ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#เงินดิจิทัล


นิด้าโพล เผยผู้สูงอายุรับเงินหมื่น กว่า 86% จ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ

นิด้าโพล เผยผู้สูงอายุรับเงินหมื่น กว่า 86% จ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ

           หุ้นวิชั่น - ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “ผู้สูงอายุรับเงินสด 10,000 บาท แล้วจะสนับสนุนรัฐบาลไหม” ทำการสำรวจระหว่างวันที่3-5 กุมภาพันธ์ 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ทั้งตนเอง และ/หรือคนในครอบครัว ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ            รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการได้รับเงินสด 10,000 บาท จากรัฐบาล การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล”สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0            จากการสำรวจเมื่อถามถึงการนำเงินไปใช้จ่ายของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวที่ได้รับเงินจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ พบว่า            ตัวอย่าง ร้อยละ 86.18 ระบุว่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (รวมค่าน้ำ ค่าไฟ น้ำมันเชื้อเพลิง) รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ (เช่น ซื้อยารักษาโรค หาหมอ) ร้อยละ 13.66 ระบุว่า ใช้หนี้ ร้อยละ 11.98 ระบุว่า เก็บออมไว้สำหรับอนาคต ร้อยละ 9.24 ระบุว่า ใช้ลงทุนการค้า ร้อยละ 8.70 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ร้อยละ 4.35 ระบุว่า ใช้ซื้อหวย สลากกินแบ่งรัฐบาลร้อยละ 1.76 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ 0.53 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มือถือและเครื่องมือสื่อสาร ร้อยละ 0.46 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการบันเทิง (เช่น เลี้ยงสังสรรค์ ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ เป็นต้น)            ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการสนับสนุนรัฐบาลของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 44.89 ระบุว่ามีส่วนทำให้สนับสนุนรัฐบาล รองลงมา ร้อยละ 30.69 ระบุว่า จะมีหรือไม่มีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็สนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว ร้อยละ 14.35 ระบุว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สนับสนุนรัฐบาล และร้อยละ 10.07 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจ ว่าจะตัดสินใจอย่างไร

ครม. อนุมัติมาตรการ Easy e-receipt  แจกเงินดิจิทัลเฟส 2 - ขยายเวลาลดภาษี ผับ บาร์

ครม. อนุมัติมาตรการ Easy e-receipt แจกเงินดิจิทัลเฟส 2 - ขยายเวลาลดภาษี ผับ บาร์

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า บล.กรุงศรี เผย ครม. มีมติเห็นชอบแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 ให้กลุ่มผู้สูงอายุ, อนุมัติมาตรการ Easy e-receipt และขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิต ผับ บาร์ ไนต์คลับ อีก 1 ปี เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว บทวิเคราะห์มองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Domestic Play ที่จะได้ประโยชน์ อาทิ ค้าปลีก, ไฟแนนซ์, ร้านอาหาร และท่องเที่ยว (CRC, CPALL, SAWAD, CENTEL, ERW)

จับตาแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 กระตุ้นเครื่องดื่ม ค้าปลีก

จับตาแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 กระตุ้นเครื่องดื่ม ค้าปลีก

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยสำหรับปัจจัยในประเทศวานนี้มีรายงาน GDP ไตรมาส 3/2567 ขยายตัว 3.0% เติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 2.3% และสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.4-2.6% การขยายตัวดังกล่าวมาจาก: - การใช้จ่ายภาครัฐ ที่เติบโต 6.3% YoY จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ - การส่งออก ที่เติบโตแข็งแกร่ง - ภาคการท่องเที่ยว ที่ขยายตัวต่อเนื่อง - อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวเพียง 3.4% ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 4.9% - การลงทุนภาคเอกชน ยังคงหดตัว แนวโน้ม GDP ปี 2567 : สำนักงานสภาพัฒน์ประเมิน GDP ปี 2567 จะขยายตัว 2.6% สูงกว่าคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 2.5% Outlook ปี 2568 : คาดว่า GDP ปี 2568 จะขยายตัว 3.0% โดยมีปัจจัยหนุน ได้แก่ - การลงทุนภาครัฐ - การบริโภคภาคเอกชนตามกำลังซื้อในประเทศที่สูงขึ้น - ภาคการท่องเที่ยว - การส่งออกตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า - ความคาดหวังต่อการกลับมาฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน อัตราเงินเฟ้อคาดอยู่ในกรอบ 0.3-1.3% **ปัจจัยเสี่ยง**: - ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ - ปัญหาเชิงโครงสร้าง - หนี้ภาคครัวเรือนในระดับสูง **กลยุทธ์การลงทุน** : เน้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการขยายตัวใน : 1. การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐ เช่น - ค้าปลีก : CPALL, GLOBAL, MOSHI - รับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง : CK, SCC, TASCO - ธนาคาร : BBL, KTB **ติดตามประเด็นวันนี้**: - การประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ: คาดหวังมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้ผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก: BJC, CPAXT อาหารและเครื่องดื่ม : CBG มาตรการแก้ไขหนี้ภาคครัวเรือน โดยเฉพาะหนี้เสียในพอร์ตที่อยู่อาศัย, เช่าซื้อ และ SMEs ผ่านการปรับลดเงินนำส่งกองทุน FIDF จากเดิม 0.46% เหลือ 0.23% ซึ่งช่วยลดภาระและเพิ่มสภาพคล่องให้กับธนาคาร กลุ่มธนาคารที่ได้ประโยชน์: BBL, KTB, KBANK, SCB, TTB

โบรกฯเจาะ 11 หุ้นได้ประโยชน์ จับตาแจกเงินดิจิทัลเฟส 2

โบรกฯเจาะ 11 หุ้นได้ประโยชน์ จับตาแจกเงินดิจิทัลเฟส 2

          หุ้นวิชั่น - บล.เอเชียพลัส จับตาความคืบหน้าการแจกเงินดิจิทัลเฟส 2 ล่าสุด รมช.คลังเผยว่าเตรียมนำนโยบายดังกล่าว โดยจะเป็นการรับเงินสดก้อนเดียว 10,000 บาท เสนอต่อที่ประชุม ครม. 19 พ.ย.นี้ ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมเงินไว้แล้ว 1.8 แสนล้านบาท ส่วนกลุ่มที่จะได้รับเงินนั้น คาดว่าจะมีช่วงอายุ 50 ปีหรือ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมองว่ากลุ่มผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มที่มีความเหมาะสม เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนมากกว่ากลุ่มอื่น เพราะมีความสามารถในการหารายได้ที่ต่ำกว่ากลุ่มอื่น อย่างไรก็ตามกลุ่มดังกล่าวจะต้องเป็น ผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” เท่านั้น และกลุ่มเปราะบางที่ได้รับเงินในเฟสแรก ไปแล้วจะถือว่าหมดสิทธิ จากประเด็นดังกล่าว รมช.คลังคาดจะเป็นตัวชูโรงให้ ตัวเลข GDP ในไตรมาส 4/2567 จะอยู่ ที่ระดับ 4.3-4.4%YOY เสริมด้วยการอัดฉีดหลายมาตรการกระตุ้นที่เตรียมไว้ในช่วงปลายปี ส่วนหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์และ SENTIMENTเชิงบวก คือ กลุ่มเกษตร-อาหาร CPF CBG OSP ICHI M กลุ่มค้าปลีก CPALL CRC BJC CPAXT กลุ่มเช่าซื้อ MTC SAWAD

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

BINANCE TH เผยเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 คือจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกการเงินดิจิทัล

BINANCE TH เผยเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 คือจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกการเงินดิจิทัล

           หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ (1 พฤศจิกายน 2567) - การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีนี้ นับเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์สำหรับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลและบล็อกเชนทั่วโลก โดยเป็นครั้งแรกที่สกุลเงินดิจิทัลได้รับความสนใจจนกลายเป็นหนึ่งในประเด็นของเวทีการเลือกตั้งสหรัฐฯ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่างเปิดเผยทัศนะที่ชัดเจนต่อสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ดิจิทัลในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต            Public Citizen องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (Non-Profit Organization) เปิดเผยว่า เงินสนับสนุนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกือบครึ่งหนึ่งมาจากภาคสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความต้องการของอุตสาหกรรมในการผลักดันให้เกิดความชัดเจนด้านกฎระเบียบ ดังนั้น เมื่อการเลือกตั้งเดินทางมาถึงช่วงโค้งสุดท้าย ความสนใจของสาธารณชนจึงหันไปที่นโยบายของผู้สมัครแต่ละคน ที่อาจส่งผลต่อทิศทางของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โดย โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้สมัครที่แสดงจุดยืนในการสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างชัดเจน ในขณะที่ กมลา แฮร์ริส ที่ถึงแม้ว่าจะสนับสนุนนวัตกรรมดิจิทัลเช่นกัน แต่ยังคงเน้นให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้บริโภคและนักลงทุนเป็นหลัก            นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของแพลตฟอร์มศูนย์ซื้อขายและนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH) กล่าวว่า “เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ที่จะแสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือเก็งกำไรสำหรับนักลงทุนเท่านั้น แต่ปัจจุบัน สินทรัพย์ดิจิทัลได้กลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญของแผนขับเคลื่อนเทคโนโลยีของประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งสองคนไม่สามารถเพิกเฉยได้ นี่เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ให้เห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังก้าวข้ามเข้าสู่การยอมรับที่กว้างขวางยิ่งขึ้นในระดับสากล” ทรัมป์ ปะทะ แฮร์ริส: ศึกนโยบายคริปโตที่มีอนาคตทางเศรษฐกิจเป็นเดิมพัน            โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปรับเปลี่ยนจุดยืนของตนที่มีต่อสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่เคยมีข้อกังขาในเรื่องนี้ ปัจจุบันเขากลับหันมาให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง พร้อมประกาศตนเป็น “ประธานาธิบดีแห่งสินทรัพย์ดิจิทัล” โดยทรัมป์ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าหากชนะการเลือกตั้ง เขาจะจัดตั้งสภาที่ปรึกษาบิทคอยน์และคริปโต รวมถึงสนับสนุนการขุดบิทคอยน์ พร้อมทั้งการลดกฎเกณฑ์ข้อบังคับ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนและธุรกิจ ทั้งนี้ การสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลของทรัมป์ยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในเชิงปฏิบัติอีกด้วย เห็นได้จากการที่สมาชิกครอบครัวของทรัมป์ได้ริเริ่มโครงการ DeFi ในชื่อ "World Liberty Financial" ซึ่งยิ่งตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่ทรัมป์มีต่ออุตสาหกรรมนี้อย่างแท้จริง            ทางด้าน กมลา แฮร์ริส เพิ่งเริ่มต้นยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และบล็อกเชน โดยจากวาระการหาเสียงล่าสุด แฮร์ริสได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะส่งเสริมนวัตกรรมควบคู่ไปกับการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเข้มงวด ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีอย่างยิ่งสำหรับวงการคริปโต            “การที่สินทรัพย์ดิจิทัลกลายเป็นหัวข้อสำคัญในการประชันวิสัยทัศน์ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก พร้อมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการกำหนดกฎระเบียบข้อบังคับที่เหมาะสม ไบแนนซ์ ทีเอช ในฐานะผู้นำด้านสินทรัพย์ดิจิทัล เราเชื่อมั่นว่าการกำหนดนโยบายที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยั่งยืน โปร่งใส และแข็งแกร่ง” นายนิรันดร์ กล่าวเสริม เมื่อใดสหรัฐฯ เปลี่ยน เมื่อนั้นนโยบายคริปโตทั่วโลกขยับตาม            ในฐานะที่สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก สหรัฐฯ จึงมีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดกฎระเบียบข้อบังคับสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับสากล โดยเศรษฐศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯ มักส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อตลาดคริปโตทั่วโลก รวมถึงยังมีอิทธิพลเหนือความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการตัดสินใจด้านกฎเกณฑ์ในหลายประเทศ ยกตัวอย่างเช่น การอนุมัติ Spot ETFs โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ซึ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดการยอมรับและเสริมสร้างความชอบธรรมของสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลก ในทำนองเดียวกันนั้น นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่าง การปรับอัตราดอกเบี้ย ที่มีผลต่อกระแสเงินทุนและการเคลื่อนไหวของตลาด ทั้งในตลาดการเงินแบบดั้งเดิม และตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเช่นเดียวกัน            นอกจากนี้ การเลือกตั้งรัฐสภาของสหรัฐฯ ยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายเกี่ยวกับคริปโตในอนาคตด้วยเช่นกัน โดยทัศนคติของฝ่ายนิติบัญญัติที่มีต่อสินทรัพย์ดิจิทัลอาจเป็นปัจจัยหลักในการผลักดันหรือชะลอการออกกฎหมายที่สำคัญ เช่น การร่างกฎหมาย FIT21 ที่มุ่งเน้นสร้างความชัดเจนในด้านการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นต้น ก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมคริปโต            ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ นโยบายด้านคริปโตของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมคริปโตทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เพราะทั้งทรัมป์และแฮร์ริสต่างได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งบ่งชี้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังกลายเป็นประเด็นที่พรรคการเมืองทั้งสองฝ่ายให้ความสนใจ ดังนั้น คำถามที่สำคัญจริงๆ อาจไม่ใช่ว่า ‘สหรัฐฯ จะเข้ามาควบคุมคริปโตหรือไม่’ แต่แท้จริงแล้วคือ ‘สหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายเกี่ยวกับคริปโตอย่างไรเพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของโลกต่างหาก            ทั้งนี้ ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังพยายามหาจุดสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมและการคุ้มครองผู้ใช้ รัฐบาลทั่วโลกก็กำลังให้ความสำคัญกับการควบคุมอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจังด้วยเช่นกัน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบระดับโลกนี้ จึงถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย ในการนำอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลก้าวไปข้างหน้า ผ่านการเปิดรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ซึ่งจะช่วยเสริมแกร่งให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลระดับภูมิภาค            แม้ว่าในปัจจุบัน สหรัฐฯ เองจะยังคงมีความไม่แน่นอนทางการเมืองในระยะสั้น แต่ในระยะยาวนั้นยังแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มเชิงบวก จากการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นจากภาครัฐ ภาคสถาบัน และนักลงทุนรายย่อย ที่จะมีส่วนช่วยผลักดันอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรมคริปโต            “ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นเช่นไร ในระยะยาวอุตสาหกรรมคริปโตจะยังคงเติบโตอย่างมั่นคงต่อไป จากการที่ได้ถูกนำไปใช้งานในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าทางด้านสังคมและเศรษฐกิจในอนาคต” นายนิรันดร์ เน้นย้ำเพิ่มเติม            นายนิรันดร์ กล่าวสรุปว่า “ประเทศไทยมีจุดยืนพิเศษที่สามารถได้รับประโยชน์จากการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลก โดยในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ไบแนนซ์ ทีเอช จะมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ปลอดภัย รวมถึงนวัตกรรมอันล้ำสมัย มาสู่ประเทศไทย ผ่านด้วยกลยุทธ์การดำเนินงานที่ชัดเจนและมีวิสัยทัศน์ โดยเรามุ่งมั่นที่จะมีบทบาทในการสร้างการยอมรับในสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างแพร่หลายและส่งเสริมการเข้าถึงทางการเงิน เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นแนวหน้าในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลระดับโลกต่อไป” สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม เว็บไซต์ https://www.binance.th/th 

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011