ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#Blockchain


จับตาเทรนด์ Tokenization ในไทย ทางเลือกใหม่ของนักลงทุนสายอสังหาฯ

จับตาเทรนด์ Tokenization ในไทย ทางเลือกใหม่ของนักลงทุนสายอสังหาฯ

Tokenization คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร          Tokenization คือ การเปลี่ยนสินทรัพย์ (Asset) ให้กลายเป็นโทเคนดิจิทัลบนบล็อกเชน (Blockchain) โดยโทเคนเหล่านี้จะแทนสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของหรือผลประโยชน์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ เช่น หุ้นในโครงการ อัตราผลตอบแทน หรือสิทธิในการใช้ทรัพย์สิน เป็นต้น การโอนหรือแลกเปลี่ยนโทเคนเหล่านี้จะถูกบันทึกแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger) ทำให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และลดต้นทุนการทำธุรกรรม ข้อดีของการ Tokenize สินทรัพย์ เพิ่มสภาพคล่อง (Liquidity): เมื่อมีการทำโทเคนสำหรับสินทรัพย์ซึ่งปกติอาจสภาพคล่องต่ำ (เช่น อสังหาฯ งานศิลปะ หรือสินค้าการเกษตร) โทเคนเหล่านี้สามารถซื้อขายได้ในตลาดรองดิจิทัลอย่างรวดเร็ว 24/7 มีผู้สนใจได้ทั่วโลก ลดข้อจำกัดในการเข้าถึง: นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ที่เดิมทีต้องใช้เม็ดเงินลงทุนสูง หรือมีโครงสร้างซับซ้อน เช่น กองทุน Private Equity, กองอสังหาริมทรัพย์ในทำเลแพง หรืออื่น ๆ แบ่งหน่วยลงทุนได้: ผู้ถือโทเคนอาจถือแค่บางส่วนของสินทรัพย์ ไม่จำเป็นต้องถือทั้งก้อน ซึ่งทำให้การลงทุนเปิดกว้างและกระจายความเสี่ยงได้สะดวกยิ่งขึ้น          ด้วยเหตุนี้ การ Tokenize จึงเป็นการเปิดโอกาสให้แก่สินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Asset) เช่น อสังหาริมทรัพย์, สิทธิบัตร, ลิขสิทธิ์, งานศิลปะ และสินทรัพย์อีกหลายรูปแบบ ให้สามารถเข้ามาลงทุน และสามารถแลกเปลี่ยนได้อย่างคล่องตัวกว่าเดิม โดยเทรนด์การนำมาประยุกต์นี้เรียกว่า Real World Asset Tokenization หรือ การแปลงสินทรัพย์ในโลกให้อยู่ในรูปแบบโทเคน          โดยในประเทศไทยนั้น การทำ Tokenization ได้เริ่มมีการใช้กับโปรเจ็คต่างๆ ในการ สร้างเหรียญ Investment Token ที่รับรองโดย ก.ล.ต. ออกมาเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน ในการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างของ Tokenization กับโปรเจ็คต่างๆในโลกนี้ 1) Real Estate Backed Tokenization อสังหาริมทรัพย์เป็นตัวอย่างการใช้งานแรกๆ ของการนำมาประยุกต์ใช้งาน ซึ่งมีหลายตัวอย่าง เช่น RealT (สหรัฐอเมริกา): เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายโทเคนที่อิงกับอสังหาริมทรัพย์ มีการแบ่งหน่วยบ้านหรืออาคารให้เป็นโทเคนบนบล็อกเชน Ethereum ผู้ซื้อโทเคนจะได้รับส่วนแบ่งค่าเช่า (Rental Income) ตามสัดส่วนที่ถือ AspenCoin (รีสอร์ทหรูใน Aspen): ออกเหรียญโทเคนเพื่อเป็นหลักฐานการถือสิทธิในโครงการรีสอร์ทระดับไฮเอนด์ โดยผู้ลงทุนสามารถรับผลตอบแทนจากการดำเนินงานของโรงแรมหรือรีสอร์ท Propy: แพลตฟอร์มซื้อขายอสังหาริมทรัพย์บนบล็อกเชน เคยมีการขายบ้านหลังแรกโดยใช้ Smart Contract บนแพลตฟอร์มนี้ 2) IP Tokenization Intellectual Property (IP) หรือทรัพย์สินทางปัญญา เช่น ลิขสิทธิ์เพลง สิทธิบัตร สิ่งประดิษฐ์ ฯลฯ สามารถนำมา Tokenize เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและเปิดให้บุคคลภายนอกสามารถลงทุนในผลงานเหล่านี้ได้ ยกตัวอย่าง มีโปรเจกต์ที่เปิดขาย Token ที่อิงกับค่าสิทธิในการใช้งานเพลง (Music Royalties) ซึ่งเมื่อเพลงได้รับค่าลิขสิทธิ์ ผู้ถือโทเคนก็จะได้รับส่วนแบ่งตามสัดส่วน เช่น Nas แรปเปอร์ระดับตำนาน ได้นำเพลง “Ultra Black” และ “Rare” มาขายสิทธิรายได้ในรูปแบบโทเคน NFT บนแพลตฟอร์ม Royal โดยเปิดให้คนทั่วไปซื้อโทเคนในระดับต่าง ๆ (Gold, Platinum, Diamond) ซึ่งแต่ละระดับจะได้ส่วนแบ่งรายได้ (Streaming Royalties) ไม่เท่ากัน 3) Commodity-backed Tokenization สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) เช่น ทองคำ น้ำมัน หรือผลิตภัณฑ์เกษตร สามารถถูก Tokenize เพื่อใช้แทน “สัญญา” หรือ “กรรมสิทธิ์” ในตัวสินค้า ตัวอย่าง: PAX Gold (PAXG): โทเคนที่อิงกับทองคำแท่งซึ่งฝากไว้อย่างปลอดภัยในห้องเก็บทองคำ ผู้ถือ 1 โทเคน = เป็นเจ้าของทอง 1 ออนซ์ และ Tether Gold (XAUT): คล้ายกันคือ เป็นโทเคนที่มีทองคำเป็นสินทรัพย์อ้างอิง ผู้ถือโทเคนถือสิทธิ์ทองคำในปริมาณที่แน่นอน 4) ตัวอย่างอื่นๆ ที่สามารถทำ Tokenization สำหรับสินทรัพย์ต่าง ๆ อีกมาก เช่น Art-backed Tokens: โทเคนที่ผูกกับมูลค่าของงานศิลปะระดับโลก ทำให้คนทั่วไปสามารถ “ร่วมถือครอง” ผลงานชิ้นเดียวในโลกได้ Carbon Credit Token: โทเคนที่สร้างขึ้นเพื่อเทรดเครดิตคาร์บอน ตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องการลดคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยเปิดตลาดให้โปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากขึ้น Real Estate Tokenization ในประเทศไทย ทำไม Real Estate Tokenization ถึงเป็นที่น่าสนใจในประเทศไทย?          อสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงและส่วนใหญ่มีสภาพคล่องต่ำ นักลงทุนต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการซื้อ-ขาย และยังมีปัญหาด้านขั้นตอนเอกสารและค่าธรรมเนียม แต่เมื่อนำ Blockchain และ Smart Contract มาใช้ เราจะสามารถ: แบ่งหน่วยลงทุน: นักลงทุนทั่วไปที่มีทุนไม่มาก ก็สามารถลงทุนบางส่วนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งบ้าน คอนโดมิเนียม หรืออสังหาฯ เชิงพาณิชย์ ทำธุรกรรมเร็วขึ้น: ลดการพึ่งพาตัวกลาง (เช่น โบรกเกอร์ หรือตัวแทน) จึงลดค่าธรรมเนียมและขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน เปิดตลาดรองขนาดใหญ่: มีตลาดรองสำหรับแลกเปลี่ยนโทเคนอสังหาฯ ได้ทั่วโลก 24/7 ทำให้ผู้ถือโทเคนสามารถขายหน่วยลงทุนได้ง่าย ไม่ต้องรอผู้ซื้อเงินหนาเพียงรายเดียว          ตัวอย่าง Investment Token สำหรับ อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย Real X (1)          RealX หรือชื่อเต็ม RealX Investment Token (โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนเรียลเอ็กซ์) เป็นโทเคนที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด และได้บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด เป็นผู้พัฒนาระบบเสนอขายโทเคน          RealX ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นโทเคนที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือคอนโดในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หมายความว่านักลงทุนรุ่นใหม่ที่สนใจการลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิงหรือมีกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ไม่จำเป็นต้องมีเงินหลักล้านก็สามารถเริ่มลงทุนผ่านโทเคนนี้ได้ โดยเริ่มเพียงหลักร้อยบาท และทางบริษัทฯ ผู้ออกโทเคนก็ได้คัดสรรคอนโดที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพื่ออ้างอิงมูลค่าผลตอบแทนจากกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์เข้ากับโทเคน          โทเคน RealX มีสินทรัพย์ค้ำประกันก็คือคอนโดในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ 1.พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (138 ห้อง) 2.พาร์ค ออริจิ้น พญาไท (123 ห้อง) 3.พาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงศ์ (100 ห้อง)          ซึ่งคอนโดทั้ง 3 โครงการนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง แถมผู้ถือโทเคน RealX ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาดูแลคอนโดด้วยตัวเอง เพราะทางมีทีมงานคอยช่วยดูแลให้          จุดเด่นที่นักลงทุนน่าจะให้ความสนใจโทเคน RealX ก็คือเรื่องของผลตอบแทน ซึ่งทางทางบริษัทฯ ผู้ออกโทเคนก็ได้ระบุไว้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะมาจาก 2 ส่วน ได้แก่ ผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิของคอนโดฯ ทั้ง 3 โครงการเป็นระยะเวลา 10 ปี นับจากเริ่มต้นโครงการ โดยในปีที่ 1–5 บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด ที่อยู่ในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จะรับประกันรายรับสุทธิของโครงการที่ 4% 4.25% 4.50% 4.75% และ 5% ต่อปีของมูลค่าเสนอขายโทเคนดิจิทัลฯ ตามลำดับ ได้รับผลตอบแทนเป็นรายไตรมาสจากการทยอยจำหน่ายคอนโดทั้ง 3 โครงการในปีที่ 6–10 (รวมกรณีขยายอายุโครงการ) รวมกับผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิ          *อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง ผู้ออกโทเคนจึงได้เน้นย้ำว่าผลตอบแทนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ Sirihub (2)          สิริ ฮับ โทเคน (SiriHub Token) เป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนที่ออกโดย บริษัท เอสพีวี 77 จำกัด ภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 และเสนอขายโทเคนดิจิทัลในตลาดแรกผ่าน บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล หรือ ICO Portal ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. และจะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด ซึ่งได้รับใบอนุญาตการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระทรวงการคลังภายใต้การกำกับดูแลโดย ก.ล.ต. โดยมีโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน 2 กลุ่ม ได้แก่ SiriHubA และ SiriHubB สินทรัพย์อ้างอิง          กลุ่มอาคารสำนักงาน สิริ แคมปัส ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยมีสัญญาเช่าระยะยาว 12 ปี ทำให้มีกระแสรายรับสม่ำเสมอ ส่วนแบ่งรายได้ ผู้ลงทุนจะได้รับส่วนแบ่งรายได้ทุกไตรมาส ในอัตราร้อยละ 4.5 ต่อปี สำหรับโทเคน SiriHubA และร้อยละ 8.0 ต่อปี สำหรับโทเคน SiriHubB และจะได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ส่วนสุดท้าย จากการจำหน่ายทรัพย์สินเมื่อสิ้นสุดโครงการ 4 ปี Summer Point Token (Sum X) (3) เป็นเหรียญล่าสุดในประเทศไทย กำหนดวันจองซื้อในเดือน กุมภาพันธ์ 2568          โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนซัมเมอร์พ้อยท์ (Summer Point Token) เป็นโทเคนดิจิทัลที่มีอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเป็นสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งมีการออกและเสนอขายภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“สำนักงาน ก.