ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#AWC


AWC คาดกำไรปี 68 โต 25% เปิด 3 โรงแรมใหม่ หนุน โบรกเคาะเป้า 4 บ.

AWC คาดกำไรปี 68 โต 25% เปิด 3 โรงแรมใหม่ หนุน โบรกเคาะเป้า 4 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุ AWC กำไรปกติ 4Q67F เติบโตแรงทั้ง QoQ, YoY ตาม RevPAR เพิ่มขึ้น จากการเข้าสู่ High Season ของภาคท่องเที่ยว หนุน OCR และ ARR โตแรง บวกกับค่าใช้จ่ายภาษีที่ลดลง ส่งผลให้กำไรปกติทั้งปี 67 เติบโต +76% YoY ▪ คาดกำไร 1Q68F ยังดีต่อเนื่อง จาก RevPAR เดือน ม.ค. +18% YoY จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาไทยมากขึ้น ขณะคาดกำไรปกติทั้งปี 68 +25% YoY หนุนจาก RevPAR ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเปิดโรงแรมใหม่ 3 แห่ง ช่วง 1H68 ▪ แนวรับ=2.88/2.92 แนวต้าน=3.1/3.2           AWC | ซื้อ | TP=4 บ.

AWC ทุ่ม 8.7 พันล้าน ซื้อ

AWC ทุ่ม 8.7 พันล้าน ซื้อ "เลอ คองคอร์ด" ดัน JW Marriott ลุยทำเลรัชดาฯ

          หุ้นวิชั่น - AWC เดินหน้าขยายพอร์ตอสังหาฯ อนุมัติซื้อหุ้น เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล พร้อมอาคารสำนักงาน รวมมูลค่า 8,704 ล้านบาท ผนึก JW Marriott พัฒนาเป็น Jubilee Prestige Tower ศูนย์กลางธุรกิจและไลฟ์สไตล์บนถนนรัชดาภิเษก มุ่งสู่โมเดล AWC’s Lifestyle Destination คาดเปิดตัวเต็มรูปแบบปี 2571           บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC มีมติอนุมัติการได้มาซึ่งทรัพย์สินของบริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อย โดยการเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดในบริษัท เลอคองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด เพื่อให้ได้มาซึ่งโครงการโรงแรมและอาคารสำนักงาน เลอ คองคอร์ด จากนิติบุคคล ซึ่งไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ โดยมีมูลค่ารวมสุทธิประมาณ 4,415.0 ล้านบาท และเงินลงทุนเพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการจำนวนประมาณ 4,289.0 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) การเข้าทำรายการนี้คิดเป็นมูลค่าการลงทุน ประมาณ 8,704.0 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)           นอกจากนี้ มีมติให้บริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อย เข้าลงทุนเพิ่มเติมในบริษัท เอดับบลิวซี ฮอสปิทอลลิตี้ เดเวลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมอีกจำนวน 4,900 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 49 ในอัตราหุ้นละ 100 บาท รวมมูลค่า 490,000 บาท จากนิติบุคคลซึ่งไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของ           บริษัทฯ และจัดเงินกู้ผู้ถือหุ้นรวมประมาณ 8,768 ล้านบาท (เงินกู้ผู้ถือหุ้น 64 ล้านบาท และเงินกู้ผู้ถือหุ้นใหม่ 8,704ล้านบาท)โดยการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ทำให้บริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อยเป็นเจ้าของหุ้นสามัญทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ100 ในบริษัท เอดับบลิวซี ฮอสปิทอลลิตี้ เดเวลอปเมนท์ จำกัด และจะดำเนินการให้บริษัทดังกล่าว เป็นผู้เข้าลงทุนในบริษัท เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้จะมีผลให้บริษัท เอดับบลิวซี ฮอสปิทอลลิตี้เดเวลอปเมนท์ จำกัด และบริษัท เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด เป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ บริษัท เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด มีทรัพย์สินครอบคลุม • อาคารสำนักงานขนาด 45,792 ตารางเมตร • โรงแรมขนาด 407 ห้อง           ที่ช่วยสร้างกระแสเงินสดได้อย่างทันทีให้กับบริษัทฯ โดยบริษัทฯ มีแผนพัฒนาโครงการนี้ภายใต้ชื่อ Jubilee Prestige Tower ให้เป็นอาคารสำนักงานไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ และโรงแรมหรูภายใต้แบรนด์ JW Marriottที่บริหารงานโดย แมริออท อินเตอร์เนชันแนล เครือโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นโครงการที่ตั้งอยู่ใจกลางถนนรัชดาภิเษก โดยมีแผนพัฒนาให้เป็นโมเดล AWC’s Lifestyle Destination ผสมผสาน Wellness และประสบการณ์แบบ Bleisure และ Luxury MICE พร้อมเปิดดำเนินการได้เต็มรูปแบบภายใต้แบรนด์ใหม่ภายในปี 2571           การเข้าทำรายการดังกล่าวเข้าข่ายเป็น รายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ที่มีขนาดรายการเล็ก ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 20/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทำรายการที่มีนัยสำคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ (รวมทั้งที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม) และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ พ.ศ. 2547 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) (รวมเรียกว่า “ประกาศเรื่องรายการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์”) บริษัทฯ จึงไม่มีหน้าที่ต้องเปิดเผยสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามประกาศเรื่องการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์           ทั้งนี้ รายการดังกล่าว ไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันอย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องรายงานการได้มาซึ่งบริษัทย่อย ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการเปิดเผยสารสนเทศและการปฏิบัติการใด ๆ ของบริษัทจดทะเบียนเนื่องจากเป็นกรณีที่บริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทย่อยมีการได้มาซึ่งเงินลงทุนในบริษัทอื่น ซึ่งเป็นผลให้บริษัทอื่นนั้นมีสภาพเป็นบริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียน

AWC สร้างสถิติใหม่! กำไรสุทธิปี 67 แตะ 5.85 พันล้าน โต 14.6%

AWC สร้างสถิติใหม่! กำไรสุทธิปี 67 แตะ 5.85 พันล้าน โต 14.6%

          หุ้นวิชั่น - AWC โชว์ผลงานปี 2567 เติบโตแข็งแกร่ง สร้าง 5 สถิติสูงสุดใหม่ กำไรสุทธิ 5,850 ล้านบาท โต 14.6% YoY ดัน RevPAR พุ่ง 14.8% สูงกว่าตลาด พร้อมปันผลหุ้นละ 0.075 บาท เพิ่มขึ้น 50% ผู้ถือหุ้นรับทรัพย์ 2,400 ล้าน!           บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) หรือ AWC ขอแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2568           ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ดังนี้ 1. มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ของบริษัทฯ (“ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ”) เพื่อพิจารณาอนุมัติงบการเงินของบริษัทฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งผ่านการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานโดยสรุปมีดังต่อไปนี้ • บริษัทฯ มีผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 2567 พร้อมสร้าง 5 สถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ จากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและกลยุทธ์การลงทุนที่แข็งแกร่ง ได้แก่ 1. กำไรสุทธิ 5,850 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 14.6 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน (YoY) 2. กำไรจากการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจ (BU EBITDA) 11,965 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 11.9 (YoY) 3. รายได้เฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate: ADR) 5,873 บาทต่อคืน เติบโตร้อยละ 3.8 (YoY) 4. รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) 4,200 บาทต่อคืน เติบโตร้อยละ 14.8 (YoY) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด 5. อัตราผลตอบแทนกำไรจากการดำเนินงานต่อทรัพย์สินถาวร (EBITDA Yield) ของทรัพย์สินดำเนินงานเติบโตสู่ร้อยละ 10.1 โดยมีมูลค่าทรัพย์สินถาวรรวมเติบโตเท่าตัวภายใน 5 ปี สู่มูลค่า 198,726 ล้านบาท บริษัทฯ ดำเนินกลยุทธ์ GROWTH-LED Strategy และพัฒนาโครงการคุณภาพร่วมกับพันธมิตรระดับโลกเพื่อสร้าง AWC’s Lifestyle Destination ในเมืองท่องเที่ยวสำคัญทั่วไทย • กลุ่มธุรกิจโรงแรม เดินหน้าสร้างกระแสเงินสดอย่างก้าวกระโดด โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและบริการ เติบโตร้อยละ 31 เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) จากผลประกอบการที่เติบโตโดดเด่นในทุกเซกเมนต์ และยังสร้างการเติบโตเหนือกว่าตลาดในหลายมิติ ได้แก่ • อัตราการเข้าพักอยู่ที่ร้อยละ 72 เติบโตแข็งแกร่งร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) • รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) อยู่ที่ 4,200 บาท เติบโตร้อยละ 14.8 เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) • มีดัชนีการสร้างรายได้ (Revenue Generation Index หรือ RGI) สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด โดยเฉพาะ o โรงแรมกลุ่มรีสอร์ตระดับลักซ์ชัวรีที่มีค่า RGI อยู่ที่ 123 o โรงแรมในกรุงเทพฯ ที่มีค่า RGI อยู่ที่ 119 • กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ เติบโตได้ดี โดยยังคงสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงควบคู่กับการเติบโตต่อเนื่อง • มีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ของกลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียลเติบโตร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) • มียอดปล่อยพื้นที่เช่าใหม่มากกว่า 34,000 ตารางเมตร (ย้อนหลัง 12 เดือน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) • บริษัทฯ มุ่งยกระดับธุรกิจอาคารสำนักงานสู่แนวคิด “Lifestyle Workplace Destination” • มุ่งพัฒนาศูนย์การค้าด้วยประสบการณ์ “Lifestyle Retail Destination” • เปิดตัว "ฟีนิกซ์" ศูนย์กลางด้านอาหารครบวงจรระดับโลก ใจกลางย่านประตูน้ำ 2. มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท เพื่อพิจารณาอนุมัติการจัดสรรกำไรสุทธิเพื่อเป็นทุนสำรองตามกฎหมายเป็นจำนวนประมาณ 180 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ และพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการที่ปรากฏตามงบการเงินรวม ประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.075 บาท รวมเป็นเงินจำนวนประมาณ 2,400 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น ร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับปีก่อน หากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลดังกล่าว • วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date): 9 พฤษภาคม 2568 • วันจ่ายเงินปันผล: 28 พฤษภาคม 2568 นอกจากนี้ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ขอแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2568ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ดังนี้มีมติอนุมัติการได้มาซึ่งทรัพย์สินของบริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อย โดยการเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดในบริษัท เลอคองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด เพื่อให้ได้มาซึ่งโครงการโรงแรมและอาคารสำนักงาน เลอ คองคอร์ด จากนิติบุคคลซึ่งไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ โดยมีมูลค่ารวมสุทธิประมาณ 4,415.0 ล้านบาท และเงินลงทุนเพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการจำนวนประมาณ 4,289.0 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) การเข้าทำรายการนี้คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 8,704.0 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) นอกจากนี้ มีมติให้บริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อย เข้าลงทุนเพิ่มเติมในบริษัท เอดับบลิวซี ฮอสปิทอลลิตี้ เดเวลอปเมนท์ จำกัดซึ่งเป็นการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมอีกจำนวน 4,900 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 49 ในอัตราหุ้นละ 100 บาท รวมมูลค่า 490,000 บาทจากนิติบุคคลซึ่งไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ และจัดเงินกู้ผู้ถือหุ้นรวมประมาณ 8,768 ล้านบาท(เงินกู้ผู้ถือหุ้น 64 ล้านบาท และเงินกู้ผู้ถือหุ้นใหม่ 8,704 ล้านบาท) โดยการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ทำให้บริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อยเป็นเจ้าของหุ้นสามัญทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ100 ในบริษัท เอดับบลิวซี ฮอสปิทอลลิตี้ เดเวลอปเมนท์ จำกัด และจะดำเนินการให้บริษัทดังกล่าวเป็นผู้เข้าลงทุนในบริษัท เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้จะมีผลให้บริษัท เอดับบลิวซี ฮอสปิทอลลิตี้เดเวลอปเมนท์ จำกัด และบริษัท เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด เป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ บริษัท เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด มีทรัพย์สินครอบคลุม • อาคารสำนักงานขนาด 45,792 ตารางเมตร • โรงแรมขนาด 407 ห้อง ที่ช่วยสร้างกระแสเงินสดได้อย่างทันทีให้กับบริษัทฯ โดยบริษัทฯ มีแผนพัฒนาโครงการนี้ภายใต้ชื่อ Jubilee Prestige Tower ให้เป็นอาคารสำนักงานไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ และโรงแรมหรูภายใต้แบรนด์ JW Marriottที่บริหารงานโดย แมริออท อินเตอร์เนชันแนล เครือโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นโครงการที่ตั้งอยู่ใจกลางถนนรัชดาภิเษก โดยมีแผนพัฒนาให้เป็นโมเดล AWC’s Lifestyle Destination ผสมผสาน Wellness และ ประสบการณ์แบบ Bleisure และ Luxury MICE พร้อมเปิดดำเนินการได้เต็มรูปแบบภายใต้แบรนด์ใหม่ภายในปี 2571การเข้าทำรายการดังกล่าว เข้าข่ายเป็น รายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ที่มีขนาดรายการเล็ก ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 20/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทำรายการที่มีนัยสำคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ (รวมทั้งที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม) และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ พ.ศ. 2547 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) (รวมเรียกว่า “ประกาศเรื่องรายการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์”) บริษัทฯ จึงไม่มีหน้าที่ต้องเปิดเผยสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามประกาศเรื่องการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์

“Jurassic World” มา! ดึงเม็ดเงินท่องเที่ยวต่างชาติ

“Jurassic World” มา! ดึงเม็ดเงินท่องเที่ยวต่างชาติ

          หุ้นวิชั่น - โครงการ "Jurassic World: The Experience" โครงการมูลค่า 1,200 ล้านบาท ของ AWC ตั้งเป้าปั้นเป็นศูนย์กลางความบันเทิงระดับโลกแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักวิเคราะห์มองบวก คาดช่วยหนุนภาคท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว ดึงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ กระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง           นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในโครงการ “Jurassic World: The Experience” ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของประเทศไทยและเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับมุมมองเชิงบวกต่อภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและกระตุ้นเม็ดเงินไหลเข้าประเทศ           บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (AWC) ถูกมองว่าเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการลงทุนดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามว่าโครงการนี้จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติได้มากเพียงใด รวมถึงระยะเวลาการก่อสร้างที่จะส่งผลต่อความคืบหน้าของโครงการ           นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนโครงการสร้างแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ “Jurassic World: The Experience” ของบริษัท แอสเสท เวิรด์ แอทแทรคชั่น แอนด์ รีเทล จำกัด บริษัทในเครือของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร โดยโครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท บนพื้นที่ 4,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยบริษัทจะพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวดังกล่าวให้เป็นแลนด์มาร์กใหม่ของกรุงเทพฯ และประเทศไทย           โครงการดังกล่าวถือเป็นการลงทุนสร้างศูนย์กลางการท่องเที่ยวและความบันเทิงระดับโลกโดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ชื่อดัง “Jurassic World” จาก Universal Pictures และ Amblin Entertainment ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสร้างไดโนเสาร์แอนิมาทรอนิกส์ที่มีการเคลื่อนไหวเสมือนจริง โดยใช้นวัตกรรมการออกแบบ 3 มิติ และใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมการเคลื่อนไหว เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่สมจริงมากที่สุด ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะแฟนคลับคนรักไดโนเสาร์ที่มีอยู่ทั่วโลก โดยโครงการนี้ถือเป็นประสบการณ์ความบันเทิงรูปแบบอิมเมอร์ซีฟที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก และเป็นแห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้           “ภาคการท่องเที่ยว ถือเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนำเงินเข้าสู่ประเทศไทย โดยปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากกว่า 35 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 1.67 ล้านล้านบาท ในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นฮับการท่องเที่ยวของภูมิภาค เราจำเป็นต้องเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวให้พร้อม ทั้งด้านบุคลากร คุณภาพของการบริการ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การจัดกิจกรรมนานาชาติหรืออีเวนต์ขนาดใหญ่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ รวมทั้งการสร้างแหล่งท่องเที่ยวแบบ Man-made ที่จะเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของประเทศ” นายนฤตม์ กล่าว           ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2558 – 2567) บีโอไอได้ส่งเสริมลงทุนกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจำนวน 209 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 2 แสนล้านบาท ครอบคลุมทั้งกิจการโรงแรม ศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมไทย กิจการมหกรรม ดนตรี กีฬา และเทศกาลนานาชาติ รวมทั้งกิจการสวนสนุก

