ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

##หุ้นวิชั่น


FVC แตกไลน์ธุรกิจใหม่ จ่อขาย RO ไม่เกิน 3,000 ล้านหุ้น

FVC แตกไลน์ธุรกิจใหม่ จ่อขาย RO ไม่เกิน 3,000 ล้านหุ้น

                       หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บมจ.ฟิลเตอร์ วิชั่น (FVC) เปิดเกมอัพมูลค่าเสริมทางธุรกิจ ประกาศเพิ่มทุน 1,500 ล้านบาท ผ่านการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering) จำนวนไม่เกิน 3,000 ล้านหุ้น ในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 5.3084 หุ้นใหม่ ราคาเสนอขาย 0.50 บาท เพื่อรองรับแผนการเข้าซื้อกิจการ “เวิลด์ อินดัสเทรียล เอสเตท” (WIE) นิคมฯ รายใหญ่ จ.ลำพูน หวังเพิ่มโอกาสการต่อยอดธุรกิจหลักที่เกี่ยวข้องกับระบบบำบัดน้ำเสีย สู่การสยายปีกธุรกิจด้านสาธารณูปโภคภายในนิคมฯ ปั้นรายได้ในระยะยาว            ดร.วิจิตร เตชะเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลเตอร์ วิชั่น จำกัด (มหาชน) “FVC” เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนใหม่ของบริษัทฯ จำนวน 1,500 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม           จำนวน 282,571,479.50 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ จำนวน 1,782,571,479.50 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 3,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right offering) ในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิม ต่อ 5.3084 หุ้นใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.50 บาท                      สำหรับวัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุน และแผนการใช้เงินทุนในครั้งนี้ เพื่อรองรับแผนขยายธุรกิจ เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน และเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงานอย่างยั่งยืน โดยการออกหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทฯ มีแหล่งเงินทุนเพียงพอสำหรับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ ลดภาระหนี้สิน และ                      สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว โดยแผนการใช้เงินจากการระดมทุนในครั้งนี้ แบ่งเป็น 3 ส่วน      1. เป็นเงินลงทุนในการเข้าซื้อนิคมอุตสาหกรรม จำนวน 370 ล้านบาท 2. เป็นเงินลงทุนในโครงการนิคม เช่น ระบบสาธารณูปโภค เฟสที่ 2 จำนวน 950 ล้านบาท และ 3. เงินทุนหมุนเวียนและการชำระหนี้สถาบันการเงินและหนี้สินที่มีภาระผูกพัน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่บริษัทฯ และสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอีกจำนวน 180 ล้านบาท            นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เวิลด์ อินดัสเทรียล เอสเตท จำกัด (WIE) ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทนิคมอุตสาหกรรม จำนวน 1,700,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 100 ของทุนจดทะเบียนและชำระแล้ว ในราคาซื้อขาย จำนวน 370 ล้านบาท            “WIE ดำเนินธุรกิจหลักเกี่ยวกับโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในรูปแบบที่ดินเปล่า โกดังสินค้า โรงงาน อาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์เพื่อจำหน่ายและให้เช่า รวมถึงการให้บริการด้านสาธารณูปโภค พลังงาน ที่เกี่ยวข้องกับนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้ชื่อ “โครงการนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ (ลำพูน)” ตั้งอยู่ที่ อ.ลำพูน จ.ลำพูน โดยโครงการภายใต้การบริหารงานของ WIE แบ่งออกเป็น 2 เฟส มีเนื้อที่รวม 1,002.49 ไร่ แบ่งเป็น เฟสที่ 1 มีพื้นที่ทั้งหมดของโครงการ 380.71 ไร่ โดยแบ่งเป็น 1. ที่ดินเปล่าเพื่อจำหน่าย พื้นที่รวมประมาณ 292.55 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 1,818.68 ล้านบาท และ 2. อาคารพาณิชย์เพื่อจำหน่ายหรือให้เช่า มีพื้นที่รวมประมาณ 9.36 ไร่ มูลค่าโครงการ 394 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นอาคารพาณิชยกรรม ประมาณ 100 กว่ายูนิต และเป็นการขายระหว่างก่อสร้างและทยอยโอนกรรมสิทธิ์ และเฟสที่ 2 มีพื้นที่ทั้งหมดของโครงการ 621.78 ไร่ โดยแบ่งเป็น 1. ที่ดินเปล่าเพื่อจำหน่าย พื้นที่รวมประมาณ 439.61 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 3,500 ล้านบาท และ 2. อาคารพาณิชย์เพื่อจำหน่ายหรือ    ให้เช่า มีพื้นที่รวมประมาณ 25.37 ไร่ ยังไม่สามารถประมาณการมูลค่าโครงการโซนพาณิชยกรรมที่แน่นอนได้”            อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนของ FVC ในครั้งนี้ เพื่อกระจายแหล่งที่มาของรายได้ ให้มีความหลากหลาย รวมถึงเพื่อลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องกระแสเงินสด และยังเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ภายในนิคมอุตสาหกรรม จากธุรกิจหลักของบริษัทฯ ที่เกี่ยวข้องกับระบบบำบัดน้ำเสีย ที่ถือเป็นธุรกิจให้บริการต่อเนื่อง ภายหลังการขายพื้นที่ภายในนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งการต่อยอดธุรกิจในการเข้ามาบริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคภายในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีรายได้ที่แน่นอนในระยะยาว รวมทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านผลตอบแทนที่ยั่งยืน และเพิ่มขีดความสามารถให้บริษัทฯ สู่โอกาสในการขยายธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ FVC ในระยะยาว

WINMED ลุยบริการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม และ HPV ภาคเอกชน

WINMED ลุยบริการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม และ HPV ภาคเอกชน

     หุ้นวิชั่น –  นางสาวสุธาริณี  เงินนา (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้ช่วยรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนางสาววันวิสา สร้อยสวัสดิ์ (ที่ 4 จากขวา)  ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์บริษัท วินเนอร์ยี่ เมดิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ WINMED เดินหน้าโครงการ ให้บริการตรวจมะเร็งเต้านมด้วย THERMOGRAM.AI ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์ภาพถ่ายความร้อน (Thermogram) ที่ให้ความเป็นส่วนตัวแก่ผู้รับบริการ โดยไม่มีการสัมผัสโดยตรง ไม่มีการปล่อยรังสี ไม่มีความรู้สึกเจ็บในขั้นตอนการตรวจ ส่วนการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง HPV Self Sample Kit ผู้ใช้บริการสามารถตรวจได้ด้วยตนเอง ซึ่งมีผลที่แม่นยำ การตรวจคัดกรองดังกล่าว สะดวกและปลอดภัย ทำให้ดึงดูดผู้ใช้บริการเป็นอย่างมาก โดยในครั้งนี้ได้จับมือกับ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ออกให้บริการตามสาขาทั่วประเทศ ซึ่งมีผลตอบรับเป็นอย่างดี และ WINMED เตรียมให้บริการกับพันธมิตรอีกหลายรายในปีนี้ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ เมื่อเร็วๆนี้          

“ปุ้มปุ้ย” ยืนหนึ่งคว้า 2 รางวัล ย้ำความเชื่อมั่นองค์กร-แบรนด์

“ปุ้มปุ้ย” ยืนหนึ่งคว้า 2 รางวัล ย้ำความเชื่อมั่นองค์กร-แบรนด์

                      หุ้นวิชั่น- แบรนด์ ”ปุ้มปุ้ย“ คว้ารางวัล Thailand’s Most Admired Brand 2025 ครองอันดับ 1 ในหมวดสินค้าบริโภค กลุ่มปลากระป๋องราดพริก และรางวัล Thai Brand Award ที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด จากผลสำรวจและวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคของนิตยสาร BrandAge กับสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ จนได้ผลสำรวจที่แม่นยำ             นางปวิตา โตทับเที่ยง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปุ้มปุ้ยเองรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับรางวัล Thailand’s Most Admired Brand 2025 คองอันดับ 1 หมวดสินค้าบริโภค กลุ่มปลากระป๋องราดพริก และรางวัล Thai Brand Award ในฐานะแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ และขอบคุณในความไว้วางใจจากผู้บริโภคที่ทำให้เราได้รับถึง 2 รางวัลอันทรงคุณค่านี้ ปุ้มปุ้ยจะมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพ และดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน พร้อมเติบโตเคียงข้างคนไทยและสังคมไทยตลอดไป             นางปวิตา กล่าวต่อว่า ปัจจัยที่ทำให้ปุ้มปุ้ยยังครองตลาดปลาแมคเคอเรลทอดราดพริก คือการรักษาคุณภาพ รสชาติของสินค้า และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีอย่างต่อเนื่องมากว่า 46 ปี นอกจากนั้นเรายังได้ศึกษาความต้องการของตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มีหลากหลายในปัจจุบัน และได้ออกปุ้มปุ้ยปลาแมคเคอเรลทอดราดพริก สูตรน้ำตาลน้อย ซึ่งลดน้ำตาลลงถึง 36% และลดโซเดียมลงถึง 29% เป็นทางเลือกใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้าคนรักสุขภาพ แต่ยังคงรสชาติความอร่อยที่ถูกปากคนไทย “ให้ทุกมื้อมีความอร่อย” ตามแบบฉบับ และคุณภาพของปุ้มปุ้ยเช่นเดิม โดยหัวใจหลักในการขับเคลื่อนแบรนด์ให้เติบโต คือความมุ่งมั่น พัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันถือได้ว่าเป็นแบรนด์ปลากระป๋องปรุงรสที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนกลายเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคไว้วางใจตลอดมาและสามารถครองตำแหน่ง ปลาแมคเคอเรลทอดราดพริกอันดับ 1 มาอย่างยาวนาน

BEM ฝึกซ้อมการจัดการเหตุการณ์ เพื่อความปลอดภัยบน MRT

BEM ฝึกซ้อมการจัดการเหตุการณ์ เพื่อความปลอดภัยบน MRT

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ร่วมกับ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. สถานีดับเพลิงและกู้ภัยบางซ่อน สถานีตำรวจนครบาลประชาชื่น ศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น มีกำหนดจัดฝึกซ้อมการจัดการเหตุการณ์เพลิงไหม้ภายในสถานีและอพยพหนีไฟ เพื่อให้พนักงานเกิดความชำนาญ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความปลอดภัยต่อผู้ใช้บริการ ในวันเสาร์ที่ 29 มีนาคม 2568 เวลา 00.45 - 03.30 น. ณ รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง สถานีวงศ์สว่าง           ทั้งนี้ ประชาชนผู้อาศัยในบริเวณใกล้เคียงอาจได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยและเสียงรถฉุกเฉินจึงขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูล โทร.  0-2624-5200

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

PTTGC จับมือ KBank ลงนามสินเชื่อหมุนเวียนวงเงิน 20,000 ล้านบาท เสริมสภาพคล่องทางการเงิน

PTTGC จับมือ KBank ลงนามสินเชื่อหมุนเวียนวงเงิน 20,000 ล้านบาท เสริมสภาพคล่องทางการเงิน

                  หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568, กรุงเทพมหานคร – บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ได้ลงนามสัญญาสินเชื่อหมุนเวียน (Revolving Facilities) วงเงิน 20,000 ล้านบาท กับธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน สนับสนุนการพลิกสถานการณ์ธุรกิจ และวางรากฐานสู่การเติบโตในอนาคต ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและช่วงขาลงของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี  โดยวงเงินสินเชื่อนี้นับเป็นวงเงินสูงสุดที่บริษัทฯ เคยได้รับ สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือของบริษัท และความเชื่อมั่นจากสถาบันการเงินและภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีต่อศักยภาพของ PTTGC           สัญญาสินเชื่อหมุนเวียนวงเงิน 20,000 ล้านบาทฉบับนี้ เป็นสินเชื่อระยะยาวที่มีความยืดหยุ่นสูงและมีลักษณะพิเศษ โดยสามารถเบิกใช้หรือชำระคืนได้ตามความจำเป็นในการบริหารจัดการธุรกิจ อีกทั้งยังสามารถใช้วงเงินดังกล่าวในการออกเลทเทอร์ออฟเครดิต (Letter of Credit: LC) เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเข้าใจในลักษณะเฉพาะและสถานการณ์ไม่ปกติที่เกิดขึ้นในธุรกิจปิโตรเคมี รวมถึงความเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญระหว่าง KBank และ PTTGC           นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี PTTGC เปิดเผยว่า “วงเงินสินเชื่อหมุนเวียนนี้จะช่วยเสริมสภาพคล่องให้ GC รองรับความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความยืดหยุ่นในการเบิกใช้และชำระคืนตามความจำเป็น เมื่อชำระคืนแล้ว วงเงินก็สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ช่วยให้เราบริหารต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการบริหารกระแสเงินสดและการลดภาระดอกเบี้ย”           นอกจากนี้ GC ยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเข้มงวด ทั้งค่าใช้จ่ายดำเนินงาน (OPEX) และเงินลงทุน (CAPEX) ควบคู่กับการบริหารหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงิน รองรับแผนการพลิกฟื้นธุรกิจและขับเคลื่อนการเติบโตในกลุ่มธุรกิจมูลค่าสูง–คาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน           “ขอขอบคุณธนาคารกสิกรไทยที่ให้ความเชื่อมั่นและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน แต่ยังสะท้อนความมั่นใจในศักยภาพของ GC ในการพลิกสถานการณ์ธุรกิจและขับเคลื่อนการเติบโตในกลุ่มธุรกิจมูลค่าสูง-คาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของเรา” นายทิติพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม           นายทิพากร สายพัฒนา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “ธนาคารกสิกรไทยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน GC ผ่านข้อตกลงสินเชื่อหมุนเวียนในครั้งนี้ ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นแรงหนุนที่ช่วยเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันให้กับ GC และส่งเสริมให้ GC สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว”

MAGURO เล็ง Tonkatsu Aoki   4 สาขาใน Q2 ชูแบรนด์พรีเมียม

MAGURO เล็ง Tonkatsu Aoki 4 สาขาใน Q2 ชูแบรนด์พรีเมียม

                  หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า MAGURO สร้างปรากฏการณ์ใหม่อีกครั้ง ตอกย้ำความฮิตของแบรนด์ที่ต่อคิวยาวกว่า 2 ชั่วโมงในสาขาแรกมาแล้ว! Tonkatsu AOKI (ทงคัตสึ อาโอกิ) ร้านผู้เชี่ยวชาญด้านหมูทอดทงคัตสึ ยอดนิยมจากประเทศญี่ปุ่น ด้วยคะแนน Tablelog 3.8 ภายใต้บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดสาขาใหม่ล่าสุดอย่างเป็นทางการ สาขา Velaa Sindhorn Village Langsuan (เวลา สินธร วิลเลจ หลังสวน) กับไฮไลต์แบบเล่นใหญ่และทำถึง เพิ่มโซน Pet Friendly ที่เปิดบริการให้นั่งรับประทานพร้อมกับนำน้องหมาน้องแมวมาร่วมได้ ขยายจากโซน Main Dining ให้บริการเสิร์ฟความอร่อยแบบปกติ พร้อมเมนูใหม่ Ebi Series กุ้งลายเสือตัวโต 2 ไซส์เสิร์ฟแบบเดี่ยว และจับเซตคู่หมูทอด รองรับเทรนด์ครอบครัวยุคใหม่ พร้อมส่งมอบประสบการณ์ทางรสชาติสไตล์ทงคัตสึต้นตำรับครั้งใหม่ใจกลางพื้นที่เศรษฐกิจและย่านไลฟ์สไตล์คนเมือง           คุณจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยว่า “ในปีนี้ 2568 บริษัทฯ มีแผนจะสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการขยายธุรกิจซึ่งมีแผนจะเปิดร้านหมูทอด Tonkatsu Aoki เพิ่มอีก 4 สาขาภายในไตรมาส 2 หลังจากสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิร์ล ประสบความสำเร็จ โดยการเปิดสาขาที่ 2 ร้าน Tonkatsu AOKI สาขา Velaa Sindhorn Village Langsuan เป็นการตอกย้ำกลยุทธ์ทางการตลาดในการเป็นแบรนด์พรีเมียมแมส เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ และกลุ่มเป้าหมายที่ชอบเปิดประสบการณ์ทางอาหารที่แตกต่างอย่างพิถีพิถัน โดย Velaa Sindhorn Village Langsuan เป็นทำเลศักยภาพทางเศรษฐกิจ เป็นพื้นที่มีมีผู้ใช้บริการ (Traffic) ตรงกลุ่ม เป้าหมายอย่างลงตัว โดยเป็นกลุ่มพนักงานบริษัท คนรุ่นใหม่ คนเมือง นักท่องเที่ยว และชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทย โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ที่ชื่นชอบและเป็นอีกกลุ่มเป้าหมายสำคัญ จึงเป็นการตอกย้ำในการเป็น Tonkatsu AOKI ร้านหมูทอดทงคัตสึต้นตำรับ ถ่ายทอดประสบการณ์ทางรสชาติเหมือนรับประทานที่ประเทศญี่ปุ่น”           คุณธีรภพ กรานเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เผยว่า “ร้าน Tonkatsu AOKI สาขา Velaa Sindhorn Village Langsuan มีความโดดเด่นและเป็นไฮไลต์สำคัญ คือการเปิดโซน Pet Friendly ที่ให้นั่งรับประทานพร้อมกับนำสัตว์เลี้ยง น้องหมาน้องแมวมาร่วมได้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรองรับวิถีชีวิตและครอบครัวของคนในยุคปัจจุบัน และคนเมืองที่มีกำลังซื้อนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงและมองว่าเป็นสมาชิกในครอบครัว หรือเทรนด์ “Pet Humanization” จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ปี 2568 มูลค่าตลาดอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยจะเติบโต 12% มูลค่าประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาท และกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นพื้นที่ศักยภาพของตลาดสัตว์เลี้ยง เนื่องจากมีจำนวนสัตว์เลี้ยงมากที่สุดและผู้เลี้ยงมีกำลังซื้อ สะท้อนถึงโอกาสในการสร้างยอดขาย และขยายฐานกลุ่มเป้าหมายผู้รักสัตว์เลี้ยงที่มองหาร้านอาหารที่จะสามารถใช้บริการโดยพาสัตว์เลี้ยงมาด้วยกันได้ ในขณะที่ก็มีมาจัดการอย่างเหมาะสมสำหรับโซน Main Dining ให้บริการนั่งรับประทานอาหารแบบปกติ อย่างเป็นสัดส่วนและถูกต้องตามมาตรฐานการให้บริการ           ร้าน Tonkatsu AOKI สาขา Velaa Sindhorn Village Langsuan ตั้งอยู่ที่ชั้น B1 บริเวณติดประตูทางออกติดกับลานจอดรถ เพื่อความสะดวกสบายในการเข้ามาใช้บริการ บรรยากาศภายในร้านตกแต่งในสไตล์มินิมัล โทนสีอบอุ่น ในรูปแบบกลิ่นอายสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น โดยแบ่งพื้นที่ด้านนอกเป็น Pet Friendly และพื้นที่ภายในร้านเป็นโซน Main Dining สำหรับสาขา Velaa Sindhorn Village Langsuan ยังคงซิกเนเจอร์ของร้าน Tonkatsu AOKI ที่พร้อมเสิร์ฟหลากหลายเมนูจากหมูทอดทงคัตสึ ที่สามารถเลือกสั่งระดับความฉ่ำของหมูทอดได้ถึง 7 ระดับ และเลือกวัตถุดิบเนื้อหมูคุณภาพที่ดีที่สุดจาก 7 ส่วน เลือกรับประทานพร้อมซอสทงคัตสึ หรือเกลือ 3 รสชาติจากญี่ปุ่น เสิร์ฟพร้อมข้าวญี่ปุ่น Yumepirika ซุปทงจิรุ และผักกะหล่ำปลีฝอย โดยสามารถเติมข้าว กับผักกะหล่ำปลีได้ไม่อั้น พร้อมเปิดตัวเมนูใหม่ Ebi Series กับเมนูกุ้ง 6 เมนู ไม่ว่าจะ San Ebi Katsu กุ้งลายเสือตัวโต 2 ไซส์ที่เสิร์ฟคู่ในจานเดียวกัน หรือจะ Ebi-Hire Katsu ที่เสิร์ฟกุ้งลายเสือตัวโต 2 ตัวคู่สันใน สัมผัสรสชาติของหมูทอดทงคัตสึแบบฉบับต้นตำรับที่ TONKATSU AOKI ร้านหมูทอด สาขาล่าสุด สาขา Velaa Sindhorn Village Langsuan ชั้น B1 และสาขา centralwOrld ชั้น 3 Nippon Avenue Zone รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.facebook.com/TonkatsuAokiThailand Instagram tonkatsuaoki.thailand Line OA @tonkatsuaoki.th หรือ โทร. 097-425-6252

