ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#BGRIM


BGRIM กดปุ่ม COD  โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ในญี่ปุ่น

BGRIM กดปุ่ม COD  โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ในญี่ปุ่น

                  หุ้นวิชั่น - ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท Odakura Kuchinashi Solar Park LLC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ Lohas ECE Spain Gifu Co., Ltd. ถือหุ้น 100% ประกาศเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน กำลังการผลิตติดตั้ง 14 เมกะวัตต์ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่นิชิชิราคาวะ จังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัท Tohoku Electric Power Corporation มีกำลังการผลิตตามสัญญา 10 เมกะวัตต์ (MWac) ด้วยอัตรารับซื้อไฟฟ้าแบบ Feed-in Tariff (FiT) ที่ 24 เยนต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 16 ปี                   การเปิด COD ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ณ ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ เป็นไปตามเป้าหมายของ บี.กริม เพาเวอร์ ที่มุ่งขยายพอร์ตการลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่องครอบคลุมทั้งในประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ประเทศไทย รวมถึงภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ยุโรป ตะวันออกกลาง และประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมมุ่งหาโอกาสการลงทุนในประเทศที่มีนโยบายภาครัฐที่เอื้อต่อการเติบโตเพื่อบรรลุ เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ก้าวสู่บริษัทพลังงานชั้นนำระดับโลก ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวของ บี.กริม เพาเวอร์ “GreenLeap-Global and Green” พร้อมเดินหน้ายกระดับความร่วมมือทางธุรกิจระดับโลกกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ตามวิสัยทัศน์องค์กร “สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี (Empowering the World Compassionately)                   สำหรับทิศทางและเป้าหมายของ บี.กริม เพาเวอร์ ในระยะยาว ภายในปี 2573 ตั้งเป้าขยายการลงทุนสู่กำลังการผลิต 10,000 เมกะวัตต์ จากโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วและโครงการระหว่างก่อสร้างและพัฒนา โดยมากกว่า 50% เป็นสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน และมีเป้าหมายก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Carbon Emissions ภายในปี 2593 หรือ ค.ศ. 2050

กกพ. ตรึงค่าเอฟที ลุ้น BGRIM ฟื้นตัว

กกพ. ตรึงค่าเอฟที ลุ้น BGRIM ฟื้นตัว

           หุ้นวิชั่น - กกพ. ประกาศตรึงค่าFtที่ 36.72 สตางค์/หน่วย ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บเฉลี่ย 4.15 บาท/หน่วย ถึง ส.ค. 68 บล.ดาโอ ชี้ชัด! โอกาสรีบาวด์ของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าอย่าง BGRIM – GPSC กำลังมา แต่ยังคงต้องจับตาความไม่แน่นอนจากฝั่งรัฐว่าจะเข้ามาช่วยกดค่าไฟมากกว่านี้หรือไม่ ช่วงนี้มองเป็น BGRIM จัดเป็นหุ้นเก็งกำไรระยะสั้นน่าจับตา ราคาลงมาเยอะ ราคาเป้าหมาย 20 บาท            ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 12/2568 (ครั้งที่ 954) วันที่ 26 มีนาคม 2568 มีมติเห็นชอบค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 คงเดิมที่ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งสอดคล้องกับอัตราที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอมา เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วยแล้ว ทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เป็น 4.15 บาทต่อหน่วย เท่ากับค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน            ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. ได้เปิดรับฟังความเห็นผลการคำนวณค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 11 - 24 มีนาคม 2568 โดยมีผู้เข้าร่วมแสดงความเห็นจำนวนทั้งสิ้น 33 ความเห็น แบ่งเป็นการแสดงความเห็นต่อค่าเอฟทีตามกรณีศึกษาที่ กกพ. เสนอรวมทั้งสิ้น 29 ความเห็น แสดงความเห็นโดยเสนอค่าเอฟทีอื่นๆ นอกเหนือจากกรณีศึกษารวม 3 ความเห็น และความเห็นในลักษณะข้อซักถามหรือคำถามอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับค่าเอฟทีจำนวน 1 ความเห็น            โดยสามารถสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นเป็นสัดส่วนร้อยละได้ ดังนี้ สรุปผลการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 ผ่านช่องทางเว็บไซต์ของสำนักงาน กกพ. - เห็นด้วยกับกรณีศึกษาที่ 1 (ค่าเอฟที 137.39 สตางค์ต่อหน่วย) จำนวน 21% - เห็นด้วยกับกรณีศึกษาที่ 2 (ค่าเอฟที 116.37 สตางค์ต่อหน่วย) จำนวน 18% - เห็นด้วยกับกรณีศึกษาที่ 3 (ค่าเอฟที 36.72 สตางค์ต่อหน่วย) จำนวน 49%- ข้อเสนอค่าเอฟทีอื่นๆ นอกเหนือกรณีศึกษา จำนวน 9% - ข้อซักถามหรือคำถามอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับค่าเอฟที จำนวน 3% รวมทั้งสิ้น (33 ความเห็น) เป็น 100%            นายมงคล พ่วงเภตรา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงสำหรับล่าสุดที่ กกพ. มีมติคงค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 คงเดิมที่ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วยแล้ว ทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เป็น 4.15 บาทต่อหน่วย เท่ากับค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน นั้นมองว่าเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับต้นทุนพลังงานที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่เซอร์ไพร์ตลาดอะไรมากนัก แต่ก็สร้าง positive sentiment ให้โรงไฟฟ้า SPP เพราะกระทบ margin จำกัด ผ่อนคลายความกังวลระยะสั้น มีโอกาสเห็นการ rebound ของหุ้นที่เกี่ยวข้อง (BGRIM, GPSC)            อย่างไรก็ตามยังคงให้น้ำหนักการเข้ามาแทรกแซงค่าไฟจากภาครัฐอาจทำให้ค่าไฟฟ้าลดต่ำกว่านี้ (หากตัดการจ่ายคืนหนี้ EGAT และส่วนต่างมูลค่าก๊าซสามารถกดค่าไฟลงมาที่ระดับ 3.95 บาท หรือมากกว่าหากรัฐหาวิธีอื่นเพิ่มเติม) จึงยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อ (wait&see) โดยเรายังคงน้ำหนัการลงทุนกลุ่มไฟฟ้า “เท่ากับตลาด”            ทั้งนี้เลือก BGRIM เป็นหุ้นแนะนำเก็งกำไรระยะสั้น เพราะราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาเยอะ และมีสัดส่วนลูกค้านิคมอุตสาหกรรมด้วย ทำให้ได้ประโยชน์จากการลดความกดดัน ประเมินราคาเป้าหมาย 20 บาท

BGRIM ชูนวัตกรรมประหยัดพลังงาน ภายในงาน NOVA Expo 2025

BGRIM ชูนวัตกรรมประหยัดพลังงาน ภายในงาน NOVA Expo 2025

          บี.กริม เทคโนโลยี หรือ BGRIM ตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านนวัตกรรมและความยั่งยืนด้วยการนำเสนอโซลูชันประหยัดพลังงาน หลากหลายรูปแบบ สำหรับโครงการอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์ ในงาน NOVA Expo 2025 ซึ่งจัดขึ้นที่ ศูนย์นิทรรศการ และ การประชุมไบเทค บางนา โดยบูธของ บี.กริม เทคโนโลยี ได้รับความสนใจ จากผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน คู่ค้า และ ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมมากมาย ที่ต้องการสัมผัสกับความก้าวหน้าล่าสุด ของเทคโนโลยีสีเขียว           บี.กริม เทคโนโลยี ได้นำเสนอโซลูชันล้ำสมัยที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดต้นทุนการดำเนินงาน และสนับสนุนให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน โดยไฮไลต์สำคัญประกอบด้วย: โซลูชันเพิ่มประสิทธิภาพระบบปรับอากาศ (HVAC Energy Efficient Solutions) – เทคโนโลยี ปรับปรุงระบบเครื่องทำความเย็นเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงาน โซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Rooftop Solutions) – ระบบพลังงานสะอาดที่พร้อมให้บริการทั้งในรูปแบบสัญญาการซื้อขายไฟฟ้า (PPA) หรือรูปแบบการซื้อขาด (EPC) เพื่อตอบโจทย์ ทุกความต้องการ โซลูชันแสงสว่างเปลือกอาคาร (Facade Lighting) – ระบบไฟอัจฉริยะประหยัดพลังงาน ที่ช่วยเพิ่มความสวยงาม ฟังก์ชั่นการใช้งาน และมูลค่าให้กับอาคารเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม           นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เน้นย้ำถึงบริการรับประกันประสิทธิภาพระบบเครื่องทำความเย็น (Chiller Plant Efficiency Guarantee) และเครื่องส่งลมเย็นรุ่นใหม่ล่าสุด Carrier Smart AHU (Dedicated Outdoor Air Unit - DOAU) ซึ่งเป็นสองนวัตกรรมสำคัญที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการทำความเย็น รวมถึงลดผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ           นายอานนท์ กุลวงษ์วาณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.กริม เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำด้านโซลูชันเพื่อการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ บี.กริม เทคโนโลยี มุ่งมั่นที่จะนำเสนอนวัตกรรมที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจและอาคารสู่อนาคต โดยเราให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการประหยัดพลังงาน และการใช้พลังงานสะอาด เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนลดต้นทุนในการดำเนินงาน พร้อมส่งเสริมความยั่งยืนด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมโดยรวม เป้าหมายเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันสำคัญในการปฏิรูปอุตสาหกรรมและ สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองวิสัยทัศน์ดังกล่าว บี.กริม เทคโนโลยี จึงได้พัฒนาหลากหลายโซลูชันเพื่อความยั่งยืนที่ให้บริการแบบครบวงจร (One-Stop Service) ครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ จัดหา ติดตั้งไปจนถึงการบำรุงรักษา เพื่อมอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ และตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า”           ตลอดระยะเวลาสามวันของการจัดงาน บี.กริม เทคโนโลยี เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสกับโซลูชันที่เปลี่ยนแปลงวงการอย่างใกล้ชิด หนึ่งในความสำเร็จสำคัญในงานนี้คือการที่ บี.กริม เทคโนโลยี ได้รับรางวัล Green Booth Award ซึ่งมอบให้กับผู้จัดแสดงที่ใช้วัสดุยั่งยืนและปฏิบัติตามแนวทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการออกแบบบูธ รางวัลนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและนวัตกรรมสีเขียว ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านโซลูชันอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://bgrimmtechnologies.com/ [PR News]

4 หุ้นรับอานิสงส์ หลังปรับลดราคาน้ำมัน เช็กเลย!

4 หุ้นรับอานิสงส์ หลังปรับลดราคาน้ำมัน เช็กเลย!

              หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี จับตา กบน. มีมติปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ราคาขายปลีกกลุ่ม น้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล ลง 1 บาท/ลิตร การปรับลดราคาดังกล่าวจะดำเนินการเป็น 2 ระยะครั้งละ 50 สตางค์/ลิตร ได้แก่ ครั้งที่ 1 วันที่ 28 มี.ค.25 และครั้งที่ 2 วันที่ 4 เม.ย.25 ประเมินบวกต่อ หุ้น Domestic ที่กำลังซื้อดีขึ้น อาทิ ค้าปลีก เน้นกลุ่มสินค้าจำเป็น CPALL, CPAXT สถานีบริการ น้ำมัน คาดปริมาณใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น OR, PTG

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

BGRIM มาแบบเงียบๆ  เริ่มCOD14เมกะวัตต์ที่ญี่ปุ่น

BGRIM มาแบบเงียบๆ เริ่มCOD14เมกะวัตต์ที่ญี่ปุ่น

              หุ้นวิชั่น- BGRIM เดินหน้าพลังงานสีเขียวข้ามชาติ  ล่าสุด การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 14 เมกะวัตต์ในประเทศญี่ปุ่น               ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ("บี.กริม เพาเวอร์") หรือ BGRIM แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า  Odakura Kuchinashi Solar Park LLC บริษัทย่อยที่ Lohas ECE Spain Gifu Co., Ltd. ถือหุ้นทั้งหมด ประสบความสำเร็จในการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 14 เมกะวัตต์ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568               โดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตนิชิชิราคาวะ จังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น และดำเนินงานภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Sale Agreement) กับ Tohoku Electric Power Corporation กำลังการผลิตตามสัญญา 10 เมกะวัตต์ (MWac) ด้วยอัตรารับซื้อไฟฟ้าแบบ Feed-in-Tariff (FiT) ที่ 24 เยนต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 16 ปี               บี.กริม เพาเวอร์ ยังคงเดินหน้าขยายพอร์ตการลงทุนโครงการพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่องในประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สหรัฐอเมริกา ประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ยุโรป และตะวันออกกลาง พร้อมมุ่งหาโอกาสการลงทุนในประเทศที่มีการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตของบี.กริม เพาเวอร์

BGRIM เซ็น MOU ภูฏาน ชูหลักการ GNH ปรับใช้ในองค์กร

BGRIM เซ็น MOU ภูฏาน ชูหลักการ GNH ปรับใช้ในองค์กร

          เจ้าหญิงเคเซง โชเดน วังชุก แห่งศูนย์ความสุขมวลรวมประชาชาติ ประเทศภูฏาน (Gross National Happiness Centre Bhutan) ร่วมกับ ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม (BGRIM) และ คุณคาโรลีน ลิงค์ ประธานกรรมการ บริษัท บี.กริม จอยน์ เว็นเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ต่อยอดความร่วมมือเพื่อส่งเสริมและสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการนำหลักการของความสุขมวลรวมประชาชาติมาปรับใช้ในวัฒนธรรมองค์กร เสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดี และสนับสนุนการมีส่วนร่วมที่มีคุณค่า เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568           ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม เปิดเผยว่า บี.กริม องค์กรที่รับใช้และเติบโตเคียงข้างประเทศไทย มายาวนานกว่า 147 ปี ภายใต้วิสัยทัศน์ การดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี มีความมุ่งมั่นในการนำแนวทาง“ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Happiness - GNH) มาปรับใช้ในวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมด้านความโอบอ้อมอารี รวมถึง “หลักเศรษฐกิจพอเพียง” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงส่งเสริม โดยนำมาบูรณาการให้เข้ากับบริบททางธุรกิจ พร้อมมุ่งสู่การดำเนินธุรกิจและพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน           ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ ซึ่งมีกำหนดระยะเวลา 2 ปี บี.กริม มุ่งมั่นในการแลกเปลี่ยนความรู้ พัฒนาโครงการที่สอดคล้องกับค่านิยมของ GNH พร้อมดำเนินโครงการที่ส่งเสริมการพัฒนาตนเองทั้งในด้านอาชีพและชีวิตส่วนตัว โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ สร้างผลกระทบเชิงบวกภายในองค์กร และขยายผลไปสู่สังคมในวงกว้าง ในการเป็นผู้นำด้วยความโอบอ้อมอารี และการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม           ตลอดเวลากว่า 147 ปี บี.กริม ยึดหลักการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี ความร่วมมือนี้เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นดังกล่าว เพื่อสร้างความตระหนักรู้คุณค่าและความสุขของพนักงาน และสร้างประโยชน์ที่ยั่งยืนให้แก่สังคม

BGRIM ปักเป้ารายได้ปี 68 โต 15%  ทุ่มงบ 1.2 หมื่นลบ. เจรจาดีล M&A ต่างประเทศ

BGRIM ปักเป้ารายได้ปี 68 โต 15% ทุ่มงบ 1.2 หมื่นลบ. เจรจาดีล M&A ต่างประเทศ

          หุ้นวิชั่น - BGRIM ปักหมุดรายได้ปี 2568 โต 10-15% รับรู้รายได้จากโครงการพลังงานลมในพอร์ต เดินหน้าโครงการพลังงานทดแทน 605 เมกะวัตต์ ตั้งงบลงทุน 10,000-12,000 ล้านบาท พร้อมหา Strategic Partner ลด D/E และปิดดีล M&A 1-2 ดีลในปีนี้ เน้นขยายการลงทุนพลังงานทดแทนในต่างประเทศ           นางสาวศิริวงศ์ บวรบุญฤทัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร งานการเงินและบัญชี บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า สำหรับปีนี้คาดว่ารายได้จะเติบโต 10-15% โดยจะมารับรู้รายได้โครงการใหม่ๆ ที่เข้ามาสบับสนุน ทั้งโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการพลังงานลมที่ประเทศเกาหลีเป็นต้น           อีกทั้งยังมี โครงการต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และจะ COD ในช่วงปีนี้ ถึงต้นปีหน้า กำลังการผลิตติดตั้งรวมกว่า 605 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม KOPOS 20 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อู่ตะเภา 18 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “อินทรี บี.กริม” ในประเทศไทย 80 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “จงเช่อ รับเบอร์” ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง 35 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “386” ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และราชอาณาจักรบาห์เรน 27.5 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง “Nakwol” ในสาธารณรัฐเกาหลี 365 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “ARECO” ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ 65 เมกะวัตต์           อีกทั้งปีนี้ คาดว่าจะเห็นการเซ็นสัญญาพร้อมตั้งเป้าเพิ่มลูกค้า IUs รายใหม่ เชื่อมเข้าระบบรวม 40-50 เมกะวัตต์ โดยในส่วนนี้จะมีลูกค้าทีเป็นกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ ด้วย ซึ่งธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์เป็นอีกกลยุทธ์ที่บริษัทให้ความสำคัญ เพราะนอกเหนือจากการขายไฟฟ้าให้ลูกค้ากลุ่มนี้ บริษัทยังเจรจาธุรกิจกับพันธมิตรในการเข้าไปลงทุนทำดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย ปัจจุบันมีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ แต่การสร้างใช้ระยะเวลา 1-2 ปีในการก่อสร้างและ รายได้จะเข้ามาหลังจากการเปิดดำเนินการ           พร้อมกันนี้ยังคาดการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับ SPP อยู่ที่ 320-350 บาทต่อล้าน BTU ซึ่งอยู่ในช่วงเดียวกับปี 2567 ที่ราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 324 บาทต่อล้าน BTU โดยวางแผนนำเข้า LNG ไม่เกิน 5 ลำ เพื่อนำเข้าสู่ระบบ Pool Gas และบริษัทมีการวางแผนในการบริหารลดความเสี่ยงความผันผวนค่าก๊าซธรรมชาติ โดยได้มีความพยายามในทุกส่วน ทั้งการคุยกับภาครัฐ การชี้แจงเรื่องต่างๆ รวมไปถึงการ นำเข้า LNG ทำให้ช่วยบริหารลดต้นทุนแก๊สได้บางส่วน ในส่วนของการบริหารจัดการด้านรายได้และความสัมพันธ์กับลูกค้า บริษัทได้เริ่มเจรจากับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความต้องการใช้พลังงานสูงและต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้เตรียมแผนสำหรับการเจรจากับลูกค้าที่กำลังจะหมดอายุสัญญา เพื่อปรับปรุงเงื่อนไขการซื้อขายพลังงานให้เหมาะสมกับต้นทุนและสภาวะตลาดในปัจจุบัน โดยแนวทางนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิม และขยายตลาดไปสู่ลูกค้าใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ           สำหรับเงินลงทุนปี 2568 บริษัทตั้งไว้ที่ 10,000-12,000 ล้านบาท ใช้สำหรับการลงทุนโครงการในแผน เช่นโครงการที่ประเทศเกาหลี ประเทศ ฟิลิปปินส์ และโอกาสซื้อกิจการ(M&A) เป็นต้น ขณะเดียวกันก็มองแนวทางการลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) โดยอยู่ระหว่างการหาStrategic Partner คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในครึ่งปีแรก 2568 ซึ่งเชื่อว่าพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมลงทุนก็จะสามารถต่อยอดต่อไป ทั้งนี้ปีนี้คาดว่าจะสามารถปิดดีล M&A ได้ 1-2 ดีล โดยเน้นการลงทุนโครงการพลังงานทดแทนในต่างประเทศ

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

BGRIM กำไร 67 แกร่งที่ 2,227 ล้านบาท  ปรับเพิ่มนโยบายการจ่ายเงินปันผล

BGRIM กำไร 67 แกร่งที่ 2,227 ล้านบาท ปรับเพิ่มนโยบายการจ่ายเงินปันผล

          ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด  (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2567 เติบโตต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NNP) – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 2,227 ล้านบาท เติบโต 5.8% และ EBITDA ที่ 14,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ซึ่งเป็นกำไรที่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง และรายการที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ จะอยู่ที่ 1,557 ล้านบาท           การเติบโต ดังกล่าว มาจากปัจจัยหลัก ได้แก่ ปริมาณขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพิ่มขึ้น 10.8% จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้า SPP 3 โครงการ ในเดือนมีนาคม, ตุลาคม และธันวาคม 2566 รวมกำลังผลิต 420 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากราคาเฉลี่ยก๊าซธรรมชาติที่ลดลง 14.2% และปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม (IUs) ในประเทศเวียดนามเติบโตขึ้น 6.4% เทียบจากปีก่อน รวมถึงรายได้การให้บริการที่สูงขึ้นจากการพัฒนาโครงการ และปริมาณขายไอน้ำในประเทศไทยที่เติบโตขึ้น 19.1% เทียบจากปี 2566 ตามการขยายกำลังการผลิตของลูกค้าเดิม และความต้องการที่เพิ่มขึ้น           ตลอดปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ มีความมุ่งมั่นในการขยายพอร์ตด้านพลังงานหมุนเวียน ด้วยการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งไทยและต่างประเทศ โดยได้ขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนรวม 1,345 เมกะวัตต์ (Committed) ประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง จำนวน 740 เมกะวัตต์ในสาธารณรัฐเกาหลี, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา 33.7 เมกะวัตต์ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และราชอาณาจักรบาห์เรน, โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 29.9 เมกะวัตต์ในประเทศสหรัฐอเมริกา, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 65 เมกะวัตต์ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน กำลังผลิตติดตั้งรวม 476.3 เมกะวัตต์ในประเทศไทย (รวมโครงการที่ได้รับการคัดเลือกภายใต้โครงการพลังงานหมุนเวียนของรัฐบาล) นอกจากนี้ ได้เข้าลงทุนใน Nemaroo Bimbi Wind Farm Pty. Ltd. ในประเทศออสเตรเลีย และ LT09 S.r.I. ในสาธารณรัฐอิตาลี เพื่อพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน รวมถึงได้ร่วมมือกับกรีนเนอร์ยี่ และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น เพื่อพัฒนาพลังงานหมุนเวียนด้วยเช่นกัน           ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 4/2567 บี.กริม เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จในหลากหลายด้าน อาทิ การได้รับคัดเลือกเป็นผู้ผลิตและขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้กับรัฐบาลตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ขนาดโครงการรวม 60.90 เมกะวัตต์ โดยกำหนดเปิด COD ช่วงปี 2571-2573 นอกจากนี้ บริษัท บี.กริม โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟท็อป จำกัด (บริษัทย่อย) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ยังได้ลงนามในสัญญาจ้างงานตามโครงการจัดการพลังงานไฟฟ้าจากระบบผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ กำลังติดตั้ง 10.26 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 25 ปี มีกำหนดเปิด COD ช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2569 ขณะเดียวกัน บริษัท บี.กริม แอลเอ็นจี ยังได้นำเข้า LNG จำนวน 2 ลำ ในเดือนตุลาคม และธันวาคม โดยปี 2567 นำเข้าทั้งสิ้น 3 ลำ รวมจำนวนประมาณ 198,000 ตัน เข้าสู่ระบบ Pool Gas เพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมของ บี.กริม เพาเวอร์ ต่อไป           สำหรับแผนดำเนินงานในปี 2568 บี.กริม เพาเวอร์ คาดการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับ SPP อยู่ที่ 320-350 บาทต่อล้าน BTU ซึ่งอยู่ในช่วงเดียวกับปี 2567 ที่ราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 324 บาทต่อล้าน BTU โดยวางแผนนำเข้า LNG ไม่เกิน 5 ลำ เพื่อนำเข้าสู่ระบบ Pool Gas พร้อมตั้งเป้าเพิ่มลูกค้า IUs รายใหม่ เชื่อมเข้าระบบรวม 40-50 เมกะวัตต์ โดยขณะนี้ยังมีโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และจะ COD ในช่วงปีนี้ ถึงต้นปีหน้า กำลังการผลิตติดตั้งรวมกว่า 605 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม KOPOS 20 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อู่ตะเภา 18 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “อินทรี บี.กริม” ในประเทศไทย 80 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “จงเช่อ รับเบอร์” ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง 35 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “386”  ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และราชอาณาจักรบาห์เรน 27.5 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง “Nakwol” ในสาธารณรัฐเกาหลี 365 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “ARECO” ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ 65 เมกะวัตต์           ตลอดปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ มีความโดดเด่นในด้าน ESG โดยได้รับคัดเลือกให้อยู่ในเรตติ้งสูงสุด “AAA” จาก SET ESG Ratings และติดอันดับ The Sustainability Yearbook 2025 โดย S&P Global ด้วยคะแนนสูงสุด 5% แรกของอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังได้รับการประเมิน MSCI ESG Rating ในระดับ BBB จาก MSCI ESG Research และคะแนน CGR ในระดับ “ดีเลิศ” จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย รวมทั้งได้รับคัดเลือกเข้าเป็นสมาชิก FTSE4Good Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการเติบโตอย่างยั่งยืน และการกำกับดูแลกิจการที่ดี พร้อมกันนี้ ยังได้รับการยอมรับด้านความเป็นผู้นำและนักลงทุนสัมพันธ์ โดยได้รับ 4 รางวัล จากงานประกาศรายชื่อสุดยอดบริษัทแห่งเอเชีย ประจำปี 2567 จัดโดย FinanceAsia ประกอบด้วย “รางวัลผู้นำองค์กรที่ดีที่สุด” “รางวัลบริษัทที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้หลัก ESG” “รางวัลผู้บริหารการเงินที่ดีที่สุด” “รางวัลนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม” อีกทั้งได้รับรางวัล Outstanding CFO และ Outstanding IR จากเวที IAA Awards ประจำปี 2567 รวมถึงได้รับรางวัล Outstanding Investor Relations ในงาน SET Awards 2024 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้วยความโปร่งใสและการสื่อสารกับนักวิเคราะห์ และนักลงทุนสถาบันอย่างมีประสิทธิภาพ           จากความสำเร็จทั้งหมดในรอบปีที่ผ่านมา และความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มผลประกอบการ ตอกย้ำความเชื่อมั่นในการบริหารสภาพคล่องและความมุ่งมั่นในนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ยั่งยืน ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ในการสร้างมูลค่าสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท จึงมีมติอนุมัติปรับนโยบายการจ่ายเงินปันผลเป็นอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน และเสนอจ่ายเงินปันผลต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีในเดือนเมษายน 2568 ในอัตราหุ้นละ 0.43 บาท สำหรับปี 2567 ประกอบด้วยเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท และเงินปันผลจ่ายงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท

BGRIM ผนึก ซีเมนส์ ลุยโซลูชันขั้นสูง รองรับธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์

BGRIM ผนึก ซีเมนส์ ลุยโซลูชันขั้นสูง รองรับธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ ประเทศไทย – บริษัท บี.กริม เทคโนโลยี จำกัด และ บริษัท ซีเมนส์ จำกัด ประกาศการลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อร่วมกันพัฒนาโซลูชันล้ำสมัย รองรับความต้องการของธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์ในประเทศไทย           ความร่วมมือครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะนำจุดแข็งของทั้งสองบริษัทมาผสานเข้าด้วยกัน ซึ่ง บี.กริม เทคโนโลยี มีความเชี่ยวชาญด้านโซลูชันเพื่อการประหยัดพลังงานที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม และซีเมนส์ที่เป็น ผู้นำด้านโซลูชันระบบไฟฟ้าและระบบอัตโนมัติ โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมกันสร้างโซลูชันขั้นสูงสำหรับโครงสร้าง พื้นฐานเพื่อการปฏิบัติการ (Operational Technology) ที่สามารถตอบสนองความต้องการด้านพลังงาน และการระบายความร้อนภายในดาต้า เซ็นเตอร์ยุคใหม่ที่มีการประมวลผลสูง ความร่วมมือครั้งสำคัญ ยกระดับดาต้า เซ็นเตอร์ในประเทศไทย           นายอานนท์ กุลวงษ์วาณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.กริม เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า บี.กริม เทคโนโลยี รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ ซีเมนส์ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพ ความเสถียรในการ ดำเนินงาน และความยั่งยืนให้แก่โครงการดาต้า เซ็นเตอร์ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบระบาย ความร้อนซึ่งเป็นระบบหลักที่ใช้พลังงานเป็นอย่างมากในดาต้า เซ็นเตอร์ การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ HVAC จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน (Power Usage Effectiveness - PUE)           “เราทั้งสองบริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างมาตรฐานใหม่เพื่อดำเนินงานดาต้า เซ็นเตอร์อย่างยั่งยืนด้วยการ ผสานความเชี่ยวชาญของ บี.กริม เทคโนโลยี ในด้านระบบ HVAC ที่ประหยัดพลังงานและโซลูชันด้าน พลังงานที่ยั่งยืน เข้ากับความเชี่ยวชาญของ ซีเมนส์ ในด้านโซลูชันระบบไฟฟ้าและระบบอัตโนมัติ” นายอานนท์ กล่าว           ทั้งนี้ เนื่องจากความต้องการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลมีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การลดการใช้ พลังงานโดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพในการดำเนินงานของดาต้า เซ็นเตอร์ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันสร้างโซลูชันดาต้า เซ็นเตอร์ ที่ไม่เพียงช่วยสนับสนุนการพัฒนาระบบ ดิจิทัลของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนในระดับโลกอีกด้วย โซลูชันครบวงจรของซีเมนส์ พร้อมรองรับ “ดาต้า เซ็นเตอร์” ยุคใหม่           ด้านนายรอส คอนลอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเมนส์ จำกัด เปิดเผยว่า “ซีเมนส์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการร่วมมือกับ บี.กริม เทคโนโลยี เพื่อเสริมขีดความสามารถของดาต้า เซ็นเตอร์ ในประเทศไทย ด้วยโซลูชันระบบไฟฟ้าที่หลากหลายและครอบคลุมของเรา ทั้งโซลูชันสำหรับกระแสไฟฟ้า แรงดันสูง ไปจนถึงสำหรับกระแสไฟฟ้าแรงดันปานกลางและต่ำ ที่จะช่วยให้การจ่ายพลังงานไฟฟ้าเป็นไปได้ อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เมื่อประกอบกับโซลูชันที่ทรงประสิทธิภาพในการจัดการอาคาร ทำให้บริษัทฯสามารถให้บริการระบบแบบบูรณาการที่ช่วยให้ดาต้า เซ็นเตอร์ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและคงไว้ซึ่งความเสถียรในการปฏิบัติการ”           ปัจจุบัน โซลูชันขั้นสูงของซีเมนส์ได้มีส่วนสนับสนุนเป้าหมายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเป้าหมายในการขยายบริการของ ดาต้า เซ็นเตอร์ทั่วโลก ซีเมนส์มีความมุ่งมั่น ที่จะร่วมมือกับ บี.กริม เทคโนโลยี ในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงด้านพลังงานและการระบายความร้อน มาตอบโจทย์ความท้าทายของดาต้า เซ็นเตอร์ยุคใหม่ที่ต้องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด บี.กริม-ซีเมนส์ ผนึกกำลังสร้างโซลูชันขั้นสูง               ทั้งนี้ ทั้งสองบริษัทจะร่วมกันสร้างโซลูชันขั้นสูงสำหรับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการปฏิบัติการ (Operational Technology) ที่สามารถตอบสนองความต้องการด้านพลังงานและการระบายความร้อนภายใน ดาต้า เซ็นเตอร์ที่มีการประมวลผลสูง ซึ่งความร่วมมือของทั้งสองบริษัทจะนำมาซึ่งโซลูชันที่ไม่เคยมีมาก่อน สำหรับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการปฏิบัติการสำหรับดาต้า เซ็นเตอร์ที่นำสมัยในประเทศไทย รวมทั้งช่วยให้ธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการบำรุงรักษาได้ พร้อมทั้งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมาก           ทั้ง บี.กริม เทคโนโลยี และ ซีเมนส์ มีความมุ่งมั่นอย่างยิ่ง ที่จะให้การผนึกกำลังในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จ ทั้งในด้านการพัฒนาและการใช้งานโซลูชันขั้นสูงดังกล่าว ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพของ ดาต้า เซ็นเตอร์ในประเทศไทยได้อย่างมาก และเพื่อเป็นแนวทางก้าวไปสู่การดำเนินการ ดาต้า เซนเตอร์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://bgrimmtechnologies.com/ https://www.siemens.com/

BGRIM จับมือ เอ็นเอส บลูสโคป ติดตั้งโซลาร์ฟาร์ม หนุนอุตสาหกรรมใช้พลังงานสะอาด

BGRIM จับมือ เอ็นเอส บลูสโคป ติดตั้งโซลาร์ฟาร์ม หนุนอุตสาหกรรมใช้พลังงานสะอาด

          บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอ็นเอส บลูสโคป (ประเทศไทย) จำกัด ลงนามความร่วมมือ พัฒนาโครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ บนพื้นเรียบ (Ground Mounting Solar) กำลังการผลิต 12 เมกะวัตต์ หรือ เทียบเท่าการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกสูงสุดประมาณ 9000 ตันต่อปี เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยโครงการดังกล่าวจะแล้วเสร็จพร้อมจ่ายไฟเข้าระบบภายในกลาง ปี 2569 โดยมี นายนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศไทยและโซลูชั่นธุรกิจอุตสาหกรรม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และ นายยาน ซู ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นเอส บลูสโคป (ประเทศไทย) จำกัด และ เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงครั้งสำคัญ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่อนาคตพลังงานสะอาด และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระดับประเทศ           นายนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศไทยและโซลูชันธุรกิจอุตสาหกรรม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการผสานจุดแข็งของ บี.กริม เพาเวอร์ ในฐานะผู้นำด้านโซลูชันพลังงานครบวงจร ที่สามารถให้บริการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพสูงแก่ลูกค้าอุตสาหกรรม โดย บี.กริม เพาเวอร์ นำเสนอโซลูชันพลังงานที่ล้ำสมัยผสมผสานกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) เข้ากับการจ่ายพลังงานจาก โรงไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่น (Cogeneration) ขนาดกำลังการผลิต 280 เมกะวัตต์ที่มีเสถียรภาพสูง และพลังงานหมุนเวียนขนาดการผลิต 12 เมกะวัตต์เพื่อช่วยให้ เอ็นเอส บลูสโคป และลูกค้าในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม สามารถลดค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor) พร้อมสนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net-Zero Emissions ได้อย่างเป็นรูปธรรม           “วันนี้ บี.กริม เพาเวอร์ พร้อมก้าวสู่บทบาท Energy Aggregator อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงพลังงานสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและต้นทุนที่แข่งขันได้ เรามุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีดิจิทัล และAI มาผสานเข้ากับระบบพลังงาน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและเสถียรภาพให้กับระบบไฟฟ้า พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายและโครงการส่งเสริมจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการประมูลพลังงานหมุนเวียน ตลาดซื้อขายพลังงาน หรือโครงการสนับสนุนพลังงานสะอาดต่างๆ” นายนพเดช กล่าว           ความร่วมมือในครั้งนี้ ยังถือเป็นความก้าวหน้าในแวดวงพลังงานหมุนเวียนของประเทศไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน พร้อมสนับสนุนการใช้พลังงานที่มีเสถียรภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “GreenLeap – Global and Green” และวิสัยทัศน์ “สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี” (Empowering the World Compassionately) ของ บี.กริม เพาเวอร์ ที่มุ่งเพิ่มฐานลูกค้าและพันธมิตรในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน พร้อมมุ่งสู่ตลาดพลังงานที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั่วโลก เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป โดยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 50% ในปี 2573 เพื่อก้าวสู่เป้าหมายองค์กรที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Net-Zero Carbon Emissions ภายในปี ค.ศ. 2050 (ปี พ.ศ. 2593)           นายยาน ซู ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นเอส บลูสโคป (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาวของ เอ็นเอส บลูสโคป ที่มุ่งเน้นการเข้าสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2050 ผ่านการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน โดยมีการดำเนินการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์แบบ Ground Mounting เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดในโรงงานและลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล อีกทั้งยังเป็นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และความร่วมมือในการจัดหาพลังงานไฟฟ้าและไอน้ำจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม จาก บี.กริม เพาเวอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานที่มีเสถียรภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือระหว่าง บี.กริม เพาเวอร์ และ เอ็นเอส บลูสโคป ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึง การดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืน หลังจากนี้ เอ็นเอส บลูสโคป และ บี.กริม เพาเวอร์ พร้อมผนึกความร่วมมือและนวัตกรรมต่าง ๆ ในโครงการทางด้านพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ เพื่อพัฒนาพลังงานสะอาดเพื่ออนาคตที่ยั่งยื่นต่อไป [PR News]

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

BGRIM ส่งมอบ RECs ให้แก่ บลจ.กสิกรไทย

BGRIM ส่งมอบ RECs ให้แก่ บลจ.กสิกรไทย

          หุ้นวิชั่น - บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด มหาชน ผู้นำด้านพลังงานและโซลูชันพลังงานหมุนเวียน ร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เดินหน้าสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดผ่านการซื้อ Renewable Energy Certificates (RECs) ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน           คุณ คุณนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศไทยและโซลูชั่นธุรกิจอุตสาหกรรม บริษัทบี.กริม เพาเวอร์ กล่าวว่า "เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน และภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนของ บลจ.กสิกรไทย ความร่วมมือครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างระบบพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในประเทศไทย"           บลจ.กสิกรไทย ในฐานะผู้นำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน ยังคงให้ความสำคัญกับแนวทาง ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) โดยการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ลงทุน การจับมือกับ บี.กริม เพาเวอร์ ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความตั้งใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 2) และส่งเสริมพลังงานสะอาดให้เติบโตในภาคธุรกิจไทย           คุณวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน ของ บลจ.กสิกรไทย กล่าวเสริมว่า "การใช้ Renewable Energy Certificates (RECs) เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของเราในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะช่วยผลักดันภาคธุรกิจไทยให้ก้าวไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง" ความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กรในครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาด เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย

BGRIM ปรับสัดส่วนถือหุ้น ABVN เหลือ 75% หลัง อมตะ วีเอ็น เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน

BGRIM ปรับสัดส่วนถือหุ้น ABVN เหลือ 75% หลัง อมตะ วีเอ็น เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน

          บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (“บี.กริม เพาเวอร์”) หรือ BGRIM  ขอเรียนให้ทราบว่า Amata B.Grimm Power Vietnam Company Limited (“ABVN”) ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา และถือหุ้นโดยบริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (“อมตะ บี.กริม เพาเวอร์”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบี.กริม เพาเวอร์ ในสัดส่วนร้อยละ 100.0 ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 25,621,933,333 เวียดนามดอง (เทียบเท่ามูลค่าประมาณ 33.817 ล้านบาท) โดยอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ ได้สละสิทธิ์การจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน ขณะที่บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) (“อมตะ วีเอ็น”) ได้เข้าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมด ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นใน ABVN ของอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ ภายหลังการเพิ่มทุนจดทะเบียน ลดลงจากเดิมร้อยละ 100.0 เป็นร้อยละ 75.0