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

BOI ไฟเขียว AWC หนุนลงทุน Jurassic World

BOI ไฟเขียว AWC หนุนลงทุน Jurassic World

          หุ้นวิชั่น - บีโอไอ อนุมัติส่งเสริมลงทุน โครงการ “Jurassic World: The Experience” แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 4,000 ตารางเมตร แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ปั้นเป็นแลนด์มาร์กระดับโลก สนับสนุนภาคท่องเที่ยวไทย เผยยอดส่งเสริมลงทุนกิจการกลุ่มท่องเที่ยวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กว่า 200 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 2 แสนล้านบาท           นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนโครงการสร้างแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ “Jurassic World: The Experience” ของบริษัท แอสเสท เวิรด์ แอทแทรคชั่น แอนด์ รีเทล จำกัด บริษัทในเครือของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร โดยโครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท บนพื้นที่ 4,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยบริษัทจะพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวดังกล่าวให้เป็นแลนด์มาร์กใหม่ของกรุงเทพฯ และประเทศไทย           โครงการดังกล่าวถือเป็นการลงทุนสร้างศูนย์กลางการท่องเที่ยวและความบันเทิงระดับโลกโดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ชื่อดัง “Jurassic World” จาก Universal Pictures และ Amblin Entertainment ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสร้างไดโนเสาร์แอนิมาทรอนิกส์ที่มีการเคลื่อนไหวเสมือนจริง โดยใช้นวัตกรรมการออกแบบ 3 มิติ และใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมการเคลื่อนไหว เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่สมจริงมากที่สุด ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะแฟนคลับคนรักไดโนเสาร์ที่มีอยู่ทั่วโลก โดยโครงการนี้ถือเป็นประสบการณ์ความบันเทิงรูปแบบอิมเมอร์ซีฟที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก และเป็นแห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้           “ภาคการท่องเที่ยว ถือเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนำเงินเข้าสู่ประเทศไทย โดยปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากกว่า 35 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 1.67 ล้านล้านบาท ในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นฮับการท่องเที่ยวของภูมิภาค เราจำเป็นต้องเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวให้พร้อม ทั้งด้านบุคลากร คุณภาพของการบริการ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การจัดกิจกรรมนานาชาติหรืออีเวนต์ขนาดใหญ่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ รวมทั้งการสร้างแหล่งท่องเที่ยวแบบ Man-made ที่จะเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของประเทศ” นายนฤตม์ กล่าว           ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2558 – 2567) บีโอไอได้ส่งเสริมลงทุนกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจำนวน 209 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 2 แสนล้านบาท ครอบคลุมทั้งกิจการโรงแรม ศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมไทย กิจการมหกรรม ดนตรี กีฬา และเทศกาลนานาชาติ รวมทั้งกิจการสวนสนุก

จับตาท่องเที่ยวโค้งแรกพีค ชู AWC - CENTEL เด่น

จับตาท่องเที่ยวโค้งแรกพีค ชู AWC - CENTEL เด่น

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ57' กลุ่มท่องเที่ยว ว่า คาดกำไรยังแข็งแกร่งต่อเนื่องในช่วงไฮซีซันผลประกอบการเด่นก่อนเข้าสู่ช่วงพีคใน 1Q68 คาดการณ์กำไรหลักรวมของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว 5 บริษัทที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ที่ 9.6 พันล้านบาท (+18% YoY, +34% QoQ) หรือคิดเป็น 87% ของระดับ 4Q62 โดยการเติบโต YoY ได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์นักท่องเที่ยวต่างชาติที่แข็งแกร่งในไทย ส่งผลให้ RevPAR เฉลี่ยของโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 13% ต้นทุนดำเนินงานยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้สำหรับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเริ่มลดลงยกเว้น CENTEL คาดว่า 1Q68 จะเป็นไตรมาสที่พีคที่สุดของภาคการท่องเที่ยวด้วยโมเมนตัมกำไรที่แข็งแกร่งในรายไตรมาสและแนวโน้มเชิงบวกในปี 68 (กำไรกลุ่มเติบโต 23% YoY) และมูลค่าหุ้น (valuation) ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม ฝ่ายวิเคราะห์จึงคงมุมมองบวกต่อภาคการท่องเที่ยว โดยเลือก AWC และ CENTEL เป็นหุ้นเด่น อัตราการเข้าพักยังต่ำกว่าระดับปี 62 จากข้อมูลการจองห้องพักล่วงหน้าและการตรวจสอบกับผู้บริหารโรงแรมรายใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรม 7 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (พอร์ตโฟลิโอในไทย) จะอยู่ที่ 79% ใน 1Q68 ซึ่งยังต่ำกว่าระดับ 82% ใน 1Q62 ก่อนโควิด อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะมีอัตราการเข้าพักที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด ยกเว้น AWC และ CENTEL ที่ยังอยู่ในช่วงเร่งดำเนินงานโรงแรมใหม่และที่ปรับปรุงล่าสุด โดย CENTEL กำลังเร่งเติมอัตราการเข้าพักของ Centara Mirage Pattaya และ Centara Karon Phuket (คิดเป็น 10-12% ของรายได้โรงแรม) ขณะที่ AWC เตรียมเปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่งในพัทยาซึ่งจะเพิ่มจำนวนห้องพักขึ้นอีก 9% ใน 1Q68 ผลกระทบจากเหตุลักพาตัวนักแสดงจีนมีจำกัด ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีนจากข่าวลักพาตัวนักแสดงจีนที่แพร่สะพัดน่าจะเริ่มลดลง โดยข้อมูลจำนวนผู้ท่องเที่ยว ณ วันที่ 29 ม.ค. ยังคงแสดงให้เห็นว่าจำนวนผู้ท่องเที่ยวจีนเติบโตแข็งแกร่งที่ +28% YoY และจำนวนผู้ท่องเที่ยวรวมเพิ่มขึ้น +21% YoY ขณะเดียวกัน โรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์พบว่ามีการยกเลิกการจองในระดับที่จำกัด เนื่องจากเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระ (FIT) มากกว่ากลุ่มทัวร์ ซึ่งมีแนวโน้มจะอ่อนไหวจากความกังวลด้านความปลอดภัยที่เกิดจากข่าวดังกล่าวบนโซเชียลมีเดีย หุ้นเด่น AWC และ CENTEL ฝ่ายวิเคราะห์เลือก AWC เป็นหุ้นเด่นอันดับหนึ่ง เนื่องจากได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้จ่ายด้านที่พักที่เพิ่มขึ้นและการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทย ขณะที่ CENTEL เป็นหุ้นเด่นอันดับสอง เนื่องจากคาดว่ามีกำไรเติบโตแข็งแกร่งเป็นอันดับ 2 ในช่วงปี 67-69 โดยได้รับแรงหนุนจาก RevPAR โรงแรมในไทยที่เพิ่มขึ้นหลังการปรับปรุงครั้งใหญ่และในญี่ปุ่นจากงาน World Expo ที่จะจัดขึ้นที่โอซาก้าในเดือน เม.ย.-ต.ค. 68 ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าตลาดรับรู้แล้วว่าผลประกอบการ 4Q67 ของ CENTEL จะถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายก่อนเปิดโรงแรมและผลกระทบจากการปรับปรุงโรงแรม