ล.ต.”) ของประเทศไทย และเป็นไปตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างครบถ้วนและถูกต้อง โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนลำดับที่ 4 ของประเทศไทย ที่เสนอขายผ่าน Token X ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ได้รับความเห็นชอบจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มี ผู้ออกโทเคนดิจิทัล เป็น บริษัท เดอะ อิชชูเออร์ จำกัด (The ISSUER) บริหารอสังหาริมทรัพย์ โดย บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมี ผู้ให้บริการระบบเสนอขาย โทเคนดิจิทัล (ICO Portal) คือ บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (Token X) อัตราผลตอบแทนทั้งโครงการเฉลี่ยต่อปี (IRR) เฉลี่ยร้อยละ 2 ต่อปี ตลอดอายุโครงการโทเคนดิจิทัล มูลค่าและจำนวนโทเคนดิจิทัล ที่เสนอขาย : มูลค่าการเสนอขายไม่เกิน 450,000,000 บาท โดยมีจำนวนโทเคนดิจิทัลที่เสนอขายไม่เกิน 900,000,000 โทเคน ราคาที่เสนอขาย : 50 บาท ต่อโทเคน มูลค่าการจองซื้อขั้นต่ำต่อครั้ง : มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 500 บาท (1,000 โทเคน) จองซื้อ” Summer Point Token พร้อมกัน 24 กุมภาพันธ์ - วันที่ 14 มีนาคม 2568 โอกาสรับอัตราผลตอบแทนทั้งโครงการเฉลี่ยต่อปี 2%* เริ่มต้นเพียง 500 บาทเท่านั้น          โดยสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม หรือ จองซื้อได้ที่ https://summerpointtoken.finance/  หรือ Application Token X (ดาวน์โหลดได้ที่ App Store หรือ GooglePlay) แหล่งอ้างอิง Bitkub (https://www.bitkub.com/th/blog/what-is-realx-be38886d69a) digital (https://spv77.digital/) Summerpoint Token ผู้เขียน สุทธิรัตน์ หาญพานิชย์ Head of Business Development, Token X

Blockchain โปร่งใส-ตรวจสอบได้สำหรับ Supply Chain [HoonVision x TokenX]

Blockchain โปร่งใส-ตรวจสอบได้สำหรับ Supply Chain [HoonVision x TokenX]

บันไดแห่งความโปร่งใส : ทำบัญชีอย่างไรให้ถูกใจสาย Supply Chain Supply Chain Management and Blockchain Technology Series: Episode 2           ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และ ซับซ้อน การที่เราจะอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่นั้นๆ ก็ไม่ต่างจากการปีนบันไดแห่งความโกลาหลที่มองไม่เห็น เหมือนกับที่ Petyr Baelish หรือ Littlefinger เจ้านิ้วก้อยผู้เจ้าเล่ห์จากซีรีย์เรื่อง Game of Thrones ได้กล่าวไว้ว่า “Chaos is a ladder” ความโกลาหลนั้นไม่ได้เป็นเพียงความวุ่นวายที่ไม่มีจุดหมาย แต่มันคือบันไดสำหรับผู้ที่ฉลาดพอที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้ Lord Baelish มองความไม่แน่นอนของโลกใบนี้เป็นโอกาสที่ซุกซ่อนอยู่ ซึ่งผู้ที่มองเห็นโอกาสในโครงสร้าง และ เส้นทางในความยุ่งเหยิงนั้นจะสามารถไต่ขึ้นไปยังจุดสูงสุดได้           อย่างในโลกของการเงิน ความโกลาหลเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในระบบ แม้จะมีการกำกับดูแล และ มาตรการควบคุมจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ความซับซ้อนของกฎระเบียบ ธุรกรรมที่ไม่โปร่งใส และ การพึ่งพาคนกลาง ทำให้เกิดจุดบอด และ มีช่องว่างอยู่เสมอ           แต่ด้วยการกำเนิดของสิ่งที่ Satoshi Nakamoto ได้คิดค้นขึ้นมาสิ่งที่เรียกว่า Blockchain และ Bitcoin มาเพื่อช่วยให้ความยุ่งเหยิงนี้สามารถถูกแปรเปลี่ยนเป็นความโปร่งใสอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน           ความเจ๋งของ Satoshi คือ การนำเสนอระบบที่ทำให้ทุกธุรกรรมถูกบันทึก และ ยืนยันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนกลาง ทำให้เส้นทางการเงินถูกติดตามได้อย่างแม่นยำ และ ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน เหมือนกับการควบคุมความโกลาหลให้อยู่ในมือ และ ได้สร้างรากฐานใหม่ ที่ทำให้ผู้คนสามารถเชื่อมั่นในระบบที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของทุกคน           ในเกมแห่งอำนาจ ความโกลาหล เป็นได้ทั้งอุปสรรค และ โอกาส เช่นเดียวกันกับโลกของ Supply Chain ที่มีความโกลาหลอยู่มากมายโดยเฉพาะเรื่องการสร้าง Traceability และ จัดการข้อมูลที่ซับซ้อน และ แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เปรียบเสมือนการปีนบันไดแห่งความโกลาหลนี้ ถ้าเราสามารถใช้ความไม่แน่นอน และ ความวุ่นวายให้เกิดประโยชน์ มันจะพาเราไปสู่จุดที่กลายเป็นผู้ไม่พร้อมจะตกจากบันไดแห่งเกมนี้           ใน Episode ที่ 2 นี้ผู้เขียนจะพาทุกท่านไปดูกันว่าการสร้าง Traceability ในโลกของ Supply Chain ด้วยกันกับคู่หูอย่าง Blockchain จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ด้วยการประยุกต์ใช้หลักการทำบัญชีของ Bitcoin           จากที่ได้เกริ่นไปเบื้องต้นถึงต้นกำเนิดของเทคโนโลยี Blockchain และ Bitcoin ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะมาช่วยเปลี่ยนความโกลาหล ยุ่งยากในการทำ Traceability ให้กลายเป็น Solution ที่มีคุณค่า และ มีประสิทธิภาพ           โดยการนำหลักการทำบัญชีของ Bitcoin มาเป็นสารตั้งต้น หรือที่เรียกกันว่า UTXO ด้วยการบันทึกข้อมูลที่โปร่งใส และ เชื่อถือได้ ในทุกขั้นตอนของ Supply Chain จะถูกติดตามและยืนยันได้อย่างแม่นยำ ยิ่งในปัจจุบันที่ทุกคนมีสิทธิที่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้อย่างเสรี เราจะเห็นว่าการสร้าง Traceability จะไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Supply Chain เท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค และ สังคมในวงกว้างอีกด้วย UTXO (Unspent Transaction Output)           หลักการทำงานของการจดบัญชีแบบ UTXO อาจดูซับซ้อน แต่ถ้ามองดีๆ แล้วมันมีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่เราใช้กันเป็นปกติในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ซึ่งก็คือการใช้เงินที่เป็น เหรียญ หรือ ธนบัตร นั่นเอง           ลองนึกภาพการจดบัญชีแบบ UTXO เป็นการบันทึกการใช้เหรียญ หรือ ธนบัตรที่เหลือหลังจากที่เราใช้จ่ายเงินแต่ละครั้ง โดยจะบันทึกไว้ว่าเราได้รับเงินมาเท่าไหร่ และใช้จ่ายเท่าไหร่ โดยไม่สนใจว่าจำนวนเงินทั้งหมดในกระเป๋าของเรามีเท่าไหร่ ณ เวลานั้น เพื่อให้เห็นภาพง่าย ๆ ลองดูตัวอย่างนี้ครับ ตัวอย่างแบบง่ายๆ ครับ สมมติว่า คุณมีธนบัตร 100 บาท จำนวน 1 ใบ ในทางบัญชีจะมีการบันทึกว่า คุณมีธนบัตร 1 ใบที่ยังไม่ได้ใช้งาน ซึ่งมีมูลค่า 100 บาท ธนบัตร 100 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) -> เจ้าของคือ คุณ ยอดคงเหลือของคุณคือ 100 บาท คุณต้องการซื้อของจากร้านอาหาร ราคา 70 บาท แต่ธนบัตรที่คุณมีนั้นเป็นธนบัตรที่มีมูลค่า 100 บาท จำนวน 1 ใบ ดังนั้นคุณต้องใช้ธนบัตรนี้เต็มมูลค่า ในการทำธุรกรรม โดยในทางบัญชี จะทำการบันทึกธุรกรรมในลักษณะนี้ บันทึกว่า ธนบัตร 100 บาท ถูกใช้งานไปแล้ว ซึ่งธนบัตรนั้นมีมูลค่า 100 บาท แต่ของที่ต้องการซื้อนั้น มีราคา 70 บาท ฉะนั้นมันจะมีส่วนต่างที่เป็นจำนวน 30 บาท ในทางบัญชีจะทำการสร้างธนบัตรใหม่ขึ้นมา 2 ใบให้สอดคล้องกับ usecase และ ยอดคงเหลือรวมดังนี้ ธนบัตร 100 บาท 1 ใบ (ใช้งานไปแล้ว) ธนบัตร 70 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) ธนบัตร 30 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) ยอดคงเหลือของคุณคือ 100 บาท ยอดคงเหลือของร้านค้าคือ 0 บาท ซึ่งจะมีการบันทึกว่าทั้ง 2 ธนบัตรนี้เป็นธนบัตรที่ยังไม่ถูกใช้งาน และ ทำการบันทึกความเป็นเจ้าของของ ธนบัตรมูลค่า 70 บาท คือ ร้านอาหาร และ ความเป็นเจ้าของของ ธนบัตรมูลค่า 30 บาท คือ คุณ ธนบัตรมูลค่า 70 บาท จำนวน 1 ใบ ก็คือเงินที่คุณใช้จ่ายให้ร้านอาหารไป และ ธนบัตรมูลค่า 30 บาท จำนวน 1 ใบ คือ เงินที่เหลือ ธนบัตร 100 บาท 1 ใบ (ใช้งานไปแล้ว) ธนบัตร 30 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) ยอดคงเหลือของคุณคือ 30 บาท ยอดคงเหลือของร้านค้าคือ 70 บาท ดังนั้นหลังจากการซื้อของจากร้านอาหาร 70 บาท ทางบัญชีแสดงผลออกมาว่า คุณมี ธนบัตรมูลค่า 30 บาท 1 ใบที่ยังไม่ได้ใช้งาน และ มีธนบัตรมูลค่า 100 บาท 1 ใบ ที่ใช้งานไปแล้ว ซึ่งธนบัตรมูลค่า 30 บาท 1 ใบสามารถนำไปใช้ในการทำธุรกรรมครั้งถัดไปได้ แต่ ธนบัตรมูลค่า 100 บาท 1 ใบจะไม่สามารถใช้ทำธุรกรรมใดๆ ได้อีก           จะเห็นได้ว่าการจดบัญชีแบบ UTXO นั้นมีความซับซ้อน และ ยุ่งยากกว่าการจดบัญชีทั่วๆไป เนื่องจากในระบบ UTXO เราไม่สามารถ แบ่งเหรียญ ออกมาได้ตรงๆ เช่น การใช้ธนบัตร 100 บาทแค่บางส่วน จึงจำเป็นต้องใช้ทั้ง UTXO ที่มีมูลค่ารวมกันเพียงพอเพื่อครอบคลุมยอดชำระ หากมีเศษเหลือก็จะถูกสร้างเป็นเหรียญใหม่เหมือนเงินทอน ซึ่งทำให้การจดบัญชีแบบนี้บน Blockchain สามารถติดตามเหรียญแต่ละเหรียญได้อย่างแม่นยำ และในระบบบัญชีบน Blockchain ทุกธุรกรรมจะมีการบันทึกว่า UTXO ไหนถูกใช้แล้วบ้าง ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ และบันทึกการสร้าง UTXO ใหม่ ทำให้สามารถตรวจสอบการถือครอง และ ความถูกต้องของเหรียญได้อย่างแม่นยำ และเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการทั้งหมด           การนำหลักการของ UTXO มาใช้สร้าง Traceability ให้กับ Asset ใน Supply Chain สามารถช่วยให้แต่ละ สินทรัพย์ หรือ วัตถุดิบถูกติดตามได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยหลักการนี้สามารถทำให้เห็นได้ว่าในแต่ละช่วงเวลาใครเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นบ้าง และ สินทรัพย์นั้นถูกเปลี่ยนมือหรือตรวจสอบสถานะในแต่ละขั้นตอนอย่างไรบ้าง Asset Tracking & Traceability           ในระบบ UTXO ในแต่ละหน่วยที่ยังไม่ถูกใช้งานจะมีตัวตนเฉพาะตัว ดังนั้นสินทรัพย์ใน Supply Chain ก็สามารถบันทึกเป็นหน่วยในลักษณะแบบนี้ได้ ซึ่งมีประโยชน์ดังนี้:           การบันทึกความเป็นเจ้าของ เมื่อสินค้าถูกส่งต่อจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เช่น จากผู้ผลิตไปยังผู้จัดจำหน่าย จะต้องมีการจดบันทึกโดยอ้างอิงมาจากหลักการของ UTXO ที่แสดงถึงการโยกย้ายความเป็นเจ้าของของสินทรัพย์นั้นๆ           การติดตามสถานะ ทุกการเคลื่อนย้าย หรือ เปลี่ยนสถานะของสินค้าจะต้องมีการจดบันทึกข้อมูลสถานะของสินทรัพย์นั้นๆ ในลักษณะที่ทำให้ระบบสามารถติดตามได้ว่าสินค้าชิ้นนั้นผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้างและสถานะล่าสุดอยู่ที่ไหน รวมถึงใครเป็นเจ้าของ หรือ ดูแลในแต่ละช่วงเวลา           การป้องกันการใช้ซ้ำ เช่นเดียวกับการลงบัญชีแบบ UTXO การใช้สินทรัพย์หรือ UTXO หนึ่งไปแล้วจะไม่สามารถใช้อีกได้ เช่น สินค้าที่ถูกส่งออกแล้วจะไม่มีอยู่ในคลังเดิมอีก ทำให้ระบบสามารถป้องกันการใช้สินค้าซ้ำ หรือ สินค้าสูญหายได้           ความโปร่งใส และ การตรวจสอบ ในทุกๆ สินค้าจะมีบันทึกสถานะและเวลา ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องใน Supply Chain สามารถตรวจสอบได้ว่าสินค้าผ่านการตรวจสอบหรือขั้นตอนใดมาแล้วบ้าง และใครเป็นผู้รับผิดชอบในช่วงเวลานั้นๆ โดยอาจจะมีกระบวนการ Transaction History Tracing ที่เกี่ยวข้องกับการบันทึกทั้งหมดใน Supply Chain เพิ่มเติมเข้ามาด้วย Transaction History Tracing เป็นกระบวนการตรวจสอบ และ ติดตามประวัติธุรกรรมย้อนหลังของสินทรัพย์บน Blockchain เพื่อหาว่าเงิน หรือ สินทรัพย์นั้นเคยถูกโอนผ่านใคร หรือ ใช้ในธุรกรรมใดบ้างตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง การทำงานนี้ใช้ได้กับระบบ Blockchain ที่มีการบันทึกข้อมูลธุรกรรมทั้งหมด และ ข้อมูลเหล่านั้นเชื่อมโยงกันในลักษณะเป็น Chain           จบกันไปแล้วครับกับ Episode 2 Accounting อย่างไรให้ถูกใจสาย Chain จากเนื้อหาทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า การใช้หลักการทำบัญชีของ Bitcoin หรือ UTXO ใน Supply Chain นั้นจะช่วยให้เรามี ระบบ Tracking & Traceability ที่โปร่งใสมากโดยทุกคนสามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวของสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำได้ ลดปัญหาการปลอมแปลงข้อมูลใน Supply Chain และทำให้ทุกขั้นตอนของการเคลื่อนย้าย หรือ เปลี่ยนสถานะของสินค้าถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนทั้งหมด ผู้เขียน Tinnakorn Pornsontisakul รายละเอียดเพิ่ม คลิก

ผสานพลัง Blockchain - Supply Chain เปลี่ยนอนาคตโลกอุตสาหกรรม [HoonVision x TokenX]

ผสานพลัง Blockchain - Supply Chain เปลี่ยนอนาคตโลกอุตสาหกรรม [HoonVision x TokenX]

Blockchain x Supply Chain: ทำความรู้จักกับคู่หูทรงพลังแห่งโลกอุตสาหกรรม Supply Chain Management and Blockchain Technology Series: Episode 1 ในโลกของเรา มีสัจธรรมที่บอกถึงคุณค่าของสิ่งมีชีวิตอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือ ความเก่ง ทุกชีวิตบนโลกต่างมีความสามารถเฉพาะตัวที่โดดเด่น เช่น กระต่ายเก่งในการวิ่ง นกเก่งในการบิน หรือ ปลาเก่งในการว่ายน้ำ ความเก่งในแต่ละแบบนั้นแสดงถึงการปรับตัว และ ความอยู่รอดในโลกนี้ แต่เมื่อใดที่ความเก่งของแต่ละสิ่งแตกต่างกัน และ ต้องเผชิญหน้าในสถานการณ์ หรือ อุปสรรคที่แตกต่างกันไป พวกเค้ามักจะต้องการ “คู่หู” ที่เก่งในแบบของตนเองมาช่วยกัน เพื่อให้การทำงานหรือการเอาชีวิตรอดเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ แสดงถึง ภาวะความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกันกับในโลกของธุรกิจและอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนที่ต้องอาศัยการจัดการที่ดี จากประสบการณ์ที่ผูเขียนเป็น Software engineer ที่โลดแล่นอยู่ในวงการ Financial มาโดยตลอด ได้เห็น Evolution ของเทคโนโลยีที่ทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินของทั่วทั้งโลกเปลี่ยนแปลงไป นับตั้งแต่การเกิดขึ้นของ FinTech ไม่ว่าจะเป็น Mobile banking หรือ Trend อย่าง Cashless Society ทั้งหลาย ไปจนถึงการนำ Blockchain มาใช้ในการสร้างความโปร่งใส และ ความปลอดภัยในการทำธุรกรรม และ ในวันนี้เรากำลังเห็นเทคโนโลยี Blockchain ไม่ได้หยุดอยู่แค่โลกของการเงินเท่านั้น แต่มันกำลัง Expand ไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย รวมไปถึงวงการ Supply Chain ซึ่งเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงสินค้าจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค Supply Chain Management เป็นหนึ่งในกระบวนการที่มีการเคลื่อนย้ายโยกย้ายข้อมูล และ สินค้าอย่างรวดเร็ว การขนส่งจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งจะต้องมีการตรวจสอบติดตามข้อมูลอย่างละเอียด และ มีความโปร่งใส แต่ Supply Chain เองก็มีข้อจำกัด และ ข้อด้อยบางอย่างในการทำงานส่งผลให้มีประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผลที่ค่อนข้างแย่ นั่นจึงเป็นที่มาของการหา “คู่หู” ที่มี Relation ที่เหมาะสมในแบบของ Protocooperation เพื่อให้การเปลี่ยนถ่ายยุคสมัยนั้นเป็นไปได้ด้วยดี