BGRIM ติด S&P Global Sustainability Yearbook 2025 ต่อเนื่องปีที่ 4

BGRIM ติด S&P Global Sustainability Yearbook 2025 ต่อเนื่องปีที่ 4

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ 17 กุมภาพันธ์ 2568: บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนด้วยการได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิก S&P Global Sustainability Yearbook 2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 พร้อมยกระดับสู่กลุ่ม Top 5% ของอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคไฟฟ้า จากระดับ Top 10% ในปีก่อนหน้า สะท้อนถึงการยอมรับในระดับสากลตลอดจนการยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) อย่างต่อเนื่อง           ภายใต้ปรัชญาการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารีของ บี.กริม ซึ่งยึดถือมาตลอด 147 ปี บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ควบคู่กับการลงทุนในพลังงานสะอาด เสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ภาคอุตสาหกรรม พร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน รวมถึงพัฒนาโซลูชั่นด้านพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร และปรับปรุงกระบวนการผลิตพลังงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน และการส่งเสริมการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ด้วยแนวทางการดำเนินธุรกิจบนรากฐานของความยั่งยืน บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับการยอมรับจากผู้ประเมินทั้งในระดับประเทศและระดับสากล โดยได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ระดับสูงสุด AAA ประจำปี 2567 พร้อมครองอันดับหุ้นยั่งยืนเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงได้รับคัดเลือกให้อยู่ในดัชนี FTSE4Good Index Series ด้วยคะแนน 4.5 จาก 5 คะแนน และคะแนนเต็ม 5 ในมิติธรรมาภิบาล ทั้งนี้ บี.กริม เพาเวอร์ ยังคงมุ่งมั่นผสานความยั่งยืนเข้ากับการดำเนินงาน สร้างสมดุลระหว่างคุณค่าทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม เสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ พร้อมเดินหน้าบรรลุเป้าหมายการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2593

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

9 หุ้นแกร่ง ลุ้นรีบาวน์แรง รับ Cover Short

9 หุ้นแกร่ง ลุ้นรีบาวน์แรง รับ Cover Short

หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี ระบุ บรรยากาศลงทุน SET ที่เริ่มฟื้นตัวจากโซนลงทุน จากความคาดหวังเชิงบวกการกลับมาDomestic Long Term Fund ประเมินมีหุ้นอีกชุด Underperform SET และถูก Short สูงมีโอกาสรีบาวน์แรงจากการเร่ง Cover Short ภายใต้เกณฑ์ ผลตอบแทน YTD เคลื่อนไหว Underperform SET100 ที่ YTD ให้ผลตอบแทน -7.3% ยอด Short Sales สูงกว่าค่าเฉลี่ยหุ้นใน SET100 ที่ 0.64% ของทุนชำระแล้ว อิงเกณฑ์ดังกล่าว ผสาน องค์ประกอบที่เป็นหุ้นที่มีความแข็งแกร่งระดับหนึ่งในทางพื้นฐานและมีปัจจัยหนุนรออยู่ ได้ 9 บริษัทที่เหมาะกับการลงทุนลุ้นรีบาวน์แรงดังนี้           BGRIM (YTD -32.8%, Short Sales 1.19%) กระแสเทคโนโลยีระยะนี้กลับมาเด่น คาดมีโอกาสหนุนหุ้นโรงไฟฟ้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลัก           OSP (YTD -27.9%, Short Sales 1.51%) เตรียมรับช่วงหน้าร้อน มี.ค.- เม.ย.68           SPRC (YTD -22.9%, Short Sales 1.59%) ค่าการกลั่นเช้าวันนี้เร่งขึ้นสู่ 4.07 เหรียญฯ +22.6%d-d           JMT (YTD -21.98%, Short Sales 0.97%) งบ 4Q24 มีสัญญาณ Cash Collection ฟื้นตัว q-q           BANPU (YTD -21.7%, Short Sales 1.26%) มีโอกาสได้รับประโยชน์ทางบวกธุรกิจในสหรัฐฯ           COM7 (YTD -17.3%, Short Sales 0.78%) คาดยอดจับจ่ายปลายปี-ต้นปีคึกคักต่อเนื่องตามฤดูกาล + มาตรการกระตุ้นรัฐฯ           WHA (YTD -16%, Short Sales 1.13%) หุ้นนิคมมีสัญญาณบวก FDI เร่งต่อเนื่อง ผสาน จิตวิทยาบวก Trade Tension เข้ามาเป็นระยะๆ           BH(YTD -12.3%, Short Sales 1.1%) ภาพใหญ่สังคมสูงวัยไม่เปลี่ยน ขณะที่หุ้นถูกกดันจากปัจจัยลบชั่วคราว           KCE (YTD -11.8%, Short Sales 2.15%) แรงกดดันอุตสาหกรรมยานยนต์บรรเทาลง โดยเฉพาะล่าสุดภาษีเท่าเทียม เตรียมยกเว้นสินค้ายา+ยานยนต์ เชิงกลยุทธ์ แนะนำเก็งกำไรหุ้นชุดดังกล่าว BGRIM, OSP, SPRC, JMT, BANPU, COM7, WHA ,BH, KCE ลุ้นรีบาวน์แรงจากการเร่ง Cover Short

บี.กริม เทคโนโลยี จับมือ John Cockerill Hamon บุกตลาดคูลลิ่งทาวเวอร์ไทย

บี.กริม เทคโนโลยี จับมือ John Cockerill Hamon บุกตลาดคูลลิ่งทาวเวอร์ไทย

          บริษัท บี.กริม เทคโนโลยี จำกัด ผู้นำด้านระบบทางวิศวกรรมและโซลูชันเพื่อการประหยัดพลังงานในประเทศไทย ได้ลงนามในสัญญากับ บริษัท John Cockerill Hamon ผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชันการระบายความร้อนในภาคอุตสาหกรรม เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายและติดตั้งคูลลิ่งทาวเวอร์แบรนด์ HAMON® มุ่งขยายฐานลูกค้าทั้งในกลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซ โรงงานแปรรูปเคมี โรงกลั่นน้ำมัน และ ดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย           ทั้งสองบริษัทจะร่วมสร้างสรรค์กลยุทธ์ทางธุรกิจ เพื่อยกระดับโซลูชันขั้นสูงสำหรับการระบายความร้อน (Advanced Cooling Solutions) ในภาคอุตสาหกรรมของไทย โดยบริษัท John Cockerill Hamon นั้นเป็นบริษัทในกลุ่ม John Cockerill Group ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในระบบระบายความร้อนระดับโลก และมีธุรกิจในประเทศต่าง ๆ ถึง 29 ประเทศ           นายอานนท์ กุลวงษ์วาณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.กริม เทคโนโลยี จำกัด เปิดเผยว่า บี.กริม มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมลงนามในสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (Licensee Agreement) กับบริษัท John Cockerill Hamon เพื่อเป็นตัวแทนในการส่งมอบคูลลิ่งทาวเวอร์แบรนด์ HAMON® ในประเทศไทย ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้ บี.กริม สามารถส่งมอบโซลูชันที่ทันสมัย ด้วยคุณภาพมาตรฐานยุโรป ซึ่งใช้งานได้ยาวนานและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมไทย เรามุ่งมั่นที่จะให้บริการที่ดีที่สุดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของทุกกลุ่มธุรกิจได้อย่างเต็มที่ บี.กริม ได้รับสิทธิ์ในการออกแบบ การทำการตลาด และการดูแลบำรุงรักษาระบบระบายความร้อนที่เป็นนวัตกรรมขั้นสูง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและความเสถียรในการดำเนินงานของภาคอุตสาหกรรม           นายบากุส มาร์ดานันโต ผู้อำนวยการ บริษัท John Cockerill Hamon Indonesia กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่เรามีร่วมกันในด้านความยั่งยืนและประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินงาน ทีมงานของเราพร้อมที่จะทำงานร่วมกับ บี.กริม เทคโนโลยี อย่างใกล้ชิด เพื่อให้บริการแก่ภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย ความร่วมมือนี้ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มบริษัทของเราในตลาดการทำความเย็น ด้วยความเชี่ยวชาญของเราที่สอดคล้องกับธุรกิจด้านพลังงานของ บี.กริม นอกจากนี้ John Cockerill ยังมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านพลังงานคาร์บอนต่ำ และผู้นำด้านอุตสาหกรรมการผลิตที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย           บริษัท HAMON® ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2447 โดยมีความเชี่ยวชาญด้านโซลูชันการระบายความร้อน ทีมงานมากประสบการณ์ของ John Cockerill Hamon สามารถให้บริการออกแบบและจัดหาคูลลิ่งทาวเวอร์คุณภาพสูงได้อย่างครอบคลุม ทั้งระบบเปียก (wet cooling) และระบบเปียก-แห้ง (wet-dry cooling) คอนเดนเซอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศรวมถึงให้บริการระบบระบายความร้อนที่ติดตั้งอุปกรณ์เสริมเข้าไป จากการร่วมมือกันมากว่า 20 ปี ของ บี.กริม และ HAMON® ในนาม Hamon B.Grimm เราถือเป็นผู้นำด้านการผลิตชิ้นส่วนและติดตั้งคูลลิ่งทาวเวอร์ขนาดใหญ่ให้กับภาคอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมีในประเทศไทย โดยทั้งสองบริษัทมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโซลูชันระบบทำความเย็นที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสูงในประเทศไทยต่อไป

BGRIM ราคาหุ้นมีอัพไซด์ คาดกำไรไตรมาส1/68 ที่ 400ล.

BGRIM ราคาหุ้นมีอัพไซด์ คาดกำไรไตรมาส1/68 ที่ 400ล.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายการ ว่า บล.หยวนต้า คาดกำไรปกติ BGRIM ใน Q1/68 อยู่ที่ 400 ล้านบาท ทรงตัว QoQ แม้ถูกกดดันจากต้นทุนก๊าซขาขึ้นและค่าไฟลดลง แต่ได้แรงหนุนจากยอดขายไฟฟ้าที่ฟื้นตัวตามฤดูกาล คาดกำไรปี 2567 แตะ 2,285 ล้านบาท (+11% YoY) คงคำแนะนำ "ซื้อ" เป้าหมายปี 2568 ที่ 16.00 บาท/หุ้น มี Upside 26%           บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ถึง บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) คาดกำไรปกติ ไตรมาส 1/2568 ที่ระดับ 400 ล้านบาท +/- ทรงตัว-เติบโตเล็กน้อย QoQ แม้ได้รับผลกระทบจากการปรับลดค่าไฟฟ้าสำหรับงวด มกราคม- เมษายน 2568 ลงเป็น 4.15 บาท/หน่วย (เทียบกับ 4.18 บาท/หน่วยใน 4Q24) และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่คาดปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับ 330-340 บาท/MMBtu ตามราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นในช่วง 4Q24 (ราคา Laggard ราว 3-6 เดือน)อย่างไรก็ตาม ปริมาณขายไฟฟ้ารวมที่คาดว่าจะฟื้นตัวตามฤดูกาล และค่าใช้จ่าย SG&A ที่มีแนวโน้มลดลง QoQจะสามารถชดเชยผลกระทบได้           คาดกำไรปกติ ไตรมาส 4/2567 ที่ 387 ล้านบาท ลดลง 52% QoQ และทรงตัว YoY ต่ำกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้าที่ระดับ 400-450 ล้านบาท เนื่องจากถูกกดดันจากปริมาณขายไฟฟ้าของกลุ่มผู้ใช้งานอุตสาหกรรม (IU) ที่มีแนวโน้มลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้ากำไรปกติปี 2567 อยู่ที่ 2,285 ล้านบาท (+11% YoY) และคิดเป็นสัดส่วน 101% ของประมาณการของฝ่ายวิจัย ส่วนประมาณการกำไร 2568-2569 ลง 26% และ 25% เป็น 1,335 ล้านบาท (-41% YoY) และ 1,552 ล้าน บาท (+16% YoY)           ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ลดลงเป็น 16.00 บาท/หุ้น มี Upside 26.0% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตามในระยะสั้น-กลาง มอง ว่าการฟื้นตัวของราคาหุ้นจะยังคงถูกจำกัด เชิงกลยุทธ์ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย อาจ           พิจารณาชะลอการลงทุนและกลับเข้าลงทุนหลังเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการปรับลดค่าไฟฟ้า หรือเห็นสัญญาณการปรับตัวลงของราคาก๊าซธรรมชาติแล้ว

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

BGRIM คาดกำไรปี67 ที่ 2,285 ลบ. โบรกแนะซื้อ เป้า 16.00 บาท

BGRIM คาดกำไรปี67 ที่ 2,285 ลบ. โบรกแนะซื้อ เป้า 16.00 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า คาด BGRIM กำไรปกติ 4Q24 ลดลง QoQ และทรงตัว YoY คาดกำไรปกติ 4Q24 ที่ 387 ล้านบาท ลดลง 52% QoQ และทรงตัว YoY ต่ำกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้าที่ระดับ 400-450 ล้านบาท เพราะถูกกดดันจากปริมาณขายไฟฟ้าของกลุ่มผู้ใช้งานอุตสาหกรรม (IU) ที่มีแนวโน้มลดลงมากกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า โดยคาดกำไรปกติลดลง QoQ แม้คาดค่าไฟฟ้าทรงตัวและคาดต้นทุนก๊าซธรรมชาติปรับตัวลงเป็น 313 บาท/MMBtu (-7% QoQ, ทรงตัว YoY) เพราะถูกกดดันจาก ค่าใช้จ่าย SG&A ที่คาดเพิ่มขึ้นเป็น 743 ล้านบาท (+14% QoQ, +5% YoY) จากการบันทึกค่าใช้จ่ายค่าที่ปรึกษาและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างเชิงธุรกิจ คาดส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมที่ 30 ล้านบาท (พลิกเป็นขาดทุน QoQ และ YoY) หลังค่าเงินบาทอ่อนค่าในช่วง 4Q24           ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติทำได้เพียงทรงตัว แม้คาดราคาขายไฟฟ้าของกลุ่ม IU สูงขึ้นราว 6% YoY เพราะถูกกดดันจากค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงขึ้นและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น หากกำไรปกติออกมาใกล้เคียงคาด จะส่งผลให้กำไรปกติปี 2024 อยู่ที่ 2,285 ล้านบาท (+11% YoY) และคิดเป็นสัดส่วน 101% ของประมาณการของเรา ปรับประมาณการปี 2025-26 ลงหลังต้นทุนก๊าซธรรมชาติยังมีแนวโน้มทรงตัว YoY           ปรับประมาณการปี 2025-26 ลง 26% และ 25% เป็น 1,335 ล้านบาท (-41% YoY) และ 1,552 ล้านบาท (+16% YoY) ตามลำดับ จากการปรับสมมติฐานต้นทุนก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยปี 2025-26 ขึ้นเป็น 335 บาท/MMBtu (เดิม 320 บาท/MMBtu) และ 320 บาท/MMBtu (เดิม 310 บาท/MMBtu) ตามลำดับ เพื่อสะท้อนต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องหลังแหล่งก๊าซธรรมชาติ G2 ในอ่าวไทยเข้าสู่ช่วงของการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ (ปิดราว 40 วันในช่วง 1Q25) ทำให้สัดส่วนการใช้งาน LNG ซึ่งมีต้นทุนแพงเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการประกาศขึ้นภาษีสินค้าพลังงานระหว่างจีน-สหรัฐฯ แนวโน้มกำไร 1Q25 ยังไม่เด่น           เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ระดับ 400 ล้านบาท +/- ทรงตัว-เติบโตเล็กน้อย QoQ แม้ได้รับผลกระทบจากการปรับลดค่าไฟฟ้าสำหรับงวด ม.ค. - เม.ย. 25 ลงเป็น 4.15 บาท/หน่วย (เทียบกับ 4.18 บาท/หน่วยใน 4Q24) และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่คาดปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับ 330-340 บาท/MMBtu ตามราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นในช่วง 4Q24 (ราคา Laggard ราว 3-6 เดือน) เพราะปริมาณขายไฟฟ้ารวมที่คาดฟื้นตัวตามฤดูกาลและค่าใช้จ่าย SG&A ที่มีแนวโน้มลดลง QoQ จะสามารถชดเชยผลกระทบได้ ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติลดลงจากฐานที่สูงเพราะถูกกดดันจากค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวลงและต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นหลังบริษัทฯ มีการ Rollover หุ้นกู้ในช่วงปลายปี 2024 ที่ผ่านมา รอเข้าลงทุนหลังเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการปรับลดค่าไฟฟ้า           ผลจากการปรับประมาณการลงส่งผลให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ลดลงเป็น 16.00 บาท/หุ้น มี Upside 26.0% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น-กลาง เรามองว่าการฟื้นตัวของราคาหุ้นจะยังคงถูกจำกัดจากแนวโน้มกำไร 4Q24-1Q25 ที่ยังไม่เด่น และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ยังมีแนวโน้มลดลงช้ากว่าคาด รวมถึงความกังวลของตลาดเกี่ยวกับแนวทางการปรับลดค่าไฟฟ้าของรัฐบาลที่อาจทำให้ราคาขายไฟฟ้าลดลงเร็วกว่าต้นทุน เชิงกลยุทธ์ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยอาจพิจารณาชะลอการลงทุน และกลับเข้าลงทุนหลังเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการปรับลดค่าไฟฟ้าหรือเห็นสัญญาณการปรับตัวลงของราคาก๊าซธรรมชาติแล้ว

BGRIM ลงนาม วิศวะฯ ม.ข. ร่วมมือทางวิชาการ

BGRIM ลงนาม วิศวะฯ ม.ข. ร่วมมือทางวิชาการ

          หุ้นวิชั่น - เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)  ได้จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.รัชพล สันติวรากร คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ศาสตราจารย์วนิดา แก่นอากาศ รองคณบดีฝ่ายวิจัย นวัตกรรมและการต่างประเทศ พร้อมด้วยผู้บริหารของคณะฯ ร่วมให้การต้อนรับคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ จาก บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ โดยมี คุณดอน ทยาทาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ คุณต่อชัย สุภัทรวณิชย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่  ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 8 ตึกเพียรวิจิตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น           รศ.ดร.รัชพล  สันติวรากร คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ พลังงานทดแทน สิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมต่าง ๆ ที่มีในปัจจุบันและในอนาคตและร่วมกันส่งเสริม และเพื่อสนับสนุนพัฒนาบุคลากรให้มีองค์ความรู้และทักษะด้านการวิจัยของทั้งสองหน่วยงาน ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารคณะวิศวกรรมศาสตร์ แผนยุทธศาสตร์ที่ 2 Innovation และ แผนยุทธศาสตร์ที่ 5 Industry และเป็นไปตามหนึ่งในพันธกิจอันสำคัญของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อันได้แก่ การวิจัยและสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศและสากล และเป็นการบริการวิชาการให้แก่องค์กรเอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยและสร้างคุณค่าร่วมกับสังคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจากพันธกิจดังกล่าวนี้ จะทำให้คณะฯ ก้าวไปสู่วิสัยทัศน์ที่ได้ตั้งไว้ในการจะเป็น “คณะวิศวกรรมศาสตร์ระดับโลกสำหรับทุกคน” จึงต้องขอขอบคุณ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ในความร่วมมือกันในครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยความมุ่งมั่นของทั้ง 2 หน่วยงาน จะทำให้การลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ บรรลุวัตถุประสงค์ที่กล่าวมาข้างต้นนี้           คุณดอน  ทยาทาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า บี.กริม เพาเวอร์ มีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมจัดทำ MOU ในการดำเนินงานด้านพลังงานหมุนเวียนและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย ในด้านการศึกษาและการวิจัย           บี.กริม ได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานกว่า 147 ปี โดยปัจจุบัน หนึ่งในธุรกิจหลักคือด้านพลังงาน ซึ่งประกอบด้วย โรงไฟฟ้าสำหรับอุตสาหกรรม (Industrial), Hydro, Solar, Wind, Solar Floating และ Solar Rooftop ครอบคลุมกว่า 15 ประเทศ ทั่วโลก ด้วยกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 4,000 เมกะวัตต์ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะขยายกำลังการผลิตเป็น 10,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 และมุ่งสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Carbon Emissions ภายในปี 2593 ผ่านการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยั่งยืนและการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน           ด้วยศักยภาพด้านวิชาการของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ผนวกกับประสบการณ์ด้านพลังงานของ บี.กริม เพาเวอร์  ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญของทั้งสองหน่วยงาน ในการร่วมศึกษา วิจัย และพัฒนานวัตกรรมทางด้านพลังงาน และถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อก้าวสู่อนาคตแห่งพลังงานสะอาดและการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน           ภายหลังเสร็จสิ้นพิธี ได้มีการเยี่ยมชมโรงงานต้นแบบแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน โดยมี ศาสตราจารย์ธิดารัตน์  บุญมาศ รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและวิสาหกิจ และ รองศาสตราจารย์นงลักษณ์  มีทอง ผู้อำนวยการโรงงานฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ของโรงงานฯ ร่วมให้การต้อนรับและบรรยายพิเศษ ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่ง [PR News]