AWC คาดปี68 กําไรโต 25% จากปรับราคาห้อง-ยอดเข้าพักเพิ่ม

AWC คาดปี68 กําไรโต 25% จากปรับราคาห้อง-ยอดเข้าพักเพิ่ม

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ประเมินหุ้น AWC ยังคงคําแนะนํา “ซื้อ” สําหรับ AWC ราคาเป้าหมายที่ 4.40 บาท จาก: (i) คาดกําไรเติบโต yoy, qoq ใน 4Q24F-1Q25F เนื่องจากฤดูกาลท่องเทียว (ii) ราคาหุ้น AWC ที่ลดลง 12% ตั้งแต่ต้นปีมีนัยยะเท่ากับว่า AWC จะไม่สามารถเพิ่มอัตราห้องพักตังแต่ปี 2025F เป็นต้นไป ซึงมองว่าเป็นเชิงลบมากเกินไป ด้วยใน 4Q24F บริษัทยังสามารถปรับขึ้น ได้ +G% และคาดจะเติบโตได้สูงต่อใน 1Q25F ด้วยแนวโน้มเช่นนี้           ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการของเรา โดยเราคาด AWC ยังปรับขึ้นค่าห้องพักได้ +2% ใน FY25F รวมกับผลของการขยายพอร์ตโรงแรมจะช่วยหนุนกําไรปกติเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 22% (CAGR 2 ปี FY25-27F) ดังนั้น จึงยังคงคําแนะนํา “ซื้อ”           ทั้งนี้ คาดกําไรใน TQ25F ของ AWC จะเติบโตต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากการจองห้องพักที่แข็งแกร่ง ซึ่งปัจจุบันรายได้จากห้องพักเพิ่มขึ้น 18% yoy สะท้อนการเติบโตทั้งในด้านอัตราการเข้าพักและราคาห้องพัก สนับสนุนโดยอุปสงค์การท่องเที่ยวที่ขยายตัวในช่วงไฮซีซั่นของไทย           สําหรับ FY25F คาดว่ากําไรของ AWC จะเติบโต 25%yoy อยู่ที่ 2.2 พันล้านบาท ขับเคลื่อนโดยการเติบโตของธุรกิจโรงแรมที่ คาดว่า RevPar จะเพิ่มขึ้น +8% โดยคาดว่าอัตราการเข้าพักจะเพิ่มขึ้นเป็น 70% พร้อมกับการปรับขึ้นของราคาห้องพัก           นอกจากนี้ แผนการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์จะเพิ่มจํานวนห้องพัก 15% จากปีก่อน เป็น6,771 ห้อง จากการเปิดโรงแรม Melia Pattaya ในเดือนมกราคม 2025 โรงแรมMarriott Resort Jomtien Beach ในเดือนเมษายน และ Fairmont Bangkok Sukhumvit ในครึ่งแรกของปี ซึ่งจะช่วยเร่งการเติบโต           สําหรับธุรกิจเช่าและพาณิชย์ (สัดส่วน 25% ของรายได้ และ 46% ของ EBITDA) คาดว่าจะมีรายได้และ อัตรากําไรที่มั่นคง เนื่องจากธุรกิจนี้น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2024

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

AWC ปี68 ตั้งเป้า RevPar เพิ่ม 20% หนุนกำไรโตต่อเนื่อง

AWC ปี68 ตั้งเป้า RevPar เพิ่ม 20% หนุนกำไรโตต่อเนื่อง

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.แลนด์แอนด์เฮาส์ ระบุ AWC กำไรปกติ 3Q67 +128% YoY, +42% QoQ หลัก ๆ มาจากธุรกิจโรงแรมที่เติบโตทั้งรายได้และ GPM ที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้น 16% ของ RevPar           คาดกำไรปกติ 4Q67 เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY จากผลบวกของช่วง Hi-season ของฤดูกาลท่องเที่ยวไทย หนุนกำไรปกติปี 67 โตก้าวกระโดด           ขณะบริษัทตั้งเป้า RevPar ของธุรกิจโรงแรมปีหน้าเพิ่มขึ้น 20% หนุนกำไรปกติปี 68 เติบโตต่อเนื่อง           แนวรับ = 3.1/3.14 แนวต้าน = 3.3/3.38           AWC | ซื้อ | TP=4 บ.

AWC ตั้งเป้าปี 68 RevPar โรงแรมโต 20% หนุนกำไรพุ่ง  โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 4 บาท

AWC ตั้งเป้าปี 68 RevPar โรงแรมโต 20% หนุนกำไรพุ่ง โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 4 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุ AWC  มีกำไรปกติ 3Q67 +128% YoY, +42% QoQ หลัก ๆ มาจากธุรกิจโรงแรมที่เติบโตทั้งรายได้และ GPM ที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้น 16% ของ RevPar           คาดกำไรปกติ 4Q67 เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY จากผลบวกของช่วง Hi-season ของฤดูกาลท่องเที่ยวไทย หนุนกำไรปกติปี 67 โตก้าวกระโดด           บริษัทตั้งเป้า RevPar ของธุรกิจโรงแรมปีหน้าเพิ่มขึ้น 20% หนุนกำไรปกติปี 68 เติบโตต่อเนื่อง           แนวรับ = 3.1/3.16 แนวต้าน = 3.36/3.4           AWC | ซื้อ | TP=4 บ.

AWC ผนึก Hotel Okura เปิดสองโรงแรมใหม่ในเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ยกระดับท่องเที่ยวไทยสู่ระดับโลก

AWC ผนึก Hotel Okura เปิดสองโรงแรมใหม่ในเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ยกระดับท่องเที่ยวไทยสู่ระดับโลก