AMATA เป้าขายที่ดิน 3.5 พันไร่ โต15%

AMATA เป้าขายที่ดิน 3.5 พันไร่ โต15%

      หุ้นวิชั่น#AMATA คาดว่าจะมีการลงทุนในประเทศไทยกว่า 7 พันล้านบาท ขยายพื้นที่และพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ไม่นับรวมถึงการลงทุนพลังงานสะอาดและโครงการใหม่ที่เกี่ยวข้องเพื่อปั้นฐานการผลิตเสริมแกร่ง 3 ประเทศต่อเนื่อง ทั้งไทย เวียดนาม และปีนี้พร้อมเปิดขายพื้นที่ นิคมอมตะ ซิตี้ นาหม้อ เขตเศรษฐกิจใหม่ สปป.ลาว ประตูค้าเชื่อมไทย-จีน ตั้งเป้ายอดขายที่ดินกลุ่มอมตะเติบโตกว่า 15%ทั้งในไทยและต่างประเทศ 3,500 ไร่ นางสาวเด่นดาว โกมลเมศ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA เปิดเผยว่า ปี 2568 เป็นปีที่มีความท้าท้าย จากปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในประเทศที่เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวช้า ปัญหาค่าครองชีพ และหนี้ครัวเรือน และปัจจัยภายนอกประเทศ อย่างภาวะเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ ทำให้เกิดการขยายฐานการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ไปยังประเทศที่มีศักยภาพ ต้นทุนการผลิตที่ต่ำ และมีความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้นกลุ่มอมตะ จึงได้เตรียมความพร้อมในการเพิ่มประสิทธิภาพ การให้บริการด้านสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยเตรียมงบลงทุนในไทยไว้ไม่ต่ำกว่า 7 พันล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่และพัฒนาที่ดินรองรับการลงทุนจากภาคอุตสาหกรรม โดยพื้นที่นิคมฯในแต่ละแห่งตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ทางด้านการค้าที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกลุ่มอมตะมีสถานการเงินที่แข็งแกร่ง โดยสิ้นปี 67 มีกระแสเงินสดประมาณ 5 พันล้านบาท และยอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอนอยู่จำนวนมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท สำหรับในปี 2568 ตั้งเป้าหมายยอดขายที่ดินทั้งในไทยและต่างประเทศ 3,500 ไร่ เติบโตจากปีก่อนมากกว่า 15% โดยเฉพาะในเวียดนามที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ทั้งญี่ปุ่น จีน เกาหลี และยุโรป เป็นต้น นางสาวเด่นดาว กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยทั้ง 3 แห่ง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ,นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง และนิคมอุตสาหกรรม ไทย- จีนนั้น ทางกลุ่มอมตะจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมทางด้านพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามหลักปรัชญา “ALL WIN” ถือเป็นการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้านนายโอซามู ซูโด รักษาการประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานแถลงข่าว Outlook 2025 พร้อมจัดกิจกรรมขอบคุณสื่อมวลชน ภายใต้ธีม Eternal Dream ว่ากลุ่มอมตะให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ที่สร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ดังนั้นแผนการการดำเนินงานในปี 2568 จึงได้เตรียมความพร้อมในด้านการพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและนำนวัตกรรมพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ โดยกลุ่มเป้าหมายสำคัญ ได้แก่ จีน และญี่ปุ่น รวมถึงกลุ่มประเทศแถบยุโรป โดยเฉพาะจีนยังมีทิศทางของการย้ายฐานการลงทุนต่อเนื่อง เป็นผลมาจากมาตรการการขึ้นภาษีของ สหรัฐฯ ทำให้ผู้ประกอบการจีนมีการวางแผนย้ายฐานการผลิต เพื่อการบริหารความเสี่ยงด้านต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น “ด้วยระบบ Supply Chain และสาธารณูปโภคที่ทันสมัย รวมถึงความมั่นคงด้านพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสิทธิประโยชน์จากนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทำให้กลุ่มอมตะได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยเฉพาะใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายหลักตามนโยบายของรัฐบาล ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และชิ้นส่วน2. อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB)3.อุตสาหกรรมดิจิทัล Data Center และ Cloud Region 4. อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต และ 5. อุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน” นายซูโดกล่าว นายวรงค์ ตังประพฤทธิ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมตะซิตี้ ลาว จำกัด กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม อมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ นาหม้อ ในสปป.ลาว ปัจจุบันมีทั้งหมด 20,000 ไร่ เป็นที่ดินที่พร้อมพัฒนาแล้ว จำนวน 5,600 ไร่ ซึ่งนิคมฯดังกล่าวถือว่าเป็นเขตเศรษฐกิจแห่งใหม่ของสปป.ลาวที่กลุ่มอมตะได้นำนวัตกรรมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมาพัฒนาและจะผลักดันให้เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี เพื่อเป็นประตูการค้าสู่ประเทศจีนตอนใต้ โดยอาศัยเส้นทางรถไฟความเร็วสูงลาว-จีนเนื่องจากนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวอยู่ห่างจากชายแดนจีนเพียง40กิโลเมตร ล่าสุด ทางนิคมอุตสาหกรรม อมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ นาหม้อ ในสปป.ลาวได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนสูงสุดในภูมิภาค และสิทธิการส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุน โดยการได้รับยกเว้นภาษี 30 ปี สำหรับผู้ลงทุนใน 7 ปีแรกที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร เพื่อสนับสนุนการใช้วัตถุดิบภายในให้มีมูลค่ามากขึ้น,อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์พลังงานทดแทน,อุตสาหกรรมผลิตยานยนต์และอาหาร,อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งแนวทางการพัฒนาของกลุ่มอมตะในลาวนำไปสู่การพัฒนาเป็นเมืองที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในระยะยาว ที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของ สปป.ลาว และภูมิภาคในอนาคต

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

FVC  ปักหมุด 3 ปี ตั้งศูนย์ไตเทียม-รร.เทคนิคการแพทย์

FVC ปักหมุด 3 ปี ตั้งศูนย์ไตเทียม-รร.เทคนิคการแพทย์

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายวิจิตร เตชะเกษม กรรมการผู้จัดการ (กลาง) พร้อมด้วย นายธนพรรจน์ ตันติวัฒนวิจิตร (ขวา) ผู้จัดการทั่วไป และนางสาวปานจิต ฉิมพาลี (ซ้าย) ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท ฟิลเตอร์ วิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FVC ร่วมนำเสนอข้อมูลภายในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ FVC สำนักงานใหญ่ โดยบริษัทฯ ประกาศตั้งเป้ารายได้ปี 2568 โต 25% จากการเติบโตใน 3 กลุ่มธุรกิจ พร้อมประกาศขับเคลื่อนธุรกิจใน 3 ปีข้างหน้า (ปี 2568 -2570) เดินเกมรุกขยายการให้บริการศูนย์ไตเทียม รวมถึงการเตรียมแผนจัดตั้งโรงเรียนการดูแลทางการแพทย์และเทคนิค (Medical Care & Technical School) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อสร้างบุคลากรเทคนิคการแพทย์สู่ตลาด นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นพัฒนาเสริมสร้างธุรกิจพลังงานสะอาดในอนาคต โดยการลดการใช้กระดาษทั้งหมด เพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน (Neutral for Carbon Footprint)

วัดกำลังหุ้นส่งออก  มีทั้งดีและร้าย เช็กได้!

วัดกำลังหุ้นส่งออก มีทั้งดีและร้าย เช็กได้!

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ส่งออก ก.พ. 2025 โดยรวมปรับตัวขึ้น ยกเว้นส่งออกไก่ กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยตัวเลขส่งออกสำคัญดังนี้ 1) ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงเดือน ก.พ. 2025 อยู่ที่ 267 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+14% YoY, +11% MoM) และตัวเลข 2M25 อยู่ที่ 507 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+14% YoY) 2) ส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปเดือน ก.พ. 2025 อยู่ที่ 311 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+0.1% YoY, +4% MoM) และตัวเลข 2M25 อยู่ที่ 612 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+5% YoY) 3) ส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและไก่แปรรูปเดือน ก.พ. 2025 อยู่ที่ 365 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+9% YoY, -5% MoM) และตัวเลข 2M25 อยู่ที่ 749 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+11% YoY) 4) ส่งออกยางพาราเดือน ก.พ. 2025 อยู่ที่ 569 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+36% YoY, +20% MoM) และตัวเลข 2M25 อยู่ที่ 1,045 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+40% YoY) (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์) มีมุมมองเป็นบวก จากส่งออกโดยรวม ก.พ. 2025 ปรับตัวขึ้น ยกเว้นส่งออกไก่ที่ชะลอ MoM ตามปัจจัยฤดูกาล โดยเรามองว่าส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารทะเลกระป๋องขยายตัว หนุนโดยกลยุทธ์การทำการตลาดและขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่อง ขณะที่ส่งออกยางพาราได้ปัจจัยหนุนจากตลาดจีนเป็นหลักตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและภาคการลงทุน รวมถึงสถานการณ์ supply ยางในประเทศปรับตัวดีขึ้น สำหรับ 1Q25E 1) กลุ่ม Pet Food เราประเมินกำไรปกติรวมจะชะลอ YoY จาก ITC ที่ SG&A สูงขึ้นตามการลงทุน transformation และทรงตัว QoQ จากการขยาย capacity ใหม่ของ AAI ที่เลื่อนไปใน 2Q25E และการเริ่มเห็นผลกระทบจากเกณฑ์ Global minimum tax (GMT) ของ ITC, 2) TU เราประเมินกำไรปกติจะลดลง QoQ จาก SG&A ทรงตัวสูง และค่าใช้จ่ายภาษีสูงขึ้นตามการเริ่มใช้เกณฑ์ GMT, 3) NER เราคาดการณ์กำไรปกติมีโอกาสดีกว่าที่เราคาดและขยายตัว QoQ หนุนโดยส่งออกปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดจีน, และ 4) GFPT เบื้องต้นเราประเมินกำไรปกติจะปรับตัวลง YoY แต่อาจดีขึ้นเล็กน้อย QoQ หนุนโดยราคาไก่ในประเทศและส่วนแบ่งกำไรปรับตัวดีขึ้น แต่ถูก offset บางส่วนจากปัจจัยฤดูกาลของส่งออก ทั้งนี้กลุ่ม Pet Food คงน้ำหนัก “Neutral” และไม่มี Top pick สำหรับหุ้นตัวอื่นๆ ในกลุ่ม Agri & Food เราแนะนำ - TU (ถือ/เป้า 13.50 บาท) เนื่องจากเรามองว่าปี 2025E ยังมีปัจจัยท้าทายจาก SG&A ทรงตัวสูงจากการลงทุนแผน transformation การเริ่มใช้ GMT และแนวโน้มการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ - NER (ถือ/เป้า 5.50 บาท) อย่างไรก็ตามเรามีโอกาสปรับประมาณการขึ้นจากผลการดำเนินงาน 1Q25E และปี 2025E มีแนวโน้มดีกว่าคาดหลังตัวเลขส่งออกขยายตัวสูงต่อเนื่อง - GFPT (ถือ/เป้า 11.00 บาท) จากกำไรปกติปี 2025E ชะลอตัว -3% YoY จากฐานสูงในปี 2024 ที่ได้อานิสงส์จากลูกค้าส่งออกเร่งคำสั่งซื้อ อีกทั้งการขยายโรงเชือดไก่แห่งใหม่ยังล่าช้าไปในปี 2026E

NPL รวม 4 แบงก์กว่า 3 แสนล. เช็กหนี้สิน! ล่าสุดใครมีแวว?

NPL รวม 4 แบงก์กว่า 3 แสนล. เช็กหนี้สิน! ล่าสุดใครมีแวว?

          หุ้นวิชั่น- ชำแหละสินทรัพย์และหนี้สิน 4 แบงก์ใหญ่ KTB-SCB-KBANK-BBL  ด้วยข้อมูลล่าสุดเดือน ก.พ.2568 แชมป์ยอดเงินฝากตกเป็นของ BBL ที่ 2.75 ล้านล้านบาท ส่วนอันดับหนึ่งการให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ และดอกเบี้ยค้างรับสุทธิ คือ KTB ที่ 2.40 ล้านล้านบาท แบงก์ที่มีเงินลงทุนมากสุดคือ BBL ที่ 8.20 แสนล้านบาท  ขณะที่ NPL รวม 4 แบงก์ใหญ่ งวดสิ้นสุดวันที่ 31ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 3.49 แสนล้านบาท            นายพยง  ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ธนาคารกรุงไทย  หรือ  KTB  แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า รายการย่อสินทรัพย์และหนี้สิน งวด วันที่ 28 ก.พ. 2568 มียอดเงินฝากทั้งสิ้น 2.74  ล้านล้านบาท  เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ และดอกเบี้ยค้างรับสุทธิ 2.40 ล้านล้านบาท  มีเงินลงทุนสุทธิ 3.37 แสนล้านบาท  และมีเงินสด 5.88  หมื่นล้านบาท           ขณะที่ มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans)  ประจำไตรมาส สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2567 มีทั้งสิ้น 9.29 หมื่นล้านบาท  หรือคิดเป็น 3.01% ของเงินให้สินเชื่อรวมก่อนหักเงินสำรองค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น           นายอาทิตย์  นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บมจ. เอสซีบี เอกซ์ หรือ SCB  และบริษัทย่อย แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า  รายการย่อสินทรัพย์และหนี้สิน งวด วันที่ 28 ก.พ. 2568 มียอดเงินฝากทั้งสิ้น   2.46 ล้านล้านบาท มียอดเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ และดอกเบี้ยค้างรับสุทธิ 2.29 ล้านล้านบาท มีเงินลงทุนสุทธิ 3.30 แสนล้านบาท  และมีเงินสด 3.69 หมื่นล้านบาท           ขณะที่ มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans)  ประจำไตรมาส สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2567 มีทั้งสิ้น 9.76 หมื่นล้านบาท  หรือคิดเป็น 3.37% ของเงินให้สินเชื่อรวมก่อนหักเงินสำรองค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น           นายจงรัก  รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ บมจ. ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK  แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า รายการย่อสินทรัพย์และหนี้สิน งวด วันที่ 28 ก.พ. 2568 มียอดเงินฝากทั้งสิ้น 2.68 ล้านล้านบาท มียอดเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ และดอกเบี้ยค้างรับสุทธิ 2.21 ล้านล้านบาท มีเงินลงทุนสุทธิ 4.28 แสนล้านบาท  และมีเงินสด 3.71 หมื่นล้านบาท           ขณะที่ มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans)  ประจำไตรมาส สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2567 มีทั้งสิ้น 8.60 หมื่นล้านบาท  หรือคิดเป็น 3.11% ของเงินให้สินเชื่อรวมก่อนหักเงินสำรองค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น           BBL แชมป์ลงทุน           นายสิงห์  ตังทัตสวัสดิ์  กรรมการ แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ธนาคารกรุงไทย  หรือ BBL แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า รายการย่อสินทรัพย์และหนี้สิน งวด วันที่ 28 ก.พ. 2568 มียอดเงินฝากทั้งสิ้น 2.75 ล้านล้านบาท มียอดเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ และดอกเบี้ยค้างรับสุทธิ 2.07 ล้านล้านบาท  มีเงินลงทุนสุทธิ 8.20 แสนล้านบาท  และมีเงินสด 3.73 หมื่นล้านบาท           ขณะที่ มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans)  ประจำไตรมาส สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2567 มีทั้งสิ้น 7.31  หมื่นล้านบาท  หรือคิดเป็น 2.60 % ของเงินให้สินเชื่อรวมก่อนหักเงินสำรองค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

หุ้นกู้ KCCH ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการหนี้ [FynnCorp IAS Bond Research]

หุ้นกู้ KCCH ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการหนี้ [FynnCorp IAS Bond Research]

บริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) Business Sector: Finance and Securities Company Rating: Unrated Issue Rating: Unrated Listed Status: MAI Key Highlights: KCCH ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ KCCAMC และ KCCAR มีรายได้การดำเนินงานลดลงเล็กน้อย แต่ธุรกิจหลักยังเติบโตได้ดี เน้นลงทุนเพิ่มในพอร์ต NPL ที่ให้ผลตอบแทนสูง สถานะการเงินแข็งแกร่ง เงินสด 304 ล้านบาท แต่ยังต้องพึ่งพาเงินกู้เพิ่ม KCCH ออกหุ้นกู้ 6.00% ต่อปี ไม่มีเรตติ้ง อายุ 1 ปี 11 เดือน 29 วัน อัตราดอกเบี้ย 6.00% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 8-10 เมษายน 2568 หุ้นกู้ KCCH ภาพรวมธุรกิจ บริษัท ไนท คลับ แคปิตอล โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (KCC) จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ในเดือนสิงหาคม ปี 2566 เพื่อดำเนินธุรกิจด้วยการเข้าลงทุนถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ซึ่ง KCC ดำเนินธุรกิจหลักด้วยการถือหุ้น 99.73% ภายใต้ บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปิตอล จำกัด (มหาชน) (KCCAMC) ที่ประกอบธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากการรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPLs) จากสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน แล้วนำมาปรับปรุงโครงสร้างหนี้และบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย (NPA) เพื่อนำมาพัฒนาและจำหน่ายต่อไป นอกจากนี้ KCC ยังดำเนินธุรกิจหลักด้วยการถือหุ้น 100% ภายใต้ บริษัท เคซีซี แอสเซท รีคัฟเวอรี่ จำกัด (KCCAR) ซึ่งดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากการรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้ NPLs เช่น การซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพประเภทหุ้นกู้ หรือประเภทลูกหนี้การค้าจากบุคคลหรือนิติบุคคลที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน และนำมาบริหารจัดการ ปรับปรุงและจำหน่ายต่อไป แหล่งรายได้ มาจาก 1) การบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ อย่างดอกเบี้ยรับจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ จากกำไรการรับชำระหนี้ และจากกำไรการขายเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ เป็นต้น และ 2) กำไรจากการขายทรัพย์สินรอการขายที่บริษัทได้มีการสร้างมูลค่าเพิ่ม ปรับปรุงให้มีสภาพดีพร้อมใช้ประโยชน์ เพื่อให้สามารถจำหน่ายให้กับบุคคลภายนอกได้ นอกจากนี้ ยังมี 3) รายได้จากการดำเนินงานอื่น เช่น รายได้จากการให้บริการบริหารสินทรัพย์ รายได้ดอกเบี้ยรับจากธนาคาร และอื่นๆ ผลการดำเนินงานปี 2567 เมื่อรวมรายได้จากการดำเนินงาน 3 แหล่งข้างต้นจะอยู่ที่ 185.7 ล้านบาทในปี 2567 โดยรายได้มาจากธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเป็นหลัก คิดเป็นกว่า 93% หรือมูลค่า 172.8 ล้านบาท ตามด้วยกำไรจากการขายทรัพย์สินรอการขาย มูลค่า 9.5 ล้านบาท (5%) และรายได้อื่นๆ ส่วนกำไรสุทธิ อยู่ที่ 81.8 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายได้จากการดำเนินงานลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน 2.8% YoY สาเหตุหลักมาจากกำไรสุทธิจากการรับชำระหนี้ลดลง 58.3% YoY อยู่ที่ 10.98 ล้านบาท จาก 26.35 ล้านบาทในปี 2566 ซึ่งปกติบริษัทจะรับรู้กำไรส่วนนี้เมื่อได้รับเงินส่วนที่เกินกว่าราคาทุนที่จ่ายซื้อลูกหนี้และดอกเบี้ยที่ได้รับชำระจากลูกหนี้ ส่วนกำไรจากการขายทรัพย์สินรอการขายที่จำหน่ายได้ ลดลง 32.7% YoY ขณะเดียวกัน กำไรสุทธิลดลงจากปีก่อนหน้า 2.8% จากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มจากการออกหุ้นกู้เพื่อซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเพิ่มเติม แม้ว่ารายได้ภาพรวมจะลดลงเล็กน้อย แต่รายได้หลักของบริษัท อย่างรายได้ดอกเบี้ยรับจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้สุทธิของบริษัท ยังเติบโต 17.3% YoY มาอยู่ที่ 159.8 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนเพิ่มในพอร์ต NPL ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น และการขยายตัวของพอร์ต สะท้อนศักยภาพในการสร้างรายได้และผลตอบแทนในระยะยาวของบริษัท สถานะทางการเงิน บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 304 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E ratio) อยู่ที่ 1.06 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E) อยู่ที่ 1.00 เท่า สะท้อนว่าหนี้สินส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย โดยหลักเป็นตราสารหนี้ คิดเป็น 88.5% ของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยทั้งหมด โดยบริษัทสามารถจ่ายดอกเบี้ยอยู่ในระดับดี สะท้อนจากอัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (ICR) ที่ 2.14 เท่า อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนความสามารถในการชำระผูกพัน (DSCR) อยู่ที่ 0.26 เท่า หมายความว่า มีกำไร EBITDA ครอบคลุมภาระหนี้ (ดอกเบี้ย + เงินต้น) ที่ครบกำหนดใน 1 ปี ได้เพียง 26% ส่งผลให้บริษัทต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้ใหม่ เช่น การออกหุ้นกู้ KCCH เสนอขายหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนสถาบัน ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ เป็นหุ้นกู้เสี่ยงสูง ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน อายุ 1 ปี 11 เดือน 29 วัน อัตราดอกเบี้ย 6.00% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 8-10 เมษายน 2568 โดยบริษัทไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรและหุ้นกู้ มีวัตถุประสงค์การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อให้กู้ยืมแก่บริษัทย่อย เพื่อนำไปใช้ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะยาว การดำรงอัตราส่วนทางการเงิน บริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E) ตามข้อกำหนดสิทธิของผู้ออกหุ้นกู้ ไม่เกิน 2.5 เท่า ณ วันสิ้นงวดบัญชี ปัจจัยเสี่ยง ความเสี่ยงในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ บริษัทมีความเสี่ยงหากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายชำระเงินตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน หรือการดำเนินกระบวนการทางศาลล่าช้า หลักประกันไม่คุ้มหนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีขั้นตอนการคัดเลือกสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ด้วยการดำเนินการสอบทานข้อมูล (Due Diligence) อย่างละเอียด ความเสี่ยงจากการจัดซื้อลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจที่ไม่มีหลักประกัน หากเกิดเหตุการณ์ที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ให้กับบริษัทได้ บริษัทจะต้องดำเนินการฟ้องร้อง เพื่อบังคับคดีกับทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ ซึ่งใช้ระยะเวลาและอาจส่งผลต่อกระแสเงินสดรับ และความสามารถในการชำระคืนหนี้ได้ ดังนั้น บริษัทจึงให้ความสำคัญในการพิจารณา ประเมิน และกำหนดราคาซื้อลูกหนี้ทุกครั้งที่เข้าประมูลซื้อลูกหนี้ อย่างเช่น การพิจารณาภาระหนี้คงเหลือ ความสามารถในการชำระหนี้ พิจารณาแผนธุรกิจ วิเคราะห์งบการเงิน และอุตสาหกรรม เป็นต้น ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของบริษัท จากการที่บริษัทมีลูกหนี้ 1 ราย ที่มีสัดส่วนมากกว่า 30.4% ของเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับสุทธิของ KCCAMC ณ สิ้นปี 2567 โดยเป็นสินเชื่อธุรกิจที่มีหลักประกัน ซึ่งผลการดำเนินงานของลูกหนี้อาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ ทำให้ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทตามมา บริษัทจึงได้ติดตามลูกหนี้นี้ และมีการประเมิน ติดตามมูลค่าหลักประกันอย่างสม่ำเสมอ โดยมีรายงานความคืบหน้าทางคดีต่อคณะกรรมการบริษัททุกเดือน และรายงานต่อคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงทุกไตรมาส

INET วางเป้าปี 68 รายได้แตะ 3.2 พันลบ. มุ่งสู่ Digital Life

INET วางเป้าปี 68 รายได้แตะ 3.2 พันลบ. มุ่งสู่ Digital Life

          หุ้นวิชั่น - บมจ.อินเทอร์เน็ตประเทศไทย หรือ INET ตอกย้ำวิสัยทัศน์ผู้นำด้านนวัตกรรมและส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันเพื่อสร้างธุรกิจอย่างยั่งยืน เปิดแผนปี 2568 เดินหน้า สู่ Digital Life มุ่งยกระดับการให้บริการเพื่อให้วิถีชีวิตคนไทยดีขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย รับบริบทของโลกยุคใหม่ Digital Era พร้อมลงทุนวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องครอบคลุมระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง แพลตฟอร์ม และเครื่องมือดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสูงสุด วางเป้าหมายปี 2568 คาดการณ์รายได้ 3,200 ล้านบาท เติบโต 27% จากปีก่อน           นายวัลล์ชัย เวชชีวะดำรงค์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET  ผู้ให้บริการ Local Cloud Service และ Digital Platform Service เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “ผู้นำด้านนวัตกรรมและส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันเพื่อสร้างธุรกิจอย่างยั่งยืน” เพื่อพึ่งพาต่างประเทศให้น้อยลง โดยมีพันธกิจมุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อประเทศอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เชื่อมโยงการวิจัยและพัฒนา โดยมีเป้าหมายขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุค 4.0 และสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีแห่งนวัตกรรมภายในประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เติบโตอย่างยั่งยืน           แผนธุรกิจปี 2568 บริษัทฯ เดินหน้าภายใต้กรอบ “Digital Life” มุ่งยกระดับการให้บริการเพื่อทำให้วิถีชีวิตของคนไทยดีขึ้นด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย สอดรับกับยุค Digital Era ซึ่งเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง และเทคโนโลยีจะส่งผลกระทบการดำเนินชีวิตของคนในสังคม โดยจะให้บริการ 4 ด้าน ได้แก่ 1) การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อวัดคุณภาพชีวิตหรือศักยภาพของบุคคล (Life Scoring) 2) โปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือระบบที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI Assistant) เพื่อช่วยให้ทำงานสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น 3) การเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นอยู่ของบุคคล (Open Life Data) เพื่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง และ 4) การเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานต่างๆ (Domain Expert)           ทั้งนี้บริษัทฯ จะลงทุนวิจัยและพัฒนา 3 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) เพื่อลดต้นทุนและลดการนำเข้าเทคโนโลยีทั้งจากซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์จากต่างประเทศ 2) การพัฒนาแพลตฟอร์มภายใต้ข้อมูลพื้นฐานที่อยู่บนคลาวด์ (Competing Platform Market) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน อาทิ การให้บริการ e-tax invoice, CA (Certificate Authority) และการสร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติไทย (Nex Gen Commerce) 3) การพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลภายในบริษัทฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเสถียรภาพของระบบภายในและลดกระบวนการทำงานด้วยตนเอง ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์รายได้ปี 2568 อยู่ที่ 3,200 ล้านบาท เติบโต 27% จากปีก่อน จากการมีลูกค้าใช้บริการ 10,000 ราย และมีจำนวน VMIs 120,000 VMIs เติบโตกว่า 86%

ปลัดพลังงาน สั่ง กฟผ. เร่งขุดขนถ่านหินแม่เมาะไม่ให้กระทบค่าไฟ

ปลัดพลังงาน สั่ง กฟผ. เร่งขุดขนถ่านหินแม่เมาะไม่ให้กระทบค่าไฟ

          หุ้นวิชั่น - ปลัดกระทรวงพลังงานยืนยันกรณี การว่าจ้างการขุดขนถ่านหินเหมืองแม่เมาะที่ล่าช้า ได้สั่งการให้ กฟผ. เร่งงานทุกสัญญา ไม่กระทบค่าไฟ พร้อมขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ดำเนินการตรวจสอบ สร้างความเชื่อมั่นและแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการของ กฟผ.           วันนี้ (14 มีนาคม 2568) นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน และประธานบอร์ด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (รมว.พน.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีการจ้างเหมา ขุด-ขนถ่านหิน ที่เหมืองแม่เมาะ ปัจจุบันผลการสอบข้อเท็จจริงได้สิ้นสุดแล้ว ไม่มีเรื่องทุจริต หรือ การประพฤติมิชอบ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับ ซึ่งทาง กฟผ. จะได้เดินหน้าดำเนินการลงนามสัญญาจ้างผู้ชนะการประมูลต่อไป ซึ่ง กฟผ. จะเร่งการขุดขนถ่านหินจากทุกสัญญา เพื่อให้มีถ่านหินเพียงพอในการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าแม่เมาะให้ได้เต็มที่ ไม่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าในรอบถัดไป            อย่างไรก็ตาม ตามที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า กฟผ. ไม่ควรเดินเครื่องโรงไฟฟ้าแม่เมาะโรงที่ 8 ถึง 11 เนื่องจากสถานการณ์ของสงครามรัสเซีย-ยูเครนไม่รุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้ ในส่วนนี้ ขอชี้แจงว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา สงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ มีความไม่แน่นอน และความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลาง ได้ส่งผลกระทบให้ราคาก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG ผันผวนในระดับสูง ที่ 14 - 15 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ในการนี้ กฟผ. ได้มีการปรับสัดส่วนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าให้มีความเหมาะสมด้านราคาและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน ซึ่ง กฟผ. พยายามใช้เชื้อเพลิงที่มีต้นทุนที่ต่ำที่สุดในการผลิตไฟฟ้า จึงยังคงจำเป็นต้องเดินเครื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะโรงที่ 8 ถึง 11 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ซึ่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ โรงที่ 8 ถึง 11 ส่งผลให้ปี 2567 สามารถลดการนำเข้า LNG ได้ประมาณ 18 ลำ มูลค่ากว่า 65,000 ล้านบาท หรือลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 11 - 13 สตางค์ต่อหน่วย            ในส่วนของการใช้วิธีพิเศษในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างนั้น ก็เป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง ได้เปิดโอกาสให้บริษัทที่มีศักยภาพสามารถเข้าร่วม จำนวน 6 ราย โดยการคัดเลือกได้พิจารณาทั้งเทคโนโลยีที่บริษัทนำเสนอ แผนการดูแลรักษาเครื่องจักร อุปกรณ์ที่สำคัญ รวมทั้ง ประสบการณ์ในการดำเนินงาน และข้อเสนอด้านราคาของบริษัทที่เข้าร่วมการประมูล           “ผมขอยืนยันว่า ถึงแม้จะมีความล่าช้าในการจัดจ้างงานขุดขนถ่านหิน ผมในฐานะประธานบอร์ด กฟผ. และผู้บริหารทุกท่าน ได้พยายามบริหารจัดการการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่มีต้นทุนที่ต่ำที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบกับภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และผมต้องขอขอบคุณที่ท่านรัฐมนตรีฯ ได้กรุณาจัดให้มีการตรวจสอบที่เป็นกลาง ถือเป็นโอกาสอันดีที่แสดงให้เห็นว่าการจัดซื้อจัดจ้างของ กฟผ. มีความโปร่งใส เป็นไปตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างทุกขั้นตอน นอกจากนั้น คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ ก็ได้ให้คำแนะนำให้ปรับปรุงระเบียบให้รัดกุมมากขึ้น ซึ่งทาง กฟผ. ได้น้อมรับคำแนะนำต่าง ๆ และจะดำเนินการปรับปรุง ข้อบังคับ และระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง จากนี้ กฟผ. จะดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อลงนามสัญญาว่าจ้างผู้ชนะการประมูล และจะเร่งดำเนินการในทุกสัญญาการขุดขนถ่านหินที่มีอยู่ ตลอดจนใช้สรรพกำลังของ กฟผ. ที่จะขุดขนถ่านหินให้ได้เต็มที่ เพื่อให้สามารถเดินเครื่องโรงไฟฟ้าแม่เมาะได้เต็มกำลังและไม่ส่งผลกระทบต่อราคาค่าไฟประชาชนต่อไป” นายประเสริฐ กล่าว

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

KSS ชูพิกัด GUNKUL 2.6 บ. ล็อกเป้าผลิตไฟ 2,000 MW

KSS ชูพิกัด GUNKUL 2.6 บ. ล็อกเป้าผลิตไฟ 2,000 MW

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า จากประชุมนักวิเคราะห์ เรามองมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อ GUNKUL โดยบริษัทฯ คงเป้าหมายการเติบโตรายได้ปี 25F ที่ 10-15% จากเป้าหมายกำลังการผลิตในระยะยาวที่ 2,000 MW (ปัจจุบัน 1,464 MW) อย่างไรก็ตามในระยะสั้น ทิศทาง Gross Margin ของงาน EPC ในปี 25F คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 18-20% ซึ่งต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 21% เนื่องจากมีสัดส่วนของงานที่มี Margin ต่ำกว่าเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันค่าใช้จ่าย SG&A คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าประมาณการเดิมของบริษัทฯ ทำให้เรามีการปรับลดประมาณการกำไรในปี 25-26F ลงเฉลี่ย 12% จากต้นทุนที่สูงกว่าคาดในระยะสั้น แม้ว่าราคาหุ้นจะลดลง -25% YTD และอยู่ในโซนราคาที่ค่อนข้างถูก (Value zone) ด้วย PER 25F ที่ 9x (-1SD) ซึ่งสะท้อนปัจจัยกดดันไปมากแล้ว แต่ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องติดตามความชัดเจนในบางประเด็น ได้แก่ 1) นโยบายการลดค่าไฟสำหรับโครงการที่ COD แล้ว แม้ว่าความเป็นไปได้จะยาก 2) การชะลอการเซ็น PPA สำหรับพลังงานหมุนเวียนเฟส 2 ที่ยังไม่รวมในประมาณการของบริษัทฯ อย่างไรก็ตาม เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" (Buy) ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 2.60 บาท/หุ้น. ประเด็นสำคัญ : เป้าหมายการผลิตในระยะยาว บริษัทตั้งเป้าหมายก าลังการผลิตในระยะยาวที่ 2,000 MW ภายในปี 2027F (ปัจจุบัน 1,464 MW) โดยมาจากพลังงานหมุนเวียนในประเทศ การทำ Direct PPA ร่วมกับเอกชน และการขยายธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งในขณะนี้บริษัทกำลังศึกษาโอกาสเติบโตในตลาดโซล่าร์ในฟิลิปปินส์ เนื่องจากมีโอกาสการเติบโตสูง โดยมีความต้องการในตลาดกว่า 80 GW. การเติบโตรายได้ บริษัทคงเป้าหมายการเติบโตรายได้ในปี 25F ที่ 10-15% (ในขณะที่เราคาดการณ์ที่ 8%) โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์การเติบโตจากธุรกิจ EPC & Trading ผ่าน Backlog ปัจจุบันที่ 3,800 ล้านบาท ซึ่งรวมทั้งงานสายส่งและโรงไฟฟ้าที่ได้รับคัดเลือกทั้งหมด 5,203 MW ที่จะเริ่ม COD ในปี 26F นอกจากนี้ยังจะมีการเพิ่มโซล่าร์พร้อมแบตเตอรี่ (Solar+BESS) ในกลุ่มลูกค้า Private PPA เพื่อเพิ่มรายได้จากฐานลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ประมาณ 15-20% ทิศทาง Gross Margin บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะรักษาระดับ Gross Margin ใกล้เคียงเดิมในปี 25F อย่างไรก็ตาม มาร์จิ้นจากกลุ่มธุรกิจ EPC อาจลดลงอยู่ในกรอบ 18-20% (จาก 22% ในปี 2024) เนื่องจากมีการเพิ่มสัดส่วนงานที่มี Margin ต่ำจากการทำโครงการขนาดใหญ่   แนวโน้ม SG&A คาดว่า SG&A ในปี 25F จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการลดต้นทุนบุคลากร โดยการวางระบบในกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนในการบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 40 ล้านบาท แต่ SG&A โดยรวมยังคงสูงกว่าประมาณการเดิม   การ Roll-over หุ้นกู้และ LT-Loan : บริษัทวางแผนที่จะ Roll-over หุ้นกู้และ LT-Loan ในปี 25F รวมมูลค่า 1,842 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถลด Finance cost ได้ประมาณ 1%. ปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (IBD/E) ที่ 1.04 เท่า ซึ่งยังคงมีพื้นที่ในการก่อหนี้สำหรับ CAPEX ในปี 25-27F ที่ 12,000 ล้านบาท เพื่อการลงทุนโครงการเพิ่มเติม โดยยังคงอยู่ภายใต้ข้อตกลงที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 3 เท่า           ความเห็นและคำแนะนำ           เรามองสถานการณ์เป็นกลาง (Neutral) โดยบริษัทฯ คงเป้าหมายการเติบโตรายได้ในปี 25F ที่ 10-15% โดยอิงจากเป้าหมายการผลิตในระยะยาวที่ 2,000 MW (ปัจจุบัน 1,464 MW) ถึงแม้ว่าจะมีต้นทุนที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งส่งผลให้เราปรับลดประมาณการรายได้ปี 25-26F ลงเฉลี่ย 12% โดยลด Gross margin ปี 25-26F ลง 70 bps และ 150 bps จากการปรับฐานของอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงจากปี 24 เนื่องจากการรับงานโครงการขนาดใหญ่ที่มีมาร์จิ้นต่ำกว่าปกติจากธุรกิจ EPC                     ปรับเพิ่มค่าใช้จ่าย SG&A ปี 25-26F ขึ้น 15% เพื่อสะท้อนต้นทุนที่สูงขึ้นจากบุคลากร แม้ว่าบริษัทฯ จะตั้งเป้าหมายลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้ในปี 25F ประมาณ 40 ล้านบาท แต่ก็ยังคงมีสัดส่วนที่สูงกว่าประมาณการเดิมของเรา คาดว่ากำไรในไตรมาส 1 ปี 25F จะเติบโตเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (y-y) และทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (q-q) เนื่องจากบริษัทฯ จะยังคงได้รับประโยชน์จากธุรกิจ EPC & Trading ต่อเนื่อง รวมถึงคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังงานลมจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าปีก่อน           เรายังคงคำแนะนำ "Buy" บนราคาเป้าหมายใหม่ (TP25F) ที่ 2.60 บาท โดยใช้วิธีการประเมินมูลค่าทั้งกลุ่ม (SOTP) ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจปัจจุบัน (โรงไฟฟ้า COD) มูลค่า 1.60 บาท ธุรกิจ EPC & Trading มูลค่า 0.43 บาท โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ มูลค่า 0.57 บาท เนื่องจากเรามีการปรับเพิ่มสมมติฐาน WACC สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าเป็น 8.5% (จากเดิม 7.0%) และปรับลด PER สำหรับกลุ่มธุรกิจก่อสร้างลงเป็น 10 เท่า (จากเดิม 15 เท่า) โดยประมาณการและราคาเป้าหมายในปัจจุบันยังไม่รวม Upside จากการคัดเลือกพลังงานหมุนเวียนเฟส 2 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างชะลอการเซ็น PPA เชิงกลยุทธ์ แม้ว่า GUNKUL จะยังคงเป็นบริษัทที่มีการเติบโตจากงาน EPC ในปี 25F (คาดกำไรปกติเติบโต 4%) และการเพิ่ม Capacity พลังงานหมุนเวียนในปี 26F (คาดกำไรปกติเติบโต 17%) แต่เราขอแนะนำให้ติดตามปัจจัยความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่อาจกระทบการลงทุน ได้แก่ นโยบายการลดค่าไฟ สำหรับโครงการที่ COD แล้ว ซึ่งโอกาสในการเกิดเป็นไปได้น้อย การชะลอการเซ็น PPA สำหรับพลังงานหมุนเวียนเฟส 2

BIS ผุดไอเดียลงทุนเสริมทัพ กดปุ่มสยายปีกต่างแดน

BIS ผุดไอเดียลงทุนเสริมทัพ กดปุ่มสยายปีกต่างแดน

          หุ้นวิชั่น - BIS กางแผนงานปี 68 ตั้งเป้าโต 10-15% จากปีก่อน 2.3 พันล้านบาท ชู 3 กลยุทธ์หลัก ใส่เกียร์ดันยอดโตแบบออแกนิค  พร้อมโฟกัสสินค้ามาร์จิ้นสูงปั๊มเงินเข้าพอร์ต กดปุ่มสยายปีกต่างแดน เล็งเวียดนาม อินโดนีเซีย ชี้ตลาดสัตว์เลี้ยง ประชากรแน่น ผุดไอเดียลงทุนธุรกิจเกี่ยวโยงเสริมทัพแกร่ง           น.สพ.สุชาติ วรวุฒางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIS เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตที่ 10-15% จากปีก่อนที่ 2,374.43 ล้านบาท โดยการเติบโตจะมาจากสินค้าและบริการใหม่ รวมถึงการพัฒนา R&D สินค้าในโรงงานของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทวางกลยุทธ์การเติบโตไว้ 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่             การเติบโตแบบออแกนิค หรือการจำหน่ายสินค้าในตลาดสัตว์ปศุสัตว์ โดยบริษัทมีสินค้าที่ผลิตจากโรงงานและกระจายไปยังช่องทางการขายต่างๆ เช่น โรงพยาบาลสัตว์ ซึ่งสินค้าที่ผลิตจากโรงงานมีอัตรากำไรสูง คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ             การโฟกัสที่การจำหน่ายสินค้ามาร์จิ้นสูง โดยบริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัท โดยบริษัทจะพัฒนาแบรนด์ของตนเองควบคู่กับการผลิตภายในบริษัท พร้อมทั้งขยายไลน์ผลิตภัณฑ์สำหรับปศุสัตว์ประเภทอื่นๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายและโอกาสทางธุรกิจ             นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจสัตว์เลี้ยงผ่านช่องทาง B2C และค้าปลีก โดยมุ่งขยายฐานลูกค้า B2C เพิ่มการเข้าถึงผ่านช่องทางออนไลน์และพัฒนากิจกรรม B2B2C ร่วมกับตัวแทนจำหน่ายและร้านค้าสัตว์เลี้ยง พร้อมทั้งพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับธุรกิจสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ             และการขยายตลาดต่างประเทศ โดยบริษัทมีแผนขยายธุรกิจไปยังประเทศที่มีความต้องการตลาดสัตว์เลี้ยงสูง และมีประชากรจำนวนมาก เช่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย ส่วนในตลาดที่มีการเติบโตสูงอยู่แล้ว เช่น เมียนมาร์ และกัมพูชา บริษัทจะเน้นรักษาฐานตลาดไว้ โดยผ่านความร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายในท้องถิ่นและพันธมิตรหลัก ควบคู่ไปกับการลงทุนด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และการวิจัยพัฒนา โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ             นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสัตว์เลี้ยง ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้นในปี 2568             สำหรับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการที่สำคัญในปีที่ผ่านมา บริษัทลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท เพ็ด เอ็กซ์ จำกัด เพิ่มเติมอีกร้อยละ 33 โดยบริษัทฯ มีสัดส่วนการลงทุนรวมเป็นร้อยละ 84 จากเดิมร้อยละ 51             บริษัทลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท White Ocean Veterinary Vietnam JSC (ประเทศเวียดนาม) โดยบริษัท มีสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 15             และบริษัทจัดตั้งบริษัท เพ็ทแอนิมัล ดาต้า แอนด์ อินโนเวชั่น จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการเกี่ยวกับสัตวแพทย์และ Animal Wellbeing Platform สำหรับสัตว์เลี้ยง โดยบริษัทฯ มีสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 85             อนึ่งปี 2567 บริษัทมีรายได้ที่ 2,374.43 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 65.04 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

