่าคาด, รัฐบาลไทยยังต้องให้ภาคเอกชนช่วยสนับสนุนมาตรการลดค่าไฟฟ้าและบริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการอ่อนตัวในไตรมาส 4/67 แต่คำแนะนำจะมี upside risk หากมีเงินลงทุนไหลเข้ามาจากต่างประเทศและรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่

หุ้นไทยปีนี้ผันผวนหนัก เช็กด่วน!โผหุ้นปลอดภัย

หุ้นไทยปีนี้ผันผวนหนัก เช็กด่วน!โผหุ้นปลอดภัย

          หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างช่วยหาเสียงที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 ม.ค.68 ว่ารัฐบาลมีแผนจะลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาท/หน่วย จากปัจจุบันที่ 4.15 บาท/หน่วย ขณะที่น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ได้ทบทวนข้อเสนอดังกล่าวแล้ว และเตรียมจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตัวแทนจากภาคเอกชน เพื่อหาข้อสรุปร่วมกันเรื่องการลดค่าไฟฟ้า แต่ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่า จะมีการลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาท/หน่วยได้เมื่อใด           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า ประเด็นดังกล่าวทำให้บริษัทในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภคมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลสูงขึ้น ซึ่งสองกลุ่มนี้รวมกันคิดเป็น 18% ของมูลค่าตามราคาตลาด (market cap) ของ SET ณ วันที่ 7 ม.ค.68 เท่ากับว่า ปัจจัยเสี่ยงจากการกำกับดูแลนี้อาจกระทบ sentiment ของกลุ่มและตลาด แม้เชื่อว่ารัฐบาลน่าจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการลดค่าไฟฟ้า           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI คาดว่า กลุ่มธนาคารจะประกาศผลประกอบการงวดปี 2568 ภายในวันที่ 21 ม.ค. 68 ส่วนกลุ่มอื่นจะทยอยประกาศผลประกอบการจนถึงวันที่ 28 ก.พ.2568 โดย Bloomberg consensus คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของธนาคารใหญ่ 5 แห่งจะเติบโต 3% yoy แต่ลดลง 19% qoq ซึ่งผลประกอบการที่อ่อนตัวรวมถึงการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อาจฉุด sentiment การลงทุนในกลุ่มธนาคาร           ขณะที่คาดว่า บริษัทที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯทำการศึกษา จะทำกำไรสุทธิในไตรมาส 4/67 เพิ่มขึ้น 44% yoy และ 39% qoq โดยกลุ่มที่เชื่อว่าน่าจะมีกำไรในไตรมาส 4 เติบโตแข็งแกร่ง yoy คือ กลุ่มขนส่ง, กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มอาหาร ซึ่งเป็นผลมาจากฐานที่ต่ำในไตรมาส 4/66 ส่วนกลุ่มที่กำไรสุทธิน่าอ่อนตัว yoy คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มเกษตร และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า ปัจจัยลบที่รุมเร้าทั้งจากในและนอกประเทศ ประกอบด้วยนโยบายการค้าของรัฐบาลใหม่สหรัฐ, การขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF), ความเสี่ยงด้านการกำกับดูแล และเศรษฐกิจไทยที่ยังอ่อนตัว ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ฯปรับลดเป้าดัชนี SET สิ้นปี 68 มาที่ 1,530 จุด จาก 1,630 จุด ซึ่งจะเท่ากับ P/E 15.3 เท่าในปี 69 หรือ -1.25SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี           ขณะที่มองว่าตัวเลือกที่ดีในสถานการณ์นี้ คือ หุ้นในกลุ่มปลอดภัยที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐและมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลน้อยกว่า ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มการแพทย์, กลุ่มธนาคาร และกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ขณะที่หุ้น Top pick ของประกอบด้วย AMATA, BCH, BH, CBG, CPN, CRC, MTC และ SCB

