ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#หุ้นเด่น


แผ่นดินไหว..เขย่าหุ้นไทยแค่ไหน?

แผ่นดินไหว..เขย่าหุ้นไทยแค่ไหน?

           หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. กรุงศรีระบุว่า กลยุทธ์การลงทุน:            ประเมินสัปดาห์หน้า “Down” คาดประเด็นลบผลกระทบแผ่นดินไหวต่อเศรษฐกิจกดดันตลาด ขณะที่ประเด็นต่างประเทศ รอติดตามความชัดเจนภาษีเท่าเทียม วันที่ 2 เม.ย. รายงานเศรษฐกิจสหรัฐฯ (ISM PMI รวมถึงภาคการจ้างงาน) และ PMI ฝั่งจีน กลยุทธ์ เลือกลงทุนหุ้นที่จำหน่ายสินค้าและบริการจำเป็น อาทิ ค้าปลีกสินค้าจำเป็น ที่มี Deep Value เพื่อระยะกลาง ผสานกลุ่มสื่อสาร หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ แนะนำ CPALL, CPAXT, BJC ส่วนสัปดาห์ก่อน PTT, TRUE, KTB ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.4% vs. ดัชนีฯ ที่ให้ผลตอบแทน -0.94% • CPALL (TP25F-80.0): Deep Value + จำหน่ายสินค้าจำเป็น ผันผวนต่ำผลแผ่นดินไหว • CPAXT (TP25F-30): จำหน่ายสินค้าจำเป็น ผันผวนต่ำต่อผลแผ่นดินไหว • BJC (TP25F-30): Deep Value + ลุ้น Treasury Stock + จำหน่ายสินค้าจำเป็น ผันผวนน้อยกับเรื่องแผ่นดินไหว Investment Theme • March 25 Best Picks: AMATA, AP, BA, BH, BTS, CPALL, MTC • 1Q25F Stock Picks: ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE • Mid-Small Cap Play: INSET, JMT, MALEE, MOSHI ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย (*) US Econ: • 1 เม.ย. PMI ผลิต (ISM) มี.ค. ตลาดคาด 49.8 จุด prev. 50.3 • 3 เม.ย. PMI ภาคบริการ (ISM) มี.ค. ตลาดคาด 53.2 จุด prev. 53.5 จุด (*) US Labour: • 4 เม.ย. ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร มี.ค. คาด 1.35 แสนราย prev. 1.51 แสนราย • อัตราการว่างงาน มี.ค. ทรงตัวที่ 4.1% • ค่าจ้างรายชั่วโมง คาด 0.3% m-m, 3.9% y-y (*) CH Econ: • 31 มี.ค. PMI ภาคผลิต มี.ค. คาด 50.4 จุด prev. 50.2 • PMI ภาคบริการ มี.ค. 24 ตลาดคาด 50.6 จุด vs prev. 50.2 จุด • 1 เม.ย. Caixin PMI ภาคผลิต คาดทรงตัว 50.8 จุด • 3 เม.ย. Caixin PMI ภาคบริการ คาด 51.5 จุด prev. 51.4 (*) US Trade War: • 2 เม.ย. การประกาศใช้ภาษีเท่าเทียมของคุณ Trump คาดอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง (ไทยเก็บภาษีสูงกว่าสหรัฐฯ เก็บไทย) อาทิ ยานยนต์+ชิ้นส่วนยานยนต์ สินค้าเกษตร ชิ้นส่วนฯ ซึ่งระยะสั้นกรณีดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันก่อนที่จะมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น (*/-) Earthquake: • ผลกระทบเหตุการณ์แผ่นดินไหว ระยะสั้นคาดสร้างแรงกดดันทางลบ (*) GULF: • 3 เม.ย. GULF (หลังควบรวม INTUCH) กลับมาซื้อขายในตลาดวันแรก (*) TH CPI: • 4 เม.ย. เงินเฟ้อ CPI มี.ค. 25 ไม่มีคาด vs prev. +1.08% y-y • เงินเฟ้อพื้นฐาน CPI ไม่มีคาด vs prev. +0.99% y-y (*/-) SET EPS: • กำไรตลาดปี 25F อยู่ที่ 94.18 บาท ลดลง w-w • กลุ่มหนุน: กลุ่มปิโตรเคมี, Packaging ฯลฯ • กลุ่มถ่วง: กลุ่มยานยนต์ และวัสดุก่อสร้าง, สื่อ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ • US: ISM Mfg PMI (1 Apr), Nonfarm Payrolls (ADP) & Reciprocal Tax (2 Apr), Initial Jobless Claims & ISM Service PMI (3 Apr), Nonfarm Payrolls & Unemployment (4 Apr) • EU: CPI (1 Apr), PPI (3 Apr) • UK: - • CH: Mfg & Service PMI (31 Mar), Caixin Mfg PMI (1 Apr) & Caixin Service PMI (3 Apr) • JP: - • TH: Earthquake Impact, Cabinet & Int. Tourists (1 Apr), GULF (3 Apr), CPI (4 Apr)

โกลเบล็กจัดธีมหุ้นเด่น คลิก!

โกลเบล็กจัดธีมหุ้นเด่น คลิก!

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด คาดว่าดัชนีในวันนี้ยังคงแกว่งตัวผันผวนระหว่างวัน โดยตลาดยังคงเผชิญแรงกดดันจากกรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ ขณะที่ในประเทศมีปัจจัยบวกจากการที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ Entertainment Complex ซึ่งช่วยสร้าง Sentiment เชิงบวกในบางกลุ่มหุ้น โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในวันนี้ที่ 1,180–1,195 จุด กลุ่มหุ้นเด่นตามธีมต่างๆ ได้แก่: หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ TISA: CPALL, SCB, TISCO, EGCO, BDMS, TU, ADVANC หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Thai ESG Extra: BBL, BEM, CPALL, PTT, TISCO หุ้นที่อยู่อาศัย (กรณี ธปท. ผ่อนปรนมาตรการ LTV): AP, LH, SIRI, SC, SPALI, QH หุ้นที่ได้อานิสงส์จากร่าง พ.ร.บ. Entertainment Complex: VGI, BTS, PLANB

เก็งหุ้นเข้า SET100=SET50 เช็กด่วน!

เก็งหุ้นเข้า SET100=SET50 เช็กด่วน!

                หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบว่า KSS ประเมินว่าแนวโน้มดัชนี SET Index วันนี้มีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบ “Sideways/Up” โดยมีแนวต้านที่ 1,195 และ 1,200 จุด ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 1,180 และ 1,175 จุด โดยปัจจัยสำคัญที่ตลาดให้ความสนใจในวันนี้ เริ่มจากกระแสเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งสะท้อนผ่านราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้น +1.3% ทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่มีความผันผวน สะท้อนความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจภายหลังอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้นโยบายกีดกันการค้านำเข้ารถยนต์ที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ                 ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังรอความชัดเจนจากรายงานเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ โดยตลาดคาดว่า Core PCE จะเพิ่มขึ้น +0.3% MoM ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ระดับแนวหน้า (+0.4% MoM) หลังมีสัญญาณเร่งตัวจากดัชนี PPI หมวดอาหาร นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความคืบหน้าของมาตรการภาษีเท่าเทียม (Reciprocal Tariff) ที่อาจประกาศในวันที่ 2 เมษายนนี้                 สำหรับปัจจัยภายในประเทศ เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยมากกว่า 1,000 ล้านบาท เป็นครั้งแรกในรอบ 13 วัน ประกอบกับการทยอยซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน และดัชนี SET ที่สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นได้ต่อเนื่อง ช่วยสะท้อนสถานะ “Deep Value” ของตลาดที่ชัดเจนมากขึ้น                 นอกจากนี้ ภาครัฐฯ ยังเริ่มขยับในเชิงนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้าง โดยเฉพาะในด้านหนี้ครัวเรือน พร้อมกันนี้ยังมีความคืบหน้าในการอนุมัติร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร รวมถึงการจัดงาน AI Revolution ที่สะท้อนการเร่งพัฒนา Use Case ด้านเทคโนโลยีในประเทศ                 จากปัจจัยทั้งหมด KSS ประเมินว่าภาพรวมภายในยังคงเป็นบวกต่อดัชนี SET โดยหุ้นที่น่าสนใจในวันนี้ ได้แก่ กลุ่มหุ้น Deep Value, กลุ่ม Domestic Play เช่น ธนาคาร ท่องเที่ยว และสื่อสาร รวมถึงหุ้นเก็งกำไรจากโอกาสเข้า SET50 / SET100 อาทิ VGI และ THCOM หลัง GULF รวม INTUCH เป็นที่เรียบร้อย ทั้งนี้ หุ้นแนะนำในวันนี้ได้แก่ ADVANC, KBANK และ BA

เราเที่ยวด้วยกันคนละครึ่ง หุ้นอะไรรับโชค เช็กได้เลย!

เราเที่ยวด้วยกันคนละครึ่ง หุ้นอะไรรับโชค เช็กได้เลย!

            หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า รัฐบาลเตรียมออก เราเที่ยวด้วยกัน 2568 รัฐจ่ายคนละครึ่ง เริ่ม พ.ค.-ก.ย. นี้ รัฐบาลเตรียมจะออกโครงการใหม่ที่คล้าย "เราเที่ยวด้วยกัน" (ชื่อโครงการยังอยู่ระหว่างการสรุปชื่ออย่างเป็นทางการ) จะช่วยค่าโรงแรมและค่าอาหารให้มากขึ้น (50%) โดยมีคูปองดิจิทัลให้ส่วนลด และอาจมีส่วนช่วยค่าตั๋วเครื่องบินด้วย จำนวนสิทธิ์เบื้องต้น เปิดให้จอง 1 ล้านสิทธิ์ ในระยะแรก เพื่อให้คนไทยเที่ยวข้ามภาคมากขึ้นในช่วง Low Season โดยจะเสนอ ครม. อนุมัติในเดือน มี.ค. 25 โดยมีเงื่อนไขการเดินทางข้ามจังหวัด เช่น การจองที่พักในจังหวัดหนึ่ง อาจต้องมีการเดินทางไปยังจังหวัดอื่นด้วย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในเมืองรองตามนโยบาย จะเริ่มเปิดให้จองสิทธิ์ในเดือน พ.ค.-ก.ย. 25 (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, ไทยนิวส์ออนไลน์)             มีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน 2568 ถึงแม้ว่าจะให้เพียง 1 ล้านสิทธิ์ (เมื่อเทียบกับโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟสที่ 1 ที่ 5 ล้านสิทธิ์, เฟสที่ 2 ที่ 1 ล้านสิทธิ์, เฟสที่ 3 ที่ 2 ล้านสิทธิ์, เฟสที่ 4 ที่ 1.5 ล้านสิทธิ์ และเฟสที่ 5 อีก 5.6 แสนสิทธิ์) แต่จะมีการจ่ายสมทบให้ประชาชนได้ถึง 50% ซึ่งมากกว่ารอบก่อนที่มีเราเที่ยวด้วยกันที่จ่ายให้ 40% (อิงโครงการเราเที่ยวด้วยกันที่ให้ส่วนลดที่พัก 40% สูงสุดไม่เกิน 3,000 บาท/ห้อง/คืน ใช้สิทธิได้ไม่เกิน 10 ห้องหรือคืนต่อคน และคูปองอิเล็กทรอนิกส์สำหรับจ่ายค่าอาหารและท่องเที่ยว มอบส่วนลด 40% สูงสุดไม่เกิน 600 บาท/ห้อง/วัน) โดยจะเริ่มใช้สิทธิ์ได้ในช่วงปลาย 2Q-3Q25E ซึ่งเป็น Low season ของไทย และจะบังคับให้เดินทางหลายจังหวัดเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น             โดยหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากมาก-น้อยเรียงตามสัดส่วนรายได้ในประเทศไทยจากมาก-น้อยคือ ERW (88%), CENTEL (80%) และ MINT (15%) โดยเราคาดว่า ERW (ถือ/เป้า 4.40 บาท) และ CENTEL (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) จะได้ sentiment เชิงบวกจากทั้งโครงการเราเที่ยวด้วยกันและจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้ดีมากที่สุด             นอกจากนี้หากตั๋วเครื่องบินใช้กับโครงการนี้ได้ด้วยจะเป็นบวกต่อ AAV (ซื้อ/เป้า 2.80 บาท) เพิ่มเติม             เราให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่ากับตลาด” โดยจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน 2568 จะเป็นผลดีต่อ ERW (ถือ/เป้า 4.40 บาท), CENTEL (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) และ AAV (ซื้อ/เป้า 2.80 บาท) ขณะที่ Top pick ของกลุ่ม เรายังชอบ CENTEL, และ MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท)

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

DELTA พุ่ง 5.36% นำกลุ่มอิเล็กฯ คลายกังวลเทรดวอร์-บอนด์ยีลด์ลง

DELTA พุ่ง 5.36% นำกลุ่มอิเล็กฯ คลายกังวลเทรดวอร์-บอนด์ยีลด์ลง

                หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นของ บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA) วันนี้ปรับตัวขึ้นแรง บวก 5.36% หรือ 3.75 บาท มาอยู่ที่ 73.75 บาท มองเป็นการรีบาวด์สั้นๆ หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ขณะที่นักลงทุนคลายความกังวลต่อสงครามการค้าฯ สหรัฐ ที่อาจไม่ได้รุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้ ทำให้กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์มีความหวังขึ้นมา                 อีกทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) ก็ปรับตัวลงมา หลังสหรัฐฯ ได้รายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่ 92.9 ต่ำกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 94.2 ซึ่งความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4                 ทั้งนี้ DELTA ปรับขึ้นตามหุ้นในต่างประเทศ โดย บล.บัวหลวง ระบุ หุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน โดย S&P 500 +0.2% Nasdaq +0.5% รับแรงหนุนจากหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Tesla (TSLA) ที่พุ่ง 3.5% Apple (AAPL) และ Amazon (AMZN) บวก 1.4% และ 1.2% ตามลำดับ                 ปัจจัยบวกมาจากความหวังว่า นโยบายภาษีตอบโต้ของ Trump ซึ่งมีกำหนดประกาศวันที่ 2 เม.ย.นี้ อาจมีขอบเขตจำกัดกว่าที่ตลาดเคยกังวล หลังประธานาธิบดีเผยว่า "อาจให้ข้อยกเว้นกับหลายประเทศ" อย่างไรก็ดี Trump ยังส่งสัญญาณเตรียมใช้ภาษีใหม่กับกลุ่ม ยาและรถยนต์ ในอนาคตอันใกล้ รวมถึงประกาศจะเก็บ "ภาษีรอง" จากประเทศที่ซื้อพลังงานจากเวเนซุเอลา                 ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือน มี.ค. ดิ่งลงสู่ 92.9 จุด ต่ำสุดในรอบกว่า 4 ปี สะท้อนความกังวลของประชาชนต่อเศรษฐกิจจากทั้ง ภาษี-เงินเฟ้อ-การเลิกจ้างภาครัฐ                 มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีโอกาสแกว่งตัวขึ้นในระยะสั้นได้ จากความคาดหวังว่า "ภาษีอาจเบากว่าคาด" แต่ปัจจัยพื้นฐานโดยรวมยังมีแรงกดดัน โดยเฉพาะความเสี่ยงเงินเฟ้อและเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ขณะที่ตลาดติดตามรายงานเศรษฐกิจสำคัญปลายสัปดาห์นี้ ทั้งตัวเลข GDP และ เงินเฟ้อ PCE ซึ่งเป็นดัชนีเงินเฟ้อที่ Fed ให้ความสำคัญ

KSS คาด SET วันนี้ Sideways/Up เคาะ KBANK-KTB-PTTEP เด่น

KSS คาด SET วันนี้ Sideways/Up เคาะ KBANK-KTB-PTTEP เด่น

            หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี คาด SET วันนี้“Sideways/Up” ต้าน 1200/1212จุด รับ 1185/1182 จุด ประเด็นสำคัญวันนี้ 1.) ตลาด Risk-on คุณ Trump ส่งสัญญาณการใช้ภาษีเท่าเทียม แบบ Selective เน้นผสานสินค้า รถยนต์ ยา ไม้และ Semiconductors หากจำกัดในกรอบดังกล่าวจะ ช่วยให้ความเสี่ยงต่อไทยจำกัดขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่เป็นความเสี่ยงหลัก 2.) Flash PMI บริการ มี.ค. 25 สหรัฐฯ ฟื้นมาที่ 54.3 จุด ดีกว่าคาด แต่มีประเด็นต้องระวัง เพราะแรงขับเคลื่อนมาจากองค์ประกอบราคา คาดวันนี้ตลาดรอติดตามความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพื่อประเมินเพิ่ม 3.)ราคาน้ำมันมีโมเมนตัมบวกต่อ หลังคุณ Trump ประกาศใช้เงื่อนไขภาษีนำเข้าเพิ่ม 25% กับประเทศที่ซื้อน้ำมันจากเวเนซุเอลา 4.) ภายในตลาดติดตามการอภิปรายไม่วางไว้ใจรัฐบาลต่อ โดยการลงคะแนนเสียงไว้ไม่วางใจจะเกิดขึ้น เย็น 26 มี.ค. หรือ เช้า 27 มี.ค. Base Case เราคาดรัฐบาลยังขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ต่อ ประเด็นกดดันตลาดทั้งนอกและในเป็นกลาง-บวก ขณะที่อยู่ในช่วงปลายแล้ว คาดตลาดฟื้นได้ต่อเนื่อง หุ้นนำ คือ 10 หุ้น Deep Value หุ้นธนาคาร (จิตวิทยาบวกYield สหรัฐฯเร่งขึ้น+นโยบายรัฐฯซื้อหนี้เปิด Upside) ผสานเก็งกำไร หุ้น Global Plays (พลังงานต้นน้ำ, ส่งออกกลุ่มเกษตร - อาหาร) วันนี้แนะนำ KBANK, KTB, PTTEP

KSS คาด SET วันนี้“Sideways/Up” คัด 3 หุ้นเด่น!

KSS คาด SET วันนี้“Sideways/Up” คัด 3 หุ้นเด่น!

         หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี คาด SET วันนี้“Sideways/Up” ต้าน 1195/1202จุด รับ 1175/1165 จุด ประเด็นสำคัญวันนี้ 1.) คุณ Trump ยืนยัน การปรับใช้นโยบายภาษีเท่าเทียม (Reciprocal Tax) 2 เม.ย. แต่เรื่องใหม่ คือ การเปิดช่องเจรจา คาดช่วยให้ตลาดหุ้นโลกผ่อนคลายขึ้นต่อ ความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่หนุนตลาดหุ้นอาเซียนที่เป็นกลุ่มที่ตลาดมองมีความเสี่ยงนโยบายดังกล่าวค่อนข้างสูง 2.) ช่วงที่เหลือสัปดาห์ประเด็นต่างประเทศติดตาม Flash PMI ภาคผลิตและบริการ สหรัฐฯ มี.ค. 25 3.) ภายในติดตามทิศทางเสถียรภาพรัฐบาล การอภิปราย ไม่ไว้วางใจ 24-25 เม.ย. กรณีฐาน เราคาดรัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายได้ต่อ ผสาน SET ที่ Underperform ต้นปีจนมี ERP ที่ 4.8% +/- >AVG +1 S.D. อิงประเด็นลบต่างประเทศที่คลายทางบวก ภายในที่ใกล้ผ่านช่วงความไม่ชัดเจน          คาด SET น่าจะเริ่มแกว่งขึ้นได้หุ้นนำคือ 1.) 10 หุ้น Deep Value 2.) หุ้นที่ตลาดเก็งโอกาสดำเนินการโครงการ Treasury Stock ในกลุ่มธนาคาร พลังงาน อิงราคาหุ้นล่าสุด + ฐานะการเงิน สิ้นปี24 เราพบว่า หุ้น Big Cap ที่มีศักยภาพ อาทิPTTEP, SCGP, GPSC, PTTGC, BCP, TOP 3.) เก็งกำไรหุ้น Global Plays / หุ้นอิงภาคส่ง ออก กับโมเมนตัมท่าทีคุณ Trump วันนี้แนะนำ CPF, PTTEP, TRUE

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

อภิปรายรัฐบาลประทุ เขย่าหุ้นไทยแค่ไหน? โผ 5 บจ.ซื้อหุ้นคืน- จับตา 10 หุ้น Deep Value เช็กได้!

อภิปรายรัฐบาลประทุ เขย่าหุ้นไทยแค่ไหน? โผ 5 บจ.ซื้อหุ้นคืน- จับตา 10 หุ้น Deep Value เช็กได้!

           หุ้นวิชั่น – โหมโรงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่พุ่งเป้าไปที่ตัว นายกรัฐมนตรี วันที่ 24-25 มี.ค.นี้ เขย่าหุ้นกลุ่มการเมืองอะไรบ้าง นักลงทุนควรทำตัวอย่าไร หุ้นอะไรได้ประโยชน์ หุ้นอะไรได้รับผลกระทบ ต้องติดตาม ทีมงานหุ้นวิชั่น พร้อมรายงาน            จับตา 10 หุ้น Deep Value ประกอบด้วย CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT            เกาะติด 5 หุ้น ที่มีโอกาส ซื้อหุ้นคืน ตาม PTT นั่นคือ PTTEP, PTTGC, BCP, TOP, SCGP            บทวิเคราะห์ บล .กรุงศรี ประเมินทิศทางการลงทุนตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า(24-29 มี.ค.2568) ว่า มีโอกาส “ฟื้นตัว” ตลาดจับตา การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล & นายกรัฐมนตรี 24-25 มี.ค. เพื่อประเมินเสถียรภาพรัฐบาล แต่กรณี Base Case ประเมิน รัฐบาลขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจได้ต่อ และน่าจะหนุนเม็ดเงินลงทุนชะลอดูความชัดเจน ทยอยกลับมาลงทุน SET ที่อยู่ในโซนลงทุน Current Equity Risk Premium ปัจจุบัน 4.8% +/- > AVG. +1.5 S.D.            โดยมีหุ้นเด่น กลุ่มที่มาตรการรัฐฯหนุน (ธนาคาร เช่าซื้อ อสังหา) หุ้นสื่อสาร คาดกระแสงาน AI Revolution รวมถึงคาดมี Preview งบ 1Q25F ที่ยังมีแนวโน้มดีหนุนกลุ่มที่ตลาดเก็งมีศักยภาพทำ และ 10 หุ้น Deep Value (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)            และ 10 หุ้น Deep Value (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)            หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ : แนะนำ PTT, TRUE, KTB ส่วนสัปดาห์ก่อน BDMS, BCH, SCGP ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย -6.22% vs. ดัชนีฯที่ให้ผลตอบแทน 1.09% • PTT (TP Con-34.9): คาดโมเมนตัมการประกาศโครงการ Treasury Stock หนุนต่อ • TRUE(TP25F-15): กระแสงาน AI Revolution + ใกล้ Preview คาดกำไร 1Q25F ดีต่อ • KTB(TP25F-27): ได้ประโยชน์มาตรการซื้อหนี้ธนาคาร + ผ่อนคลาย LTV สูงลำดับต้น •            Investment Theme: • March25 Best Picks: AMATA, AP, BA, BH, BTS, CPALL, MTC • 1Q25F Stock Picks: ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play: INSET, JMT, MALEE, MOSHI            ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย • (*) US Econ: 24 มี.ค. ดัชนี Flash PMI ภาคผลิตและบริการ มี.ค. 25 ไม่มีคาด prev. 52.7 และ 51.0 จุด, 25 มี.ค. ความเชื่อมั่นผู้บริโภค Conf. Board มี.ค. คาด 94.0 จุด vs prev. 98.3 จุด • (*) US PCE: 29 มี.ค. เงินเฟ้อ PCE ก.พ.25 คาด +2.5%y-y, +0.3%m-m prev. +2.5% +0.3% • (*) CH Rate: 26 มี.ค. ติดตามอัตราดอกเบี้ย Facility Rate อายุ 1 ปี คาดคงที่ระดับ 2.0% • (*) TH Politic: 24-25 มี.ค. ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล • (*) Tech Seminar: 27 มี.ค. ติดตามงานสัมมนา AI Revolution “a New Paradigm of New World Economy” บจ.หลักๆ ที่ร่วมงาน ได้แก่ ADVANC, BBIK, KBANK, WHA •             Treasury Stock: คาดกระแสเก็งหุ้นที่มีโอกาสทำ Treasury Stock เพิ่มขึ้น ประเมินหุ้นที่มีฐานะการเงินรองรับได้เป็นเป้า ได้แก่ หุ้นกลุ่มธนาคาร PTTEP, PTTGC, BCP, TOP, SCGP •            สัปดาห์นี้ วันที่ 24 – 29 มี.ค. ต่างประเทศ ติดตามรายงาน GDP และ Core PCE สหรัฐฯ ดัชนี Flash PMI ประเทศเศรษฐกิจสำคัญ ภายในประเทศ ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สัปดาห์หน้า เรื่องหลักที่กำหนดทิศทางตลาดคาดอยู่ที่ภายใน ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล 24-25 มี.ค. ตลาดน่าจะติดตามสัญญาณบ่งชี้ถึงเสถียรภาพรัฐบาล            ส่วนปัจจัยภายนอก ติดตามแนวโน้มดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะ Flash PMI ภาคผลิตและภาคบริการ มี.ค. 25 และความเชื่อมั่นผู้บริโภค ทั้งของ ม.มิชิแกน และ Conf Board หลังจากตลาดกังวลต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้น จากสัญญาณชี้นำในส่วน Inverted Yield Curve ที่เกิดขึ้นระยะหลัง ก่อนปลายสัปดาห์ รวมถึงการรายงานเงินเฟ้อ Core PCE ซึ่งคณะกรรมการ Fed ให้น้ำหนัก โดยมองมีความเสี่ยงด้านสูงสะท้อนจากโครงสร้างของ CPI และ PPI ที่รายงานออกมาก่อนหน้า

“กรุงศรี” คัด 7 หุ้น โอกาสซื้อหุ้นคืน ตาม PTT

“กรุงศรี” คัด 7 หุ้น โอกาสซื้อหุ้นคืน ตาม PTT

               หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี จับตากระแสการซื้อหุ้นซื้อคืนกลับมาคึกคักขึ้น หลัง PTT ประกาศโครงการซื้อหุ้น คืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) วงเงินสูงสุดไม่เกิน 16,000 ลบ. และจำนวนหุ้นซื้อคืน ไม่เกิน 470 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 1.65% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด (implied ราคาหุ้น ซื้อคืนราว 34 บาท/หุ้น)                หลังจากนี้ คาดตลาดมีโอกาสเก็งกำไรหุ้น Big Cap ที่มีศักยภาพดำเนินการได้ อิงรายงานกลยุทธ์ “โอกาสลงทุนจากกระแสหุ้นทุนซื้อคืน” ที่ฝ่ายวิจัยออกวันที่ 29 ม.ค. 25 ซึ่งพบว่า มีหุ้น Big Cap หลักๆในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ปิโตรเคมีที่มีโอกาสเห็นการซื้อคืนระยะถัดไป อาทิ SCB, KBANK, KTB , BBL, PTTGC, TOP, BCP                นอกจาก PTT, TTB ที่ประกาศ โครงการดังกล่าว รวมถึงหุ้นธนาคารส่วนใหญ่ที่ปรับเพิ่มอัตราจ่ายเงินปันผลไปแล้ว รอติดตามหุ้นที่ยังประกาศในส่วน BCP, PTTGC, TOP

เช็ก! หุ้นได้ประโยชน์ตัวเลขส่งออกไทยขยายตัว

เช็ก! หุ้นได้ประโยชน์ตัวเลขส่งออกไทยขยายตัว

              หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุ กระทรวงพาณิชย์เผยตัวเลขส่งออก เดือน ก.พ.68 ออกมาขยายตัว 14.00%y-y เพิ่มขึ้นจากเดือน ม.ค.68 ที่ 13.60%y-y ทำให้ตัวเลขส่งออกรวมเดือน ม.ค.-ก.พ.68 ออกมาขยายตัว 13.8% ขณะที่ตัวเลขนำเข้าในเดือน ก.พ.68 ออกมาขยายตัว 4.00%y-y ลดลงจากเดือน ม.ค.68 ที่ 7.9%y-y ทำให้ดุลการค้าพลิกมาเกินดุล 1.99 พันล้านเหรียญฯ เบื้องต้น สินค้าที่ยังขยายตัวได้ดี ได้แก่ -ยางพารา ขยายตัว 35.7%y-y (ขยายตัว 16 เดือนต่อเนื่อง) -ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และ แปรรูป ขยายตัว 9.3%y-y (ขยายตัว 5 เดือนต่อเนื่อง) -ผลไม้สด ขยายตัว 12.7%y-y (พลิกมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 3 เดือน) -สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 9.9%y-y (ขยายตัว 8 เดือนต่อเนื่อง) -สินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 17.2%y-y (ขยายตัว 11 เดือนต่อเนื่อง) -ข้าวสาลี และ อาหารสำเร็จรูปอื่นๆ ขยายตัว 27.7%y-y (ขยายตัว 14 เดือนต่อเนื่อง) -ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัว 22.5%y-y (ขยายตัว 17 เดือนต่อเนื่อง) -อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัว 14.4%y-y (ขยายตัว 17 เดือนต่อเนื่อง) -อัญมณี และ เครื่องประดับ ขยายตัว 106.3%y-y (ขยายตัว 4 เดือนต่อเนื่อง) -เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ และ ส่วนประกอบ ขยายตัว 51.3%y-y(ขยายตัว 11 เดือนต่อเนื่อง) -เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัว 32.8%y-y (ขยายตัว 8 เดือนต่อเนื่อง) -ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัว 16.9%y-y (ขยายตัว 8 เดือนต่อเนื่อง) ทางฝ่ายมองหุ้นที่อยู่ในกลุ่มสินค้าที่ยังส่งออกได้ดี จะได้รับ Sentiment บวก มองหุ้นน่าสนใจมีดังนี้ ยางพารา และ ผลิตภัณฑ์ยาง : NER, STA, STGT, TRUBB ไก่สด และ แปรรูป : CPF, TFG, GFPT อาหารสัตว์เลี้ยง : ITC, AAI ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ : DELTA, HANA, KCE, CCET, SVI

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

จับตา

จับตา"ซื้อหนี้ประชาชน" คัด 3 หุ้น Top Pick

            หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี จับตาข่าวซื้อหนี้ของประชาชน โดยฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็น slightly positive sentiment ต่อกลุ่ม ธนาคาร และ การเงินผู้บริโภค ต่อข่าวการซื้อหนี้ของประชาชนในกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันและบัตรเครดิตที่มีมูลหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท เพราะเป็นการเพิ่มทางเลือกในการจัดการหนี้เสีย (NPL) ให้กับสถาบันการเงิน             เบื้องต้นเราประเมินเงินลงทุนที่ใช้ในการซื้อหนี้ภายใต้สมมติฐาน 1) 35% ของมูลหนี้ทั้งหมด 1.2 ล้านล้านบาท 2) เงินลงทุนซื้อหนี้ไม่มีหลักประกันเฉลี่ยของ AMC ราว 5-10% ของมูลค่าหนี้ คิดเป็นทั้งหมด 2.1-4.2 หมื่นล้านบาท เราคาดว่าการระดมทุนเม็ดเงินดังกล่าวพอเป็นไปได้ ฝ่ายวิจัยเรียงลำดับสถาบันการเงินที่มีสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันและบัตรเครดิตมากไปน้อย ดังนี้ กลุ่ม ธนาคาร: KTB (26%) > KBANK, TTB (6%) > SCB (5%) > KKP (4%) สำหรับ BBL ไม่มีการชี้แจงรายละเอียด และ TISCO ไม่มีสินเชื่อประเภทดังกล่าวกลุ่ม การเงินผู้บริโภค: KTC (98%) > AEONTS (92%) > MTC (10%) > SAWAD (3%) สำหรับ THANI และ MICRO ไม่มีสินเชื่อประเภทดังกล่าว แม้ว่า KTC จะมีสัดส่วนสินเชื่อประเภทดังกล่าวสูงสุดในกลุ่ม การเงินผู้บริโภค แต่ KTC ไม่มีนโยบายการขายหนี้             สำหรับประเด็นเรื่องการให้ลูกหนี้ NPL หลุดจากการติดแบล็คลิสต์เครดิตบูโร เรามองว่ามีโอกาสเกิดได้น้อย เพราะจะทำให้เกิด Moral Hazard และประโยชน์ของข้อมูลเครดิตบูโรลดลง เรามองว่าโอกาสที่เป็นไปได้คือ การติดรหัสพิเศษให้กับลูกหนี้กลุ่มนี้ เหมือนกับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ฝ่ายวิจัยคงน้ำหนักการลงทุน NEUTRAL สำหรับกลุ่มธนาคาร และคง KBANK (BUY, TP 178 บ.) และ KTB (BUY, TP 27 บ.) เป็น Top Pick ฝ่ายวิจัยคงน้ำหนักการลงทุน BULLISH สำหรับกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ และคง MTC (BUY, TP 58 บ.) เป็น Top Pick

KSS คาด SET วันนี้ “Rebound” เคาะ PTT-PTTEP-KTB เด่น

KSS คาด SET วันนี้ “Rebound” เคาะ PTT-PTTEP-KTB เด่น

              หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1195/1202จุด รับ 1175/1165 จุด ประเด็นสำคัญวันนี้ค่อนทางบวกต่อ SET 1.) ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นเฉลี่ย +1.7% หลังสหรัฐฯประกาศคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่ม เป็นบวกต่อ SET ที่มีหุ้นพลังงานราว 10-11% ของมูลค่าตลาด               ผสาน 2.) ภายใน การประกาศซื้อหุ้นคืน PTT จำนวนไม่เกิน 470 ล้านหุ้น (1.65% ของหุ้นทั้งหมด) วงเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท น่าจะทำให้ตลาด เก็งภาพอาจจะเห็นหุ้นอื่นในกลุ่มดำเนินการคล้ายกัน อาทิ BCP, PTTGC, TOP ดังที่เกิดขึ้นภาพทยอยปรับเพิ่ม Payout Ratio ในกลุ่มธนาคาร               3.) กลุ่มธนาคาร+เช่าซื้อ มีภาพบวกแนวทางกระทรวงการคลังซื้อหนี้คืนที่ชัดเจนขึ้น เน้นหนี้ไม่มีหลักประกัน ยอดค้าง < 1 แสนบาทต่อคน (35% ของหนี้ NPLs ทั้งระบบ 1.2 ล้านล้านบาท) ประเมินเงินที่ใช้2.1-4.2 หมื่นล้านบาท อยู่ในกรอบที่ระดมทุนเอกชนได้4.) BOT กลับมาผ่อนคลาย มาตรการ LTV อีกครั้งบวกต่อหุ้นอสังหา+ธนาคาร 5.) วันนี้ FTSE Rebalance ราคาปิดเป็น Net inflows +40 ล้านเหรียญฯ ประเมินหนุน               SET Rebound หุ้นนำ คือ หุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคาร เช่าซื้อ และอสังหา ผสาน 10 หุ้น Deep Value วันนี้แนะนำ PTT, PTTEP, KTB

เจาะกลยุทธ์ลงทุนบ่าย คัด 3 หุ้นเด่น!

เจาะกลยุทธ์ลงทุนบ่าย คัด 3 หุ้นเด่น!

            หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี คาด SET Index บ่ายนี้ผันผวนในกรอบ 1,190 -1,200 จุด upside ระยะสั้นอาจจะจํากัดที่ระดับ 1,200 จุด จากการระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ในสัปดาห์หน้า รวมถึง การปรับขึ้นภาษี Reciprocal Tax ของสหรัฐในช่วงต้น เดือน เม.ย. กลยุทธ์ยังเน้นหุ้น Big Cap ที่ปัจจัยพื้นฐานดี และ มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว (รองรับเงิน ในช่วงที่ INTUCH +GULF หยุดซื้อขาย) Top Pick บ่ายนี้ คือ ADVANC, PTTEP และ VGI ด้านตลาดหุ้นภาคเช้า  SET Index ปิดตลาดภาคเช้าเพิ่มขึ้น 5 จุด ปรับขึ้นในทิศทางเดียวกับ ตลาดหุ้นสหรัฐรับผลประชุมเฟดโทนเป็นกลางตามที่ตลาดคาด หุ้น Big cap ยังเด่นคาดหวัง Fund flow ไหลเข้าหลังโบรกต่างชาติเพิ่มน้ําหนักตลาดหุ้นไทยเป็น overweight หุ้นที่ปรับ ขึ้นนําตลาดเช้านี้ คือ PTT, PTTEP, GULF, ADVANC และ KBANK

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

PLANET ชู 6 กลยุทธ์ เจาะ New S Curve มุ่ง Digital go Green

PLANET ชู 6 กลยุทธ์ เจาะ New S Curve มุ่ง Digital go Green

                  หุ้นวิชั่น - PLANET ปักธงปี 68 มุ่งเน้น นำเทคโนโลยีขั้นสูง และเทคโนโลยีดิจิทัลใช้เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Digital Go Green) เต็มตัว ชู 6 กลยุทธ์ รักษาฐานตลาดเดิมและเจาะตลาด New S Curveประกอบด้วย กลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technology) กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีสำหรับการป้องกันประเทศ (Defense Technology) กลุ่มธุรกิจระบบป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ในระบบปฏิบัติการ (OT Cybersecurity) กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน (ESG)  กลุ่มธุรกิจศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะสีเขียว (Green AI Data Center) และต่อยอดด้วยกลุ่มธุรกิจบริการ AI และ ข้อมูลขนาดใหญ่ (AI & Big Data Services) บิ๊กบอส "ประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์" ตั้งเป้าปี 68 ผลงานพลิกเป็นกำไร                   นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANET ผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา สภาพตลาดได้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งทางด้านเทคโนโลยี  ความต้องการของลูกค้าเดิมขยายช้า และการแข่งขันในธุรกิจเดิมที่สูงมาก ทำให้มีผลต่อการเจริญเติบโตของบริษัทฯ ดังนั้น  เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนและผลกำไรเพิ่มขึ้น ในปี 2568 บริษัทฯ จึงได้วางแผนการดำเนินธุรกิจ 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 รักษาฐานลูกค้าและเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมเดิม ส่วนที่ 2 มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงสำหรับตลาดเฉพาะ (New S Curve) รวมทั้งนำเทคโนโลยีดิจิทัลใช้เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Digital Go Green) อย่างเต็มตัว จึงได้กำหนดกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจองค์กรภายใต้ 6 กลยุทธ์ ประกอบด้วย                   1.กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technology) ซึ่งบริษัทเริ่มดำเนินธุรกิจนี้มาตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา หลังได้เป็นตัวแทนจำหน่ายบริษัท SAAB Technologies จากประเทศสวีเดน ซึ่งมีความชำนาญทางด้านเทคโนโลยีขั้นสูงทางด้านระบบควบคุมการเดินอากาศที่ใช้กิจการควบคุมการเดินอากาศและสนามบินต่างๆทั่วโลก โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการจำหน่ายระบบติดตามอากาศยานภาคพื้นดินแบบ Multilateration (MLAT) ของ SAAB Technologies ให้แก่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (Aerothai) ตามนโยบายของรัฐบาลเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้เติบโต จึงมีแผนในการปรับปรุงระบบการเดินอากาศของสนามบินทุกแห่ง ให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยตามมาตราการบินสากล เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจในการเดินทางมาประเทศไทยเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายของรัฐบาล “ กลุ่มธุรกิจในส่วนนี้มีแนวโน้มเติบโตทุกปีตามนโยบายของรัฐบาลที่จะปรับปรุงระบบควบคุมการบินของทุกสนามบิน ด้วยภาวะการแข่งขันในตลาดซึ่งอยู่ในระดับต่ำ จึงมีแนวโน้มกำไรขั้นต้นสูง และบริษัทฯ ยังมีความได้เปรียบจากการเป็นพันธมิตรกับ SAAB Technologies ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก จึงเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างรายได้ เพื่อผลักดันให้ธุรกิจกลับมาทำกำไรอย่างมั่นคง” นายประพัฒน์กล่าว                   2.กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีสำหรับการป้องกันประเทศ (Defense Technology) ในปี 2568 บริษัทฯเล็งเห็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ จากนโยบายรัฐบาล ที่ให้ความสำคัญกับการเสริมศักยภาพด้านความมั่นคงของประเทศ และจำนวนคู่แข่งในตลาดไทยที่ยังมีไม่มาก จึงวางแผนขยายธุรกิจ และผลิตภัณฑ์สินค้าเทคโนโลยีใหม่ๆสำหรับตลาดนี้ อาทิ ระบบโครงข่ายสื่อสารแบบเคลื่อนที่เป็นกลุ่ม ,ระบบวิทยุสื่อสารทางการทหาร และ Drone & Anti Drone, Jammers ทั้งนี้ ในฐานะที่บริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสื่อสารทางการทหาร และได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีป้องกันประเทศ อาทิ DTC, L3Harris, Skydio, IXI, Flyfocus และIAI จึงมองเห็นโอกาสในการขยายตลาด และเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเติบโตของบริษัทฯ                   3.กลุ่มธุรกิจระบบป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ในระบบการปฏิบัติการ (OT Cybersecurity) ปัจจุบัน เหล่าแฮกเกอร์เริ่มขยายเป้าหมายโจมตีไซเบอร์จากทางด้าน IT ระบบคอมพิวเตอร์ มาเน้นโจมตีระบบปฏิบัติการภายในหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่สามารถสร้างเสียหายได้มากกว่า รวมทั้งมีผลกระทบกับความมั่นคงของประเทศอย่างรุนแรง ซึ่งระบบการปฏิบัติการ OT Cybersecurity ของบริษัทฯเป็นเทคโนโลยีใหม่และมีโอกาสสร้างรายได้ที่มีมูลค่าสูง “ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ Siemens ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกทางด้านระบบปฎิบัติการของหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและภาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีประสบการณ์ในการป้องกันการโจมตีจากภัยคุกคามไซเบอร์ให้หน่วยงานชั้นนำทั่วโลก ในปีที่ผ่านมา จึงได้นำเสนอโซลูชัน OT Cybersecurity  และจัดสัมมนาให้ความรู้แก่หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มเป้าหมาย คาดว่าจะเห็นผลงานภายในปี 2568 นี้“ นายประพัฒน์กล่าว                   4.กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน (ESG) ในปี 2568 บริษัทฯมีแผนให้บริการโซลูชันบริหารจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลการปล่อยคาร์บอนขององค์กร (Carbon Management Platform) พร้อมบันทึกการเกิดลดคาร์บอน (Carbon Footprints)และการลดคาร์บอน (Carbon Credit)  พร้อมเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT กับระบบไฟฟ้า ในการวัดค่าการใช้งานเพื่อใช้การคำณวนแบบ Real Time  รวมทั้งการรับรองผล กับเทคโนโลยี่ทางด้านพลังงานทดแทน อาทิ Solar, รถไฟฟ้า EV, EV Charger, BESS, Wind Turbines, Water Turbines ให้แก่ทุกอุตสาหกรรมโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมภาคการส่งออก ที่ต้องการปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม และต้องปฏิบัติตามมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ซึ่งเป็นกฎระเบียบสำคัญของสหภาพยุโรปในการควบคุมการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน ในปีปี 2569 นี้ ซึ่งมั่นใจว่ากลุ่มธุรกิจของบริษัทฯในส่วนนี้จะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตในปีนี้                   5.กลุ่มธุรกิจศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะสีเขียว (Green AI Data Center) ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มุ่งเน้นให้บริการรับฝากวางคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Co-Location Service) สำหรับองค์กรและธุรกิจที่ต้องการพื้นที่วางเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ไอที และจากความร่วมมือกับ NVIDIA ทำให้ปัจจุบันเริ่มมีลูกค้าจากต่างประเทศ เช่าใช้บริการพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และประสงค์ใช้บริการ GPU Server NVIDIA ซึ่งเป็นจุดเด่น ที่บริษัทฯ มีพร้อมให้บริการ นอกเหนือจาก ความพร้อมด้าน ระบบสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน ทำให้มั่นใจว่า ภายในสิ้นปี 2568 มีลูกค้าเข้าใช้บริการเต็มพื้นที่ 124 เซิร์ฟเวอร์ หรือเต็มกำลังผลิตไฟฟ้ารองรับลูกค้า1.3 เมกะวัตต์ ตามเป้าหมาย " บริษัทฯ ยังมีแผนขยายพื้นที่เพิ่มเติมเพื่อรองรับ Hyperscale Data Center เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด AI และฐานข้อมูลที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพของบริษัทฯ ในการเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI Data Center ที่ครบวงจรและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" นายประพัฒน์กล่าว                   6.กลุ่มธุรกิจบริการ AI และ ข้อมูลขนาดใหญ่ (AI & Big Data Services) ต่อยอดจากบริการศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะสีเขียว ในปี 2568 บริษัทฯมีแผนขยายบริการ AI และ Big Data เพื่อตอบสนองความต้องการขององค์กรภาครัฐ โดยเฉพาะ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ซึ่งมีการเก็บข้อมูลจำนวนมาก แต่ยังขาดระบบวิเคราะห์และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถ จัดเก็บ วิเคราะห์ และนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ อย่างเป็นระบบ โดยเน้นการสนับสนุนด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน                   สำหรับ กลุ่มธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม (Telecommunications Technology) ที่บริษัทดำเนินงานมากว่า 30 ปี  ปัจจุบันมีการจำหน่ายสินค้าและบริการ ให้กับหน่วยงานราชการ หน่วยงานทหารและความมั่นคง บริษัทเอกชนชั้นนำ โรงงานอุตสาหกรรม ประกอบด้วย  ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม (Satcom) ระบบโครงข่ายพื้นฐานโทรคมนาคม (Network Infrastructure) ระบบรวมศูนย์การสื่อสาร ภาพ เสียง ข้อมูล (Unified Communications System) ระบบถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์แบบดิจิทัล (Digital Broadcasting) และ รถสื่อสารผ่านดาวเทียม (Satellite Mobile Vehicle)                   ในส่วนนี้ เราจะเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิม และหาลูกค้าใหม่ที่มีความต้องการและมีกำลังซื้อมาชดเชยยอดขายที่ลดลง พร้อมทั้งการปรับตัวทางด้านการหาสินค้าที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆให้ตรงกับความต้องการของตลาด และหากสินค้าใดไม่สามารถทำผลกำไรได้ บริษัทจะพิจารณาลดบทบาทลงไป                   “ด้วยกลยุทธ์ทั้งหมดในข้างต้น มั่นใจว่าจะทำให้ผลการดำเนินของบริษัทฯ สามารถพลิกกลับมาเป็นมีกำไรและกลับไปอยู่ในจุดที่แข็งแกร่ง สามารถสร้างรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมขยายศักยภาพไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคตต่อไป” นายประพัฒน์กล่าว   [PR News]    

The White Lotus ปลุกกระแสเที่ยว หุ้นไหนรับอานิสงส์ - เช็กเลย!

The White Lotus ปลุกกระแสเที่ยว หุ้นไหนรับอานิสงส์ - เช็กเลย!

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า การท่องเที่ยวไทยมีภาพบวกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย นำโดยยอดผู้ใช้บริการสนามบิน AOT ในช่วงวันที่ 1-16 มี.ค. ซึ่งการเดินทางออกนอกประเทศลดลง -0.2% y-y ปรับตัวดีขึ้นจากช่วง 1-8 มี.ค. ที่ลดลง -1.6% y-y บ่งชี้ว่าระหว่างวันที่ 9-16 มี.ค. ยอดนักท่องเที่ยวอาจกลับมาขยายตัว y-y ได้               อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับระดับ Pre-COVID ในช่วง 1-16 มี.ค. ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปี 2019 ประมาณ -13.6% ทำให้มีแนวโน้มว่านักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2025F อาจอยู่ในกรอบล่างของที่ตลาดคาดการณ์ไว้               แม้ตัวเลขโดยรวมยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ในบางจุดท่องเที่ยวกลับมีภาพบวก หลังจากที่ซีรีส์ The White Lotus Season 3 ออกอากาศ โดยข้อมูลจาก Expedia ระบุว่าความสนใจในการค้นหาเกี่ยวกับ โฟร์ซีซั่นส์ รีสอร์ท เกาะสมุย (Four Seasons Resort Samui) ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำหลักของซีรีส์ เพิ่มขึ้นถึง 370% ในตลาดฮ่องกงเมื่อเทียบกับปีก่อน               ขณะเดียวกัน การค้นหาการเดินทางไป เกาะสมุย โดยรวมเพิ่มขึ้น 115% ในสิงคโปร์, 95% ในสหรัฐอเมริกา และ 70% ในออสเตรเลีย ซึ่งโดยรวมแล้วเป็นปัจจัยบวกทางจิตวิทยาต่อหุ้นกลุ่ม ท่องเที่ยวและภาคบริการ ในระยะสั้น โดยเน้นกลุ่มที่ได้รับกระแสจาก The White Lotus เช่น BA และ MINT

ASL คาด SET Index แกว่งตัว Sideway กรอบ 1,160-1,185 จุด - ชู GULF เด่น

ASL คาด SET Index แกว่งตัว Sideway กรอบ 1,160-1,185 จุด - ชู GULF เด่น

                หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด คาดแนวโน้ม SET Index ประเมินแกว่งตัว Sideway ในกรอบ 1,160-1,185 จุด ขานรับความหวังที่ว่าสงครามระหว่าง รัสเซียและยูเครนมีแนวโน้มสิ้นสุดลง โดยวันนี้คาดว่าจะมีการสนทนากันระหว่างทรัมป์และปูติน โดยการสนทนาดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะยุติสงครามในยูเครน ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนก.พ.ปรับตัวขึ้น 0.2% MoM ต่ำกว่าที่ตลาดคาด สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากมาตรการภาษีศุลกากร และการเลิกจ้างพนักงานรัฐบาลกลางจำนวนมาก ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้สร้างบ้านลดลง 3 จุด สู่ระดับ 39 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2024 และต่ำกว่าที่คาด ได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างที่มีการนำเข้าจากต่างประเทศ อันเนื่องมาจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า เฟดสาขาแอตแลนตาได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าจะหดตัวลง 2.1% ใน 1Q25 ทั้งนี้จับตาผลการประชุมเฟดในวันพุธนี้ (19 มี.ค.) รวมทั้งจับตาถ้อยแถลงของพาวเวล และ Dotplot                 ด้านปัจจัยในประเทศ คาดหวังนักลงทุนสถาบันมีโอกาสที่จะเข้ามาทำ Window Dressing จาก performance ของ SET Index ที่ปรับตัวลงกว่า 16% YTD รวมถึงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสมหุ้นเพื่อรับปันผลในช่วงเม.ย.-พ.ค.                 ส่วนในเชิง valuation ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PBV ที่ 1.12 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง -2.5 SD และ EYG สูงกว่า 6% แนะนำทยอยสะสมหุ้นใน SET50 เราชอบ AOT, BEM, CPALL, CPAXT, CRC, PTT, OSP, WHA ขณะที่วันนี้จะมีประชุม ครม. คาดหวังอนุมัติมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ เช่น ลดหย่อนค่าโอน-จดจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยต่ำกว่า 7 ล้านบาท และการเริ่มผ่อนคลายเกณฑ์ LTV เราชอบ SPALI, AP ติดตาม: การประชุมเฟด คาดส่งสัญญาณความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดคาดหวังว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ย และ BoJ คาดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย Stock pick: GULF เติบโตในระยะยาว เป้าเชิงกลยุทธ์ที่ 53.75 บาท                 GULF ยังคงพัฒนาโครงการใน pipeline ได้ตามแผน โดยคาดว่าในปีนี้จะมีโครงการ COD ราว 1 พัน MW ครอบคลุมทั้งโครงการ Renewable และ IPP (HKP Phase 2) นอกจากนี้บริษัทยังเน้นขยายไปยังธุรกิจพลังงานทดแทนและ Data Center โดยคาดว่าในปี 25F จะมีโครงการ Data Center เฟสแรกที่ 25 MW และขยายได้ถึง 50 MW ในอนาคต ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้ารายใหญ่ เช่น Microsoft สะท้อนถึงโอกาสการเติบโตของธุรกิจใหม่ในระยะยาว                 ทั้งนี้เราประเมินว่า GULF ยังมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวและมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับกลุ่มโรงไฟฟ้าด้วยกัน เนื่องจาก การ diversified พอร์ตรายได้ที่มีความหลากหลายมากกว่า เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนในกลุ่ม Data Center, Cloud และ AI รับรู้ Synergy การควบรวมกับ INTUCH ที่คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จช่วง 2Q25F เกิดเป็น NewCo ซึ่งเรามองว่าจะสามารถเข้า SET50 ได้ทันที รวมถึงจะช่วยให้สถานะการเงินดีขึ้น โดยตลาดคาดหวัง Net IBD/E จะปรับลดลงมาต่ำกว่า 1 เท่า จากปัจจุบันที่ระดับ 1.7 เท่า ช่วยเสริมศักยภาพในการจัดหาแหล่งเงินทุน ส่วนในเชิง sentiment ขานรับบอร์ด BOI ส่งเสริมการลงทุนใน Data Center                 แนวโน้มปี 25-26F Bloomberg ประเมินกำไรสุทธิเท่ากับ 2.2 หมื่นล้านบาท (+21% YoY) และ 2.5 หมื่นล้านบาท (+17.7% YoY) ตามลำดับ มีแรงหนุนจากการ COD ของโรงไฟฟ้าหินกอง และแนวโน้มธุรกิจ Data Center ที่ขยายตัว ส่วนแนวโน้ม 1Q25F คาดว่าจะทำ นิวไฮ ขยายตัวทั้ง QoQ และ YoY ทั้งนี้มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 66.43 บาท ส่วนด้านความเสี่ยงนโยบายการปรับลดค่าไฟ มองว่ากระทบจำกัด เนื่องจากมีสัดส่วนลูกค้าที่อิงกับค่า Ft น้อยกว่า 10% ของรายได้ขายไฟโดยรวม แนวรับ 47.75/45.75 ไม่ควรต่ำกว่าลงมา แนวต้าน 50.25/52/53.75

abs

Hoonvision

เคาะ 15 หุ้น รับอานิสงส์ Data Center -AI

เคาะ 15 หุ้น รับอานิสงส์ Data Center -AI

              หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ประเมินในงานสัมมนาครบรอบ 50 ปีของ MFC ประเด็นหลักๆ เน้นไปที่โอกาสของอาเซียนและไทยในการต่อยอดอุตสาหกรรมใหม่ๆ ในอนาคต ภาพใหญ่ทาง McKinsey ประเมิน 6 กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะมีบทบาทสำคัญ ได้แก่ 1.) E-Commerce2.) Digital Advertising3.) Video Games4.) Modular Construction (เทคโนโลยีก่อสร้างที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความเร็ว และจำกัดผลกระทบสิ่งแวดล้อม)5.) Semi-conductor6.) EVs ซึ่งคาดว่าจะมีสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของ GDP โลก               โดยไทยดูมีโอกาสในส่วนการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนเรื่องอื่นๆ มีความจำเป็นที่อาเซียนและไทยต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้               ส่วนการปรับตัว อดีตนายกฯ ทักษิณฯ ได้แสดงวิสัยทัศน์เพิ่มเติม เน้น 2 ส่วน คือ โอกาสในการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี โดยชูจุดเด่นที่ ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องมีค่าไฟฟ้าที่ต่ำ เพื่อเป็นแรงดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยขณะนี้ทั่วโลกมีต้นทุนพลังงานอยู่ที่ราว 2 เซนต์ (ดอลลาร์สหรัฐ) หรือ 0.67 บาท ในขณะที่ต้นทุนพลังงานของไทยอยู่ที่ 11 เซนต์ หรือราว 3.7 บาท ซึ่งในเบื้องต้นตั้งใจอยากให้ลดได้เหลือราว 8 เซนต์ หรือราว 2.7 บาท ซึ่งต่ำกว่าระดับที่นักลงทุนต่างชาติมองว่าเหมาะสมที่ 6-7 เซนต์               ทั้งนี้ เบื้องต้นตั้งเป้าหมายที่อยากเห็นค่าไฟฟ้าลดเหลือ 8 เซนต์ภายในปี 2569 นอกจากนี้ยังเน้นไปที่โอกาสในการนำ AI ต่อยอดในธุรกิจต่างๆ ที่เป็นจุดเด่นของไทย เช่น การแพทย์               อยากปรับไทยให้เป็นศูนย์กลางการเงิน “ศูนย์กลางทางคริปโต และบล็อกเชน” โดยคาดว่าใน 2-3 เดือนข้างหน้า จะเห็นการทำ Sandbox รับเงินคริปโตในจังหวัดภูเก็ต และการออก Stable Coin โดยมีพันธมิตร คือ รัฐบาลไทยเป็นหลักประกัน เชิงกลยุทธ์ เราประเมินโอกาสระยะกลาง-ยาวที่ไทยจะสามารถสร้าง S Curve ใหม่ๆ ยังมีอยู่ แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาบ้าง ยานยนต์ต้องสร้างสมดุลการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปสู่ EVs ซึ่งในช่วงรอยต่อนี้อาจจะขาดตัวเลือกลงทุนที่น่าสนใจ และแนะนำให้ติดตามพัฒนาการต่อไป ก่อนที่จะเป็นศูนย์กลาง Financial Assets ใหม่ๆ ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักไปที่การเติมสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจระยะสั้น แต่การต่อยอดให้เป็นอุตสาหกรรมใหม่ระยะยาว ต้องรอติดตามแผนการผลักดันอีกครั้ง Data Center เป็นจุดที่ฝ่ายวิจัยประเมินว่ามีโอกาสที่ดี โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าไทยสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในส่วนนี้ได้มากพอสมควร แม้การเปลี่ยนแปลงค่าไฟฟ้าจะค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังมีจุดเด่นอื่นๆ เช่น การมีพื้นที่ศูนย์กลางในอาเซียน และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม หากการปรับค่าไฟฟ้าสามารถทำได้ ก็จะมีการดึงเม็ดเงินต่างชาติอย่างต่อเนื่องอีกหลายปี นอกจากนี้การส่งสัญญาณนำ AI ต่อยอดธุรกิจ คาดว่าอุตสาหกรรม/บริษัทที่ปรับตัวได้เร็วในเรื่องนี้ จะได้รับการสนับสนุนจากตลาดในทางบวกมากขึ้น โดยจากการศึกษาของฝ่ายวิจัย พบว่า อุตสาหกรรมที่น่าจะปรับตัวได้เร็ว คือ ธนาคาร, การเงิน, ค้าปลีก, การแพทย์ และภาคผลิต ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าว เราประเมินจิตวิทยาบวกในกลุ่มต่างๆ ได้แก่               1.) กลุ่มที่อยู่ในธีม Infra Tech ได้แก่ สื่อสาร ADVANC, TRUE, นิคม WHA, AMATA, รับเหมางาน Data Center + Digital Tech เช่น INSET ซึ่งในระยะสั้นน่าสนใจขึ้นหลังจากเริ่มปรากฏชื่อการจ้างผู้รับเหมางาน Data Center หลักๆ ในประเทศที่ประกาศลงทุนตั้งแต่ปี 2567 ซึ่งลำดับถัดไปน่าจะเป็นการเร่งจ้างผู้รับเหมาช่วง โดย INSET น่าจะอยู่ในกลุ่มดังกล่าว และ BBIK (ตั้งรับ) ส่วนโรงไฟฟ้าแม้ในระยะกลาง-ยาวจากโอกาสขยายกำลังผลิตรองรับ แต่ในระยะสั้นอาจต้องรอหุ้นตอบรับประเด็นลบจากแนวทางลดค่าไฟที่อาจกลับมากดดันหุ้นอีกครั้ง               2.) กลุ่มที่มีโอกาส AI Adoption ในอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ ธนาคาร เช่น KBANK, KTB, การเงิน เช่น MTC, ค้าปลีก เช่น CPALL, CPAXT, การแพทย์ เช่น BDMS, BCH และภาคผลิต เช่น SCC, SCGP

KGI คัด 3 หุ้นเด่น  แนะเก็งกำไร STECON - SCGP - BCPG

KGI คัด 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร STECON - SCGP - BCPG

             หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ คัด 3 หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน เก็งกำไร STECON, SCGP*, BCPG* STECON (เป้าพื้นฐาน 8.5 บาท) รูปแบบราคาพัก Sideway หลังฟื้นตัว หยุดแนวโน้มขาลง ประเมินแนวรับ 4.94 บาท / แนวต้าน 5.45 – 5.70 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 6.25 บาท (Stop loss 4.8 บาท) คาดแนวโน้มกำไร 1Q68 พลิก Turnaround จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ คาดแนวโน้มกำไร 1Q68 จะ Turnaround เป็นกำไรได้ จาก i) รายได้ปันผล GULF* +/- 220 ล้านบาท ii) คาดจะไม่มีการบันทึกผลขาดทุนทางบัญชีจำนวนมากเช่นใน 4Q67 และลุ้นบันทึกกำไรพิเศษจากเงินเคลมประกันโครงการฯ กำไรปีนี้ Turnaround Valuation ไม่แพง Forward PE +/-10 เท่า และ PBV ตํ่าเพียง 0.44 เท่า ใกล้ระดับตํ่าสุดในช่วงวิกฤตปี 2008 ... ล่าสุดประกาศซื้อคืนหุ้น วงเงิน 900 ล้านบาท จำนวนหุ้นไม่เกิน 150 ล้านหุ้น เริ่ม 18 มี.ค. SCGP (เป้าพื้นฐาน 19 บาท) รูปแบบราคาเริ่มฟื้นตัวจากแนวโน้มขาลง ประเมินแนวรับ 16.0 บาท / แนวต้าน 17.4 – 18.2 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 19 บาท (Stop loss 14.5 บาท) ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานผ่านจุดตํ่าสุดแล้ว จะเริ่มทยอยฟื้นตัว QoQ ฝ่ายวิจัยฯ คาดแนวโน้มผลการดำเนินงาน 1Q68 – 2Q68 จะเริ่มทยอยฟื้นตัวแบบ QoQ โดยผ่านจุดตํ่าสุดใน 4Q67 ไปแล้ว ขณะที่ได้รับ Sentiment บวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน (เน้นกระตุ้นการบริโภค) และแผนปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทลูก Fajar Valuation ถูก Forward PE +/- 19 เท่า (ใกล้เคียง -2 SD ที่ +/- 18 เท่า) ขณะที่ EV/EBITDA 7.6 เท่า หลุด -2 SD ที่ราว 8.6 เท่าแล้ว BCPG (เป้าพื้นฐาน 8 บาท) รูปแบบราคาเริ่มฟื้นตัว โดยมี Indicator MACD RSI สนับสนุน ประเมินแนวรับ 6.05 บาท / แนวต้าน 6.15 – 6.30 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 6.5 บาท (Stop loss 5.75 บาท) ประเมินแนวโน้มกำไรปกติปีนี้กลับมาโตแรงจากโรงไฟฟ้าที่ยุโรป ฝ่ายวิจัยฯ คาด Earnings momentum จะเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง คาดกำไรปกติโตเฉลี่ย +38% CAGR (2567 – 2569) จากการรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ (คาดได้อานิสงส์ต้นทุนพลังงานต่ำจากนโยบายรัฐบาลสหรัฐฯ ใหม่) และปี 2569 ได้แรงหนุนจากการ COD

พาย คัด 11 หุ้นเด่น ราคาไม่แรง เช็ก!

พาย คัด 11 หุ้นเด่น ราคาไม่แรง เช็ก!

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า Pi Daily กลุ่มปิโตรเคมีฟื้นตัวเด่น อาจเพราะราคาหุ้นถูกแต่ผลประกอบการยังไม่โดดเด่น สัปดาห์นี้รอติดตาม FED            ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปิดบวก 674 จุด (+1.65%) หลังจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นเพราะการปรับฐานก่อนหน้าของตลาดหุ้น ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1% ไร้ปัจจัยที่มีนัยยะ โดยรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบแทบไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่นักลงทุนประเมินแนวโน้มที่ลดลงของสงคราม            คืนวันศุกร์ที่ผ่านมาฝั่งสหรัฐฯได้รายงานดัชนีความเชื่อมั่นจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่ระดับ 57.9 ต่ำกว่า Bloomberg Consensus คาดหมายไว้ที่ 63.1 ในรายละเอียดพบว่าการลดลงของดัชนีเป็นการลดลงต่อเนื่องในทุกกลุ่ม ทั้งด้านอายุ , การศึกษา รายได้และความมั่งคั่ง แม้สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันจะยังมิได้ย่ำแย่มากนักแต่ความคาดหวังต่ออนาคตในหลายมิติแย่ลง ทั้งการเงินส่วนบุคคล ตลาดแรงงาน เงินเฟ้อ สภาพธุรกิจ ผู้บริโภคจำนวนมากระบุถึงความไม่แน่นอนจากนโยบายและปัจจัยเศรษฐกิจที่ส่งผลให้วางแผนอนาคตได้ยาก โดยผู้บริโภคประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯแย่ลงตั้งแต่เดือน ก.พ. แม้รัฐบาลจะเชื่อมั่นมากขึ้นก็ตาม ความคาดหวังเงินเฟ้อปรับขึ้นเป็น 4.9% จากก่อนหน้าที่ 4.3% โดยรวมสะท้อนถึงสิ่งที่ Trump ทำลงไปนั้น            ในมุมมองผู้บริโภคสหรัฐฯค่อนข้างเป็นลบ สอดคล้องกับ US Bond Yield ที่ก่อนหน้าปรับลงมาต่อเนื่อง (ระยะสั้นเริ่มดีดตัวขึ้นเล็กน้อย) โดยสัปดาห์นี้ปัจจัยรอติดตามได้แก่ (1) ยอดค้าปลีกของสหรัฐฯในคืนวันจันทร์ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 0.6%MoM (2) ปัจจัยสำคัญได้แก่ประชุม FED รอบไตรมาสที่จะทราบผลทางการช่วง 01.00 ของวันพฤหัสบดี ข้อมูลจาก CME FED Watch ประเมินว่าที่ประชุมจะคงดอกเบี้ยด้วยน้ำหนัก 98% แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยด้านดอกเบี้ยอาจมีผลไม่มากนักเชื่อว่าสิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญได้แก่ ถ้อยแถลงของประธาน FED ทิศทางดอกเบี้ยจากนี้ เพราะในประชุมครั้งนี้สิ่งที่จะเปิดเผยเพิ่มเติมก็คือคาดการณ์ เศรษฐกิจ ดอกเบี้ย และเงินเฟ้อ หากส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยประเมินว่าจะเป็นบวกกับตลาดหุ้นทั่วโลก ทองคำ และค่าเงิน แต่หากส่งสัญญาณเข้มงวดก็จะสร้างแรงกดดันต่อทุกๆสินทรัพย์            อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่ามีโอกาสจะส่งสัญญาณผ่อนคลายเพราะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯช่วงหลังๆที่ผ่านมามีสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง ด้านปัจจัยในประเทศวันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวมาได้ดี (+1.2%) แรงหนุนโดดเด่นมาจากปิโตรเคมี (SCC PTTGC) อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวอาจเป็นเพราะราคาหุ้นที่ไม่แพง (ส่วนใหญ่ PBV < 1) แต่ผลประกอบการยังมิได้เห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ การปรับขึ้นจึงเน้นระมัดระวัง            สัปดาห์นี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1155 – 1200 เชิงกลยุทธ์การลงทุนเน้นเลือกเป็นรายตัวในหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันที่สูง ราคาหุ้นไม่แพง อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) การเงิน (MTC TIDLOR) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT) โรงพยาบาล (BDMS) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA)

ทรีนีตี้ ชูหุ้น 10 หุ้น Top pick เช็กเลย!

ทรีนีตี้ ชูหุ้น 10 หุ้น Top pick เช็กเลย!

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด คาด SET Index ปรับตัวบวกแรงเมื่อวันศุกร์ นำโดยกลุ่มหุ้น Deep value เช่น PTT, SCC, PTTGC เป็นต้น ประเมินโมเมนตัมเชิงบวกมีโอกาสส่งต่อมายังต้นสัปดาห์นี้ ส่วนหนึ่งจากแรงหนุนในกลุ่ม Oil & Gas ภายหลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวกระโดดขึ้นเช้าวันนี้ จากการที่ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีทางการทหารครั้งใหญ่ต่อกลุ่มฮูตีในเยเมน                นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยคาดหวังที่รออยู่ ได้แก่ การประชุมของธนาคารกลางที่สำคัญหลายแห่ง ในเชิงกลยุทธ์ คงแนะนำถือครองหุ้นในส่วนเดิม ซึ่ง Top pick ของเราในเดือนนี้ยังคงได้แก่ CPALL, CPAXT, HMPRO, AP, SPALI, TIDLOR, VGI, BDMS, LHHOTEL, 3BBIF                ทั้งนี้ เราคาดหวังการปรับตัว Outperform ของตลาดหุ้นเอเชียเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่อไป โดยปัจจัยที่สนับสนุนความเห็นดังกล่าวของเรายังคงได้แก่                โมเมนตัมทางด้านตัวเลขเศรษฐกิจ ที่แข็งแกร่งกว่าอย่างชัดเจนในช่วงหลัง โมเมนตัมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มักปรับตัวอ่อนแอกว่าในอดีตหลังผ่านพ้นวันพิธีสาบานตนของปธน.คนใหม่ Relative valuation ที่ยังคงอยู่ต่ำกว่า ความคาดหวังเชิงบวกทางด้านการผ่อนคลายนโยบาย ทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน                – ล่าสุดเมื่อวานนี้ สำนักข่าว Xinhua รายงานว่าทางการจีนเตรียมที่จะออกมาตรการกระตุ้นรายได้และการบริโภคเพิ่มเติมรวมถึงมาตรการดูแลเสถียรภาพของตลาดหุ้นและภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่นับรวมกับการให้แรงจูงใจสำหรับการมีบุตรใหม่ท่าทีของผู้กำหนดนโยบาย (Policymakers)ที่ดูเหมือนจะมีความมุ่งมั่นต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นมากกว่า                – ล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมา นาย Scott Bessent รมว.คลังของสหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขามองการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นเรื่องปกติและยังกล่าวว่าไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่เข้าสู่ภาวถดถอย สะท้อนภาพว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ชุดปัจจุบันต้องการกำหนดนโยบายพุ่งเป้าไปที่เศรษฐกิจระยะยาวมากกว่าระยะสั้น                สำหรับปัจจัยที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ในวันที่ 18-19 มี.ค.ซึ่งคาดว่า BoJ จะมีมติคงดอกเบี้ยที่ระดับ 0.50% ไปก่อน หลังจากเพิ่งปรับขึ้นไปในครั้งก่อนการประชุม FOMC ในวันที่ 18-19 มี.ค.ซึ่งคาดว่า Fed จะมีมติคงดอกเบี้ยแน่นอนแล้วที่ระดับเดิม 4.25-4.50% ดังนั้น ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่โทนของ Statement, คำพูดของนาย Jerome Powell, ประมาณการเศรษฐกิจรอบใหม่ และค่ากลาง Dot plots ล่าสุด                ทั้งนี้ เราประเมินว่า หาก Fed ไม่ได้มีการ Downgrade ประมาณการ GDP ลงอย่างสำคัญไม่ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อมากขึ้นยังคงค่ากลาง Dot plots ที่ Imply การลดดอกเบี้ยปีนี้ 2 ครั้งเท่าเดิมเชื่อว่าพอจะสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ผ่อนคลายทั่วโลกได้บ้างการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในวันที่ 20 มี.ค.ซึ่งล่าสุดตลาดคาดว่าจะมีมติคงดอกเบี้ยที่ระดับ 4.50% ไปก่อน หลังจากเพิ่งปรับลดไปในครั้งก่อน การซื้อขายวันสุดท้ายของหุ้น GULF และ INTUCH ในวันที่ 20 มี.ค. และจะขึ้นเครื่องหมาย SP หยุดพักการซื้อขายในวันที่ 21 มี.ค. – 2 เม.ย.                ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลของเราล่าสุด ยังคงพบว่าVGI เป็น Candidate สำคัญที่จะถูกบรรจุเข้าสู่ดัชนี SET50 MOSHI เป็น Candidate สำหรับหุ้นที่ถูกบรรจุเข้าสู่ดัชนี SET100 แทนตำแหน่งที่ว่างไป

ถอดรหัส 3 หุ้นเด่น  ตามปัจจัยพื้นฐาน แนะเก็งกำไร

ถอดรหัส 3 หุ้นเด่น ตามปัจจัยพื้นฐาน แนะเก็งกำไร

            หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ คัดหุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน โดยแนะนำเก็งกำไร ได้แก่ KKP* (เป้าพื้นฐาน 57.5 บาท) รูปแบบราคาแกว่งตัว Sideway รอสัญญาณ Break แนวต้าน ลุ้นทำจุดสูงใหม่ ประเมินแนวรับ 56 บาท / แนวต้าน 57.5 – 58.25 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 59 บาท (Stop loss 54.75 บาท) ประเมิน Sentiment บวกจากดอกเบี้ยขาลงและราคารถมือสองฟื้น ประเมินต้นทุนการเงินของ KKP* ใน 1H68 จะเริ่มทยอยลดลง หลังเงินฝากที่มีต้นทุนสูงก้อนใหญ่จะครบกำหนดใน 1Q68 ขณะที่ประเมินทิศทางดอกเบี้ยนโยบายเป็นขาลงต่อเนื่อง นอกจากนี้ดัชนีราคารถมือสองเดือนม.ค. ฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลขาดทุนจากการขายรถยึดจะลดลง Dividend yield สูง ปันผลหุ้นละ 2.75 บาท Dividend yield 4.9% XD วันที่ 2 พ.ค. OSP* (เป้าพื้นฐาน 25.5 บาท) รูปแบบราคาเริ่มสร้างฐาน มีโอกาสฟื้นตัว ประเมินแนวรับ 15.0 บาท / แนวต้าน 15.7 – 16.2 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 16.5 บาท (Stop loss 14.8 บาท) ประเมินราคาหุ้นลงมาสะท้อนปัจจัยลบพอสมควรแล้ว ขณะที่คาดกำไรจะเริ่มฟื้นตัว ราคาหุ้นปรับลงมาก่อนหน้านี้จากความกังวลเรื่องสงครามราคาเครื่องดื่มชูกำลัง อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยฯ คาดแนวโน้มผลการดำเนินงาน 1Q68 จะฟื้นตัว QoQ และคาดกำไรปีนี้จะพลิกกลับมาโต YoY ได้ Valuation ถูก Forward PE บนประมาณการฯ ปัจจุบันต่ำเพียง 13.7 เท่า (ต่ำกว่า -2 SD ที่ราว 20 เท่า) ขณะที่คาดกำไรปีนี้ฟื้นแรง +75% YoY BCH* (เป้าพื้นฐาน 21.5 บาท) รูปแบบราคาแกว่งตัว Sideway up ประเมินแนวรับ 15.6 บาท / แนวต้าน 16.1 – 16.3 บาท กรณี Break กรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 16.7 บาท (Stop loss 15.3 บาท) ประเมินราคาหุ้นรับรู้ข่าวลบไปพอควรแล้ว ขณะที่คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานปีนี้ฟื้นตัวแรง แนวโน้มผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 4Q67 และจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ 1Q68 โดยคาดรายได้ประกันสังคมจะฟื้นตัวกลับมา หลังจากการปรับค่ารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ... คาดกำไรปีนี้โต +28% YoY

บล.พายล็อกเป้า 10 หุ้นเด็ด เช็กเลย!