BGRIM ตอกย้ำค่านิยมองค์กร คว้ารางวัล “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต”

BGRIM ตอกย้ำค่านิยมองค์กร คว้ารางวัล “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต”

          บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ได้รับรางวัล “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต” (The Excellence in Thai Mind Awards) จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต (TIMS) คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอกย้ำการเป็นองค์กรที่ส่งเสริมสุขภาวะทางจิตที่ดีให้แก่พนักงาน สอดคล้องกับค่านิยมองค์กรมุ่งเน้นให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุขและปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ โดยมี นายเกรียงไกร อยู่ยืน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานทรัพยากรบุคคล เป็นตัวแทนรับมอบ เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568           ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บี.กริม เพาเวอร์ ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาวะทางจิตใจทีดีให้แก่พนักงาน โดยมีโปรแกรมที่ส่งเสริมพนักงานในทุกมิติ ในวัฒนธรรมองค์กรของ บี.กริม เราเชื่อว่าความโอบอ้อมอารีจะมีส่วนช่วยสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับองค์กรและทุกภาคส่วนในสังคม ประกอบกับวิถีปฎิบัติในการทำงานที่ยึดค่านิยมหลัก 4 ประการ (4Ps) ได้แก่ การมีทัศนคติที่ดี (Positivity) ความร่วมมือ (Partnership) ความเป็นมืออาชีพ (Professionalism) และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Pioneering Spirit) รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้บริหารและพนักงานมีสติในการดำเนินชีวิต (Mindfulness) อีกทั้งการนำหลักการความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness: GNH) มาปรับให้เข้ากับองค์กร พัฒนาทัศนคติ มุมมองและความคิดของพนักงาน ให้ตระหนักรู้คุณค่าและความสุขของตนเอง นำไปสู่ความสุขที่ยั่งยืนของสังคม เราเชื่อว่า “Mindful Compassion หรือ สติสู่ความโอบอ้อมอารี” จะช่วยส่งเสริมทักษะการดูแลตนเองให้รู้สึกสงบ มั่นคง สมดุลได้ในทุกสถานการณ์           โครงการ “Thai Mind Awards” เป็นความร่วมมือระหว่าง สสส. กับคณะจิตวิทยา จุฬาฯ ที่ได้ร่วมมือกันผ่านการสนับสนุนทุนการดำเนินงานและทุนวิจัยในการสนับสนุนการขับเคลื่อนงานด้านสร้างเสริมสุขภาพจิต เนื่องจากพบว่า ปัจจุบันสถานที่ทำงานเป็นแหล่งที่สร้างความเครียดและสุขภาพจิตทางลบให้แก่พนักงาน จากข้อมูล ประเทศไทยมีผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้น และมีอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนวัยทำงาน ดังนั้นการประเมินสุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต Thai Mind Awards จึงเป็นเหมือนการสำรวจและเฟ้นหาองค์กรที่ให้ความสำคัญกับสุขภาวะทางจิตของพนักงาน มีการสร้างระบบงานที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาด้านจิตใจของคนทำงาน เพื่อที่จะขับเคลื่อนและสร้างองค์กรต้นแบบด้านสุขภาวะที่ดีของสังคมไทย และเป็นแบบอย่างหรือแรงบันดาลใจในการพัฒนาด้านสุขภาวะของคนทำงานต่อไปในอนาคต                    สำหรับรางวัล Thai Mind Awards ได้รับความร่วมมือจากองค์กรที่ร่วมสมัครคัดเลือกจำนวน 60 แห่ง ผ่านการคัดเลือกเป็นสุดยอดองค์กรส่งเสริมสุขภาวะ 11 แห่ง และคัดเลือกเหลือ 5 องค์กรที่เป็นสุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต (The Excellence in Thai Mind Awards) ซึ่งบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด(มหาชน) ได้รับการคัดเลือกที่มีโปรแกรมที่ส่งเสริมพนักงานในทุกมิติ การได้รับรางวัลดังกล่าว ตอกย้ำให้เห็นว่า บี.กริม เพาเวอร์ เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับพนักงาน โดยมุ่งเน้นให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุขและปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ [PR News]

abs

Hoonvision

BGRIM ปัจจัยลบผ่านไปแล้ว ลูกค้า Data Center หนุน

BGRIM ปัจจัยลบผ่านไปแล้ว ลูกค้า Data Center หนุน

         หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า ประเมินหุ้น BGRIM โดยบริษัทฯ ได้เริ่มขายไฟฟ้าให้กับกลุ่มลูกค้า Data  Center แล้วและอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขายไฟฟ้าเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาความ เป็นไปได้ในการเข้าลงทุนในธุรกิจ Data Center          ฝ่ายวิจัยปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 20.50 บาท/หุ้น โดยราคาปัจจุบันซื้อขายบน PER25 ที่ 22.7 เท่าใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 7 ปี -2.4SD จึงมองว่า ราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว          ขณะที่การเติบโตในระยะถัดไปจะได้แรงหนุนจากธุรกิจในต่างประเทศเป็นหลัก จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว ฝ่ายวิจัยปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 20.50 บาท/หุ้น...คงคำแนะนำ “ซื้อ ”          ผลจากการปรับประมาณการลงและการปรับ WACC ที่ใช้ประเมินมูลค่าขึ้นเป็น 12.0% (จากเดิม 10.0%) เพื่อสะท้อนสภาวะตลาดที่มีความเสี่ยงมากขึ้นส่งผลให้ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 20.50 บาท/หุ้น มี Upside 29.7%          โดยราคาปัจจุบันซื้อขายบน PER25 ที่เพียง 22.7 เท่า เทียบเท่าค่าเฉลี่ย Forward PER ย้อนหลัง 7 ปี (ยกเว้นปี 2022) -2.4SD จึงมองว่าหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบจากความเสี่ยงเชิงนโยบายและ Bond Yield ระยะ 10 ปีของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูงไปมากแล้ว          ขณะที่แนวโน้มการเติบโตในระยะถัดไปจะได้แรงหนุน จากธุรกิจในต่างประเทศเป็นหลัก (ความเสี่ยงเชิงนโยบายต่ำกว่าธุรกิจในประเทศ) จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว

[Vision Exclusive] จังหวะเก็บ BGRIM ลุยดาต้าเซ็นเตอร์         

[Vision Exclusive] จังหวะเก็บ BGRIM ลุยดาต้าเซ็นเตอร์         

          หุ้นวิชั่น - นักวิเคราะห์มองหุ้น BGRIM ราคาหุ้นที่ปรับลงเป็นโอกาสสะสม ระบุแนวโน้มราคาก๊าซลดลง และค่า Ft จะไม่กระทบกำไรในระยะยาว ด้านบิ๊ก BGRIM เผย คาดการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติในปี 2568 อยู่ในช่วง 310-340 บาทต่อ MMBTU เดินหน้าขายไฟฟ้าให้ลูกค้า Data Center จ่อCOD โรงไฟฟฟ้าตามแผน ดันพลังงานหมุนเวียน           ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติในปี 2568 อยู่ในช่วง 310-340 บาทต่อ MMBTU โดยราคาในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 อยู่ที่ระดับ 316 บาทต่อ MMBTU ซึ่งเป็นราคาที่รวมค่าบริการ ค่าผ่านท่อ Demand Charge และ Commodity Charge แล้ว โดยราคาดังกล่าวลดลงชัดเจนจากไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ การลดลงของค่าไฟฟ้าแปรผัน (Ft) จะเป็นไปตามต้นทุนราคาก๊าซ และมั่นใจว่าการปรับค่า Ft โดยภาครัฐจะสะท้อนต้นทุนที่เป็นธรรมต่อโรงไฟฟ้า SPP           สำหรับแผนการขยายธุรกิจในปีนี้ บริษัทฯ จะเพิ่มกำลังการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้า Data Center อีกประมาณ 40-50 เมกะวัตต์ (MW) และตั้งเป้าขยายกำลังการขายไฟฟ้าเป็น 300-400 เมกะวัตต์ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า โดยมีแผนร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขายไฟฟ้ารวม 200 เมกะวัตต์ และลงทุนในโครงการ Data Center ขนาด 40-100 เมกะวัตต์ พร้อมทั้งเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับลูกค้า Data Center และลูกค้ารายใหม่ในรูปแบบ Gas Link มากขึ้น           ในปีนี้ บริษัทฯ จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการพลังงานลมในประเทศเกาหลีใต้ KOPOS ขนาด 20 เมกะวัตต์ และโครงการนากาว 1 ซึ่งจะทยอย COD ในช่วงครึ่งปีหลัง และ COD ครบ 365 เมกะวัตต์ ภายในปี 2026 นอกจากนี้ ในประเทศไทยจะ COD โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อู่ตะเภาขนาด 18 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าอินทรี บี.กริม โซลาร์ ขนาด 83.8 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้จากพลังงานหมุนเวียนและลดการพึ่งพาราคาก๊าซในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ           ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน มองว่าการที่ราคาหุ้นลดลงแรงเกิดจากประเด็น Sentiment ลบระยะสั้น โดยเฉพาะ BGRIM ที่โดน broker ต่างประเทศ downgrade กำไรและ recommendation ต่อเนื่อง หลังปรับเพิ่มสมมุติฐาน ราคาก๊าชขึ้นจากปีก่อนรวมทั้งปรับค่า Ft ลง นอกจากนี้  valuation ของหุ้นมีราคาแพงกว่ากลุ่ม ( consensus PBV ที่ 1.4 เท่า เทียบ GPSC 1.0 เท่า)           อย่างไรก็ตาม มองเป็นโอกาสในการเก็บสะสมหุ้นในกลุ่มนี่ 1) ราคาก๊าซมีแนวโน้มลดลงจากปีก่อน โดย  PTT มองราคาก๊าซลดลงจากปีก่อนตามนโยบายของทรัมป์ นอกจากนี้คาดว่าถ้าจะมีปรับลดราคาค่าไฟฟ้าก็ต้องมีการปรับลดต้นทุนค่าก๊าซลงเช่นเดียวกัน ซึ่งมองว่าสุดท้ายไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกำไรของ BGRIM และ GPSC, WHAUP  แนะนำให้หาจังหวะ ซื้อ สะสม           ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุถึง BGRIM ว่า BGRIM ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง คาดจากการถูกปรับ downgrade โดย broker ต่างประเทศ            เหตุผลหลักในการปรับมาจากการปรับสมมติฐานค่าก๊าซมาที่ 345 บาท/mmBTU เพิ่มขึ้น 1% จาก 342 บาทในปี 2024 และปรับอัตราค่าไฟฟ้าลงเหลือ 3.57 บาท -2% จาก 3.67 บาท จากนโยบายภาครัฐที่จะลดค่าFt           โดยOur view: มองสมมติฐานค่อนข้าง extreme ไป โดยเฉพาะสมมติฐานค่าก๊าซ โดยหากอ้างอิงจาก PTT คาดค่าก๊าซจะอยู่ที่ 310-340บาท/mmBTU ขณะที่สมมติฐานของเราค่าก๊าซคาดจะลดลง3-6% yoy มาอยู่ที่ช่วง 300บาทต้นๆ           จากราคาหุ้น BGRIM YTD 2025 ลงมา 21% และลงมา 49% จากจุดสูงสุดปี 2024 ถึงแม้ว่าคาดงบ ไตรมาส 4/2567  จะลดลง qoq ตามปัจจัยฤดูกาลและจำนวนวันหยุดเทศกาลเยอะกระทบ IU demand เราคงคำแนะนำ Trading Buy สำหรับ BGRIM (เทรดที่ p/bv 0.7x vsค่าเฉลี่ยกลุ่ม 1.3x, pe 22x vs กลุ่ม18x) รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว

BGRIM หมดกังวลลดค่าไฟฟ้า รายได้โต ลูกค้านิคมฯ เพิ่ม หนุน

BGRIM หมดกังวลลดค่าไฟฟ้า รายได้โต ลูกค้านิคมฯ เพิ่ม หนุน

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  ชี้ BGRIM  มีแนวโน้มกำไรปกติ 4Q67F ลดลง QoQ ตามปริมาณขายไฟฟ้าลดลงตามฤดูกาล ต้นทุนก๊าซใกล้เคียงเดิม QoQ ทำให้มาร์จิ้น SPP ลดลงและ OPEX เพิ่มขึ้นมากตามฤดูกาล แต่เพิ่มขึ้น YoY จากฐานต่ำ           มีปัจจัยหนุนในปีนี้ตามปริมาณขายไฟฟ้าเติบโตตามลูกค้านิคมฯ เพิ่มขึ้น และการ COD โครงการใหม่ ขณะเดียวกันคาดต้นทุนก๊าซลดลงตามปริมาณก๊าซในอ่าวไทยเพิ่มขึ้นและการนำเข้า LNG เอง           ได้ Sentiment เชิงบวกจากการที่คุณทักษิณได้พูดถึงมาตรการลดค่าไฟฟ้าว่าจะไม่กระทบโรงไฟฟ้า SPP เหมือนที่กังวลก่อนหน้า           แนวรับ=16.3/16.7 แนวต้าน=18/18.2           BGRIM | ซื้ อ|TP=27 บ.

[Vision Exclusive] ทุบค่าไฟ 3.70บ.เป็นไปได้ เอกชนขอความเป็นธรรม

[Vision Exclusive] ทุบค่าไฟ 3.70บ.เป็นไปได้ เอกชนขอความเป็นธรรม

          อดีตนายกฯ ทักษิณ ชี้เป้าลดค่าไฟเหลือ 3.70 บาท ผู้เชี่ยวชาญชี้เป็นไปได้แต่ต้องจัดการหนี้ EGAT และลดงบฯ ซึ่งอาจกระทบคุณภาพบริการของการไฟฟ้า ด้านเอกชนเข้าใจนโยบายช่วยประชาชน แต่ขอความเป็นธรรมและสนับสนุนต้นทุนก๊าซ พร้อมเตือนว่าหากนโยบายขาดความสมดุล อาจทำให้เกิดการย้ายการลงทุนไปต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ไทยสูญเสียโอกาสด้านพลังงานในระยะยาว           กลุ่มโรงไฟฟ้า หนาวๆ ร้อนๆ หลัง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยระหว่างลงพื้นที่หาเสียงให้ นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เรื่องไฟฟ้า ปีนี้ค่าไฟฟ้าจะต้องลงไปอยู่ที่เลข 3 ไม่ใช่เลข 4 ใจตนอยากให้เหลือหน่วยละ 3.50 บาท แต่คงได้แค่ 3.70 บาท กำลังให้เขาช่วยทุบอยู่ ปีนี้ค่าไฟลงแน่เห็นตัวเลขแล้วทุบได้           ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า เรื่องการลดค่าไฟฟ้ายังต้องมาศึกษารายละเอียดกันอีกที ยังไม่สามารถตอบได้ในขณะนี้           แหล่งข่าวในวงการอุตสาหกรรมพลังงานเปิดเผยว่า สำหรับประเด็นการปรับลดค่าไฟฟ้าลงมาถึงระดับ 3.70 บาทต่อหน่วย ปัจจุบันที่ 4.15 บาทสำหรับงวดม.ค.-เม.ย. 2568 นั้นหากพิจารณาก็มีความเป็นไปได้ โดยจะต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ ทั้งในส่วนของการบริหารจัดการหนี้ที่ค้างชำระอยู่กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งปัจจุบันมียอดหนี้ค้างค่าไฟอยู่ที่ประมาณ 80,000 ล้านบาท หากรัฐนำภาระหนี้ดังกล่าวไปบริหารจัดการเอง วิธีนี้จะช่วยให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าลดลงได้           นอกจากนี้ การสนับสนุนโรงไฟฟ้าที่ได้รับสัญญาสัมปทานในรูปแบบ Adder ซึ่งกำลังจะหมดอายุลงก็จะช่วยลดภาระการสนับสนุนในส่วนนี้ด้วย ทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงมาอยู่ในช่วง 3.80-3.90 บาทต่อหน่วยได้ อย่างไรก็ตาม หากต้องการลดค่าไฟฟ้าให้ต่ำกว่าระดับดังกล่าว หน่วยงานการไฟฟ้าทั้งสามแห่งอาจต้องลดงบประมาณในโครงการบางส่วนหรือปรับลดค่าใช้จ่ายในบางด้าน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการโดยรวม ทั้งนี้ การตัดสินใจลดค่าไฟฟ้าจำเป็นต้องพิจารณาควบคู่กับประเด็นด้านคุณภาพการบริหารจัดการและความมั่นคงของระบบไฟฟ้า เพื่อให้สามารถให้บริการไฟฟ้าอย่างทั่วถึงและครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ           สำหรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้าเอกชน พบว่าโรงไฟฟ้าประเภท IPP (Independent Power Producer) หรือโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ยังไม่ได้รับผลกระทบในขณะนี้ เนื่องจากสัญญาระหว่างโรงไฟฟ้าเอกชนและภาครัฐยังคงดำเนินต่อไปตามปกติ อีกทั้งยังต้องจ่ายค่า AP หรือ ค่าความพร้อมจ่าย ซึ่งเป็นค่าที่ภาครัฐจ่ายให้เพื่อให้โรงไฟฟ้าเตรียมพร้อมเดินเครื่องสำหรับจ่ายกระแสไฟฟ้าตามความต้องการ ถือเป็นส่วนสำคัญในโครงสร้างของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย           ในส่วนของโรงไฟฟ้าประเภท SPP หรือโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก อาจได้รับผลกระทบมากกว่า โดยที่ผ่านมาโรงไฟฟ้า SPP มักได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น ไม่ต้องเสียค่าสายส่ง เพื่อให้สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้อย่างมีเสถียรภาพสำหรับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับลดค่าไฟฟ้าในภาพรวม โรงไฟฟ้า SPP อาจจำเป็นต้องปรับราคาซื้อขายไฟฟ้าในระบบตามไปด้วย ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ยังคงต้องรอความชัดเจนจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปว่าจะมีการดำเนินการในทิศทางใดต่อการบริหารจัดการค่าไฟฟ้าในภาพรวม           ขณะที่ บริษัทโรงไฟฟ้าเอกชนแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นการลดค่าไฟฟ้าว่า ภาคเอกชนเข้าใจถึงความจำเป็นของภาครัฐในการลดภาระค่าไฟฟ้าเพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม เอกชนต้องการให้ภาครัฐพิจารณาอย่างเป็นธรรมและให้ความช่วยเหลือในด้านต้นทุน เช่น ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน เนื่องจากโรงไฟฟ้าถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ มีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ           ทั้งนี้ หากภาคเอกชนต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในเชิงนโยบาย อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการเลือกกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการพัฒนาและขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานในระยะยาว จึงจำเป็นต้องมีความร่วมมือที่สมดุลระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบพลังงานของประเทศ           ในด้านมุมมอง นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุถึง การลดค่าไฟทั่วประเทศเหลือ 3.70 บาท มีความซับซ้อนและใช้งบประมาณมหาศาล จึงมีแนวโน้มที่นโยบายนี้จะไม่เกิดขึ้นในลักษณะ "Across the Board"  ทั้งนี้ คาดว่ารัฐบาลอาจเลือกช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย ซึ่งจะกระทบโครงสร้างพลังงานน้อย  หากการลดค่าไฟเกิดขึ้นเฉพาะกลุ่มเปราะบาง หรือเป็นการปรับลดผ่านโครงสร้างราคาก๊าซ ก็จะไม่มีผลกระทบต่อกำไรของ SPP โดย ค่าไฟงวดใหม่ อาจประกาศช่วงต้นเม.ย. ซึ่งเกิดหลังเลือกตั้ง อบจ. อาจสะท้อนนโยบายที่สมดุลและเป็นไปได้มากกว่า ความกังวลระยะสั้นอาจเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน หากหุ้นกลุ่มนี้ถูกปรับฐานลงแรงเกินไปจากข่าว           ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดว่าอาจมีความเป็นไปได้ไม่มากที่รัฐบาลจะปรับลดค่าไฟฟ้า เนื่องจาก EGAT ได้แบกรับภาระค่า Ft เกือบ 1 แสนล้านบาทแล้ว และการปรับลดค่าไฟฟ้าตามข้อเสนอจะเพิ่มภาระดังกล่าวอีกกว่า 2 หมื่นล้านบาท และทำให้การชำระหนี้ของ EGAT ล่าช้าออกไปนานกว่าสองปี นอกจากนี้ เราคาดการณ์ว่าต้นทุนค่าก๊าซจะลดลง 3-6% เมื่อเทียบกับปีก่อน มาอยู่ที่ประมาณ 330 บาท/mmBTU ในปี 2025 ซึ่งต่ำกว่าอัตราการลดลงของค่าไฟฟ้าที่เสนอ (-11% จากงวด ม.ค.-เม.ย. 2025) ความแตกต่างนี้จะกดดันอัตรากำไร IU ของหุ้นกลุ่ม SPP มากยิ่งขึ้น หากไม่มีมาตรการช่วยเหลือหรือเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ได้ทำการวิเคราะห์ความอ่อนไหว (sensitivity analysis) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการลดค่า Ft ลง 1 สตางค์ต่อหน่วย จะลดกำไรของ BGRIM ลง 1.4% จากกรณีฐาน และ GPSC ลดลง 1.1% ส่วน GULF จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า เนื่องจากสัดส่วนของ SPP ไม่สูงมาก (คิดเป็น 17% ของกำลังการผลิตส่วนของบริษัทที่ติดตั้งทั้งหมด ณ ต.ค. 2567) ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากไม่มีปัจจัยบวกเพิ่มเติม และต้นทุนรวมถึงค่าใช้จ่ายคงที่ การปรับลดค่าไฟฟ้าตามข้อเสนอที่ 3.70 บาท จะลดราคาเป้าหมายสำหรับ GPSC และ BGRIM ลงประมาณ 10% อย่างไรก็ตาม ค่าไฟฟ้าที่เสนอจะต่ำกว่าค่าไฟฟ้าฐานปัจจุบันที่ 3.78 บาท และการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในค่าไฟฟ้าฐานต้องได้รับการอนุมัติและประกาศจากทั้ง ERC และ EGAT นอกจากนี้ หากรัฐบาลมีเงินอุดหนุนต้นทุนค่าก๊าซ จะช่วยจำกัดผลกระทบด้านลบต่อราคาเป้าหมาย โดยเฉพาะหากเงินอุดหนุนดังกล่าวสามารถลดต้นทุนก๊าซลงเหลือ 305 บาท/mmBTU (ลดลง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน) ก็จะไม่มีผลกระทบต่ออัตรากำไร IU (กรณีฐาน)           ยังคงคำแนะนำ "Neutral" สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม Utilities และคำแนะนำ "Trading Buy" สำหรับ BGRIM, GPSC และ GULF รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว

คอนเฟิร์ม! โอกาสสะสม BGRIM รอบใหม่

คอนเฟิร์ม! โอกาสสะสม BGRIM รอบใหม่

          หุ้นวิชั่น -  โบรกประเมิน BGRIM คาดกำไรปกติ 4Q67 ที่ระดับ 400-450 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2568 คาดว่ากำไรปกติจะอยู่ที่ระดับ 2,532 ล้านบาท เติบโตราว 12% จากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ปริมาณขายไฟฟ้ากลุ่ม IU เติบโตต่อเนื่อง พร้อมรับรู้รายได้จากโครงการลมในเกาหลีใต้และโครงการใหม่เพิ่มเติม เดินหน้าขยายฐานสู่อุตสาหกรรม Data Center รองรับความต้องการไฟฟ้าสูง ชี้ราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนปัจจัยลบแล้ว เหมาะสำหรับทยอยสะสมลงทุนระยะยาว เป็นจังหวะทยอยสะสมรอบใหม่           บล .หยวนต้า ระบุถึง เป็นจังหวะทยอยสะสมรอบใหม่ BGRIM ว่า เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 4Q67 ที่ระดับ 400-450 ล้านบาท ลดลง QoQ จากฐานที่สูง เนื่องจาก: ปริมาณขายไฟฟ้าที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล (การเข้าสู่ช่วงวันหยุดสิ้นปีทำให้กลุ่ม IU มีการใช้ไฟฟ้าน้อยลง) คาดว่ารายได้จากการก่อสร้างโครงการลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50-100 ล้านบาท จาก 231 ล้านบาทในช่วง 3Q67 (รับรู้ตามความคืบหน้าของโครงการ) ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่คาดว่าลดลงกลับมาสู่ระดับปกติ หลังค่าเงินบาทฟื้นตัวกลับมาที่ระดับ 34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ +/- จากราว 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงสิ้น 3Q67 อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรปกติจะยังสามารถเติบโต YoY จาก: ปริมาณการขายไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเติบโต YoY ตามการเชื่อมต่อกับกลุ่ม IU ใหม่อีกราว 10-15MW การไม่ได้รับผลกระทบจากการตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ระดับ 3.99 บาท/หน่วยเหมือนปีก่อน กำไรเร่งตัวขึ้นในปี 2568 จากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงและโครงการใหม่           ในปี 2568 คาดว่ากำไรปกติจะอยู่ที่ระดับ 2,532 ล้านบาท เติบโตราว 12% YoY แม้ว่ารัฐบาลจะปรับลดค่าไฟฟ้าสำหรับงวด ม.ค.–เม.ย. 2568 ลงเป็น 4.15 บาท/หน่วย แต่ได้รับแรงหนุนจาก: ต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่คาดว่าจะปรับลดลงต่อเนื่อง ตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและปริมาณการส่งออก LNG ของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ปริมาณขายไฟฟ้ารวม (โดยเฉพาะกลุ่ม IU) ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามกระแสการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการต่างชาติ (คาดว่าโรงงานที่สร้างในปี 2565-2566 เริ่มเสร็จสิ้นและทยอย COD) การเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ การเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการลม Nakwol 1 ขนาด 179MWe ในเกาหลีใต้ ที่เริ่มทยอย COD ตั้งแต่ต้น 2H68 และครบโครงการภายในสิ้นปี 2568 Data Center จะเข้ามาหนุนการเติบโตของ BGRIM ในระยะถัดไป           กระแสการลงทุนในอุตสาหกรรม Data Center ของผู้ประกอบการต่างชาติในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม จะผลักดันให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (ความต้องการไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพสูง 24 ชั่วโมง และมากกว่าอุตสาหกรรมการผลิตทั่วไป) ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขายไฟฟ้ากับ Data Center จำนวน 4-5 ราย กำลังผลิตรวมราว 300-500MW และยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุนธุรกิจ Data Center ผ่านการทำ M&A ราว 40-100MW โดยใช้เงินลงทุน 5-7 พันล้านบาท คาดว่าจะมีความชัดเจนในปี 2568 ราคาปัจจุบันสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว...เป็นจังหวะทยอยสะสมรอบใหม่           คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ที่ 32.00 บาท/หุ้น โดยราคาหุ้นที่ปรับลง 19% QTD สะท้อนปัจจัยลบ เช่น การปรับลดค่าไฟฟ้างวด ม.ค.–เม.ย. 2568 และการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดที่ล่าช้ากว่าคาดไปมากแล้ว ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER 2568 ที่ 20.1 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย Forward PER ย้อนหลัง 7 ปี (ยกเว้นปี 2565 ซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต -2.9SD ขณะที่ผลประกอบการยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว

BGRIM ครองตำแหน่งเรตติ้งสูงสุด SET ESG Rating ระดับ AAA

BGRIM ครองตำแหน่งเรตติ้งสูงสุด SET ESG Rating ระดับ AAA

          หุ้นวิชั่น - บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ยังคงเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการติดอันดับสูงสุด AAA ในการประเมิน "SET ESG Ratings" ประจำปี 2567 และอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี (Doing Business with Compassion) โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ บี.กริม ยึดถือมาตลอด 146 ปี ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  “ความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งสร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี (Empowering the World Compassionately) เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคม พร้อมเติบโตเคียงคู่ไปกับประเทศไทยและภูมิภาค ผ่านการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนครอบคลุมมิติเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม ภายใต้หลักบรรษัทภิบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนการเรียนรู้แก่เยาวชนในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ผ่านโครงการ B.Grimm School Camp โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยแห่งประเทศไทย และโครงการอาชีวศึกษาทวิภาคี ซึ่งได้สร้างโอกาสให้เยาชนรวมกว่า 178,794 คน ในการเข้าถึงองค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้โครงการ Save the Tigers ยังเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ บี.กริม เพาเวอร์ในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและฟื้นฟูระบบนิเวศ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ” ในปีนี้ บี.กริม เพาเวอร์ เป็นหนึ่งใน 56 บริษัทที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุด AAA จากทั้งหมด 228 บริษัทจดทะเบียนที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน SET ESG Ratings โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผลประเมินนี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ลงทุนใช้ควบคู่กับข้อมูลอื่น ๆ ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งในขณะเดียวกันปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ยังคงมีบทบาทเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในการส่งเสริมศักยภาพในการเติบโตขององค์กร ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตลอดปีที่ผ่านมา บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับการยอมรับในระดับประเทศและระดับสากลผ่านการจัดอันดับและรางวัลด้านความยั่งยืนจากองค์กรและหน่วยงานชั้นนำด้านความยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ อาทิการจัดอันดับใน S&P Global Sustainability Yearbook 2023 ด้วยคะแนน Top 10% ของกลุ่มบริษัทผู้นำระดับโลก การได้รับอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB จาก MSCI ESG Rating            นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน “FTSE4Good Index Series” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 และได้รับรางวัล Sustainability Disclosure Awards จากสถาบันไทยพัฒน์ ติดต่อกันเป็นปีที่ ตลอดจนได้รับการประเมินโครงการ CGR ในระดับดีเลิศ โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ติดต่อกันเป็นปีที่ 5  ด้วยปรัชญาและความมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี บี.กริม เพาเวอร์ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2593 เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับโลกและคนรุ่นหลังต่อไป

BGRIM ลุยดาต้าเซนเตอร์ ปี68 ลงทุน1.36 แสนล้านบ.

BGRIM ลุยดาต้าเซนเตอร์ ปี68 ลงทุน1.36 แสนล้านบ.

           หุ้นวิชั่น - BGRIM เปิดทิศทางธุรกิจและแผนกลยุทธ์สำคัญในปี 2568 ประกาศลงทุนรวม 136,000 ล้านบาท ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียนรวม 10 กิกะวัตต์ภายในปี 2573 ตอกย้ำสู่ผู้นำพลังงานสะอาด เดินหน้าขยายธุกิจระดับโลก ผ่านการร่วมทุน ซื้อกิจการ และพันธมิตรทางธุรกิจพร้อมจัดสรรแหล่งทุนของบริษัทรวม 70,000 ล้านบาท รองรับการเติบโตในระยะยาวและยั่งยืน เปิดตัวธุรกิจใหม่ Data Center อยู่ระหว่างกระบวนการเจรจาทำสัญญา ซื้อขายไฟฟ้ากับศูนย์ข้อมูลขนาดรวม 310 เมกะวัตต์ บี.กริม เพาเวอร์ หนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ด้วยวิสัยทัศน์            "สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี" พร้อมเติบโตสู่อนาคตพลังงานสะอาด และการขยาย ธุรกิจระดับโลก ซึ่งล่าสุดได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับเป้าหมายดังกล่าว แบ่งเป็น 3 กลุ่มงานได้แก่กลุ่มธุรกิจพัฒนาพลังงานหมุนเวียน, กลุ่มธุรกิจในประเทศไทยและโซลูชันธุรกิจอุตสาหกรรม และกลุ่มงานการเงินและบัญชี ภายใต้การนำทัพของ ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บี.กริมเพาเวอร์ และ 3 ผู้บริหารระดับสูง นายพีรเดช พัฒนจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน, นายนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศไทยและโซลูชั่นธุรกิจ อุตสาหกรรม และนางสาวศิริวงศ์ บวรบุญฤทัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร งานการเงินและบัญชี            ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ กล่าวว่า ในปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จในการขยายกำลังผลิตโครงการโรงไฟฟ้าหลากหลายโครงการโดยเฉพาะโครงการพลังงานหมุนเวียน ซึ่งยังเป็นทิศทางหลักที่บริษัทจะมุ่งไปตลอดปี 2568 เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ "สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี" พร้อมเดินหน้าพัฒนาความร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่มาของ "ค่านิยมองค์กร" บี.กริม เพาเวอร์ ใน 4 เรื่องหลัก คือ ความเป็นมืออาชีพ การมีทัศนคติที่ดี ความร่วมมือกัน และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สำหรับแผนกลยุทธ์สำคัญสำหรับปี 2568 ได้แก่            1. การเติบโตของพลังงานหมุนเวียน และการขยายธุรกิจในระดับโลก โดยตั้งเป้ามีกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนรวม 10 กิกะวัตต์ภายในปี 2573 ผ่านการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์พลังงานลม และพลังน้ำ พร้อมดำเนินการตามแนวทาง Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2593 ควบคู่กับการขยายธุรกิจในตลาดโลก อาทิ เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านการร่วมทุน การเข้าซื้อกิจการ และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน            2.การเป็นพันธมิตรด้านพลังงานสำหรับ Data Centers บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งสู่การเป็นพันธมิตรหลักในการจัดหาพลังงานให้กับ Data Centers ในประเทศไทย โดยร่วมกับนิคมอุตสาหกรรมอมตะเพื่อจัดหาพลังงานหมุนเวียนและให้บริการโซลูชั่นพลังงานครบวงจรรองรับความต้องการของ Data Centers ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ชลบุรี นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างกระบวนการเจรจาทำสัญญา ซื้อขายไฟฟ้ากับศูนย์ข้อมูลขนาดรวม 310 เมกะวัตต์            3. การจัดสรรเงินทุน (Capital Allocation) อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เราให้ความสำคัญกับการจัดสรรเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาวและยั่งยืน โดยวางแผนการลงทุนในโครงการต่างๆ ในช่วงปี 2567-2573 รวมทั้งสิ้น 136,000 ล้านบาท ซึ่งเน้นลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนถึง 85%            ในขณะที่แผนการลงทุนเฉพาะส่วนทุนของ บี.กริม เพาเวอร์จำนวน 70,000 ล้านบาท จะเป็นพลังงานหมุนเวียนถึง 94% ทั้งนี้แหล่งที่มาของเงินลงทุนของ บี.กริม เพาเวอร์ จะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน, การออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ และหุ้นกู้ทั่วไป, เงินกู้จากสถาบันการเงิน รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากพันธมิตรเชิงกล ยุทธ์ และการขายสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ            ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า เรา ยังดำเนินกลยุทธ์การลงทุนด้วยการพิจารณาอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (EIRR) เป้าหมายอยู่ที่ 10-15% ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของเทคโนโลยีในแต่ละโครงการ ความ น่าเชื่อถือของประเทศและผู้รับซื้อไฟฟ้า (Oftaker) รวมถึงความผันผวนของกระแสเงินสดที่คาดการณ์ไว้            นอกจากนี้ บี.กริม เพาเวอร์ ยังมุ่งเน้นการบริหารหนี้สินและทุนอย่างเหมาะสม โดยตั้งเป้าอัตราหนี้สินต่อทุน ที่ 3.0 เท่าในช่วงเริ่มต้นของการจัดหาเงินทุนโครงการ พร้อมทั้งใช้ linited-recourse loan และ backend equity ทั้งนี้ เราให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงและยกระดับการลงทุนในภูมิภาคเอเชียและตลาดโลก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว            สำหรับเป้าหมายในระยะยาว บี.กริม เพาเวอร์ พร้อมเดินหน้าเติบโตสองค์กรชั้นนำระดับโลก ก้าวสู่ความสำเร็จและขยายธุรกิจไปในหลายประเทศทั่วโลก ผลักดันให้ต่างประเทศเห็นถึงศักยภาพของคนไทยและช่วยนำพาธุรกิจ และพันธมิตรทุกคนสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน [PR News]

BGRIM คว้าสัญญาผลิตไฟฟ้าหมุนเวียน 51.12 MW

BGRIM คว้าสัญญาผลิตไฟฟ้าหมุนเวียน 51.12 MW

          หุ้นวิชั่น - บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (“บี.กริม เพาเวอร์”) ขอเรียนให้ทราบว่าบริษัทย่อยได้รับคัดเลือกเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้กับรัฐบาล ตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน คิดเป็นกำลังการผลิตรวมตามสัญญาที่ 51.12 เมกะวัตต์ โดยมีรายละเอียดดังตารางด้านล่าง           นอกจากนี้ บี.กริม เพาเวอร์ ขอเรียนให้ทราบว่า บริษัท บี.กริม โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟท็อป จำกัด (บริษัทย่อยที่บี.กริม เพาเวอร์ถือหุ้นทั้งหมด) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้ลงนามในสัญญาจ้างงานตามโครงการจัดการพลังงานไฟฟ้าจากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังผลิตติดตั้ง 10.26 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 25 ปี โดยมีรายละเอียดดังตารางด้านล่าง           ด้วยประสบการณ์ในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน บี.กริม เพาเวอร์ ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจพลังงานและการจัดหาพลังงานสะอาดให้กับประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ “GreenLeap – Global and Green” ของบี.กริม เพาเวอร์ เพื่อบรรลุเป้าหมายสู่องค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593