SCC เทรดคึกคัก พุ่ง 6.82% ราคายัง Laggard-ลุ้นงบ Q1/68 ฟื้น

SCC เทรดคึกคัก พุ่ง 6.82% ราคายัง Laggard-ลุ้นงบ Q1/68 ฟื้น

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ราคาหุ้นของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) (SCC) ปรับตัวขึ้นโดดเด่น หรือ บวก 6.82% มาอยู่ที่ 164.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 778,976 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.34 น.           นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) (UOBKHST) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นของ SCC ที่ปรับตัวขึ้นมา คาดเป็นไปตาม Sentiments ตลาด และเป็นหุ้นที่ยัง Laggard อยู่ ประกอบกับในแง่ปัจจัยพื้นฐาน คาดว่าผลการดำเนินงานจะเห็นการฟื้นตัวในไตรมาส 1/68 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/67 เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมี ปิโตร spread PE, PP ฟื้น 2-5% qoq และ ธุรกิจของSCGP, SCGD คาดฟื้นตัวจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจซีเมนต์ ก็คาดว่าจะฟื้นตัวตาม volume ที่เพิ่มขึ้น แต่ราคาปูนซีเมนต์ ที่ขยับขึ้นมาตั้งแต่เดือนก.พ.68 คาดมีผลในไตรมาส 2/68           ทั้งนี้ล่าสุด SCC ได้มีการเปิดเผยถึงกลยุทธ์ในระยะสั้น และกลยุทธ์ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า โดยมีรายละเอียด ดังนี้           - กลยุทธ์ระยะสั้น การเงินแข็งแกร่ง           1.มุ่งรักษากระแสเงินสดให้แข็งแกร่ง ลดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน หยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร เพื่อสร้างความคล่องตัว รับมือทุกสถานการณ์           2.เมื่อเงินสดแข็งแกร่ง สามารถนำไปลดหนี้ และจ่ายเงินปันผลเพื่อดูแลผู้ถือหุ้นทุกคนต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกู้เงินเพิ่ม รวมทั้งสามารถลงทุนเมื่อมีโอกาสดี ๆ เข้ามา           3.รัดเข็มขัดงบลงทุนปี 2568 อยู่ที่ 30,000-35,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในกิจกรรมที่ได้ผลตอบแทนไว           4.ปี 67 EBITDA ยังอยู่ในระดับแข่งขันได้ แม้กำไรลดลง เพราะ SCG เพิ่งขึ้นโรงงานใหม่ LSP เวียดนาม จึงรับรู้ค่าเสื่อมราคาและกระทบกำไร แต่หากมองที่ EBITDA จะมั่นใจได้ว่าธุรกิจสร้างรายได้ได้ต่อเนื่อง           - กลยุทธ์ระยะยาว แข่งขันได้ยั่งยืน           ธุรกิจเคมิคอลส์ 5.โรงงานเวียดนาม LSP จะมีศักยภาพการแข่งขันสูงยิ่งขึ้น - จากการนำก๊าซอีเทนมาใช้เป็นวัตถุดิบ ทำได้เร็ว - ได้เปรียบต้นทุนวัตถุดิบ - คืนทุนไว เตรียมรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในอนาคต           6.โรงงานไทย HVA เด่น - โรงงานปิโตรเคมีในไทยมีศักยภาพทำกำไร แม้อยู่ท่ามกลางวัฏจักรปิโตรเคมีชะลอตัว เนื่องจากมีนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง HVA ที่มีอัตรากำไรดี ปีนี้ผลักดันต่อเนื่อง รวมทั้งเดินหน้านวัตกรรมพลาสติกรีไซเคิล           ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง           7.กลุ่มซีเมนต์ ผู้นำนวัตกรรมก่อสร้างคาร์บอนต่ำ - ปัจจุบันสร้างกำไรได้ แม้ตลาดซบเซา เพราะได้เปรียบจากนวัตกรรมปูนคาร์บอนต่ำ ส่งออกได้หลายประเทศ รวมทั้งการปรับตัวเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาดมาต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนพลังงานลดลง กำลังเร่งขยายผลต่อเนื่อง           8.กลุ่มสมาร์ทลีฟวิง โซลูชันหลากหลาย - เร่งพัฒนา System การอยู่อาศัยใหม่ ๆ แบบครบวงจร และแตกต่างจากสินค้าจากจีน เช่น โซลูชันหลังคา หรือโซลูชันผนัง           ทิศทางปี 68           9.ปี 68 มีโอกาส จากโครงการก่อสร้างภาครัฐในไทยและอาเซียนเพิ่มขึ้น วัฏจักรปิโตรเคมีเริ่มทรงตัว ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง           10.SCG เข้มแข็งและปรับตัวรวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมรับทุกสถานการณ์

abs

Hoonvision

จับตา สคร.ชงคลัง ตัดขาย 19 หุ้น

จับตา สคร.ชงคลัง ตัดขาย 19 หุ้น

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ( สคร.) เตรียมเสนอเรื่องต่อกระทรวงการคลังสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาตัดขาย 19 หุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ โดยจะเน้นที่หุ้นซึ่งไม่อยู่ในยุทธศาสตร์รัฐบาล หุ้นที่มีขนาดเล็กและผลประกอบการย่ำแย่ ปัจจุบัน รัฐบาลถือหุ้นทั้งหมด 140 บริษัท (ทั้งรัฐวิสาหกิจและไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ รวมถึงหุ้นที่ได้จากการยึดทรัพย์ในคดีต่างๆ) ทั้งนี้ แม้รัฐฯ จะเน้นย้ำกรณีดังกล่าว แต่อ้างอิงจากข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้ในตลาด พบว่าหุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่มีทั้งสิ้น 13 บริษัท ได้แก่ PTT, AOT, TTB, TFFIF, DMT, BCP, OR, MCOT, MFC, BEYOND, RPH, NEP และ TGH เราประเมินว่าการขายหุ้นดังกล่าวอาจสร้างจิตวิทยาลบต่อตลาดหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหุ้นที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ (หรือบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ) ซึ่งถือเป็นหุ้นยุทธศาสตร์

STECON คว้างานก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ 2 แห่ง มูลค่า 1.6 หมื่นล.

STECON คว้างานก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ 2 แห่ง มูลค่า 1.6 หมื่นล.

          หุ้นวิชั่น - หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (STECON) เปิดเผยว่า บริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชัน จำกัด (มหาชน) (STEC) บริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างโครงการ ดาต้าเซ็นเตอร์ CHN-1A และ โครงการ ดาต้าเซ็นเตอร์ CHN-2A โดยมีรายละเอียดดังนี้            1. ชื่อโครงการ: โครงการ ดาต้าเซ็นเตอร์ CHN-1A (สัญญาลงวันที่ 11 มีนาคม 2568)            เจ้าของโครงการ: บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด            ผู้ว่าจ้าง : บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด           ผู้รับจ้าง : บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น           มูลค่าโครงการ : 7,575,113,346 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)           ลักษณะงานก่อสร้าง : งานก่อสร้าง โครงสร้าง สถาปัตย์ และงานระบบ           ระยะเวลาการก่อสร้าง : 1 เมษายน 2568 ถึง 8 เมษายน 2570 2. ชื่อโครงการ: โครงการ ดาต้าเซ็นเตอร์ CHN-2A (สัญญาลงวันที่ 11 มีนาคม 2568)            เจ้าของโครงการ: บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด           ผู้ว่าจ้าง : บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด           ผู้รับจ้าง : บมจ.ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น            มูลค่าโครงการ : 8,376,164,306 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)           ลักษณะงานก่อสร้าง : งานก่อสร้าง โครงสร้าง สถาปัตย์ และงานระบบ           ระยะเวลาการก่อสร้าง : 1 เมษายน 2568 ถึง 11 กรกฎาคม 2570

สงครามการค้ากดน้ำมันดิบ  ก่อสร้าง - การบิน รับอานิสงส์

สงครามการค้ากดน้ำมันดิบ ก่อสร้าง - การบิน รับอานิสงส์

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ราคาน้ำมันดิบโลกพลิกลงอีกครั้ง อิงน้ำมันดิบ Brent -1.51% d-d ปิดที่ USD 69.88/barrel น้ำมันดิบ West Texas -1.67% d-d ปิดที่ USD 66.55/barrel จากแรงกดดันเรื่องเดิม คือ สงครามการค้า ล่าสุดยุโรปตอบโต้สหรัฐโดยขึ้นภาษีนำเข้าวิสกี้ และความกังวลเรื่อง Over Supply โดย OPEC+ เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตในเดือน เม.ย. ขณะที่ IEA แถลงภาวะน้ำมันล้นตลาด โดยระบุว่าอุปทานน้ำมันทั่วโลกจะมีปริมาณมากกว่าอุปสงค์ราว 600,000 บาร์เรล/วันในปีนี้ มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT แต่ในทางตรงข้าม เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่ม Anti-commodity อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มสายการบิน เช่น AAV, BA

โกลเบล็ก ตั้งเป้าเติบโต 10% ลุยบริหารเวลธ์ ดัน AUM ทะลุหมื่นล้านบาท

โกลเบล็ก ตั้งเป้าเติบโต 10% ลุยบริหารเวลธ์ ดัน AUM ทะลุหมื่นล้านบาท

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ - บล.โกลเบล็ก ประกาศเกมรุกปี 2568 ตั้งเป้าการเติบโต 10% เล็งขยายธุรกิจบริหารความมั่งคั่งเพิ่ม AUM แตะ 1 หมื่นล้านบาท พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ DRx และ Structured Note รองรับนักลงทุนทุกกลุ่ม รวมถึงศึกษาแนวทางพัฒนา Gold Link Note เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนในอนาคต ชี้จับตาภาคลงทุนปีนี้ที่ยัง เผชิญแรงกดดัน หลัง “ทรัมป์” คืนตำแหน่ง กระตุ้นสงครามการค้า กระทบเศรษฐกิจทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังซบเซา จากปัญหาความเชื่อมั่นที่ลดลง การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ และแรงกดดันจากการบังคับขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ยังเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนหุ้นปันผลระยะยาว           นาย ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 ไว้ที่ 10% จากปีก่อน โดยมี ธุรกิจบริหารจัดการความมั่งคั่ง (Private Wealth Management) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าการขยายพอร์ตกลุ่มลูกค้าดังกล่าว จะสามารถสร้างโอกาสการลงทุนให้กับลูกค้าได้ แม้ว่าตลาดหุ้นจะเผชิญกับความผันผวน “โกลเบล็ก ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา และเริ่มเห็นผลลัพธ์ในปีนี้ โดยเฉพาะธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต”     ปัจจุบัน โกลเบล็ก มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) กว่า 5,000 ล้านบาท และมีแผนขยายธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง โดยการลดการพึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว พร้อมขยายทีมที่ปรึกษาการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 50 คน ภายในปีนี้ เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น หุ้น, หุ้นกู้ และ Structured Note นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เช่น การนำผลิตภัณฑ์ Depositary Receipt (DR) และ DRx มาผสมผสานกับ Structured Note เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนรูปแบบใหม่ โดยคาดหวังให้ สินทรัพย์ภายใต้การบริหารเติบโตแตะระดับ 10,000 ล้านบาท พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาการพัฒนา Gold Link Note ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนในทองคำ พร้อมขยายช่องทางดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่ตลาดมากขึ้น โดย บล.โกลเบล็ก มุ่งมั่นพัฒนาและสร้างโอกาสทางการลงทุนให้กับลูกค้าในทุกสภาวะตลาด พร้อมขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงในปี 2568 สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกขณะนี้ นายธนพิศาล กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในปีนี้  เต็มไปด้วยความท้าทาย โดยเฉพาะตัวแปรหลักจากทิศทางตลาดต่างประเทศ ที่สอดรับกับนโยบาย ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากการกลับมาดำรงตำแหน่งในสมัยที่ 2 ซึ่งนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจทั่วโลก อาทิ มาตรการตั้งกำแพงภาษี ส่งผลให้เกิดสงคราม                  ทางการค้าอีกครั้ง ซึ่งตัวแปรดังกล่าวกระทบต่อโครงสร้างตลาดการเงินและการลงทุนทั่วโลก อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ตลาดหุ้นไทย ยังคงเผชิญกับความผันผวนท่ามกลางข่าวเชิงลบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้ รวมถึงแรงกดดันจากการบังคับขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ในหลายบริษัท ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในการเข้าลงทุน ดังนั้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ภาครัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดทุน อาทิ การตั้งกองทุนพิเศษ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดทุน รวมถึงการเร่งผลักดันการเติบโตของ GDP และการดึงเงินทุนจากนอกระบบเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงต้องจับตาความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด พร้อมใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการลงทุนระยะยาวในช่วงที่ตลาดยังคงผันผวน           “ภาพรวมการลงทุนในปี 2568 ยังคงมีความท้าทาย ด้วย sentiment ของตลาดหุ้นยังไม่ดี แม้ว่าปัจจุบันราคาหุ้นไทยจะถูกและน่าสนใจในการลงทุน ดังนั้น ควรจะมีมาตรการในการใส่เม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเพื่อขับเคลื่อนตลาดทุน และเป็นการเรียกความเชื่อมั่นกลับมา”นายธนพิศาล กล่าวทิ้งท้าย

BPP เผย โรงไฟฟ้าก๊าซฯสหรัฐ แกร่ง รับดีมานด์พุ่ง - ราคาซื้อขายไฟเพิ่ม

BPP เผย โรงไฟฟ้าก๊าซฯสหรัฐ แกร่ง รับดีมานด์พุ่ง - ราคาซื้อขายไฟเพิ่ม

          บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานระดับสากล เผยผลดำเนินงานปี 2567รักษาผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าทุกแห่งได้อย่างมีเสถียรภาพควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อย CO2 โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าในจีนลดการปล่อยคาร์บอนจากโรงไฟฟ้าได้ดีกว่าเกณฑ์ ทำให้มีรายได้เพิ่มเติมจากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emission Allowances: CEAs) เกือบ 90 ล้านบาท เล็งเตรียมความพร้อมโรงไฟฟ้า Temple I และ Temple II ในสหรัฐฯ รับแรงหนุนจากแนวโน้มราคาซื้อขายไฟล่วงหน้าในตลาดไฟฟ้าเสรี ERCOT สูงขึ้นเกือบเท่าตัวในปี 2568 และการคาดการณ์อัตราความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 15-17% ภายในปี 25731 จากการลงทุน Data Centers โดยรัฐเท็กซัสมี การเติบโตของ Data Centers ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐฯ2             นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า “BPP ขับเคลื่อนการเติบโตตามแนวทางการดำเนินธุรกิจ Beyond Quality Megawatts โดยมุ่งมั่นบริหารพอร์ตโฟลิโอให้มีความสมดุลและครอบคลุมมากไปกว่าการขยายกำลังผลิตไฟฟ้า เพื่อมีความยืดหยุ่นในการหาโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโต และสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมั่นคงในระยะยาว โดยปีที่ผ่านมาธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ II ในรัฐเท็กซัส สหรัฐฯ สามารถเดินเครื่องเพื่อส่งมอบพลังงานได้ต่อเนื่อง แม้จะมีราคาซื้อขายไฟฟ้าเฉลี่ยลดลงจากอุณหภูมิและสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่เราเชื่อมั่นว่า ราคาซื้อขายไฟในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นสอดรับกับเทรนด์เทคโนโลยีพลังงานและดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ อีกทั้ง BPP มีมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา (Hedging Risk Management) ด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงิน (Financial Derivative) สำหรับโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งนี้ โดยในปี 2568 จะมีกระแสเงินสดที่จะได้รับจากการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ 40% นอกจากนี้ เรามองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติมของธุรกิจในจีนจากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (CEAs) ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน”           “นอกจากนี้ยังเร่งขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง (Renewables+) เดินหน้าสร้างห่วงโซ่ธุรกิจพลังงานที่แข็งแกร่ง โดยเน้นการลงทุนในโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มขนาดใหญ่ (BESS) และการซื้อขายพลังงาน (Energy Trading) เพื่อสร้าง New S-curve ให้กับบริษัทฯ รวมถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาเสริมการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น” นายอิศรา กล่าวเสริม   ผลการดำเนินงานปี 2567 BPP มีรายได้รวม 25,827 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,746 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานปกติ รวม 7,383 ล้านบาท พร้อมรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วน ผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.49 เท่า โดยไฮไลต์สำคัญในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย ธุรกิจพลังงานความร้อน (Thermal Energy): โรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) ในสปป.ลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ในไทย ยังคงเดินเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรักษาค่าความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) ในระดับสูงที่ร้อยละ 86 และร้อยละ 90 ตามลำดับ และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมจากจำนวนชั่วโมงการผลิตตามสัญญา รวมถึงการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (CHP) และโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง (SLG) ในจีน จากการบริหารต้นทุนถ่านหินที่ดีขึ้นและมีรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้นเกือบ 90 ล้านบาท จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอนของโรงไฟฟ้า (CEAs)ปริมาณประมาณ 290,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุด ที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพของการบริหารจัดการและควบคุมการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีกว่าเกณฑ์ ธุรกิจ Renewables+: ลงทุนในโครงการ BESS เพิ่มเติมอีก 2 แห่งในญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการ Aizu (ไอสึ) และโครงการ Tsuno (ซึโนะ) กำลังการผลิตรวม 208 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2571 ขณะที่โครงการ Iwate Tono กำลังการผลิต 58 เมกะวัตต์-ชั่วโมง มีความคืบหน้า 99% เตรียมเปิด COD ในไตรมาส 2 ปีนี้ และเดินหน้าธุรกิจขายไฟฟ้า Energy Trading ในญี่ปุ่น ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม โดยมีการซื้อขายทั้งหมด 2,816 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ล่าสุดในปี 2568 บ้านปู เน็กซ์ ซึ่ง BPP ถือหุ้นร้อยละ 50 ได้ร่วมกับโซลาร์บีเค บริษัทชั้นนำด้านพลังงานสะอาดในเวียดนาม จัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อให้บริการโซลาร์รูฟท็อปสำหรับกลุ่มธุรกิจเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมในเวียดนาม ตั้งเป้าเฟสแรก 390 เมกะวัตต์           “ด้วยพอร์ตธุรกิจที่มีความหลากหลายและกระจายตัวอย่างสมดุลผ่านการดำเนินธุรกิจเชิงรุกใน 8 ประเทศยุทธศาสตร์ทั่วโลก ทำให้ BPP มีความสามารถปรับตัวรับมือกับภาวะวิกฤติต่างๆ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในแต่ละประเทศเพื่อส่งมอบคุณค่าและผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม พร้อมก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้ผลิตพลังงานระดับโลก” นายอิศรา นิโรภาส กล่าว ทิ้งท้าย

TPCH ปิดจ๊อบ ลงทุนวินด์ฟาร์ม 150 MW ในกัมพูชา ลุย Spin Off “สยาม พาวเวอร์” เข้า mai

TPCH ปิดจ๊อบ ลงทุนวินด์ฟาร์ม 150 MW ในกัมพูชา ลุย Spin Off “สยาม พาวเวอร์” เข้า mai