บล.พายล็อกเป้า 10 หุ้นเด็ด เช็กเลย!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯต่ำคาดการณ์ อาจหนุนตลาดหุ้นไทยระยะสั้น ส่วนการปรับฐานของหุ้นไทยยังเชื่อว่ามาจากพื้นฐานที่อาจไม่แข็งแกร่งมากนัก ใดๆก็ตามหุ้นหลายตัวลงมาจนน่าสนใจ โดยเฉพาะปันผลสูง อาจเป็นโอกาสสะสม           ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 82 จุด (-0.2%) นักลงทุนยังคงกังวลกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 2% หลังจากสหรัฐฯเผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดหมายไว้และสต็อกเชื้อเพลิงปรับตัวลดลง           เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงานเงินเฟ้อประจำเดือน ก.พ. ขยายตัว 2.8%YoY ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 2.9%YoY ด้านเงินเฟ้อพื้นฐานก็ขยายตัวเพียง 3.1% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เช่นกัน เงินเฟ้อที่ขยายตัวไม่สูงมากนักหลักๆมาจากการลดลงของราคาพลังงาน (-3%YoY) น้ำมันเตา (-5%YoY) อย่างไรก็ตามในรายการสินค้าอื่นๆส่วนใหญ่แล้วเห็นการขยายตัว โดยรวมแล้วเมื่อคืนทำให้ US Bond Yield ปรับขึ้นมาเล็กน้อยสะท้อนมุมมองต่อเงินเฟ้อที่อาจยังมิได้ผ่อนคลายมากนัก แม้เงินเฟ้อจะต่ำกว่าคาดหมายไว้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสงครามการค้าของสหรัฐฯกับนานาประเทศจะเป็นปัจจัยเร่งระดับราคาสินค้า           สำหรับ CME FED Watch ล่าสุดให้น้ำหนักลดดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย. ด้วยความน่าจะเป็นที่ค่อนข้างสูง (69%) สะท้อนถึงมุมมองเชิงลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ค่อนข้างมากขึ้น ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้ SET INDEX ลดลง 27 จุด (-2.3%) ค่อนข้างหนักเมื่อเทียบกับภูมิภาค โดยนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิ 2.9 พันล้านบาทและทำให้ YTD สะสมแล้วขายสุทธิ 2.9 หมื่นล้านบาท แม้จะมีข่าวการกระตุ้นตลาดหุ้นด้วยการใส่เม็ดเงินกองทุน Thai ESGX แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถเข้ามาหนุนตลาดหุ้นได้ ซึ่งอาจเกิดจากทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ไม่ชัดเจน อุตสาหกรรมในตลาดหุ้นที่เป็นโลกเก่า สวนทางกับประเทศอื่นๆที่มี Technology และเศรษฐกิจก็ขยายตัวได้ดีกว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นนักลงทุนต่างชาติจึงมีทางเลือกที่ดีกว่าไทย ประกอบกับการท่องเที่ยวที่เคยเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจและความน่าสนใจของประเทศไทยก็พบว่าล่าสุดจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมในช่วง 1 ม.ค. – 9 มี.ค. อยู่ที่ 7.6 ล้านราย (+4%YoY) การเติบโตเริ่มน้อยลงจากปีก่อนที่ขยายตัวในระดับ 2 หลัก           ขณะที่นักท่องเที่ยวก็เห็นสัญญาณใช้จ่ายน้อยลงผ่านสนามบิน เพราะสะท้อนจาก King Power ปัจจัยหนุนอย่างเดียวของตลาดหุ้นไทย ณ เวลานี้คือ Valuation ไม่แพง + ปันผลที่สูง จึงอาจเหมาะกับนักลงทุนที่แสวงหาหุ้นปันผล คืนนี้รอติดตามดัชนี PPI ของสหรัฐฯ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 0.3%MoM           วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1150 – 1170 เชิงกลยุทธ์การลงทุนด้วยหุ้นไทยที่ไม่แพงแต่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์เลือกหุ้นให้มาก หุ้นที่น่าสนใจยังเป็นหุ้นขนาดใหญ่ อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (CPALL CRC) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) โรงพยาบาล (BDMS) ระยะสั้นอาจเลือกเก็งกำไรกลุ่มพลังงาน (PTTEP) อาหารสัตว์ (CPF)

บล.ทรีนีตี้ ชูหุ้น Deep value เด่น รับ SET แกร่งกว่าตลาดอื่น

บล.ทรีนีตี้ ชูหุ้น Deep value เด่น รับ SET แกร่งกว่าตลาดอื่น

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ทรีนีตี้ คาด SET Index มีโอกาสสูงที่จะผ่านจุด Bottom ชั่วคราวที่ลงไปทดสอบแถวระดับ 1,160 จุดเมื่อวานนี้ สาเหตุสำคัญมาจากปัจจัยกระตุ้นทางด้านสภาพคล่องที่เตรียมเข้ามาในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย.68 จากกองทุน ThaiESG Extra ซึ่งรายละเอียดที่ออกมาเมื่อวานนี้ ถือว่า Surprise ในเชิงบวก เนื่องจากจะเป็นการเรียกเม็ดเงินใหม่ให้เข้าสู่ตลาดได้ด้วย และที่สำคัญ เงื่อนไขในการลงทุนคราวนี้ถือว่าจูงใจมาก เมื่อเทียบกับโครงการที่คล้ายกันในอดีตอย่างเช่นกองทุน SSF Extra เมื่อปี 2020 ในเชิงกลยุทธ์ ด้วยความคาดหวังที่ว่า SET Index มีโอกาสปรับตัวแข็งแกร่งกว่าตลาดอื่น ทำให้คงคำแนะนำถือครองหุ้นในส่วนเดิมได้ต่อไป           Deep value: มองการปรับตัวขึ้นที่โดดเด่นของหุ้น PTTGC, SCC, TOP, GPSC, BGRIM เมื่อวานนี้ เป็นตัวอย่างที่สะท้อนว่า ณ ขณะนี้ นักลงทุนกำลังมองหากลุ่มหุ้นที่มี Downside risk ต่ำในเชิง PBV ทั้งในมิติที่เทียบกับตัวเองในอดีต (-1.5SD ขึ้นไป) และมีราคาปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี นอกจากนั้น ยังเป็นหุ้นที่เห็นการเติบโตของกำไรในปีนี้ พร้อมทั้งคาดการณ์เงินปันผลจ่ายในระดับที่เหมาะสม (> 3%) ทั้งนี้ หากใช้เงื่อนไขเดียวกัน คัดกรองหุ้นที่มีคุณลักษณะคล้ายกับตัวอย่างดังกล่าว จะพบว่ามีหุ้นอื่นที่เข้าข่ายอาจเป็นเป้าหมายของนักลงทุนเพิ่มเติมในช่วงนี้ ได้แก่ CKP, BJC, SPRC, SPALI, PTT, SC, JMT เป็นต้น           Bolstering liquidity: ประเมินกองทุน ThaiESG Extra ที่จะมีส่วนหนึ่งรองรับเม็ดเงินใหม่ไม่เกิน 3 แสนบาทต่อรายนั้น จะเป็นการเพิ่มสภาพคล่องใหม่ให้กับตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. โดยกองทุนดังกล่าวมีข้อดีที่จะช่วยตลาดหุ้นไทยทั้งใน 3 มิติสำคัญ ได้แก่ 1) ขนาดการลงทุนที่มาก (3 แสนบาทต่อราย) 2) ระยะเวลาถือครองที่สั้น (5 ปีนับจากวันซื้อ) 3) กรอบเวลาการซื้อที่จำกัด (2 เดือน) ซึ่งหากเทียบเคียงกับกองทุน SSF-Extra ที่เคยออกมาปี 2020 สมัย Covid ถือว่ามีดีกว่าทั้ง 3 มิติ โดยคุณลักษณะของ SSF-Extra ตอนนั้นได้แก่ 1) ขนาดการลงทุน (2 แสนบาทต่อราย) 2) ระยะเวลาถือครอง (10 ปีนับจากวันซื้อ) 3) กรอบเวลาการซื้อ (3 เดือน) Positive View: หากอ้างอิงข้อมูลของกองทุน SSF-X ในอดีตซึ่งต้องบอกว่ามีเงื่อนไขที่ไม่จูงใจ เพราะต้องถือครองถึงระยะเวลา 10 ปี ณ ตอนนั้น ในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.63 มีเม็ดเงินไหลเข้ากองทุนดังกล่าวทั้งสิ้น 1.1 หมื่นล้านบาท และเป็นเหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศมีการซื้อสุทธิหุ้นไทยในช่วงดังกล่าวถึง 4.8 หมื่นล้านบาท มองมายังรอบนี้ แม้ตลาดหุ้นไทยจะไม่ได้โดดเด่นในแง่ของการเติบโตมากนัก แต่เชื่อว่าด้วย Valuation ที่ถูกกว่าช่วง Covid ไปแล้ว และยังมีแรงจูงใจในเรื่องของการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม พร้อมระยะเวลาถือครองที่สั้นอีก จึงประเมินว่าเม็ดเงินใหม่ที่จะไหลเข้ามาสู่กองทุน ThaiESG-X ในรอบนี้นั้น จะมีลุ้นแตะระดับ 1.5-2.0 หมื่นล้านบาทได้ไม่ยาก New Decree: ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับตลาดทุนที่ออกมาเมื่อวานนี้ ได้แก่รายงานข่าวที่ว่าในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอ ครม. พิจารณา พ.ร.ก.ป้องกันตลาดทุนเสียหาย อาทิ พ.ร.ก.เพิ่มอำนาจให้กับ ก.ล.ต. เร่งฟันผู้กระทำผิดในตลาดทุน โดยมีจุดประสงค์เพื่อกำกับดูแลไม่ให้ตลาดทุนได้รับความเสียหายจากผู้ที่ไม่หวังดีเข้ามาสร้างความเสียหายให้กับตลาดทุนไทย

บล.พาย ชู 13 หุ้นเด่น แนะสอยเข้าพอร์ตด่วน!

บล.พาย ชู 13 หุ้นเด่น แนะสอยเข้าพอร์ตด่วน!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) Pi Daily เริ่มเห็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุน Thai ESGX แนะนำนักลงทุน LTF เปลี่ยนไปเป็น Thai ESG X และหากประสงค์ลงทุนก็แนะซื้อลดหย่อนที่ 3 แสนบาท เพราะต้นทุนดัชนีที่น่าสนใจ           ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 478 จุด (-1.1%) หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดาเป็น 2x ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.4% ได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตามการบวกมิได้สูงมากนักเพราะกังวลผลกระทบจากภาษี           เมื่อคืนที่ผ่านมาเกิดหลากหลายปัจจัยประกอบไปด้วย (1) ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดาสู่ระดับ 50% จากเดิม 25% โดยมีผลบังคับใช้ทันทีในช่วงเช้าวันพุธที่ 12 มี.ค. เพราะต้องการตอบโต้ที่แคนาดาประกาศเก็บภาษี 25% ต่อกระแสไฟฟ้าที่มีการส่งให้สหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตามล่าสุดทาง Peter Navarro ได้ออกมากล่าวกับ CNBC ว่าแผนเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมต่อแคนาดาได้ถูกยกเลิกแล้วและแคนาดาก็ได้บอกว่าแผนเก็บภาษีส่งออกไฟฟ้าสหรัฐฯก็ได้ยกเลิกเช่นกัน (2) สหรัฐฯได้รายงานตำแหน่งเปิดรับสมัครงาน (Job Opening) ที่ 7.74 ล้านตำแหน่งดีกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 7.65 ล้านตำแหน่งทั้งนี้หลังจากทราบปัจจัยทั้งหมดพบว่า US Bond Yield กลับมาฟื้นตัวสะท้อนถึงมุมมองที่เปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นมองเป็นบวกกับตลาดหุ้นไทย           ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้ SET INDEX แสดงการเคลื่อนไหวที่ผันผวนแต่เป็นบวก โดยปรับลงไปทดสอบ 1160 (-1.4%) ก่อนจะกลับมาปิดบวก 0.86% โดยนักลงทุนสถาบันเป็นผู้ซื้อสุทธิ 1.9 พันล้านบาทและนักลงทุนต่างชาติแม้จะยังขายสุทธิ 1 พันล้านบาทแต่เห็นสถานะ Long 9.3 พันสัญญา ในช่วงแรกนั้นตลาดหุ้นไทยรับแรงกดดันจากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯแต่หลังจากนั้นในช่วงก่อนปิดตลาดภาคเช้า รัฐบาลก็ได้ประกาศตั้งกองทุน Thai ESGX แบ่งออกได้ดังนี้ (1) เม็ดเงินจาก LTF เดิมผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้แต่จะไม่เกิน 5 แสนบาทแต่สิทธิ์การลดหย่อยนั้นจะแบ่งออกเป็นปีแรกลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 แสนบาทและปีที่ 2-5 สูงสุดปีละ 5 หมื่นบาท พร้อมกับเติมเงินใหม่ด้วย (2) ผู้ลงทุนสามารถซื้อหน่วยลงทุนและลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 แสนบาทพร้อมกำหนดถือ 5 ปี (คำนวณวันชนวันที่ลงทุน) โดยสินทรัพย์ที่ Thai ESGX ลงทุนจะเน้นที่หุ้นกลุ่มความยั่งยืนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV ปัจจัยข้างต้นเป็นตัวชะลอแรงขายจาก LTF และเราแนะนำให้นักลงทุนที่ถือ LTF เปลี่ยนเป็น Thai ESGX เพราะไม่ควรขายหุ้นไทย ณ จุดที่ Valuation ไม่แพง ส่วนนักลงทุนที่ประสงค์จะซื้อก้อนใหม่ 3 แสนบาท ก็แนะนำให้ซื้อเช่นกันเพราะเป็นจุดที่ต้นทุนดีหากถือไป 5 ปีเชื่อว่าอย่างน้อยน่าจะมี Upside Gain หรือกรณีแย่สุดคือเท่าทุน สำหรับหุ้นที่ได้ประโยชน์มองไปยังหุ้นที่มีคะแนน ESG สูง + พื้นฐานดี (ADVANC CPALL CPAXT CPF KBANK WHA CPN AP HMPRO TTB MINT) วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวกรอบ 1180 – 1200 เชิงกลยุทธ์การลงทุนบรรยากาศตลาดหุ้นไทยเริ่มเป็นบวกมากขึ้น           ขณะที่ Valuation อยู่ ในจุดที่ไม่แพงอยู่แล้ว หากปัจจัยต่างประเทศมิได้เผชิญกับแรงกดดันที่มากอาจค่อยๆเห็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงแนะสะสมเช่นเดิมในหุ้นพื้นฐานดีและเป็นผู้นำอุตสาหกรรม อาทิ โรงพยาบาล (BDMS) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) การเงิน (MTC TIDLOR)

“โกลเบล็ก” คัด 7 หุ้นเด่นได้อานิสงส์โครงการ TISA

“โกลเบล็ก” คัด 7 หุ้นเด่นได้อานิสงส์โครงการ TISA

            หุ้นวิชั่น - บล. โกลเบล็ก (GBS) ลุ้นหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีโอกาส Rebound เก็งกำไร ตลท. ศึกษาแผนลงทุน Individual Savings Account พร้อมจับตานายกร่วมหารือรมว.คลัง -ก.ล.ต.-ตลท.จับตาทิศทางตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด เพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่น ดัน GDP เติบโต 3.5%จึงคาดการณ์กรอบดัชนีที่ระดับ 1,155-1,190จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนใน 7 หุ้นเด่นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ TISA นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีโอกาส Rebound โดยมีแรงหนุนจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อยู่ระหว่างศึกษาแผนลงทุน Individual Savings Account หรือบัญชีออมหุ้นไทยระยะยาว โดยจะให้ประชาชนคนไทยเข้ามาซื้อหุ้นไทยเพื่อการออมระยะยาว หรือเพื่อการเกษียณ ซึ่งเงินที่นำไปซื้อหุ้นไทยในแต่ละปีก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี และเมื่อถึงกำหนดระยะเวลาให้ขายหุ้นได้ ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีขายหุ้น             ขณะเดียวกันทางนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง รวมถึง  ก.ล.ต. และ ตลท. หารือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อหามาตรการกระตุ้นตลาดหุ้นให้มีความเชื่อมั่น นักลงทุนกลับมาซื้อขายเช่นเดิม และต้องการผลักดันให้  GDP เติบโต 3.5% โดยภายในเดือน มี.ค.นี้ จะมีความชัดเจนเรื่องมาตรการฟื้นความเชื่อมั่นและผลักดันให้จีดีพีไทยไปถึงเป้าหมายให้ได้ ล่าสุดทางกระทรวงการคลังเสนอบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจพิจารณาแผนแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทเฟส 3 ในกลุ่มเป้าหมายกรอบอายุ 16 - 20 ปี โดยคาดว่าจะเริ่มจ่ายในไตรมาส 2/68 ประกอบกับคำกล่าวของประธานเฟด ที่ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะที่ดี ฝ่ายวิจัยจึงคาดการณ์กรอบดัชนีที่ 1,155-1,190จุด             สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนที่จับตาในประเทศ อาทิ สัปดาห์ที่ 2 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค, ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย, สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและอัพเดตสถานการณ์ลงทุน, วันที่ 12 มี.ค. รายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ฉบับย่อ, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แถลงสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์, สัปดาห์ที่ 3 ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์, วันที่ 24 มี.ค. ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี, สัปดาห์ที่ 4 กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ, สศอ. แถลงดัชนีอุตสาหกรรม, สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค, ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคและ วันที่ 31 มี.ค. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย             ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่น่าจับตา วันนี้ 11 มี.ค. ญี่ปุ่น รายงานการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนม.ค. และ GDP ไตรมาส 4/67, สหรัฐ รายงานตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนม.ค., วันที่ 12 มี.ค. สหรัฐ รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.พ. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์, วันที่ 13 มี.ค. สหรัฐ รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.พ. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน รายสัปดาห์, วันที่ 14 มี.ค. สหรัฐ รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนมี.ค., วันที่ 18-19 มี.ค. ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ครั้งที่ 2/68             ดังนั้น นายวัชเรนทร์ จงยรรยง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก  แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ TISA เนื่องจาก ตลท. อยู่ระหว่างศึกษาโครงการออมหุ้นไทยระยะยาว โดยจะให้ประชาชนคนไทยเข้ามาซื้อหุ้นไทยเพื่อการออมระยะยาว หรือเพื่อการเกษียณ โดยหุ้นที่ได้อานิสงส์ ได้แก่  CPALL, SCB, TISCO, EGCO, BDMS, TU และ ADVANC             ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินราคาทองคำ  ยังคงเคลื่อนไหวผันผวน โดยมีแรงกดดันจาก “ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดา และเม็กซิโก แต่ยังคงเก็บภาษีนำเข้าจากจีน ขณะที่จีนประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐเพิ่มอีก 15% เพื่อตอบโต้มาตรการภาษีจากสหรัฐ โดยจะมีผลวันที่ 10 มี.ค. คาดเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำ นอกจากนี้นักลงทุนปรับเพิ่มคาดการณ์ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็น 3 ครั้งในปีนี้ จากเดิมคาด 1 ครั้งในปีนี้ เป็นปัจจัยหนุนเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามสัปดาห์นี้ ให้ติดตามการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ CPI และ PPI ของ มองกรอบทองคำสัปดาห์นี้ 2,860 – 2,955 $/Oz แนะนำเก็งกำไรในกรอบ

ตลาดหุ้นไทยต้องระวัง?  เช็กด่วน 8 หุ้นปันผลแกร่ง

ตลาดหุ้นไทยต้องระวัง? เช็กด่วน 8 หุ้นปันผลแกร่ง

             หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส จับตาประเด็นวานนี้หุ้นสหรัฐฯ ปั่นป่วน NASDAQ -4% โดยหลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง 50 วัน NASDAQ -9.4% และหุ้น 7 นางฟ้า ปรับตัวลดลงทั้งหมด TESLA -48% NVIDIA -22%, GOOGLE -15%, AMAZON -14%, MICROSOFT -11%,META -2% พร้อมกับดอลลาร์อ่อนค่า 5% แสดงให้เห็นถึง ความไม่มั่นใจต่อนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลสหรัฐ อย่างน้อยๆ ก็เห็นได้ว่า 50 วันหลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง ตลาดหุ้นโลกที่ไม่นับรวมหุ้นสหรัฐ อย่าง MSCI ACWI EX USA +7% ผันผวนน้อยกว่าสหรัฐ อย่าง NASDAQ ที่ -9.4% แสดงให้เห็นเม็ดเงินมีการโยกย้ายการลงทุนมานอก สหรัฐมากขึ้น ส่วนตลาดหุ้นไทยต้องระวังหากหลุดแนวรับสำคัญ 1173 จุด มีโอกาสลงได้ลึก แนะนำถือเงินสดเพิ่มเติม แต่ถ้า กลับมายืนเหนือ 1187 จุด แนะนำสะสมหุ้น 8 DIVIDEND RANGER เพิ่ม AP, SPALI, SCC, PTTEP, BH, ITC, WHA, CPALL

จับตา ประชุม ครม.วันนี้ หุ้นเด้งรับมาตรการ เช็ก!

จับตา ประชุม ครม.วันนี้ หุ้นเด้งรับมาตรการ เช็ก!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) วันนี้ (11 มี.ค.) ประชุม ครม. คาดว่าจะมีการนำเสนอ 1.) ร่าง พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Landbridge) ประเมินจิตวิทยาบวกหุ้นรับเหมา STECON, CK หุ้นอิงภาคก่อสร้าง SCC, SCCC 2.) มาตรการเราเที่ยวด้วยกัน ประเมินจิตวิทยาบวก ERW 3.) มาตรการอุตสาหกรรมยานยนต์ อาทิ มาตรการดึง บสย. เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ จิตวิทยาบวกต่อหุ้นเช่าซื้อ TISCO, KKP, THANI 4.) มาตรการฝั่งภาคอสังหาฯ อาทิ LTV, บ้านล้านหลัง ประเมินจิตวิทยาบวกต่อ AP, SIRI 5.) ร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร คาดยังคงเงื่อนไขที่กฤษฎีกาเสนอ คือ กำหนดให้คนไทยต้องมีเงินฝาก 50 ล้านบาทขึ้นไป จิตวิทยาบวกต่อหุ้นในธีมดังกล่าว อาทิ BTS, VGI 6.) มาตรการฝั่งตลาดทุน ประเมินน่าจะเน้นเรื่องการปรับเงื่อนไขสำหรับเงินลงทุน LTF ที่เหลืออยู่ หากเปลี่ยนไปถือในกองทุนใหม่ ThaiESG X (ชื่อเบื้องต้น) จะสามารถลดหย่อนภาษีได้ต่อ

SABINA ลุ้นทำ New High แนะ “ซื้อ” - เป้า 22 บ.

SABINA ลุ้นทำ New High แนะ “ซื้อ” - เป้า 22 บ.

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น บริษทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์ เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง SABINA (BUY,TP@Bt22.0) เรามีมุมมองเป็นบวกจากแผนกลยุทธ์การลดต้นทุนในปี 2025 และมีโอกาสที่ตลาดจะปรับประมาณการขึ้นจากแนวโน้มอัตรากำไรที่ดีกว่าคาด กลยุทธ์การลดต้นทุนเป็นปัจจัยหนุนหลักในปี2025 จากการย้ายฐานการผลิตจากบุรีรัมย์ไปรวมที่ยโสธร และปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยจะลดต้นทุนไม่ต่ำกว่าปีละ 25ลบ. ตัวเลขการนำเข้าชุดชั้นในจากจีนที่สูง สะท้อนการแข่งขันที่รุนแรง ผู้บริหารเป้ารายได้เติบโต 5% เรามองว่าเป็นไปได้                กลยุทธ์ในปี 2025 แบ่งเป็น 1) เพิ่มจำนวนสาขา 7 สาขา ไปยังแหล่งท่องเที่ยว 2) ตั้งเป้า OEM โต 10% ทั้งจากลูกค้าเก่าและใหม่ 3) ขยายสาขาในฟิลิปปินส์เพิ่มเป็น 70สาขา และตั้งเป้ารายได้ในฟิลิปปินส์เติบโต 20%แม้แนวโน้ม QTD ชะลอyoy จากมาตรการ Easy e-receipt ที่วงเงินลดลง แต่เรามองเป็นไตรมาสที่ต่ำสุดของปี และค่อยๆฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสที่เหลือของปี ราคาหุ้นน่าสนใจ ให้ Dividend Yield สูง 7.2% ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิเรายังมอง New High แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 22.00 บาท

น้ำมันดิบปิดลบ กังวล OPEC+ ปรับเพิ่มกำลังผลิตเดือน เม.ย.

น้ำมันดิบปิดลบ กังวล OPEC+ ปรับเพิ่มกำลังผลิตเดือน เม.ย.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า น้ำมันดิบ Brent -1.53% d-d ปิดที่ USD 69.28/barrel, น้ำมันดิบ West Texas -1.51% d-d ปิดที่ USD 66.03/barrel แรงกดดันจาก 1.) กังวลกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ ปรับเพิ่มกำลังผลิตเดือน เม.ย. และความกังวล Recession จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ และมาตรการรีดภาษีของสหรัฐฯ จะชะลอเศรษฐกิจโลก มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT แต่ในทางตรงข้ามเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่ม Anti-commodity อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง, กลุ่มสายการบิน AAV, BA

2 หุ้นแกร่ง รับอานิสงส์ แจกเงินดิจิทัล เฟส 3

2 หุ้นแกร่ง รับอานิสงส์ แจกเงินดิจิทัล เฟส 3

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี จับประเด็นบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจจะเห็นชอบในหลักการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟสที่ 3 แต่เป็นการแจกให้เฉพาะกลุ่มวัยเรียนในช่วงอายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน หรือ 2.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ช่วงก่อนหน้าที่ 22 ล้านคน หรือ 2.2 แสนล้านบาท โดยส่วน ที่เหลือคาดจะทยอยออกในเฟสถัดๆไป           อย่างไรก็ดี ยังแนะนำทยอยสะสมหุ้นแข็งแกร่งในกลุ่ม อาทิ CPALL- HMPRO

KSS คาด SET วันนี้“พยายามสร้างฐาน” ชู AP-BCH-MTC เด่น

KSS คาด SET วันนี้“พยายามสร้างฐาน” ชู AP-BCH-MTC เด่น

            หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี คาด SET วันนี้“พยายามสร้างฐาน” ต้าน 1187/1192จุด รับ 1163/1156 จุด ประเด็นกำหนดทิศทางตลาดไปในทางลบ 1.) ตลาดอยู่ในภาวะ Risk-off เงินลงทุนไหลออกจากหุ้นเทคฯไปกลุ่ม Value และสินทรัพย์ปลอดภัย US Bond Yield 10 ปีดิ่งลง -10 bps จากความกังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย หลังสหรัฐให้สัญญาณเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจลดการพึ่งพาการใช้จ่ายรัฐ ทำให้ตลาดน่ากลับมารอ ติดตามท่าทีนโยบายคุณ Trump ที่หากเร่งและหว่านแหจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง vs ภาพ Base Case ของฝ่ายวิจัย ประเมินเน้นไปที่การใช้นโยบายค่อยเป็นค่อยไป+ต่อรอง ซึ่งนำไปสู่ภาพ Soft Landing 2.) เงินบาทอ่อนค่า 33.9 +/- บาท จิตวิทยาลบ Fund Flows 3.) SET วานนี้ปรับลงแรง ประเมินน่าจะสะท้อนความกังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯบางส่วนแล้ว ขณะที่ตลาดกลับมาอยู่ในโซน Deep Value คือ มีค่า Equity Risk Premium ที่ 4.72% > AVG + 1.5 S.D. คาดจำกัดความผันผวนได้ระดับหนึ่ง 4.) ติดตาม ครม. คาดพิจารณาหลายมาตรการเศรษฐกิจ อาทิ ร่าง พ.ร.บ. SEC, มาตรการท่องเที่ยว ยานยนต์อสังหา หุ้นนำ คือ หุ้นได้จิตวิทยา Yield ลงหนุน, หุ้น Defensive และเก็งกำไรหุ้นผลประชุม ครม. หนุน และ หุ้นต่างชาติมีสถานะน้อยและมีปัจจัยหนุน อาทิ ปิโตรเคมี วันนี้แนะนำ AP, BCH, MTC

GRAMMY ธุรกิจเพลงแกร่ง เร่งแก้ปัญหาสภาพคล่อง

GRAMMY ธุรกิจเพลงแกร่ง เร่งแก้ปัญหาสภาพคล่อง

             หุ้นวิชั่น - GRAMMY เร่งแก้ไขปัญหาติดเครื่องหมาย CF เตือนเรื่อง Free Float แก้ปัญหาสภาพคล่อง พร้อมเดินหน้าธุรกิจร่วมมือกับพันธมิตร ต่อยอดเติบโต ธุรกิจเพลงยังแข็งแกร่ง โอกาสหนุนรายได้เติบโต              นางสาวสิรีธร ศรีสังวรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยที่มีความผันผวนและปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยปัจจัยภายในประเทศ อาทิ ปัญหาทางการเมือง และการเติบโตของธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ ทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น GRAMMY ยังคงรักษาเสถียรภาพได้ดี โดยบริษัทให้ความสำคัญกับการรักษาอัตรากำไรและการเติบโตของธุรกิจ โดยร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญ เช่น เทนเซ็นต์ มิวสิค เอ็นเตอร์เทนเมนต์ กรุ๊ป (TME), เทนเซ็นต์ (Tencent) และ วอร์นเนอร์ มิวสิค เอเชีย (Warner Music Asia – WMA)              สำหรับการติดเครื่องหมาย CF (Caution - Free Float) ซึ่งเตือนนักลงทุนถึงสภาพคล่องในการซื้อขายหุ้น GRAMMY บริษัทได้ดำเนินการหารือกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่างต่อเนื่อง และหากมีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว บริษัทจะแจ้งต่อนักลงทุนและตลาดหลักทรัพย์ให้ทราบต่อไป              ด้านผลการดำเนินงานปี 2567 ในปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 6,237.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 249.1 ล้านบาท หรือ 4.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 6,165.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 234.0 ล้านบาท หรือ 39.9% YoY              ธุรกิจภาพยนตร์เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 341.5 ล้านบาท หรือ 96.4% YoY จากความสำเร็จของภาพยนตร์ "หลานม่า" ที่สร้างรายได้ดีทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 97 ในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม              ธุรกิจเพลงมีรายได้เพิ่มขึ้น 133.5 ล้านบาท หรือ 3.4% โดยเฉพาะจากกลุ่มคอนเสิร์ตที่สร้างรายได้เพิ่ม 169.0 ล้านบาท บริษัทได้จัดคอนเสิร์ตจำนวน 20 งาน และแฟนมีต 2 งาน โดยคอนเสิร์ตใหญ่ของ PALMY และ Bodyslam ได้รับการตอบรับอย่างดี              ธุรกิจโฮมช้อปปิ้งและทีวีดาวเทียมยังเผชิญความท้าทาย รายได้จากโฮมช้อปปิ้งลดลง 203.2 ล้านบาท (-14.8%) และทีวีดาวเทียมลดลง 24.7 ล้านบาท (-16.2%) YoY อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้น 195.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 328.1 ล้านบาท (+247.5%) YoY จากการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้นและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมค้าและบริษัทร่วม ดันธุรกิจเพลงโตต่อเนื่อง GRAMMY  เดินหน้าสนับสนุนธุรกิจเพลงให้เติบโตอย่างยั่งยืน จากข้อมูลอุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกที่เติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปี ในขณะที่อุตสาหกรรมเพลงไทยเติบโตสูงถึง 26% ต่อปี โดยแรงผลักดันหลักมาจากดิจิตอลสตรีมมิ่งและ Music subscription ประเทศไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก โดยบริษัทใช้จุดแข็งเชิงกลยุทธ์ในการใช้ Music Infrastructure ที่ครบวงจรที่สุดในประเทศไทย ผสานกับประสบการณ์ยาวนานในวงการเพลง เพื่อสร้างรายได้แบบต่อเนื่อง (Recurring Income) และการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว GRAMMY ยังคงยึดมั่นในการพัฒนาธุรกิจด้วยแนวทางที่รอบคอบและปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาด เพื่อให้บริษัทสามารถสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนทางการเงินได้อย่างต่อเนื่อง

SCB คาดกำไรปี68 ที่ 4.5 หมื่นลบ. โบรกแนะ “ถือเพื่อรับปันผล” เป้า 125.25 บ.

SCB คาดกำไรปี68 ที่ 4.5 หมื่นลบ. โบรกแนะ “ถือเพื่อรับปันผล” เป้า 125.25 บ.

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.เอเอสแอล ระบุ SCB คาดกำไรสุทธิปี 2025 ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท (+3.3% YoY) โดยสินเชื่อขยายตัว 1.6% และ Fee Income โต 2.2% จากธุรกิจประกันและ Wealth ส่วน Credit cost ลดลงเหลือ 1.7% และ NPLs ratio ลดลงเหลือ 3.3% สะท้อนคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ► แนวโน้ม 1Q25 ทรงตัว QoQ และ YoY จาก NIM ที่ลดลงหลังการปรับลดดอกเบี้ย แต่ยังพอรับมือได้จาก OPEX และ ECL ที่ลดลง ► คงคำแนะนำ “ถือเพื่อรับปันผล” ราคาเป้าหมาย 125.25 บาท อิง PBV 0.87 เท่า โดย Payout Ratio สูงถึง 80% โดยงวด 2H24 จ่ายปันผล 8.44 บาท (ทั้งปี 10.44 บาท) คิดเป็น Div. Yield 6.9% (ทั้งปี 8.5%) XD 16 เม.ย. ทั้งนี้คาดการณ์ Div. Yield ปี 25-27 สูงกว่า 8.8-9.4% แต่เนื่องจาก Upside จำกัด แนะนำ “ถือเพื่อรับปันผล” Earnings Recap               • 4Q24 : กำไรสุทธิเท่ากับ 1.1 หมื่นล้านบาท -5.8%QoQ, -6.1%YoY ดีกว่าตลาดคาด 16% จากการลดลงของการตั้งสำรอง -10.7%QoQ คิดเป็น Credit cost ที่ 1.62% จากฐานที่สูงในปีก่อนที่มีการตั้งเพิ่มในส่วนของ Management overlay ส่วนด้าน PPOP ยังขยายตัว +1.8%QoQ, +9.1%YoY ดีขึ้นเด่น YoY จาก Fee income และรายได้จากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่ลดลง คิดเป็น C/I ที่ 42.7% หลังยุติการดำเนินงานของ PPV ด้าน NII ชะลอตัวลง จากการลดลงของ Earnings yield asset ที่มากกว่า CoF ส่งผลให้ NIM ปรับลดลงเหลือ 3.88% -3 bps QoQ, -8 bps YoY ส่วนสินเชื่อ -1.3%QoQ, -1.0%YoY จากการหดตัวของทั้งสินเชื่อธุรกิจ SME และรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อไม่มีหลักประกันที่หดตัวแรง ส่วน CardX และ AutoX ดีขึ้นเล็กน้อน YoY ด้าน NPLs ratio เท่ากับ 3.37% ลดลง QoQ-YoY จากกลุ่มสินเชื่อบุคคลและ CardX ที่มีคุณภาพดีขึ้น               • 24FY : กำไรสุทธิเท่ากับ 4.39 หมื่นล้านบาท +1.0%YoY ดีขึ้นจาก NII ที่เพิ่มขึ้น และการตั้งสำรองที่ลดลง แม้ว่าจะมีปัจจัยลบจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ชะลอตัว และมีรายการพิเศษจาก Robinhood ทั้งนี้มี ROE เท่ากับ 9.1% (-0.2%YoY) Outlook 25F เน้นการเติบโตอย่างมั่นคง เป้าหมายไม่หวือหวา               • GDP +2.4% : คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้าของทรัมป์ 2.0 ส่งผลต่อภาคการส่งออกจะชะลอตัว ส่วนการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะฟื้นตัวได้ในระดับปานกลาง               • สินเชื่อขยายตัว 1-3% : โดยจะเน้นในกลุ่ม Gen2 (CardX และ AutoX) มากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถในพอร์ต AutoX เพื่อลดผลกระทบของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง               • Credit cost 1.5-1.7% : ปรับตัวลงจากคุณภาพลูกหนี้กลุ่มบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลของ CardX ดีขึ้น สะท้อนผ่านพัฒนาการด้าน NPL ที่ดีขึ้นในกลุ่มนี้               • NIM ในกรอบ 3.6-3.8% : ปรับลดลงจากสิ้นปี 24 ที่ 3.85% โดยพยายามปรับพอร์ตไปยังกลุ่ม Gen2 ที่ให้ Yield สูงในสัดส่วนมากขึ้น               • Fee income ขยายตัว 2-4% : จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และการฟื้นตัวจากธุรกิจประกันผ่าน AutoX รวมถึงค่าธรรมเนียมจากธุรกิจ Gen2 และ 3               • C/I ในช่วง 42-44% : ยังมีค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และ Cloud COEs รวมถึงด้าน IT เพิ่มขึ้นเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี และ AI มากขึ้น               • ผู้บริหารคาดว่า มาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” จะมีมูลหนี้เข้ามา 6-7 พันล้านบาท คาดกำไรสุทธิปีนี้ขยายตัวเพียง 3.3%               • ประเมินกำไรสุทธิทั้งปีที่ 4.5 หมื่นล้านบาท +3.3%YoY โดยคาดสินเชื่อขยายตัว 1.6% ในกลุ่ม Gen 2 เป็นหลัก ส่วน NIM ลดลงที่ระดับ 3.7% ตามกรอบเป้าหมายของ SCB ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมประเมินเติบโตบริเวณกรอบล่างของเป้าธนาคาร 2-4% ที่ 2.2% จากการ cross selling ผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคารโดยเฉพาะธุรกิจประกันและ Wealth อย่างไรก็ดี Credit cost ลดลงเหลือ 1.7% และ NPLs ratio ลดลงเป็น 3.3% จากแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น               • แนวโน้ม 1Q25F เบื้องต้นทรงตัว QoQ และ YoY จาก NIM ที่ลดลงหลังกนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% และ SCB ประกาศลดดอกเบี้ย M-Rate ลง แต่ยังไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอย่างทันที รวมถึงการปรับมูลค่าตลาดที่ลดลงจากเครื่องมือทางการเงิน แต่ยังประคองตัวได้จากการลดลงของ OPEX และ ECL ที่มีแนวโน้มลดลง คงคำแนะนำ “ถือเพื่อรับปันผล” ที่ราคาเป้าหมาย 125.25 บาท               • เราคงคำแนะนำ “ถือเพื่อรับปันผล” โดยมีราคาเป้าหมายที่ 125.25 บาท อิง PBV ที่ 0.87 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยระยะยาว (1.12 เท่า) – 0.75 SD โดดเด่นด้วยการจ่ายปันผลในระดับสูง (payout ratio ที่ 80%) ซึ่งในงวด 2H24 จ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 8.44 บาท (ทั้งปีที่ 10.44 บาท) คิดเป็น Div.yield เท่ากับ 6.9% (คิดเป็นทั้งปี 8.5%) ขึ้น XD 16 เม.ย. ขณะที่แนวโน้มในปี 25-27F คาดหวังการจ่ายปันผลในระดับสูงต่อเนื่อง คิดเป็น Div.yield สูงกว่า 8.8-9.4% แต่ด้วย upside ปัจจุบันที่ค่อนข้างน้อย จึงแนะนำเพียง “ถือเพื่อรับปันผล”               ปัจจัยเสี่ยง: การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย สภาวะหนี้ภาคครัวเรือนในระดับสูง แนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ที่ด้อยคุณภาพ และกฎเกณฑ์จากทางการที่ส่งผลกระทบในเชิงลบ ประเด็นที่มีนัยยะสำคัญด้านความยั่งยืน: การจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (E) และความมั่นคงทางไซเบอร์-ข้อมูลสารสนเทศ (G)

ปรับลด EPS หุ้นไทย การเมือง-US ขึ้นภาษีถ่วง

ปรับลด EPS หุ้นไทย การเมือง-US ขึ้นภาษีถ่วง

            หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า บริษัทจดทะเบียนที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯศึกษาทำกำไรสุทธิรวมในไตรมาส 4/67 เพิ่มขึ้น 23% yoy และ 12% qoq กลุ่มที่มีกำไรสุทธิเติบโตสูงสุดในไตรมาสสุดท้ายของปีได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น, กลุ่มอาหาร, กลุ่มโรงแรม, กลุ่มโทรคมนาคมและกลุ่มขนส่ง             ส่วนกลุ่มที่มีกำไรสุทธิเติบโตต่ำสุดคือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มน้ำมันและก๊าซ, กลุ่มบรรจุภัณฑ์, กลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิโดยรวมในปี 67 ของบริษัทที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯศึกษาลดลง 2% yoy ซึ่งมองว่ายังยอมรับได้เนื่องจาก GDP ของไทยขยายตัวเพียง 2.5% ในปี 67             ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า หลังบริษัทจดทะเบียนประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/67 แล้ว พบว่าบริษัทที่ทำการศึกษาประมาณ 16% ทำกำไรได้ดีกว่าคาด ส่วน 27% ทำกำไรต่ำกว่าคาด และอีก 57% ทำกำไรสอดคล้องกับประมาณการ             ดังนั้น หลังฤดูประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/67 ฝ่ายวิเคราะห์ฯจึงปรับประมาณการ EPS ของตลาดลง 2% ในปี 68 และ 1.6% ในปี 69 เท่ากับว่าในปัจจุบันคาดว่าตลาดจะมีกำไรปกติต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 16% เป็น 91.5 บาทในปี 68 และเพิ่มขึ้น 8% เป็น 98.7 บาทในปี 69 เทียบกับ 78.7 บาทในปี 67             ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ระบุว่า เมื่อวันที่ 27 ก.พ.68 พรรคฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯแพทองธาร ซึ่งน่าจะเป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมี.ค.68 โดยเชื่อว่านายกรัฐมนตรีน่าจะรอดจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจยังคงกดดันตลาดหุ้นไทยในเดือนมี.ค.จากความตึงเครียดระหว่างพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาลและพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่มีจำนวนส.ส. มากสุดเป็นอันดับสอง เชื่อว่าความขัดแย้งระหว่างสองพรรค อาจทำให้การอนุมัติโครงการสำคัญของรัฐบาลเกิดความล่าช้า เช่นพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex จากปัจจัยลบที่รุนแรงทั้งในประเทศและนอกประเทศ ทำให้ยังคงเป้าดัชนี SET สิ้นปี 68 อยู่ที่ 1,380 จุด ซึ่ง จะเท่ากับ P/E 14 เท่าในปี 69 หรือ -2SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี รวมทั้งเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทน จากเงินปันผลสูงและหุ้นในกลุ่มปลอดภัย นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าหุ้นที่มีราคาดิ่งลงแรงก่อนหน้านี้ น่าจะดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อ sentiment ตลาดกลับมาเป็นบวก             อย่างไรก็ตาม คำแนะนำอาจมี downside risk หากความตึงเครียดทางการเมืองยกระดับขึ้นและสหรัฐฯปรับขึ้นภาษีสินค้าส่งออกจากไทย ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 อาจส่งผลดีต่อตลาดหุ้น ดังนั้นหุ้น Top pick จึงประกอบด้วย BH, CBG, CPALL, CPN, HANA, KTB, MINT, MTC, PTTEP, SCB, PR9 และ SIRI 

บล.พาย เลือก 14 หุ้นเด่น เน้นสะสมหุ้นใหญ่ - เช็กเลย!