GUNKUL-BGRIM ปลื้มได้ไฟเพิ่ม รัฐสั่งลุยไฟฟ้าทดแทน 2.1 พัน MW

GUNKUL-BGRIM ปลื้มได้ไฟเพิ่ม รัฐสั่งลุยไฟฟ้าทดแทน 2.1 พัน MW

          กกพ. ไฟเขียวผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 2,145 MW ด้าน GUNKUL กวาด 7 โครงการ 319 MW ดันกำลังการผลิตเพิ่ม ปักหมุดรายได้ทะลุ 10,000 ล้านบาท ส่วน EGCO คว้าสิทธิ 11 โครงการ 448 MW ฟาก BGRIM รับ 60 MW เสริมฐานพลังงานหมุนเวียน ส่วน EA ได้เพิ่ม 90 MW หนุนแผนขยายธุรกิจ จ่อทยอย SCOD ปี 2569-2573 โบรกมอง GUNKUL เด่นสุด เนื่องจากกำลังผลิตที่ได้รับคัดเลือกในรอบดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนราว 22% ของกำลังผลิตทั้งหมดในปัจจุบัน           สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ได้ประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมที่ได้รับการคัดเลือก ตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2567 ซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานได้ประชุมเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 พิจารณาเห็นชอบผลการคัดเลือกผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมจำนวน 72 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขายรวม 2,145.4 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็นพลังงานลม จำนวน 8 ราย รวม 565.40 เมกะวัตต์ กำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ หรือ SCOD ตั้งแต่ปี 2571-2573 และพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน จำนวน 64 ราย รวม 1,580 เมกะวัตต์ กำหนด SCOD ตั้งแต่ 2569-2573           โดยมีการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ให้การไฟฟ้าคู่สัญญาแจ้งให้ผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าทราบและยอมรับเงื่อนไขการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน 14 วันนับถัดจากวันที่สำนักงาน กกพ. ประกาศรายชื่อ และกลุ่มที่ 2 ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่มีรูปแบบการเชื่อมต่อสถานีไฟฟ้าเดียวกัน ตกลงรูปแบบการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายตามหลักการแบ่งปันสิ่งอำนวยความสะดวกร่วมกัน (Common Facilities Sharing) และยอมรับเงื่อนไขการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน 60 วัน นับถัดจากวันที่ประกาศผลการคัดเลือก           นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (GUNKUL) เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ในปี 2568 เชื่อว่ายังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 เนื่องจากภาพรวมตลาดยังมีศักยภาพ ทั้งงานจากโครงการพลังงานทดแทนรอบใหม่ และงานของภาครัฐที่มีงบลงทุนด้านพื้นฐานเพิ่มเติมตามความต้องการใช้ไฟฟ้า โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากประมาณการรายได้ปี 2567 ที่คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตตามเป้า 15% จากปีก่อน ซึ่งปัจจุบันถือว่าใกล้เคียงแล้ว หลัก ๆ การเติบโตยังคงมาจากการรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและวางระบบทางด้านวิศวกรรม (EPC) และเทรดดิ้งอุปกรณ์ระบบไฟฟ้า           ทั้งนี้ ปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้างานในมือจากธุรกิจ EPC ไว้ที่ประมาณ 4,500 ล้านบาท ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้าวางเป้ากำลังการผลิตเติบโต 35% ใน 2 ปีข้างหน้า หรือเพิ่มประมาณ 100-150 เมกะวัตต์ต่อปี จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่กว่า 1,500 เมกะวัตต์           โดยล่าสุดสำนักงาน กกพ. ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านคัดเลือกรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเฟส 2 กำลังการผลิตที่เสนอขายรวม 2,145 เมกะวัตต์ ซึ่งกลุ่มบริษัทย่อยที่ GUNKUL ถือหุ้นทางตรงผ่านบริษัท กันกุล วิน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และบริษัท กันกุล วัน เอ็นเนอร์ยี 9 จำกัด ได้รับการคัดเลือกรวมทั้งสิ้น 319 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นพลังงานลม 284 เมกะวัตต์ และโซลาร์กำลังการผลิต 35 เมกะวัตต์ โดยจะทยอย COD ตั้งแต่ปี 2570-2573 ส่งผลทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้ารวมเพิ่มเป็นประมาณ 1,800 เมกะวัตต์ ซึ่งเป้าหมายของบริษัทฯ คือการมีเมกะวัตต์สะสมเพิ่มเป็น 2,000 เมกะวัตต์ในปี 2569 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ดำเนินการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องอยู่หลายโครงการ ทั้งโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มและโรงไฟฟ้าพลังงานลม           ขณะที่โครงการพลังงานหมุนเวียนจำนวน 832 เมกะวัตต์ ทั้งโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มและโรงไฟฟ้าวินด์ฟาร์ม ที่ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ไปก่อนหน้านี้ จะทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตั้งแต่ปี 2569-2573 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนในส่วนนี้ประมาณ 38,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ยังมีเงินลงทุนเพียงพอ และปัจจุบันอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนยังอยู่ในระดับต่ำ พร้อมรองรับการเติบโตในอนาคตได้อย่างต่อเนื่อง           “ตามที่ได้มีการประกาศรายชื่อผู้ที่ได้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นนั้น ทำให้บริษัทในกลุ่มของ GUNKUL ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการขายสินค้าในระบบอุปกรณ์ไฟฟ้าและรับเหมาก่อสร้างจะได้รับประโยชน์เพิ่มเติมไปด้วย โดยเฉพาะงานรับเหมาก่อสร้างที่จะได้รับโอกาสทำสายส่งไฟฟ้าและสถานีไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมองว่าในอนาคตหากประเทศไทยมุ่งไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำและต้องการมีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น GUNKUL ก็ยังมีโอกาสในการที่จะเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานภาครัฐเพิ่มขึ้น รวมถึงภาคเอกชนที่ตอนนี้ก็หันมาใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นโอกาสที่ธุรกิจโซลาร์ที่เป็น Private PPA ของ GUNKUL จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน” นางสาวโศภชา กล่าวในที่สุด           ส่วน บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ผ่านการคัดเลือกกว่า 60 เมกะวัตต์ ขณะที่ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผ่านการคัดเลือก 90 เมกะวัตต์           บล. หยวนต้า ระบุว่า โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้น บริษัทในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ได้รับคัดเลือกมากที่สุดคือ EGCO (ได้รับคัดเลือก 11 โครงการ ขนาดรวม 448 MW และเป็นโครงการแสงอาทิตย์ทั้งหมด) ตามมาด้วย GUNKUL (ได้รับคัดเลือก 7 โครงการ ขนาดรวม 319 MW แบ่งออกเป็นโครงการลม 4 โครงการ ขนาดรวม 284 MW และโครงการแสงอาทิตย์ 3 โครงการ ขนาดรวม 35 MW) มองว่าหุ้นที่ได้ประโยชน์ชัดเจนที่สุดคือ GUNKUL (TP@3.90) เนื่องจากกำลังผลิตที่ได้รับคัดเลือกในรอบดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนราว 22% ของกำลังผลิตทั้งหมดในปัจจุบัน (ทั้งที่ COD แล้วและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง)

BGRIM เชื่อมั่น ปฏิรูปภาษี GMT ไม่ส่งผลต่อธุรกิจปี 2567 จับตากฎหมาย GMT ไทย เริ่มใช้ ปี 2568

BGRIM เชื่อมั่น ปฏิรูปภาษี GMT ไม่ส่งผลต่อธุรกิจปี 2567 จับตากฎหมาย GMT ไทย เริ่มใช้ ปี 2568

          หลังจากที่ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development - OECD) เสนอให้มีการปฏิรูประบบภาษีระหว่างประเทศด้วยการจัดเก็บอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำ (Global minimum tax) จากกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติขนาดใหญ่ในอัตรา 15% โดยมีประเทศสมาชิกจำนวนมากเข้าร่วมข้อตกลงดังกล่าวตั้งแต่ปี 2564 ล่าสุดในปี 2567 กฎหมายเกี่ยวกับ GMT เริ่มมีผลบังคับใช้ในหลายประเทศแล้ว รวมถึงประเทศที่ BGRIM เข้าไปลงทุน ได้แก่ เวียดนาม เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี และออสเตรเลีย อย่างไรก็ตาม จากการประเมินในเบื้องต้น การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดภาษีส่วนเพิ่มที่มีสาระสำคัญต่อ BGRIM ในปี 2567 แต่อย่างใด           สำหรับประเทศไทย ณ ปัจจุบัน คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ “ร่าง พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม” เพื่อรองรับการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำ 15% ตามแนวทาง GMT แล้ว คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งจะทำให้บริษัทข้ามชาติที่เข้าหลักเกณฑ์ตาม พ.ร.ก. ต้องเสียภาษีส่วนเพิ่มหากอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่แท้จริงในแต่ละประเทศที่เข้าไปลงทุนอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่า 15% โดยจากข้อมูลเบื้องต้นมีการเปิดเผยว่า จะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบที่อาจมีต่อผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การสนันสนุนจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เป็นต้น ซึ่ง BGRIM ได้ติดตามความคืบหน้าของการออกกฎหมายและมาตรการบรรเทาดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจมีต่อ BGRIM ในปี 2568 ต่อไป           ทั้งนี้ภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก หรือ Global Minimum Tax (GMT) คือภาษีที่จัดเก็บกับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ที่มีรายได้รวมต่อปีเกิน 750 ล้านยูโร มีวัตถุประสงค์เพื่อลดการแข่งขันทางภาษีระหว่างประเทศ (Tax Competition) ดึงดูดการลงทุน และป้องกันการเลี่ยงภาษีของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ซึ่งนับเป็นการปฏิรูประบบภาษีครั้งสำคัญของโลก

BGRIM ตั้ง 'อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น' ลุยธุรกิจโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ

BGRIM ตั้ง 'อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น' ลุยธุรกิจโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ

          ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (“บี.กริม เพาเวอร์”) ขอเรียนให้ทราบว่า บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ บี.กริม เพาเวอร์ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 51.2 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ได้จัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่โดยถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 ดังรายละเอียดต่อไปนี้: ชื่อบริษัท: บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น (หนองละลอก) จำกัด ทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว: 5,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท วัตถุประสงค์: เพื่อประกอบธุรกิจในด้านการพัฒนาระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าและการบริหารจัดการโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ แหล่งที่มาของเงินลงทุน: เงินทุนหมุนเวียนของบริษัท           อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด รายการดังกล่าวไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน และขนาดของรายการไม่เข้าข่ายเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ที่ต้องจัดทำรายงานและเปิดเผยสารสนเทศ ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 20/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทำรายการที่มีนัยสำคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ พ.ศ. 2547 แต่เป็นกรณีที่บริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียนได้มาซึ่งเงินลงทุนในบริษัทอื่น ซึ่งเป็นผลให้บริษัทนั้นมีสภาพในการเป็นบริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียน

BGRIM ปรับทัพผู้บริหาร รับปี 68

BGRIM ปรับทัพผู้บริหาร รับปี 68

          ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ครั้งที่ 12/2567 เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 มีมติแต่งตั้งกรรมการใหม่และผู้บริหารระดับสูง และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร โดยแต่งตั้ง ดร. ทวีศักดิ์ กออนันตกูล เป็น กรรมการใหม่ (กรรมการอิสระ) แทน นางเกตุวลี นภาศัพท์ ซึ่งลาออก โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567 พร้อมมีมติแต่งตั้ง ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ได้แก่ ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ เป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม นายพีรเดช พัฒนจันทร์ เป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน นายนพเดช กรรณสูต เป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศไทยและโซลูชันธุรกิจอุตสาหกรรม นางสาวศิริวงศ์ บวรบุญฤทัย เป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร งานการเงินและบัญชี ซึ่งปัจจุบันยังคงดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (Chief Financial Officer)           ทั้งนี้ การแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงดังกล่าวเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาพลังงานหมุนเวียน กลุ่มธุรกิจในประเทศไทยและโซลูชันธุรกิจอุตสาหกรรม กลุ่มงานการเงินและบัญชี           โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป           สำหรับการโยกย้ายแต่งตั้งครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสอดคล้องกับ วิสัยทัศน์ของบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ที่มุ่งมั่นสร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี (Empowering the World Compassionately)           ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า เป้าหมายระยะยาวของ บี.กริม เพาเวอร์ คือการเพิ่มกำลังการผลิตให้ถึง 10,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 และเดินหน้าสู่เป้าหมายสำคัญ คือ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593           ทั้งนี้ บี.กริม เพาเวอร์ จะดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ GreenLeap ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างจุดแข็ง 5 ด้านสำคัญ ได้แก่ ความสามารถในการสร้างโอกาสทางธุรกิจ การเป็นพันธมิตรที่ดีและได้รับความไว้วางใจ ความสามารถในการพัฒนาและบริหารโครงการ การจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อรองรับการเติบโตด้วยต้นทุนที่เหมาะสม ความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ และการพัฒนาต่อยอดธุรกิจพลังงานให้ทันสมัยและครบวงจร

บี.กริม เพาเวอร์ ร่วมสนับสนุน งานเลี้ยงรับรอง สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล

บี.กริม เพาเวอร์ ร่วมสนับสนุน งานเลี้ยงรับรอง สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล

          หุ้นวิชั่น - บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ร่วมสนับสนุนการจัดงานเลี้ยงรับรองเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพพระพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567 จัดโดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล โดยมี นายพีรเดช พัฒนจันทร์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานธุรกิจภูมิภาคเอเชียเหนือ ฟิลิปปินส์และกัมพูชา ผู้แทนจาก บริษัท       บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมงาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ณ Crystal Ballroom โรงแรม Lotte กรุงโซล ตลอดทั้งงานยังมีการบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์และเพลงเกาหลีจากวง Royal Bangkok Symphony Orchestraโดยการสนับสนุนจากบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ ร่วมขับร้องโดย ผศ.ดร.กิตตินันท์ ชินสำราญ และนักร้องประสานเสียงจากวง The National Chorus of Korea โดยได้รับเกียรติจาก นายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล เป็นประธานฝ่ายไทย และนาย Keeyong Chung เอกอัครราชทูตและรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผู้แทนพิเศษสำหรับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เป็นแขกเกียรติยศ พร้อมแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ประมาณ 500 คน ประกอบด้วย คณะทูตานุทูต, บุคคลสำคัญภาคการเมืองและผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐของเกาหลีใต้, ผู้บริหารภาคเอกชนไทยและเกาหลีใต้, สื่อมวลชนและกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางความคิดไทยและเกาหลีใต้,  ข้าราชการและเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ และหน่วยงานทีมประเทศไทย พร้อมทั้งคู่สมรส และผู้แทนชุมชนชาวไทยที่พำนักอยู่ในเกาหลีใต้ สำหรับกิจกรรมไฮไลท์ในงานฯ มีการจัดแสดงนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และราชวงศ์ไทย โดย บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ การออกร้านอาหารของผู้ประกอบการไทยในเกาหลีใต้ การจัดคูหาแสดงผลิตภัณฑ์ และศักยภาพจากภาคเอกชน นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงประติมากรรมน้ำแข็งแกะสลักรูปช้างและหมูเด้ง จัดแสดงในงานเพื่อเชิญชวนคนเกาหลีใต้และคนต่างชาติไปเยือนไทย รวมถึงประติมากรรมอินทรชิตแปลง ร.ศ.115 จาก 333 Art Gallery สถานที่จัดแสดงงานศิลปะของไทยแห่งแรกในกรุงโซล เพื่อเผยแพร่งานศิลปะของไทย งานดังกล่าวสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐเกาหลี พร้อมทั้งเผยแพร่วัฒนธรรมไทยไปสู่สายตานานาชาติ

BGRIM ประสบความสำเร็จ ปิดการขายหุ้นกู้ 8 พันล้าน

BGRIM ประสบความสำเร็จ ปิดการขายหุ้นกู้ 8 พันล้าน

          หุ้นวิชั่น – บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ผู้ผลิตไฟฟ้าอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 23 โครงการ และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศอีก 41 โครงการ ประสบความสำเร็จจากการออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ โดยผู้ลงทุนให้ความสนใจตอบรับจองซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ มูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท ที่เสนอขายในระหว่างวันที่ 14-15 และ 18-19 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ขณะที่ บี.กริม เพาเวอร์  เผยพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)  ขอขอบคุณผู้ลงทุนที่ให้การตอบรับลงทุนในหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ บี.กริม เพาเวอร์  รวมถึงสถาบันการเงินผู้จัดการการจัดจำหน่ายทั้ง 9 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ที่อำนวยความสะดวกทั้งการให้ข้อมูลและเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี   สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการชำระคืนหนี้หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ครั้งที่ 1/2562 ที่จะถึงกำหนดวันชำระคืนก่อนครบกำหนดครั้งแรก ในเดือนพฤศจิกายน 2567 จำนวน 8,000 ล้านบาท โดย บี.กริม เพาเวอร์ กำหนดอัตราดอกเบี้ยในช่วง 5 ปีแรกไว้ที่ 5.75% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิเลื่อนการชำระดอกเบี้ยพร้อมกับสะสมดอกเบี้ยจ่ายไปชำระในวันใดก็ได้ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ โดยไม่จำกัดระยะเวลาและจำนวนครั้ง ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ออกหุ้นกู้แต่เพียงผู้เดียว ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยจะปรับทุกๆ 5 ปี โดยอ้างอิงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ณ ขณะนั้น แล้วบวกส่วนเพิ่มคงที่ (Initial Credit Spread) 3.49% ต่อปี และส่วนเพิ่มตามช่วงเวลา (Step-up coupon) ตั้งแต่ 0.25% - 2.00% ต่อปี โดย บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท ที่ระดับ “A” แนวโน้ม “คงที่” ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่เสนอขายในครั้งนี้อยู่ที่ระดับ “BBB+” โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 นอกจากนี้ ในปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ ได้ประกาศยุทธศาสตร์ GreenLeap – Global and Green มุ่งสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก และผู้นำด้านการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนและปลอดภัย โดยมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจาก 4,071 เมกะวัตต์ ณ เดือน พฤศจิกายน 2567 เป็น 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 ผ่านการลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นด้านพลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ บี.กริม เพาเวอร์ อยู่ระหว่างการแสวงหาการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มเติมในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม มาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น จีน ตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบีย และประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกา รวมทั้งยุโรป เพื่อกระจายความเสี่ยงจากต้นทุนพลังงาน  ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ บี.กริม เพาเวอร์กล่าวเสริมว่า ปัจจัยที่สนับสนุนการเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ มาจากความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน ทั้งในด้านยุทธศาสตร์และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งการระดมทุนครั้งนี้จะทำให้โครงสร้างทางการเงินของบี.กริม เพาเวอร์ ยังคงความแข็งแกร่ง สอดรับกับแผนการขยายการลงทุนของบริษัท ในอนาคต

บี.กริม เพาเวอร์  ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการ ปี 2567  ในระดับ “ดีเลิศ” 5 ปีซ้อน

บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการ ปี 2567 ในระดับ “ดีเลิศ” 5 ปีซ้อน

          หุ้นวิชั่น - บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ได้รับการประเมินจากโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน (CGR) ประจำปี 2567 ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ภายใต้การสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในระดับ “ดีเลิศ” (5 ดาว) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ตอกย้ำความสำเร็จภายใต้วิสัยทัศน์แห่งความมุ่งมั่น "สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี" (Empowering the World Compassionately) ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีและมีธรรมาภิบาล ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า บี.กริม มุ่งมั่นประกอบธุรกิจภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยคำนึงถึงสังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน โดย มุ่งมั่นที่จะยกระดับการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในเดือนกันยายน บี.กริม เพาเวอร์ ยังได้รับรางวัลในระดับสากล Outstanding CFO และ Outstanding IR ในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานและสาธารณูปโภค จากเวที IAA Awards for Listed Companies 2024 ที่จัดโดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ในฐานะผู้ให้ข้อมูลที่ชัดเจนและตรงประเด็น และเดือนตุลาคม ได้รับรางวัล Outstanding Investor Relations ในงาน SET Awards ประจำปี 2567 ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและวารสารการเงินธนาคาร สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสในการสื่อสารกับนักวิเคราะห์ และนักลงทุนสถาบันอย่างมีประสิทธิภาพ

BGRIM กำไรหลักไตรมาส 3/67 แกร่ง ปี68 ลงทุน 1-1.5 หมื่นล.

BGRIM กำไรหลักไตรมาส 3/67 แกร่ง ปี68 ลงทุน 1-1.5 หมื่นล.