          หุ้นวิชั่น - 26 ธันวาคม 2567, กรุงเทพฯ ประเทศไทย – บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ลงนามข้อตกลงในการพัฒนาและบริหารโรงแรมจำนวน 2 แห่ง กับ Hotel Okura Co., Ltd. เครือโรงแรมระดับโลกที่ผสมผสานวัฒนธรรมการบริการชั้นเลิศแบบญี่ปุ่นเข้ากับที่พักชั้นหนึ่ง และอาหารเลอรส โดยความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกัน รวมถึงความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานของทั้งสององค์กร สู่การพัฒนาโครงการสำคัญแห่งใหม่ 2 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ โรงแรม โอกุระ รีสอร์ท เชียงใหม่ (Okura Resort Chiang Mai) ซึ่งเป็นโรงแรมภายใต้แบรนด์โอกุระแห่งแรกในภาคเหนือของประเทศไทย นำเสนอประสบการณ์เรียวกังสุดหรูภายใต้แบรนด์โอกุระนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นแห่งแรกของโลก และโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา (The Okura Prestige Sukhumvit Bangkok Hotel and Spa) ใจกลางย่านทองหล่อ ด้วยบริการการดูแลสุขภาพองค์รวม พร้อมองค์ประกอบสไตล์ญี่ปุ่นในบรรยากาศลอยฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ใจกลางทองหล่อ หนึ่งในย่านที่มีชีวิตชีวาที่สุดในกรุงเทพฯ โครงการพัฒนาโรงแรมทั้งสองแห่งนี้สะท้อนถึงการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างความสง่างามแบบญี่ปุ่นและมรดกทางวัฒนธรรมไทย เพื่อกำหนดนิยามใหม่ของการบริการระดับลักชัวรีและการให้บริการด้านสุขภาพในประเทศ โดยความร่วมมือเพื่อพัฒนาโรงแรมใหม่นี้มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 7,600 ล้านบาท สอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโต (GROWTH-LED Strategy) ของบริษัท เพื่อสนับสนุนประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก           ความร่วมมือระหว่าง AWC และ Hotel Okura ในครั้งนี้ สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันในการพัฒนาโรงแรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของความยั่งยืน ทั้งยังตอบโจทย์ความต้องการเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เพิ่มขึ้น โดยความร่วมมือในครั้งนี้ได้ผสานจุดแข็งอันโดดเด่นของทั้งสองฝ่ายเพื่อสร้างคุณค่าร่วมกันในฐานะผู้นำด้านการให้บริการระดับลักชัวรี โดยมุ่งนำเสนอประสบการณ์เหนือระดับที่ผสมผสานการบริการอันเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจในแบบญี่ปุ่นเข้ากับความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมของไทยเพื่อต้อนรับนักเดินทางจากทั่วโลก           นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สานต่อความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนานกับ Hotel Okura และขยายพอร์ตโฟลิโอโรงแรมอันโดดเด่นของเราสู่สองเมืองท่องเที่ยวที่มีสีสันที่สุดของประเทศไทย โดยโรงแรม โอกุระ รีสอร์ท เชียงใหม่ จะสร้างนิยามใหม่ให้กับทางการท่องเที่ยวลักชัวรีและยั่งยืนในประเทศ พร้อมผสมผสานมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมอันงดงามของเชียงใหม่ เข้ากับกลิ่นอายการออกแบบและการให้บริการแบบญี่ปุ่นต้นตำรับ ทั้งยังจะเชื่อมต่อกับ โครงการไลฟ์สไตล์เดสทิเนชั่นของ AWC อย่าง “ลานนาทีค เดสทิเนชั่น” เพื่อเสนอประสบการณ์น่าประทับใจ กับการถ่ายทอดความงดงามของอาณาจักรล้านนาอันเป็นเอกลักษณ์เคียงคู่กับความสง่างามในแบบฉบับญี่ปุ่นเพื่อมอบประสบการณ์ประทับใจไม่รู้ลืม ในขณะที่โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา ในย่านทองหล่อจะถูกพัฒนาเป็นโอเอซิสแห่งการพักผ่อนใจกลางเมือง ด้วยบริการด้านสุขภาพองค์รวมและการเข้าพักแบบระยะยาว นำเสนอประสบการณ์การดูแลสุขภาพสไตล์ญี่ปุ่นที่เป็นเอกลักษณ์ในย่านที่มีชีวิตชีวาที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ พร้อมนำเสนอประสบการณ์แบบรีสอร์ทในเมืองด้วยกลิ่นอายแบบบญี่ปุ่นและประสบการณ์เหนือระดับแบบหาที่ไหนไม่ได้ โครงการพัฒนาโรงแรมอันโดดเด่นแห่งใหม่ทั้งสองนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพจากทั่วโลก แต่จะยังช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศและสนับสนุนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกอีกด้วย”           มร. โทชิฮิโระ โอกิตะ ประธานและกรรมการผู้แทน Hotel Okura Co., Ltd., กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้บรรลุอีกหนึ่งความร่วมมือครั้งสำคัญกับ AWC ผ่านการพัฒนาโรงแรมใหม่ในประเทศไทย ต่อเนื่องจากความสำเร็จของ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้นำแบรนด์โอกุระมาสู่เชียงใหม่และภาคเหนือของประเทศไทยเป็นครั้งแรก ด้วยความมุ่งมั่นของเราในการมอบบริการที่พักระดับโลก ที่ผสมผสานความสง่างามของวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ากับเสน่ห์ท้องถิ่น ด้วยเครือข่ายโรงแรมลักชัวรีที่ตั้งอยู่ทั่วโลก ทำให้เราสามารถผสมผสานความงดงามและความละเอียดอ่อนของวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ากับความสะดวกสบายและฟังก์ชันการใช้งานได้อย่างลงตัว และเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งใหม่นี้กับ AWC จะช่วยมอบประสบการณ์พิเศษและบริการที่ยอดเยี่ยมให้แก่ทั้งแขกชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้อย่างแน่นอน”           โรงแรม โอกุระ รีสอร์ท เชียงใหม่ จะเป็นโรงแรมภายใต้แบรนด์โอกุระแห่งแรกในภาคเหนือของประเทศไทย ตั้งอยู่บนถนนช้างคลานซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ โดดเด่นด้วยตลาดและศูนย์การค้า อาหารท้องถิ่น และสีสันยามค่ำคืน ประกอบด้วยห้องพักที่ออกแบบอย่างพิถีพิถันกว่า 200 ห้อง ผสมผสานความหรูหราสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมเข้ากับวัฒนธรรมล้านนาร่วมสมัย พร้อมห้องพักแบบเรียวกังที่ครบครันด้วยเสื่อทาทามิ ชุดยูกาตะ และออนเซ็นส่วนตัว ที่แขกจะสามารถดื่มด่ำไปกับประสบการณ์การพักผ่อนที่ผสมผสานวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ากับมรดกทางประเพณีของภาคเหนือ ตั้งแต่สถาปัตยกรรมไปจนถึงอาหารเลิศรส ทั้งนี้ โรงแรม โอกุระ รีสอร์ท เชียงใหม่ มีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 1 ของปี 2571 โดยจะมาพร้อมกับห้องอาหารญี่ปุ่น-ล้านนาอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ผสานวัตถุดิบท้องถิ่นเข้ากับเทคนิคการทำอาหารแบบญี่ปุ่น เตรียมมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารชั้นเลิศแบบโอมากาเสะและล้านนาไคเซกิ ยิ่งไปกว่านั้น แขกยังจะได้เพลิดเพลินไปกับหลากหลายสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ออนเซ็น สปา ห้องอาหารแบบ All Day Dining คาเฟ่และห้องอาหาร เลานจ์ รูฟท็อปบาร์ และสระว่ายน้ำ           ในขณะที่ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา จะนำเสนอประสบการณ์ด้านสุขภาพแบบองค์รวมและบริการเข้าพักแบบระยะยาวในพื้นที่ทองหล่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในย่านที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ นำเสนอการเข้าพักอันเป็นเอกลักษณ์และการต้อนรับอย่างอบอุ่น กับล็อบบี้ลอยฟ้าและรูฟท็อปบาร์สไตล์ญี่ปุ่นที่มาพร้อมสวนกลางแจ้ง ผสมผสานการดูแลสุขภาพเข้ากับทัศนียภาพอันงดงามของเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพ เพื่อมอบพื้นที่ให้แขกผู้เข้าพักได้ผ่อนคลายและเติมเต็มทั้งร่างกายและจิตใจ มาพร้อมกับบริการและฟีเจอร์บนชั้นดาดฟ้าอื่นๆ อาทิ ห้องอาหารแบบ All Day Dining ห้องอาหารพิเศษต่างๆ  และรูฟท็อปบาร์ที่มอบวิวเมืองแบบพาโนรามา นอกจากนี้ แขกยังสามารถพักผ่อนหย่อนใจได้ที่บริเวณคาบานาสุดหรูริมสระว่ายน้ำ ลิ้มรสหนึ่งในเมนูอาหารเพื่อสุขภาพเพื่อสร้างสมดุลที่ดี รวมไปถึงเมนูซิกเนเจอร์ในรูปแบบของ โอกุระ เพรสทีจ อีกด้วย           โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา ยังนำเสนอห้อง Onsen Suite แบบต้นตำรับ และสัมผัสเสน่ห์เหนือกาลเวลาของห้องพักสไตล์เรียวกังอันเป็นเอกลักษณ์ หรือเลือกพักในห้องแบบตะวันตกที่ความสะดวกสบาย โดยโรงแรมยังมาพร้อมโปรแกรมสุขภาพเฉพาะบุคคลที่ผสมผสานศาสตร์การดูแลสุขภาพแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมเข้ากับเทรนด์สุขภาพสมัยใหม่ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษโดยนักโภชนาการมืออาชีพ พร้อมสัมผัสการดูแลสุขภาพด้วยวารีบำบัด (Hydrotherapy) และการเจริญสติ (Mindfulness) เพื่อคืนพลังให้กับทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งนี้ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ สุขุมวิท กรุงเทพ โฮเทล และ สปา มีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2571 ด้วยห้องพักกว่า 200 ห้อง ผสมผสานองค์ประกอบการออกแบบร่วมสมัยที่นำธรรมชาติมาประยุกต์เพื่อส่งเสริมสุขภาวะที่ดี (Biophilic) ควบคู่กับสุนทรียะแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม นอกจากนี้ โรงแรมยังให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน ด้วยการออกแบบเพื่อประหยัดพลังงาน ลดความร้อนจากภายนอกอาคาร และการติดตั้งระบบจัดการน้ำอีกด้วย           “โรงแรมทั้งสองแห่งจะช่วยเสริมพอร์ตโฟลิโอระดับลักชัวรีของ AWC และสานต่อความสำเร็จของโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ และเรือโอกุระ ครุซ เพื่อร่วมสร้างมาตรฐานใหม่ในด้านการบริการและเวลเนสให้กับประเทศไทย AWC หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ต้อนรับแขกเข้ามาสัมผัสกับการบริการชั้นเลิศ ความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่โรงแรมภายใต้แบรนด์โอกุระแห่งใหม่ทั้งสองนี้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก” นางวัลลภา กล่าวปิดท้าย [PR News]