บล.พาย เลือก 14 หุ้นเด่น เน้นสะสมหุ้นใหญ่ - เช็กเลย!

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คืนวันศุกร์ที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 1.5 แสนราย ต่ำกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 1.59 แสนราย พร้อมกับอัตราการว่างงานที่ระดับ 4.1% มากกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดที่ 4% ในช่วงแรกหลังจากทราบผลพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับลง แต่หลังจากนั้นในช่วงเวลาเที่ยงคืนตามเวลาประเทศไทยประธาน FED ก็ได้ออกมาให้ข้อมูลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังแข็งแกร่ง สอดคล้องกับตลาดแรงงานที่ยังอยู่ในภาวะที่ดีเช่นกัน              ขณะที่เงินเฟ้อกำลังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เมื่อประกอบกับความไม่แน่นอนจากการค้าโลก FED จึงยังไม่เร่งรีบในการดำเนินนโยบาย โดยจะรอความชัดเจนและดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับภาวะที่เกิดขึ้น ทำให้ US Bond Yield กลับมาฟื้นตัวและราคาทองคำก็ปรับลดลง แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯกลับขึ้นมาปิดบวก ด้านจีนในวันอาทิตย์ที่ผ่านมารายงานเงินเฟ้อหดตัว -0.7%YoY มากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินว่าจะหดตัว -0.4%YoY สะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังไม่แข็งแกร่งมาก ระยะสั้นอาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นและเป็นลบกับกลุ่ม China Play (SCC SCGP PTTGC) ด้านปัจจัยในประเทศวันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ได้เผยแนวทางสนับสนุนตลาดทุนด้วยแนวคิด TISA (Thailand individual saving) โดยให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและนำเม็ดเงินเหล่านั้นมาลดหย่อนภาษี เตรียมที่จะเสนอต่อกระทรวงการคลังในเร็วๆนี้ (ข้อแม้คือจะต้องถือจนถึงวัยเกษียณ)              สำหรับ Model ข้างต้นนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในตลาดหุ้นญี่ปุ่นภายใต้ชื่อว่า NISA กล่าวคือให้ประชาชน (นักลงทุนรายย่อย) เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและนำเงินดังกล่าวไปลดหย่อนภาษี ข้อมูลที่พบคือมูลค่าลงทุนผ่าน NISA สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยปี 15 อยู่ที่ 6.4 ล้านล้านเย็น ปี 20 อยู่ที่ 21.6 ล้านล้านเยนและปี 24 อยู่ที่ 45 ล้านล้านเยน ผลกระทบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นพบว่าโครงการ NISA เกิดขึ้นในปี 14 และทำให้ในปีดังกล่าวตลาดหุ้น Nikkei +17% เทียบกับ MSCI world ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 4.3% แต่อย่างไรก็ตามรอติดตามเกณฑ์อีกทีหากกำหนดให้ถือหุ้นยาวจนเกษียณก็อาจเป็นระยะเวลาที่ยาวนานและอาจทำให้ผู้ลงทุนมิได้เยอะมาก แต่ทั้งนี้ คาดว่าหุ้นขนาดใหญ่จะรับผลบวก (SET50 , SET100)              สัปดาห์นี้ปัจจัยติดตามได้แก่เงินเฟ้อสหรัฐฯในคืนวันพุธช่วงเวลา 19.30 ตามเวลาประเทศไทย Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 2.9%YoY , 0.3%MoM ถัดมาดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐฯในคืนวันพฤหัสบดี Bloomberg คาดไว้ที่ 0.3%MoM ประเมินกรอบ SET INDEX ที่ 1185 – 1230 กลยุทธ์การลงทุนยังแนะสะสมแต่เน้นหุ้นขนาดใหญ่ตามความสามารถในการแข่งขันที่สูง อาทิ ส่งออก (ITC TU) ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ท่องเที่ยว (BA CENTEL MINT) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB)

โบรกยก 10 หุ้นเสริมพอร์ต รับตลท. จ่อกระตุกความเชื่อมั่นตลาดฯ

โบรกยก 10 หุ้นเสริมพอร์ต รับตลท. จ่อกระตุกความเชื่อมั่นตลาดฯ

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ภาพรวมตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในเดือน ก.พ. 68 ส่งสัญญาณอ่อนแอมากกว่าตลาด คาดการณ์โดยล่าสุดสหรัฐฯ มีรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร อยู่ที่ 151,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าตลาดคาด ส่วนอัตราการว่างานปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.1% ทำให้ต้องระวังความเสี่ยงเศรษฐกิจลดความร้อนแรงลง แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง มองเป็นปัจจัยหนุนให้ FED พิจารณาปรับลดดอกเบี้ย สำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ยังมีความไม่แน่นอนโดยเฉพาะในภาคการบริโภค และการค้าระหว่างทำให้ตลาดฯ กำลงมองหามาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม วันศุกร์ที่ผ่านมาเงินเฟ้อไทยเดือน ก.พ. 68 อยู่ที่ +1.08%YOY ซึ่งชะลอลงจากเดือน ก่อนหน้าที่ +1.32%YOY และต่ำกว่าตลาดคาดที่ +1.10%YOY ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการชะลอลงของเศรษฐกิจ และอาจเป็นแรงหนุนให้ กนง. ลดดอกเบี้ยในอนาคต            ฝั่งตลท.เตรียมออกมาตรการกระตุกความเชื่อมั่นเพิ่มเติม อาทิ THAIESG X, THAIESG วงเงินคูณ 2 ซื้อระยะ 2 เดือน, TISA (THAILAND INDIVIDUAL SAVINGS ACCOUNT) ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง น่าจะเรียกความเชื่อมั่นและปริมาณการซื้อขายของ SET ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง TOP PICK เลือก SPALI, SC และ CPALL มาตรการของ ตลท.เตรียมกระตุ้นให้ SET กลับมาสดใสอีกครั้ง วันศุกร์ที่ผ่านมาตัวเลขเงินเฟ้อไทยเดือน ก.พ. 68 อยู่ที่ +1.08%YOY ซึ่งชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ +1.32%YOY และต่ำกว่าตลาดคาดที่ +1.10%YOY ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการชะลอลงของเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับ กนง.ที่เพิ่งมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนยโยบาย 25 BPS. ลงมาอยู่ที่ระดับ 2.0%            ขณะที่กระทรวงพาณิชย์คาดเงิน เฟ้อ มี.ค.68 ยังใกล้เคียงก.พ.68 โดยมองเงินเฟ้อช่วง 2Q68 ชะลอตัวเหลือ 0.5%YOY จากผลราคาพลังงานที่ปรับ ลงในช่วงเวลาดังกล่าว และคาดเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปีนี้ จะอยู่ในช่วง 0.3-1.3%(ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของ ธปท.ที่ 13%) ซึ่งฝ่ายวิจัยฯประเมิน 2H68 กนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง 0.25% เหลือ 1.75% หากตัวเลขเศรษฐกิจไทย ยังไม่ฟื้นเท่าที่ควร โดยประเมินว่า การปรับลดดอกเบี้ย 25 BPS. จะหนุนระดับ MARKET EARNING YIELD GAP ได้ สูงถึง 5.75% คาดว่า TARGET SET INDEX จะขยับขึ้นมาได้ราว 51 จุด            ขณะที่ฝั่งตลท.เตรียมออกมาตรการกระตุกความเชื่อมั่นเพิ่มเติม ซึ่งมีอยู่ 3 กระแสในช่วงนี้ คือ 1. THAIESG X โดยแปลงกองทุน LTF เดิมที่มีมูลค่าราว 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งนักลงทุนต้องถือหน่วยลงทุน ต่อไปอีก 5 ปี และได้สิทธิลดหย่อนภาษี หักได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท 2. THAIESG วงเงินคูณ 2 ซื้อระยะ 2 เดือน ซึ่งเดิม THAIESG สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 3 แสนบาท ต่อปี จะสามารถหักลดหย่อนภาษีได้เป็นไม่เกิน 6 แสนบาทต่อปี ในช่วงเวลา 2 เดือนเท่านั้น 3. TISA (THAILAND INDIVIDUAL SAVINGS ACCOUNT) คือ การให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนหุ้นรายตัวได้ โดยเป็นการถือระยะยาว และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีบุคคลประจำปี ซึ่งมีเงื่อนไขว่าจะต้องถือครองหุ้น ไปจนถึงวัยเกษียณถึงจะขายหุ้นออกมาได้โดยไม่เสียภาษี คาดแล้วเสร็จภายใน 3-4 เดือนนับจากนี้ ซึ่งตลาด หุ้นญี่ปุ่นเคยทำมาก่อน ชื่อโครงการว่า NISA (NIPPON INDIVIDUAL SAVINGS ACCOUNT) ซึ่งทำให้ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นสดใส โดยปี 2023 ดัชนีขึ้น 28% แม้ EPS GROWTH จะ -14.4%YOY ก็ตาม INVESTMENT STRATEGY GLOBAL INDICES • SET ย่อตัวลงมาลึกเกินไปที่ 1200 จุด มี PBV68F 1.15 เท่า (-2SD) ต่ำสุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก (MSCI WORLD 2.97 เท่า) และ SET มี DIVIDEND YIELD 68F สูง 4.3% (+1SD) สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก (MSCI WORLD 2.0%) • ถ้ารัฐบาลและตลาดหลักทรัพย์ เร่งออกมาตการต่างๆ เรียกความเชื่อมั่น พร้อมกับเพิ่มสภาพคล่อง น่าจะเป็น จังหวะที่เหมาะสมที่สุด แนะนำทยอยสะสม 8 หุ้นปันผลเด่น เสริมพอร์ตในเชิงรับ • หุ้นปันผลถูกแสนถูก AP, SPALI, SCC, PTTEP เสริมพอร์ตไนเชิงรุก • หุ้น MEGA TREND ปันผลสูงขึ้นเรื่อยๆ BH, ITC, WHA, CPALL

หยวนต้าอัพกำไร AURA เล็งขึ้นค่ากำเหน็จ - เช็คด่วน!

หยวนต้าอัพกำไร AURA เล็งขึ้นค่ากำเหน็จ - เช็คด่วน!

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ปรับประมาณการกำไร AURA ขึ้นแบบ Conservative เป้าการเติบโตสูง แม้ว่ายัง Conservative ... มีแผนขึ้นค่ากำเหน็จ บริษัทตั้งเป้าขยายสาขาปี 2025 ทั้งหมด 156 สาขา เป็น 644 สาขา (ประมาณการใหม่ของเรา คาดสาขาใหม่ 80 สาขา รวม 568 สาขา) เป็นการขยายสาขาของร้านทอง 10 สาขา ขยายสาขาร้าน Jewelry ซึ่งเป็นสินค้า High margin อีก 46 สาขา (ทั้งนี้เพื่อขยายพื้นที่ขายครอบคลุมลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น) และสาขาของ "ทองมาเงินไป" อีก 100 สาขา เนื่องจากมีความต้องการสูง นอกจากนี้ สาขาทั้งหมดของบริษัทปัจจุบันยังครอบคลุมเพียง 50 จังหวัด จึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีก ผู้บริหารมีมุมมองต่อราคาทองในปี 2025 ว่ามีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงถึง Sideway up นอกจากนี้ การขึ้นค่ากำเหน็จของสมาคมค้าทองคำที่เริ่มใช้ตั้งแต่ 1 มี.ค. ร้านของ AURA มีโอกาสปรับขึ้นตามสมาคมค้าทองคำเช่นกัน โดยจะทยอยปรับขึ้นในอัตราสูงสุดไม่เกิน 300 บาท ต่อหนึ่งบาททองคำ ซึ่งจะมีส่วนช่วยหนุนการเติบโตของ GPM อีกราว 10% YoY ส่วนธุรกิจ "ทองมาเงินไป" ตั้งเป้า AR ณ สิ้นปี 2025 แบบ Conservative ที่ 6,500 ลบ. โดยธุรกิจนี้จะได้แรงบวกจากต้นทุนเงินทุนที่ลดลงตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย แต่อัตราดอกเบี้ยรับเท่าเดิม บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ในช่วง 3Q25 อีก ราว 2,000 ลบ. โดยมี Capacity ในการกู้ตาม Debt Covenant อีกราว 10,000 ลบ. ปรับประมาณการกำไรปี 2025 ขึ้น 18% เราปรับจำนวนสาขาที่ไม่รวมสาขา "ทองมาเงินไป" เป็น 308 สาขา ต่ำกว่าเป้าหมายบริษัทที่อยู่ที่ 334 สาขา และยังคาดสาขาใหม่ของ "ทองมาเงินไป" เพียง 50 สาขา จากเป้าหมายบริษัทที่ 100 สาขา คาดยอด AR สิ้นปี 2025 ที่ 6,110 ลบ. ทรงตัวจากประมาณการเดิมแต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ 6,500 ลบ. คาด GPM ที่ 11.0% หรือ 4,138 ลบ. เพิ่มจากประมาณการเดิม 6.9% เติบโต 12.8% YoY ต่ำกว่าคาดการณ์ของบริษัทที่ 20 – 30% YoY และคาดอัตราดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมเพียง 3% ขณะที่ดอกเบี้ยรับคาดเพิ่มขึ้น 8.3% เพราะคาดว่าต้นทุนเงินทุนของบริษัทจะลดลงเล็กน้อยในปี 2025 ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิในปี 2025 ปรับเพิ่มขึ้น 17.8% เป็น 1,323 ลบ. เติบโต 16.6% YoY ซึ่งยังมี Upside risk จาก 1) ยอด AR อาจสูงกว่าคาด และต้นทุนเงินทุนต่ำกว่าคาด 2) การขยายสาขาที่มากกว่าประมาณการของเราทำให้รายได้มี Upside risk 3) ค่ากำเหน็จที่จะเพิ่มขึ้นยังไม่รวมในประมาณการกำไรของเรา กำไรสุทธิ 1Q25 มีโอกาส New High … ราคาหุ้นไม่แพง … คงคำแนะนำ ซื้อ เราคาดกำไรสุทธิ 1Q25 จะเติบโต QoQ และ YoY และมีโอกาสลุ้นทำ New High ได้ เนื่องจากมีการรับซื้อจำนวนมากในช่วงก่อนหน้า และเมื่อราคาทองยังขึ้นต่อทำให้ลูกค้ามีการซื้อกลับเพิ่มขึ้นเช่นกันในช่วง 1Q25 และมีการขายทองส่วนเกินกลับให้ Dealer ในช่วงราคาสูง ทำให้ GPM สูง บริษัทจะประกาศแผน 3 ปี ในช่วงปลายเดือน มี.ค. นี้ คาดเป็นเชิงบวก ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER2025 ต่ำเพียง 16.6 เท่า ราคาเป้าหมายใหม่อิง PER ที่ 22 เท่า อยู่ที่ 21.50 บาท มี Upside gain 32.7% คงคำแนะนำ ซื้อ (EPS เรารวมผลของ ESOP จำนวน 20 ล้านหุ้นในปี 2025 แล้ว)

บล.กรุงศรี คาด SET “Sideways/Up” ลุ้นเคาะมาตรการ Digital Wallet เฟส 3

บล.กรุงศรี คาด SET “Sideways/Up” ลุ้นเคาะมาตรการ Digital Wallet เฟส 3

              หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น บล.กรุงศรี คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” แนวต้าน 1,212-1,227 จุด แนวรับ 1,195-1,187 จุด ทิศทางตลาดเป็นบวก 1) สหรัฐฯยอดจ้างงานนอกภาคเกษตรอยู่ที่ 1.51 แสนตำแหน่ง และต่ำคาดเล็กน้อย ขณะที่อัตราว่างงานขยับขึ้น 4.1% vs prev. 4.0% ลดความกังวลตลาดต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ หนุนจิตวิทยาลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงโลก แต่แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯไปในทาง Soft Landing เราประเมินมีโอกาสเริ่มทำให้เม็ดเงินลงทุนเริ่มหาโอกาสลงทุนในตลาดที่ยัง Laggard และมีปัจจัยเร่ง ภายใน 2.วันนี้ติดตามการประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดพิจารณามาตรการ อาทิ Digital Wallet Ph III, อสังหา และยานยนต์ 3.เม็ดเงินใหม่ภายใน ทั้ง ตลท. เตรียมเปิดโครงการออมเพื่อซื้อหุ้นไทยเน้นลงทุนระยะยาว (TISA) ผ่านการยกเว้นสิทธิ์ภาษีต่างๆ อิงต่างประเทศมักยกเว้นในส่วนภาษีกำไรและเงินปันผล และจะยิ่งสร้างความมั่นคงต่อ SET หากเงื่อนไขรับสิทธิ์ไม่ซับซ้อน และมีกลไกส่งเสริมเม็ดเงินอยู่ในตลาดในระยะยาว, รัฐฯ เตรียมออกมาตรการนาทีทอง ThaiESG เพิ่มวงเงินลดหย่อนพิเศษอีก 3 แสนบาท รวมฐานปกติจะสูง 6 แสนบาท               ประเมินหุ้นเด่น Domestic ที่มีปัจจัยเร่งในส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ วันนี้แนะนำ CPALL, AP, WHA

เปิด 10 หุ้น Deep Value รับอานิสงส์  Thai ESG จ่อลดหย่อนภาษีเพิ่ม

เปิด 10 หุ้น Deep Value รับอานิสงส์  Thai ESG จ่อลดหย่อนภาษีเพิ่ม

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ประเมินหุ้นไทย จากแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยอาจจะมีมาตรการชั่วคราว เพื่อกระตุ้นให้มีเม็ดเงินลงทุนใหม่ โดยให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมสำหรับกองทุน Thai ESG ปัจจุบันที่ หักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 3 แสนบาทต่อปีอยู่แล้ว ซึ่งหากนักลงทุนมีการซื้อหน่วยลงทุน Thai ESG เพิ่มในช่วงเวลาที่กำหนด เบื้องต้นคาดว่าจะให้เวลา 2 เดือน ก็จะหักลดหย่อนภาษีได้เพิ่มอีก 3 แสนบาท ทำให้รวมแล้วจะหักลดหย่อนภาษีได้ 6 แสนบาท ประเมินจิตวิทยาบวกต่อ SET และหุ้น Big Cap เน้น 10 หุ้น Deep Value ที่เราแนะนำ SCGP, HMPRO, CPALL, MINT, GPSC, BDMS, BBL,KBANK, BH, AOT

ASL คาด SET แกว่งตัว Sideway ชู OSP เด่นสุด

ASL คาด SET แกว่งตัว Sideway ชู OSP เด่นสุด

             หุ้นวิชั่น - บล.เอเอสแอล ประเมิน แนวโน้ม SET Index ประเมินว่าจะมีการแกว่งตัวในลักษณะ Sideway ในกรอบ 1,190-1,220 จุด ขานรับปัจจัยในประเทศที่เป็นบวก หลัง SET ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1,200 จุด จากมาตรการ TISA (Thai Individual Saving Account) ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการที่จะช่วยพลิกฟื้นตลาดหุ้น โดยให้คนไทยสามารถซื้อหุ้นไทยได้โดยตรงและนำมาหักลดหย่อนภาษี รวมถึงการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำธุรกิจในตลาดหุ้น เช่น การซื้อหุ้นคืน หรือ การนำบริษัทธุรกิจใหม่ๆ เข้าระดมทุนได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Big Cap.แต่ทั้งนี้ยังต้องติดตามว่าจะเริ่มการศึกษาหรือจะผ่านการพิจารณาที่ประชุม ครม. เมื่อไหร่              นอกจากนี้ยังมีรายงานเงินเฟ้อ ก.พ. ที่ไทยอยู่ที่ 1.08%YoY ซึ่งต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ส่งผลให้ตัวเลขเงินเฟ้อในช่วง 2M25 อยู่ที่ 1.2% ส่วนแนวโน้มในเดือนมี.ค.คาดว่าจะใกล้เคียงกับเดือนก.พ. จากราคาพลังงานในประเทศและอาหารสดที่ลดลง ด้านแนวโน้มใน 2Q25 คาดว่าจะชะลอตัวลงเหลือ 0.5% จากผลกระทบของราคาพลังงาน ส่วนทั้งปีคาดว่าจะอยู่ในช่วง 0.3-1.3%              ทั้งนี้ เรามองว่าแนวโน้มเงินเฟ้อยังอยู่ในช่วงขอบล่างของเป้าหมาย ธปท. ที่ 1-3% และ real yield ปัจจุบันยังเป็นบวก ซึ่งเปิดโอกาสให้ ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบายได้อีกครั้ง ซึ่งเราคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 2H25 เราชอบกลุ่มเช่าซื้อ (MTC, SAWAD) และบริษัทที่มีหนี้สูง (ADVANC, GULF, CPALL)              ด้านปัจจัยต่างประเทศ ตัวเลข Nonfarm Payroll ต่ำกว่าคาด และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.1% ซึ่งสร้างความกังวลเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ แต่ได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ทรัมป์ผ่อนปรนภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกเป็นเวลา 4 สัปดาห์ และพาวเวลยังคงให้มุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ โดยไม่รีบลดดอกเบี้ย แต่ยังคงกังวลต่อนโยบายของทรัมป์ ขณะที่จีนได้รายงานเงินเฟ้อในเดือนก.พ. โดย PPI อยู่ที่ -2.2%YoY, -0.2%MoM และ CPI อยู่ที่ -0.7%YoY, -0.2%MoM ติดตาม: ถ้อยแถลงของพาวเวล, เงินเฟ้อสหรัฐฯ คาดว่ายังทรงตัวจากเดือนก่อน Stock Pick: OSP ราคาปัจจุบันเหมาะสมที่จะซื้อสะสมในระยะกลาง-ยาว เป้าเชิงกลยุทธ์ที่ 17.60 บาท

"เอเซียพลัส" คัด 20 หุ้น แนะทยอยสะสม หุ้นใหญ่ปันผลสูง

         หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ตลาดหุ้นปั่นป่วนหนัก แต่ระดับปันผลก็อยู่บริเวณที่น่าสนใจ วานนี้ PROGRAM TRADE ขายหุ้นไทยหนัก -6 พันล้านบาท และ -2.59 หมื่นล้านบาท (YTD) เช่นเดียวกับต่างชาติ วานนี้ขายหุ้นไทย -4.7 พันล้านบาท, และ -2.38 หมื่นล้านบาท (YTD) เม็ดเงินที่ยังไหลออกเยอะคอยกดให้ตลาดหุ้น ไทยปั่นป่วนขึ้นยาก           ภาวะตลาดหุ้นผันผวน หุ้นปันผลมักผันผวนน้อยกว่า สะท้อนได้จาก SETHD -6.7%YTD, SET -15%YTD อีกทั้ง SET INDEX ยังมี DIVIDEND YIELD สูงถึง 4.2% (+2SD)           กลยุทธ์แนะทยอยสะสมหุ้นใหญ่ปันผลต่อปีสูง อย่าง TOP 9.5%, SCB 8.8%, TISCO 7.9%, PTT 6.3%, LH 7.6%, WHA 6.2%, SCC 5.1% และหุ้นอื่นๆ ตามตารางด้านล่าง           บล.เอเซียพลัส ระบุ ภาวะตลาดหุ้นผันผวน หุ้นปันผลมักผันผวนน้อยกว่า สะท้อนได้จาก SETHD -6.7%YTD, SET -15%YTD อีกทั้ง SET INDEX ยังมี DIVIDEND YIELD สูงถึง 4.2% (+2SD) กลยุทธ์แนะทยอยสะสมหุ้นใหญ่ปันผลต่อปีสูง ใน SET50 ที่มี DIVIDEND YIELD 25F > 5% ประกอบด้วย TOP 9.5%, SCB 8.8%, TISCO 7.9%, LH 7.6%, BANPU 7.6%, TTB 7.6%, RATCH 6.9%, EGCO 6.8%, KBANK 6.4%, PTT 6.3%, WHA 6.2%, OSP 6.2%, INTUCH 6.1%, KTB 5.8%, TU 5.8%, PTTGC 5.7%, ITC 5.7% , BBL 5.4%, HMPRO 5.3% และ SCC 5.1%

เช็กหุ้นแบงก์-ไฟแนนซ์ จ่อยืดเวลา จ่ายขั้นต่ำ 8%

เช็กหุ้นแบงก์-ไฟแนนซ์ จ่อยืดเวลา จ่ายขั้นต่ำ 8%

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี มีมุมมองเป็น slightly positive ต่อกลุ่มบัตรเครดิต (KTC, AEONTS) ต่อข่าวการเตรียมหารือการผ่อนปรนอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิตที่ 8% ออกไปอีก จากปัจจุบันถึงสิ้นปี 2025 เพราะเราคาดว่าจะชะลอการตกชั้นของลูกหนี้ ทำให้ชะลอการเพิ่มของค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) และ NPL รวมถึงสถาบันการเงินจะมีรายได้ดอกเบี้ย (NII) เพิ่มขึ้น เราจัดเรียงลำดับสถาบันการเงินที่มีสินเชื่อบัตรเครดิตมากไปน้อย ดังนี้: กลุ่มธนาคาร: ภาพรวมแต่ละธนาคารมีสินเชื่อบัตรเครดิตไม่เกิน 5% กลุ่มเงินทุนผู้บริโภค: KTC (66%), AEONTS (44%) สำหรับ MTC / SAWAD / THANI / MICRO ไม่มีสินเชื่อประเภทดังกล่าว แม้ว่า KTC จะมีสัดส่วนสินเชื่อบัตรเครดิตที่สูงกว่า AEONTS แต่เรามองว่า AEONTS จะได้ประโยชน์มากกว่า KTC เพราะลูกหนี้ของ AEONTS ส่วนใหญ่ชำระที่อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ เราคงน้ำหนักการลงทุนเป็น NEUTRAL สำหรับกลุ่มธนาคาร และคง KBANK (BUY, TP 178 บาท) และ KTB (BUY, TP 27 บาท) เป็น Top Pick เราคงน้ำหนักการลงทุนเป็น NEUTRAL สำหรับกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ และคง MTC (BUY, TP 58 บาท) เป็น Top Pick

จัดเต็ม 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร ตามปัจจัยพื้นฐาน 

จัดเต็ม 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร ตามปัจจัยพื้นฐาน 

        หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ จัดเต็ม 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร ตามปัจจัยพื้นฐาน โดยแนะนำ BTG (เป้าพื้นฐาน 23.9 บาท)* รูปแบบราคาฟื้นตัวลุ้นทดสอบค่าเฉลี่ย 200 วัน ประเมินแนวรับ 19.5 บาท / แนวต้าน 19.9 – 20.4 บาท หาก Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไปที่ +/- 21 บาท (Trailing stop 19.3 บาท) ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน 1Q68 ดีต่อเนื่อง รายงานกำไร 4Q67 ดีตามคาด และประเมินแนวโน้มอัตรากำไรใน 1Q68 ยังสูงต่อเนื่องจากอัตรากำไรธุรกิจเนื้อสัตว์ในประเทศที่สูงขึ้น (ราคาเนื้อหมูทรงตัวสูง ล่าสุดราคาเนื้อหมูยังขึ้นต่ออีก / ส่งออกไก่โต) ขณะที่ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ + กากถั่วเหลืองในประเทศปรับตัวลงทำจุดต่ำใหม่ Valuation ไม่แพง Forward PE +/- 9.5 เท่า ขณะที่คาดกำไรปีนี้โตต่อ +60% YoY (เด่นสุดในกลุ่มฯ) STECON (เป้าพื้นฐาน 8.5 บาท) รูปแบบราคาฟื้นตัวจาก Oversold ขณะที่รูปแบบราคารายสัปดาห์ Bullish divergence (RSI) ประเมินแนวรับ 5.1 บาท / แนวต้าน 5.4 – 5.8 บาท หาก Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไปที่ +/- 6.25 บาท (Stop loss 4.78 บาท) คาดแนวโน้มกำไร 1Q68 พลิก Turnaround คาดแนวโน้มกำไร 1Q68 จะ Turnaround เป็นกำไรได้จาก i) รายได้ปันผล GULF* +/- 220 ล้านบาท ii) คาดจะไม่มีการบันทึกผลขาดทุนทางบัญชีจำนวนมากเช่นใน 4Q67 และลุ้นบันทึกกำไรพิเศษจากเงินเคลมประกันโครงการหนองบอน กำไรปีนี้ Turnaround Valuation ไม่แพง Forward PE 10.5 เท่า และ PBV ต่ำเพียง 0.46 เท่า เทียบเท่าระดับต่ำสุดในช่วงวิกฤตปี 2008 BA (เป้า Consensus 27 บาท)* รูปแบบราคาแกว่งตัว Sideway หลังทดสอบค่าเฉลี่ย 200 วัน ลุ้นแกว่งตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน ประเมินรับ 21.1 บาท / แนวต้าน 21.6 – 21.9 บาท หาก Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไปที่ +/- 22 บาท (Trailing stop 20.7 บาท) ประเมินมีโอกาสเห็นการ Switching จาก AOT* Thailand in focus7 มีนาคม 2568

“อโกด้า”ชูไทยสตรีทฟู้ดยืนหนึ่งในเอเชีย ERW-MINT-CPALL-CPAXTตีปีก

“อโกด้า”ชูไทยสตรีทฟู้ดยืนหนึ่งในเอเชีย ERW-MINT-CPALL-CPAXTตีปีก

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า Tourism : “อโกด้า” สำรวจความเห็นนักท่องเที่ยวทั่วโลก ยกให้ “ไทย” เป็นสตรีทฟู้ดที่โด่งดังและขึ้นชื่อมากที่สุดในเอเชีย นอกจากนี้ นายกฯ เข้าร่วมงานเวทีท่องเที่ยวโลก ITB Berlin 2025 เปิดมิติใหม่ทางการตลาด ชูเมืองน่าเที่ยว 18 จังหวัดเสนอขายระดับโลก สร้าง Grand Moment ดันไทยเป็นฮับการบินและ Wellness and Medical Hub ประเมินสัญญาณดังกล่าวมีโอกาสช่วยค่อยๆ พลิกฟื้นภาพท่องเที่ยวไทยที่ก่อนหน้านี้ออกไปในทางลบ เช่น กรณีนักท่องเที่ยวจีนที่กังวลความปลอดภัยและกรณีส่งกลับชาวอุยกูร์ โดยประเมินบวกต่อ ERW, MINT, CPALL, CPAXT

KSS คาด SET Sideways Up มองต้าน 1,215-1,225 จุด

KSS คาด SET Sideways Up มองต้าน 1,215-1,225 จุด

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาดเ SET วันนี้คาดว่าเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways/Up แนวต้านอยู่ที่ 1,215/1,225 จุด และแนวรับที่ 1,195/1,185 จุด ตลาดยังอยู่ในโซน Deep Value ขณะที่ปัจจัยกดดันเริ่มลดลงจากหลายด้าน เช่น การเลื่อนขึ้นภาษีรถยนต์ของแคนาดาและเม็กซิโกออกไป 1 เดือน เศรษฐกิจสหรัฐฯ ทรงตัวได้จาก PMI ภาคบริการ (ISM) เดือนกุมภาพันธ์ที่ออกมาดีกว่าคาดเล็กน้อย และการรอติดตามตัวเลขภาคแรงงานปลายสัปดาห์               ตลาดเงินทุนเริ่มกลับเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยง หลังจากก่อนหน้านี้โยกไปสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้ Dollar Index อ่อนค่า และ US Bond Yield ปรับขึ้น ด้านจีนตั้งเป้า GDP ปีนี้ที่ 5% สูงกว่าที่ Consensus คาดไว้ที่ 4.5% และเน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการบริโภคและเทคโนโลยี ซึ่งช่วยหนุนเศรษฐกิจเอเชีย ภายในประเทศ แผนเศรษฐกิจเริ่มเน้นแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ขณะที่มีสัญญาณบวกจากการหารือของพรรคร่วมรัฐบาล               หุ้นเด่นวันนี้ ได้แก่ กลุ่ม Deep Value เช่น SCGP, HMPRO, CPALL, MINT, GPSC, BDMS, BH, BBL, KBANK, AOT รวมถึงกลุ่ม Rebound Plays ที่ฟื้นตัวต่ำกว่า SET และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับจีน นอกจากนี้ กลุ่ม Domestic Plays เช่น ธนาคารและค้าปลีกยังได้อานิสงส์จากมาตรการรัฐและราคาน้ำมันที่ลดลง แนะนำ KCE (Trading), CPALL และ BTS

ASL คาด SET แกว่งตัว Sideways กรอบ 1,200-1,220 จุด ชู BJC เด่น!

ASL คาด SET แกว่งตัว Sideways กรอบ 1,200-1,220 จุด ชู BJC เด่น!

            หุ้นวิชั่น - บล.เอเอสแอล คาดแนวโน้ม SET Index ประเมินแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,200-1,220 จุด ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ได้ตกลงที่จะเลื่อนเวลาการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากแคนาดาและเม็กซิโกออกไปอีก 1 เดือน ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA)             โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้นักลงทุนรับรู้ได้ว่าทำเนียบขาวกำลังตอบสนองต่อแรงกดดันที่เกิดขึ้นในตลาด และต่างก็คาดหวังว่าทำเนียบขาวจะเร่งปรับนโยบายตามความจำเป็นเพื่อลดความตื่นตระหนกในตลาด ทั้งนี้มีการรายงานการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ จาก ADP เพิ่มขึ้นเพียง 77,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 24 และต่ำกว่าคาด ดัชนีภาคบริการ ก.พ. จาก ISM ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.5, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน ม.ค. เพิ่มขึ้น 1.7% สูงกว่าที่คาดและพลิกกลับมาเป็นบวกหลังจากหดตัว 0.6% ในเดือนธ.ค. 24             ทั้งนี้ตลาดติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 156,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. หลังจากเพิ่มขึ้น 143,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.0% ในเดือนก.พ. นอกจากนี้ยังติดตามการประชุม ECB ในวันนี้ คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25%             ปัจจัยในประเทศ SET กลับมายืนเหนือระดับ 1,200 จุด มีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่หนุนดัชนี ประกอบกับตลาดคลายกังวลปัจจัยสงครามการค้าลงบ้างเมื่อสหรัฐแสดงท่าทีประนีประนอมผ่านการเจรจา ซึ่งเป็นปัจจัยที่หนุนสำคัญ รวมถึงรับ sentiment บวกจากการประชุม 2 สภาของจีนที่มีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และตั้งเป้า GDP ปี 2025 ขยายตัว 5% และการปรับลดดอกเบี้ยและอัตราส่วนการกันสำรอง (RRR) สำหรับธนาคารพาณิชย์ หนุนกลุ่ม China play             ติดตาม: เงินเฟ้อ ก.พ. ไทย, ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ, การประชุม ECB             Stock pick: BJC คาดกำไรสุทธิปีนี้เติบโตเด่น เป้าเชิงกลยุทธ์ที่ 23.10 บาท

คัด 3 หุ้นเด่น ตามปัจจัยพื้นฐาน แนะเก็งกำไร

คัด 3 หุ้นเด่น ตามปัจจัยพื้นฐาน แนะเก็งกำไร

          หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ คัด 3 หุ้นเด่น ตามปัจจัยพื้นฐาน โดยแนะนำเก็งกำไร TFG, BA, CHG TFG ให้เป้าพื้นฐาน 5.25 บาท จากรูปแบบราคา Sideway up ทะลุค่าเฉลี่ย 200 วัน ประเมินแนวรับ 4.0 บาท / แนวต้าน 4.26 – 4.44 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 4.6 บาท (Stop loss 3.74 บาท) ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน 1H68 ดี จากราคาเนื้อหมูดี วัตถุดิบอาหารสัตว์ลง ราคาเนื้อหมูไทยยังดี เนื้อหมูเวียดนามเริ่มฟื้นมาตั้งแต่เดือน ม.ค.68 (+3%) ขณะที่วัตถุดิบอาหารสัตว์ลงแรง (ข้าวโพด กากถั่วเหลือง) Valuation ไม่แพง Forward PE 6.4 เท่า PBV 1.46 เท่า (-2 S.D.) ขณะที่เราประเมินมีโอกาสที่จะมีการ Switching หรือเปลี่ยนตัวเล่นจาก CPF* มายังหุ้นอื่นๆ ในกลุ่ม เช่น TFG, BTG* จากประเด็น ESG (กรณีศาลฯ รับฟ้องคดีปีลาหมอคางดา) BA ให้เป้า Consensus ที่ 27 บาท จากรูปแบบราคาแกว่งตัว Sideway หลังทดสอบค่าเฉลี่ย 200 วัน ลุ้นแกว่งตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน ประเมินรับ 19.8 บาท / แนวต้าน 20.7 – 21.1 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 21.6 บาท (Stop loss 19.6 บาท) ประเมินมีโอกาสเห็นการ Switching จาก AOT* มายังหุ้นสายการบินตัวอื่นที่ยังแข็งแกร่ง จากสถานการณ์ล่าสุดของ AOT* ที่มีปัจจัย Overhang เรื่องของธุรกิจ Non-aero โดยเฉพาะพื้นที่สัมปทานของ King Power ขณะที่การท่องเที่ยวไทยยังโตเด่น เราคาดมีโอกาสที่จะมีการ Switching หรือปรับพอร์ตของนักลงทุนสถาบันมายังหุ้นสายการบินที่คาดกำไร 1Q68 จะโตดีต่อเนื่อง อย่าง BA* (คาดได้ประโยชน์จาก High season / กระแสซีรีส์ The White Lotus / ค่าตั๋วแพงแต่ราคาน้ำมันลง) CHG ให้เป้าพื้นฐาน 3.62 บาท จากรูปแบบราคา Rebound กลับและเริ่มทรงตัวหลัง Panic sell ประเมินแนวรับ 2.04 บาท / แนวต้าน 2.2 – 2.34 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 2.5 บาท (Stop loss 1.97 บาท) ฝ่ายวิจัยประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุด คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานจะเริ่มฟื้นตัวใน 1Q68 โดยคาดรายได้ประกันสังคมจะฟื้นตัวกลับมา หลังจากการปรับค่ารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ขึ้นสำหรับปี 2568  Valuation ต่ำ Forward PE +/- 16 เท่า ขณะที่คาดกำไรปีนี้จะกลับมาโตแรง 20 – 30% YoY / PBV 3 เท่า ต่ำสุดตั้งแต่ IPO