          หุ้นวิชั่น - บมจ.ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง (TPCH) ปิดดีลลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิต 150 เมกะวัตต์ ในประเทศกัมพูชา ฟากบิ๊กบอส “กนกทิพย์ จันทร์พลังศรี” ลุยพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนในต่างประเทศเพิ่ม ส่วนในประเทศเร่งก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 2 แห่ง ภายในไตรมาส 2/68  พร้อมขึ้นทะเบียน Carbon Credit และ I-RECs สร้าง Recurring Income พร้อมเดินหน้า Spin Off  “สยาม พาวเวอร์” เข้าตลาดหลักทรัพย์ mai รองรับแผนการเติบโตในอนาคต นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TPCH) ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในโครงการพลังงานลม ในนามบริษัท อินโดไชน่า วินด์ พาวเวอร์ จํากัด (IWP) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจําหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมในประเทศกัมพูชา และ IWP ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 150 เมกะวัตต์ กับ รัฐวิสาหกิจไฟฟ้ากัมพูชา (EDC) แล้วเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 โดยมีระยะเวลา 25 ปี นับจากวันที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date : COD) ซึ่งปัจจุบันได้รับการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และ สัญญาสัมปทานโครงการเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการพัฒนาใบอนุญาตก่อสร้างโครงการ และคัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้าง ส่วนการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่ง TPCH เข้าร่วมลงทุนกับ บริษัท แม่โขง พาวเวอร์ จํากัด (MKP) ในสัดส่วน 40% มูลค่า 12.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบธุรกิจผลิต และจําหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ใน สปป.ลาว ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 100 เมกะวัตต์ กับรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EDL) เรียบร้อยแล้ว คาดว่า จะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 1/2568 โดยมีระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี “การเข้าลงทุนในโครงการพลังงานลมที่ประเทศกัมพูชา เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ ซึ่งเรามองเห็นโอกาสการเติบโต และช่องทางการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน โดยเฉพาะใน สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รายได้เติบโตได้ในระยะยาวอย่างมั่นคง” นางกนกทิพย์กล่าว ด้านนายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TPCH) กล่าวว่า สำหรับการพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนในประเทศ ปัจจุบันมีการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าขยะชุมชน สยาม พาวเวอร์ หนองสาหร่าย (SPNS) กำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขยะชุมชน สยาม พาวเวอร์ นากลาง (SPNK) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ คาดว่า จะเริ่มก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรได้ภายในไตรมาส 2/2568 ในส่วนของโรงไฟฟ้าประเภทพลังงานขยะ สยาม พาวเวอร์ นนทบุรี (SPNT) กำลังการผลิตติดตั้ง 9.5 เมกะวัตต์ มีการปรับปรุงให้สามารถเดินเครื่องให้เสถียรมากขึ้น ขณะที่ มีการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ เพิ่มประมาณ 4 โครงการ ประกอบด้วย SP4-SP7 เป็นโครงการพลังงานขยะชุมชนในรูปแบบ VSPP (Very Small Power Producer) นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะนำบริษัท สยาม พาวเวอร์ จำกัด (SP) ซึ่ง TPCH ถือหุ้นในสัดส่วน 50% ที่ร่วมกันพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) คาดว่า ภายในปี 2570  เพื่อรองรับแผนการเติบโตในอนาคต ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าประเภทเชื้อเพลิงชีวมวล จำนวน 7 แห่ง ประกอบด้วย CRB, MWE, MGP, TSG, PGP, SGP, PTG มีกำลังการผลิตติดตั้ง 80.7 เมกะวัตต์ จะมีการพัฒนาปรับปรุงการเดินเครื่องให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้ง ยังมีการควบคุมราคาเชื้อเพลิงและจัดหาแหล่งเชื้อเพลิงใหม่ เพื่อช่วยบริหารจัดการต้นทุนการผลิตไฟฟ้าได้ดีขึ้น  พร้อมทั้ง อาจจะมีการศึกษานโยบายการรับซื้อพลังงานชีวมวลจากภาครัฐเพิ่มเติมในอนาคต ขณะเดียวกัน TPCH ได้ทำ Carbon Footprint และพัฒนาแผนระยะยาวเพื่อก้าวสู่ Carbon Neutral และ Net Zero อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการขึ้นทะเบียน Carbon Credit และ I-RECs ให้กับโครงการโรงไฟฟ้าที่ได้ COD แล้ว เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ และให้บริการจําหน่ายแก่ผู้ที่สนใจในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของตนเอง บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายกำลังการผลิตติดตั้งรวม 500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2569 แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าในประเทศ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ กำลังการผลิตรวม 150 เมกะวัตต์ รวมทั้งโครงการในต่างประเทศ ทั้งโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม กำลังการผลิต 350 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบัน TPCH มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 110 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล 80.7 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 29.3 เมกะวัตต์ อนึ่ง ผลการดำเนินงานในปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567) มีรายได้รวม 2,444.69 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 234.30 ล้านบาท   ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดเพิ่มอีก ในอัตราหุ้นละ 0.037 บาท โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 29 เมษายน 2568 กำหนดวันที่จ่ายปันผล  15 พฤษภาคม 2568 โดยได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้วในปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.230 บาท  เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 และในอัตราหุ้นละ 0.128 บาท เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 รวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 158.47 ล้านบาท

PTTEP จับมือม.เกษตรศาสตร์ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมฯ

PTTEP จับมือม.เกษตรศาสตร์ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมฯ

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีขั้นสูง ต่อยอดองค์ความรู้ รวมทั้ง ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรที่มีศักยภาพ เพื่อตอบโจทย์    ความต้องการของอุตสาหกรรมพลังงาน ภาคการศึกษา และการสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานให้กับประเทศไทย           ปตท.สผ. เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ การพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี รวมทั้ง การสร้างองค์ความรู้เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นอีกด้านหนึ่งที่บริษัทให้ความสำคัญ บริษัทเชื่อมั่นว่าองค์ความรู้และนวัตกรรมที่จะเกิดขึ้นจากความร่วมมือครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษา คณาจารย์ นักวิจัย นิสิตนักศึกษา และบุคลากรต่าง ๆ ต่อไปในอนาคต

AOT ร่วง 4.73% กลับมากังวลสภาพคล่อง King Power แนะเลี่ยงลงทุน

AOT ร่วง 4.73% กลับมากังวลสภาพคล่อง King Power แนะเลี่ยงลงทุน

หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ธนชาต ระบุ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) แจ้งการแก้ไขหนังสือที่ส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.) วันที่ 17 ก.พ.68 โดยแก้ไขข้อความการเลื่อนจ่ายเงินประกันขั้นต่ำของ King Power เป็นเดือนก.ย.67 – เม.ย.68 (เดิม ก.ย.67 – ก.พ.68)มองเป็น “ลบ” ต่อ AOT จากความกังวลของตลาดในเรื่องสภาพคล่องของ King Power อย่างไรก็ดีมองว่าผลการดำเนินงานของ King Power น่าจะดีขึ้นจากการเติบโตของผู้โดยสารของ AOT และท้ายที่สุดคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินประกันขั้นต่ำให้ AOT ได้ตามปกติคงคำแนะนำ “ซื้อ” AOT พื้นฐาน 55 บาท สำหรับทางกลยุทธ์ แนะนำ “หลีกเลี่ยง” การลงทุนไปก่อน เนื่องจากความกังวลดังกล่าวยังกดดันราคาหุ้นอยู่

GULF ปังไม่หยุด! หุ้นกู้ 30,000 ล้าน ยอดจองล้น 2.2 เท่า

GULF ปังไม่หยุด! หุ้นกู้ 30,000 ล้าน ยอดจองล้น 2.2 เท่า

          หุ้นวิชั่น - บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ มูลค่าเสนอขายรวม 30,000 ล้านบาท โดยเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ และประชาชนทั่วไป หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยแสดงความจำนงในการจองหุ้นกู้ของบริษัทฯ มากถึง 2.2 เท่าของจำนวนที่ประสงค์จะเสนอขาย (Oversubscription) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนต่อธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต           สำหรับหุ้นกู้ที่บริษัทฯ เสนอขายในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 5 ชุด ได้แก่ 1. หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.74 ต่อปี มูลค่า 3,500 ล้านบาท 2. หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.00 ต่อปี มูลค่า 6,500 ล้านบาท 3. หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.15 ต่อปี มูลค่า 12,000 ล้านบาท 4. หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.35 ต่อปี มูลค่า 4,000 ล้านบาท และ 5. หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.55 ต่อปี มูลค่า 4,000 ล้านบาท โดยหุ้นกู้ทั้ง 5 ชุดดังกล่าว มีอัตราดอกเบี้ยคงที่เฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 3.15 และอายุเฉลี่ยหุ้นกู้เท่ากับ 5.48 ปี ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นกู้ชุดที่ 1-5 ให้แก่นักลงทุนสถาบันและ/หรือนักลงทุนรายใหญ่ และเสนอขายหุ้นกู้ชุดที่ 2-5 ให้แก่ประชาชนทั่วไป           ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือองค์กร อยู่ที่ “A+” และหุ้นกู้ทุกชุดได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A” แนวโน้ม “บวก (Positive)” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้งให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ซึ่งได้เปิดจองซื้อหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ และวันที่ 3 มีนาคม 2568 และได้ออกหุ้นกู้ในวันที่ 4 มีนาคม 2568           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้ว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นกู้จะยังคงมีความผันผวน ท่ามกลางความกังวลและความระมัดระวังในการลงทุนในหุ้นกู้ของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาดจากนักลงทุน โดยยอดจองซื้อเกินกว่าจำนวนที่เสนอขายที่มากกว่า 2 เท่า ซึ่งยอดจองซื้อจากประชาชนทั่วไปในครั้งนี้สูงถึงกว่า 10,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในผลประกอบการของบริษัทฯ และการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจของบริษัทฯ โดยการระดมทุนดังกล่าว ส่วนหนึ่งจะนำไปคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดและเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ส่วนที่เหลือเพื่อรองรับการขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ ต่อไป บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในหุ้นกู้ของ บริษัทฯ และขอขอบคุณสถาบันการเงินทั้ง 10 แห่ง ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ที่ทำให้การเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทฯ ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเกินคาด”

EAST ปักธงพอร์ต 2 หมื่นล.ใน 5 ปี ขยายสินเชื่อยานยนต์ฯ-Car 4 Cash

EAST ปักธงพอร์ต 2 หมื่นล.ใน 5 ปี ขยายสินเชื่อยานยนต์ฯ-Car 4 Cash

          หุ้นวิชั่น - บมจ. ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง โชว์ผลการดำเนินงานปี 2567 ทำมีรายได้รวม 709.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.47% หลังพอร์ตลูกหนี้โดยรวมขยายตัวต่อเนื่อง และมีกำไรสุทธิ 62.03 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเปลี่ยนตัวย่อซื้อขายหลักทรัพย์เป็น EAST สะท้อนแนวทางความร่วมมือกับหุ้นส่วนทางธุรกิจทั้ง GMT และ PREMIUM เร่งขยายพอร์ตสินเชื่อโดยรวม 5 ปี เพิ่มเป็น 20,000 ล้านบาท             นายดนุชา วีระพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ตะวันออกพาณิชย์ลิสซิ่ง หรือ EAST เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2567 เป็นปีที่มีความท้าทายการดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อยานยนต์มือสองในประเทศไทย แต่บริษัทฯ ยังสามารถผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานได้เป็นที่น่าพอใจ โดยมีรายได้รวม 709.40 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 8.47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งความสำเร็จมาจากพอร์ตสินเชื่อโดยรวมในปีนี้ขยายตัวต่อเนื่อง เป็นผลให้มีรายได้ดอกผลจากการขายตามสัญญาเช่าซื้อในปีนี้ทำได้ 530.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.36% แม้จะมีการช่วยเหลือลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้เพื่อบรรเทาการชำระหนี้ที่เป็นแรงกดดันทำให้รายได้เช่าซื้อไม่สูงมากนัก ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 62.03 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์การซื้อขายหลักทรัพย์ฯ จาก ECL เป็น “EAST” เพื่อสะท้อนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ในปีนี้ ทั้งนี้ได้ร่วมมือกับหุ้นส่วนทางธุรกิจกับบริษัท GMT ในเครือ ITOCHU Corporation จากประเทศญี่ปุ่น และกลุ่มพรีเมียม คอร์ปอเรชั่น (PREMIUM) โดยผนึกองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญการดำเนินธุรกิจและฐานทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อบริหารจัดการพอร์ตสินเชื่อให้มีคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่รัดกุม รองรับแผนขยายพอร์ตสินเชื่อยานยนต์มือสองและธุรกิจ Car 4 Cash ในประเทศไทย ซึ่งตั้งเป้าภายใน 3 ปี พอร์ตสินเชื่อโดยรวมจะเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท และเป็น 20,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า

SCGP วางงบ 1.3 หมื่นลบ. ทำดีล M&P-ขยายกำลังผลิต

SCGP วางงบ 1.3 หมื่นลบ. ทำดีล M&P-ขยายกำลังผลิต

          หุ้นวิชั่น - SCGP เตรียมงบลงทุน 13,000 ล้านบาท ขยายการลงทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร เพิ่มการเติบโตในบรรจุภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค โดยเน้นการขายที่ตลาดในประเทศกลุ่มอาเซียนซึ่งมีความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องการเติบโตของเศรษฐกิจ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่มีศักยภาพสูงเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง           นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยข้อมูลธุรกิจของบริษัทผ่าน SET Opportunity Day ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 ว่า ในปีนี้บริษัทฯ เตรียมงบลงทุน 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนการควบรวมกิจการและร่วมมือกับพันธมิตร (Merger & Partnership : M&P) และขยายกำลังผลิต 8,000-10,000 ล้านบาท โดยจะพิจารณาและมุ่งเน้นการลงทุนไปที่การขยายธุรกิจที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภคและการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน ควบคู่ไปกับเพิ่มการผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจ (Chain Integration) และการเข้าถึงตลาดที่มีการเติบโตใหม่ ๆ โดยคาดว่าจะมี M&P 1-2 ดีลในปีนี้ และได้ตั้งงบประมาณสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร พัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และ ESG อีก 3,000-5,000 ล้านบาท ทั้งนี้ SCGP มุ่งดำเนินกลยุทธ์การเพิ่มความสามารถทำกำไร ด้วยการสร้างการเติบโตบรรจุภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และเน้นการขายภายในประเทศต่าง ๆ ของภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่ความต้องการบรรจุภัณฑ์มีการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง (ASEAN Domestic Growth) ตามการเติบโตของเศรษฐกิจและการขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศ โดยปีที่ผ่านมา GDP ของอาเซียนเติบโตมากกว่าร้อยละ 5 และปริมาณการขายสินค้าของ SCGP โดยเฉพาะกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษและพอลิเมอร์ภายในประเทศในอาเซียนเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งลงทุนธุรกิจในตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูงอย่างบรรจุภัณฑ์อาหารและธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยหลังจาก SCGP เข้าลงทุนในบริษัทวีอีเอ็ม ไทยแลนด์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนสมรรถนะสูงจากการฉีดขึ้นรูปพอลิเมอร์ บริษัทฯ ได้นำเอาความเชี่ยวชาญด้านการผลิตบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์มาพัฒนาและต่อยอดในกระบวนการผลิต ทำให้สามารถผลิตวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์คุณภาพสูงได้หลากหลายกลุ่มสินค้า และสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น เช่น ถ้วยเก็บตัวอย่างของเหลว ปิเปตต์ทิป บริษัทฯ ได้เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน โดยนำเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Data Analytic มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารพลังงานในกระบวนการผลิต และวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสร้างความแตกต่าง สร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า และเพิ่มศักยภาพทำกำไร โดยวางเป้าหมายรายได้จากกลุ่มสินค้านวัตกรรมและโซลูชันที่ร้อยละ 37 ของรายได้รวม อีกทั้งยังคงขับเคลื่อน ESG ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน การเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกเป็นร้อยละ 39 ของการใช้เชื้อเพลิงทั้งหมดในปีนี้

เจาะโรงงาน CGB ที่มาแสนล้าน

เจาะโรงงาน CGB ที่มาแสนล้าน

https://www.youtube.com/watch?v=BwVN5kXsqAs

TOP บวก 4.82% รับกำไร 4Q67 สูงกว่าคาด 11-18%

TOP บวก 4.82% รับกำไร 4Q67 สูงกว่าคาด 11-18%

หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กสิกรไทย ระบุ TOP รายงานกำไรไตรมาส 4/67 ที่ 2.77 พันล้านบาท (-6.0% YoY, +165.6% QoQ) สูงกว่าคาดการณ์ของฝ่ายวิเคราะห์และตลาด 11-18% ทั้งนี้ แม้กำไรปกติไตรมาส 1/68 อาจอ่อนตัวลง แต่คาดว่ากำไรสุทธิจะยังอยู่ในระดับสูงจากกำไรสต๊อกน้ำมันที่อาจเกิดขึ้น ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติค่าใช้จ่ายการลงทุนโครงการ CFP ใหม่แล้ว ขณะที่เงินเคลม performance bond ล่าสุดจะถูกรับรู้ในงบกำไร/ขาดทุน 98 ล้านบาท ในไตรมาส 1/68 นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสด คาดจะสามารถประหยัดต้นทุนได้ 0.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล จากการกลับมาดำเนินการ SBM-2 ตั้งแต่เดือน มี.ค. เป็นต้นไป อัตราการจ่ายเงินปันผลจะยังคงอยู่ที่ 40-44% แม้จะต้องสำรองกระแสเงินสดไว้สำหรับโครงการ CFP แนะนำ “ซื้อ” และราคาพื้นฐานที่ 30.10 บาท จากการมูลค่าหุ้นที่ไม่แพง ปัจจัยหนุนราคาหุ้นคือ GRM ที่อาจปรับดีขึ้นในไตรมาส 2/68 และ SBM-2 ที่กลับมาดำเนินการอีกครั้ง

DOHOME กำไรฟื้น ชี้พื้นฐาน 9.50 บาท

DOHOME กำไรฟื้น ชี้พื้นฐาน 9.50 บาท

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” DOHOME จากเดิม “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายเดิม 9.50 บาท อิง 2025E PER 31x (3-yr avg.) DOHOME รายงานกำไรปกติ 4Q24 ที่ 160 ล้านบาท (+11% YoY, +108% QoQ) ใกล้เคียงคาดการณ์ โดยมี SSSG พลิกกลับมาเป็นบวกที่ +1.5% (Back office +2%, End-user <1%) ฟื้นตัวจาก 3Q24 ที่ติดลบ -4.5% แต่ยังต่ำกว่าคาดที่ +3-4% รายได้รวมอยู่ที่ 7,623 ล้านบาท (+4.0% YoY, +3.1% QoQ) ได้แรงหนุนจากการเปิดสาขาใหม่ (บางพูน) ขณะที่ GPM อยู่ที่ 16.8% (-10 bps YoY, +40 bps QoQ) ต่ำกว่าคาดจากสัดส่วนสินค้าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น แม้ House Brand ช่วยหนุนมาร์จิ้นแนวโน้ม 1Q25E คาดว่า SSSG ทรงตัวถึงเป็นบวกเล็กน้อย โดย End-user มีโอกาสฟื้นตัวดีขึ้นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ปี 2025E คงประมาณการกำไรที่ 871 ล้านบาท (+29% YoY) จากการขยายสาขาขนาดใหญ่อีกครั้ง โดยคาดเปิด 2 สาขาใหม่ และเริ่มก่อสร้างอีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในระยะกลางราคาหุ้นปรับตัว underperform SET -13.1% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนความกังวลเรื่องกำลังซื้อที่ยังเปราะบาง และแนวโน้มฟื้นตัวที่ช้ากว่าคาด ขณะที่ 6M และ 12M underperform ตลาด -34.4% และ -27.8% ตามลำดับ และการฟื้นตัวของกำลังซื้อ End-user ยังไม่ชัดเจน ทำให้ sentiment ต่อหุ้นยังค่อนข้างลบ อย่างไรก็ตามกำไรปกติ 4Q24 ฟื้นตัวได้ และคาดเห็นการเติบโตต่อใน 2025E/26E จากการ rebound จากฐานต่ำในปี 2023/24     ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” ที่ราคาเป้าหมาย 9.50 บาท อิง 2025E PER 31x จากราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวลงมาเทรดที่ต่ำ ทำให้มี downside จำกั

BGRIM ส่งมอบ RECs ให้แก่ บลจ.กสิกรไทย

BGRIM ส่งมอบ RECs ให้แก่ บลจ.กสิกรไทย

          หุ้นวิชั่น - บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด มหาชน ผู้นำด้านพลังงานและโซลูชันพลังงานหมุนเวียน ร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เดินหน้าสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดผ่านการซื้อ Renewable Energy Certificates (RECs) ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน           คุณ คุณนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศไทยและโซลูชั่นธุรกิจอุตสาหกรรม บริษัทบี.กริม เพาเวอร์ กล่าวว่า "เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน และภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนของ บลจ.กสิกรไทย ความร่วมมือครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างระบบพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในประเทศไทย"           บลจ.กสิกรไทย ในฐานะผู้นำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน ยังคงให้ความสำคัญกับแนวทาง ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) โดยการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ลงทุน การจับมือกับ บี.กริม เพาเวอร์ ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความตั้งใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 2) และส่งเสริมพลังงานสะอาดให้เติบโตในภาคธุรกิจไทย           คุณวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน ของ บลจ.กสิกรไทย กล่าวเสริมว่า "การใช้ Renewable Energy Certificates (RECs) เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของเราในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะช่วยผลักดันภาคธุรกิจไทยให้ก้าวไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง" ความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กรในครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาด เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย

KTB ปันผลเกินคาด หนุนROE- เป้า 27.50 บ.

