หุ้นวิชั่น - CENTEL รุกขยายโรงแรมทั่วโลก เดินหน้าสู่เป้าหมาย 1 ใน 100 แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกภายในปี 2570 พร้อมเผยแนวโน้มธุรกิจปี 2568 รายได้รวมโต 23% แตะ 15,100 ล้านบาท รับแรงหนุนจากการเปิดโรงแรมใหม่ 9 แห่งทั่วโลก อัตราการเข้าพักที่ 74-77% ลุยโรดโชว์ให้เป็นที่รู้จัก ส่วนปีนี้ตั้งงบลงทุนที่ 8,000 ล้านบาท
นายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา หรือ CENTEL เผยแผนธุรกิจและกลยุทธ์เติบโตในปีพ.ศ. 2568 เดินหน้าขยายสาขาไปยังตลาดใหม่ทั่วโลก พร้อมพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า มุ่งมั่นก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 100 แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกภายในปี พ.ศ. 2570 และเป็นแบรนด์ที่เป็นสถานที่แห่งความสุข สมดังสโลแกน The Place to Be สำหรับนักเดินทางทั่วโลก
สำหรับแนวโน้มธุรกิจปี 2568 ในส่วนของธุรกิจโรงแรม CENTELรายได้รวม (รวมโรงแรมร่วมทุน) คาดว่าจะอยู่ที่ 15,100 ล้านบาท เติบโตประมาณ 23% จากปีก่อน โดยคาดการณ์อัตราการเข้าพักเฉลี่ย (รวมโรงแรมร่วมทุน) จะอยู่ที่ 74-77%, รายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPAR) จะอยู่ที่ 4,500–4,800 บาทต่อคืน โดยผลประกอบการจะสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้โรงแรมในประเทศไทย อีกทั้งการรับรู้รายได้เต็มปีเป็นปีแรกจากโรงแรมที่มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ และโรงแรมเปิดใหม่ ของโรงแรมเซ็นทารา กะรน ภูเก็ต, โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา และ โรงแรมเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์
ยังมีการเปิดให้บริการโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ ในเดือนเมษายน 2568 และผลการดำเนินงานเต็มปี ปีแรกของโรงแรมเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ และ 4.ผลการดำเนินงานของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ โอซาก้า ซึ่งคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากงาน World EXPO 2025 ในช่วงเมษายน – ตุลาคม 2568 ส่วนโรงแรมในกระบี่ก็ได้รับอานิสงส์การถ่ายทำภาพยนต์เรื่องราสสิค เวิลด์ 4 ช่วยให้ความต้องการท่องเที่ยวในจังหวัดกระบี่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ปัจจุบันบบริษัทมีโรงแรมในจังหวัดกระบี่จำนวน 1 โรงแรม ซึ่งในปี 2568 จะมีการปิดปรับปรุง และจะทำให้จำนวนห้องพักที่จะเปิดให้บริการใหม่ลดลงจากเดิมที่มี 192 ห้อง
อย่างไรก็ดีเซ็นทารายังตั้งเป้าเปิดโรงแรมและรีสอร์ทอีกทั้งสิ้น 9 แห่งในปีนี้ โดยหลังจากที่จะเปิดให้บริการโรงแรมในกระแส อย่างเซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ (ให้บริการห้องพัก 142 ห้อง) ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้แล้ว ยังมีโรงแรมในต่างประเทศอีก 4 แห่ง ต่อคิวเพื่อรอเปิดให้บริการอีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น อันนะปุรณะ เมาท์เทน รีสอร์ท และโรงแรมภายใต้แบรนด์เดอะ เซ็นทารา คอลเลคชั่น (The Centara Collection) อีกหนึ่งแห่งบนเกาะบาหลี ที่จะกลายมาเป็นรีสอร์ทแรกภายใต้เครือเซ็นทาราในประเทศเนปาลและอินโดนีเซีย รวมถึงโรงแรมใหม่อีก 2 แห่งในเวียดนาม ได้แก่ โรงแรมเซ็นทารา และเรสซิเดนซ์ วังดอน และคริสตัล ฮอลิเดย์ ฮาร์เบอร์ วังดอน ที่เมื่อรวมกันแล้วจะมีห้องพักให้บริการทั้งสิ้นถึง 977 ห้องด้วยกัน
ปัจจุบัน เซ็นทารามีโรงแรมและรีสอร์ทในเครือทั้งหมด 51 แห่ง พร้อมเดินหน้าตอกย้ำความเป็นเครือโรงแรมชั้นนำ ด้วยการเตรียมเปิดให้บริการโรงแรมทั้งในและต่างประเทศเพิ่มอีก 9 แห่ง ในปี พ.ศ. 2568 นี้ เช่น บน เกาะพีพี, เกาะสมุย และในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
“บริษัทจะเดินหน้าในการโรดโชว์ประเทศต่างๆ ที่เป็น Key Destination หมายถึง จุดหมายปลายทางหลัก โดยปีที่ผ่านมาเริ่มดำเนินการและได้รับการตอบรับที่ดี จากการไปจีน เกาหลี อินเดีย ปีนี้ก็จะเน้นส่วนนี้ด้วย เพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ขยายโรงแรมไปสู่จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่เรายังไม่เคยไปอย่างอินโดนีเซียและเนปาล เพื่อเติบโตธุรกิจเซ็นทาราให้แข็งแกร่งในตลาดโลก และก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 100 แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกภายใน พ.ศ. 2570 ตามเป้าหมายที่เราวางไว้ “ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าว