             BGRIM กำไรสุทธิจากการดำเนินงานไตรมาส 3/67 เติบโตแข็งแกร่ง ไตรมาส4/67 จะจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบอีก 2 โครงการ ปี 2568 เตรียมลงทุน 10,000-15,000 ล้านบาท ขยายโครงการพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มลูกค้า IUs เชื่อมระบบ 40-50 เมกะวัตต์ พร้อมก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และลมนอกชายฝั่ง ควบคู่กับแผนนำเข้า LNG สู่ระบบ Pool Gas คงเป้ามี 10,000 MW ตอกย้ำเป้าหมายระยะยาวผลิตพลังงานสะอาดและบรรลุ Net-Zero Carbon Emissions ในปี 2593              ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567 เติบโตแข็งแกร่ง มี EBITDA อยู่ที่ 4,183 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% ด้วยปริมาณขายไฟฟ้าเติบโต 7.5% มาอยู่ที่ 3,908 กิกะวัตต์-ชั่วโมง เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจาก 1. ปริมาณไฟฟ้าขายให้แก่ กฟผ. เพิ่มขึ้น 12.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการโรงไฟฟ้าอุตสาหกรรม (SPP) 2 โครงการ ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2566 รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 280 เมกะวัตต์ และ 2. ปริมาณไฟฟ้าขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม (IUs) ในประเทศเวียดนาม รวมทั้ง ปริมาณขายไอน้ำในประเทศไทยที่เติบโตขึ้น 41.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากการขยายกำลังการผลิตของลูกค้าเดิม และความต้องการที่เพิ่มขึ้น              สำหรับกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NNP) – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ อยู่ที่ 808 ล้านบาท เติบโต 32.5% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปัจจัยหลักที่กล่าวไปข้างต้น รายได้จากการให้บริการที่สูงขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ กำไรสุทธิ – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ซึ่งเป็นกำไรที่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง และเป็นรายการที่ไม่ใช่เงินสด จะอยู่ที่ 163 ล้านบาท ความสำเร็จตลอดช่วง 9 เดือนของปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ มีการเชื่อมเข้าระบบของลูกค้า IUs รายใหม่ในประเทศไทยจำนวน 11.2 เมกะวัตต์ และจะมีการเชื่อมเข้าระบบของลูกค้า IUs รายใหม่เพิ่มในไตรมาสที่ 4 ด้วยโครงการที่มีในปัจจุบันนับเป็นรากฐานที่ดีที่จะช่วยให้ บี.กริม เพาเวอร์ เติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต              ในไตรมาส 3 นี้ บี.กริม เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จในการนำเข้า LNG ลำแรก จำนวน 65,000 ตัน และลำที่สองในเดือนตุลาคม 2567 เพื่อนำเข้าสู่ระบบ Pool Gas โดยในช่วงเริ่มต้น ก๊าซที่นำเข้าจะส่งผ่านไปยังระบบ Pool Gas เพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมของบริษัททั้งสิ้น 10 โครงการ นอกจากนี้ยังประสบความสำเร็จจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Lohas ECE Spain Gifu Co., Ltd. ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิตติดตั้ง 20 เมกะวัตต์ และมีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ระยะเวลา 25 ปี ของบริษัทย่อยและการร่วมค้าจำนวน 8 บริษัท เพื่อพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดโครงการรวม 323.3 เมกะวัตต์ มีกำหนดเปิด COD ตั้งแต่ปี 2569 ถึง 2573              ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2567 เตรียมเปิด COD โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อู่ตะเภา เฟสหนึ่ง และ 2) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมแบบติดตั้งบนบก KOPOS ในสาธารณรัฐเกาหลี แนวโน้มปี 2568              เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ที่ร้อยละ 2.7 และ 2.9 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการส่งออกที่ปรับดีขึ้นตามความต้องการสินค้ามิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้เศรษฐกิจฟื้นตัวแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน โดยการส่งออกสินค้าและการผลิตภาคอุตสาหกรรมบางกลุ่ม รวมถึง SMEs ยังถูกกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง (อ้างอิง: ธนาคารแห่งประเทศไทย, 16 ตุลาคม 2567)              คาดการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติต่อหน่วยสำหรับ SPP อยู่ที่ 310-340 บาทต่อล้าน BTU ในปี 2568 ต่ำกว่าปี 2567 เล็กน้อยที่อยู่ในช่วง 320-350 บาทต่อล้าน BTU วางแผนนำเข้า LNG ไม่เกิน 5 ล้านตัน เพื่อนำเข้าสู่ระบบ Pool Gasตั้งเป้าเพิ่มลูกค้า IUs รายใหม่ เชื่อมเข้าสู่ระบบรวม 40-50 เมกะวัตต์ โครงการต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างมีดังนี้: 1. อินทรี บี.กริม: โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 80 เมกะวัตต์ 2. จงเช่อ รับเบอร์: โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคานิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง 35 เมกะวัตต์ 3. 386: โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา 29.6 เมกะวัตต์ 4. Nakwol: โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง 365 เมกะวัตต์ สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งงบลงทุน ประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาท              ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า เป้าหมายระยะยาวของ บี.กริม เพาเวอร์ คือการเพิ่มกำลังผลิตสู่ 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 พร้อมตั้งเป้าหมายสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลกและบรรลุเป้าหมายการก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593

BGRIM โชว์กำไร Q3 แกร่งจ่อจ่ายไฟอีก2โครงการ เดิมตามเป้าสู่ 10,000MW

BGRIM โชว์กำไร Q3 แกร่งจ่อจ่ายไฟอีก2โครงการ เดิมตามเป้าสู่ 10,000MW

บี.กริม เพาเวอร์ โชว์กำไรสุทธิจากการดำเนินงานไตรมาส 3/67 เติบโตแข็งแกร่ง ยอดขายไฟฟ้าเติบโต เดินหน้าลงทุนโรงไฟฟ้าหมุนเวียน ตอกย้ำผู้นำพลังงานสะอาด ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567 เติบโตแข็งแกร่ง มี EBITDA อยู่ที่ 4,183 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% ด้วยปริมาณขายไฟฟ้าเติบโต 7.5% มาอยู่ที่ 3,908 กิกะวัตต์-ชั่วโมง เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจาก 1. ปริมาณไฟฟ้าขายให้แก่ กฟผ. เพิ่มขึ้น 12.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการโรงไฟฟ้าอุตสาหกรรม (SPP) 2 โครงการ ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2566 รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 280 เมกะวัตต์ และ 2. ปริมาณไฟฟ้าขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม (IUs) ในประเทศเวียดนาม รวมทั้งปริมาณขายไอน้ำในประเทศไทยที่เติบโตขึ้น 41.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากการขยายกำลังการผลิตของลูกค้าเดิม และความต้องการที่เพิ่มขึ้น สำหรับกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NNP) – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ อยู่ที่ 808 ล้านบาท เติบโต 32.5% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปัจจัยหลักที่กล่าวไปข้างต้น รายได้จากการให้บริการที่สูงขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ กำไรสุทธิ – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ซึ่งเป็นกำไรที่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง และเป็นรายการที่ไม่ใช่เงินสด จะอยู่ที่ 163 ล้านบาท ความสำเร็จตลอดช่วง 9 เดือนของปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ มีการเชื่อมเข้าระบบของลูกค้า IUs รายใหม่ในประเทศไทยจำนวน 11.2 เมกะวัตต์ และจะมีการเชื่อมเข้าระบบของลูกค้า IUs รายใหม่เพิ่มในไตรมาสที่ 4 ด้วยโครงการที่มีในปัจจุบันนับเป็นรากฐานที่ดีที่จะช่วยให้ บี.กริม เพาเวอร์ เติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต ในไตรมาส 3 นี้ บี.กริม เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จในการนำเข้า LNG ลำแรก จำนวน 65,000 ตัน และลำที่สองในเดือนตุลาคม 2567 เพื่อนำเข้าสู่ระบบ Pool Gas โดยในช่วงเริ่มต้น ก๊าซที่นำเข้าจะส่งผ่านไปยังระบบ Pool Gas เพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมของบริษัททั้งสิ้น 10 โครงการ นอกจากนี้ยังประสบความสำเร็จจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Lohas ECE Spain Gifu Co., Ltd. ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิตติดตั้ง 20 เมกะวัตต์ และมีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ระยะเวลา 25 ปี ของบริษัทย่อยและการร่วมค้าจำนวน 8 บริษัท เพื่อพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดโครงการรวม 323.3 เมกะวัตต์ มีกำหนดเปิด COD ตั้งแต่ปี 2569 ถึง 2573 ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2567 เตรียมเปิด COD โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อู่ตะเภา เฟสหนึ่ง และ 2) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมแบบติดตั้งบนบก KOPOS ในสาธารณรัฐเกาหลี ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า เป้าหมายระยะยาวของ บี.กริม เพาเวอร์ คือการเพิ่มกำลังผลิตสู่ 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 พร้อมตั้งเป้าหมายสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลกและบรรลุเป้าหมายการก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593 [PR News]

BGRIM เคาะดอกเบี้ยหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ 5 ปีแรกที่ 5.75% ต่อปี

BGRIM เคาะดอกเบี้ยหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ 5 ปีแรกที่ 5.75% ต่อปี

          BGRIM เคาะดอกเบี้ยหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ 5 ปีแรกที่ 5.75% ต่อปี ตอบโจทย์การลงทุนระยะยาว พร้อมคาดเปิดจองซื้อวันที่ 14-15 และ 18-19 พ.ย. นี้ ผ่าน 9 สถาบันการเงินชั้นนำ           บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM (“บริษัทฯ”) หนึ่งในบริษัทพลังงานเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ที่โดดเด่นในด้านการผลิตไฟฟ้าอุตสาหกรรมและไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในประเทศและต่างประเทศ ประกาศอัตราดอกเบี้ยคงที่ในช่วง 5 ปีแรกของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ครั้งที่ 1/2567 ที่ 5.75% ต่อปี โดยคาดว่าจะเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไปในระหว่างวันที่ 14-15 และ 18-19 พฤศจิกายน 2567 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 9 แห่ง ได้แก่ ธ.กรุงเทพ ธ.กรุงไทย ธ.กสิกรไทย ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย บล.เกียรตินาคินภัทร บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง บล.หยวนต้า และ บล.เอเซีย พลัส สำหรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ชุดดังกล่าว กำหนดชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิเลื่อนการชำระดอกเบี้ยพร้อมกับสะสมดอกเบี้ยจ่ายไปชำระในวันใดก็ได้ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ โดยไม่จำกัดระยะเวลาและจำนวนครั้ง ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ออกหุ้นกู้แต่เพียงผู้เดียว ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยจะปรับทุกๆ 5 ปี โดยอ้างอิงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี แล้วบวกส่วนเพิ่มคงที่ (Initial Credit Spread) 3.49% และส่วนเพิ่มตามระยะเวลา (Step-up coupon) อีก 0.25% ต่อปี ไปจนถึง 2% ต่อปี ราคาเสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท ผู้ลงทุนทั่วไปจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ทั้งนี้ BGRIM ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ที่ระดับ “A” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่เสนอขายในครั้งนี้อยู่ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567           ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้สำหรับชำระคืนหนี้หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2562 (BGRIM19PA) ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้สามารถใช้สิทธิในการไถ่ถอนก่อนกำหนดได้ เมื่อหุ้นกู้มีอายุครบ 5 ปี นับจากวันออกหุ้นกู้ ซึ่งจะตรงกับวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 เนื่องจากสิทธิในการนับหุ้นกู้ดังกล่าวเป็นส่วนของทุนได้ 50% ในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตามเกณฑ์ของทริสเรทติ้งได้สิ้นสุดลง โดยหุ้นกู้ดังกล่าวมีมูลค่าคงค้างทั้งสิ้น 8,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการส่งจดหมายแจ้งการใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดไปยังผู้ถือหุ้นกู้รุ่น BGRIM19PA ลงวันที่ 30 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา BGRIM เคยออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ มาแล้ว 2 ครั้ง (ปี 2562 และ 2566) ซึ่งไม่เคยมีประวัติการเลื่อนจ่ายดอกเบี้ย และไม่เคยผิดนัดชำระหนี้กับเจ้าหนี้รายใดๆ สะท้อนให้เห็นความแข็งแกร่งของกิจการ รวมทั้งโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคง           ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ เปิดเผยว่า หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ นี้ได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” และอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ที่ “A” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” จัดอันดับโดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ซึ่งสะท้อนสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง รวมทั้งเส้นทางการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ ด้วยศักยภาพในการเติบโต และความมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจด้านพลังงานอย่างยั่งยืนของ BGRIM จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ผู้ลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ BGRIM อีกทั้งปัจจุบันผู้ลงทุนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ประเภทนี้มากขึ้น จึงนับเป็นโอกาสของผู้ลงทุนที่ต้องการรับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว สำหรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ BGRIM คาดว่าจะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไประหว่างวันที่ 14-15 และ 18-19 พฤศจิกายน 2567 ผ่าน 9 สถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (ยกเว้นสาขาไมโคร) (โทร.1333 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Bangkok Bank Mobile Banking) ธนาคารกรุงไทย (โทร. 02-111-1111) โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Money Connect by Krungthai บนแอปพลิเคชัน Krungthai Next ธนาคารกสิกรไทย (โทร 02-888-8888 กด 869) และรวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ (โทร. 02-777-6784) หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (โทร.02-626-7777) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร และผ่านแอปฯ Dime! ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร (โทร. 02-165-5555) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (โทร.02-680-4004) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (โทร. 02-695-5000) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด (โทร. 02-009-8351-56)           ทั้งนี้ ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากร่างหนังสือชี้ชวน https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSDE01.aspx?TransID=641752

เลือกตั้งสหรัฐฯ เขย่าหุ้นพลังงาน ปรับพอร์ตอย่างไรให้รอด?

เลือกตั้งสหรัฐฯ เขย่าหุ้นพลังงาน ปรับพอร์ตอย่างไรให้รอด?

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุว่า ราคาหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าโดยเฉพาะ GPSC และ BGRIM มีการปรับตัวลดลง -5.4% และ -3.8% ตามลำดับ ขณะที่หุ้นอื่นในกลุ่มก็มีการปรับตัวลงเช่นกัน มองว่าความกังวลในตลาดเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ ราคา JKM LNG ในเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นจากผู้ค้ามีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางและเอเชีย เช่น ความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน และเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้, การเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่กำลังจะมาถึง อาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมLNG ในสหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของไทยที่ปรับเพิ่มขึ้น คงมุมมอง ‘Neutral’ สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า ความกังวลในตลาดเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียดเพิ่มขึ้น การเลือกตั้งสหรัฐฯ และปัจจัยอื่น ๆ           บล.กรุงศรี มองว่าความกังวลในตลาดเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ ราคา JKM LNG ในเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นจากผู้ค้ามีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง จากแหล่งข่าว energy news and natural gas intelligence ตลาดกำลังเฝ้าจับตาเกี่ยวกับพัฒนาการของการโจมตีของอิสราเอลต่ออิหร่าน อิสราเอล ยังคงมุ่งเป้าไปที่ฐานที่มั่นของฮิซบอลลาห์ในเลบานอน ความขัดแย้งที่ทวีความ รุนแรงในตะวันออกกลางทำให้ตลาดก๊าซธรรมชาติไม่แน่นอน ขณะที่การซื้อก๊าซในฤดูหนาวในเอเชียเพิ่มขึ้น และความคาดหวังเกี่ยวกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นช่วยสนับสนุนราคาก๊าซธรรมชาติทั่วโลก นอกจากนี้ความตึงเครียดในเอเชีย ระหว่างจีน-ไต้หวัน และเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ยังเพิ่มความไม่แน่นอนอีกด้วย รวมถึงการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่กำลังจะมาถึง อาจจะส่งผลกระทบต่อทิศทางอุตสาหกรรม LNG ในสหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นและมีความผันผวน ทำให้เกิดความกังวลในตลาดเกี่ยวกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ย คง Neutral rating และคงคำแนะนำ Trading Buy GPSC และ BGRIM           คงมุมมอง Neutral สำหรับกลุ่ม โดยคงคำแนะนำ ‘Trading Buy’ ต่อ BGRIM (TP Bt27), GPSC (TP Bt50), BCPG (TP Bt8.2), EGCO (TP Bt137) และ GULF (TP Bt56.75, pre-synergy) และคงคำแนะนำ ‘Buy’ ต่อ CKP (TP Bt5.2) และGUNKUL (TP Bt3.85)

บี.กริม ฟาร์มา จับมือ อินเตอร์ มโหสถ พันธมิตรในกัมพูชา

บี.กริม ฟาร์มา จับมือ อินเตอร์ มโหสถ พันธมิตรในกัมพูชา

          บี.กริม ฟาร์มา ผู้นำการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพครบวงจรของประเทศไทย ที่อยู่ภายใต้กลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 หมวดธุรกิจหลักของ บี.กริม ประกอบด้วยธุรกิจด้านพลังงาน ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และธุรกิจด้านอุตสาหกรรม บี.กริม ฟาร์มา และ บริษัท อินเตอร์ มโหสถ จำกัด ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศกัมพูชา เพื่อช่วยส่งเสริมการเข้าถึงยารักษาโรคที่มีคุณภาพ โดย อินเตอร์ มโหสถ จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาของ บี.กริม ฟาร์มา ครอบคลุมหลายกลุ่มโรค ได้แก่ 1. กลุ่มยารักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด 2. กลุ่มยารักษาโรคระบบประสาทและจิตเวช และ 3. กลุ่มยารักษาโรคกระดูกและกล้ามเนื้อ รวมทั้งสิ้นกว่า 16 รายการ มีสรรพคุณในการช่วยรักษาโรค ที่ปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก อาทิ โรคซึมเศร้า โรคลมชัก โรคความดันโลหิต โรคเบาหวาน โรคหัวใจ รวมถึง โรคที่เกี่ยวกับอาการปวดระบบประสาท เป็นต้น           ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยจำนวนมากในประเทศกัมพูชา สามารถเข้าถึงยารักษาโรคที่มีคุณภาพในราคาที่เป็นธรรม โดยจะเริ่มจำหน่ายในโรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลเอกชน และ ร้านขายยาในกรุงพนมเปญ และ จังหวัดใกล้เคียง ตั้งแต่เดือน มกราคม 2568 เป็นต้นไป           คุณกิตติศักดิ์ ดำรงธนานุรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บี.กริม ฟาร์มา กล่าวว่า “จากสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีปริมาณความต้องการยาเพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยในประเทศกัมพูชาเพิ่มสูงขึ้น บี.กริม ฟาร์มา ในฐานะผู้นำการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพครบวงจร เรามีความพร้อมที่จะรองรับทุกความต้องการด้านยารักษาโรคและผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนในสังคม ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ อินเตอร์ มโหสถ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือด้วยประสบการณ์ และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับธุรกิจยาในประเทศกัมพูชา การร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนให้ บี.กริม ฟาร์มา ประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจไปในประเทศกัมพูชา อีกทั้ง ยังสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรที่ต้องการส่งเสริมการเข้าถึงยารักษาโรคที่มีคุณภาพ ในราคาที่เป็นธรรมให้แก่ผู้ป่วยได้เป็นจำนวนมาก โดยไม่จำกัดแค่ภายในประเทศไทยเท่านั้น” นายบัวรัย โก้ย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ มโหสถ จำกัด ให้ความเห็นเกี่ยวกับความร่วมมือนี้ว่า “เรารู้สึกยินดีที่ได้ประกาศความร่วมมือกับ บี.กริม ฟาร์มา ในการร่วมกันส่งเสริมการเข้าถึงยารักษาโรคที่มีคุณภาพในประเทศกัมพูชา อินเตอร์ มโหสถ จะนำความเชี่ยวชาญในธุรกิจยาและเครือข่ายพันธมิตรในประเทศกัมพูชา ผสานเข้ากับประสบการณ์อันยาวนานและความเป็นเลิศในด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ของ บี.กริม ฟาร์มา มาเพิ่มโอกาสด้านการรักษาโรคให้แก่ผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ประชาชนในกัมพูชามีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น” บี.กริม ฟาร์มา และ อินเตอร์ มโหสถ ตั้งเป้าที่จะส่งเสริมด้านยารักษาโรคที่มีคุณภาพให้แก่ผู้ป่วยในประเทศกัมพูชาอย่างทั่วถึง ด้วยศักยภาพอันแข็งแกร่งของทั้งสององค์กร เราจะร่วมกันให้บริการโซลูชันด้านสุขภาพที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงยาที่มีคุณภาพได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ           ความร่วมมือนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงโอกาสทางธุรกิจ แต่ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นร่วมกัน ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในกัมพูชาอย่างแท้จริง บี.กริม ฟาร์มา จะมุ่งมั่นในการพัฒนาด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ควบคู่กับการกำกับดูแลคุณภาพการผลิตให้มีมาตรฐานสูงสุดในทุกขั้นตอน จนมั่นใจว่าทุกคนจะสามารถเข้าถึงยารักษาโรคและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพได้อย่างทั่วถึง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมให้ดียิ่งขึ้นไป [PR News]

[ภาพข่าว] BGRIM ส่งต่อความห่วงใยแก่ผู้ประสบอุทกภัยเชียงใหม่

[ภาพข่าว] BGRIM ส่งต่อความห่วงใยแก่ผู้ประสบอุทกภัยเชียงใหม่

          เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567 พลตรี สมพงษ์ สุขประดิษฐ เจ้ากรมการสัตว์ทหารบก และผู้บังคับหน่วยม้าทรงประจำพระองค์ฯ ผู้แทนรับมอบอาหารสำเร็จรูปและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรสมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย ได้แก่ บี.กริม บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุกทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงที่ผ่านมา           สำหรับอาหารสำเร็จรูปและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นดังกล่าว จะได้รับการลำเลียงและขนส่ง ไปยังกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 3 กองพันสัตว์ต่าง (ค่ายตากสิน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่ผู้ประสบอุทกภัย ต่อไป ณ หน่วยม้าทรงประจำพระองค์ฯ สนามเป้า           การผนึกกำลังในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยครั้งนี้ ดำเนินอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2567 หน่วยม้าทรงประจำพระองค์ฯ และสมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับกรมการสัตว์ทหารบก พร้อมด้วยพันธมิตร บี.กริม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด ให้การสนับสนุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยและสัตว์ที่ได้รับผลกระทบ โดยมอบหญ้าฟ่อนแห้ง จำนวน 200 ฟ่อน หญ้าแพงโกล่าสด 10 ตัน และอาหารม้า Maxwin จำนวน 30 กระสอบ พร้อมสนับสนุนอาหาร ยาและเวชภัณฑ์ ตลอดจนสนับสนุนการเคลื่อนย้ายพื้นที่ให้กับผู้ประสบภัยและสัตว์ ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในพื้นที่ อ.แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่