KTB ปันผลเกินคาด หนุนROE- เป้า 27.50 บ.

  หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” KTB แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นมาอยู่ที่ 27.50 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.82x (-0.25SD below 10-yr average PBV) จากเดิมที่ 24.50 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.74x (-0.50SD below 10-yr average PBV) จากการปรับ PBV เพิ่มขึ้น โดยวานนี้ KTB ประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปี 2024 ที่ 1.545 บาทต่อหุ้น ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดไว้เพียง 1.051 บาทต่อหุ้น และมากกว่าที่เราคาดไว้ที่ 1.255 บาทต่อหุ้น โดยเป็นการจ่ายปีละครั้ง จะ XD วันที่ 16 เม.ย. 25 ซึ่งคิดเป็น Dividend payout ที่ 49% (มากกว่าปี 2023 ที่ 33%) และคิดเป็น Dividend yield ที่สูงถึง 6.4% ซึ่งเป็นระดับ Dividend yield ที่เป็น Top tier ของกลุ่มธนาคารที่เฉลี่ยราว 6% โดย Dividend payout ที่สูงขึ้นมาก ช่วยหนุนให้ ROE มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ที่ 10.30% จากเดิมที่ 10.00% ซึ่งส่งให้ PBV เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.82x จากเดิมที่ 0.74x และทำให้ราคาเป้าหมายมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ราว 3.00 บาทเรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E โดยกำไรสุทธิปี 2025E จะอยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท เติบโตได้อีก +6% YoY ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิ 1Q25E จะเพิ่มขึ้น YoY/QoQ จากสำรองฯที่จะลดลงได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนภาพรวมของ NPL มีแนวโน้มที่ดีกว่ากลุ่มเพราะเน้นการปล่อยสินเชื่อให้ภาครัฐเป็นหลักราคาหุ้นเพิ่มขึ้น +14% และ +30% เมื่อเทียบกับ SET ในช่วง 1 เดือน และ 3 เดือนที่ผ่านมา เพราะแนวโน้มกำไรที่ยังเติบโตได้ดีและเก็งปันผลที่จะสูงกว่าคาด ประกอบกับมี Asset Quality ที่แข็งแกร่งจากการเน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐ ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้ นอกจากนี้ยังมี Coverage ratio ที่ยังอยู่ในระดับสูงถึง 188% ขณะที่ valuation ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับต่ำเพียง PBV ที่ 0.71x (-0.75SD below 10-yr average PBV) ด้านราคาหุ้นยังไม่สะท้อนกำไรรายไตรมาสที่ยืนเหนือระดับ 1 หมื่นล้านบาท อย่างต่อเนื่องมา 5 ไตรมาสติดกัน โดยเลือก KTB เป็น Top pick ของกลุ่ม

KTB ปันผล 1.545 บ.ต่อหุ้น ขึ้น XD วันที่ 16 เม.ย.นี้

KTB ปันผล 1.545 บ.ต่อหุ้น ขึ้น XD วันที่ 16 เม.ย.นี้

หุ้นวิชั่น- นายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข เลขานุการ บมจ.ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB แจ้งมายังตลาดหลักทรัพย์ฯว่า คณะกรรมการธนาคารมีมติ ให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติ การจ่ายเงินปันผล สำหรับปี 2567 ให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญ ในอัตราหุ้นละ 1.5450 บาท และผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ 1.6995 บาท โดยธนาคารกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น ที่มีสิทธิรับเงินปันผล วันที่ 17 เม.ย. และขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 16 เม.ย. 2568 จ่ายเงินปันผล วันที่ 2 พ.ค. 2568

BBL เก็งจ่ายปันผลเกินคาด ปีนี้กำไร 4.6 หมื่นล. - เป้า 186 บ.

BBL เก็งจ่ายปันผลเกินคาด ปีนี้กำไร 4.6 หมื่นล. - เป้า 186 บ.

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” BBL และราคาเป้าหมายที่ 186.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.60x (-1.00SD below 10-yr average PBV) โดยมีมุมมองเป็นบวกเล็กน้อยต่อการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้โดยลุ้นเงินปันผลที่มีโอกาสมากกว่าที่คาด ขณะที่เป้าหมายทางการเงินใกล้เคียงคาด โดย 1) Loan growth ที่ 3-4% (คาด 3%) จากการเติบโตในส่วนของสินเชื่อรายใหญ่และต่างประเทศ 2) NIM ที่ 2.80-2.90% (ต่ำกว่าคาด 3.00%) เพราะรวมผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% 3) Credit cost ที่ 0.9-1.0% (ดีกว่าที่คาด 1.15%) เพราะมีการตั้งสำรองฯเผื่อมาเยอะมากแล้ว ส่วน NPL ตั้งเป้าไว้ที่ 3%+/- (เราคาด 2.84%) และ 4) Tier 1 ขึ้นมาที่ 17% แล้ว ผู้บริหารคาดว่าจะมีโอกาสปรับ Dividend payout ขึ้นมากกว่าปีก่อนที่ 33% (คาด 32%)แม้ว่าเป้าหมายด้าน Credit cost จะดูมี upside แต่ถูกชดเชยไปกับ NIM ที่จะอ่อนตัวมากกว่าคาด ทำให้ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +3% YoY จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก ขณะที่คาคว่ากำไรสุทธิ 1Q25E จะเพิ่มขึ้น YoY/QoQ จากสำรองฯที่ลดลงราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น +10% และ +17% ในช่วง 1 เดือน และ 3 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET จากกำไรและ Asset quality ที่ดูดี และใกล้ประกาศจ่ายเงินปันผล ประกอบกับ BBL ยังคงมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะมี coverage ratio สูงที่สุดในกลุ่มที่ 334% ด้าน Valuation เทรดที่ PBV ถูกที่สุดในกลุ่มเพียง 0.53x หรือที่ระดับ -1.25SD ย้อนหลัง 10 ปี และถูกกว่ากลุ่มที่เทรดที่ PBV ที่ 0.68x

คัด 3 หุ้นผ่าทางตัน ท้าชน LTF รินขาย

คัด 3 หุ้นผ่าทางตัน ท้าชน LTF รินขาย

หุ้นวิชั่น - บล. กรุงศรี ประเมินทิศทางการลงทุนตลาดหลักทรัพย์ฯสัปดาห์นี้ ว่า ดัชนีหุ้นไทย มีสัญญาณ “ฟื้นตัว” ต้าน 1286/1298 จุด รับ 1262/1252 จุด และต้องติดตามรายงาน GDP งวด 4Q24 คาดขึ้นทำจุดสูงสุดของปีที่ 3.8% y-y นอกจากนี้ ติดตามรายงานกำไร 4Q24F หุ้น Real Sector คาดหุ้นรายงานกำไรเด่นสัปดาห์นี้ อาทิ MTC, BBIK, BCPG หุ้นเด่น TRUE, MTC, BA • TRUE(TP25F-14.7): คาดกำไร 4Q24 จะเด่นในทิศทางเดียวกับ ADVANC + Yield ลดลง • MTC(TP25F-58.0): กำไร 4Q24 เด่น เติบโต y-y, q-q และปี 2025 ทำ New high ใหม่ • BA(TP25F-28.75): น้ำมันมีแนวโน้มขาลง + Valuation ถูกซื้อขายที่ P/E’25F ที่ 11.8x ใกล้เคียง -1SD ของค่าเฉลี่ย • LTF: สัปดาห์ที่ผ่านมา (จ. – พฤ.) กองทุน LTF ขายออกมาราว -2.4 พันล้านบาท ทำให้ยอด YTD ขายออกประมาณ -2.43 หมื่นล้านบาท ส่วนหุ้นใหญ่หลักๆในกลุ่มโรงกลั่นน่าจะฟื้นตัว y-y, q-q ขณะที่ต่างประเทศเน้นติดตาม Flash PMI ก.พ. 25 ฝั่งสหรัฐฯ ภาคบริการมีโอกาสทรงๆ m-m ตามองค์ประกอบเงินเฟ้อ PPI หนุน Yield สหรัฐฯ ยังซึมลงต่อ คาดหุ้นนำสัปดาห์นี้ หุ้น Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว) ผสาน หุ้น Yield ลดลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง High Growth) และหุ้นเกาะกระแส Domestic Long Term Fund มีสัญญาณบวก ฝั่ง 7 Value ICT, ชิ้นส่วน, โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง High Growth

9 หุ้นแกร่ง ลุ้นรีบาวน์แรง รับ Cover Short

9 หุ้นแกร่ง ลุ้นรีบาวน์แรง รับ Cover Short

หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี ระบุ บรรยากาศลงทุน SET ที่เริ่มฟื้นตัวจากโซนลงทุน จากความคาดหวังเชิงบวกการกลับมาDomestic Long Term Fund ประเมินมีหุ้นอีกชุด Underperform SET และถูก Short สูงมีโอกาสรีบาวน์แรงจากการเร่ง Cover Short ภายใต้เกณฑ์ ผลตอบแทน YTD เคลื่อนไหว Underperform SET100 ที่ YTD ให้ผลตอบแทน -7.3% ยอด Short Sales สูงกว่าค่าเฉลี่ยหุ้นใน SET100 ที่ 0.64% ของทุนชำระแล้ว อิงเกณฑ์ดังกล่าว ผสาน องค์ประกอบที่เป็นหุ้นที่มีความแข็งแกร่งระดับหนึ่งในทางพื้นฐานและมีปัจจัยหนุนรออยู่ ได้ 9 บริษัทที่เหมาะกับการลงทุนลุ้นรีบาวน์แรงดังนี้           BGRIM (YTD -32.8%, Short Sales 1.19%) กระแสเทคโนโลยีระยะนี้กลับมาเด่น คาดมีโอกาสหนุนหุ้นโรงไฟฟ้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลัก           OSP (YTD -27.9%, Short Sales 1.51%) เตรียมรับช่วงหน้าร้อน มี.ค.- เม.ย.68           SPRC (YTD -22.9%, Short Sales 1.59%) ค่าการกลั่นเช้าวันนี้เร่งขึ้นสู่ 4.07 เหรียญฯ +22.6%d-d           JMT (YTD -21.98%, Short Sales 0.97%) งบ 4Q24 มีสัญญาณ Cash Collection ฟื้นตัว q-q           BANPU (YTD -21.7%, Short Sales 1.26%) มีโอกาสได้รับประโยชน์ทางบวกธุรกิจในสหรัฐฯ           COM7 (YTD -17.3%, Short Sales 0.78%) คาดยอดจับจ่ายปลายปี-ต้นปีคึกคักต่อเนื่องตามฤดูกาล + มาตรการกระตุ้นรัฐฯ           WHA (YTD -16%, Short Sales 1.13%) หุ้นนิคมมีสัญญาณบวก FDI เร่งต่อเนื่อง ผสาน จิตวิทยาบวก Trade Tension เข้ามาเป็นระยะๆ           BH(YTD -12.3%, Short Sales 1.1%) ภาพใหญ่สังคมสูงวัยไม่เปลี่ยน ขณะที่หุ้นถูกกดันจากปัจจัยลบชั่วคราว           KCE (YTD -11.8%, Short Sales 2.15%) แรงกดดันอุตสาหกรรมยานยนต์บรรเทาลง โดยเฉพาะล่าสุดภาษีเท่าเทียม เตรียมยกเว้นสินค้ายา+ยานยนต์ เชิงกลยุทธ์ แนะนำเก็งกำไรหุ้นชุดดังกล่าว BGRIM, OSP, SPRC, JMT, BANPU, COM7, WHA ,BH, KCE ลุ้นรีบาวน์แรงจากการเร่ง Cover Short

OR รุกธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม  ตั้งบริษัทย่อยหนุน Lifestyle

OR รุกธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม ตั้งบริษัทย่อยหนุน Lifestyle

          หุ้นวิชั่น - หม่อมหลวงปีกทอง  ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแจ้งว่า บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (“OR”) ในการประชุมคณะกรรมการ OR ครั้งที่ 2/2568 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัท มอ ดู ลัส เวนเจอร์ จำกัด (“Modulus”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ OR ถือหุ้นร้อยละ 100 จัดตั้งบริษัทย่อย โดยถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 ของทุนจดทะเบียน โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มแรกจำนวน 1,000,000 บาท           เพื่อดำเนินธุรกิจและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและสอดคล้องกับกลยุทธ์การสร้างการเติบโตในธุรกิจ Lifestyle ในอนาคต ทั้งนี้ รายการดังกล่าวไม่ใช่รายการที่เกี่ยวโยงกัน และขนาดของรายการไม่เข้าข่ายที่จะต้องรายงานสารสนเทศตามหลักเกณฑ์การได้มาและจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน แต่เป็นการได้มาซึ่งเงินลงทุนในบริษัทอื่น ซึ่งส่งผลให้บริษัทนั้นมีสถานะเป็นบริษัทย่อย OR

GLOBALชี้ตลาดไทยทรุด ยกเลิกร่วมทุนในฟิลิปปินส์

GLOBALชี้ตลาดไทยทรุด ยกเลิกร่วมทุนในฟิลิปปินส์

          หุ้นวิชั่น - นายวิทูร สุริยวนากุลประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) GLOBAL แจ้งมายังตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ตามที่บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการขยายธุรกิจในประเทศฟิลิปปินส์ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2564 บริษัทฯ ได้เข้าลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัท Cosco Capital Incorporated เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 โดยมีแผนจะจัดตั้งบริษัท Global House Philippines Co., Ltd. เพื่อดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้างและสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศฟิลิปปินส์ โดยบริษัทฯ มีสัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ 55% และบริษัท Cosco Capital Incorporated มีสัดส่วนการลงทุน 45%           ปัจจุบัน โครงการร่วมทุนระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ตามแผนที่วางไว้ เนื่องจากยังไม่มีการจัดตั้งบริษัท Global House Philippines Co., Ltd. และยังไม่มีการลงทุนใด ๆ ทั้งสิ้น สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์ตลาดในประเทศไทยที่ชะลอตัวลง ทำให้บริษัทฯ ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และเป้าหมายทางธุรกิจ           ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้บริษัทฯ ยกเลิกการร่วมทุนกับบริษัท Cosco Capital Incorporated

GLOBAL กำไรลด 11.62%  หนี้ครัวเรือนกดยอดขาย

GLOBAL กำไรลด 11.62% หนี้ครัวเรือนกดยอดขาย

          หุ้นวิชั่น - นายวิทูรสุริยวนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)GLOBAL แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่าภาพรวมการดำเนินธุรกิจ ผลการดำเนินงานประจำปี 2567 บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (หรือ “บริษัทฯ”) มีกำไรสุทธิ (เฉพาะกิจการ) เท่ากับ 2,114.69 ล้านบาท ลดลง 415.66 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.43  เมื่อรวมส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าและการลงทุนในบริษัทย่อย บริษัทฯ จะมีผลกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมเท่ากับ 2,366.86 ล้านบาท ลดลง 311.28 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.62 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 การลดลงของยอดขายเกิดจากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของประเทศที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของประชาชน แม้ว่าบริษัทฯ จะใช้กลยุทธ์ส่งเสริมการขายที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นยอดขายสินค้าอย่างสม่ำเสมอ           พัฒนาการที่สำคัญ           **การขยายสาขา:** บริษัทฯ มีเป้าหมายในการขยายสาขาเพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพิ่มศักยภาพการเข้าถึงลูกค้า โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ดำเนินการขยายสาขาในประเทศเพิ่มอีก 7 แห่ง ได้แก่ สาขาเดอะไนน์เซ็นเตอร์ติวานนท์ (จ.ปทุมธานี), สาขาพิมาย (จ.นครราชสีมา), สาขาปัตตานี, สาขาจะนะ (จ.สงขลา), สาขาสว่างแดนดิน (จ.สกลนคร), สาขาลำปลายมาศ (จ.บุรีรัมย์), และสาขาสวรรคโลก (จ.สุโขทัย) สำหรับสาขาในต่างประเทศ ได้ขยายสาขาเพิ่มอีก 1 แห่งที่จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา ส่งผลให้           ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ มีจำนวนสาขาที่เปิดดำเนินการในประเทศรวม 90 สาขา และในประเทศกัมพูชา รวม 2 สาขา           การปรับปรุงสาขา           นอกจากการขยายสาขาแล้ว บริษัทฯ ยังมีเป้าหมายในการปรับปรุงร้านสาขาเก่าเพื่อแสดงภาพลักษณ์ที่ทันสมัย เพิ่มความสะดวกสบาย และยกระดับประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าของลูกค้าให้มีความพึงพอใจสูงสุด โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงร้านสาขาเก่าเพิ่มอีก 9 แห่ง ได้แก่ สาขายโสธร, สาขาปทุมธานี, สาขาลำพูน, สาขาลำปาง, สาขาบ้านตาด (จ.อุดรธานี), สาขาอุดรธานี, สาขากาญจนบุรี, สาขาปราณบุรี (จ.ประจวบคีรีขันธ์), และสาขาเพชรบูรณ์           ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงร้านสาขาเก่าเรียบร้อยแล้วรวม 38 สาขา

CHEWAเล็งออกหุ้นกู้ ไม่เกิน 280 ล. อัตราดอกเบี้ย 7.25/ปี

CHEWAเล็งออกหุ้นกู้ ไม่เกิน 280 ล. อัตราดอกเบี้ย 7.25/ปี

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ตามมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ของบริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2562 มีมติอนุมัติการออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 4,500 ล้านบาท เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ บริษัทฯใคร่ขอแจ้ง ข้อมูลของการออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้ โดยออกหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิ มีประกัน โดยมีผู้ค้ำประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน มูลค่าที่เสนอขาย ไม่เกิน 280 ล้านบาท อายุตราสาร 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 7.25 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ย ทุกๆ 3 เดือน และกำหนดวันตราสาร คือวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 และวันที่ครบกำหนดอายุคือวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2570และผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ ประกอบไปด้วย บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จํากัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ บริษัทฯมีวงเงินคงเหลือก่อนการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ จำนวน 2,698 ล้านบาท

I2 ตั้งบ.ย่อย 'พาวแพ็คเกอร์' ทุนจดทะเบียน 20 ล.

I2 ตั้งบ.ย่อย 'พาวแพ็คเกอร์' ทุนจดทะเบียน 20 ล.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายอธิพร ลิ่มเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ I2 แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2567 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 มีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทย่อยนั้น บริษัทฯ ขอเรียนให้ทราบว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีทุนจดทะเบียน 20,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้น 200,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ภายใต้ชื่อว่า “บริษัท พาวแพ็คเกอร์ จำกัด”

พักซื้อขายหุ้น GULF-INTUCH  9 วัน จัดสรรหุ้นNewCo เช็กเลย!

พักซื้อขายหุ้น GULF-INTUCH 9 วัน จัดสรรหุ้นNewCo เช็กเลย!