เปิดหุ้นเด่นกับ บล.ฟิลลิป ลงทุนช่วงกังวลสงครามการค้า

เปิดหุ้นเด่นกับ บล.ฟิลลิป ลงทุนช่วงกังวลสงครามการค้า

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.ฟิลลิป คาด SET Index ร่วงลงและอยู่ในแดนลบ: แรงกดดันจากความกังวลมาตรการภาษีนำเข้าและภาคการผลิตที่อ่อนแอของสหรัฐฯ รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลง หากแต่พอมีแรงพยุงจากความหวังต่อมาตรการกระตุ้นตลาดทุนในประเทศ และหวังเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาคกระตุ้นเศรษฐกิจ              • กังวลมาตรการภาษีนำเข้าเขย่าโลก: คาด SET Index จะเผชิญแรงขายลดสถานะเสี่ยงเพื่อเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย สอดรับกับ DowJones, S&P500 และ Nasdaq ที่ปรับตัวลง 1.48%, 1.76% และ 2.64% ตามลำดับ เมื่อคืนที่ผ่านมา สวนทางกับราคาทองคำ COMEXที่เพิ่มขึ้น 1.85% ปิดที่ $2,901.1 ต่อออนซ์ หลังปธน.สหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ยืนยันเมื่อวานนี้ว่าสหรัฐฯ จะดำเนินการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% ตั้งแต่วันนี้ โดยระบุว่า ทั้งสองประเทศไม่มีช่องทางที่จะสามารถหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีได้อีก และยังยืนยันว่าจะเริ่มใช้มาตรการ Reciprocal Tariffs กับทุกประเทศที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. 68 เป็นต้นไป ขณะที่คืนนี้ติดตามการกล่าวสุนทรพจน์ของปธน.สหรัฐฯ ต่อที่ประชุมร่วมวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งอาจเผยถึงความชัดเจนของมาตรการทางการค้าเพิ่มเติม นอกจากนี้ข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความอ่อนแอของภาคการผลิตสหรัฐฯ ยังเป็นอีก Sentiment ทางลบ หลัง PMI ภาคการผลิตเดือน ก.พ. 68 จาก ISM อยู่ที่ 50.3 ซึ่งต่ำกว่าตลาดและเดือน ม.ค. 68 ที่ 50.6 และ 50.9 ตามลำดับ              • ราคาน้ำมันดิบร่วงเกือบ 2%: ความกังวลข้างต้น รวมถึงการที่ OPEC+ ได้ประกาศเมื่อวานว่า ทางกลุ่มได้ตัดสินใจที่จะเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจ 2.2 ล้านบาร์เรล/วัน ตั้งแต่เดือนเม.ย. 68 ตามแผนที่วางไว้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลง 1.99% ปิดที่ 68.37 ต่อบาร์เรล ทางฝ่ายจึงมองเป็นแรงกดดันต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งมีแนวโน้มเปิดร่วงลงในวันนี้              • หวังมาตรการกระตุ้นตลาดทุนไทย: แรงพยุงคาดมาจากความหวังต่อเม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบัน หลัง 1) รองนายกฯ และรมว.คลังเผยพร้อมเสนอครม.พิจารณามาตรการสนับสนุนตลาดทุน โดยให้ผู้ที่ถือ LTF ที่ครบกำหนดการไถ่ถอนสามารถโอนหน่วยลงทุนไปกองทุนใหม่ในกองทุน ThaiESG2 และสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีสูงสุด 5 แสนบาท และ 2) นายกสมาคมบลจ. เผย VAYU พร้อมเร่งลงทุนหุ้นไทย และย้ำว่าเงินที่พักไว้ในตราสารหนี้สามารถลงทุนหุ้นได้ทันที นอกจากนี้ ติดตามการประชุม 2 สภาของจีน ซึ่งอาจเผยถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยวันนี้เริ่มที่การประชุมสภาที่ปรึกษาทางการเมืองจีน (CPPCC) หุ้นเด่น: 1. ท่องเที่ยว: CENTEL, ERW, MINT 2. Dividend: AP, KKP, KTB, LHHOTEL, LHSC, NER, SCB, SPALI, TCAP, TTW 3. Defensive: BCH, BDMS, BH, PR9 4. Selective: BCP, CPF, TFG 5. Short sell: BGRIM, CBG, HANA, IVL, OR, ORI, PTTGC, WHA Picks of the day CENTEL - SCB

KSS คาด SET วันนี้ “พยายามสร้างฐาน” ทรัมป์ เริ่มใช้กำแพงภาษีนำเข้าฯ กดดัน

KSS คาด SET วันนี้ “พยายามสร้างฐาน” ทรัมป์ เริ่มใช้กำแพงภาษีนำเข้าฯ กดดัน

              หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี คาด SET วันนี้ “พยายามสร้างฐาน” แนวต้าน 1,200-1,209 จุด แนวรับ 1,178-1,173 จุด ปัจจัยกำหนดทิศทางตลาดวันนี้ 1.) สหรัฐฯเริ่มใช้กำแพงภาษีนำเข้าเม็กซิโก แคนาดา 25% และจีนเพิ่มอีก 10% (อิง Krungsri Research มาตรการนี้ ยังกระทบเศรษฐกิจไทยจำกัด) สร้างความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้กระแสเงินระยะสั้นเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยเช่น US Bond Yield 10ปี ร่วงลง -5 bps สู่ 4.15% ราคาทองคำ +1.22% 2.) Dollar Index ที่อ่อนค่าตอบรับตลาดเปลี่ยนมุมมองดอกเบี้ยปีนี้จะลง 3ครั้ง สอดคล้องมุมมองของเราที่คาดลด 2ครั้ง+ อาจเป็นจุดบวกต่อ EMs 3.) OPEC+ เตรียมเพิ่มกำลังผลิต เม.ย. 25 อีก 1.38 แสนบาร์เรล กดน้ำมันลงเฉลี่ย -1.8% 4.) วันนี้การประชุม Two-session จีน หนุนจิตวิทยาฝั่งเอเชีย 5.) ภายในรัฐฯ เริ่มแผนยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน อิง New s-curve ระยะยาว นำโดย Entertainment Complex พรบ. ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Landbridge) เป็นบวกระยะยาว และ 6.) SET ยังย่ำใน Deep Value Zone คือ มี Current ERP 4.5% > AVG + 1 S.D. (หากไม่รวมขาดทุนจากรายการพิเศษ จะสูง 4.9% ใกล้ + 2 S.D.) ยังแนะนำซื้อเพื่อระยะกลาง-ยาว อย่างมั่นคง กลยุทธ์วันนี้เลือกหุ้น Domestic ที่อิงประโยชน์ Yield ลง ผสานกลุ่ม Defensive, High Yield และกลุ่มอิงบวกจากกำแพงภาษี(สื่อสาร ร.พ. REIT นิคม)          วันนี้แนะนำ GULF, MTC, AP

จับตาโครงการ รถเก่าแลกซื้อรถใหม่ คัด 7 หุ้นเด่น รับอานิสงส์

จับตาโครงการ รถเก่าแลกซื้อรถใหม่ คัด 7 หุ้นเด่น รับอานิสงส์

              หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี จับตาประเด็น จากสำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน โดยอ้างแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมยานยนต์ว่า รัฐบาลไทย อยู่ระหว่างการหารือเบื้องต้นกับกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์เพื่อออก"โครงการรถเก่าแลกซื้อรถใหม่และกำจัดซากรถเก่า" หวังช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่กำลังเผชิญวิกฤต แม้ยังต้องติดตามลักษณะ มาตรการอีกครั้ง แต่ประเมินสร้างความคาดหวังเชิงบวกต่อจุดเริ่มฟื้นตัวของภาคผลิตไทย และหุ้นใน Ecosysytem ยานยนต์ ดังนี้ หุ้นในกลุ่มยานยนต์ ลุ้นได้รับคำสั่งซื้อชิ้นส่วนฯเพิ่มขึ้น SAT, STANLY, AH หุ้นในกลุ่มธนาคาร ที่เน้นสินเชื่อเช่าซื้อรถ ลุ้น Upside สินเชื่อ+คุณภาพสินทรัพย์ที่คาดชะลอการลดลงของราคารถมือ 2 อาทิ TISCO, KKP และหากมาตรการมีนัยฯจะหนุน Ecosystem หุ้นที่มีสินเชื่อ SMEs สูง ซึ่งบางส่วนเป็นการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อาทิ KBANK SCB หุ้นในกลุ่มเช่าซื้อ

“อินโนพาวเวอร์” บุกตลาดไฟฟ้าสะอาด วางเป้าปี 68 โต 38%

“อินโนพาวเวอร์” บุกตลาดไฟฟ้าสะอาด วางเป้าปี 68 โต 38%

            หุ้นวิชั่น - “อินโนพาวเวอร์” เดินหน้ายึดตลาด RECs ผ่านกลยุทธ์ “พันธมิตรพิชิตคาร์บอน (Decarbonization Partner)” ชี้ตลาดรับรองไฟฟ้าสะอาดโตต่อเนื่องตามเทรนด์โลก  พร้อมวางเป้าหมายปี 68 โตอีกกว่า 38% พร้อมขยายการให้บริการจากภาคองค์กรขนาดใหญ่ (Corporate) ไปสู่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) รวมถึงบุคคลทั่วไป เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดอย่างครอบคลุมทุกภาคส่วน คาดสิ้นปี 2568 ธุรกิจจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมาได้รวมราว 4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า             นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด  เปิดเผยว่า การผลักดันแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Economic & Society) ของกลุ่มประเทศผู้นำเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ตลาดของการรับรองพลังงานหมุนเวียนและไฟฟ้าสีเขียวภายในไทยเติบโตแบบก้าวกระโดด และส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัท โดยในปี 2567 เบื้องต้นบริษัทมีรายได้รวม 288.9 ล้านบาท ขยายตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า 92% และเริ่มมีกำไรสุทธิแล้ว ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ 1 ปี             ทั้งนี้ ผลประกอบการเติบโตมาจากผลิตภัณฑ์หลัก 3 โซลูชันที่มีส่วนสำคัญในการสร้างรายได้ ได้แก่ (1) การซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC) (2) โซลูชันด้านเทคโนโลยีพลังงาน เช่น ธุรกิจให้บริการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar EPC) และ (3) โซลูชันด้าน Mobility เช่น ธุรกิจให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า (EV Fleet) และ ธุรกิจติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้าครบวงจรที่ตอบสนองความต้องการพลังงานสะอาดและสอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้เชิงบวกที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทกำลังก้าวเดินอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง เพื่อรองรับโอกาสและความท้าทายในตลาดเทคโนโลยีพลังงานที่กำลังเติบโต             สำหรับปี 2568 บริษัทได้วางเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 400 ล้านบาท ขยายตัวประมาณ 38% เมื่อเทียบกับปี 2567 และจะเพิ่มพันธมิตรธุรกิจได้มากกว่า 30% โดยจะขยายกลุ่มเป้าหมายสู่กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมเพิ่ม ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1.5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เมื่อรวมยอดสะสมตั้งแต่ปี 2565 จะรวมลดคาร์บอนได้ราว 4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยบริษัทยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ ‘พันธมิตรพิชิตคาร์บอน’ ซึ่งเน้นการเป็นพันธมิตรที่ช่วยให้ลูกค้าลดคาร์บอนอย่างยั่งยืน โดยครอบคลุมความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจร (End-to-End Solution) โซลูชันใหม่ที่บริษัทเปิดตัวในเดือนมกราคม คือ ธุรกิจที่ปรึกษาและบริการด้าน Decarbonization ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการสนับสนุนกลยุทธ์ โดยให้คำปรึกษาเชิงลึกด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ครอบคลุมตั้งแต่ การคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การวางกลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซ การทวน และการให้คำปรึกษาด้านพลังงาน เพื่อสนับสนุนองค์กรต่าง ๆ ในการบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพ             ในเดือนมีนาคมนี้ บริษัทจะเปิดตัวธุรกิจ REC Aggregator ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการตรวจรับรอง REC เพื่อรองรับทั้งผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจที่ติดตั้ง Solar Rooftop โดยผู้เข้าร่วมโครงการนี้จะสามารถแปลงปริมาณไฟฟ้าสะอาดที่ผลิตได้เป็น REC ผ่านแพลตฟอร์มของบริษัท ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้พลังงานสะอาดผ่านการซื้อขายในตลาดพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทได้ร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อขยายการรับรู้และเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแพลตฟอร์ม พร้อมตั้งเป้าหมายเปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถใช้งานได้ นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัวธุรกิจการซื้อขายและบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า โดยต่อยอดจากความเป็นผู้นำด้าน REC โดยคาดว่าในไตรมาสที่ 3 จะเปิดบริการ Carbon Credit Aggregator ซึ่งบริษัทจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรวบรวมคาร์บอนเครดิตจากการชาร์จไฟฟ้าจากเครื่องชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charger) และนำไปซื้อขายในตลาดคาร์บอน             ในเฟสต่อไปของโครงการ มีแผนที่จะต่อยอดสู่ผู้ใช้รถ EV โดยทุกระยะทางการขับขี่จะสามารถแปลงเป็นคาร์บอนเครดิตและนำไปขายได้ ซึ่งโครงการนี้จะช่วยทำให้การเข้าถึงพลังงานสะอาดเป็นเรื่องง่ายและ ใกล้ตัวทุกคนมากขึ้น โดยมุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่ในเชิงธุรกิจเท่านั้น             “การขยายบริการด้าน Decarbonization ไปสู่รายย่อยจะช่วยเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดเทคโนโลยีพลังงานที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และด้วยกลยุทธ์ ‘Decarbonization Partner’ บริษัทมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในตลาดคาร์บอนต่ำและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างยั่งยืน” นายอธิปกล่าวในท้ายที่สุด

“เอเซียพลัส” คัด 19 หุ้นเด่น ได้ประโยชน์ลดดอกเบี้ย

“เอเซียพลัส” คัด 19 หุ้นเด่น ได้ประโยชน์ลดดอกเบี้ย

           หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส มอง SET เริ่มรีบาวน์ ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิ และซื้อหุ้นไทยเด่นกว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค วันนี้ประเด็นการลดดอกเบี้ยของกนง. หนุนให้ SET Index ฟื้นแรง 24.75 จุด มาอยู่ที่ 1231.14 จุด พร้อมกับมูลค่าซื้อขาย 6.2 หมื่นล้านบาท (เป็นมูลค่าซื้อขายภายในวันเดียวที่สูงสุดในปีนี้) ถือว่าการฟื้นตัวเริ่มได้ดี หลังจากปีนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาลึกมากเป็นอันดับ 1 ของโลก -12.1% และยังลงแรงกว่าตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคมาก ที่สำคัญคือ วันนี้นักลงทุนต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทย 2.06 พันล้านบาท หนุนเดือน ก.พ. (MTD) ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยเพียงแห่งเดียวในภูมิภาค 25 ล้านเหรียญ และหนุนยอดขายสุทธินับตั้งแต่ต้นปี (YTD) -306 ล้านเหรียญ หรือแทบจะน้อยสุดในภูมิภาค สรุปคือ SET Index ลงมาลึก ต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อชัดกว่าตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ พร้อมกับมูลค่าซื้อขายหนาแน่นขึ้น เชื่อว่าจะมีแรงผลักดันให้ SET Index ทยอยขึ้นต่อได้ ส่วนหุ้นเด่น แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย: หุ้นการเงิน: SAWAD, TISCO, MTC, TIDLOR หุ้นปันผล: INTUCH, CPN, LH, SPALI, SIRI, SC, AP หุ้นรับประโยชน์จากอัตราเงินบาทอ่อน: AOT, ITC, ERW, TU, CENTEL, CPF หุ้น Net Debt: CPALL, MINT

ASL คาด SET “แกว่งตัว Sideway” ชู PR9 หุ้นเด่น  

ASL คาด SET “แกว่งตัว Sideway” ชู PR9 หุ้นเด่น  

            หุ้นวิชั่น -บล.เอเอสแอล ประเมินแนวโน้ม SET Index แนวโน้ม SET Index ประเมินแกว่งตัว Sideway ในกรอบ 1,200-1,228 จุด โดย ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นเล็กน้อย หลังมีรายงานว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ร่วงลงอย่าง หนักในเดือนก.พ. ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ส่งผลต่อนักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างเห็นได้ชัดซึ่งสะท้อนผ่าน VIX index ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง บริษัทจำนวนมากมีความกังวลเกี่ยวกับทิศทางการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีการเปิดเผยล่าสุดถือเป็นหลักฐานที่ยืนยันในเรื่องนี้ทั้งนี้ตลาดติดตามเงินเฟ้อPCE ม.ค., การควบคุมส่งออกชิปของ NVIDIA ไปจีน และการบบรลุข้อตกลงทรัพยากรแร่ของสหรัฐฯและยูเครน             สำหรับปัจจัยในประเทศ เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย Earnings season และการให้ outlook ของผู้บริหาร ที่อาจสร้างความผันผวนของราคาหุ้นรายหลักทรัพย์ทั้งนี้หุ้นที่รายงานงบดีกว่าคาดได้แก่ CENTEL AAV SPALI CPALL HMPRO ส่วนต่ำคาดได้แก่ AAI PTG ขณะที่ตัวเลขส่งออก ม.ค. ที่ขยายตัวสูงกว่าคาด (7-8%YoY) มาที่ 13.6%YoY โดดเด่นในสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรม เนื่องจากมีdemand ที่เร่งตัวตามความกังวลด้นสงครามการค้า             ส่วนโมเมนตัมใน 1Q คาดว่าจะขยายตัวดีต่อเนื่องราว 7-10% ส่วนภาพทั้งปีขยายตัว 2-3% นอกจากนี้อาจเห็นความผันผวนของหุ้นที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะมีการประชุม กนง. ในวันนี้โดยคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยแต่อาจส่งสัญญาณการปรับลดตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และความเสี่ยงจากนโยบายของทรัมป์             ติดตาม : รายงานเศรษฐกิจม.ค. ของไทย, การประชุมกนง. และ Core PCE ของสหรัฐฯ คาดว่าชะลอตัว             Stock pick : PR9 เป็นแหล่งพักเงินช่วงตลาดผันผวน เป้าเชิงกลยุทธ์ที่ 24.00 บาท

MTC ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อปี 68 โต 15%-คุม NPLไม่เกิน 2.7%

MTC ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อปี 68 โต 15%-คุม NPLไม่เกิน 2.7%

            หุ้นวิชั่น - บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เปิดแผนกลยุทธ์ปี 68 ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อเติบโต 15% เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจระดับชุมชนในทุกพื้นที่บริการกว่า 8,200 แห่ง ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า คำนึงถึงต้นทุนทางการเงินของภาคครัวเรือนอย่างเป็นธรรม ส่งเสริมกระบวนการปล่อยสินเชื่อที่โปร่งใสครอบคลุมในทุกกลุ่มอาชีพ สนับสนุนกิจการท้องถิ่นเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ รับมือต่อสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายและสามารถไปต่อได้อย่างมั่นคง             นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC) เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทฯยังคงมุ่งมั่นส่งมอบโอกาสทางการเงินให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวนสูง การเข้าถึงแหล่งเงินทุนคุณภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยรวมถึงผู้มีรายได้น้อยสามารถปรับตัวและดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง ผ่านกระบวนการปล่อยสินเชื่อที่ยืดหยุ่นเข้าถึงได้ง่าย และคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของลูกค้า โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายพอร์ตสินเชื่อเติบโตร้อยละ 15 จากปีที่ผ่านมา พร้อมเปิดสาขาใหม่อีก 600 แห่งทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อขยายการเข้าถึงบริการทางการเงินที่มีคุณภาพ สร้างความมั่นคงและเสถียรภาพให้กับทุกกลุ่มธุรกิจและชุมชนในประเทศ             นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการบริการและสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้เกิดขึ้นในทุกมิติ สนับสนุนความสามารถในการขยายและรักษาฐานลูกค้าได้อย่างยั่งยืน การพัฒนานี้จะช่วยเสริมสร้างความสะดวกสบายและเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานทั้งในด้านการบริการและการบริหารจัดการภายในองค์กร ซึ่งส่งผลดีต่อต้นทุนของกิจการและเพิ่มความสามารถในการสร้างกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง             แนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในปีนี้มีโอกาสปรับตัวลดลง โดยคาดว่าจะอยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 2.70 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยได้รับผลจากมาตรการ “คุณสู้-เราช่วย” ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เพิ่มความยืดหยุ่นและสนับสนุนให้ลูกหนี้สามารถฟื้นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายและคำนึงถึงต้นทุนทางการเงินของลูกค้าอย่างเป็นธรรม จะทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่ตรงตามความสามารถในการชำระหนี้อย่างแท้จริง ช่วยลดความเสี่ยงจากหนี้เสียและสร้างความเข้มแข็งในเชิงโครงสร้างของลูกหนี้ ส่งผลต่อรากฐานความยั่งยืนในระบบการเงินและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว รวมถึงการเติบโตที่มั่นคงสำหรับทุกภาคส่วนในอนาคต             ในปี 2568 บริษัทฯ มีแผนขยายพันธมิตรทางการเงินทั้งในประเทศและระดับโลก เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนคุณภาพและมอบโอกาสทางการเงินที่เท่าเทียมแก่ทุกภาคส่วนในสังคม โดยการขยายพันธมิตรนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น และเสริมความสามารถในการรับมือกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนทั่วประเทศ             บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ได้รับการยอมรับในความมุ่งมั่นที่สร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน โดยบริษัทฯ ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ “ดีเลิศ” (5 ดาว) ติดต่อกันเป็นปีที่ 7 และยังได้รับผลประเมิน “หุ้นยั่งยืน” ( SET ESG Ratings) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 6 ปีซ้อน โดยสามารถคว้าอันดับสูงสุด AAA ประจำปี 2024 และผลการประเมินจาก MSCI Index ในระดับ AA นอกจากนี้ยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสากล (Global Credit Rating) อยู่ที่ “Fitch BB” และอันดับความน่าเชื่อถือภายในประเทศ (Local Credit Rating) อยู่ที่ “Fitch A- (Tha)” สะท้อนความเป็นผู้นำในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์มาตรฐานระดับโลก (World-class Thai Microfinance) ยืนยันถึงความสามารถในการขยายตัวสู่ระดับสากลและความไว้วางใจจากพันธมิตรทางการเงินทั่วโลก เช่น องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA), รัฐบาลเยอรมนี (KfW DEG) และบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) ภายใต้กลุ่มธนาคารโลก (World Bank Group) อีกทั้ง MTC ยังเป็นสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (NBFI) รายแรกของประเทศไทยที่ได้ออกหุ้นกู้เพื่อสังคม (Social Bond) มูลค่า 335 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการเสนอขายแก่นักลงทุนสถาบันต่างประเทศทั้งหมด             เมืองไทย แคปปิตอล ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินกิจการภายใต้หลักธรรมาภิบาล รักษาเสถียรภาพทางการเงินให้กับท้องถิ่นอย่างเท่าเทียม สนับสนุนเติบโตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของสังคม พร้อมสร้างผลกระทบทางบวกต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวให้กับประเทศไทยและทั่วโลก

SUSCO ขายBYDโต13% แตะ 2,350 คัน ทำกำไรปี 67 ที่ 291ลบ.

SUSCO ขายBYDโต13% แตะ 2,350 คัน ทำกำไรปี 67 ที่ 291ลบ.

              หุ้นวิชั่น - SUSCO รายงานกำไรปี 67 แตะ 291.72 ลบ. ปริมาณขายน้ำมันพุ่ง 1,108 ล้านลิตร แม้กำไรลดลงจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อย แต่ธุรกิจหลักยังคงเติบโต โดยBYD ยอดขายปี 67 ขายรถ EV กว่า 2,350 คัน เพิ่มขึ้น 13.91% คาดปี 68 โตต่อจากการเปิดตัว Denza & BYD รุ่นใหม่ ธุรกิจ Non-Oil โตแกร่ง! เร่งขยายพื้นที่เช่า ปรับโฉม SUSCO Square เพิ่ม 2 แห่ง คาดรายได้ค่าเช่าโต 20 ส่วนธุรกิจ EV Charger เพิ่มจุดชาร์จ 10 สถานี ตั้งเป้าขยาย 100 สถานีใน 2 ปี พร้อมโปรแกรมเช่าซื้อ "ผ่อนขับรับรถ" บุกตลาด Grab EV ตั้งเป้าส่งมอบ 500 คันใน 3 ปี               บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือSUSCO รายงานผลการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 291.72 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 1,228.52 ล้านบาท เป็นจำนวน 936.80 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 76.25 จากการลดลงของกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อย หากไม่รวมกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยสุทธิจำนวน 908.83 ล้านบาท ในปี 2566 จะทำให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานลดลงจำนวน 27.97 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 8.75               บริษัทฯ มีปริมาณการขายน้ำมันรวม 1,108.895 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจาก ช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 เป็นจำนวน 19.278 ล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.77 เนื่องจากปริมาณการขายส่งน้ำมันในประเทศ และส่งออกน้ำมันไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่ปริมาณการขายน้ำมันสายการบิน และน้ำมันผ่านสถานีบริการของบริษัท ไซโนเปค ซัสโก้ ไม่ได้ถูกนับรวมเป็นปริมาณการขายในงบการเงินรวมของ บริษัทฯ และบริษัทย่อย จากการที่บริษัทไซโนเปค ซัสโก้ จำกัด ซึ่งเดิมเป็นธุรกิจในบริษัทย่อย ได้เปลี่ยนสภาพเป็น กิจการร่วมค้า               ขณะที่กลุ่มบริษัท ซัสโก้ บียอนด์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยมียอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า BYD จำนวน 2,350 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 เป็นจำนวน 287 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.91 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมี รายได้รวม 33,149.61 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 เป็นจำนวน 557.17 ล้านบาท หรือลดลง ร้อยละ 1.65 เนื่องจากบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยลดลงจำนวน 1,121.93 ล้านบาท ในขณะที่กลุ่มบริษัท ซัสโก้ บียอนด์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น และบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายน้ำมันเพิ่มขึ้น รวมทั้งรายได้อื่นเพิ่มขึ้น จากการกลับรายการรายได้รับล่วงหน้าค่าสนับสนุนช่วยเหลือทางการตลาด เป็นรายได้อื่น ซึ่งรายการดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกับต้นทุน ในการจัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น มุมมองของผู้บริหารต่อแนวโน้มและกลยุทธ์               1. ธุรกิจน้ำมันในปี 2567 เมื่อเทียบกับปี 2566 มีปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณการขายส่งในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น และคาดว่ายอดขายจะยังคงเติบโตได้ในปี 2568 จากการเพิ่มสถานีบริการและการส่งออกน้ำมันที่เพิ่มขึ้น               2. ธุรกิจขายรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงต้นปี 2567 ตลาดรถยนต์โดยรวมชะลอตัว เนื่องจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ แต่ในไตรมาส 4/2567 BYD ได้เปิดตัวรถยนต์ DENZA และ BYD รุ่นใหม่ ซึ่งมีราคาและรูปลักษณ์ที่ตรงตามความต้องการของกลุ่มผู้บริโภค ทำให้กลุ่มบริษัทขายรถยนต์ไฟฟ้าได้มากขึ้น และได้ส่งมอบในช่วงปลายปีต่อเนื่องจนถึงต้นปี 2568 นอกจากนี้ BYD จะทยอยเปิดตัวรถรุ่นใหม่เพื่อจับตลาดกลุ่มผู้บริโภครายใหม่เพิ่มเติม จึงคาดว่ายอดขายรถ EV ของแบรนด์ BYD และ DENZA จะยังคงเติบโตได้ดีในปี 2568               3. ธุรกิจ Non-oil บริษัทฯ ได้เร่งขยายพื้นที่เช่าและปรับโฉมสถานีบริการน้ำมัน SUSCO ให้มีความทันสมัยมากขึ้น นอกจากนี้ยังจะมีการเปิด SUSCO Square เพิ่มอีก 2 แห่ง ซึ่งคาดว่ารายได้จากค่าเช่าจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ในกลางปี 2568               4. ธุรกิจอื่นๆ บริษัทฯ ได้ทำการติดตั้ง EV-charger ในสถานีบริการเพิ่มอีก 10 สถานี และมุ่งหวังที่จะขยายความร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ ในการขยายจุดชาร์จในสถานีบริการอย่างต่อเนื่องให้ครบ 100 สถานีภายใน 2 ปี และธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์ในโครงการ Grab EV เพื่อส่งเสริมการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในกลุ่มผู้ขับขี่ Grab ผ่านโปรแกรม “ผ่อนขับรับรถ” ซึ่งในปี 2567 นี้บริษัทได้ส่งมอบรถให้กับผู้ขับขี่แล้วจำนวน 90 คัน และคาดว่าจะทยอยส่งมอบรถยนต์ EV ต่อเนื่องในปี 2568 โดยมีเป้าหมายที่ 500 คันภายใน 3 ปี ซึ่งคาดว่าธุรกิจนี้จะช่วยเสริมสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

GPI กำไรปี 67 โต 12.53% วางเป้าปีนี้โตต่อ ขยายธุรกิจใหม่-มอเตอร์โชว์หนุน

GPI กำไรปี 67 โต 12.53% วางเป้าปีนี้โตต่อ ขยายธุรกิจใหม่-มอเตอร์โชว์หนุน

         หุ้นวิชั่น - “บมจ.กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล” หรือ GPI ประกาศผลการดำเนินงานปี 2567 เติบโตโดดเด่น ทำกำไรสุทธิ 105.60  ล้านบาท และมีรายได้จากการขายและบริการ 749.55 ล้านบาท เติบโต 12.53% และ 19.42% จากปีก่อนตามลำดับ ด้านบอร์ดพิจารณาจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง อัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น คาดแนวโน้มผลงานปีนี้เติบโตต่อเนื่อง จากกลยุทธ์ขยายธุรกิจใหม่และคาดการณ์รายได้จากการจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 เพิ่มขึ้น 10%              นายพีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ GPI เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2567 เติบโตได้ดีจากปีก่อน สะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่เป็นผู้นำการจัดงานมอเตอร์โชว์ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการมุ่งเน้นขยายธุรกิจใหม่เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการทั้งสิ้น 749.55 ล้านบาท เติบโต 19.42% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นเป็น 105.60  ล้านบาท เติบโต 12.53% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา การเติบโตในปีที่ผ่านมาเป็นผลมาจากการการวางแผนขยายธุรกิจใหม่ด้าน Sport & Entertainment การขยายพื้นที่จัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ในปีที่ผ่านมา อีก 1 ฮอลล์ ส่งผลให้มีผู้เข้าร่วมออกบูธแสดงสินค้าภายในงานฯ เพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกิจงานพิมพ์มีรายได้เติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ บริษัทฯ สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดี จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงพิจารณาเสนอผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายเงินปันผลเพิ่มเติม จากงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2567 ในอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 42 ล้านบาท โดยจะเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติในวันที่ 31 มีนาคม 2568 กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 9 เมษายน 2568 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 28 เมษายน 2568 โดยเมื่อรวมกับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2567 ในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้บริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2567 อัตรารวม 0.17 บาทต่อหุ้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ GPI กล่าวด้วยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากได้วางกลยุทธ์ขยายธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการต่อยอดความเชี่ยวชาญการจัดงานมอเตอร์โชว์ สู่การจัดงานเอ็กซิบิชันและอีเวนต์ด้าน Sport & Entertainment ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตในปี 2568 และสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายเพื่อรักษาสุขภาพ รวมถึงจะมุ่งสร้างโอกาสจากการขยายธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่การจัดงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ในปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน

SUTHAโกยกำไรปี67ที่62.02ลบ.หรือโต 34%

SUTHAโกยกำไรปี67ที่62.02ลบ.หรือโต 34%

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน SUTHA โกยกำไรปี 67 ที่ 62.02 ล้านบาท หรือโต 34% กดต้นทุนลด ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 1,363.59 ล้านบาท           นายกีซ่า เอมิล เพอราคี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุธากัญจน์ จำกัด (มหาชน) หรือ SUTHA แจ้งผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า ผลประกอบการตามงบการเงินรวม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,363.59 ล้านบาท ลดลงจำนวน 81.09 ล้านบาท หรือคิดเป็น -6% โดยมีกำไรสุทธิสำหรับงวดจำนวน 62.02 ล้านบาท (คิดเป็น 5% ของรายได้รวม) กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 15.90 ล้านบาท หรือคิดเป็น 34% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 เทียบกับไตรมาสที่ 3 ปี 2567 รายได้จากการขายลดลงจากไตรมาสก่อนหน้านี้จากทั้งปริมาณการขายผลิตภัณฑ์จากเตา แต่รายได้จากผลิตภัณฑ์ดิบของ GCC เพิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการที่สูงขึ้น รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจหินอ่อนจากการขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นยังคงเท่าเดิมที่ 26% EBITDA ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้านี้จากยอดขายที่ลดลงและค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงขึ้นจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรบุคคล ค่าใช้จ่ายการขนส่งสินค้าส่งออกที่สูงขึ้น หนี้สงสัยจะสูญ การตัดจำหน่ายสินทรัพย์ถาวร และค่าธรรมเนียมที่ปรึกษา           ปี 2567 เทียบกับปี 2566 รายได้จากการขายปีงบประมาณ 2567 อยู่ที่ 1,354.72 ล้านบาท ลดลง 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องมาจากปริมาณการขายผลิตภัณฑ์จากเตาในอุตสาหกรรมเหล็กลดลง ตลาดเหล็กได้รับผลกระทบจากการนำเข้าเหล็กที่มีต้นทุนต่ำ ตลาดก่อสร้างลดลง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนเนื่องจากยอดขายบ้านพักอาศัยลดลง และตลาดน้ำตาลลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนจากปริมาณการผลิตน้ำตาลที่ลดลงเฉพาะในช่วงปี 23/24 ตลาดเคมีภัณฑ์เติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน และราคาลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง ในขณะที่รายได้จากผลิตภัณฑ์แคลเซียมคาร์บอเนต (GCC) และหินผสมคอนกรีตเพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมก่อสร้าง รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจหินอ่อนจากการขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นปีงบประมาณ 2567 อยู่ที่ 28% เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีก่อน           ซึ่งส่วนใหญ่มาจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับธุรกิจ บริษัท หินอ่อน จำกัดซึ่งเป็นบริษัทย่อยของเรามีการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นทำให้ต้นทุนผลิตลดลง ส่งผลให้ EBITDA ปีงบประมาณ 2567 อยู่ที่ 243 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ต้นทุนทางการเงินในปีงบประมาณ 2567 อยู่ที่ 37.06 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์การชำระเงินต้นที่รอบคอบอย่างสม่ำเสมอ และการใช้แนวทางที่อนุรักษ์นิยมมากขึ้นในการใช้เงินทุนหมุนเวียนช่วยลดผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ รายได้สุทธิในปี 2567 อยู่ที่ 62.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งสาเหตุหลักคือการประหยัดต้นทุนการขายและต้นทุนทางการเงิน

STCโชว์กำไรปี67พุ่งแรง250% กวาดรายได้560.79ล.

STCโชว์กำไรปี67พุ่งแรง250% กวาดรายได้560.79ล.

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน STC แจ้งงบปี 67 กำไรโตแรง 250% หรือมีกำไรเพิ่มเป็น 14.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.42 ล้านบาท ส่วนรายได้อยู่ที่ 560.79 ล้านบาท โต 4.21%             นางสาวอมลวรรณ ชัยตระกูลทอง รองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท เอสทีซี คอนกรีตโปรดักท์ จำกัด มหาชน หรือ STC แจ้งผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า 1. ในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 560.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.65 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.21 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์บล็อกคัลเวิร์ทเพิ่มขึ้นร้อยละ 46.66 และรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ท่อเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.53 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สืบเนื่องจากบริษัทขยายฐานลูกค้าและการเพิ่มขีดความสามารถทางการตลาด เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ภาคตะวันออก จากนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดระยองและปราจีนบุรี และขยายกำลังการผลิตไปยังพื้นที่ภาคกลาง กรุงเทพฯและปริมณฑล 2. ในปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 159.11 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28.49 ของรายได้จากการขายและบริการ ซึ่งเพิ่มขึ้น 20.60 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 14.87 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยที่บริษัทมีความสามารถในการทำอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 28.49 ซึ่งในปีก่อนหน้ามีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 25.87 ซึ่งความสามารถในการทำอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นมาจากการเติบโตของรายได้ในกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง 3. ในปี 2567 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้น 6.82 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.13 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากต้นทุนการขนส่งและค่าน้ำมันที่ผันแปรตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น และบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายจากการบริหารเพิ่มขึ้น 4.27 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.73 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ค่าบริหารจัดการสำนักงานสาขาปทุมธานีและการดอยค่าจากการลงทุน 4. ในปี 2567 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้น 1.83 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.89 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี ก่อน เนื่องจากบริษัทได้ขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อลงทุนในเครื่องจักรในโครงการนวลวงค์เฟส 5 เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพกำลังการผลิต             โดยสรุป ใน ปี 2567 บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิ 14.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.42 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 250 เมื่อเทียบกับปี ก่อนหน้า จากการเติบโตของรายได้ การบริหารอัตรากำไรขั้นต้นอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นปัจจัยในการส่งเสริมการเพิ่มขึ้นของผลกำไรสุทธิของบริษัท

FMT ปี 67 พลิกขาดทุน 36.4 ลบ. รับผลกระทบต้นทุนราคาทองแดงสูง

FMT ปี 67 พลิกขาดทุน 36.4 ลบ. รับผลกระทบต้นทุนราคาทองแดงสูง

              หุ้นวิชั่น - บริษัท ไฟน์ เม็ททัล เทคโนโลยีส์ จำกัด (มหาชน) (FMT) รายงานงบการเงินประจำปีของบริษัทฯ สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ มีขาดทุน อยู่ที่ 36,397 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 96,455 ล้านบาท โดยเป็นการขาดทุนเบ็ดเสร็จ 43 ล้านบาท ลดลง 145 ล้านบาท หรือร้อยละ 142 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 เนื่องจาก บริษัทฯมีกำไรเบื้องต้นลดลง 281 ล้านบาท หรือร้อยละ 79 จากปี 2566 เนื่องจากต้นทุนขายสูงขึ้นอย่างมากซึ่งผันแปรตามราคาทองแดงโลกสูงขึ้น (โดยเฉพาะ ช่วงไตรมาสที่ 2 ของ ปี 2567) และอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ คือ ลูกค้าหลักเจ้าหนึ่งที่มีสัญญาซื้อ-ขายทองแดงระยะยาว ได้มีการปรับเปลี่ยนแผนการผลิตใน ปี 2566, ดังนั้นการส่งสินค้าจึงถูกเลื่อนมาส่งในปี 2567 จึงส่งผลให้ กำไรจากยอดขายลดลง อย่างไรก็ตามสัญญาซื้อ-ขาย ระยะยาวของลูกค้าเจ้านี้ใกล้จะสิ้นสุดในปี 2567 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานใน ปี 2567, ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ลดลง 8 ล้านบาท (8%) ค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้น 14 ล้านบาท (14%) เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 เนื่องจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 3. บริษัทฯ มีกำไรจากการประกันความเสี่ยงของราคาทองแดง เพิ่มขึ้น 131 ล้านบาท หรือร้อยละ 999 เมื่อเปรียบเทียบกับ ปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรจากการประกันความเสี่ยงของราคาทองแดง เพิ่มขึ้น 131 ล้านบาท หรือร้อยละ 999 เมื่อเปรียบเทียบกับ ปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรจากมาตรฐานการรายงานทางการเงินกลุ่มเครื่องมือทางการเงิน เพิ่มขึ้น 9 ล้านบาท หรือร้อยละ 79 เมื่อ เปรียบเทียบกับปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 4 ล้านบาท ในปี 2567, ดอกเบี้ยจ่าย เพิ่มขึ้น 16 ล้านบาท จากปี 2566 เนื่องจากบริษัทฯ มีเงินกู้จากสถาบันการเงินสูงขึ้น สำหรับซื้อ วัตถุดิบจำนวนมากในราคาที่สูง เพื่อรองรับการซ่อมบำรุงใหญ่ประจำปี บริษัทฯ มีกำไรเบ็ดเสร็จอื่น สุทธิจากภาษี 1 ล้านบาทเนื่องจากมีการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดจากอัตรา แลกเปลี่ยนฃ บริษัทฯมีขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น สุทธิจากภาษี 7 ล้านบาท เนื่องจากมีการวัดมูลค่าใหม่ของผลประโยชน์พนักงานที่กำหนดไว้ บริษัทฯ ไม่มีภาระต้องจ่ายภาษีนิติบุคคล ในปี 2567

2 หุ้นเด่น รับอานิสงส์ พ.ร.บ.การพนัน

2 หุ้นเด่น รับอานิสงส์ พ.ร.บ.การพนัน

            หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี จับตาประเด็น กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.การพนัน ฉบับแก้ไข เข้า ครม. 25ก.พ. นี้ หลังเปิดรับฟังความเห็นและประชาชนเสร็จสิ้น ส่วนใหญ่เห็นด้วย พร้อมเพิ่มโทษหนักการพนันครอบคลุมทั้งบ่อนและพนันออนไลน์             ฝ่ายวิจัยมองหากกฎหมายดังกล่าวคืบหน้า จิตวิทยาบวกต่อเม็ดเงินจับจ่ายในประเทศ จากเม็ดเงินในประเทศที่อาจคึกคักขึ้น หนุนหุ้นค้าปลีก เน้น CPALL CPAXT