โดยเทคโนโลยีจะที่เข้ามาเป็น “คู่หู” ในการช่วยเหลือ Supply Chain นั่นก็คือ Blockchain Protocooperation คือ ความสัมพันธ์แบบได้ประโยชน์ร่วมกัน (+, +) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของ 2 สิ่งแบบได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน สามารถขาดกันได้ถึงแม้ว่าจะแยกกันอยู่ก็สามารถดำรงชีวิตหรือทำงานต่อไปได้ตามปกติ Blockchain นั้นเก่งในเรื่องของการสร้างความโปร่งใส และ ความปลอดภัยในการบันทึกข้อมูล และ ด้วยความสามารถในการทำงานแบบ Decentralized Ledger ที่มีกลไกที่ทำให้ข้อมูลไม่สามารถถูกปลอมแปลงได้ อีกทั้งยังทนทานต่อความเสียหายได้อีกด้วย และ ทุกความเคลื่อนไหวสามารถตรวจสอบได้แบบ Real Time ความเก่งกาจในด้านนี้ของ Blockchain จะเข้ามาช่วยเสริมจุดแข็งและแก้จุดอ่อนของ Supply Chain ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเมื่อจับคู่พวกเค้าร่วมกัน เราก็จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรม Supply Chain ไปในทิศทางที่น่าสนใจอย่างแน่นอน โดยตลอด Series นี้ จะพาทุกคนไปดูรายละเอียดต่างๆที่น่าสนใจที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลก Supply Chain และ บทบาทของ เทคโนโลยี Blockchain ที่จะส่งผลต่อธุรกิจเหล่านี้กัน ซึ่งใน Episode 1 นี้ ทุกคนจะได้เห็นว่าทำไมการผสานพลังของ “คู่หู” สองสิ่งนี้ถึงสำคัญและมันจะมาเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรม Supply Chain ได้อย่างไร ก่อนจะไปพูดถึงการรวมกันของ 2 คู่หูสุดเทพ อย่าง Blockchain และ Supply Chain เราคงต้องย้อนมาพูดถึง Supply Chain Management ก่อนว่ามันคืออะไรและมีความสำคัญอย่างไรในโลกธุรกิจ และ อุตสาหกรรม รู้จักกับ Supply Chain สักหน่อย Supply Chain Management คือ กระบวนการที่เชื่อมโยงทุกจุดในระบบ ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบ การขนส่งสินค้า ไปจนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ถึงมือผู้บริโภค ที่มีความครอบคลุมทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะช่วยให้การ Manage นั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้การผลิต และ กระจายสินค้าดำเนินไปอย่างราบรื่น ประหยัดต้นทุน และ มีประสิทธิภาพสูงสุด ในยุคที่โลกเรามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความต้องการของลูกค้าที่ผันผวน และ การแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น ส่งผลให้ในหลายๆ ธุรกิจ และ อุตสาหกรรม Supply Chain ต้องปรับตัวให้ทันตามกระแสของโลก โดยความคล่องตัว และ ประสิทธิภาพ เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับธุรกิจ และ อุตสาหกรรมในยุคนี้ เพราะเพียงแค่ล่าช้า หรือ ผิดพลาดเพียงเพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่ทั้งหมด ซึ่งอาจจะส่งผลเสียอย่างมากต่อธุรกิจ อุตสาหกรรม จนอาจจะนำไปถึงจุดที่ทำให้สูญเสียรายได้ หรือ ลูกค้าเลยก็เป็นได้ และที่สำคัญกว่านั้น Supply Chain ยังเป็นสิ่งที่สร้างการเชื่อมโยงให้กับหลายๆอุตสาหกรรม หากการจัดการ Supply Chain มีปัญหา มันอาจจะส่งผลกระทบต่อกันเป็นลูกโซ่ให้กับ Stakeholder ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต, ผู้จัดจำหน่าย หรือ แม้แต่ผู้บริโภค และ ยิ่งเราอยู่ในยุคที่ทิศทางของธุรกิจมีความเป็น Global สูง มีการส่งออก และ ซื้อขายกันในระดับ Global อย่างมากมาย ทำให้ความถูกต้องแม่นยำ และ ความโปร่งใสในการติดตามสินค้าจึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็นมา เพราะฉะนั้นแล้วการมีระบบที่มีประสิทธิภาพ พร้อมด้วยความสามารถในการติดตามที่น่าเชื่อถือ และ โปร่งใส จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนแปลงธุรกิจ Supply chain ให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ Supply Chain Management ที่ดีไม่ได้มีเพื่อแค่ทำให้เราส่งสินค้าตรงเวลาเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงการบริหารความเสี่ยง การสร้างความโปร่งใสในการตรวจสอบ และ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรอีกด้วย รู้จักกับ Blockchain สักนิด และเมื่อเราพูดถึงการสร้างระบบ Supply Chain Management ที่มีประสิทธิภาพ ที่มีทั้ง ความน่าเชื่อถือ และ ความโปร่งใส เทคโนโลยี Blockchain กลายเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากมีคุณสมบัติที่สอดคล้องกับความต้องการของการทำ Supply Chain Management ในโลกปัจจุบัน Blockchain คือ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลรูปแบบหนึ่ง โดยข้อมูลจะถูก Save ในลักษณะของ Block ซึ่งในแต่ละ Block นั้นจะมี Signature เป็นของตัวเอง โดย Signature ของ Block นั้นจะถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลภายใน Block ผสานเข้ากับ Signature ของ Block ก่อนหน้า ซึ่งเป็นการสร้างการเชื่อมโยงกันระหว่าง Block โดยในลักษณะแบบนี้ เราเรียกว่า Chain ส่งผลให้ข้อมูลที่ถูกบันทึกลง Block ไปแล้วนั้นไม่สามารถแก้ไขหรือปลอมแปลงได้ เพราะเมื่อข้อมูลนั้นถูกแก้ไข เจ้าตัว Signature ของ Block ก็จะเปลี่ยนไปส่งผลให้ Signature ใหม่นั้น ไม่ตรงกับ Signature ที่เก็บอยู่ใน Block ถัดไป และ ก็จะ Effect แบบนี้ไปจนถึง Block สุดท้ายของ Chain หลายๆ คนอาจจะมีความเข้าใจผิดกับคำว่า “ข้อมูลที่เก็บอยู่บน Blockchain ไม่สามารถแก้ไขได้” คำว่า “ไม่สามารถแก้ไขได้” หมายถึง การที่เราไม่สามารถเข้าไป Replace ข้อมูลเดิมที่มีอยู่บน Blockchain ได้ แต่ยังสามารถทำการ Update ข้อมูลเข้าไปใหม่ได้ ซึ่งจะเป็นการแก้ไขในลักษณะของ Trail ยกตัวอย่าง เช่น มีแมวชื่อ A อยู่บน Blockchain แล้วต้องการแก้ไขจากชื่อ A เป็นชื่อ B ก็ สามารถทำได้ตามปกติเลย แต่แมวตัวนั้น ก็จะมี Trail ว่าเคยตั้งชื่อ A อยู่ด้วย สรุปสั้นๆ การแก้ไขข้อมูลบน Blockchain สามารถทำได้แต่จะเป็นในลักษณะของการ Update ที่จะมี Trail ตามหลังเสมอครับ สำหรับธุรกิจ อุตสาหกรรม Supply Chain นั้น Blockchain จะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการทำ Supply Chain Management และ มันยังช่วยส่งเสริมการทำงานให้กับ ระบบ MES ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการผลิต และ การจัดส่งสินค้าให้มีการจัดการที่ดีขึ้น และ ประสิทธิภาพสูง ระบบ MES คือ ระบบที่ใช้ในการจัดการ และ ควบคุมกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม โดยระบบนี้ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างแผนการผลิต (เช่น ERP หรือ Enterprise Resource Planning) และ การทำงานในระดับภาคพื้น โดยระบบ MES จะช่วยเก็บข้อมูล และ ติดตามกระบวนการต่างๆ ในโรงงาน เพื่อให้สามารถมองเห็นภาพรวมของการผลิตในแบบ Realtime และ ช่วยให้การจัดการกระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น และจากนี้ขอขยายความถึงคุณสมบัติที่ว่า “จะเป็นปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนแปลงธุรกิจ Supply Chain ให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ” ที่มีในตัว Blockchain อย่างแรกความโปร่งใส (Transparency) ในทุกๆ การบันทึกข้อมูลที่เกิดขึ้นในระบบ Blockchain จะถูกเก็บอย่างเปิดเผยในบัญชีกลาง (Distributed Ledger) ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบข้อมูลได้แบบ Realtime โดยข้อมูลเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไข หรือ เปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย ทำให้การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจะกลายเป็นเรื่องง่ายดาย และ ช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับทุกๆ Stakeholder ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย อย่างที่สองการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เป็นคุณสมบัติที่เรียกได้ว่าจะเป็นจุดเด่นที่สร้างความได้เปรียบอย่างมากเมื่อใช้ Blockchain ใน Supply Chain โดยทุกครั้งที่มีการเคลื่อนย้ายสินค้า หรือ มีการเปลี่ยนแปลงสถานะ ระบบ Blockchain จะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ไว้ในทุกขั้นตอน ทำให้ Stakeholder ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้บริโภค สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปของสินค้าได้อย่างละเอียด ยกตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่นำเข้า และ การรายละเอียดการใช้งานต่างๆ ในสายการผลิตอย่างชัดเจน ในขณะที่ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบประวัติของสินค้านั้นอย่างละเอียดได้ไม่ว่าจะเป็น ตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต ประวัติการขนส่งตั้งแต่สายการผลิตจนถึง Shelf ที่วางขายสินค้านั้น และ ส่งต่อไปถึงมือของผู้บริโภคได้ และอย่างสุดท้ายคือ ความปลอดภัย (Security) ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติเด่นที่สุดของ Blockchain ด้วยการใช้เทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยต่างๆ ทำให้ข้อมูลที่ถูกบันทึกใน Blockchain ไม่สามารถถูกปลอมแปลง หรือ เข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยปกติแล้วในการ Hosting Blockchain มาใช้งานนั้น เราจะมีการ DeclareNetwork ที่เปรียบเสมือน Community ที่ช่วยจะกันเก็บข้อมูล ซึ่งภายใน Community นั้นก็จะประกอบไปด้วย Node หลายๆ Node ที่เก็บข้อมูล และ Sync ข้อมูลกันอยู่ตลอดเวลาโดยข้อมูลที่เก็บอยู่บน Blockchain นั้นจะถูกกระจายไปยังทุก Node ใน Network ทำให้การโจมตี หรือ Hack ข้อมูลเป็นเรื่องยากมาก ซึ่งเป็น Mechanism ที่ช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับทั้งข้อมูล และ การทำธุรกรรมต่างๆ และด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ Blockchain จึงกลายเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเสริมประสิทธิภาพและสร้างความไว้วางใจให้กับระบบ Supply Chain ไม่ว่าจะเป็นการลดข้อผิดพลาดในกระบวนการต่างๆ การสร้างความโปร่งใสในทุกขั้นตอน หรือ การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ไม่สามารถถูกละเมิดได้ ในปัจจุบัน ระบบ Supply Chain มักจะพบเจอปัญหาหลายอย่าง ซึ่งปัญหาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ Blockchain สามารถเข้ามาช่วยแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น การขาด Traceability ของสินค้า และ วัตถุดิบ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ส่งผลให้เกิดการปลอมแปลงสินค้า ที่ยากจะตรวจสอบ และ อาจทำให้ขาดความเชื่อมั่นกัน ใน Stakeholder ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และผู้บริโภค และ การที่ไม่มีระบบที่สร้างความชัดเจน และ ความโปร่งใสทำให้หลายฝ่ายไม่สามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ได้รับมีความถูกต้อง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ Blockchain สามารถช่วยได้โดยการนำมาสร้างเป็นระบบที่มีความน่าเชื่อถือ และ โปร่งใส ทำให้ Stakeholder สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกการเคลื่อนไหวของสินค้าหรือข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มาของวัตถุดิบ สิ่งเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่น และ โปร่งใสให้กับผู้มีส่วนร่วมทุกฝ่าย ตัวอย่างการใช้งาน 1). การสร้าง Traceability ของอาหาร ในอุตสาหกรรมอาหาร ความสามารถในการทำ Traceability ตั้งแต่ ฟาร์ม สู่ จาน ของผู้บริโภคนั้นมีความสำคัญมาก หากเกิดปัญหา เช่น การปนเปื้อนของอาหาร Blockchain ช่วยให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งที่มาของวัตถุดิบได้ทันทีว่าอาหารเหล่านั้นมาจากที่ใด ผ่านกระบวนการใดมาบ้าง และใครเป็นผู้จัดส่ง สิ่งนี้ช่วยให้กระบวนการเรียกคืนสินค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายต่อผู้บริโภคในวงกว้างได้อีกด้วย นอกจากจะช่วยในเรื่องของการตรวจสอบ การสร้าง Traceability ยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับอาหาร หรือ สินค้านั้นๆ ด้วย เป็นการสร้าง Story ให้กับอาหาร หรือ สินค้า เช่น Steak เนื้อจานนี้ ตั้งแต่เด็กถูกเลี้ยงด้วยหญ้าที่นำเข้ามาจากแหล่งที่มาชั้นยอด อาบน้ำวันละ 3 หน ให้ดื่มน้ำแร่จากเทือกเข้าแอลป์ ผ่านการตัดแต่ง และ ปรุงโดยเชฟที่มีชื่อเสียง ก่อนจะมาถึงร้านอาหารนี้ หรือ อีกตัวอย่างนึงคือ กระเป๋าใบนี้ ถูกทำมาจากหนังจระเข้ในป่าอเมซอน ที่เย็บโดยช่างทำกระเป๋าชื่อดังจากฝรั่งเศษ และ เคยผ่านการใช้งานมาจากดาราชื่อดัง เป็นต้น จากตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้าง Traceability กับ อาหารซึ่ง Regulator ในบางประเทศได้ออกมาตรการบังคับในการจัดการเรื่องนี้อย่างเข้มงวด เช่น FDA ของ USA ได้ออกมาตรการในการทำ Traceability กับอาหารในบางประเภทที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งจะช่วยในการป้องกัน และ จัดการปัญหาด้านความปลอดภัยของอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการมุ่งเน้นให้ทุกฝ่ายใน Supply Chain มีระบบบันทึกข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน และ สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2026 แหล่งข่าวที่มา: https://www.fda.gov/food/food-safety-modernization-act-fsma/fsma-final-rule-requirements-additional-traceability-records-certain-foods 2). การรับรองความถูกต้องของชิ้นส่วนอะไหล่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ การปลอมแปลงชิ้นส่วนอะไหล่เป็นปัญหาที่รุนแรงมาก และ อาจเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่ การนำ Blockchain มาใช้ในระบบ Supply Chain ของอุตสาหกรรมนี้ช่วยให้สามารถตรวจสอบได้ว่าชิ้นส่วนทุกชิ้นที่ถูกส่งไปยังโรงงานประกอบรถยนต์ หรือ ร้านซ่อมเป็นของแท้หรือไม่ เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับชิ้นส่วนจะถูกบันทึกไว้ในระบบตั้งแต่การผลิต การจัดส่ง จนถึงผู้ใช้งานปลายทาง ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถแก้ไขหรือปลอมแปลงได้ง่าย สรุป EP.1 การทำ Supply Chain Management เป็นกระบวนการที่จำเป็นมากในการจัดการวัตถุดิบ สินค้า และ ข้อมูลในเครือข่ายโลจิสติกส์ เพื่อให้ธุรกิจดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในความเป็นจริงธุรกิจ และ อุตสาหกรรมในระบบ Supply Chain นั้นมีความซับซ้อน ยุ่งยาก และ ด้อยประสิทธิภาพไปตามกาลเวลา และ ยุคสมัย Blockchain ในฐานะของ Technology ในยุคสมัยใหม่ ได้เข้ามามีบทบาทในการเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสใน Supply Chain Management โดยช่วยให้การติดตามสินค้าจากแหล่งที่มามีความแม่นยำ ป้องกันการปลอมแปลงข้อมูล และ สร้างความน่าเชื่อถือในทุกขั้นตอน ซึ่งการผสานพลังกันของคู่หูระหว่าง Supply Chain และ Blockchain นั้น เป็นแค่จุดเริ่มต้น ยังมี Room ที่ให้เล่น และ สานต่ออีกมากมาย ซึ่ง คู่หู คู่นี้ค่อนข้างมี Potential สูงในการเปลี่ยนแปลงอนาคตของโลกอุตสาหกรรม โดยใน Episode หน้าผู้เขียนจะมาแชร์เรื่อง Accounting อย่างไรให้ถูกใจสาย Chain โดยในเนื้อหาจะพูดถึง การทำ Accounting สำหรับการสร้าง Traceability ใน Supply Chain ให้ประสิทธิภาพ โดยใช้ Blockchain Technology ผู้เขียน Tinnakorn Pornsontisakul รายละเอียดเพิ่ม คลิก 

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456