หุ้นวิชั่น - จับตากำหนดวันประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่างผู้ถือหุ้นของ GULF และ INTUCH กำหนดการหยุดพักการซื้อขายหุ้นของบริษัทเพื่อเตรียมการที่เกี่ยวข้องกับการควบบริษัท และกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของ NewCo คณะกรรมการบริษัทฯ GULF อนุมัติกำหนดให้วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของ NewCo (Book Closing Date) ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ที่จะได้รับการจัดสรรหุ้นใน NewCo จะต้องเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งมีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 25 มีนาคม 2568 เท่านั้น หากผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ไม่มีชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในวันดังกล่าวจะไม่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของ NewCo คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติขอให้หยุดพักการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ เป็นระยะเวลา 9 วันทำการ ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 2 เมษายน 2568 เพื่อการเตรียมการเกี่ยวกับการจัดสรรหุ้นของ NewCo ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นของ GULF รวมถึงการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนำหลักทรัพย์ของ NewCo เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วมพิจารณาอนุมัติทุน จดทะเบียน จำนวนหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ของหุ้น และทุนชำระแล้วของ NewCo ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ ทุนจดทะเบียนจำนวน 14,939,837,683 บาท           ทุนชำระแล้วจำนวน 14,939,837,683 บาท                                                                                                                                                                                                     แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 14,939,837,683 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วมพิจารณาอนุมัติจัดสรรหุ้นของ NewCo ให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยหุ้นที่จะนำมาจัดสรรเป็นหุ้นสามัญของ NewCo มีจำนวนทั้งสิ้น 14,939,837,683 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และ GULF ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และ GULF ณ วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของ NewCo (Book Closing Date) ซึ่งได้กำหนดเป็นวันที่ 25 มีนาคม 2568 ในอัตราส่วนตามที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 ของบริษัทฯ และ GULF รวมถึงการปัดเศษหุ้นหากมีเศษหุ้นที่เกิดขึ้นจากการคำนวณตามอัตราส่วนการจัดสรร ราคาชดเชยต่อหุ้นกรณีผู้ถือหุ้นถูกปัดเศษหุ้นทิ้ง การที่นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ได้เสนอทำหน้าที่เป็นผู้เกลี่ยหุ้น (Balancer) ในการปัดเศษหุ้น และชำระเงินให้แก่หรือรับเงินชดเชยจาก NewCo ในการเกลี่ยหุ้นดังกล่าว ตลอดจนการมอบอำนาจให้กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทฯ หรือ GULF หรือ NewCo หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทฯ หรือ GULF หรือ NewCo มีอำนาจดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรหุ้นสามัญของ NewCo ตามรายละเอียดที่เสนอ

อินโนพาวเวอร์ หนุนโครงการ EV Fleet กฟผ. มุ่งขับเคลื่อนสังคมไร้คาร์บอน

อินโนพาวเวอร์ หนุนโครงการ EV Fleet กฟผ. มุ่งขับเคลื่อนสังคมไร้คาร์บอน

          หุ้นวิชั่น - อินโนพาวเวอร์ ร่วมกับ กฟผ. เปิดตัวโครงการให้บริการรถบัสไฟฟ้า (EV Fleet) รับ-ส่งผู้ปฏิบัติงานสำนักงานกลาง กฟผ. พร้อมพนักงานขับรถ จำนวน 29 คัน โดยบริการตามเส้นทางที่ กฟผ. ได้กำหนดและวางแผนไว้เพื่อสนับสนุนการให้บริการ และได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 ตั้งเป้าขยายรถบัสไฟฟ้าเพิ่มเป็น 200 คัน ภายในปีหน้า 2569 พร้อมต่อยอดธุรกิจ Future of Mobility เพื่อรองรับธุรกิจแบตเตอรี่ และขยาย Service Offering ของ EV จาก EV Bus เป็น E-Bike และ E-Truck รวมถึงสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อพัฒนา EV Management และ Operation Platform           นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ได้สนับสนุนโครงการจัดรถมินิบัสไฟฟ้ารับ-ส่งผู้ปฏิบัติงานสำนักงานกลาง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งโครงการนี้มีส่วนช่วยลดการปล่อยคาร์บอนกว่า 924,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการลดจำนวนรถยนต์บนถนนประมาณ 201 คันต่อปี ส่งเสริมนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ และขับเคลื่อนสังคมให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) โครงการ EV Fleet ถือเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันแผนยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของ กฟผ. ซึ่งมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง โดยสอดคล้องกับ นโยบาย 30@30 ที่มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ได้ 30% ภายในปี 2030 ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศไทยในการลดมลพิษและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด กฟผ. ได้กำหนดเป้าหมายด้านพลังงานที่สะอาดและยั่งยืน เพื่อสนับสนุนประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค โดยเน้นการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งานทดแทนรถยนต์เดิมในองค์กร ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพนักงานควบคู่กันไป รวมถึงการดูแลสิทธิมนุษยชน การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี และการสนับสนุนชุมชนโดยรอบ เพื่อสร้างความพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานด้านยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความยั่งยืนทางพลังงานและเศรษฐกิจของประเทศ การเติบโตของอุตสาหกรรม EV ในประเทศไทย สะท้อนถึงความสำเร็จของนโยบายสนับสนุนที่ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า การลงทุนในแบตเตอรี่ระดับเซลล์ หรือมาตรการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะและอัตราค่ากระแสไฟฟ้าที่เหมาะสม "อินโนพาวเวอร์ มุ่งพัฒนาโซลูชันพลังงานสะอาดเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือโครงการ EV Fleet กับ กฟผ. ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังเป็นการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์นโยบายพลังงานสะอาดของประเทศ โดยแผนงานด้าน Future of Mobility ของอินโนพาวเวอร์มีเป้าหมายขยาย EV Fleet เพิ่มถึง 200 คันภายในปี 2569 พร้อมต่อยอดธุรกิจ Future of Mobility เพื่อรองรับธุรกิจแบตเตอรี่ และขยาย Service Offering ของ EV จาก EV Bus เป็น E-Bike และ E-Truck รวมถึงสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อพัฒนา EV Management และ Operation Platform" นายอธิปกล่าว อินโนพาวเวอร์ ในฐานะบริษัทด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาด มุ่งเน้นการพัฒนาและนำเสนอโซลูชันที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายในการเคลื่อนสังคมไร้คาร์บอนเสริมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับประเทศ

OR จับมือสรรพสามิต-จุฬาฯ ดันภาษีคาร์บอน-พลังงานยั่งยืน ไม่เพิ่มภาระผู้บริโภค!

OR จับมือสรรพสามิต-จุฬาฯ ดันภาษีคาร์บอน-พลังงานยั่งยืน ไม่เพิ่มภาระผู้บริโภค!

          หุ้นวิชั่น - OR กรมสรรพสามิต และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมขับเคลื่อนการรับรู้ภาษีคาร์บอน ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีภายในของกรมสรรพสามิต เพื่อส่งเสริมความเข้าใจเรื่องภาษีคาร์บอนและสนับสนุนพฤติกรรมการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน โดยไม่ส่งผลกระทบกับราคาน้ำมันที่สถานีบริการ            ดร.เผ่าภูมิ  โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทวงการคลัง เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) เพื่อส่งเสริมความเข้าใจเรื่องภาษีคาร์บอนและสนับสนุนพฤติกรรมการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน โดยมี หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) ดร. กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต และ รศ.ดร.นพพล วิทย์วรพงศ์คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมลงนาม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันดำเนินการด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านการวิจัยและนวัตกรรม โดยมุ่งส่งเสริมการพัฒนาการวิจัยและนวัตกรรมด้านการส่งเสริมพฤติกรรมการใช้พลังงานที่เอื้อต่อการเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ด้านการขยายผลและต่อยอด ผ่านการบูรณาการการจัดกิจกรรมและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากข้อมูลและผลงานวิจัย และด้านการพัฒนากลไกและนวัตกรรม ด้วยการพัฒนากลไกติดตามพฤติกรรมการใช้พลังงาน และสร้างนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี            ดร.เผ่าภูมิ  กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการคลัง กำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่..) พ.ศ. .... โดยกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับกลไกราคาคาร์บอนในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ที่จัดเก็บจากสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน เป็นการกำหนดให้มีกลไกราคาคาร์บอนในโครงสร้างภาษีสรรพสามิต ที่จัดเก็บจากสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ซึ่งเป็นกลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับ (Mandatory Carbon Pricing) แรกของประเทศไทยที่แสดงสัดส่วนของต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมในการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทต่าง ๆ ภายในโครงสร้างภาษีสรรพสามิต โดยสามารถคำนวณได้จากค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor) ซึ่งเป็นค่าที่สามารถคำนวณได้ทางวิทยาศาสตร์คูณกับราคาคาร์บอน (Carbon Price) ที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าซึ่งภาครัฐเป็นผู้กำหนด ทั้งนี้ เพื่อให้ภาครัฐสามารถใช้มาตรการทางภาษีนี้เป็นเครื่องมือในการสร้างความตระหนักให้แก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงฯ ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งหากดำเนินการเรียบร้อยแล้วจะถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษาและคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้           หม่อมหลวงปีกทอง เปิดเผยว่า ความร่วมมือของ OR กรมสรรพสามิต และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการส่งเสริมการรับรู้ภาษีคาร์บอนและพฤติกรรมการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน สร้างความตระหนักรู้เรื่องภาษีคาร์บอนของผู้ใช้พลังงาน ด้วยความห่วงใยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการสร้างองค์ความรู้ทางด้านนโยบายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของภาษีคาร์บอน ซึ่งมาตรการนี้ไม่ส่งกระทบต่อราคาน้ำมัน และไม่เพิ่มภาระให้แก่ผู้บริโภคแต่อย่างใด อีกทั้งยังเป็นการดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการออกกฎกระทรวงกำหนดกลไกราคาคาร์บอนในภาษีน้ำมันในโครงสร้างภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ทั้งนี้ OR จะให้การสนับสนุนด้านการดำเนินงานรวมถึงทรัพยากรตามที่ทั้ง 3 ฝ่ายตกลงร่วมกัน นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังสอดคล้องกับนโยบาย OR SDG ที่มุ่งสร้างสมดุลในทุกมิติ โดยเฉพาะด้าน  G: Green ที่มุ่งสร้างโอกาสเพื่อสังคมสะอาดและการสนับสนุนให้เกิดสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนอีกด้วย            ความร่วมมือครั้งนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ โดยเฉพาะเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี พ.ศ. 2608

TMI เล็งทบทวนแผนลงทุนโซลาร์ฟาร์มยุโรป 20 ก.พ.นี้

TMI เล็งทบทวนแผนลงทุนโซลาร์ฟาร์มยุโรป 20 ก.พ.นี้

          หุ้นวิชั่น - นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMI ตามที่ บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับ บริษัท ไบโอคลีน อินเตอร์เนชั่นแนล (2010) จำกัด (“BIO”) เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2567 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ในทวีปยุโรปร่วมกัน ซึ่งมีรายละเอียดตามที่ระบุในข่าวที่แจ้งต่อสาธารณะ ตามหนังสือเลขที่ TMI013/2567 ลงวันที่ 18 กันยายน 2567 และบริษัทได้แจ้งข่าวต่อสาธารณะ ตามหนังสือเลขที่ TMI017/2567 ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ว่าจะแจ้งความคืบหน้าให้นักลงทุนทราบเกี่ยวกับการลงทุนในโครงการดังกล่าวภายในเดือนมกราคม 2568 นั้น           ปัจจุบันคณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการบริษัทพิจารณาแล้วว่ามีข้อควรพิจารณาหลายประการ จึงแนะนำให้ระงับการดำเนินการเกี่ยวกับโครงการโซลาร์ฟาร์มในทวีปยุโรปไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 บริษัทจะมีการจัดประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการบริษัท โดยจะมีการนำเรื่องโครงการโซลาร์ฟาร์มดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมอีกครั้งหนึ่ง โดยบริษัทจะแจ้งให้นักลงทุนทราบถึงผลการพิจารณาการลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยเร็วต่อไป

NWRคว้างานก่อสร้างจากรมเจ้าท่า  318 ล้านบาท เสริมทัพการท่องเที่ยว

NWRคว้างานก่อสร้างจากรมเจ้าท่า 318 ล้านบาท เสริมทัพการท่องเที่ยว

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นางสาวผกาทิพย์ โลพันธ์สรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า วันที่ 24 มกราคม 2568 บริษัทได้ลงนามในสัญญาก่อสร้างโครงการก่อสร้างเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะ สนับสนุนการท่องเที่ยวชายหาดจอมเทียน อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ระยะที่ 2 จากกรมเจ้าท่า โดยลักษณะงานเป็นการเสริมชายหาด ความยาว 2,800 เมตร ความกว้างประมาณ 30-50 เมตร งานก่อสร้างท่าเทียบเรือ งานติดตั้งระบบป้องกันหาดแห้งแบบแอ่งพรุนน้ำ งานปรับภูมิทัศน์ และงานอื่นๆ ตามกำหนดในแบบและรายการประกอบแบบจ้างงานก่อสร้างเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะ สนับสนุนการท่องเที่ยวชายหาดจอมเทียน อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ระยะที่ 2  มูลค่าโครงการ 318,074,000.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 13 กรกฎาคม 2570

จับตาท่องเที่ยวโค้งแรกพีค ชู AWC - CENTEL เด่น

จับตาท่องเที่ยวโค้งแรกพีค ชู AWC - CENTEL เด่น

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ57' กลุ่มท่องเที่ยว ว่า คาดกำไรยังแข็งแกร่งต่อเนื่องในช่วงไฮซีซันผลประกอบการเด่นก่อนเข้าสู่ช่วงพีคใน 1Q68 คาดการณ์กำไรหลักรวมของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว 5 บริษัทที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ที่ 9.6 พันล้านบาท (+18% YoY, +34% QoQ) หรือคิดเป็น 87% ของระดับ 4Q62 โดยการเติบโต YoY ได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์นักท่องเที่ยวต่างชาติที่แข็งแกร่งในไทย ส่งผลให้ RevPAR เฉลี่ยของโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 13% ต้นทุนดำเนินงานยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้สำหรับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเริ่มลดลงยกเว้น CENTEL คาดว่า 1Q68 จะเป็นไตรมาสที่พีคที่สุดของภาคการท่องเที่ยวด้วยโมเมนตัมกำไรที่แข็งแกร่งในรายไตรมาสและแนวโน้มเชิงบวกในปี 68 (กำไรกลุ่มเติบโต 23% YoY) และมูลค่าหุ้น (valuation) ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม ฝ่ายวิเคราะห์จึงคงมุมมองบวกต่อภาคการท่องเที่ยว โดยเลือก AWC และ CENTEL เป็นหุ้นเด่น อัตราการเข้าพักยังต่ำกว่าระดับปี 62 จากข้อมูลการจองห้องพักล่วงหน้าและการตรวจสอบกับผู้บริหารโรงแรมรายใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรม 7 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (พอร์ตโฟลิโอในไทย) จะอยู่ที่ 79% ใน 1Q68 ซึ่งยังต่ำกว่าระดับ 82% ใน 1Q62 ก่อนโควิด อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะมีอัตราการเข้าพักที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด ยกเว้น AWC และ CENTEL ที่ยังอยู่ในช่วงเร่งดำเนินงานโรงแรมใหม่และที่ปรับปรุงล่าสุด โดย CENTEL กำลังเร่งเติมอัตราการเข้าพักของ Centara Mirage Pattaya และ Centara Karon Phuket (คิดเป็น 10-12% ของรายได้โรงแรม) ขณะที่ AWC เตรียมเปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่งในพัทยาซึ่งจะเพิ่มจำนวนห้องพักขึ้นอีก 9% ใน 1Q68 ผลกระทบจากเหตุลักพาตัวนักแสดงจีนมีจำกัด ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีนจากข่าวลักพาตัวนักแสดงจีนที่แพร่สะพัดน่าจะเริ่มลดลง โดยข้อมูลจำนวนผู้ท่องเที่ยว ณ วันที่ 29 ม.ค. ยังคงแสดงให้เห็นว่าจำนวนผู้ท่องเที่ยวจีนเติบโตแข็งแกร่งที่ +28% YoY และจำนวนผู้ท่องเที่ยวรวมเพิ่มขึ้น +21% YoY ขณะเดียวกัน โรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์พบว่ามีการยกเลิกการจองในระดับที่จำกัด เนื่องจากเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระ (FIT) มากกว่ากลุ่มทัวร์ ซึ่งมีแนวโน้มจะอ่อนไหวจากความกังวลด้านความปลอดภัยที่เกิดจากข่าวดังกล่าวบนโซเชียลมีเดีย หุ้นเด่น AWC และ CENTEL ฝ่ายวิเคราะห์เลือก AWC เป็นหุ้นเด่นอันดับหนึ่ง เนื่องจากได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้จ่ายด้านที่พักที่เพิ่มขึ้นและการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทย ขณะที่ CENTEL เป็นหุ้นเด่นอันดับสอง เนื่องจากคาดว่ามีกำไรเติบโตแข็งแกร่งเป็นอันดับ 2 ในช่วงปี 67-69 โดยได้รับแรงหนุนจาก RevPAR โรงแรมในไทยที่เพิ่มขึ้นหลังการปรับปรุงครั้งใหญ่และในญี่ปุ่นจากงาน World Expo ที่จะจัดขึ้นที่โอซาก้าในเดือน เม.ย.-ต.ค. 68 ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าตลาดรับรู้แล้วว่าผลประกอบการ 4Q67 ของ CENTEL จะถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายก่อนเปิดโรงแรมและผลกระทบจากการปรับปรุงโรงแรม

BAFS คว้าใบรับรอง

BAFS คว้าใบรับรอง "ISCC-CORSIA" ตอกย้ำผู้นำอุตสาหกรรมการบินสู่ความยั่งยืน

          หุ้นวิชั่น - บาฟส์ บรรลุความสำเร็จครั้งสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินอย่างยั่งยืน ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISCC-CORSIA  (International Sustainability and Carbon Certification - Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) ซึ่งเป็นมาตรฐานการรับรองคาร์บอนและความยั่งยืนระหว่างประเทศ เตรียมพร้อมรองรับการให้บริการเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน Sustainable Aviation Fuel (SAF) กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินในอนาคต ตอบโจทย์ด้านพลังงานควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ม.ล. ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บาฟส์ กล่าวว่า บาฟส์ พร้อมสนับสนุนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน  Sustainable Aviation Fuel (SAF) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมการบินสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions และตามเป้าหมายของ ICAO ที่กำหนดให้สายการบินทั่วโลกต้องเติมน้ำมัน SAF ไว้ราว 5% ภายในปี 2573 ทำให้หลายองค์กรเตรียมพร้อมการบังคับใช้น้ำมัน SAF โดยล่าสุด บาฟส์ ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISCC CORSIA ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ยอมรับในอุตสาหกรรมการบินสำหรับการรับรองความยั่งยืน ในขอบเขตของ Logistic Center ทั้งสถานีบริการจัดเก็บและเติมน้ำมันอากาศยานดอนเมือง และสถานีบริการจัดเก็บและเติมน้ำมันอากาศยานสุวรรณภูมิ สำหรับการรับรองน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน Sustainable Aviation Fuel (SAF) ซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกที่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 80% ตลอดวัฏจักรชีวิตของเชื้อเพลิงเมื่อเทียบกับน้ำมัน Jet A-1 แบบดั้งเดิม เข้าข่ายตามเกณฑ์กลไกชดเชยและการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับการบินระหว่างประเทศ โดยมี บริษัท คอนโทรล ยูเนี่ยน (ประเทศไทย) เป็นผู้ให้การรับรองระบบ ซึ่งนับเป็นการเตรียมพร้อมยกระดับการให้บริการที่สอดรับกับนโยบายอุตสาหกรรมการบินคาร์บอนต่ำและรองรับการให้บริการ SAF ของผู้ค้าน้ำมันในประเทศไทย การรับรอง ISCC-CORSIA ในครั้งนี้ เป็นการรับรองถึงการบริหารจัดการของบาฟส์ เป็นไปตามมาตรฐานด้านความยั่งยืนในการบริหารจัดการน้ำมัน SAF ตั้งแต่การรับน้ำมัน SAF เข้ามาในระบบคลังน้ำมันอากาศยานและการให้บริการน้ำมันอากาศยานแก่สายการบินซึ่งครอบคลุมทั้งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง นอกจากนี้บาฟส์ ยังมีบทบาทสำคัญในการตรวจรับรองน้ำมันอากาศยานทั้งในด้านคุณภาพน้ำมันว่ามีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานที่ AFQRJOS Checklist กำหนด สามารถจัดเก็บและขนส่งรวมกับน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบดั้งเดิม (Jet A-1) เพื่อใช้กับเครื่องบินที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ และในด้านการตรวจประเมินทวนสอบย้อนกลับและความโปร่งใสถึงความสอดคล้องด้านความยั่งยืนของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ไปจนถึงการจัดทำบัญชีน้ำมัน SAF ตามหลักการ Mass Balance “บาฟส์ ในฐานะผู้ให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน มีภารกิจจัดเตรียมการขนส่งน้ำมันจากโรงกลั่นมายังสนามบินหลักที่ให้บริการ หากประเทศไทยมีการผลิต SAF และนำมาให้บริการที่สนามบิน โดยผ่านกระบวนการโลจิสติกส์ของบาฟส์ จะสามารถการันตีในด้านการควบคุมคุณภาพน้ำมัน การตรวจสอบแหล่งที่มา รวมถึงการตรวจสอบด้านความยั่งยืนของน้ำมันที่จะให้บริการ เพื่อให้สายการบินมั่นใจได้ว่า น้ำมัน SAF ที่ใช้ผ่านการรับรองด้วยมาตรฐาน ISCC-CORSIA ตลอดห่วงโซ่อุปทาน SAF เพื่อให้สายการบินสามารถนำไปใช้ในการชดเชยคาร์บอนเครดิตต่อไป ”