ด้านธุรกิจอาหารในปี 2568 บริษัทประมาณการอัตราการเติบโตจากสาขาเดิม (Same-Store-Sales : SSS) ไม่รวมกิจการร่วมค้ามี่ 3-5% จากปีก่อน และอัตราการเติบโตของยอดขายรวมทุกสาขา (Total-System-Sales : TSS) จะอยู่ในช่วง 6-8% จากปีที่ผ่านมา สำหรับการขยายสาขา ณ สิ้นปี 2568 คาดว่าจำนวนสาขาจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4-5% จาก ณ สิ้นปี 2567 ที่มี 1,396 สาขา จากการมุ่งเน้นการขยายสาขาในแบรนด์ที่มีอัตราทำกำไรสูงเป็นหลัก
นายกันย์ ศรีสมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน และ รองประธานฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL เปิดเผยว่า สำหรับปี 2568 บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ 8000 ล้านบาทแบ่งเป็นงบลงทุนสำหรับการลงทุนใหม่ใหม่ เช่น การควบรวมกิจการ (M&A) ที่ 1,800 ล้านบาท, สำหรับลงทุนในธุรกิจโรงแรม ทั้งการปรับปรุงและการลงทุนก่อสร้างใหม่ 5,000 ล้านบาท (ซึ่งในปีนี้บริษัทมีแผนปรับปรุงและลงทุนโรงแรมในพอร์ตจำนวน 4 โรงแรมหลัก ได้แก่ โรงแรมในดูไบ, โรงแรมในเกาะสมุย, โรงแรมในหัวหิน และโรงแรมในจังหวัดกระบี่) และสำหรับใช้ในธุรกิจอาหาร 1,200 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ปี 2567 ที่ผ่านมา นับเป็นอีกปีแห่งความสำเร็จของเซ็นทารา โดยโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารามีรายได้รวมอยู่ที่ 11,162 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,230 ล้านบาท (หรือ 12%) เทียบปีก่อน โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารามีกำไรสุทธิจำนวน 1,097 ล้านบาท เติบโตขึ้น 43% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของผลการดำเนินงานของรีสอร์ทในมัลดีฟส์ ซึ่งล่าสุดได้เปิดให้บริการเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ รีสอร์ทธีมดินแดนใต้น้ำสุดมหัศจรรย์ บนเกาะสวรรค์ในพื้นที่มาเล่ อะทอลล์เหนือ หนึ่งในเกาะในกลุ่มมัลดีฟส์อันสวยงามไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และกำลังจะเปิดให้บริการเซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ รีสอร์ทหรูเพื่อการพักผ่อนแบบเหนือระดับบนเกาะเดียวกันในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งนั่นจะทำให้เซ็นทารามีโรงแรมและรีสอร์ทในมัลดีฟส์รวมกันทั้งสิ้น 4 โรงแรม ภายใต้แบรนด์และธีมที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่ แบรนด์เซ็นทารา (Centara), แบรนด์เซ็นทารา แกรนด์ (Centara Grand), แบรนด์เดอะ เซ็นทารา คอลเลคชั่น (The Centara Collection) และรีสอร์ทภายใต้ธีมมิราจ เพื่อให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกกลุ่มลูกค้าในตลาดมัลดีฟส์
ในด้านกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาแบรนด์ เซ็นทาราได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ๆ ตลอดช่วงไม่กี่ปีมานี้ เริ่มตั้งแต่การเปิดตัว แบรนด์สุดหรูอย่างเซ็นทารา รีเซิร์ฟ (Centara Reserve) และแบรนด์ไลฟ์สไตล์ ที่พร้อมมอบอิสระแห่งการพักผ่อนอย่างเซ็นทารา ไลฟ์ (Centara Life) โดยล่าสุดในเดือนมกราคมปีนี้ เซ็นทาราได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่อีกแบรนด์ คือ เดอะ เซ็นทารา คอลเลคชั่น (The Centara Collection) แบรนด์ใหม่ล่าสุดในเครือ ที่นำเสนอโรงแรมที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตนอย่างแตกต่าง ผ่านดีไซน์ มนต์เสน่ห์ท้องถิ่น และประสบการณ์เข้าพักอันน่าประทับใจ โดยในปัจจุบันมีโรงแรมภายใต้แบรนด์นี้ทั้งหมด 3 โรงแรม คือ มัชชาฟูชิ ไอส์แลนด์ รีสอร์ทและสปา มัลดีฟส์, รุกข์ คีรี เขาใหญ่ และวารีวาน่า รีสอร์ท เกาะพะงัน ซึ่งเซ็นทารามีแผนจะขยายโรงแรมภายใต้แบรนด์นี้ไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ให้เพิ่มขึ้นอีกในปีนี้
