AIMC มองปี68 จังหวะลงทุน Thai ESG แนะกระจายพอร์ตลดผันผวน
หุ้นวิชั่น - จากภาพรวม กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ที่ปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหาร (AUM) ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และ สมาชิกบริษัทจัดการลงทุน 16 แห่ง พร้อมนำเสนอ 42 กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) และเตรียมออกกองทุน Thai ESG กองใหม่ๆ เพื่อให้เป็นทางเลือกการลงทุน นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) กล่าวว่า เป้าหมายเม็ดเงินใหม่ของกองทุน Thai ESG ไม่ต่ำกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมองว่าเป็นจังหวะการลงทุน เพราะตลาดหุ้นไทยตอนนี้ไม่ถูกและไม่แพง เมื่อดู P/BV ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยมี P/BV เพียง 1 เท่า อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาเห็นชัดว่าตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้น โดยปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเติบโตจากกลุ่มสุขภาพ ธนาคาร ไอที สินค้าอุปโภคบริโภค อย่างมีนัยสำคัญและน่าจะเติบโตต่อเนื่อง คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะเติบโตต่อเนื่องอีกในปีนี้ เติบโตแบบออแกนิก (Organic Growth) เติบโตตามสภาวะปกติแบบค่อยเป็นค่อยไป “หุ้นไทยไม่ได้ถูกหรือแพงเกินไป และเมื่อดู P/BV ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเรามี P/BV เพียง 1 เท่า อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาเห็นชัดว่าตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม แนะนำให้กระจายพอร์ตลงทุนที่หลากหลายเพื่อลดความผันผวน เชื่อว่าเกณฑ์ใหม่ที่ภาครัฐให้คือระยะเวลาการถือครองที่ลดลงเหลือเพียง 5 ปี วงเงินลดหย่อนที่เพิ่มเป็น 300,000 บาท ไม่รวมกับวงเงินลดหย่อนภาษีจากกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF, ประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ เป็นต้น ลงทุนได้ทั้ง หุ้น และตราสารหนี้ เกณฑ์ดังกล่าวยังย้อนหลังไปถึงกองทุน ThaiESG ที่ออกมาก่อนหน้านี้ด้วย จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นแรงจูงใจให้กับนักลงทุนที่วางแผนลดหย่อนภาษี พร้อมส่งเสริมการออมในระยะยาว โดยเฉพาะนักลงทุนเจนใหม่ที่สนใจเรื่องการลงทุนมากขึ้น ได้เริ่มต้นการออมกับหุ้น-ตราสารหนี้ ที่มี ESG” นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าว ทั้งนี้ จากการที่กองทุน Thai ESG ที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระยะเวลาการถือครองที่ลดลงเหลือเพียง 5 ปี และวงเงินลดหย่อนที่เพิ่มเป็น 300,000 บาท พบว่าคนรุ่นใหม่สนใจเข้ามาลงทุนกองทุน Thai ESG เพราะต้องการบริหารภาษีตัวเอง และให้ความสำคัญเรื่อง ESG มากขึ้น อีกทั้งระยะเวลาลงทุนไม่นานจนเกินไป และเห็นช่วงอายุของผู้ลงทุนกว้างมากขึ้นช่วงอายุ 30-60 ปี ทั้งนี้ ผู้ลงทุนส่วนใหญ่จะลงทุนหุ้นมากกว่า 80% ที่เหลือเป็นการลงทุนตราสารหนี้ นอกจากนี้ ยังเป็นการขับเคลื่อนบริษัทจดทะเบียน ปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึง ESG เพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในดัชนี SET ESG โดยในปีที่ผ่านมามีหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์ เพิ่มขึ้นเป็น 228 ราย ประกอบกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ. ในอุตสาหกรรม พร้อมสนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบ ESG ผ่านกองทุน Thai ESG ที่สามารถลงทุนได้ทั้งหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทย จึงมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตต่อไปได้ และจะเป็นการเติบโตแบบออแกนิก (Organic Growth) ซึ่งหมายความว่าเป็นการเติบโตตามปัจจัยพื้นฐานตามเศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง สำหรับประเด็นที่อาจกระทบต่อการลงทุนธีม ESG หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานั้น แม้จะรู้กันว่า ทรัมป์ ไม่ได้สนใจ หรือสนับสนุน ESG แต่มองว่า ESG ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ แต่อาจจะเติบโตช้าลงบ้าง เพราะหลายประเทศได้ขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวไปไกลมาก โดยเฉพาะภูมิภาคยุโรปที่ก้าวไปไกลเกินจะถอยกลับ ขณะที่เอเชียให้ความสำคัญ แม้จีนเองยังให้การตอบรับหรือหากมองไปในสหรัฐอเมริกาเองมีกองทุน ESG หลายกอง ดังนั้นเรื่องดังกล่าวจึงยังคงเดินหน้าต่อไป