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

Jurassic World มาแน่! หนุน AWC โบรกส่อง Q4 คาดรายได้ปัง

Jurassic World มาแน่! หนุน AWC โบรกส่อง Q4 คาดรายได้ปัง

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ AWC ด้วยราคาเป้าหมาย 4.40 บาท จาก i) การเปิดตัว Jurassic World ณ Asiatique เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มมูลค่า สินทรัพย์ของบริษัท ii) คาดกำไรสุทธิเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยการเติบโต yoy และ qoq ใน 4Q24F-1Q25F จากฤดูกาลท่องเที่ยวสูงสุดของไทย และการเปิดโรงแรมใหม่ในไตรมาส นอกจากนี้ ราคาหุ้น AWC ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา เรามองว่าเป็นโอกาสในการลงทุน AWC เปิดตัว Jurassic World ในกรุงเทพ AWC ได้ประกาศความร่วมมือกับ NEON (ซึ่งเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จ เช่น Avatar: The Experience ณ Gardens by the Bay ในสิงคโปร์) และ Universal Live Events & Location Based Entertainment เพื่อนำ "Jurassic World: The Experience" มาเปิดให้บริการ ณ Asiatique ใน 2Q25 โครงการนี้ใช้งบประมาณในการลงทุนกว่า 1,400 ล้านบาท เพื่อพัฒนาพื้นที่ขนาด 10,000 ตารางเมตร ด้วยการสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ Jurassic World การผจญภัยยุคไดโนเสาร์รูปแบบอิมเมอร์ซีฟ ตามแบบฉบับของภาพยนตร์เรื่อง Jurassic World ทั้งนี้ โครงการนี้จะแตกต่างจาก Disney100 Village ที่จัดขึ้นในปี 2023 เนื่องจาก Jurassic World จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เปิดให้บริการในระยะยาว ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อรายได้และกำไรของ AWC ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่ได้เปิดเผยเป้าหมายทางการเงินที่เฉพาะเจาะจงสำหรับโครงการนี้ คาดผลประกอบการ 4Q24F เติบโต yoy, qoq จาก i) ธุรกิจโรงแรม : RevPar เติบโตระดับสองหลักในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2024 เนื่องจากการเติบโตในทุกกลุ่ม (9M24 RevPar +13% yoy) นอกจากนี้ แผนการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงการเปิดโรงแรม Melia Pattaya ในวันที่ 24 ธันวาคม 2567 และการเปิดโรงแรม Marriott Resort Jomtien Beach ในเดือนเมษายน 25 และ Fairmont Bangkok Sukhumvit ในช่วง 1H25 คาดว่าจะช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจโรงแรมได้อย่างต่อเนื่อง ii) ธุรกิจค้าปลีกและเชิงพาณิชย์: บริษัทคาดว่าอัตราการเช่าพื้นที่สำนักงานได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 3Q25 ที่ระดับ 66% โดยได้รับแรงหนุนจากการเข้ามาเช่าพื้นที่ของผู้เช่ารายใหม่ใน The Empire ดังนั้น คาดจะเห็นการรักษาระดับและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น คงประมาณการผลประกอบการ โดยคาดกำไรสุทธิปี 2024F อยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท (+65% yoy) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.40 บาท ปัจจุบัน AWC ซื้อขายอยู่ที่ 27x EV/EBITDA และ 51x P/E 2025F คาดผลประกอบการของ AWC จะเติบโตเฉลี่ยด้วย CAGR 3 ปี (2024-27F) ที่ 28% ต่อปี ซึ่งผลักดันจากการขยายโรงแรม และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น

AWC ผนึกพลัง BJC เปิด ฟีนิกซ์ ศูนย์กลางอาหารระดับโลก

AWC ผนึกพลัง BJC เปิด ฟีนิกซ์ ศูนย์กลางอาหารระดับโลก

          หุ้นวิชั่น - บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ผนึกพลัง บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อพัฒนา “Big C” คอนเซ็ปต์สโตร์โมเดลใหม่ที่ยังไม่เคยมีที่ไหนมาก่อนที่โครงการ “Phenix” (ฟีนิกซ์) ศูนย์กลางด้านอาหารครบวงจรระดับโลกที่เป็นแหล่งรวมอาหารและสุดยอดความอร่อยใจกลางเมืองบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ย่านประตูน้ำ กับครั้งแรกของการผสานซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างสรรพสินค้าเข้าด้วยกัน ครบครันทุกเรื่องชอปปิ้งวัตถุดิบอาหารชั้นเลิศและหลากหลายส่งตรงจากผู้ผลิตในรูปแบบ “Shop in Shop” ที่จะสร้างมิติใหม่ของการชอปปิ้งแบบ “Factory Outlet” รวมถึงอาหารของฝากเลื่องชื่อและสินค้าอุปโภคบริโภคจากแบรนด์ระดับโลก ที่ได้รับการคัดสรรมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ นักท่องเที่ยวและฟูดเลิฟเวอร์ รวมถึงชุมชนโดยรอบโครงการอย่างครบครัน พร้อมเตรียมนำเทคโนโลยีรีเทลล้ำสมัยมาใช้ภายในคอนเซ็ปต์สโตร์ใหม่แห่งนี้ เพื่อเชื่อมต่อ Ecosystem ด้านอาหาร และมอบประสบการณ์ที่แตกต่าง ดึงดูดนักชอปนักชิมและนักท่องเที่ยว เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางและจุดหมายปลายทางด้านอาหารระดับโลก เตรียมพบกับความตื่นเต้นจากโครงการ “Phenix” และ “Big C” พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษได้ตั้งแต่เดือนธันวาคมนี้ โดย “Big C” คอนเซ็ปต์สโตร์ใหม่นี้มีกำหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 2 ปี 2568           นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “AWC  ยินดีอย่างยิ่งในความร่วมมือและความมุ่งมั่นร่วมกันของ AWC และ BJC Big C เพื่อร่วมสร้างสรรค์คอนเซ็ปต์สโตร์โมเดลใหม่ที่จะดึงพลังความหลากหลายของพันธมิตรธุรกิจอาหาร และพาวิลเลียนนานาชาติจากประเทศชั้นนำด้านอาหารกว่า 14 ประเทศที่นำสินค้าจากทั่วโลกมาร่วมในโครงการ ‘Phenix’ ผสานกับคอนเซ็ปต์รีเทลใหม่ที่ ‘Big C’ จะร่วมพัฒนากับ AWC ให้มีความโดดเด่น สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์โอกาสใหม่ให้กับธุรกิจอาหารและการค้าปลีกค้าส่ง และร่วมสนับสนุนกลยุทธ์ของภาครัฐที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาหารของภูมิภาค รวมทั้งนโยบายที่จะสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใคร เพื่อส่งเสริมประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารและการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก”           นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้ร่วมมือกับ AWC อีกครั้งในการนำเสนอ ‘Big C’ คอนเซ็ปต์ใหม่ที่ได้พัฒนาต่อจากความสำเร็จของ ‘Big C’ ที่โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักท่องเที่ยวและผู้ที่มาใช้บริการ เราเห็นโอกาสที่จะร่วมสร้างคอนเซ็ปต์ใหม่ที่ ‘Phenix’ ร่วมกัน ให้เป็นปรากฏการณ์สำคัญในการสร้างมิติใหม่ด้านการชอปปิ้งอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร อาทิ การสร้างสรรค์พื้นที่แบบ ‘Shop in Shop’ และการสร้างประสบการณ์แบบ ‘Factory Outlet’ ของผลิตภัณฑ์อาหารส่งตรงจากผู้ผลิตมารวมไว้ใจกลางเมือง ที่จะรวมทั้งร้านอาหารและผู้ผลิตอาหารชั้นนำมากมายเอาไว้ภายในโครงการ          ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่มาใช้บริการสามารถเลือกชอปปิ้งได้ทั้งรูปแบบค้าปลีกและค้าส่ง พร้อมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะเข้ามาเสริมประสบการณ์ชอปปิ้งให้กับผู้ที่มาใช้บริการได้อย่างสะดวกและประทับใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมให้เติบโต ควบคู่กับการตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวและผู้บริโภคในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ” “Big C” คอนเซ็ปต์สโตร์โมเดลใหม่นี้จะได้รับการพัฒนาครอบคลุมพื้นที่กว่า 3,000 ตร.ม. บริเวณชั้น G ภายในโครงการ “Phenix”  ด้วยการนำเสนอประสบการณ์การชอปปิ้งที่หลากหลายและน่าตื่นเต้นไม่เหมือนใคร ผสานมิติใหม่ของซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างสรรพสินค้าเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ที่สามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว ผู้บริโภค และฟูดเลิฟเวอร์เพื่อสัมผัสความพิเศษ พร้อมเชื่อมต่อกับ Ecosystem ด้านอาหารของ “Phenix” และเติมเต็มทุกมิติด้านอาหารอย่างครบวงจรในโซนสินค้าคุณภาพจากชุมชนหลากหลายภายในโครงการด้วยอาหารและสินค้าคุณภาพจากทั่วประเทศไทย เพื่อครอบคลุมทุกมิติด้านการชอปปิ้ง อาหาร และการท่องเที่ยวให้รอบด้าน ทั้งยังช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางและจุดหมายปลายทางด้านอาหารระดับโลก