BGRIM เจรจาลูกค้าดาต้าเซ็นเตอร์ 3-5ราย ทยอยขายไฟสิ้นปีคาดผลิต 4,100 MW

BGRIM เจรจาลูกค้าดาต้าเซ็นเตอร์ 3-5ราย ทยอยขายไฟสิ้นปีคาดผลิต 4,100 MW

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล. ASL คาดว่า BGRIM มีแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 (2H67F) ปรับตัวขึ้นจากแนวโน้มต้นทุนก๊าซที่ลดลง ขณะที่โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น พลังงานลมในเกาหลี และอู่ตะเภาเฟสแรก ทยอยขายไฟฟ้าเข้าระบบ (COD) ซึ่งจะช่วยให้สิ้นปีมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 4,100 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ BGRIM ยังอยู่ในระหว่างการเร่งเจรจาขายไฟให้ลูกค้ากลุ่ม Data Center จำนวน 3-5 ราย ในเขตนิคมอุตสาหกรรม Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิของ BGRIM ในปีนี้ที่ 2.12 พันล้านบาท (+1.4% YoY) และในปี 2568 ที่ 2.53 พันล้านบาท (+24% YoY) โดยมีราคาเป้าหมายที่ 28 บาท สำหรับกำหนดการ COD โครงการในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 มี 3 โครงการ ได้แก่: โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อู่ตะเภา เฟสหนึ่ง โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ GIFU ในญี่ปุ่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมบนบก KOPOS ในเกาหลีใต้           ทั้งนี้ BGRIM ยังได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง เนื่องจากบริษัทมีภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งทำให้ BGRIM ที่มีเงินกู้สกุลดอลลาร์มีโอกาสรับ unrealized FX gain ในงวดนี้ นอกจากนี้ยังได้รับ Sentiment เชิงบวกจากการย้ายฐานการผลิตของลูกค้าจีนเข้าสู่ภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น หลังจากที่ทางการสหรัฐฯ มีแผนเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีน ซึ่งช่วยหนุนกลุ่มลูกค้า IU           ราคาหุ้น BGRIM ปรับตัวลงทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย SMA และสร้างแนวรับที่จุดต่ำแท่งเทียนคู่ที่ 23.20 บาท และมีแรงซื้อกลับเข้ามาด้วยแท่งเทียนสีขาวยาว ระหว่างวันปรับทดสอบแนวรับ 24-23.80 บาทได้มั่นคง มีโอกาสเกิด Key Reversal แนวต้านหลักที่ Double Top เดิมที่ 24.80 บาท หากผ่านแนวต้านนี้จะเป็นสัญญาณซื้อรูปแบบแอ่งกระทะขนาดใหญ่ คำแนะนำ ASL กรณี "มีหุ้น" ให้ถือหรือซื้อเพิ่ม รอทดสอบแนวต้านที่ 24.80/25.75-26 บาท กรณี "ไม่มีหุ้น" ซื้อระยะสั้น เน้นยืนแนวรับที่ 24-23.80/23.20 บาท ไม่ควรต่ำกว่าลงมา

[ภาพข่าว] บี.กริม พร้อมพันธมิตรช่วยผู้ประสบภัยและสัตว์ จากน้ำท่วมเชียงใหม่

[ภาพข่าว] บี.กริม พร้อมพันธมิตรช่วยผู้ประสบภัยและสัตว์ จากน้ำท่วมเชียงใหม่

           บี.กริม ร่วมกับ กรมการสัตว์ทหารบก หน่วยม้าทรงประจำพระองค์ฯ พร้อมด้วยพันธมิตรและภาคีเครือข่ายสมาชิก สมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย สนับสนุนอาหารและหญ้าแห้ง ยาและเวชภัณฑ์ และการเคลื่อนย้ายพื้นที่ให้กับผู้ประสบภัยและสัตว์ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมเร่งช่วยเหลือ ศูนย์บริบาลช้างฯ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่            เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะที่ปรึกษาศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) ปฏิบัติการส่วนหน้า เดินทางไปที่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและการดำเนินงานของศูนย์ประสานงานให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงใหม่ โดยได้ประสาน กรมการสัตว์ทหารบก เพื่อให้ความช่วยเหลือ ศูนย์บริบาลช้างฯ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ พร้อมสนับสนุนอาหารและหญ้าแห้ง ยาและเวชภัณฑ์ และสนับสนุนการเคลื่อนย้ายพื้นที่ให้กับผู้ประสบภัยและสัตว์ ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในพื้นที่ อ.แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่            โดยมีกรมการสัตว์ทหารบก ร่วมกับหน่วยม้าทรงประจำพระองค์ฯ และสมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยพันธมิตร บี.กริม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด ให้การสนับสนุน ช่วยเหลือผู้ประสบภัยและสัตว์ ที่ได้รับผลกระทบ โดยมอบหญ้าฟ่อนแห้ง หญ้าแพงโกล่าสด และอาหารม้า Maxwin ณ บ้านแม่ตะมาน ต.กื๊ดช้าง อ.แม่แตง สำหรับเป็นอาหารสัตว์ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่            ทั้งนี้ ศูนย์อภิบาลและอนุรักษ์ช้างฯ จะดำเนินการเคลื่อนย้ายม้ามายังบ้านแม่ตะมาน ต.กื๊ดช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เมื่อสร้างคอกเรียบร้อยแล้ว (ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการ) โดยกรมการสัตว์ฯ ยังมีแผนการดำเนินการให้หน่วยงานในพื้นที่สนับสนุนหญ้าแพงโกล่าตัดสด วันละ 1 ตัน และสำรวจความต้องการอาหารม้า Maxwin ในพื้นที่อุทกภัยต่อไป            บี.กริม ได้ให้การสนับสนุนกีฬาขี่ม้ามายาวนาน ด้วยการสนับสนุนผ่านสมาคมขี่ม้าแห่งประเทศไทย เพื่อการพัฒนาศักยาภาพของกีฬาขี่ม้าในประเทศไทยในทุก ๆ มิติ นอกจากนี้ บี.กริม ยังได้จัดการแข่งขันกีฬาขี่ม้าโปโลเพื่อการกุศล ระดมทุนสนับสนุนโรงเรียนและมูลนิธิต่างๆ เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนในการพัฒนาวิชาชีพของโรงเรียนจิตรลดา (สายวิชาชีพ) ช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเต้านมผ่านมูลนิธิมะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติฯ ตลอดจนส่งเสริมโอกาสและการสร้างอาชีพให้แก่ผู้ต้องขังเมื่อกลับคืนสู่สังคมอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปี

[ภาพข่าว] BGRIM คว้า 2 รางวัล จากเวที IAA Awards 2024

[ภาพข่าว] BGRIM คว้า 2 รางวัล จากเวที IAA Awards 2024

          เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) รับรางวัล Outstanding CFO และ Outstanding IR ในหมวดอุตสาหกรรมพลังงานและสาธารณูปโภค จากคุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในงานมอบรางวัล IAA Awards for Listed Companies 2024 โดยได้รับการโหวตจากนักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุน ในฐานะเป็นผู้ให้ข้อมูลกับนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และกองทุนในเชิงลึก ตรงประเด็น และชัดเจน เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการบริหารงานดีเด่น มีจรรยาบรรณและธรรมาภิบาล  ซึ่งจัดขึ้นโดย สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ณ ห้องแกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 2  โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก  อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล           ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า “บริษัทคว้า 2 รางวัล Outstanding CFO และ Outstanding IR ในหมวดอุตสาหกรรมพลังงานและสาธารณูปโภค” จากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ในงาน IAA Awards 2024 โดย 2 รางวัลดังกล่าว ประกอบด้วย นางสาวศิริวงศ์ บวรบุญฤทัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ - สายงานการเงินและบัญชี รับรางวัล Outstanding CFO และนางสาวณัฐชนน ชวินสิทธางกูร ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ รับรางวัล Outstanding IR สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ บี.กริม เพาเวอร์ ในฐานะบริษัทชั้นนำในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงการนำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วน ถูกต้อง และทันต่อสถานการณ์ และการยึดหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินงาน ตลอดจนวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนเคียงข้างสังคมไทย           “การได้รับรางวัลนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ บี.กริม ที่ส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักธรรมาภิบาล การบริหารห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) อย่างรับผิดชอบ และคำนึงถึงผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าว           สำหรับรางวัล IAA Awards for Listed Companies เป็นรางวัลที่มอบให้กับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ใน 14 กลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อประกาศเกียรติคุณและยกย่องผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารงาน ซึ่งนำพาให้บริษัทประสบความสำเร็จ และเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น ผ่านการให้ข้อมูลกับนักวิเคราะห์ ทำให้เกิดบทวิเคราะห์ที่มีคุณภาพไปสู่นักลงทุน

[PR News] บี.กริม มุ่งพัฒนาระบบปรับอากาศ ชู HVAC Sustainable Energy Solutions

[PR News] บี.กริม มุ่งพัฒนาระบบปรับอากาศ ชู HVAC Sustainable Energy Solutions

          บี.กริม เทคโนโลยี เปิดตัว HVAC Sustainable Energy Solutions มุ่งปรับปรุงระบบปรับอากาศเดิมสำหรับภาคอุตสาหกรรมและอาคารสำนักงาน รับประกันประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย พร้อมตอบโจทย์ธุรกิจอย่างยั่งยืน จัดแสดงในงาน TMA 2024 - 60 Years of Excellence           บี.กริม เทคโนโลยี เผยโฉม HVAC Sustainable Energy Solutions ทางเลือกใหม่ล่าสุดที่มุ่งพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบทำความเย็นที่มาพร้อมกับระบบควบคุมอัตโนมัติ เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ พร้อมนำเสนอหลากหลายโซลูชันครบวงจรเพื่อการประหยัดพลังงานและความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับอาคารและโรงงานอุตสาหกรรม ภายในงาน TMA 2024 - 60 Years of Excellence ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันที่ 16-19 กันยายน ที่ผ่านมา           ตลอดงานแสดงนวัตกรรมเพื่อธุรกิจในครั้งนี้ บี.กริม เทคโนโลยี และบริษัทพันธมิตรชั้นนำ ได้นำเสนอนวัตกรรมที่จะผลักดันให้อาคารและโรงงานอุตสาหกรรมใช้พลังงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและเกิดสุขภาวะที่ดีต่อผู้ใช้งานทุกคน ไม่ว่าจะเป็น HVAC Sustainable Energy Solutions โซลูชันใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านระบบปรับอากาศประสิทธิภาพสูงด้วยบริการแบบครบวงจรในที่เดียว โซลูชันการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร (Integrated EV Charging Solutions) โซลูชันโซลาร์ รูฟท็อป (Solar Rooftop) โซลูชันระบบแสงสว่างเปลือกอาคาร (Facade Lighting) โซลูชันเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับผู้ใช้งานอาคาร พร้อมด้วยการให้คำแนะนำและช่วยจัดหา ซื้อ-ขาย ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) จากแหล่งพลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรม พร้อมไปกับการแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับอนาคตแห่งความยั่งยืน โดยนายนพเดช กรรณสูต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ร่วมเสวนาในเวที The New Leaders’ Perspective: Sustainability Way Forward หนึ่งในประเด็นสำคัญของงาน TMA ในปีนี้           นายอานนท์ กุลวงษ์วาณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.กริม เทคโนโลยี จำกัด เปิดเผยว่า บี.กริม เทคโนโลยี เล็งเห็นถึงปัญหาของอาคารและโรงงานเก่าที่มีระบบปรับอากาศติดตั้งมาเป็นเวลานาน ซึ่งมีประสิทธิภาพต่ำและใช้พลังงานมากเนื่องจากเป็นเทคโลโยลีที่ล้าสมัย และยังคงใช้สารทำความเย็นที่ทำลายชั้นบรรยากาศอีกด้วย ทางบริษัทฯ จึงเปิดตัว HVAC Sustainable Energy Solutions โซลูชันใหม่ล่าสุด ที่มุ่งพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของ Chiller Plant ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมกับการดูแลและรับประกันประสิทธิภาพการทำความเย็นตลอดอายุสัญญา ลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ พร้อมด้วยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านระบบปรับอากาศให้บริการบำรุงรักษาระบบตลอดอายุสัญญา โดยเจ้าของอาคารและโรงงานอุตสาหกรรมสามารถเลือกลงทุนได้หลากหลายวิธี ได้แก่ การลงทุนทั้งระบบแบบครั้งเดียว การเช่าใช้ระบบปรับอากาศ หรือการซื้อบริการความเย็นตามต้องการโดยไม่ต้องลงทุนเอง หรือ Cooling-as-a-Service           บี.กริม ให้ความสำคัญกับการบริการแบบ One-stop Service ในการออกแบบ จัดหา ติดตั้ง ไปจนถึงการบำรุงรักษา เพื่อให้บริการแบบไร้รอยต่อในทุก ๆ โซลูชันเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บี.กริม และโซลูชันอัจฉริยะเพื่อการจัดการพลังงานและความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน สามารถเข้าถึงได้ที่ https://bgrimmtechnologies.com/

วิพากษ์หุ้นโรงไฟฟ้า ใครจะได้ประโยชน์หลัก

วิพากษ์หุ้นโรงไฟฟ้า ใครจะได้ประโยชน์หลัก

          หุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี คาดว่า GULF จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลัก ตามมาด้วย GUNKUL, BGRIM และ GPSC เราคง ‘NEUTRAL’ สำหรับกลุ่ม เนื่องจากการประเมินมูลค่า (valuation) ปัจจุบัน ได้ถูกสะท้อนข่าวดีไปในราคาแล้ว จากการที่ กกพ. เดินหน้าเปิดประมูลรอบที่ 2 สำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนรวม 3.6 GW โดยจะประเมินข้อเสนอจากผู้สมัครจำนวน 198 รายตามคะแนนคุณภาพโดยไม่ต้องแก้ไขข้อเสนอขายไฟฟ้า และจะประกาศผลคัดเลือกภายในสิ้นปีนี้           ด้วยการประมูลรอบที่สองสำหรับกำลังการผลิตรวม 3.6 กิกะวัตต์ภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในรอบนี้จะประกอบด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ 2,632 เมกะวัตต์, พลังงานลม 1,000 เมกะวัตต์, พลังงานชีวมวล 6.5 เมกะวัตต์, และพลังงานจากของเสียอุตสาหกรรม 30 เมกะวัตต์ เพื่อดึงดูดผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้ามากขึ้น กกพ. มีแผนจัดสรรโควตาให้กับผู้ประมูลที่ไม่ได้รับโครงการในรอบแรกเป็นการเฉพาะ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน จะมีกฎระเบียบใหม่ในการจัดซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนภายใต้ระบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565-2573 ซึ่งรวมถึงการซื้อเพิ่มเติมจากผู้สมัคร 198 รายที่เคยผ่านเกณฑ์ความพร้อมทางเทคนิคมาแล้ว แต่ไม่ได้รับการคัดเลือกเนื่องจากปริมาณการจัดซื้อเต็มแล้ว กกพ. จะประเมินการซื้อไฟฟ้าจากคะแนนคุณภาพโดยไม่ต้องแก้ไขข้อเสนอเดิม โดยจำกัดที่ 600 เมกะวัตต์สำหรับพลังงานลม และ 1,580 เมกะวัตต์สำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนพื้นดิน คาดว่าจะประกาศผู้ชนะการประมูลภายในสิ้นปี 2567           หากอ้างอิงถึงผลผู้ชนะการประมูลในรอบแรกและจำนวนเมกะวัตต์ที่ยังไม่ผ่านรอบแรกของแต่ละบริษัท เราคาดว่า GULF (Unrated) จะได้ประโยชน์มากที่สุด ตามมาด้วย GUNKUL, BGRIM, GPSC ทั้งนี้ในรอบแรก GULF ชนะการประมูลคิดเป็น 38% ของการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 5.2 GW ตามมาด้วย GUNKUL (16%), SSP (3.3%), BGRIM (3.1%), WHAUP (2.4%), GPSC (0.15%) และอื่นๆ (37%) เรามองว่าการเดินหน้าและมีความชัดเจนนี้จะส่งผลบวกต่อกระบวนการรับรองไฟฟ้าสีเขียวตามแนวทาง Utility Green Tariff (UGT) ของ กกพ. ที่ต้องอาศัยการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในโครงการรับซื้อไฟฟ้าเช่นกัน ที่ถ้าได้ข้อสรุปจะสามารถประเมินผลตอบแทนได้ชัดเจนขึ้นต่อการลงทุนดังกล่าว           บล.กรุงศรี มีมุมมอง Neutral สำหรับกลุ่ม โดยคงคำแนะนำ Trading Buy ต่อ BGRIM (TP Bt27), GPSC (TP Bt50), BCPG (TP Bt8.20), EGCO (TP Bt137) และคำแนะนำ Buy ต่อ GUNKUL (TP Bt3.85)

BGRIM ลงนามขายไฟฟ้าโซลาร์กับรัฐนาน 25 ปี กำลังผลิตรวม 323.3MW

BGRIM ลงนามขายไฟฟ้าโซลาร์กับรัฐนาน 25 ปี กำลังผลิตรวม 323.3MW

          กลุ่มบี.กริม เพาเวอร์ ลงนามในสัญญาขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์กับภาครัฐนาน 25 ปี กำลังผลิตรวม 323.3 เมกะวัตต์ เตรียมเดินเครื่อง COD ปี 2569             บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)  โดยบริษัทย่อย และกิจการร่วมค้า ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นระยะเวลา 25 ปี เพื่อร่วมพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (Solar farms) กำลังการผลิตรวม 323.3 เมกาวัตต์ โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่ปี 2569 ถึงปี 2573           ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM กล่าวว่า การเข้าร่วมโครงการดังกล่าวจะช่วยพัฒนาธุรกิจพลังงานสะอาด ขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน สอดคล้องกับกลยุทธ์ GreenLeap-Global and Green เพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกพลังงานและความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ด้วยการจัดหาพลังงานที่มีเสถียรภาพ สามารถเข้าถึงได้และสร้างความยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรม เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก           ทั้งนี้ ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บี.กริม เพาเวอร์มุ่งมั่นที่จะขยายการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและพัฒนาในหลายประเทศ อาทิ ประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา กรีซ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดิอาระเบีย รวมทั้งประเทศไทย โดยการขยายการลงทุนในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการมุ่งหน้าสู่เป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 50% เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาก๊าซธรรมชาติในระยะยาวและยังเป็นการขยายความร่วมมือทางธุรกิจเพื่อสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อการต่อยอดและสร้างโอกาสทางธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมายกำลังผลิตไฟฟ้า 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 และก้าวสู่เป้าหมายองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net-Zero ภายในปี ค.ศ. 2065 (ปี พ.ศ. 2608)           “บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งมั่นต่อยอดและขยายการลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง ตามวิสัยทัศน์องค์กร มุ่งสร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี (Empowering the World Compassionately)” ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวทิ้งท้าย

BGRIM เซ็นสัญญาขายโซลาร์กับรัฐ 323.3 เมกะวัตต์ 

BGRIM เซ็นสัญญาขายโซลาร์กับรัฐ 323.3 เมกะวัตต์ 

          BGRIM เซ็นสัญญาขายโซลาร์กับรัฐ 323.3 เมกะวัตต์  เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ปี 2569-2573           ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (“บี.กริม เพาเวอร์”) ขอเรียนให้ทราบว่า บริษัทย่อยและ การร่วมค้าจำนวน 8 บริษัทซึ่ง บี.กริม เพาเวอร์ ถือหุ้นร่วมกับบริษัทพันธมิตรอื่นๆ ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อ ขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (“กฟผ.”) และการไฟฟ้า ส่วนภูมิภาค (“กฟภ.”) เป็นระยะเวลา 25 ปี เพื่อพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ แบบติดตั้งบนพื้นดิน (Solar farms) กำลังการผลิตตามสัญญารวมทั้งสิ้น 323.3 เมกาวัตต์โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2569 ถึง ปี 2573 ตามประกาศคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานและ ประกาศอื่นที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) โดยมีรายละเอียดดังนี้           การเข้าร่วมโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์ GreenLeap-Global and Green ของ บี.กริม เพาเวอร์ เพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกพลังงาน ด้วยการจัดหาพลังงานสะอาดให้กับประเทศไทย มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี2608

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011