ส่อง 12 หุ้นนอก SET 100 โอกาสเก็งกำไรสูง

ส่อง 12 หุ้นนอก SET 100 โอกาสเก็งกำไรสูง

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมติเห็นชอบแนวทางปรับปรุงมาตรการเพื่อยกระดับความเชื่อมั่นที่ได้เริ่มใช้บังคับในช่วงปี 2567 โดยหลังจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ก่อนเสนอคณะกรรมการก.ล.ต.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ คาดว่าจะใช้บังคับได้ประมาณปลายไตรมาส 2/2568 หนึ่งในการปรับปรุงในครั้งนี้ คือ การกำกับดูแลการขายชอร์ต ซึ่งปรับปรุงคุณสมบัติของหุ้นที่สามารถขายชอร์ตได้ให้เป็นเฉพาะหุ้นใน SET100 จากเดิมที่กำหนดให้เป็นหุ้นใน SET100 และนอก SET100 ที่มีขนาด ใหญ่และมีสภาพคล่องสูง (มี Market capitalization เฉลี่ย 3 เดือน ไม่น้อยกว่า 7,500 ล้านบาท และมี Monthly turnover ในรอบ 12 เดือน ไม่น้อยกว่า 2% รวมทั้งมีการกระจาย Free float ไม่น้อยกว่า 20% ของทุนชำระแล้ว) ทางฝ่ายมองเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นที่มีปริมาณการขายชอร์ตที่ยังไม่ได้ซื้อคืน นอก SET100 เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถขายชอร์ตในระยะถัดไป ส่งผลให้ในระยะนี้แรงกดดันจากการขายชอร์ตมีแนวโน้มลดลง ทางฝ่ายจึงมองเป็นโอกาสในการเก็งกำไรระยะสั้นต่อหุ้นนอก SET100 ที่มีปริมาณการขายชอร์ตที่ยังไม่ได้ซื้อคืน และสำหรับ Top pick นั้น ทางฝ่ายพิจารณาด้วย เงื่อนไขดังนี้ 1. มีปริมาณการขายชอร์ตที่ยังไม่ได้ซื้อคืน ทั้งหมด/จำนวนหุ้นชำระแล้วมากกกว่า 0.05% (ณ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568) และ 2. มีปัจจัยที่ดีในเชิง พื้นฐาน/อุตสาหกรรม หรือมีคะแนนรวมในเชิง Quantitative จาก CoreSight ของ PhillipResearch มากกว่า 60 (ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568) Top pick: AAI, CPAXT, GFPT, MAJOR, NER, PSL, PTG, STECON, THANI, TTA, TTW, TVO

MINT กำไรโตต่อ เป้าใหม่ 39 บาท

MINT กำไรโตต่อ เป้าใหม่ 39 บาท

         หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ในไตรมาส 4/67 MINT ทำกำไรสุทธิ 3,632 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 269% yoy และเพิ่มขึ้น 23 เท่า qoq สูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ 16% และสูงกว่า Bloomberg consensus 9% เนื่องจากธุรกิจโรงแรมมีอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) สูงกว่าคาด และบริษัทมีอัตราภาษีเพียง 3% (เทียบจาก 42% ในไตรมาส 4/66 และ 69% ในไตรมาส 3/67) ผลจาก NH Hotel ซึ่ง MINT ถือหุ้น 96% ได้เครดิตภาษีบางส่วนจากธุรกิจในสเปน          ทำให้ทั้งปี 67 MINT มีกำไรสุทธิรวม 7,750 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% yoy แต่หากไม่รวมรายการพิเศษ MINT จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 6,407 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% yoy          ในไตรมาส 4/67 MINT มีรายได้จากธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้น 3% yoy เนื่องจากอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้น 1% เป็น 69% ขณะที่อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยยังทรงตัว yoy จึงทำให้รายได้ต่อห้องพัก (RevPAR) เพิ่มขึ้น 3% yoy ส่วน GPM ของธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นเป็น 37.4% ดีกว่าที่คาดไว้และสูงขึ้นเมื่อเทียบกับ 35.5% ในไตรมาส 4/66 และ 38.8% ในไตรมาส 3/67 ขณะที่ปี 68 นี้ ฝ่ายวิเคราะห์ฯประมาณการว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมจะเติบโต 8% yoy เทียบกับ 10% yoy ในปี 67 เพราะมองว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะขยายตัวลดลง          สำหรับธุรกิจอาหารในไตรมาส 4/67 มีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ติดลบ 2.5% yoy และอัตราการเติบโตของยอดขายรวม (TSSG) บวก 2.6% yoy โดยธุรกิจอาหารในจีนและออสเตรเลียยังคงฉุด SSSG โดยรวมในไตรมาสนี้อยู่ เพราะยังมี SSSG ติดลบ 7.7% และติดลบ 1.2% ตามลำดับ ส่วนธุรกิจอาหารในไทยมี SSSG บวก 1.5% yoy และ TSSG บวก 7.8% yoy          ขณะเดียวกันพบว่าธุรกิจอาหารมี GPM ต่ำกว่าคาดที่ 68.2% ซึ่งต่ำกว่า 68.7% ในไตรมาส 3/67 และ 69.3% ในไตรมาส 4/66 ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์ฯจึงประมาณการว่าธุรกิจอาหารของ MINT จะมี SSSG และ TSSG อยู่ที่ลบ 1% และบวก 1% ในปี 68 เทียบกับ ลบ 2.2% และ บวก 2% ในปี 67 ตามลำดับ          ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ยังแนะนำ “ซื้อ” เพราะเชื่อว่า MINT จะมีกำไรเติบโตแข็งแกร่งในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จากผลประกอบการของโรงแรมในเอเชียและยุโรป จึงปรับประมาณการ EPS ปี 68-69 ขึ้น 5-9% ส่งผลให้ราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 39 บาท จากเดิม 35 บาท แต่ยังเท่ากับ EV/EBITDA 8.8 เท่าในปี 69 หรือ -1SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี โดยมี downside risk หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวรุนแรงและเงินเฟ้อสูงขึ้น อาจทำให้ค่าแรงเพิ่มขึ้น และมี upside risk หากดอกเบี้ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญและธุรกิจอาหารในจีนและออสเตรเลียมีผลประกอบการฟื้นตัวแข็งแกร่ง

จัดทัพ 21 หุ้นเด่น จับตาเศรษฐกิจจีนฟื้น

จัดทัพ 21 หุ้นเด่น จับตาเศรษฐกิจจีนฟื้น

          หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ประเมินหลังจากวานนี้ตัวเลขราคาบ้านใหม่จีนชะลอตัวน้อยลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยออกมา -5.0%YoY ซึ่งน้อยกว่าในเดือน ธ.ค.ที่ปรับตัวลง 5.3%YoY ซึ่ง Bloomberg คาดว่าข้อมูลดังกล่าวทำให้ตลาดมีความหวังมากขึ้น หลังจากจีน พยายามใช้มาตรการกระตุ้นอสังหาฯมานานกว่า 3 ปีและถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจจีนในอนาคตที่ปีนี้           ตลาดคาดว่า GDP Growth จะโตราว 5%YoY ซึ่งมาตรการกระตุ้นจะมาจาก 3 ส่วน คือ ดอกเบี้ย-อสังหาฯ-ตลาดหุ้น ประเด็นดังกล่าวหนุนให้ Flow ต่างชาติทยอยไหลเข้าตลาดหุ้น Hong Kong มากขึ้นเรื่อยๆ โดยตั้งแต่ต้นปี +14.5%(Ytd) Outperform ตลาดหุ้นอื่นๆในเอเชียทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับภาคอสังหาจีน ที่พลิกกลับมาเติบโตในช่วง 4Q67 โดยมูลค่าภาคอสังหาจีน 4Q67 อยู่ที่ 303พันล้านเหรียญฯ ซึ่งทยอยมากขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 285 พันล้านเหรียญฯในช่วงกลางปี 2566           ซึ่งฝ่ายวิจัยฯมองว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์อย่างแน่นอน หากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว เนื่องจากไทยมีมูลค่าส่งออกไป จีนเป็นลำดับ 2 (เป็นรองแค่สหรัฐฯ) คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 15.5% ของมูลค่าส่งออกในไทยทั้งหมด และหากพิจารณา ในมุมของจีนก็นำเข้าสินค้าจากไทย สูงเป็นลำดับ 13 หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 1.8% ของมูลค่านำเข้าในจีนทั้งหมด           และมีโอกาสเสริมให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยมากขึ้นในอนาคต ส่วนหุ้นกลุ่มที่คาดจะได้ประโยชน์ หรือ Sentiment เชิงบวก มีรายละเอียด ดังนี้ กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม: AOT, ERW, CENTEL, MINT กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์: KCE, DELTA กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย : AP, LH, SC กลุ่มวัสดุก่อสร้าง : SCC, SCGP กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี: PTT, TOP, PTTGC, IVL กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม : CBG, CRC, BJC, CPALL กลุ่มยางพารา : NER, STA

กรุงศรี คาด SET ฟื้นตัว หลังเร่งตั้งกอง Thai ESG แนะสะสม 7 หุ้น Deep Value

กรุงศรี คาด SET ฟื้นตัว หลังเร่งตั้งกอง Thai ESG แนะสะสม 7 หุ้น Deep Value

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุ ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยความคืบหน้ากองทุนระยะยาวภายใน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการในการจัดตั้งกองทุน Thai ESG กอง 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือน มี.ค. 2568 วงเงินจะอยู่ที่ราว 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนเงินในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ครบกำหนดอายุไปแล้ว 4. ส่วนรูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์จะเป็นอย่างไรนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือซึ่งอาจมีลักษณะแตกต่างจากกองทุน Thai ESG ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามยังอยากให้เป็นการลงทุนในประเทศ           KSS ประเมินเป็น “บวก” ต่อ SET โดยคาดแรงขายกอง LTF ที่ครบอายุแล้วทั้งหมด จะชะลอแรงขายนับจากนี้ จาก 2 ปัจจัย ลดความกังวลของตลาดจากกองทุนเดิม LTF เดิมไม่มีเงินใหม่เข้ามา และการบริหารที่ยากจากสภาพคล่องจำกัด เสี่ยงผลตอบแทนต่ำลง เป็นปลิดทิ้ง เนื่องจากจะมีเงินใหม่เข้ามาจาก Thai ESG ต้นทุนการถือครองของ LTF 7 ปีหลังเฉลี่ยราว 1,620-1,640 จุด ทำให้นักลงทุนที่รอการฟื้นตัวระยะยาว มีโอกาสมากขึ้นจากเงินใหม่ ที่จะเข้ามา           สิ่งที่ต้องติดตามต่อและจะเป็นภาพบวกเพิ่มเติมต่อตลาด SET ระยะกลาง-ยาว มากขึ้นมี 3 ประเด็น เนื่องจากแนวทางกองทุนระยะกลางเพื่อสิทธิทางภาษีมุ่งเน้นมาที่การให้สิทธิ์การลงทุนหุ้นในประเทศมากขึ้น เพื่อฟื้นฟู Domestic Long Term Funds ที่ขาดหายไป กรณีมีการขยายสิทธ์ลดหย่อน THAIESG จาก 0 แสนบาท ไปเท่า LTF เดิมที่ 5.0 แสนบาท จะเป็นบวกต่อตลาดและฟื้นความเชื่อมั่นมากขึ้น มีการหารือแนวทางหุ้นไทย 100% การเพิ่ม Universe สินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้ เช่นขยายขอบเขตของหุ้น ESG ให้กว้างและมากขึ้น           KSS ให้น้ำหนัก 50% ต่อ 50% ทั้งการที่เศรษฐกิจเติบโตช้าใน 10 ปีหลัง (Real Fundamental) และการขาด Long Term Funds (Liquidity) ไปในปี 2562 เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ SET เริ่ม Underperform ลง และจากจะเข้าสู่จุดของการค่อยๆ ฟื้นตัวรอบใหม่ หากแนวทางจากรัฐฯ ชัดเจน มุ่งเน้นการออมเพื่อการลงทุนระยะกลางยาวในประเทศให้ฟื้นรอบใหม่ Strategy           จิตวิทยาบวกต่อสภาพคล่องภายในกำลังค่อยๆ ได้รับการแก้ไข คงมุมมองสะสมหุ้น หลัง SET ยังย่ำ ใน Deep Value Zone PER 2025F 13.5X vs ex Delta ต่ำเพียง 11.5X นักลงทุนจะพบว่าจากหุ้น 914 บริษัท ใน SET+mai มีหุ้น PER ต่ำ 12 เท่า 300 บริษัท จาก หุ้น Dividend Yield มากกว่า 3% 435 บริษัท หุ้น PBV น้อยกว่า 1เท่า 548 หุ้นที่มีคุณสมบัติทั้ง 3 ข้อ มีราว 145 บริษัท           KSS Strategist จึงมองเป็นโอกาสในการลงทุน 7 Deep Value Stocks ที่อิงหุ้นที่มี Business Model มั่นคงต่อปัจจัยทั้งภายในและภายนอก CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO ผสานระยะสั้นกลุ่มอสังหาฯ ที่เริ่มมีปัจจัยอาจสร้างจุดเปลี่ยน AP, SIRI

งัดกลยุทธ์ตลาดหุ้นบ่าย โบรกจัดเต็ม 3 หุ้นเด่น

งัดกลยุทธ์ตลาดหุ้นบ่าย โบรกจัดเต็ม 3 หุ้นเด่น

         หุ้นวิชั่น - KSS คงมุมมองบวกคาด SET Index บ่ายนี้มีลุ้นขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,270 จุด ปัจจัยพื้นฐาน SET อยู่ในโซน Deep Value, ข่าวลบค่อยๆ ลดลง, ข่าวดีมีมากขึ้น โดยเฉพาะผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเริ่มเห็นสัญญาณที่เป็น Positive surprise, นักลงทุนกล้าที่จะเข้าเก็งกําไรหนุนบรรยากาศรวมกลับมาดีดัชนีมีโอกาสไปต่อ กลยุทธ์ เก็งกําไรกลุ่มที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว ในกลุ่มอสังหาฯ, ไฟแนนซ์ และธนาคารเก็งปันผล คล้ายภาคเช้า Top Pick : SIRI, MTC และ SCB

คัด 4 หุ้นเด่น พื้นฐานดี-ราคาอยู่โซนล่าง เป็นจังหวะ “ซื้อสะสม”

คัด 4 หุ้นเด่น พื้นฐานดี-ราคาอยู่โซนล่าง เป็นจังหวะ “ซื้อสะสม”

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) แนะนำ 4 หุ้นพื้นฐานดี และราคาอยู่ในโซนล่าง เป็นจังหวะซื้อสะสม ได้แก่           1. BA (ราคาเป้าหมายที่ 28 บาท) คาดกำไร 4Q67 โตสวยและดีต่อเนื่อง จากการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง รวมถึงได้ผลบวกจากราคาน้ำมันที่ลดลง ซึ่งเราชอบกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจสนามบินที่การแข่งขันต่ำกว่า นอกจากนี้มองได้ผลบวกจากซีรีย์ “The White Lotus” หนุนการท่องเที่ยวสมุยมากขึ้น ซึ่ง BA มีเส้นทางบินผูกขาดที่สมุยคิดเป็น 50% ของกำไร           2. BCH (ราคาเป้าหมายที่ 21.5 บาท) Top pick กลุ่มโรงพยาบาลที่คาดว่ากำไรจะเติบโตเด่น 34% ปีนี้ และ 11% ปีหน้า แม้กำไร 4Q67 จะยังมีผลกระทบจากการจ่ายเงินต่ำกว่าคาดของสิทธิประกันสังคม (สปส.) แต่ตั้งแต่ปี 2568 สปส. รับประกันการจ่ายเงินที่ 12,000 บาท/RW ซึ่ง BCH ได้ประโยชน์มากสุด เนื่องจากเป็นผู้ให้บริการประกันสังคมใหญ่สุด           3. CKP (ราคาเป้าหมายที่ 5 บาท) คาดกำไร 4Q67 แข็งแกร่งที่ 860 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% y-y และ 41% q-q จากปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนสูงกว่าปกติตามผลกระทบลานีญา มองเป็นกลุ่ม Turnaround play ที่คาดกำไรโตดีต่อเนื่อง 26% ปีนี้ และได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงด้วย ซึ่งทุกๆการลดลง 0.25% ของดอกเบี้ยไทยและสหรัฐฯ จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้น 45 และ 10 ล้านบาท ตามลำดับ           4. KKP (ราคาเป้าหมายที่ 65 บาท) Top pick ในกลุ่มธนาคารขนาดเล็ก ที่คาดกำไรเติบโต 13% ปีนี้จากกลยุทธ์การจัดการต้นทุนที่ดี ซึ่งคาดว่าจะช่วยลด Credit cost ลงเหลือ 2.2% ปีนี้ จาก 2.5% ในปี 2567 พร้อมจ่ายปันผลสูง 10% ปีนี้ และ 11% ปีหน้า

เปิดโพย 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร ตามปัจจัยพื้นฐาน

เปิดโพย 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร ตามปัจจัยพื้นฐาน

          หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ เจาะหุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน  แนะเก็งกำไร TEGH-EPG- CPAXT           TEGH (เป้า Consensus 4.45 บาท) 1) ประเมินรูปแบบราคาเริ่มฟื้นตัว หลังสร้างฐานราคาได้ ประเมินแนวรับ 3.12 บาท / แนวต้าน 3.2 – 3.3 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป+/- 3.4 บาท (Stop loss 3.02 บาท)  2) ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานรับ Sentiment บวกจากทั้งธุรกิจยางพาราและปาล์มน้ำมัน ฝ่ายวิจัยประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน 4Q67 จะโต QoQ YoY รับยอดขายยางพารา มาตรฐาน EUDR ที่ทยอยเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบปรับขึ้นแรงในช่วง 4Q67 (ล่าสุดยังเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่) นอกจากนี้คาดจะเริ่มรับรู้ยอดขายก๊าซชีวภาพให้กับ GGC 3)Valuation ถูก Forward PE ต่ำเพียง 5.6 เท่า และคาด Dividend yield สำหรับปี 2567 +/-6%           EPG (เป้า Consensus 4.84 บาท) 1) ประเมินรูปแบบราคาเริ่มฟื้นตัว หลังสร้างฐานราคาได้ ประเมินแนวรับ 3.34 บาท / แนวต้าน 3.52 – 3.74 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป+/- 4.0 บาท (Stop loss 3.08 บาท) 2) ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และได้Sentiment หนุนจากต้นทุนวัตถุดิบราคาต่ำ จากการประชุมนักวิเคราะห์ คาดผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วใน 3Q67/68 (ต.ค.-ธ.ค.) ขณะที่ประเมินราคาน้ำมันที่มีทรงตัวรวมทั้งภาวะ Oversupply ของเม็ดพลาสติก จะหนุนอัตรากำไรของ EPG 3) Valuation ถูก Forward PE9.1 เท่า และคาดจะลดลงเหลือ 6.7 เท่า อิงประมาณการฯปี 2568/69 (ปิดงบ มี.ค.) โดย Consensusคาดกำไรปี 2568/69 จะกลับมาโต +50% YoY เป็น 1.4 พันล้านบาทคาดปันผลที่เหลือของปี 2567/68 หุ้นละ 0.14 บาท (Dividend yield 4.1%)และคาด Dividend yield ปี 2567/68 สูงถึง 7.7%           CPAXT (เป้าพื้นฐาน 33 บาท) 1) ประเมินรูปแบบราคาสร้างฐานและเริ่มฟื้นตัว ประเมินแนวรับ 26 บาท /แนวต้าน 28.5 – 29.25 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้าน +/- 30 บาท (Stop loss 25.25 บาท) 2) รายงานกำไร 4Q67 ดีกว่าคาด และคาดว่าจะดีต่อใน 1Q68 รายงานกำไร 4Q67 = 4 พันล้านบาท (ดีกว่าคาด +7%) และคาดแนวโน้มกำไร 1Q68 จะดีต่อเนื่อง ได้แรงหนุนจากทั้ง High season + การท่องเที่ยว + มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐฯ 3) Valuation ถูก / ประเมินรับรู้ข่าวลบไป พอสมควรแล้ว Forward

คัด 6 หุ้นเด่นธีมหน้าร้อน  Valuation ไม่แพง

คัด 6 หุ้นเด่นธีมหน้าร้อน  Valuation ไม่แพง

         หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี ระบุ กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม “หน้าร้อน” กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ.2568 - กลางเดือน พ.ค.2568 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2568 คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35-36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2567 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส          แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาดอากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน 1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น 2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน 3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน 4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม          อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 2568 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค.2568 - ต้น เม.ย.2568 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%)          ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC (100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)          ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2568 KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC (TP Con-40.6), ICHI (TP25F-17), SAPPE (TP25F-70), CENTEL (TP25F-40), MINT(TP25F-38), HMPRO (TP25F-13.5)

เช็ก 6 หุ้น รับมาตรการรัฐ คาดปี 68 GDP โตต่อ

เช็ก 6 หุ้น รับมาตรการรัฐ คาดปี 68 GDP โตต่อ

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ระบุแนวโน้ม GDP ยังโตดี แต่ปัญหาต้องจับตา Trade War • สภาพัฒน์รายงาน GDP 4Q24 ของไทยเติบโต 3.2% YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาด 3.8% YoY แต่ยังเติบโตดีที่สุดในรอบ 2 ปี โดยที่ต่ำกว่าคาดส่วนหนึ่งมาจากผลของสินค้าคงเหลือที่ต่ำกว่าปกติ แต่ในองค์ประกอบยังเติบโตได้ดี • สภาพัฒน์คงประมาณการ GDP ปี 2025 ในกรอบ 2.3-3.3% YoY แต่ปรับการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขึ้น ขณะที่ภาพระยะสั้น 1Q25 เรามองว่ายังมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง จึงคงมุมมองบวกต่อกลุ่ม Domestic Play • ประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีตอบโต้ของคุณทรัมป์ อาจกระทบ GDP ถึง 1.3% หากไทยไม่ได้เจรจาการค้าใดๆ กับสหรัฐฯ GDP ไทย 4Q24 ต่ำกว่าคาด แต่รายละเอียดไม่แย่           สภาพัฒน์รายงาน GDP 4Q24 ของไทยเติบโต 3.2% YoY ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 3.8% YoY แต่ยังเป็นการเติบโตเด่นที่สุดในรอบ 2 ปี 1. การบริโภคภาคเอกชนเติบโต 3.4% YoY เร่งตัวขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนจากแรงหนุนของการบริโภคสินค้าที่ไม่คงทน และการบริโภคในภาคบริการ 2. การใช้จ่ายภาครัฐยังเติบโตได้ดี 5.4% YoY จากเงินโอนเพื่อสวัสดิการสังคม 3. การลงทุนเติบโต 5.1% YoY โดยหลักมาจากการลงทุนของภาครัฐ ที่ยังได้รับผลจากฐานต่ำ ส่วนการลงทุนภาคเอกชนปรับลดลงจากการลงทุนในหมวดยานยนต์ 4. การส่งออกเติบโต 11.5% YoY จากกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม รวมไปถึงรายรับจากการท่องเที่ยวที่โตเด่น           สภาพัฒน์คงประมาณการ GDP...มองการบริโภค การลงทุนเอกชนดีขึ้น สภาพัฒน์คาดการณ์ GDP ปี 2025 เติบโตในกรอบ 2.3-3.3% YoY เท่ากับประมาณการในรอบก่อน โดยในรายละเอียดประมาณการที่ปรับขึ้น ได้แก่ 1. การบริโภคภาคเอกชนขึ้นจาก 3.0% เป็น 3.3% 2. การลงทุนภาคเอกชนจาก 2.8% เป็น 3.2% 3. การส่งออกสินค้าจาก 2.6% เป็น 3.5%           ส่วนที่ปรับลด ได้แก่ 1. การใช้จ่ายภาครัฐจาก 2.1% เป็น 1.3% 2. การลงทุนภาครัฐจาก 6.5% เป็น 4.7%           โดยการปรับเพิ่มการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนในปี 2025 มาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมไปถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนต่างๆ           เรามองเป็น Sentiment บวกต่อกลุ่ม Domestic Play เช่น CPALL, CPAXT, SAWAD, OSP, M และ KBANK

8 หุ้น ราคาต่ำ กำไรโต โบรกชี้เป้า...จังหวะนี้น่าเข้า

8 หุ้น ราคาต่ำ กำไรโต โบรกชี้เป้า...จังหวะนี้น่าเข้า

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ระบุ ถึงเวลาเข้าซื้อหุ้น… กำไรโต แต่ราคาต่ำกว่าช่วง Low ของ Covid ตลาดหุ้นไทยที่สูญเสียความเชื่อมั่นจากนักลงทุนไป หลังจากเกิดเหตุการณ์ Margin Call ของนักลงทุนและผู้บริหาร, ปัจจัยลบเฉพาะตัวของหุ้นขนาดใหญ่ และแรงขายจากกองทุน LTF ที่ครบกำหนด ส่งผลให้หุ้นไทยถูก De-rate PE ลงมาค่อนข้างมาก ซึ่งเราประเมินว่าสถานการณ์ดังกล่าวเกิดจากปัญหาสภาพคล่องเป็นสำคัญ ส่งผลให้ราคาหุ้นบางตัวลงไปทำจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่าวันที่ 13 มี.ค. 2020 (วันที่ SET ทำจุดต่ำสุดบริเวณ 969 จุด)           ขณะที่กำไรสุทธิปี 2024 ยังเติบโตเมื่อเทียบกับผลประกอบการปี 2020 เราจึงประเมินว่า ในจังหวะที่ตลาดหุ้นไทยขาดความเชื่อมั่น เป็นจังหวะที่ดีที่จะเข้าสะสมหุ้นที่มี Margin of Safety สูง           โดยมีหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ BCPG, BJC, CPALL, GUNKUL, HMPRO, M, MAJOR และ SAWAD

“อีเอ โมบิลิตี โฮลดิง” ผถห.อันดับ 1 ซื้อหุ้น NEX เพิ่ม 24.7918%

“อีเอ โมบิลิตี โฮลดิง” ผถห.อันดับ 1 ซื้อหุ้น NEX เพิ่ม 24.7918%

          หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับแบบรายงานการได้มาหุ้นของ บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) (NEX) โดย บริษัท อีเอ โมบิลิตี โฮลดิง จำกัด ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา คิดเป็น 24.7918% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา คิดเป็น 49.9592% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

‘เอเซียพลัส’ จัดให้ 9 หุ้นเด่น พื้นฐานดี ราคาถูก

‘เอเซียพลัส’ จัดให้ 9 หุ้นเด่น พื้นฐานดี ราคาถูก

          หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ประเมินหุ้นหลังจาก วานนี้ สภาพัฒน์เผยตัวเลข GDP Growth ของไทย 4Q67 +3.2%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 3.8%YoY) และ+0.4%QoQ (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 0.5%QoQ) ทำให้ตลอดทั้งปี 2567 ขยายตัว +2.5%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.7%YoY)           เศรษฐกิจไทยปี 2567 เร่งตัวจากปี 2566 โดยมีแรงหนุนเด่นๆ มาจากการบริโภคภาคเอกชน (+4.4%YoY), การลงทุนภาครัฐ (+4.8%YoY), การใช้จ่ายภาครัฐ (+2.5%YoY), การส่งออก (+4.4%YoY) ขณะที่การลงทุนเอกชนหดตัว (-1.6%YOY)           สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป สศช. ประเมินว่าจะขยายตัว 2.8% (2.3 – 3.3%) ด้วย ปัจจัยหนุนของการบริโภคภาครัฐ-เอกชนเพิ่มขึ้น บวกกับการท่องเที่ยวฟื้นตัว และการส่งออกสินค้าขยายตัว           เศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในภาวะที่ขยายตัวได้ดี พร้อมกับมีนโยบายการคลังช่วยขับเคลื่อน โดยรัฐบาลมีการเร่งรัด มาตรการทางเศรษฐกิจทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณ และเร่งรัดการลงทุน ท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯ จะเป็นแรงผลักให้เงินเฟ้อพุ่งสูง ทำให้สภาพัฒน์มีความเห็นสอดคล้องกับ กนง. หนุนแนวทางการ “คงดอกเบี้ย” เพื่อเก็บกระสุนนโยบายการเงินรับความผันผวน พร้อมกับหวั่นว่าการเร่งลดดอกเบี้ยสวนทางกับ Fed จะทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยไทย-สหรัฐฯ และตามาด้วยเงินบาทอ่อนค่า           ขณะที่ล่าสุด BOND YIELD 10Y ของไทย ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 2.29% ซึ่งสูงว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% สะท้อน มุมมองตลาดฯ ว่าอาจเห็นการคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุม กนง. วันที่ 26 ก.พ. นี้           ในแง่มุมของตลาดหุ้นไทยปัจจุบันมีขนาด Market Cap SET อยู่ที่ 15.66 ล้านล้านบาท ส่วน Nominal GDP ปี 2567 อยู่ที่ 18.58 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน Market Cap ต่อ GDP อยู่ที่ 0.84 เท่า ซึ่งอยู่บริเวณช่วงวิกฤตโควิด19 และอยู่ในระดับต่ำกว่า 2 S.D. สะท้อนถึง Valuation ต่ำมาก และอาจสัญญาณเชิงบวกปรากฏขึ้น           แนะนำหุ้น พื้นฐานดี ราคาถูกลงเยอะ CPALL, BDMS, IVL, SCGP, MINT, LH, HMPRO, AP, MTC

KSS คาด SET วันนี้ “Rebound” แนะ CPALL, GPSC, BA เด่น!

KSS คาด SET วันนี้ “Rebound” แนะ CPALL, GPSC, BA เด่น!

      หุ้นวิชั่น - KSS คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1270/1280 จุด รับ 1,245/1,236 จุด ประเด็นกำหนดทิศทางตลาดวันนี้เป็นบวกอ่อนๆ ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้น 4,634 ล้านบาท อาเซียนเป็นการซื้อเฉพาะไทยและอินโดฯ ไทยซื้อสูงสุดนับจาก 6 ก.ย. 24 บ่งชี้SET อยู่ในโซน Value ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี2020 การซื้อระดับดังกล่าว/มากกว่าเกิดขึ้น 31 ครั้งและ SET วันทำการถัดมาปรับขึ้นได้เฉลี่ย 17% ผสาน เช้าวันนี้เงินบาทยังอยู่โซนแข็งค่า 33.7 +/- บาท SET วานนี้มีภาพการฟื้นตัวระหว่างวันที่กระจายตัว หุ้นปรับขึ้น 297 บริษัท ปรับลง 195 บริษัท คาดหนุนโมเมนตัมต่อ     2.GDP ไทย 4Q24 ต่ำกว่าคาด +3.2%y-y ขณะที่สภาพัฒน์คาด GDP ปี2025F กรอบเดิม 2.3-3.3% มองภาคเอกชนเด่นขึ้นบ่งชี้มุมมองบวกต่อหุ้น Domestic ผสาน ครม. วันนี้เตรียมหาแนวทางเจรจาสหรัฐนำเข้าสินค้า ลดความเสี่ยง Trade War คาดบรรเทาจิตวิทยาลบกลุ่มอิงภายนอก ประเมิน SET วันนี้Rebound หุ้นเด่น คือ หุ้น Domestic (ธนาคาร ค้าปลีก ท่องเที่ยว (กระแส The White Lotus+ โอกาส Entertainment Complex เดินหน้า)) และหุ้นในธีม 7 Value ที่แนะนำสะสมลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO)วันนี้แนะนำ CPALL, GPSC, BA

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแม้เลข GDP ไทยไตรมาส 4 ปี 2024 ออกมาที่ 2%YOY ทำให้ GDP ทั้งปีอยู่ที่ 2.5%YOY ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดโดยเป็นผลจากอุปสงค์ในประเทศ และภาคการผลิตที่ยังอ่อนแอ ค่าเงินเยนปรับแข็งค่าขึ้นเทียบต่อดอลลาร์สหรัฐหลังเลข GDP ญี่ปุ่นไตรมาส 4 ออกมาที่ 8% สูงกว่าตลาดคาดค่อนข้างมาก นำโดยการใช้จ่ายภาคธุรกิจ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงให้คำมั่นว่าจะยกเลิกค่าธรรมเนียมหรือค่าปรับที่ไม่เป็นธรรมต่อบริษัทเอกชน

GDP ไทยปี67 โต2.5% โตต่ำคาด แนะนำหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูกลงเยอะ CPALL, BDMS, IVL, SCGP, MINT, LH, HMPRO, AP

GDP ไทยปี67 โต2.5% โตต่ำคาด แนะนำหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูกลงเยอะ CPALL, BDMS, IVL, SCGP, MINT, LH, HMPRO, AP

         หุ้นวิชั่น - GDP ไทย 4Q67 +3.2%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 3.8%YoY) และ +0.4%QoQ (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 0.5%QoQ) ทำให้ตลอดทั้งปี 2567 ขยายตัว +2.5%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.7%YoY) เศรษฐกิจไทยปี 2567 เร่งตัวจากปี 2566 โดยมีแรงหนุนเด่นๆ มาจากการบริโภคภาคเอกชน (+4.4%YoY), การลงทุนภาครัฐ (+4.8%YoY), การใช้จ่ายภาครัฐ (+2.5%YoY), การส่งออก (+6.3%YoY) ขณะที่การลงทุนเอกชนหดตัว (-1.6%YOY) สศช. คาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2568 ขยายตัว 2.8% (2.3 – 3.3%) ประเมินปัจจัยหนุนมาจากการบริโภคภาครัฐ-เอกชนเพิ่มขึ้น บวกกับการท่องเที่ยวฟื้นตัว และการส่งออกสินค้าขยายตัว เศรษฐกิจบ้านเราที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด ขณะที่ระยะถัดไป GDP ไทย มีโอกาสเปิด Downside จากนโยบายตั้งกำแพงภาษีสหรัฐฯ อาจเป็น Sentiment กดดันตลาดหุ้นได้ อย่างไรก็ตาม ยังคาดหวังแรงกระตุ้นจากมาตรการภาครัฐเพิ่มเติม และการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น ผ่านการลดดอกเบี้ย         แนะนำหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูกลงเยอะ CPALL, BDMS, IVL, SCGP, MINT, LH, HMPRO, AP

IPhone SE ใหม่ จ่อเปิดตัว 19 ก.พ.นี้ หุ้นไหนรับทรัพย์ เช็กเลย!