AWC จับมือ SMBC ลุยท่องเที่ยว จัดสินเชื่อ 3,000 ล้าน ต่อยอด

AWC จับมือ SMBC ลุยท่องเที่ยว จัดสินเชื่อ 3,000 ล้าน ต่อยอด

          19 พฤศจิกายน 2567, กรุงเทพฯ ประเทศไทย – บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร และ ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น หรือ SMBC ร่วมลงนามความร่วมมือสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) จำนวน 3,000 ล้านบาท ด้วยความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าผ่านการพัฒนาโครงการคุณภาพตามมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน ที่รวมถึงการส่งเสริมการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (ESG) ขององค์กรภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน 3BETTERs ของบริษัทฯ คือ Better Planet กลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม Better People ร่วมสร้างความยั่งยืนให้ชุมชน และ Better Prosperity การกำกับดูแลกิจการและการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม เพื่อสร้างคุณค่าองค์รวมแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ร่วมสร้างประเทศไทยสู่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก           มร. ราจีฟ คานนาน Managing Executive Officer, Co-Head of Asia Pacific Division ธนาคาร ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น หรือ SMBC กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ AWC ในการจัดสินเชื่อในครั้งนี้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันด้านความยั่งยืน เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับ AWC ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มีมาตรฐานการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนระดับโลก ด้วยศักยภาพในการพัฒนาโครงการคุณภาพที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในขณะที่เราได้กำหนดเป้าหมายเพื่อมอบสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนทั่วโลกเอาไว้สูงถึงกว่า 11 ล้านล้านบาท (50 ล้านล้านเยน) ภายในปี 2573 การสนับสนุนพันธมิตรที่สำคัญของเราอย่าง AWC นับเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความมุ่งมั่นของเราต่อการสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับสิ่งแวดล้อม ประเทศไทย และการเติบโตอย่างยั่งยืนของภูมิภาคนี้”           นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “AWC ประทับใจในความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของ SMBC กลุ่มการเงินชั้นนำระดับโลก ที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการเติบโตให้กับอุตสาหกรรมของประเทศอย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือผ่านสินเชื่อด้านความยั่งยืนในครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นครั้งสำคัญในการร่วมสร้างคุณค่าให้สิ่งแวดล้อม ชุมชน สังคม อุตสาหกรรม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย และเป็นไปตามแผนกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทฯ ที่มุ่งดำเนินงานตามมาตรฐานความยั่งยืนระดับสากล ซึ่ง AWC มีความเชื่อมั่นว่าการร่วมรวมพลังกับ SMBC ในฐานะพันธมิตรทางการเงินที่มีความสัมพันธ์กันยาวนานจะเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก”           AWC จะนำสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในครั้งนี้ไปใช้ในการพัฒนาการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ และสร้างคุณค่าองค์รวมแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่า ผ่านโครงการแลนด์มาร์กระดับโลกต่างๆ ที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมของประเทศไทย จากการพัฒนาโครงการโรงแรมที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED และ WELL เป็นแห่งแรกของภาคเหนือมาแล้วในปีที่ผ่านมา AWC ยังเดินหน้าสร้างสรรค์โครงการขนาดใหญ่โดยผสานแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนระดับท็อปของอุตสาหกรรม อาทิ โครงการ “Lannatique” ในจังหวัดเชียงใหม่ โครงการ “Aquatique” ในพัทยา และโครงการ “Woeng Nakornkasem Yaowaraj” ในกรุงเทพฯ ที่มุ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากร ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ เพื่อสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมาย (Sustainability Performance Targets หรือ SPTs) โดยการวัดผลการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ  และมาตรฐานดัชนีความยั่งยืน MSCI ESG Rating           ปัจจุบัน AWC ได้รับการจัดสรรวงเงินสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และสินเชื่อสีเขียวระยะยาว จากสถาบันการเงินชั้นนำทั้งในและต่างประเทศเป็นสัดส่วนร้อยละ 100 ของสินเชื่อระยะยาวทั้งหมดเพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ โดยขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืนในสามเสาหลัก หรือ 3BETTERs ประกอบด้วย Better Planet, Better People และ Better Prosperity           AWC ยังคงมุ่งมั่นและให้ความสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยในที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ในกลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่ (DJSI Emerging Markets Indices) ด้วยคะแนนความยั่งยืนจากการประเมินผล Corporate Sustainability Assessment (CSA) โดย S&P Global สูงสุดเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ (Hotels, Resorts & Cruise Lines) รวมถึงได้รับการจัดอันดับในรายงานความยั่งยืน S&P Global Sustainability Yearbook 2024 และได้รับการประเมินจาก MSCI ESG Ratings ในระดับ “AA” โดย MSCI ESG Research รวมถึงกลุ่มโรงแรมและศูนย์การค้าในเครือ AWC ก็มุ่งมั่นร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ดาวแห่งความยั่งยืน” หรือ STAR (Sustainable Tourism Acceleration Rating) จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