นอกจากนั้น ในปีพ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา และเซ็นทารา กะรน รีสอร์ท ภูเก็ต ซึ่งถือเป็นอีกสองโรงแรมแฟล็คชิพของเครือเซ็นทาราในประเทศไทย ก็ยังได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง หลังปิดปรับปรุงครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งเซ็นทารายังมีแผนปรับโฉมโรงแรมสำคัญอีกสองแห่งในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในปีนี้ นั่นคือเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ทและวิลล่า หัวหิน โรงแรมชื่อดังระดับตำนาน ที่เริ่มทยอยปิดปรับปรุงพื้นที่บางส่วนเพื่อสร้างเป็นห้องพักประเภทวิลล่าสุดหรูอีก 70 หลัง โดยจะอยู่ภายใต้แบรนด์ เดอะ เซ็นทารา คอลเลคชั่น (The Centara Collection) ผนวกเข้ากับห้องพักที่จะสร้างใหม่เพิ่มอีก 200 ห้อง ภายใต้แบรนด์เซ็นทารา ไลฟ์ (Centara Life) ซึ่งทั้งหมดนี้ จะทำเซ็นทารามีห้องพักกว่า 484 ห้องให้บริการภายใต้แบรนด์ที่หลากหลาย รวมทั้งเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ทและวิลล่า กระบี่ รีสอร์ทที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งส่วนตัวอันเงียบสงบและงดงามของทะเลอันดามัน ก็มีแผนจะปิดปรับปรุงครั้งสำคัญในปีนี้ด้วยเช่นกัน โดยตั้งเป้าให้กลายมาเป็นเซ็นทารา รีเซิร์ฟ (Centara Reserve) โรงแรมหรูระดับลักชัวรีแห่งที่สองของโลก ที่มุ่งเน้นการบริการอันเหนือระดับเพื่อรังสรรค์ประสบการณ์การเข้าพักที่จะเป็นจุดกำเนิดของเรื่องราวสุดงดงาม
และเพื่อให้แผนการปรับปรุงโรงแรมและรีแบรนด์สมบูรณ์ที่สุด เซ็นทารายังตั้งเป้าเปิดโรงแรมและรีสอร์ทอีกทั้งสิ้น 9 แห่งในปีนี้ โดยหลังจากที่จะเปิดให้บริการโรงแรมในกระแส อย่างเซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ (ให้บริการห้องพัก 142 ห้อง) ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้แล้ว ยังมีโรงแรมในต่างประเทศอีก 4 แห่ง ต่อคิวเพื่อรอเปิดให้บริการอีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น อันนะปุรณะ เมาท์เทน รีสอร์ท และโรงแรมภายใต้แบรนด์เดอะ เซ็นทารา คอลเลคชั่น (The Centara Collection) อีกหนึ่งแห่งบนเกาะบาหลี ที่จะกลายมาเป็นรีสอร์ทแรกภายใต้เครือเซ็นทาราในประเทศเนปาลและอินโดนีเซีย รวมถึงโรงแรมใหม่อีก 2 แห่งในเวียดนาม ได้แก่ โรงแรมเซ็นทารา และเรสซิเดนซ์ วังดอน และคริสตัล ฮอลิเดย์ ฮาร์เบอร์ วังดอน ที่เมื่อรวมกันแล้วจะมีห้องพักให้บริการทั้งสิ้นถึง 977 ห้องด้วยกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เซ็นทาราให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมกับแผนระยะยาวในการลดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง อาทิ การลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40% และลดการใช้น้ำและการทิ้งขยะไปสู่หลุมฝังกลบ 20% ภายในปีพ.ศ. 2572 โดยเทียบกับปีฐาน 2562 รวมทั้งการตั้งเป้าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (NET ZERO) ภายในปีพ.ศ. 2593 โดยในปีพ.ศ. 2567 เซ็นทาราสามารถลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อห้องพักที่มีการใช้งาน (per occupied room) ได้ดีกว่าเป้าหมายในปีเดียวกันที่ตั้งไว้ มากถึง 19% และโรงแรมในเครือเซ็นทารา 8 แห่ง ได้ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ (Solar Panel) เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อช่วยประหยัดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อีกทั้งโรงแรมและรีสอร์ทในเครือยังได้รับการรับรองด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจาก Global Sustainable Tourism Council (GSTC) เพิ่มขึ้นถึง 93% ทำให้เซ็นทาราเป็นเครือโรงแรมแรกในไทยที่ได้รับการรับรองจาก GSTC
นอกจากนั้น เซ็นทารายังได้รับการประเมินจาก S&P Global เป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนไทยที่ได้เป็น Industry Mover และได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิก S&P Global Sustainability Yearbook 2024 , ได้รับการ
ประเมินจาก MSCI ในระดับ A ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง อีกทั้งยังผ่านการประเมิน SET ESG Ratings 2024 ระดับ AAA จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ เซ็นทารายังให้ความสำคัญในเรื่องของความเสมอภาคและความเท่าเทียม (Equality) โดยมีการสนับสนุนการจ้างงานผู้พิการ และมีสัดส่วนระดับผู้บริหารหญิงมากถึง 49% ขององค์กร