IPhone SE ใหม่ จ่อเปิดตัว 19 ก.พ.นี้ หุ้นไหนรับทรัพย์ เช็กเลย!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) Bloomberg เผย Tim cook โพสข้อความลงใน X จะเป็นการเปิดตัว IPhone SE รุ่นใหม่ คือ SE 4 (หรือ iPhone 16E หรือ iPhone รุ่นประหยัดที่สุดของ Apple 19 ก.พ.2025 ดีไซน์เหมือน iPhone 14 หน้าจอ LTPS OLED ขนาด 6.06 นิ้ว ความละเอียด FHD+ ที่มีรีเฟรชเรต 60Hzและมีรอยบากส าหรับ Face ID กับกล้องหน้า ส่วนด้านหลังจะมีกล้องเพียงตัวเดียว ซึ่งอาจเป็นกล้องตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 16 รองรับฟีเจอร์ AI KSS มองการเปิดตัวสินค้าใหม่ IPhone SE จะเป็นบวกต่อหุ้นที่เน้นขาย Iphone อาทิ COM7, CPW, JMART

AOT ร่วง 7.45% โบรกฯ แห่หั่นเป้า เหลือเฉลี่ย 51 บ./หุ้น

AOT ร่วง 7.45% โบรกฯ แห่หั่นเป้า เหลือเฉลี่ย 51 บ./หุ้น

         หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ จากการรวบรวมข้อมูลเช้านี้พบว่า ตลาดหรือ Consensus มีการปรับลดราคาเป้าหมายเฉลี่ยของ AOT เหลืออยู่ที่ 51.00 บาท/หุ้น ประกอบด้วย - INVX ปรับลงสู่ Neutral และลดเป้าหมายสู่ 57.00 บาท/หุ้น - ASP ปรับลงสู่ Neutral เป้าหมายที่ 52.00 บาท/หุ้น - Kingsford ปรับลงสู่ Hold เป้าหมายที่ 60.00 บาท/หุ้น - PI คงที่ Hold และลดเป้าหมายสู่ 50.00 บาท/หุ้น - Maybank ปรับลงสู่ Sell ลดเป้าหมายสู่ 42.00 บาท/หุ้น - KGI ปรับลงสู่ Neutral และลดเป้าหมายสู่ 50.00 บาท/หุ้น - UOB KayHian ปรับลงสู่ Hold เป้าหมายที่ 52.00 บาท/หุ้น - CGS ปรับลงสู่ Reduce เป้าหมายที่ 45.00 บาท/หุ้น          ทั้งนี้ตลาดมีมุมมองกังวล AOT อาจต้องตั้งสำรอง หาก KPD ประสบปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งจะทำให้รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ลดลงและกังวลปัญหาลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้น          มองปัจจัยลบข้างต้นจะเป็น overhang กดดันราคาหุ้น AOT ในระยะสั้นนี้ จึงแนะนำหลีกเลี่ยงลงทุนระยะสั้นออกไปก่อน ทั้งนี้นักลงทุนที่สนใจหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว แนะนำ MINT ERW เป็นทางเลือกลงทุน

ดร.คงกระพัน ติดอันดับ 1 ใน 100 ซีอีโอชั้นนำของโลก PTTบริษัทเดียวในไทยที่ติดอันดับมูลค่าแบรนด์สูงสุดใน Brand Finance Global 500 ปี 2568

ดร.คงกระพัน ติดอันดับ 1 ใน 100 ซีอีโอชั้นนำของโลก PTTบริษัทเดียวในไทยที่ติดอันดับมูลค่าแบรนด์สูงสุดใน Brand Finance Global 500 ปี 2568

         หุ้นวิชั่น - ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ได้รับการจัดอันดับที่ 66 จาก 100 CEO ชั้นนำของโลก และอยู่ในอันดับที่ 4 ของผู้นำในกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซ ที่ส่งเสริมการสร้างมูลค่าแบรนด์องค์กรจาก Brand Guardianship Index 2025 โดย Brand Finance ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการประเมินมูลค่าแบรนด์ชั้นนำของโลก โดยได้รับคะแนน 76.4 จาก 100 คะแนน ในดัชนี Brand Guardianship Index ผลการจัดอันดับสะท้อนถึงคุณลักษณะที่สำคัญของ CEO ในด้านต่างๆ ได้แก่ 1) ใส่ใจพนักงานอย่างแท้จริง 2) เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก 3) มีความน่าเชื่อถือ 4) เข้าใจความต้องการของลูกค้า 5) เป็นผู้นำด้านความยั่งยืน 6) มุ่งเน้นคุณค่าในระยะยาว 7) มีกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน 8) เข้าใจความสำคัญของแบรนด์และชื่อเสียงองค์กร และ 9) มีไหวพริบทางธุรกิจ          นอกจากนี้ CEO ปตท. ยังได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 2 ของโลกด้านการรับรู้เรื่องความยั่งยืน ตามผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างประมาณ 5,000 คน ในกว่า 30 ประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำที่บริหารธุรกิจอย่างยั่งยืนในระดับโลก        โดยในปีนี้ ปตท. ยังคงได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ติดหนึ่งใน 500 แบรนด์แรกของโลกที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุด โดยอยู่ในอันดับที่ 249 สูงขึ้นจากอันดับ 267 ในปี 2567 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้รับการประเมินมูลค่าแบรนด์สูงกว่าเก้าพันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโตกว่าร้อยละ 11 ซึ่งมีเกณฑ์ในการพิจารณา อาทิ ผลการดำเนินงาน ความแข็งแกร่งของแบรนด์ และความยึดมั่นในแบรนด์ที่ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติ        Mr. Alex Haigh, Managing Director – Asia Pacific of Brand Finance กล่าวว่า ดร.คงกระพัน แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ และการขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน โดยความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าระยะยาว การพัฒนาอย่างยั่งยืน และความเป็นเลิศทางธุรกิจ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้ ปตท. เป็นแบรนด์ไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ติดอันดับ Brand Finance Global 500 และมีชื่อเสียงระดับสากลในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคพลังงาน        ดร.คงกระพัน กล่าวเพิ่มเติมว่า การได้รับการจัดอันดับบริษัทที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดของโลกเป็นผลเนื่องมาจากพันธกิจขององค์กรที่ชัดเจนในการมุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องบนหลัก “ความยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมถึงการกำกับดูแลกิจการที่ดี ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ตลอดจนการสนับสนุนจากคนไทยทุกภาคส่วนที่ให้ความเชื่อมั่นในการดำเนินงานของ ปตท.         นอกเหนือไปจากการดูแลรักษาเสถียรภาพทางด้านพลังงานแล้ว ปตท. ยังคงดูแลสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย และพร้อมช่วยเหลือประเทศชาติในยามที่เกิดภาวะวิกฤติ และดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล ทั้งนี้ เพื่อเติบโตและมุ่งสู่การเป็นขององค์กรในระดับโลกอย่างยั่งยืน และสร้างมูลค่าแบรนด์ที่แข็งแกร่งยกระดับขีดความสามารถขององค์กรสู่ระดับสากล

PIS ควง SKY คว้างาน NT มูลค่า 992 ลบ. เดินหน้านโยบาย “LEVEL-UP THAILAND”

PIS ควง SKY คว้างาน NT มูลค่า 992 ลบ. เดินหน้านโยบาย “LEVEL-UP THAILAND”

           หุ้นวิชั่น - บมจ.โปร อินไซด์ (PIS)  ฟอร์มเจ๋ง! กิจการค้าร่วม SP ที่ร่วมกับ SKY คว้างาน NT มูลค่ากว่า 992 ล้านบาท เดินหน้านโยบาย “LEVEL-UP THAILAND” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยด้วยเทคโนโลยี ดัน Backlog พุ่งแตะ 3,000  ล้านบาท  ฟากผู้บริหาร "เบญญาภา เฉลิมวัฒน์" แย้มอยู่ระหว่างร่วมประมูลงานภาครัฐหลายโปรเจค หลังจากได้เงินไอพีโอ เพิ่มโอกาสคว้างานใหญ่เติมพอร์ต มั่นใจรายได้ปี 68 เติบโตเกิน 15% ตามนัด            นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) ผู้ให้บริการ ICT Solution ครบวงจร เปิดเผยว่า กิจการค้าร่วม เอสพี (SP Consortium) ของ PIS ที่จับมือร่วมกับ บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) (SKY) โดยแบ่งสัดส่วนรับผิดชอบดำเนินโครงการ PIS 49% และ SKY 51% ได้มีการลงนามในสัญญาโครงการจัดซื้อระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทยกับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) มูลค่า 992 ล้านบาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เพื่อรองรับโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย กิจกรรมที่ 1 การพัฒนาระบบบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ โดยมีระยะเวลาการดำเนินงาน 180 วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา            ระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข คือ การนำระบบและเทคโนโลยีดิจิทัลในรูปแบบแพลตฟอร์มกลางเข้ามาใช้ เพื่อเชื่อมโยงระบบการดูแลสุขภาพแบบดิจิทัล โดยข้อมูลสุขภาพของประชาชนจะสามารถเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ไร้รอยต่อ ตามแนวทางของเทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพ (eHealth Strategy) กระทรวงสาธารณสุข ในการนำพาประเทศไปสู่ Health 4.0 โดยมีเป้าหมายสำคัญ เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้เข้าถึงการบริการและการรักษาได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น            โดยหน่วยบริการสุขภาพสามารถเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลสำหรับการวินิจฉัย วางแผนการรักษา เพิ่มประสิทธิภาพในการส่งต่อการรักษาในกรณีฉุกเฉิน รองรับการให้บริการทางการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ลดความแออัดในโรงพยาบาล ช่วยยกระดับคุณภาพการให้บริการด้านสุขภาพให้มีมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตนเองได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น            "การได้รับงานของ NT ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานภาครัฐ ที่ให้ความไว้วางใจ PIS ในฐานะผู้นำการให้บริการ ICT Solution ครบวงจร ภายใต้ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ และเป็นมืออาชีพ มีประสบการณ์มายาวนาน"            ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PIS กล่าวอีกว่า หลังการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯผ่านการขายไอพีโอ ทำให้บริษัทฯมีเงินทุนพร้อมเข้าร่วมประมูลงานของภาครัฐที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น เพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต หลังจากได้รับงาน NT ในครั้งนี้ ทำให้งานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) แตะ 3,000 ล้านบาท รวมทั้งอยู่ระหว่างการประมูลงานและรอผลประมูลงานในหลายโปรเจค ซึ่งจะช่วยสนับสนุนแนวโน้มรายได้ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า เติบโตอย่างก้าวกระโดด และมั่นใจว่ารายได้ในปี 2568 จะเติบโตเกิน 15% ตามเป้าหมายที่วางไว้            ก่อนหน้านี้ กิจการค้าร่วม พี ที เอ็น พี ใอ (PTNPI) ที่ PIS ได้จับมือกับบริษัท พอร์ทัลเน็ท จำกัด (PORTALNET) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท สามารถเทเลคอม จำกัด (มหาชน) (SAMTEL) ได้มีการลงนามสัญญาจ้างกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สำหรับงานจ้างดูแลบำรุงรักษาระบบคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป สำหรับธุรกิจหลัก (รชธ.) และบูรณาการระบบงานที่เกี่ยวข้อง มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ PIS 46% และ PORTALNET 54%            ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเริ่มดำเนินการในเดือนเมษายน 2568 ระยะเวลาการดำเนินงาน 24 เดือน ซึ่งPIS จะสามารถทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่เริ่มให้บริการ            อนึ่ง บมจ.โปร อินไซด์ (PIS)  เป็นผู้นำในธุรกิจ ICT Solution  ให้บริการด้านการให้คำปรึกษา ออกแบบพัฒนา และติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารครบวงจร ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) SKY หรือ สกาย กรุ๊ป

[ภาพข่าว] IHL  ร่วมออกบูธแสดงสินค้าในงานระดับโลก NW Material Show February 2025

[ภาพข่าว] IHL ร่วมออกบูธแสดงสินค้าในงานระดับโลก NW Material Show February 2025

          หุ้นวิชั่น - คุณองอาจ ดำรงสกุลวงษ์ ประธานกรรมการบริหาร (คนที่ 1 จากซ้าย) และคุณวศิน ดำรงสกุลวงษ์ กรรมการและผู้จัดการทั่วไป (คนที่ 2 จากซ้าย) บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) หรือ IHL ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายหนังสำหรับรถยนต์ รองเท้า ร่วมออกบูธแสดงสินค้าของบริษัทในงานระดับโลกอย่าง NW Material Show February 2025 ที่เมือง Portland และ Oregon ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นงานแสดงวัสดุและเทคโนโลยีชั้นนำที่มีผู้ประกอบการจากหลากหลายประเทศเข้าร่วม โดย IHL ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์หนังคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดสากล

AOT แจงยิบ ไม่ได้แก้ไขสัญญาสัมปทาน “คิง เพาเวอร์” ยังดำเนินการตามสัญญา

AOT แจงยิบ ไม่ได้แก้ไขสัญญาสัมปทาน “คิง เพาเวอร์” ยังดำเนินการตามสัญญา

         หุ้นวิชั่น - บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตามที่ปรากฏหัวข้อข่าวในหนังสือพิมพ์รายวัน “ข่าวหุ้นธุรกิจ” เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ระบุว่า “คิงเพาเวอร์เผชิญสภาพคล่องตกต่ำ จับตาอาจต้องแก้สัญญาเพิ่ม” นั้น บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า ทอท.มิได้ทำการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์จากกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด และยังคงดำเนินการตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง โดย ทอท.ขอชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ดังนี้          1.สารสนเทศดังกล่าวได้ระบุถึง ความเห็นของนักวิเคราะห์ที่ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารของ ทอท. โดย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุว่า ปัญหาสภาพคล่องของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์อาจมีผลกระทบต่อรายได้ของ ทอท. หากสถานการณ์นี้ยังยืดเยื้อ ซึ่งอาจนําไปสู่การเจรจาปรับเงื่อนไข เกี่ยวกับข้อตกลงสัมปทาน โดยเฉพาะในเรื่องค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum Guarantee) ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของ ทอท.จากการสัมปทานดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันรายได้จากสัมปทานมีสัดส่วนประมาณ 33% ของรายได้รวมที่ ทอท. คาดว่าจะได้รับในปีงบประมาณ 2568 และยังเป็นแหล่งกําไรหลักของ ทอท. หากมีการปรับเงื่อนไขสัมปทานจริง อาจส่งผลกระทบต่อประมาณการกําไรของ ทอท. ในด้านการลงทุน CGSI มองว่าสถานการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่แน่นอน ซึ่งอาจทำให้เกิดความกังวลจากนักลงทุน โดยคาดว่าราคาหุ้นของ ทอท.อาจได้รับแรงกดดันในเชิงลบในระยะสั้น เช่นเดียวกับบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จํากัด (มหาชน) หรือ KS ระบุว่า ทอท.กําลังเผชิญกับปัญหาลูกหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้น จากการที่ผู้รับสัมปทานขอเลื่อนการชําระเงินออกไปอีก 18 เดือน โดยระหว่างนี้ผู้รับสัมปทานจะต้องจ่ายค่าปรับในอัตราประมาณ 18% ต่อเดือน          2. ทอท.ขอชี้แจงว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) มีหนังสือถึง ทอท. ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2567 เรื่อง ขอความอนุเคราะห์เลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากการประกอบกิจการจำหน่าย สินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ทสภ.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) และท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) โดยระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในหลายประเทศตั้งแต่ต้นปี 2563 ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะต่อ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย รวมถึง KPD ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างรุนแรง เนื่องจากรัฐบาล ได้ออกข้อกำหนดในการจำกัดและควบคุมการเดินทางอย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้จำนวน เที่ยวบินและผู้โดยสารลดลงอย่างมาก ทำให้ KPD ไม่สามารถดำเนินธุรกิจตามสัญญาได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ KPD ประสบปัญหาสถานการณ์โควิด-19 นั้น KPD ก็พยายามประคับประคองธุรกิจให้ดำเนินการต่อ เพื่อให้ธุรกิจรวมถึงพนักงานทุกคนสามารถอยู่รอดในสภาวะที่ยากลำบากนี้ อันเกิดจากการที่ร้านค้าจำหน่ายสินค้า ปลอดอากรต้องปิดร้านค้าชั่วคราวตามคำสั่งของรัฐบาลอันเนื่องมาจากสถานการณ์ของโรคโควิด-19 และเป็นเหตุให้พนักงานขายต้องขาดรายได้หลัก และส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพอย่างมาก แต่ด้วยความอนุเคราะห์ของ ทอท. ที่ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการฯ ในสนามบิน โดยการให้ผู้ประกอบการฯ เลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ ตอบแทนเพื่อให้สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ จากการที่ KPD ได้รับมาตรการการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทน จาก ทอท. KPD จึงสามารถดูแลและเยียวยาพนักงานของ KPD ได้จนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ของ โรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย แต่ KPD ยังคงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง และไม่สามารถฟื้นคืนธุรกิจได้อย่าง เต็มที่ตามที่เคยประเมินไว้ รวมถึงความจําเป็นที่ต้องลงทุนเป็นจำนวนมากเพื่อการปรับปรุง ก่อสร้าง ติดตั้งระบบต่าง ๆ ภายในอาคารผู้โดยสาร ทสภ., ทภก. และ ทดม. เป็นผลให้ KPD ประสบปัญหาสภาพคล่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกเหนือจากนั้น การที่สถาบันการเงินมีนโยบายไม่ปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติม รวมถึงการทยอยครบกำหนดชำระหนี้ต่าง ๆ กับสถาบันการเงิน และค่าผลประโยชน์ตอบแทนที่ครบกำหนดชำระให้แก่ ทอท. (งวดปกติและงวดที่ถึงกำหนดชําระ จากการเลื่อนชําระ) และการชําระค่าสินค้าที่ได้สั่งซื้อไว้กับ Supplier (ซึ่งเป็นหัวใจหลักเพื่อให้มีสินค้าไว้จําหน่าย) ทำให้สถานะทางการเงินของ KPD ที่มีภาระต้องชําระค่าภาระต่าง ๆ เกิดการกระจุกตัวในช่วงที่ผ่านมาเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้น จำนวนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ KPD ต้องชําระให้แก่ ทอท.นั้น คิดเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง จากการที่ประมาณการเติบโตของยอดใช้จ่ายของผู้โดยสารไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เนื่องจากประมาณการที่เติบโตฯ ดังกล่าวประเมินจากสถานการณ์ก่อนเกิดวิกฤตการณ์โรคโควิด-19 เป็นผลให้สัดส่วนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก เมื่อเทียบกับรายได้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยอดขายสินค้าปลอดอากรต่อผู้โดยสารก็ไม่เป็นไปตาม เป้าหมายที่กำหนดไว้ เนื่องจากการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ผู้โดยสารระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และการใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าปลอดอากรก็เติบโตน้อยลงกว่าที่ได้ประมาณการไว้ จากเหตุผลดังกล่าวเป็นเหตุให้รายได้ ของ KPD ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และประสบกับปัญหาขาดทุน โดยในปี 2566 ขาดทุนถึง จำนวน 651,512,785 บาท ซึ่ง KPD ได้พยายามดำเนินการในหลากหลายรูปแบบเพื่อให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น แต่นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 จนถึงปัจจุบัน KPD ก็ยังคงประสบภาวะขาดทุนมาโดยตลอด จากข้อเท็จจริงดังกล่าว KPD จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องขอความอนุเคราะห์จาก ทอท. ในการเลื่อนการชําระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำซึ่งครบกำหนดชําระตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 จนถึง เดือนกรกฎาคม 2568 (รวม 12 งวด) ออกไปเป็นระยะเวลางวดละ 18 เดือน ซึ่งจะทำให้ KPD มีระยะของช่องว่าง ทางการเงินที่เพียงพอกับการฟื้นฟูให้สภาพคล่องของ KPD กลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง รวมถึงการขอเลื่อน ชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนนับแต่งวดชําระปลายเดือนสิงหาคม 2567 นั้น สืบเนื่องมาจากช่วงดังกล่าวเริ่มเข้าสู่ ฤดูท่องเที่ยว (Peak Season) KPD คาดการณ์ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย ในช่วง Peak Season ดังนั้น KPD จึงต้องเตรียมความพร้อมเพื่อการสั่งซื้อสินค้ามาจําหน่ายเพิ่มเติม เพื่อรองรับ ผู้โดยสารที่มาใช้บริการ ณ ทสภ. ทภก. และ ทดม. ในช่วงดังกล่าว และเพื่อให้สามารถผลักดันยอดรายได้จากฤดูกาล ท่องเที่ยวที่กําลังจะมาถึงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถกระทำได้ นอกจากนี้ การเลื่อนชําระค่าผลประโยชน์ตอบแทน ขั้นต่ำดังกล่าวจะทำให้ KPD ไม่มีภาระเพิ่มเติมในช่วงระหว่างการเลื่อนชําระ และจะทำให้KPD สามารถแก้ปัญหา สภาพคล่องในปัจจุบันตามที่กล่าวข้างต้นได้ โดย KPD คาดหวังว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น และจะทำให้สภาพคล่อง ทางการเงินดีขึ้นตามลำดับ และกลับเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงปี 2569 ทั้งนี้ KPD ใคร่ขอเรียนว่าการขอเลื่อนการชําระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตามที่กล่าว ข้างต้นนั้น เกิดจากผลกระทบจากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้นพร้อมกันและต่อเนื่อง (ตามข้อเท็จจริงที่เรียนไว้ข้างต้น) อันเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ของสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ไม่คาดคิดและเป็นเหตุสุดวิสัยที่ KPD ไม่สามารถควบคุมได้ จนส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน (ถึงแม้สถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับก็ตาม) ทำให้รายได้ของ KPD ไม่เป็นไปตามที่ KPD คาดการณ์ไว้และนํามาสู่ปัญหาสภาพคล่องทางการเงินที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้          3.ทอท.ได้พิจารณาหนังสือดังกล่าวจาก KPD ตามข้อ 2 แล้ว และได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจาก ผลประกอบการตามสัญญา พบว่าสัดส่วนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของ KPD อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก เมื่อเทียบกับ รายได้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยอดขายสินค้าปลอดอากรต่อผู้โดยสารก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้จึงมีความเห็นว่า KPD ประสบปัญหาสภาพคล่องตามที่ได้ระบุในหนังสือฯ จริง และการดำเนินการดังกล่าวเป็นการแจ้งการผิดนัดชำระหนี้ ตามเงื่อนไขในสัญญา ซึ่งไม่เกิดความเสียหายแก่ ทอท. แต่เนื่องจากสัญญาได้ระบุค่าปรับผิดนัดชำระไว้ที่ร้อยละ 18 ทอท.จึงแจ้งต่อคู่สัญญา ตามหนังสือที่ ทอท.16818/2567 อนุญาตให้KPD เลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ของเดือนกันยายน 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ออกไปเป็นระยะเวลางวดละ 18 เดือน โดยไม่ยกเว้นการเรียกเก็บ ค่าปรับจากการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนดังกล่าว          4.ที่ผ่านมา ในปี 2567 ผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง เช่น กลุ่มผู้ประกอบการร้านค้าเชิงพาณิ ชย์ ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากร (Duty Free) กลุ่มผู้ประกอบการรถเช่า สายการบินบางราย และบริษัทร่วม ต่างประสบปัญหาในทิศทางเดียวกันกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ดังระบุในข้อ 3 เป็นผลให้ในปี 2567 มีผู้ประกอบการกว่า 70 ราย ขอเลื่อนชำระ/ผ่อนชำระ ขอยกเลิก ประกอบกิจการ ขอลดขนาดพื้นที่ จากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้ประกอบการฯ สายการบิน หรือคู่ค้าอื่น ๆ ของ ทอท. ประสบปัญหาจากการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ทอท. เช่น ผลประกอบการขาดทุน จนทำให้สภาพคล่อง ไม่เพียงพอที่จะชำระค่าใช้จ่ายให้แก่ ทอท.ตามกำหนด ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการฯ ของ ทอท.โดยเฉลี่ยมีการชำระ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำสูงกว่าอัตราส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) เกินกว่าร้อยละ 50 ในการนี้ ผู้ประกอบการฯ บางส่วนจึงได้แสดงเจตนาพร้อมเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนเพื่อขอผ่อนชำระ ขยายระยะเวลา การชำระเงิน หรือปรับโครงสร้างการชำระเงิน โดย ทอท.ได้พิจารณาถึงผลกระทบต่อ ทอท.แล้ว พบว่าการอนุญาตให้ ผู้ประกอบการฯ ปรับโครงสร้างการชำระเงินจะเป็นประโยชน์กับ ทอท.มากกว่าการไม่อนุญาตให้ผู้ประกอบการฯ ดำเนินการตามที่ร้องขอ รวมทั้งดีกว่าการยกเลิกสัญญาและทำการประมูลใหม่ เนื่องจากอาจทำให้ ทอท.ได้รับ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนต่ำกว่าที่เคยได้รับอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ผ่านมา ทอท.จะเรียกเก็บค่าปรับจากการผิดนัดชำระ ที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขสัญญาในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราค่าปรับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเบี้ยปรับของรัฐวิสาหกิจอื่น และสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2564 ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี อย่างมีนัยสำคัญ          5.ดังนั้น เพื่อให้ ทอท.ยังสามารถรักษาผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่มีศักยภาพ แต่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างต่อเนื่อง ภายหลังสถานการณ์แพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 รวมถึงสถานการณ์สงครามในยูเครนและอิสราเอล ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ทอท.จึงได้จัดทำ โครงการขยายระยะเวลาชำระเงินของผู้ประกอบการฯ และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง ที่เผชิญ สภาพคล่องตกต่ำ เสนอคณะกรรมการ ทอท. ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ซึ่งที่ประชุม ได้มีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ ดังกล่าว โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ 5.1.1 ผู้ประกอบการฯ และสายการบินจะต้องมีหนังสือแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ ล่วงหน้าก่อนวันครบกำหนดชำระเงินตามสัญญา พร้อมทั้งต้องแสดงเหตุผลของการขาดสภาพคล่องให้ ทอท.พิจารณา ภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 5.1.2 ผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่ขอเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องมีหลักประกันสัญญา และวงเงินของหลักประกันสัญญาต้องครอบคลุมเงินต้นรวมกับค่าปรับจากการผิดนัดชำระในอัตรา 18% ต่อปี 4 5.1.3 ผู้ประกอบการฯ และสายการบินจะสามารถเลื่อน และ/หรือแบ่งชำระค่าผลประโยชน์ ตอบแทน หรือค่าบริการสนามบิน (Landing and Parking Charges) โดยระยะเวลาที่ขอเลื่อน และ/หรือแบ่งชำระ งวดสุดท้ายจะต้องสิ้นสุดไม่เกินอายุสัญญาและไม่เกิน 24 เดือน นับถัดจากเดือนที่ ทอท.มีมติอนุมัติโครงการฯ (มกราคม 2570) 5.1.4 ผู้ประกอบการฯ และสายการบินต้องชำระดอกเบี้ยของยอดเงินที่ขอเลื่อน และ/หรือ แบ่งชำระทุกเดือน ตามอัตราที่ ทอท.กำหนด โดยอัตราดอกเบี้ย (ร้อยละต่อปี) คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย ที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (Minimum Loan Rate : MLR) ของธนาคารพาณิชย์ ขนาดใหญ่ 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบวกเพิ่มอีก 2% ต่อปีซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะต้องไม่น้อยกว่าต้นทุนทางการเงิน (Weighted Average Cost of Capital : WACC) ของ ทอท. โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR และ WACC ณ วันที่ผู้ประกอบการฯ และสายการบินแต่ละราย ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ทอท.อนุมัติเป็นต้นไป โดยไม่มีผลย้อนหลัง (ผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องชำระดอกเบี้ยให้ ทอท. ทุกเดือน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง ซึ่งโดยปกติแล้ว ทอท.จะเรียกเก็บดอกเบี้ยกรณีผิดนัดชำระพร้อมกับเงินต้น ในคราวเดียวกัน) 5.1.5 ในกรณี ที่ผู้ประกอบการฯ และสายการบินผิดนัดชำระเงินของโครงการฯ งวดใดงวดหนึ่งหรือมีหนี้สินเกิดขึ้นใหม่ ให้ถือว่าสิทธิ์ตามโครงการนี้สิ้นสุดลงทันที และ ทอท.จะดำเนินการตามเงื่อนไข สัญญาต่อไป 5.1.6 ทอท.ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาตามความเหมาะสมและยกเลิกโครงการฯ ได้และ ให้ผลการพิจารณาของ ทอท. ถือเป็นที่สุด จากการชี้แจงดังกล่าว ทอท.ขอยืนยันว่า ทอท.มิได้ทำการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จากกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด และยังคงดำเนินการตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง โดย ปฏิบัติตาม หลักธรรมาภิบาล และหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างเคร่งครัด

คัด 8 หุ้น Laggard คาดดัชนี้ SET ผันผวน

คัด 8 หุ้น Laggard คาดดัชนี้ SET ผันผวน

          หุ้นวิชั่น  - บล.เอเซียพลัส ประเมินดัชนีดูผันผวน แต่..หุ้นรายตัวมีโอกาสฟื้นในวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง -12 จุด มาอยู่ที่ 1272 จุด โดยหลักถูกกดดันจาก 2 บริษัท ถึง 11 จุด จาก AOT -8.56 จุด และ DELTA -2.5 จุด ความผันผวนจากทั้ง 2 บริษัทยังมีต่อในวันนี้จาก DELTA กำไรต่ำคาด -60% และ AOT กังวลประเด็นลูกหนี้ขยาย ระยะเวลาในการชำระ ประเมินทุกๆ การเปลี่ยนแปลง 1 บาท ของ AOT กดดัน SET -1.15 จุด กดดัน SET50 -1 จุดและทุกๆ การเปลี่ยนแปลง DELTA กดดัน SET -1 จุด กดดัน SET50 -0.9 จุด           แม้ดัชนี SET Index จะผันผวน แต่หากลงรายละเอียดเป็นรายหุ้นผ่าน AD Line พบว่า เริ่มมีจำนวนหุ้นที่ปรับตัวลงน้อยลง (ลงกระจุก) และจำนวนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากขึ้น (ขึ้นกระจายตัวมากขึ้น) ขณะเดียวกันต่างชาติเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดการเงินไทยมากขึ้น โดยซื้อสุทธิทุกตลาดในเดือน ก.พ. (mtd) เริ่มจากต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 1.4 พันล้านบาท (mtd) , ซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทย 5.6 พันล้านบาท (mtd), ซื้อสุทธิ SET50Futures 75,769 สัญญา ตรงกันข้ามกับสถาบันในประเทศ ขายสุทธิหุ้นไทย -8.2 พันล้านบาท (mtd)           กลยุทธ์การลงทุนเริ่มเห็น Rotation มาที่หุ้น Laggard แนะนำ CPALL, HMPRO, BDMS, GPSC, MINT, IVL, SCGP, AP

AOT ยันไม่แก้ไขสัญญาสัมปทาน คิงเพาเวอร์แค่เลื่อนจ่าย

AOT ยันไม่แก้ไขสัญญาสัมปทาน คิงเพาเวอร์แค่เลื่อนจ่าย

         หุ้นวิชั่น – AOT หรือ ทอท.ยัน มิได้ทำการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และยังคงดำเนินการตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง แค่เลื่อนจ่ายผลประโยชน์ และชำระค่าปรับ 18 % ตามสัญญา นายกฤช ภาคากิจ เลขานุการบริษัท ทอท. หรือ AOT ได้ชี้แจงมายังตลาดหลักทรัพย์ว่า ได้พิจารณาหนังสือดังกล่าวจาก บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด หรือ KPD เรื่อง ขอความอนุเคราะห์เลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากการประกอบกิจการจำหน่าย สินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) และท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.)          โดยระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในหลายประเทศตั้งแต่ต้นปี 2563 ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะต่อ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย รวมถึง KPD ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างรุนแรง          และได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจาก ผลประกอบการตามสัญญา พบว่าสัดส่วนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของ KPD อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก เมื่อเทียบกับ รายได้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยอดขายสินค้าปลอดอากรต่อผู้โดยสารก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จึงมีความเห็นว่า KPD ประสบปัญหาสภาพคล่องตามที่ได้ระบุในหนังสือฯ จริง          และการดำเนินการดังกล่าวเป็นการแจ้งการผิดนัดชำระหนี้ ตามเงื่อนไขในสัญญา ซึ่งไม่เกิดความเสียหายแก่ ทอท. แต่เนื่องจากสัญญาได้ระบุค่าปรับผิดนัดชำระไว้ที่ร้อยละ 18 ทอท.จึงแจ้งต่อคู่สัญญา ตามหนังสือที่ ทอท.16818/2567 อนุญาตให้ KPD เลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ของเดือนกันยายน 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ออกไปเป็นระยะเวลางวดละ 18 เดือน โดยไม่ยกเว้นการเรียกเก็บ ค่าปรับจากการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนดังกล่าว          ที่ผ่านมา ในปี 2567 ผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ ง 6 แห่ง เช่น กลุ่มผู้ประกอบการร้านค้าเชิงพาณิชย์ ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากร (Duty Free) กลุ่มผู้ประกอบการรถเช่า สายการบินบางราย และบริษัทร่วม ต่างประสบปัญหาในทิศทางเดียวกันกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์  เป็นผลให้ในปี 2567 มีผู้ประกอบการกว่า 70 ราย ขอเลื่อนชำระ/ผ่อนชำระ ขอยกเลิก ประกอบกิจการ ขอลดขนาดพื้นที่ จากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้ประกอบการฯ สายการบิน หรือคู่ค้าอื่น ๆ ของ ทอท. ประสบปัญหาจากการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ทอท. เช่น ผลประกอบการขาดทุน จนทำให้สภาพคล่อง ไม่เพียงพอที่จะชำระค่าใช้จ่ายให้แก่ ทอท.ตามกำหนด          ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการฯ ของ ทอท.โดยเฉลี่ยมีการชำระ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำสูงกว่าอัตราส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) เกินกว่าร้อยละ 50 ในการนี้ ผู้ประกอบการฯ บางส่วนจึงได้แสดงเจตนาพร้อมเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนเพื่อขอผ่อนชำระ ขยายระยะเวลา การชำระเงิน หรือปรับโครงสร้างการชำระเงิน          โดย ทอท.ได้พิจารณาถึงผลกระทบต่อ ทอท.แล้ว พบว่าการอนุญาตให้ ผู้ประกอบการฯ ปรับโครงสร้างการชำระเงินจะเป็นประโยชน์กับ ทอท.มากกว่าการไม่อนุญาตให้ผู้ประกอบการฯ ดำเนินการตามที่ร้องขอ รวมทั้งดีกว่าการยกเลิกสัญญาและทำการประมูลใหม่ เนื่องจากอาจทำให้ ทอท.ได้รับ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนต่ำกว่าที่เคยได้รับอย่างมีนัยสำคัญ          โดยที่ผ่านมา ทอท.จะเรียกเก็บค่าปรับจากการผิดนัดชำระ ที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขสัญญาในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราค่าปรับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเบี้ยปรับของรัฐวิสาหกิจอื่น และสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2564 ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี อย่างมีนัยสำคัญ          ดังนั้น เพื่อให้ ทอท.ยังสามารถรักษาผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่มีศักยภาพ แต่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างต่อเนื่องภายหลังสถานการณ์แพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 รวมถึงสถานการณ์สงครามในยูเครนและอิสราเอล ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้          ทอท.จึงได้จัดทำ โครงการขยายระยะเวลาชำระเงินของผู้ประกอบการฯ และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง ที่เผชิญ สภาพคล่องตกต่ำ เสนอคณะกรรมการ ทอท. ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ซึ่งที่ประชุม ได้มีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ ดังกล่าว โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ ผู้ประกอบการฯ และสายการบินจะต้องมีหนังสือแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ ล่วงหน้าก่อนวันครบกำหนดชำระเงินตามสัญญา พร้อมทั้งต้องแสดงเหตุผลของการขาดสภาพคล่องให้ ทอท.พิจารณา ภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 ผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่ขอเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องมีหลักประกันสัญญา และวงเงินของหลักประกันสัญญาต้องครอบคลุมเงินต้นรวมกับค่าปรับจากการผิดนัดชำระในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี 4 5.1.3          ผู้ประกอบการฯ และสายการบินจะสามารถเลื่อน และ/หรือแบ่งชำระค่าผลประโยชน์ ตอบแทน หรือค่าบริการสนามบิน (Landing and Parking Charges) โดยระยะเวลาที่ขอเลื่อน และ/หรือแบ่งชำระ งวดสุดท้ายจะต้องสิ้นสุดไม่เกินอายุสัญญาและไม่เกิน 24 เดือน นับถัดจากเดือนที่ ทอท.มีมติอนุมัติโครงการฯ (มกราคม 2570)          ผู้ประกอบการฯ และสายการบินต้องชำระดอกเบี้ยของยอดเงินที่ขอเลื่อน และ/หรือ แบ่งชำระทุกเดือน ตามอัตราที่ ทอท.กำหนด โดยอัตราดอกเบี้ย (ร้อยละต่อปี) คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย ที่ ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (Minimum Loan Rate : MLR) ของธนาคารพาณิชย์ ขนาดใหญ่ 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบวกเพิ่มอีกร้อยละ 2 ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะต้องไม่น้อยกว่าต้นทุนทางการเงิน (Weighted Average Cost of Capital : WACC) ของ ทอท. โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR และ WACC ณ วันที่ผู้ประกอบการฯ และสายการบินแต่ละราย ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ทอท.อนุมัติเป็นต้นไป โดยไม่มีผลย้อนหลัง (ผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องชำระดอกเบี้ยให้ ทอท. ทุกเดือน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง ซึ่งโดยปกติแล้ว ทอท.จะเรียกเก็บดอกเบี้ยกรณีผิดนัดชำระพร้อมกับเงินต้น ในคราวเดียวกัน)          ในกรณีที่ผู้ประกอบการฯ และสายการบินผิดนัดชำระเงินของโครงการฯ งวดใดงวดหนึ่งหรือมีหนี้สินเกิดขึ้นใหม่ ให้ถือว่าสิทธิ์ตามโครงการนี้สิ้นสุดลงทันที และ ทอท.จะดำเนินการตามเงื่อนไข สัญญาต่อไป 5.1.6 ทอท.ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาตามความเหมาะสมและยกเลิกโครงการฯ ได้ และ ให้ผลการพิจารณาของ ทอท. ถือเป็นที่สุด          จากการชี้แจงดังกล่าว ทอท.ขอยืนยันว่า ทอท.มิได้ทำการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จากกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด และยังคงดำเนินการตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง โดยปฏิบัติตาม หลักธรรมาภิบาล และหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างเคร่งครัด

ASL คาด SET แกว่งตัว “Sideway” กรอบ 1,260-1,292 จุด ชี้ GPSC เด่น!

ASL คาด SET แกว่งตัว “Sideway” กรอบ 1,260-1,292 จุด ชี้ GPSC เด่น!

          หุ้นวิชั่น - บล.เอเอสแอล ประเมินแนวโน้ม SET Index แนวโน้ม SET Index ประเมินแกว่งตัว Sideway ในกรอบ 1,260-1,292 จุด โดยตลาดซึมซับแผนเก็บภาษีตอบโต้ของทรัมป์ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ จะพิจารณาแต่ละประเทศเป็นรายกรณีและคาดว่าการศึกษาในประเด็นนี้จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 เม.ย. ทั้งนี้ตลาดให้ความสำคัญกับทรัมป์ว่าเขาจะทำอะไร และทิศทางการตอบโต้ทางด้านภาษีจะเป็นไปในทิศทางไหน รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดครั้งแรกของปีนี้หลังเจอปัจจัยกดดันมั้งการเก็บภาษีเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25%, การเพิ่มขึ้นของ CPI ที่สูงกว่าคาด และความเห็นในเชิงคุมเข้มนโยบายของพาวเวล ทำให้คาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงดอกเบี้ยจนถึงมิ.ย.           สำหรับปัจจัยในประเทศมีมาตรการ Jump+ จาก ตลท. ที่จะเสนอแก่ก.คลัง ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นตลาดระยะกลาง โดยจะมีการเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเสนอยกเว้นภาษีกำไรส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นระหว่างร่วมโครงการหากสามารถเติบโตได้ตามแผน รวมทั้งไม่เก็บภาษีย้อนหลังกับบริษัทนอกตลาดที่ถูกควบรวมหรือซื้อกิจการกับบริษัทในโครงการ           นอกจากนี้ยังสนับสนุนการทำ M&A เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของผลประกอบการบจ. ขณะที่มาตรการระยะสั้น จะมีการรื้อฟื้น กองทุน LTF ซึ่งจะศึกษาและนำเสนอแนวทางการย้ายกองมายัง TESG เพื่อสนับสนุน Trust & Confidence รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนใน ESG มองเป็นบวกต่อกลุ่ม Big cap. ส่วนด้าน Earnings season มีรายงานงบ DELTA ต่ำคาด 60% และ TOP ดีกว่าคาด 23% รวมถึงประเด็นของ AOT ที่อาจกระทบต่อกลุ่มธนาคาร           นอกจากนี้ติดตาม  PMI สหรัฐฯ ยุโรป, ข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯ ตัวเลข GDP ของไทย และฝันสุดท้ายของการ Hearingเกณฑ์ Cap weigh.           Stock Pick: GPSC แนวโน้มผลงาน 4Q24 เติบโตเด่น เป้าเชิงกลยุทธ์ที่ 31.00 บาท

AOT โบรกมองราคาหุ้นปรับลง  โอกาส หรือ ความเสี่ยง?

AOT โบรกมองราคาหุ้นปรับลง โอกาส หรือ ความเสี่ยง?