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

บล.CGSI ชูระบบ BETS ตอบโจทย์นักลงทุนทุกระดับ

บล.CGSI ชูระบบ BETS ตอบโจทย์นักลงทุนทุกระดับ

          หุ้นวิชั่น - [ประเทศไทย, 19 ธันวาคม 2567] บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI เผย ช่วง 11 เดือนของปี 2567 ธุรกรรม Block Trade ของบริษัทเพิ่มขึ้น สวนทางปริมาณการซื้อขายตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) โดยรวมที่ลดลง โดยปริมาณการซื้อขาย CGSI Block Trade เติบโตสูงถึง 61% ขณะที่ลูกค้าจำนวนมากใช้ระบบ BETS ส่งคำสั่งด้วยตัวเองในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน คาด Block Trade ในปีหน้ายังเติบโตต่อเนื่อง           ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI กล่าวว่า นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ปริมาณการซื้อขายและจำนวนคำสั่งซื้อขายรวมในตลาด TFEX อยู่ที่ 107.8 ล้านสัญญา และ 22.05 ล้านคำสั่ง ลดลง 17% และลดลง 7% เมื่อเทียบกับทั้งปี 2566 ตามลำดับ เช่นเดียวกับปริมาณการซื้อขายและจำนวนคำสั่งซื้อขาย Block Trade ในตลาด อยู่ที่ 32 ล้านสัญญา และ 1.33 แสนคำสั่ง ลดลง 22% และลดลง 36% เมื่อเทียบกับทั้งปี 2566 ตามลำดับ           “แม้ปริมาณการซื้อขาย TFEX โดยรวมจะลดลง แต่สัดส่วนการทำธุรกรรม Block Trade ของ CGSI กลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความสนใจของนักลงทุนที่ใช้ CGSI Block Trade ช่วยในเชิงกลยุทธ์การลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน” ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI กล่าว           ทั้งนี้ CGSI Block Trade เติบโตถึง 61% ในช่วง 11 เดือนของปีนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ลูกค้าใช้ระบบ BETS ซึ่งเป็นระบบส่งคำสั่งด้วยตัวเองสูงถึง 67% โดยเฉพาะในไตรมาส 3/2567 ธุรกรรมใน CGSI Block Trade ขยายตัวถึง 157% ขณะที่จำนวนคำสั่งซื้อขายบนระบบ BETS เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 290% สูงกว่าปกติ บ่งชี้ว่าการใช้งานระบบ BETS มีสภาพคล่องที่ดี และมีปริมาณการซื้อขายในตลาดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน           ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI กล่าวว่า นักลงทุนใช้ Block Trade มากขึ้น เพื่อบริหารความเสี่ยง และดำเนินการส่งคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แก้ไขปัญหาสภาพคล่องบน Single Stock Futures (SSF) นอกจากนี้ ช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงยังกระตุ้นให้นักลงทุนใช้ Block Trade มากขึ้น เพราะมีความยืดหยุ่นในการกำหนดราคาและมีอัตราทดสูง ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงและการเก็งกำไร           ขณะที่โบรกเกอร์ได้พัฒนาแพลตฟอร์มเกี่ยวกับ Block Trade ทำให้นักลงทุนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์การส่งคำสั่งที่ง่ายและรวดเร็ว โดยเฉพาะ CGSI ได้เปิดตัวระบบส่งคำสั่ง Block Trade Online ชื่อว่าระบบ BETS ได้รับผลตอบรับดีเกินความคาดหมาย ตัวเลขผู้ใช้งานเติบโตก้าวกระโดดเกือบ 50% ของจำนวนนักลงทุนที่ส่งคำสั่ง Block Trade กับ CGSI ทำให้ในปี 2567 CGSI Block Trade มีปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นผ่านระบบ BETS           ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI มองว่า แม้ปริมาณการซื้อขายในตลาด TFEX จะเผชิญกับแรงกดดันและชะลอตัวในปี 2567 แต่คาดว่าในปี 2568 Block Trade จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากภาวะตลาดมีเสถียรภาพและเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น Block Trade จะมีบทบาทในการเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับนักลงทุน           CGSI เล็งเห็นการเติบโตและบทบาทอันสำคัญของ Block Trade จึงได้พัฒนาระบบ BETS ขึ้นมา เพื่อช่วยให้นักลงทุนทำธุรกรรม Block Trade ผ่านระบบออนไลน์บนอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ นักลงทุนนสามารถเปิด-ปิดสถานะ Block Trade ได้อย่างคล่องตัว ตรวจสอบสถานะได้ตลอดเวลา มีฟีเจอร์คำนวณค่าใช้จ่ายอัตโนมัติ และจะพัฒนาระบบ BETS อย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุน           หากท่านต้องการควบคุมการลงทุนด้วยตัวเอง สามารถสมัครใช้ระบบ BETS ของ CGSI ได้ฟรีวันนี้ โดยมีสิทธิพิเศษ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0 บาท สำหรับการเปิดและปิดสถานะ Long ภายในวันเดียวกันผ่านระบบ BETS เริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2568 เกี่ยวกับ CGS International Securities           CGS International Securities (Thailand) Co., Ltd. (CGS TH) หนึ่งในกลุ่มบริษัท CGS International คือผู้ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจรที่ได้รับรางวัลและติดอันดับบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำในประเทศไทย

CGSI ชี้หุ้นไทยครึ่งปีแรก 68 ไหว…ไม่ไหว เช็กดู!

CGSI ชี้หุ้นไทยครึ่งปีแรก 68 ไหว…ไม่ไหว เช็กดู!

          หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีแรก 68 ยังไม่คึกคัก เชื่อว่านักลงทุนต้องการรอดูท่าทีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนและประเทศอื่นๆครั้งใหญ่หรือไม่ นอกจากนี้ นายทรัมป์อาจมีมาตรการลดภาษีให้กับคนอเมริกัน ซึ่งจะช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐ จึงเชื่อว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลให้เงินลงทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย           ทั้งนี้ นโยบายเศรษฐกิจของนายทรัมป์ ยังอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯลดลงช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งปัจจุบัน Bloomberg คาดว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 75bp เป็น 3.75% ภายในสิ้นปี 68 ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI จึงคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งเดียวในปี 68 เป็น 2.00% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.25%           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่า รัฐบาลไทยจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยลบภายนอก ประกอบด้วย โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 ที่รัฐจะแจกเงินให้คนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปในเดือนม.ค.68 ซึ่งตามรายงานข่าวระบุว่ารัฐบาลคาดว่าจะแจกเงินเฟส 2 ราว 4 หมื่นล้านบาท, มีแผนจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานภายในเดือนก.ย.68 เพื่อซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ, มีแผนปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหาหรือหนี้ที่ค้างชำระไม่เกิน 1 ปีในกลุ่มสินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อ SME ซึ่งมีมูลค่ารวม 1.3 ล้านล้านบาท, มีแผนปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วัน เป็นต้น           สำหรับสถานการณ์การเมืองของไทยนั้น พรรคเพื่อไทยและน.ส.แพทองธาร ชินวัตรถูกยื่นคำร้องมากกว่า 10 คำร้อง ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่ารัฐบาลจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย แม้จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ดังนั้นหากประเมินในกรณีแย่สุดคือ พรรคเพื่อไทยถูกยุบพรรค สมาชิกพรรคที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ก็ยังสามารถย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ได้           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า จากปัจจัยลบภายนอกที่ไม่สดใส จึงมองว่าหุ้น Domestic play และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า จึงชอบกลุ่มอุปโภคบริโภค, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มการแพทย์, กลุ่มธนาคารและกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ขณะที่แนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนกลุ่มน้ำมันและก๊าซ, กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์           โดยคาดว่า EPS ของตลาดหุ้นไทยจะเติบโต 3% yoy ในปี 67 และโต 11% ในปี 68 ขณะที่ยังคงเป้าดัชนี SET สิ้นปี 68 อยู่ที่ 1,630 จุด ซึ่งเท่ากับ P/E 16 เท่าในปี 68 หรือ -0.75SD ของค่าเฉลี่ยห้าปี โดยมีหุ้น Top pick คือ AMATA, BCH, CBG, CPN, CRC, MTC และ SCB           ทั้งนี้ ธีมหุ้นการลงทุนในปีหน้ามี 6 ธีมได้แก่ ธีมหุ้น ESG จะเป็นที่ต้องการมากขึ้นจากกองทุน Thai ESG (TESG) , ธีมหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เชื่อว่ากลุ่มค้าปลีก กลุ่มธนาคาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค และกลุ่ม Home improvement น่าจะได้ประโยชน์จากโครงการนี้, ธีมหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก FDI , ธีมหุ้นสถานบันเทิงครบวงจร , ธีมหุ้นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และธีมหุ้น Value play           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มอง Upside risk ตลาดหุ้นไทยปี 68 จะมาจากการที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแข็งแกร่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและยอดส่งออกที่เติบโตสูงกว่าคาด ขณะที่ Downside risk จะมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น, ความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์สูงขึ้น, การปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งในและต่างประเทศช้ากว่าคาดและเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย

โฟกัส MINT-SHR เป้าหุ้นท่องเที่ยว ESG

โฟกัส MINT-SHR เป้าหุ้นท่องเที่ยว ESG

          หุ้นวิชั่น- ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผลสำรวจของ SiteMinder Platform ในปี 67 แสดงให้เห็นว่านักเดินทางทั่วโลกมากถึง 79% ให้ความสำคัญ กับการจองโรงแรมที่มีการดำเนินการด้านความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะที่ World Sustainable Hospitality Alliance ได้นิยามกลยุทธ์ “Net Positive” ว่า เป็นแนวคิดที่จะคืนประโยชน์ให้สังคม, สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจโลกมากกว่าทรัพยากรที่ใช้ไป ดังนั้น การนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมบริการหรือ Net Positive Hospitality จึงเป็นความร่วมมือกันระหว่างผู้คน, โลก, สถานที่ รวมถึงความมั่งคั่ง เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าและยั่งยืนสำหรับทุกคน           World Sustainable Hospitality Alliance ได้สร้างกรอบการทำงานแก่ธุรกิจในอุตสาหกรรมบริการ โดยขั้นแรก ของ “Net positive hospitality pathway” คือ การวัดระดับการปล่อยคาร์บอนและบรรเทาผลกระทบเชิงลบ ส่วน ขั้นต่อไปคือ การหาวิธีลดผลกระทบเชิงลบให้เหลือน้อยที่สุด และริเริ่มโครงการที่สร้างผลกระทบเชิงบวก ตามด้วยการทำให้ผลกระทบเชิงลบหมดไป และสร้างผลกระทบเชิงบวกที่แข็งแกร่งก่อนจะส่งคืนประโยชน์ที่มาก กว่าเดิมให้กับสิ่งแวดล้อมและชุมชุม           World Sustainable Hospitality Alliance เน้นย้ำว่าประเด็นด้านความยั่งยืนที่สำคัญ (Materiality factor) ซึ่งมีผลต่อธุรกิจและผู้ถือหุ้นคือ 1.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2.การจัดหาอย่างมีความรับผิดชอบ 3.การใช้น้ำ 4. การบริหารจัดการขยะ 5.สิทธิมนุษยชน ทั้งนี้โรงแรมที่ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ทำการศึกษาอาจอยู่ในขั้นตอนที่ต่างกันในเส้นทางสู่เป้าหมาย แต่เมื่อประเมินโดยเฉลี่ยแล้วพบว่า MINT และ SHR มีความคืบหน้าในการพัฒนาด้าน ESG           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่า ผู้ประกอบการโรงแรมทั้ง 4 บริษัทที่ทำการศึกษามีความเสี่ยงด้าน ESG ค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการเหล่านี้ยังต้องดำเนินการอีกมากเพื่อมุ่งสู่ Net zero และกลายเป็น Net positive ขณะที่เห็นว่า MINT น่าจะเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการของไทยเมื่อ พิจารณาด้าน ESG เพราะ MINT มีคะแนน ESG สูงกว่าคู่แข่ง           นอกจากนี้ เชื่อว่านักลงทุนควรจับตาดู SHR เนื่องจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมา SHR มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญด้านการดำเนินงานภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จึงเชื่อว่า SHR อาจมีการประเมินมูลค่าสูงขึ้นจากปัจจุบันที่ EV/EBITDA 7.7 เท่าในปี 69 หรือ 3.2 บาท เป็น 9.9 เท่าหรือ 5.0 บาท ส่วน MINT อาจเพิ่มขึ้นจาก EV/EBITDA 9.5 เท่าในปี 69 หรือ 41 บาท เป็น 10.5 เท่าในปี 69 หรือ 49 บาท

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011