AWC ไตรมาส 3/67 มีกำไรที่ 1.39 พันล้านบาท ลุยเปิดโครการใหม่ดันพอร์ต

AWC ไตรมาส 3/67 มีกำไรที่ 1.39 พันล้านบาท ลุยเปิดโครการใหม่ดันพอร์ต

          AWC รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 มีกำไรสุทธิ 1,139 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.3% จากปีก่อน รวม 9 เดือนแรกมีกำไร 3,991 ล้านบาท เติบโตจากการดำเนินกลยุทธ์ขยายพอร์ตโฟลิโออย่างแข็งแกร่ง พร้อมเตรียมเปิดโครงการ “Okura Cruise” และโรงแรมใหม่อีกหลายแห่งเพื่อเสริมศักยภาพและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในประเทศไทย           บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 มีกำไรสุทธิที่ 1,139 ล้านบาท เติบโต 0.3% จากไตรมาส 3/2566 มีกำไร 1,136 ล้านบาท ส่งผลให้ 9 เดือน มีกำไรที่ 3,991 ล้านบาท เทียบกับ 9 เดือนปีก่อน มีกำไร ที่ 3,746 ล้านบาท ภาพรวมของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (“บริษัท” หรือ “AWC”)           ด้วยกลยุทธ์การเติบโต (GROWTH-LED Strategy) ของบริษัทที่มุ่งสร้างกระแสเงินสด โดยการเร่งพัฒนาทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (DEVELOPING ASSET) ให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน (OPERATING ASSET) การเพิ่มศักยภาพของทรัพย์สินในช่วงดำเนินงานเริ่มต้น (RAMP UP) มาสู่ระดับดำเนินงานปกติ (BAU) และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกอย่างแข็งแกร่งแม้อยู่นอกฤดูกาลท่องเที่ยว ด้วยรายได้รวมและกำไรสุทธิ 9 เดือนตามงบการเงินอยู่ที่ 15,222 ล้านบาท และ 3,991 ล้านบาท ตามลำดับ จากผลการดำเนินงานอันยอดเยี่ยมของกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่เติบโตได้ดีในทุกกลุ่ม สามารถทำกำไรจากการดำเนินงาน 983 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 79 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562           โดยโรงแรมกลุ่มประชุมสัมมนา (MICE) และโรงแรมในกรุงเทพมีกลยุทธ์ผลักดันรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 4,702 บาทต่อห้อง เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า รวมถึงมีค่า RGI Index ของโรงแรมในพอร์ตโฟลิโอสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดอยู่ที่ 105 โดยมีโรงแรมที่มีค่า RGI โดดเด่น เช่น โรงแรมคอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ มีค่า RGI เท่ากับ 195 โรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 174 และโรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ ที่มีค่า RGI เท่ากับ 149 นอกจากนี้ รายได้อาหารและเครื่องดื่มของธุรกิจโรงแรมและการบริการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นผลจากกลยุทธ์การบูรณาการจุดแข็งทางธุรกิจของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์เข้าด้วยกันเพื่อเสริมสร้างมูลค่าร่วม (Synergy Value)           และกลุ่มธุรกิจยังคงรักษาการเติบโตได้ดีจากการปรับกลยุทธ์การตลาดของศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานสู่การเป็น AWC’s Lifestyle Destination ให้รองรับเทรนด์และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินรวมที่ 154,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 60 เมื่อเทียบกับปี 2562 และส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโตร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.81 เท่า สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารจัดการเงินทุนและความสามารถในการกู้ยืมเงินเพื่อสนับสนุนแผนการลงทุนระยะยาว โดยในไตรมาส 3/2567 บริษัทมีกำไรจากการรวมมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจำนวน 1,063 ล้านบาท           บริษัทมุ่งเดินหน้าเพิ่มมูลค่าและยกระดับคุณภาพทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 18 กันยายน 2567 บริษัทได้สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกเปิดตัว “เอ-ญ่า รูฟทอป แอท ดิ เอ็มไพร์” แลนด์มาร์กด้านการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของประเทศไทยที่รวบรวมทั้ง Top Cuisine ชั้นนำระดับเวิลด์คลาสมาสู่รูฟทอปที่วิวสวยที่สุดในกรุงเทพฯ ทั้ง “โนบุ แบงค็อก” กับเชฟระดับตำนาน เชฟโนบุ มัตสึฮิสะ เปิดห้องอาหารโนบุที่สูงที่สุดในโลก รวมถึง “เอ-ญ่า เชฟ เทเบิล” พร้อมสัมผัสประสบการณ์เชฟเทเบิลจาก 3 เชฟระดับมิชลินสตาร์กับห้องอาหารไทย “Le Du Kaan” บนรูฟทอปแห่งแรกของโลกโดยเชฟต้น ห้องอาหารจีนร่วมสมัย “K by Vicky Cheng” โดยเชฟวิคกี้ เชง และห้องอาหารอิตาเลียนคลาสสิกร่วมสมัย “Sartoria by Paulo Airaudo” โดยเชฟเปาโล อายราวโด รวมทั้ง “เอ-ญ่า แกลเลอรี” แหล่งรวมไลฟ์สไตล์ร้านอาหารและคาเฟ่ชั้นนำ ด้วยประสบการณ์ระดับโลกกับจุดหมายปลายทางแห่งไลฟ์สไตล์เหนือระดับ           นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งมั่นสร้างการเติบโตที่มั่นคงพร้อมกับการส่งเสริมคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับสังคมและชุมชน โดยในช่วงปลายปีนี้และปีหน้า บริษัทเตรียมเปิดโครงการคุณภาพแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ และพัทยา ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจและเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอ ด้วยไฮไลต์อันโดดเด่นกับการเปิด “Okura Cruise” เรือเทปันยากิและไคเซกิสุดหรูระดับไฟน์ไดนิ่งลำแรกของโลกโดยโอกุระ ที่จะเปิดให้บริการ ณ ท่าเรือของโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น และ “มีเลีย พัทยา อควาทีค เดสติเนชั่น” โรงแรมแห่งใหม่ในพัทยา ที่พร้อมจะเปิดให้บริการในเดือนธันวาคมนี้ รวมถึงอีก 4 โครงการใหม่ที่เตรียมจะเปิดในปี 2568 ได้แก่ โครงการ “พัทยา แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา แอท จอมเทียนบีช” โรงแรมแมริออทแห่งแรกของพัทยา “แฟร์มอนท์ แบงคอก สุขุมวิท” โรงแรมแฟร์มอนท์แห่งแรกของไทยรองรับกลุ่ม Luxury MICE ระดับโลก โครงการ “ลานนาทีค เดสติเนชั่น” สร้างจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลกใจกลางเมืองเชียงใหม่ และอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญที่ AWC เตรียมสร้างความสนุกครั้งใหม่ที่โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกในการนำประสบการณ์สุดพิเศษระดับเวิลด์คลาสมาสู่ประเทศไทย ซึ่งจะมีการประกาศเปิดตัวรายละเอียดของความร่วมมืออย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้

AWC ท่องเที่ยวฮอต กำไรโตเด่น แนะ

AWC ท่องเที่ยวฮอต กำไรโตเด่น แนะ "ซื้อ" เป้า 4.40 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ปรับคำแนะนำ AWC เป็น BUY โดยมีราคาเป้าหมายที่ 4.40 บาท จากคาดกำไรปกติจะเติบโต 78% yoy และ 10% qoq ใน 3Q24F และคาดว่าจะมีการเติบโตต่อเนื่อง yoy และ qoq ใน 4Q24F เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย ซึ่ง AWC จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากรายได้ 100% ที่มาจากสินทรัพย์ในประเทศไทย           ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์จึงคงประมาณการปี 2024F โดย 9M24F คิดเป็น 64% ของประมาณการ โดยมองว่า AWC จะมีอัตราการเติบโตของกำไรที่โดดเด่นเมื่อเทียบในกลุ่ม โดยคาดกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 28% ต่อปี (CAGR 3 ปี – 2024-27F) โดยได้รับแรงหนุนจากพอร์ตโฟลิโอโรงแรมที่ขยายตัว สินทรัพย์ในทำเลเชิงกลยุทธ์ และอัตรากำไรที่สูงขึ้น

มาตรการกระตุ้นเที่ยวไทย หักภาษี 2 เท่า หนุนหุ้นท่องเที่ยว AWC-ERW

มาตรการกระตุ้นเที่ยวไทย หักภาษี 2 เท่า หนุนหุ้นท่องเที่ยว AWC-ERW

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า มาตรการเที่ยวไทยไปต่อ (คาดจะให้นำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว สัมมนา ประชุม) ในพื้นที่ประสบอุทกภัยมาหักลดหย่อนภาษีได้ โดยเบื้องต้นกำหนดที่ 2 เท่าของรายจ่าย มองบวกหุ้นอิงภาคท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนที่มีรายได้ในภาคเหนือที่เป็นพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมสูง คือ AWC (6% ของรายได้ ) ERW (3% ของรายได้) ที่มา : บล.กรุงศรี

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011