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ประเมินหุ้น AOT โดยฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ Buy ราคาเป้าหมาย (TP25F) 64.50 บาท ราคาหุ้น AOT ลดลง -14%dd มาปิดที่ 47 บาท ใกล้กรณีWorst case หากต้องยกเลิกสัญญา King Power ขณะที่ฝ่ายวิจัยประเมินมีความเป็นไปได้น้อย จากอุตฯการบินฟื้นตัวหนุน King Power กลับมาชำระหนีได้ตามปกติ           นอกจากนี้หุ้น AOT ยังมีUpside 10-20% จากการเรียกเก็บ PSC transit/transfer และขึ้น ค่า PSC ฝ่ายวิจัยงมองเป็นโอกาส “ทยอยสะสม” ราคาหุ้น AOT ถูกกดดันจาก Sentiment ลบความเสี่ยงหากต้องประมูลสัมปทาน Duty Free สุวรรณภูมิใหม่ และได้MG ต่ำกว่าสัญญาปัจจุบัน           อย่างไรก็ตาม ประเมินมีโอกาสน้อยที่จะเกิดการประมูลใหม่ และกรณีWorst case หากประมูลใหม่แล้ว MG กลับไปเท่ากับสัญญาสัมปทานก่อนหน้ามูลค่าพื้นฐานจะอยู่ที่ 46.18 บาท ใกล้เคียงราคาปิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา           นอกจากนี้ราคาเป้าหมายมีโอกาสเกิด Upside +6.75 ถึง +13.75 บาท/หุ้น จากการเก็บค่า PSC transit/transfer และการขึ้นค่า PSC ที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีปฎิทิน 2025 (คาดผลการศึกษาแล้วเสร็จกลางปี2025)           ฝ่ายวิจัยจึงมองราคาหุ้น AOT ที่ลดลงจากความกังวลข้างต้นเป็นโอกาส “ทยอยสะสม” หุ้น AOT ที่เป็นผู้ให้บริการสนามบินหลักของ ประเทศซึ่งมีโอกาสเติบโตตามอุตฯ ท่องเที่ยวไทย

ส่อง 15 หุ้นเด่น ช่วงเปลี่ยนผ่าน LTF สู่ ThaiESG2

ส่อง 15 หุ้นเด่น ช่วงเปลี่ยนผ่าน LTF สู่ ThaiESG2

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.เอเซียพลัส ระบุว่า รมต.คลัง พบแนวทางฟื้นตลาดหุ้นไทย ด้วยการยกระดับเก็บภาษีคนลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อสกัดเงินไหลออก และเตรียมจัดตั้งกองทุนประหยัดภาษี ThaiESG2 เป้าหมายลงทุนหุ้นไทย 100% ซึ่งจะเป็นการนำเงินกองทุน LTF ที่ครบอายุมาลงทุน โดยคาดว่าระยะเวลาถือครองกองใหม่อยู่ที่ 5 ปี           กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ หวังจะได้เม็ดเงินจากต่างชาติหนุน และกองทุนในประเทศหากมีการเปลี่ยนผ่านจาก LTF สู่ ThaiESG2 เน้นหุ้นขนาดใหญ่ Top 3 ในแต่ละ Sector ที่มี ESG Rating A ขึ้นไป รวมถึงยังมี P/E, PBV ต่ำกว่าปกติ อาทิ PTT CPALL BDMS CPN SCC CPF IVL TLI HMPRO PTTGC GPSC SCGP SAWAD TU AP เป็นต้น วันจันทร์นี้ ติดตาม GDP 4Q67 ไทย คาดโต 3.8% YoY และนักลงทุนเตรียมเฮรับกองทุน ThaiESG2 คาดลงทุนหุ้นไทย 100% คาดหนุนให้ SET สดใสในวันนี้           วันจันทร์นี้ ติดตาม GDP 4Q67 ไทย ซึ่ง Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ +3.8% YoY ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก รัฐบาลไทย ที่พยายามเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่างๆ ในไตรมาสดังกล่าว อาทิ แจกเงินเฟส 1, เติมเม็ดเงินให้ชาวนาไร่ละ 1000 บาท อีกทั้งไตรมาสนี้เป็น High Season ที่มีการจับจ่ายใช้สอยอยู่แล้ว ซึ่งหากตัวเลขดังกล่าว ออกมาเท่าคาด จะหนุนให้ GDP ทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ +2.65% YoY           ขณะที่ในปีหน้าสำนักเศรษฐกิจต่างๆ คาดการณ์ GDP 2568F ใกล้เคียงกับการประมาณการล่าสุดของ IMF และ WORLD BANK โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ +2.9% จากแรงหนุนภาคครัวเรือน (C) ทั้งการปรับขึ้นค่าจ้าง 400 บาท นำร่อง 4 จังหวัดเริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 68 โครงการ EASY E-RECEIPT, แจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2-3 รวมถึงภาคท่องเที่ยวไทยที่คาดหวังปัจจัยหนุนจากกระทรวงท่องเที่ยวออกโครงการกระตุ้นท่องเที่ยวในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ภายใต้ “โครงการไทยเที่ยวด้วยกัน” เฟส 6 ซึ่งจะเริ่มเปิดใช้สิทธิได้ในช่วงเดือน มิ.ย. 68           ขณะที่อีก 1 ประเด็นหนุน คือ รมต.คลังพบแนวทางฟื้นตลาดหุ้นไทย ด้วยการยกระดับเก็บภาษีคนลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อสกัดเงินไหลออก แล้วได้เม็ดเงินกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย ซึ่งล่าสุดมูลค่า Foreign Currency Deposit (FCD) อยู่ไทยยังอยู่ระดับสูงมากราว 8.2 แสนล้านบาท อีกทั้งเตรียมจัดตั้งกองทุนประหยัดภาษี ThaiESG2 เป้าหมายลงทุนหุ้นไทย 100% ซึ่งจะเป็นการนำเงินกองทุน LTF ที่ครบอายุมาลงทุน (มูลค่า AUM คงเหลือประมาณ 1.8 แสนล้านบาท) โดยคาดว่าระยะเวลาถือครองกองใหม่อยู่ที่ 5 ปี ซึ่ง รมต.คลัง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายใน 1-2 สัปดาห์นี้           ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ หวังจะได้เม็ดเงินจากต่างชาติหนุน และกองทุนในประเทศหากมีการเปลี่ยนผ่านจาก LTF สู่ ThaiESG2 เน้นหุ้นขนาดใหญ่ Top 3 ในแต่ละ Sector ที่มี ESG Rating A ขึ้นไป รวมถึงยังมี P/E, PBV ต่ำกว่าปกติ อาทิ PTT CPALL BDMS CPN SCC CPF IVL TLI HMPRO PTTGC GPSC SCGP SAWAD TU AP เป็นต้น

TFM โชว์กำไรปี 67 โต 513% ปรับกลยุทธ์ขายสินค้า-คุมต้นทุนวัตถุดิบ

TFM โชว์กำไรปี 67 โต 513% ปรับกลยุทธ์ขายสินค้า-คุมต้นทุนวัตถุดิบ

         หุ้นวิชั่น - บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์เศรษฐกิจของไทย รายงานผลประกอบการปี 2567 ด้วยกำไรสุทธิ 535 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 87 ล้านบาทในปี 2566 ถึง 513 เปอร์เซ็นต์ โชว์ผลงานแกร่งสุดในรอบ 3 ปี พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.77 บาทต่อหุ้นสำหรับครึ่งปีหลัง รวมทั้งปีปันผล 1.07 บาทต่อหุ้น นับเป็นการจ่ายเงินปันผลสูงสุดตั้งแต่ TFM เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย          นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจในปี 2567 เป็นช่วงเวลาที่ดีในการมุ่งเน้นการพัฒนากระบวนการผลิต การจัดการพอร์ตสินค้า และการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในฐานะผู้นำที่ผลิตอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์เศรษฐกิจที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของกลุ่มไทยยูเนี่ยน          โดยในปี 2567 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 5,365 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้น 1,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129% จากปีก่อนหน้า ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งนี้เป็นผลมาจากการควบคุมต้นทุนการผลิต การปรับกลยุทธ์การขายสินค้า และการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ          นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีหลังให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.77 บาทต่อหุ้น รวมทั้งปีปันผล 1.07 บาทต่อหุ้น นับเป็นการจ่ายเงินปันผลสูงที่สุดตั้งแต่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2564          สำหรับสัดส่วนยอดขายตามผลิตภัณฑ์ในปี 2567 แบ่งเป็นยอดขายอาหารกุ้ง 62 เปอร์เซ็นต์ อาหารปลา 30 เปอร์เซ็นต์ อาหารสัตว์บก 7 เปอร์เซ็นต์ และอื่นๆ ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ โดยอาหารกุ้งเป็นกลุ่มสินค้าที่เติบโตได้ดี โดยเพิ่มขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซียที่ยอดขายปรับตัวขึ้นถึง 127 เปอร์เซ็นต์ จากการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และการขยายพื้นที่การขายสินค้าให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น          ในขณะที่ยอดขายอาหารกุ้งในประเทศไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 6 เปอร์เซ็นต์ จากการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดอาหารกุ้งในประเทศ ในขณะที่สินค้าในกลุ่มอาหารปลาลดลง 6 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากปริมาณการเลี้ยงปลากะพงที่ลดต่ำลงระหว่างปี อย่างไรก็ดี ปัจจุบันราคาปลากะพงปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้ปริมาณการเลี้ยงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน          นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งขยายตลาดในกลุ่มอาหารปลาน้ำจืดเพิ่มเติม เช่น อาหารปลานิล ปลาทับทิม ปลาสลิด เป็นต้น เพื่อขยายฐานรายได้และกระจายความเสี่ยงผ่านการบริหารพอร์ตสินค้า          “กลยุทธ์ในปี 2568 ของ TFM จะเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์มุ่งสู่ปี 2573 ของกลุ่มไทยยูเนี่ยน โดยเราจะมุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก ด้วยการขยายธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ กลุ่มกุ้งและ ปลากะพงในประเทศไทย รวมถึง ขยายฐานธุรกิจในอินโดนีเซีย  ตลอดจนมุ่งเน้นและให้ความสำคัญในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างดีที่สุด รักษามาตรฐานการผลิต บริหารต้นทุนให้สามารถแข่งขันได้ ภายใต้มาตรฐานการรับรองที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เราเป็นผู้ผลิตสินค้าที่ได้รับการรับรอง ASC Feed แห่งแรกในเอเชีย เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในประเทศไทย” นายพีระศักดิ์ กล่าว

ยานยนต์เริ่มสดใส หุ้นไหนรับโชค เช็กเลย!

ยานยนต์เริ่มสดใส หุ้นไหนรับโชค เช็กเลย!

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่าสัญญาณเงินลงทุนต่างประเทศเข้าไทย + ภาคยานยนต์เป็นบวกมากขึ้น 1.) Mazda ประกาศลงทุน 5.0 พันล้านบาท ตามมาตรการส่งเสริมรถยนต์ Hybrid (HEC, MHEV) นอกจากนี้ 2.) รัฐฯ เตรียมออกมาตรการกระตุ้นภาคยานยนต์โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อรถยนต์พาณิชย์ที่ยอดปล่อยกู้สินเชื่อลดลง โดยรัฐฯกำลังพิจารณาใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บ.ส.ย.) เข้ามาช่วย โดยที่ผ่านมา บ.ส.ย.เคยประกันราว 30% จะไปพิจารณาว่าจะเพิ่มยอดอย่างไรในอนาคต ประเมินจิตวิทยาบวกหุ้นนิคม WHA, AMATA และหุ้นเช่าซื้อ TISCO, KKP

YUASA แจ้งกำไรปี 67 ที่ 172.42 ล. โต 40.1% ยอดขายแบตเตอรีโตทุกตลาด

YUASA แจ้งกำไรปี 67 ที่ 172.42 ล. โต 40.1% ยอดขายแบตเตอรีโตทุกตลาด

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายสึเนะโนริ โยชิมูระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยัวซ่าแบตเตอรี่ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ YUASA แจ้งผลประกอบกาาต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า ในปี 2567 บริษัทดำเนินโครงการปรับปรุงกำลังการผลิตแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์แล้วเสร็จ รวมถึงโครงการต่อเนื่องด้านการลดการใช้พลังงานและทรัพยากร ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 172.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 49.39 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 40.1           รายได้จากการขาย บริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจากปี 2566 คิดเป็นร้อยละ 8.7 หรือ 229.67 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ที่เพิ่มขึ้นในทุกตลาด โดยเฉพาะในตลาดผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์ในต่างประเทศจากโครงการของผู้ประกอบการรายหนึ่ง รายได้จากการขายแบตเตอรี่รถยนต์ในตลาดทดแทนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 20.6 จากการเติบโตของยอดขายในร้านค้าและธุรกิจค้าปลีก อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายแบตเตอรี่รถยนต์ในตลาดผู้ประกอบการยานยนต์ในประเทศลดลงร้อยละ 32.0 ตามการหดตัวของตลาดยานยนต์ในประเทศ และรายได้จากการขายแบตเตอรี่รถยนต์ในตลาดส่งออกลดลงร้อยละ 32.0 สาเหตุหลักจากผลกระทบของสถานการณ์ในประเทศพม่า ซึ่งรวมถึงการล่าช้าเนื่องจากกฎเกณฑ์ด้านใบอนุญาตนำเข้าสินค้า           ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัว แต่การขยายตัวมีความแตกต่างกันในแต่ละส่วน หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงยังเป็นแรงกดดันการบริโภคภาคเอกชน โดยอุตสาหกรรมยานยนต์เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น มีการหดตัวของการผลิตเพื่อขายในประเทศค่อนข้างมาก ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยทั้งปัจจัยเฉพาะของอุตสาหกรรม ปัจจัยเชิงวัฏจักร และปัจจัยเชิงโครงสร้าง

เคาท์ดาวน์! เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เช็ก 5 หุ้นรับอานิสงส์

เคาท์ดาวน์! เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เช็ก 5 หุ้นรับอานิสงส์

              หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี จับตาประเด็นเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ โดยเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดเผยถึงความคืบหน้า ร่างพระราชบัญญัติ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร  หรือ เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ตามกรอบเวลา 50 วัน ว่าน่าจะเสร็จสิ้นช่วงต้น มี.ค. 25 ประเมินความคืบหน้าเพิ่มขึ้น เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในธีมดังกล่าว อาทิ AOT, BA, BTS, VGI, MBK

คัด 7 หุ้นพื้นฐานดี คลังจ่อตั้งกองทุนใหม่ หวังลดแรงขาย LTF

คัด 7 หุ้นพื้นฐานดี คลังจ่อตั้งกองทุนใหม่ หวังลดแรงขาย LTF

        หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี จับกระแส หลังกระทรวงการคลังมีแนวคิด ถ่ายโอนเม็ดเงินกองทุน LTF เดิม หรือจัดตั้งกองทุนใหม่ภายใต้กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) แทน โดยปัจจุบันกองทุนน LTF มีมูลค่าประมาณ 1.8 แสนล้านบาท โดยกระทรวงการคลังขอให้นักลงทุนพิจารณาชะลอการขายก่อน เพื่อรอความชัดเจนของมาตรการดังกล่าว         ฝ่ายวิจัยประเมินบวกต่อตลาดที่น่าจะช่วยลดแรงขายจากกองทุนดังกล่าวที่สูงกว่าปกติในปี 2025F ที่มีโอกาสชะลอติดตามมาตรการ และหุ้น Big Cap แนะนำสะสมหุ้น 7 Value หุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3 ปีข้างหน้า ต่อเนื่อง CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

ยอด นทท.สะสมโต 17% เคาะ AAV เด่นสุด!

ยอด นทท.สะสมโต 17% เคาะ AAV เด่นสุด!

         หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ส่องหุ้นท่องเที่ยว โดยมอง Neutral ยอด นทท. สัปดาห์ที่ 6/25 ลดลง (-4%yy -12%ww) จากปัจจัยฤดูกาลและปัจจัยเฉพาะตัวของ นทท.จีน และเกาหลีอย่างไรก็ตาม ยอด นทท. สะสมยังเติบโตกว่า +17%yy ฝ่ายวิจัยยังคาดยอด นทท.ปี 2025F ที่40 ล้านคน เติบโต +13%yy หรือเทียบเท่า 100% to pre COVID ฝ่ายวิจัยยังแนะนำ Bullish กลุ่มการบิน และเลือก AAV (Buy, TP 3.9) เป็นหุ้น Top pick กลุ่มฯ          ฝ่ายวิจัยคงน้ำหนัก Bullish กลุ่มการบิน คาดผลประกอบการปี 2025F เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง +14%yy โดยมีปัจจัยบวกจาก (1) การฟื้นตัวต่อเนื่องของ นทท.ต่างชาติ +13%yy (2) ราคาน้ำมัน (Jet Fuel) มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง -2%yy และ (3) อุตสาหกรรมยังคงมีข้อจำกัดทางด้าน Supply ทำให้ราคาตั๋วโดยสารยังทรงตัวสูงใกล้เคียงปี 2024 หรือสูงกว่าช่วง Pre COVID ราว 20-30% ฝ่ายวิจัยยังเลือก AAV (Buy, TP 3.90) เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มฯ จาก (1)คาดกำไรปกติ 4Q24Fโต yy qq เด่นสุดในกลุ่มฯ (2) มีความเสี่ยงด้านการแข่งขันน้อยกว่ากลุ่ม ฯ จากตลาดเส้นทางบินในประเทศยังฟื้นตัวต่ำกว่าเส้นทางบินระหว่างประเทศ (3) ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันต่ำมากสุดในกลุ่มฯ และ(4) ลุ้น Upside จากการรวมกิจการกับ Thai AirAsiaX ในปี 2025F นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังชอบหุ้นเล็กในกลุ่มฯ อย่าง SAV (Buy, TP 27.75) จากการลุ้นปิดดีลสัมปทานการบริหารจราจรทางอากาศที่ สปป.ลาว ภายใน 1Q25F

KKP-TISCO-TTBรับโชค บสย.จะเพิ่มค้ำสินเชื่อลีสซิ่ง

KKP-TISCO-TTBรับโชค บสย.จะเพิ่มค้ำสินเชื่อลีสซิ่ง

           หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ในปี 25 บสย.ยังมุ่งเน้นให้ความสำคัญและช่วยเหลือให้กลุ่มเปราะบางและเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเตรียมขยายผลิตภัณฑ์และเป้าหมายการให้การค้ำประกันสินเชื่อ โดยขณะนี้กำลังศึกษาค้ำประกันสินเชื่อลีสซิ่งรถยนต์เพื่อประกอบธุรกิจ ซึ่งแนวคิดเกิดจากหลังได้หอการค้าไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ขอให้หน่วยงานรัฐมีส่วนช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่เจอประสบปัญหารายได้และสภาพคล่องจนไม่อาจกระทบต่อการผ่อนรถยนต์            เบื้องต้นได้หารือกับธนาคารที่มีบริษัทลูกให้บริการลีสซิ่งรถยนต์แล้ว 6-8 ราย หลังจากจัดทำรายละเอียดแล้วจะนำเสนอบอร์ดบสย.เพื่อพิจารณาและอนุมัติ และลงนามความร่วมมือกับธนาคารทันที โดยใช้งบประมาณที่เป็นกำไรจากการดำเนินการของ บสย.ส่วนหนึ่ง คาดว่าหลังบอร์ด บสย.เห็นชอบจะสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่เดือน มี.ค.นี้ ซึ่งเชื่อว่าได้รับความตอบรับจากทั้งบริษัทให้บริการลีสซิ่ง และค่ายรถยนต์ เป็นการกระตุ้นยอดซื้อรถใหม่ และ ผู้ประกอบการกล้าลงทุนเพิ่ม โดย บสย.จะค้ำประกันสำหรับผู้มีประวัติดีและยังดำเนินธุรกิจ แต่เราค้ำประกันไม่เกิน 20% ของวงเงินหนี้ พร้อมกันนี้กำลังเตรียมมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เจอปัญหาเข้าถึงสินเชื่อไม่ได้ (ที่มา: มติชนออนไลน์)            มองเป็นบวกจากประเด็นดังกล่าว โดยหาก บสย. เข้ามาช่วยค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อให้กับกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะ SME ที่ตอนนี้เข้าถึงสินเชื่อได้ยาก ซึ่งเบื้องต้น บสย. จะค้ำประกันให้ไม่เกิน 20% ของวงเงินหนี้ ทำให้เราคาดว่าผู้ประกอบการอย่างธนาคารและบริษัทลูกของธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อจะมีโอกาสที่ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อให้กับ SME เพิ่มขึ้นได้บ้าง ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ รวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยธนาคารที่มีสินเชื่อเช่าซื้อเรียงตามสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อจากมาก-น้อยคือ เช่น KKP (45% ของสินเชื่อรวม), TISCO (43% ของสินเชื่อรวม), TTB (29% ของสินเชื่อรวม), BAY (21% ของสินเชื่อรวม), SCB (6% ของสินเชื่อรวม)            ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนลงเป็น “มากกว่าตลาด” โดยเลือก KTB (ซื้อ/เป้า 24.50 บาท) และ BBL (ซื้อ/เป้า 186.00 บาท) เป็น Top pick            ส่วน KKP (ถือ/เป้า 50.00 บาท), TISCO (ถือ/เป้า 96.00 บาท) และ TTB (ซื้อ/เป้า 2.22 บาท) จะได้ sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นจากประเด็นดังกล่าว

ครม. เคาะ “คุณสู้เราช่วย” แก้หนี้ Non-bank หุ้นไหนได้ไปต่อ?

ครม. เคาะ “คุณสู้เราช่วย” แก้หนี้ Non-bank หุ้นไหนได้ไปต่อ?

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี เผยมุมมองเป็นกลางต่อข่าว ครม. อนุมัติ “คุณสู้เราช่วย” สำหรับกลุ่ม Non- Bank มาตรการเบื้องต้นจะเป็นการให้ธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อซอฟต์โลน ให้Non-Bank ยกเว้น KTC และ TIDLOR ที่ผ่านเกณฑ์และเงื่อนไขตามที่ ธปท.กำหนด วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท เผื่อช่วยเหลือลูกหนี้           อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดเรื่องคุณสมบัติและเงื่อนไขของลูกหนี้ที่เข้าโครงการ โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าคุณสมบัติและเงื่อนไขจะคล้ายกับโครงการ “คุณสู้เราช่วย” ของ Bank ซึ่งหากลูกหนี้เข้าโครงการแล้ว ไม่สามารถก่อหนี้เพิ่มได้           ดังนั้น ฝ่ายวิจัยมองว่าลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการจะมีสัดส่วนน้อย เนื่องจากลูกหนี้กลุ่ม Non bank เป็นกลุ่มที่ต้องการสินเชื่อหมุนเวียน ฝ่ายวิจัยจึงคงคำแนะนำ NEUTRAL ต่อกลุ่ม Consumer Finance

SGC ปี 67 พลิกมีกำไร 162.7 ลบ. หลังปี 66 ขาดทุน 2,275 ลบ.

SGC ปี 67 พลิกมีกำไร 162.7 ลบ. หลังปี 66 ขาดทุน 2,275 ลบ.

           หุ้นวิชั่น - นายอโณทัย ศรีเตียเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (SGC) เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 162.7 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2566 ขาดทุนสุทธิจำนวน 2,275.2 ล้านบาท กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นและการติดตามหนี้เชิงรุก ทำให้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง การเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยรับจากพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อโทรศัพท์มือถือ (Lock Phone) การควบคุมค่าจ่าย รวมถึงการชำระคืนเงินกู้ยืมบางส่วน ทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง ส่งผลให้ในปี 2567 บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 8.3%            สำหรับปี 2567 บริษัทมีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 652.1 ล้านบาท ลดลงจำนวน 3,118.7 ล้านบาท หรือ 82.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากในปี 2566 บริษัทได้ตัดหนี้สูญเป็นจำนวนมากในกลุ่มลูกหนี้ด้อยคุณภาพของสัญญาเช่าซื้อที่บริษัทได้ติดตามทวงถามและพิจารณาว่าเป็นลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ และได้ตั้งประมาณการค่าผิดพลาดผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับความเสี่ยงด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากลูกหนี้ ซึ่งเป็นผลจากการสิ้นสุดโครงการให้ความช่วยเหลือจากผลกระทบของ COVID-19 นอกจากนี้ในปี 2567 บริษัทยังมีนโยบายการติดตามหนี้เชิงรุกมากขึ้น ส่งผลให้ในปี 2567 บริษัทไม่ได้มีการบันทึกผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในจำนวนที่สูงอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับปีก่อน            ด้านรายได้ในปี 2567 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 1,954.8 ล้านบาท ลดลงจำนวน 214.7 ล้านบาท หรือ 9.9%  เมื่อเทียบกับปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยรับจากสัญญาเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวน 544.6 ล้านบาท หรือ 76.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการลดลงของพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะเดียวกันบริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยรับจากสินเชื่อรถทำเงินเพิ่มขึ้นจำนวน 32.9 ล้านบาท หรือ 2.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน            ทั้งนี้ในปี 2567 บริษัทมีกำไรจากการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยรับจากสินเชื่อเช่าซื้อโทรศัพท์มือถือ (Lock Phone) โดยมีสัดส่วน 11.2% ของรายได้ดอกเบี้ยรับรวม นอกจากนี้บริษัทมีรายได้อื่นจำนวน 166.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 86.1 ล้านบาท หรือ 107.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดย 67.4% ของรายได้อื่นมาจากรายได้ส่งเสริมการขายจากธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อโทรศัพท์มือถือ (Lock Phone) *เหตุการณ์สำคัญ            ในช่วงไตรมาส 1/2567 บริษัทได้เริ่ม Sandbox ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อโทรศัพท์มือถือ (Lock Phone) โดยเริ่มจากแบรนด์โทรศัพท์มือถือสัญชาติจีนเพียงแบรนด์เดียวผ่านร้านค้าของบริษัทในเครือ ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า มีผลตอบแทนที่สูงและมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ในระดับต่ำ บริษัทจึงมีความมั่นใจและเดินหน้าธุรกิจนี้อย่างเต็มที่            ในช่วงไตรมาส 2/2567 บริษัทเริ่ม Nationwide ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อโทรศัพท์มือถือ (Lock Phone) ผ่านดิจิตอลแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า “SG Finance+” โดยขยายช่องทางไปยังร้านค้าทั่วประเทศพันธมิตร และเพิ่มแบรนด์โทรศัพท์มือถือสัญชาติจีนเป็น 4 แบรนด์ บริษัทยังคงเดินหน้าต่อเพื่อเพิ่มแบรนด์โทรศัพท์มือถือและขยายช่องทางไปยังร้านค้าพันธมิตรทั่วประเทศในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4            ในช่วงไตรมาส 3/2567 บริษัทได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยบริษัทสามารถระดมทุนได้จำนวน 3,861 ล้านบาท บริษัทได้นำเงินเพิ่มทุนไปใช้ในการปรับโครงสร้างทุน โดยนำเงินส่วนหนึ่งไปชำระหนี้ในบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ลดภาระดอกเบี้ยจ่าย และขยายธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อโทรศัพท์มือถือ (Lock Phone)            และในช่วงไตรมาส 4/2567 บริษัทได้ออกหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2567 ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2569 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนจำนวน 250 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อโทรศัพท์มือถือ (Lock Phone) และเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต            สำหรับสินเชื่อเช่าซื้อโทรศัพท์มือถือ (Lock Phone) ในปี 2567 บริษัทสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ดังกล่าวประมาณ 3,246 ล้านบาท มีร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการประมาณ 5,950 แห่งทั่วประเทศ และมีแบรนด์โทรศัพท์มือถือสัญชาติจีนทั้งหมด 5 แบรนด์ โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทมีลูกหนี้สินเชื่อเช่าซื้อโทรศัพท์มือถือ (Lock Phone) คงเหลือ 2,533 ล้านบาท สำหรับธุรกิจสินเชื่อรถทำเงิน บริษัทมีนโยบายหยุดการปล่อยสินเชื่อรถทำเงินตามสภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ชะลอตัว            นายอโณทัย กล่าวว่า ในปี 2568 บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อโทรศัพท์มือถือ (Lock Phone) อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนที่สูงภายใต้การควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ จากการนำเทคโนโลยีมาใช้ รวมถึงเทคโนโลยีกำรล็อคโทรศัพท์มือถือ ทำให้การควบคุมคุณภาพสินเชื่อมีประสิทธิภาพ มีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระดับต่ำมาก และมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อโทรศัพท์มือถือ (Lock Phone) เติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากตลาดมือถือเป็นตลาดที่ใหญ่ มีช่องทางและโอกาสในการขยายตัวที่ค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทในการเติบโตพอร์ตสินเชื่อและทำกำไรในอนาคต            ปัจจุบันบริษัทมีร้านค้าพันธมิตรที่เข้าร่วมโครงการสินเชื่อเช่าซื้อโทรศัพท์มือถือ (Lock Phone) กว่า 5,950 แห่งทั่วประเทศ จากแบรนด์ชั้นนำทั้งหมด 5 แบรนด์ ซึ่งบริษัทยังคงมีแผนในการเพิ่มแบรนด์โทรศัพท์มือถือ รวมถึงเพิ่มช่องทางการให้บริการสินเชื่อมากยิ่งขึ้น บริษัทมีความมั่นใจว่าธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อโทรศัพท์มือถือจะทำให้บริษัทมีกำไรที่เติบโตขึ้นในอนาคต

TIDLOR ปี68 ได้ไปต่อ คาดกำไรพุ่ง 10.9% จากสินเชื่อ-ตั้งสำรองลด

TIDLOR ปี68 ได้ไปต่อ คาดกำไรพุ่ง 10.9% จากสินเชื่อ-ตั้งสำรองลด

         หุ้นวิชั่น - บล.ฟิลลิป ประเมินหุ้น TIDLOR โดยมองว่า TIDLOR ยังไม่ได้มีการเปิดเผยเป้าหมายทางการเงินปี 68 ออกมา เนื่องจากจะ รอดูผลกระทบของโครงการแก้หนี้ “คุณสู้ เราช่วย ” ก่อน อย่างไรก็ตามน่าจะยังคงโมเมนตั้มเหมือนใน 4Q67 ไว้ได้ ซึ่งน่าจะทำให้สินเชื่อในปี68 เติบโตได้ ประมาณ Mid single digit NPL ลดลง และทำให้การตั้งสำรองใน 4Q67 ลดลง มาก และน่าจะทำให้การตั้งสำรองในปี 68 ลดลงจากปี ก่อนด้วย ยังคง ประมาณการกำไรปี 68 คาดเติบโต 10.9% y -y คงราคาพื้นฐาน 20 บาท แนะนำ "ซื้อ" ฝ่ายวิจัยังคงประมาณการนคงราคาพื้นฐานแนะนำ ซื้อ ทางฝ่ายยังคงประมาณการกำไรปี 68 ของ TIDLOR ไว้ที่ 4.7 พันลบ. เพิ่มขึ้น 10.9% y - y โดยคาดว่า รายได้ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นจากสินเชื่อที่เติบโต และคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ทำให้การตั้งสำรองจะลดลง คงราคาพื้นฐาน 20 บาท มีส่วนต่างจากราคาหุ้นในปัจจุบันพอสมควร แนะนำ “ซื้อ”

กฎสินเชื่อใหม่รวมรายได้ผู้ค้ำ หุ้นแบงก์รับโชคยังไง เช็กดู!

กฎสินเชื่อใหม่รวมรายได้ผู้ค้ำ หุ้นแบงก์รับโชคยังไง เช็กดู!

         หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ธปท. ออกหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ฉบับปรับปรุงใหม่ โดยมีประเด็นสำคัญในเรื่องของสินเชื่อที่มีแนวปฏิบัติในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อโดยรวมรายได้ของผู้ค้ำประกันอยู่เป็นวงกว้างในปัจจุบัน ได้แก่ สินเชื่อที่เกิดจากการให้เช่าซื้อหรือการให้เช่าแบบลีสซิ่ง สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ชาวต่างชาติซึ่งเป็นคู่สมรสของลูกหนี้เป็นผู้ผ่อนชำระหลัก รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดต่อไป ให้ผู้ให้บริการสามารถพิจารณาอนุมัติสินเชื่อโดยนำรายได้ของผู้ค้ำประกันมาพิจารณารวมเป็นรายได้ของลูกหนี้ได้ ตามนโยบายของผู้ให้บริการแต่ละแห่ง          โดยผู้ค้ำประกันดังกล่าวต้องเป็นเครือญาติ คู่สมรส หรือ เป็นบุคคลที่อยู่กินกันฉันสามีภริยากับลูกหนี้ โดยมีพฤติการณ์ซึ่งเป็นที่รับรู้ของบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลภายนอกว่ามีสถานะดังกล่าวซึ่งผู้ให้บริการมั่นใจได้ว่าบุคคลนั้นจะร่วมรับผิดชอบชำระหนี้กับลูกหนี้ได้          ทั้งนี้ สำหรับการให้สินเชื่อที่มีบุคคลเป็นผู้ค้ำประกัน ผู้ให้บริการควรคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ค้ำประกัน เพื่อให้กรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ และผู้ให้บริการใช้สิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทน ผู้ค้ำประกันจะได้ไม่มีภาระหนี้ที่ต้องชำระเกินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ค้ำประกัน (ที่มา: ธปท.)          มองเป็นบวกต่อหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ฉบับปรับปรุงใหม่ โดยให้รวมรายได้ของผู้ค้ำประกันในการอนุมัติสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ซึ่งเป็นการผ่อนคลายในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ โดยการรวมรายได้ของผู้ค้ำประกันที่เป็นบุคคลภายในครอบครัวได้ (เดิมไม่ได้) เช่น เครือญาติ คู่สมรส หรือเป็นบุคคลที่อยู่กินกันฉันสามีภริยากับลูกหนี้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้กู้สามารถได้รับการอนุมัติเงินสินเชื่อได้มากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ รวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์          โดยธนาคารที่มีสินเชื่อเช่าซื้อเรียงตามสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อจากมาก-น้อยคือ เช่น KKP (45% ของสินเชื่อรวม), TISCO (43% ของสินเชื่อรวม), TTB (29% ของสินเชื่อรวม), BAY (21% ของสินเชื่อรวม), SCB (6% ของสินเชื่อรวม)          ทั้งนี้เรายังคงน้ำหนักการลงทุนลงเป็น “เท่ากับตลาด” โดยเลือก KTB (ซื้อ/เป้า 24.50 บาท) และ BBL (ซื้อ/เป้า 186.00 บาท) เป็น Top pick ส่วน KKP (ถือ/เป้า 50.00 บาท), TISCO (ถือ/เป้า 96.00 บาท) และ TTB (ซื้อ/เป้า 2.22 บาท) จะได้ sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นจากประเด็นดังกล่าว

SET มีโอกาสฟื้นตัว ส่อง 5 ธีมหุ้นน่าลงทุน

SET มีโอกาสฟื้นตัว ส่อง 5 ธีมหุ้นน่าลงทุน

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มอง SET มีโอกาสฟื้นตัวได้ แต่ Upside จำกัด มีแนวต้านสำคัญที่ 1320 แนะนำลงทุนใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้ 1. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนกำไร 4Q67-1Q68 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA TIDLOR MTC AU HTC 2. หุ้น Real Sector พื้นฐานดี ใน SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุนและมี Downside Risk จำกัดเนื่องจากมีจุดแข็ง 1) ปี 2568 คาดกำไรสามารถเติบโตได้ YoY 2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง สภาพคล่องสูง มีโอกาสซื้อหุ้นคืน (มี PBV < 1 เท่า) 3) Valuation ไม่แพง ซื้อขาย PER และ PBV 2568F ต่ำกว่า -1SD และ 4) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาด Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อย 5% แนะนำ BCP AP PTT TU SPALI 3. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค เช่น Easy E-Receipt และแจกเงินหมื่นเฟส 2 แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO TNP) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT AWC ERW AOT) 4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำเก็งกำไร 1) หุ้นที่คาดสัปดาห์หน้าจะประกาศงบ 4Q67 และกำไรเติบโต YoY และ QoQ แนะนำ AOT MINT และ 2) หุ้นที่คาดมีโอกาสเพิ่มอัตราจ่ายปันผล หรือ ซื้อหุ้นคืน เนื่องจากมี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และมีสภาพคล่องสูง เลือก PTT KBANK BBL KTB กลยุทธ์การลงทุน           ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวแต่ Upside จำกัด โดยมีแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1320 จุด โดยแม้ปัจจัยต่างประเทศจะมีแรงหนุนจากการคลายความกังวลเรื่องสงครามการค้าระยะสั้นและผลประกอบการนอกกลุ่มการเงินของ บจ. สหรัฐฯ ที่คาดยังออกมาแข็งแกร่ง แต่ในประเทศยังขาดปัจจัยบวกใหม่กระตุ้นบรรยากาศลงทุน โดยคาดดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีแนวโน้มชะลอตัวลง แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเริ่มมีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยยัง Underperform ตลาดหุ้นทั่วโลก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” Daily Top Picks PTTEP: มองราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นระยะสั้นหลังสหรัฐฯ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันดิบอิหร่าน จะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น แม้คาดกำไรปี 2568 จะอ่อนแอลง YoY แต่ยังมีงบดุลที่แข็งแกร่ง (มีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อทุนน้อยกว่า 0.3 เท่า) และเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากกรณีกังวลความไม่สงบในตะวันออกกลาง AMATA: ปี 2567 ทำยอดขายที่ดิน New High กว่า 3,018 ไร่ เติบโต 63%YoY และคาดจะเป็นปัจจัยหนุนให้กำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 2,769 ลบ. เติบโต 47%YoY โดยคาด 4Q67 กำไรสุทธิจะเติบโตโดดเด่น 91%YoY และ 71%QoQ ขณะที่ Backlog ในมือที่สูงที่สุดที่ 21,000 ลบ. จะช่วยหนุนการเติบโตปี 2568-2569 ได้ดีอย่างต่อเนื่อง

MOTHER  เทรดวันแรกราคาเหนือจอง 54.29%

MOTHER เทรดวันแรกราคาเหนือจอง 54.29%

         หุ้นวิชั่น - บมจ.มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง (MOTHER) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรก ราคาเปิดอยู่ที่ 2.16 บาท เพิ่มขึ้น 54.29% จากราคา IPO 1.40 บาท สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัท รุกเดินหน้าเปิดสาขาเพิ่ม 3 สาขา เจาะทำเลแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนในจังหวัดกระบี่ หนุนรายได้ปี 2568 เติบโต 5-10%          นายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้แบรนด์ “Mother Supermarket” และ “Mother Marche” ในจังหวัดกระบี่ จังหวัดพังงา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีศูนย์กระจายสินค้า 2 แห่ง ในจังหวัดกระบี่ และสุราษฏร์ธานี เปิดเผยว่า การเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ราคาเปิด 2.16 บาท เพิ่มขึ้น 0.76 บาท เหนือจอง 54.29% จากราคา IPO ที่ 1.40 บาท สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานธุรกิจและแบรนด์ของบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดกระบี่ มากว่า 40 ปี ทั้งนี้จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้ โดยนำเงินจากการระดมทุนประมาณ 120.40 ล้านบาท ไปต่อยอดธุรกิจและสร้างผลการดำเนินงานที่เติบโตแข็งแกร่ง          “ขอบคุณนักลงทุนที่ให้การต้อนรับ MOTHER อย่างอบอุ่น จากพื้นฐานธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งมากกว่า 40 ปี สามารถให้บริการและมีสินค้าหลากหลายที่ตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละกลุ่มอย่างครบครัน แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในจังหวัดกระบี่ จังหวัดพังงา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยทีมผู้บริหารพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน”นายเอกพงศ์ กล่าว          สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-10 % จากปี 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่เพิ่มขึ้น โดยปี 2567 จังหวัดกระบี่มีรายได้จากการนักท่องเที่ยวมากถึง 91,042 ล้านบาท รวมถึงได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ของรัฐบาล ตลอดจนการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจประเทศ ทำให้ธุรกิจเติบโตต่อเนื่องตามกำลังซื้อของผู้บริโภค          ทั้งนี้บริษัทฯ วางงบลงทุนราว 15 ล้านบาท ขยายสาขาเพิ่มอย่างน้อย 3 สาขา ทั้งรูปแบบ Mother Supermarket และ Mother Marche เจาะทำเลสำคัญที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและชุมชนในพื้นที่จังหวัดกระบี่ รองรับดีมานด์คนในพื้นที่ กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ นับเป็นการเพิ่มศักยภาพการให้บริการและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภค เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ในการจับจ่ายสินค้าที่หลากหลายและครบครันที่สุด ตลอดจนการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดด         ด้านนายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ วาณิชธนกิจ บริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับ MOTHER ในโอกาสเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง เห็นได้จากรายได้และกำไรที่เติบโตจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต          โดยบริษัทจะนำเงินจากการระดมทุน จำนวน 15 ล้านบาท ไปใช้ขยายสาขาอย่างน้อย 3 สาขา ในจังหวัดกระบี่, นำเงินไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน จำนวน 45 ล้านบาท เพื่อให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจคล่องตัว ไม่มีภาระต้นทุนที่สูง เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ จำนวน 54.77 ล้านบาท รองรับการขยายตัวของธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของ MOTHER ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร พร้อมใจร่วมกัน Lock up หุ้นเดิมทั้งหมด 100% เป็นระยะเวลา 3 เดือน          “หลังการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ทำให้ MOTHER มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสการเติบโตให้กับธุรกิจเดิมที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงการขยายโอกาสสู่ธุรกิจใหม่อนาคต ด้วยทีมผู้บริหารที่มากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน” นายสัมฤทธิ์ชัย กล่าว

จับตา ดอกเบี้ยเบี้ยไทย ขาลง หุ้นไหนรับอานิสงส์ เช็ก!

จับตา ดอกเบี้ยเบี้ยไทย ขาลง หุ้นไหนรับอานิสงส์ เช็ก!

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า กระแสการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกลุ่มประเทศอาเซียนยังเป็นขาลงต่อ ล่าสุดตลาดคาดสัปดาห์นี้ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกจากปัจจุบันที่ระดับ 5.75%            ส่วนปลายสัปดาห์ที่แล้วธนาคารกลางอินเดีย (RBI) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยฯ 25 bps สู่ระดับ 6.25% ซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาดคาดไว้ ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยรวม KSS ให้น้ำหนักการลงทุนในระดับ Neutral โดยประเมินว่าจะสร้างความคาดหวังทำให้มุมมองอัตราดอกเบี้ยไทยมีโอกาสปรับลดลงตามประเทศอื่นในเอเชีย บวกต่อหุ้นในกลุ่มการเงิน MTC, JMT กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF และกลุ่มหนี้สูง CPALL, CPAXT, MINT

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456