BRI ร่วมทุนกลุ่ม Sotetsu เสริมแกร่งเงินทุน พัฒนาบ้านเดี่ยว Luxury

BRI ร่วมทุนกลุ่ม Sotetsu เสริมแกร่งเงินทุน พัฒนาบ้านเดี่ยว Luxury

           หุ้นวิชั่น - บริทาเนีย เปิดตัวร่วมทุนพันธมิตร “โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท” ในเครือ “โซเท็ตซึ กรุ๊ป” ยักษ์ใหญ่ด้านรถไฟฟ้า-อสังหาฯ-ค้าปลีก สัญชาติญี่ปุ่น รังสรรค์บ้านเดี่ยวระดับ Luxury นำร่องโครงการ “เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม 5” Private Residences เพียง 35 ยูนิต พร้อมเปิดให้สัมผัสความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมสไตล์อังกฤษ วันที่ 15-16 ในเดือนกุมภาพันธ์ 68 นี้ ราคาเริ่ม 39 ล้านบาท            ดร.ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ผู้นำการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรร ภายใต้แนวคิดเป็น CRAFT a life you love ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาร่วม 8 ปี ของ บริทาเนีย ได้ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานเพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนของทั้งบริษัทและผู้บริโภคภายใต้กลยุทธ์ต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึง ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อร่วมทุนพัฒนาโครงการใหม่ ล่าสุด ได้ร่วมทุนกับ บริษัท โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท จำกัด (โซเท็ตซึ ฟุโดซัง) ในเครือ โซเท็ตซึ กรุ๊ป (Sotetsu GROUP) ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจด้านคมนาคมขนส่งหรือรถไฟฟ้า(Transportation) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์(Real Estate )และธุรกิจด้านค้าขายสินค้าหรือค้าปลีก(Merchandising ) เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ นำร่องโครงการแรก เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม 5 (Belgravia Exclusive Ratchaphruek - Rama 5) พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวระดับ Luxury จำนวน 35 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 39 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ภายใต้บริษัท เบลกราเวีย ราชพฤกษ์ นครอินทร์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 424 ล้านบาท โดย บริทาเนีย ถือหุ้นในสัดส่วน 51% ขณะที่ โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท ถือหุ้นในสัดส่วน 49%            “โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท เป็นดีเวลอปเปอร์ชั้นนำจากญี่ปุ่นมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาฯ มามากกว่า 70 ปี ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียมและบ้าน รวมทั้งยังเป็นพาร์ตเนอร์กับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือ ORI ตั้งแต่ปี 2566 เจาะตลาดกรุงเทพฯตอนเหนือ ด้วยการพัฒนาคอนโดฯ Pet Lover โครงการ ดิ ออริจิ้น พหลโยธิน 57 (The Origin Phahol 57) มูลค่าโครงการ 1,040 ล้านบาท และครั้งนี้ขยายแผนการลงทุนสู่โครงการแนวราบซึ่งเป็นก้าวสำคัญครั้งใหม่ของเรา” ดร.ศุภลักษณ์ กล่าว            พร้อมกันนี้ นายมาซามูเนะ ซูซูกิ ประธานบริษัท โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท ยังกล่าวด้วยว่า โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท ต้องการขยายการลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง การร่วมทุนกับ บริทาเนีย พัฒนาโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ “เบลกราเวีย” (Belgravia) บ้านเดี่ยว Luxury ระดับราคา 20-50 ล้านบาท ในทำเลย่าน ราชพฤกษ์-พระราม 5 ทำเลที่มีศักยภาพการเติบโตสูงจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง และเป็นทำเลที่แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ ทั้งสถานพยาบาลชั้นนำ โรงเรียนชื่อดัง แหล่งไลฟ์สไตล์ และการเดินทางที่สะดวกการร่วมทุนดังกล่าว จึงตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อ บริทาเนีย ในการพัฒนาโครงการแนวราบ ขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านอสังหาฯของทั้ง 2 บริษัท ในด้านต่าง ๆ รวมถึงเพิ่มความแข็งแกร่งด้านเงินทุนรองรับแผนการขยายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในอนาคต            บ้านเดี่ยวระดับ Luxury “เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม 5” Private Residences เพียง 35 ยูนิต ออกแบบและเลือกใช้วัสดุที่มีมาตรฐานสูง สะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัย มีความโดดเด่นตั้งแต่ Gate ทางเข้าโครงการที่ได้รับ แรงบันดาลใจจากความเป็นเอกลักษณ์ของสถานีรถไฟคิงส์ครอส (King's Cross Station) สถานีรถไฟที่สำคัญ และคับคั่งที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ อาคารคลับเฮ้าส์ ออกแบบให้เป็นทรงโค้ง (Arch) ผ่านเส้นสายทรงโค้งเว้าที่ทอดยาวเป็นจังหวะของสถานี เมื่อเปิดเข้าไปในตัวอาคารก่อให้เกิดเป็นมิติ ดึงดูดความสนใจของผู้พบเห็น สร้างความโดดเด่นด้วยโทนสีเขียวของเหล็กที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเพื่อส่งต่อความทรงจำที่เป็นมรดกอันล้ำค่าจากรุ่นสู่รุ่น A Timeless Legacy แบบบ้านได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมสไตล์อังกฤษที่โดดเด่นเหนือกาลเวลาเป็นเหมือน ‘จัตุรัสแห่งกรุงลอนดอน’ ที่เชื่อมต่อทุกเรื่องราวของสมาชิกในครอบครัวไว้ด้วยกัน สรรสร้างสู่พื้นที่แห่งการเชื่อมต่อความสุข เชื่อมต่อสังคมคุณภาพ ด้วยฟังก์ชันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครบ การออกแบบบ้านมี 2 สไตล์ ราคาเริ่มต้น 39 ล้านบาท* ได้แก่ • บ้านเลสเตอร์ (LEICESTER) บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดที่ดินเริ่มต้น 81 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 400 ตารางเมตร ประกอบด้วย 4 ห้องนอน / 5 ห้องน้ำ / 1 ครัวไทย / 1 ห้องอเนกประสงค์ / 3 ที่จอดรถ และ 1 ห้องแม่บ้าน • บ้านทราฟัลการ์(TRAFALGAR) บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดที่ดินเริ่มต้น 100 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 500 ตารางเมตร ประกอบด้วย 4 ห้องนอน / 5 ห้องน้ำ / 1 ครัวไทย / 1 ห้องอเนกประสงค์ / 4 ที่จอดรถ และ 1 ห้องแม่บ้าน            ทั้งนี้ ภายในโครงการยังพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งคลับเฮาส์และพื้นที่สวน 2 แห่ง Swimming pool (Jacuzzi,Kid pool), Lobby, Lounge, Fitness, Studio room, Social club ,Double Gate Security CCTV 24 ชม. และยังมีสถานที่สำคัญใกล้โครงการ อาทิ เซ็นทรัล เวสต์วิลล์, เดอะ วอล์ค ราชพฤกษ์, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, ตลาดพระราม 5, The Crystal SB ราชพฤกษ์, Food Vila ราชพฤกษ์, โรงเรียนนานาชาติเด่นหล้าบริติช, โรงเรียนนานาชาติเคนซิงตัน, โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี, มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์, โรงเรียนนานาชาติดีบีเอส, โรงเรียนบดินทรเดชา นนทบุรี, โรงเรียน เตรียมอุดมศึกษา พัฒนาการ บางใหญ่, โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น, โรงพยาบาล ศรีสวรรค์ ราชพฤกษ์, โรงพยาบาล ธนบุรี ทวีวัฒนา, โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, โรงพยาบาลกรุงเทพ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นต้น            “เรามั่นใจในคอนเซ็ปต์การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ประกอบกับศักยภาพของทำเลที่เชื่อมต่อเข้าออกเมืองได้สะดวก หลากหลายเส้นทาง โดยโครงการอยู่ติดถนนนครอินทร์ ใกล้วงเวียนพระราม 5 เชื่อมต่อกับถนนพระราม 5 ราชพฤกษ์ และกาญจนาภิเษก ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมหลักที่สำคัญ ทั้งใกล้ทางด่วน ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง เป็นทำเล ที่เต็มไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์ สิ่งอำนวยความสะดวก แหล่งจับจ่ายใช้สอย และสถานที่สำคัญมากมาย จุดเด่นนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าผู้บริโภค” CEO บริทาเนีย กล่าว พร้อมตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญของทีม บริทาเนีย และ พาร์ทเนอร์ คนสำคัญอย่าง โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท ซึ่งเป็นก้าวแรกที่เริ่มต้นร่วมทุนพัฒนาโครงการเบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม 5 และจะมีโครงการตามมาในอนาคต สัมผัสบ้านเดี่ยวระดับ Luxury “เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม 5” เอกสิทธิ์ 35 ครอบครัว ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ ที่ดิน 100 ตร.ว. โดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมสไตล์อังกฤษ พร้อมเปิดชมโครงการครั้งแรกใน วันที่15-16 กุมภาพันธ์ 68 เฉพาะจองในงานรับโปรโมชั่นสุดพิเศษ สอบถามเพิ่มเติมโทร 1509 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://britania.co.th/

SET กุมภาฯ ผันผวน! แรงกดดันสงครามการค้ากระทบตลาด

SET กุมภาฯ ผันผวน! แรงกดดันสงครามการค้ากระทบตลาด

          หุ้นวิชั่น - แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือนกุมภาพันธ์: แรงกดดันจากสงครามการค้า แต่ยังมีแรงหนุนจากหุ้น Domestic Play • คาดว่า SET Index มีโอกาสปรับตัวลงในช่วงแรก หลังจากที่ ปธน.ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ลงนามใน Executive Order เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจาก แคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และ จีนในอัตรา 10% ตามที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ • ปัจจัยดังกล่าวทำให้ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง ได้พัฒนาเป็นสงครามการค้าย่อม ๆ จากการตอบโต้ของประเทศเหล่านี้ โดย แคนาดาและเม็กซิโกเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 25% ขณะที่ จีนเตรียมยื่นคำร้องต่อ WTO • ปัจจัยนี้ส่งผลทางอ้อมให้ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจาก แคนาดาและเม็กซิโก เป็นแหล่งนำเข้าเชื้อเพลิงสำคัญของสหรัฐฯ     มุมมองต่อตลาดหุ้นไทย • การปรับตัวลงของ SET Index ในช่วงแรกของเดือน อาจได้รับการประคับประคองจาก กลุ่ม Oil & Gas ที่ได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น • นอกจากนี้ กลุ่ม Domestic Play มีโอกาสรีบาวด์ หลังจากราคาหุ้นกลุ่มนำตลาด เช่น CPALL ปรับตัวลงแรงในช่วงปลายเดือนก่อน • ด้วยเหตุนี้ ตลาดหุ้นไทยอาจแข็งแกร่งกว่าตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้า กลยุทธ์การลงทุน (Strategy) • ประเมินแนวรับแรกของ SET Index ที่ 1,300 จุด • แนวรับสำคัญที่ไม่น่าหลุดอยู่ที่ 1,270 - 1,280 จุด • แนะนำ ถือหุ้นเดิม และทยอยสะสมหุ้นใหม่ที่บริเวณแนวรับ โดยเน้น Domestic Play เป็นหลัก เนื่องจากความผันผวนจากประเด็นสงครามการค้าอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา           ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม (Risks) 1. ความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่ลากยาว อาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการกลับมาของเงินเฟ้อ (Revival of Inflation) ซึ่งอาจส่งผลให้ Bond Yield ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น และลดโอกาสที่ ธปท. จะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนนี้ 2. ผลประกอบการไตรมาส 4 ของบริษัทจดทะเบียน หากออกมาแย่กว่าคาด อาจนำไปสู่ การปรับลดประมาณการตลาด ทำให้ Valuation ของดัชนีแพงขึ้นโดยอัตโนมัติ 3. แรงขายจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ หากมีความชัดเจนว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.) จะเปลี่ยนวิธีคำนวณดัชนีหุ้นไทยเป็น Free-float Adjusted Market Cap Weighted ซึ่งอาจส่งผลให้ หุ้นขนาดใหญ่ 10 อันดับแรกถูกลดน้ำหนัก และมีผลลบต่อดัชนีในช่วงแรก ที่มา : บล.ทรีนิตี้

BAกำไรฟื้น ไอซีซั่นหนุนผลงานโตแรง KSS ชูเป้าบินไกล 28.75 บ.

BAกำไรฟื้น ไอซีซั่นหนุนผลงานโตแรง KSS ชูเป้าบินไกล 28.75 บ.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง BA ว่า คาด 4Q24F ฟื้นเป็นกำไรจากปีก่อนขาดทุน ฝ่ายวิเคราะห์ คงคำแนะนำ Buy ราคาเป้าหมาย 28.75 บาท ราคาหุ้นซื้อขายที่ -1SD ของค่าเฉลี่ย P/E ในอดีต ซึ่งสะท้อนความเสี่ยง (การแข่งขัน, นักท่องเที่ยวจีน) สำหรับปี 2025F คาดว่ากำไรจะมีแนวโน้มโตต่อเนื่อง และฝ่ายวิเคราะห์มีแนวโน้มปรับเพิ่มกำไรปี 2025F โดยคาดกำไรปกติ 4Q24F ฟื้นเป็นกำไร 499 ล้านบาท จากปีที่แล้วขาดทุน -480 ล้านบาท คาดว่า BA จะรายงานกำไรปกติ 4Q24F ที่ 499 ล้านบาท ฟื้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน -480 ล้านบาท เนื่องจาก (1) รายได้ 5,611 ล้านบาท (+11% yoy, -5% qoq) ที่เพิ่มขึ้น yoy โดยสถิติการบินดีขึ้น y-y ได้แก่ ปริมาณผู้โดยสาร 1.03 ล้านคน (+7% yoy, -2% qoq) และราคาตั๋วเฉลี่ย 4,050 บาท (+3% yoy, -4% qoq) และ (2) อัตรากำไรขั้นต้น 27.1% (vs 4Q23/3Q24 ที่ 10.5%/27.2%) เพิ่มขึ้น yoy จากราคาน้ำมัน (คิดเป็นสัดส่วน 26% ของต้นทุนธุรกิจสายการบิน) ลดลง -23% yoy, -4% qoq และอัตราบรรทุกผู้โดยสารเพิ่มเป็น 79% (vs 4Q23/3Q24 ที่ 77%/81%) อย่างไรก็ตาม กำไรปกติลดลง -42% qoq ตามฤดูกาลที่ไตรมาสก่อนหน้าเป็น High season ของเส้นทางบินเกาะสมุย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของรายได้ธุรกิจสายการบิน และไม่มีรายได้เงินปันผลรับ 200-300 ล้านบาท เหมือนไตรมาสก่อนหน้า หากกำไร 4Q24F เป็นไปตามคาด จะทำให้กำไรปกติปี 2024F ใกล้เคียงคาดที่ 3,949 ล้านบาท โต +167% แนวโน้ม 1Q25F อุตสาหกรรมการบิน High season หนุนกำไรเพิ่มต่อเนื่องอุตสาหกรรมการบินมี Catalyst บวกจาก (1) ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติโตต่อเนื่อง (1-26 ม.ค. +19% yoy) (2) ปริมาณผู้โดยสารในประเทศเดือน ม.ค. โต +11% yoy และ +5% mm และ (3) ราคาน้ำมันเดือน ม.ค. ยังลดลงจากปีก่อน (-8% yoy, +6% mm) เบื้องต้นคาดว่า BA มีกำไรปกติ 1Q25F เพิ่มเป็น 1.9 พันล้านบาท (+7% yoy, +278% qoq) โดยฝ่ายวิเคราะห์มีแนวโน้มปรับเพิ่มกำไรปกติปี 2025F ขึ้นจากเดิมที่ 3,334 ล้านบาท ลดลง -16% yoy เนื่องจากสมมติฐานเดิมค่อนข้าง Conservative (ปริมาณผู้โดยสารเพิ่ม +4% yoy และราคาตั๋วโดยสารเฉลี่ยลดลง -2% yoy) เมื่อเทียบกับสถานการณ์อุตสาหกรรมการบินในปัจจุบัน  คำแนะนำ            ฝ่ายวิเคราะห์คงคำแนะนำ Buy ราคาเป้าหมาย (TP25F) 28.75 บาท ประเมินด้วยวิธี SOTP, เทียบเท่า P/E’25F ที่ 18.4x ใกล้เคียง -0.5SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต มองราคาหุ้น BA ลดลงมาซื้อขายที่ P/E’25F ที่ 11.8x ใกล้เคียง -1SD ของค่าเฉลี่ยอดีต ซึ่งสะท้อนความกังวลเรื่องการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในปี 2025F และความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงแล้ว ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากำไร 4Q24F-1Q25F มีแนวโน้มโตต่อเนื่อง และมีแนวโน้มปรับกำไรปี 2025F ขึ้นจากเดิม นอกจากนี้ BA ยังมีโอกาสจากโครงการอู่ตะเภาและ Entertainment complex ที่ฝ่ายวิเคราะห์ยังไม่รวมในประมาณการ

CPALL คาดดีล 7-11 ญี่ปุ่น เกิดยาก โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 79.00 บาท

CPALL คาดดีล 7-11 ญี่ปุ่น เกิดยาก โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 79.00 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.เคจีไอ ระบุ CPALL บริษัทค้าปลีกญี่ปุ่นกำลังหาพันธมิตรร่วมลงทุน ครอบครัวที่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Seven & I กำลังคุยกับเครือ Charoen Pokphand (CP) เพื่อหาพันธมิตรร่วมลงทุน โดยคาดว่าดีลนี้จะมีมูลค่าประมาณ 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ และจะเป็นดีลการเข้าซื้อกิจการโดยผู้บริหาร (management buyout) ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นเท่าที่เคยมีมา ซึ่ง NHK รายงานว่าจำนวนเงินลงทุนที่คาดว่าจะมาจาก CP จะเป็นวงเงินหลักแสนล้านเยน Impact  • เราพบว่าดีลนี้ค่อนข้างแพง เพราะจากข้อมูลของ Bloomberg คาดว่ากำไรสุทธิของ Seven & I Holdings Co., Ltd ในปี 2567F จะอยู่ที่ 1.6 พันล้านดอลลาร์ฯ และปี 2568F จะอยู่ที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์ฯ คิดเป็น PER อิงตามประมาณการกำไรปี 2567F-2568F ที่ประมาณ 37X และ 46X จากวงเงินทุนรวมที่ 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ทั้งนี้ ราคาหุ้น CPALL คิดเป็น PER ที่ 19X ในขณะที่ PER เฉลี่ยของกิจการประเภทนี้ในตลาดโลกอยู่ที่ประมาณ 24.1X (Figure 3)  • เรามองว่าดีลนี้จะมี synergy ค่อนข้างจำกัด เพราะ Seven & I Holdings ทำธุรกิจทั้งร้านสะดวกซื้อ / ห้าง Superstores / ห้างสรรพสินค้า / ร้านขายสินค้าเฉพาะทาง • ทั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์ และ CPALL ซึ่งมีการกล่าวถึง และถูกคาดการณ์ว่าจะเกี่ยวข้องกับดีลนี้ไม่ได้ออกมาตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ CPALL แจ้ง SET ว่าบริษัทดำเนินการตามนโยบายการลงทุนที่สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ โดยการพิจารณาข้อเสนอการลงทุนใด ๆ บริษัทจะดำเนินการด้วยความรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียของบริษัท  • จากการศึกษาของเรา พบว่าดีลขนาดนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ซึ่งจะเป็นการจำกัดส่วนการลงทุนของบริษัท โดยเราประเมินแนวทางการลงทุนเป็นสาม scenario ดังนี้: Scenario 1: บริษัทใช้เงินกู้จากธนาคารทั้ง 100% ซึ่งตาม scenario นี้ มูลค่าการลงทุนสูงที่สุดจะอยู่ที่ประมาณ 3 แสนล้านบาท (15% ของการลงทุนรวม) ซึ่งการกู้เงินที่ระดับนี้จะทำให้สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ปรับแล้ว (net debt to adjusted equity) จาก 0.8X เป็น 1.8X (สัดส่วนสูงสุดตาม bond covenant อยู่ที่ 2.0X) ตาม scenario นี้ ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น (ใช้สมมติฐานต้นทุนการก่อหนี้ที่ 4% ต่อปี) จะมีน้ำหนักมากกว่าส่วนแบ่งกำไรที่คาดว่าจะได้รับ และจะทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2568F ของเรามี downside 12%  Scenario 2: บริษัทใช้เงินกู้จากธนาคาร 85% และใช้เงินอีก 15% จากการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน (perpetual bond) ซึ่งในการที่จะรักษาระดับการลงทุนที่ 15% (เท่ากับใน scenario 1) การใช้เงินทุนจากการออก perpetual bond และการกู้ธนาคารจะทำให้สัดส่วน net debt to adjusted equity อยู่ที่ 1.4X ในขณะที่กำไรสุทธิรวมจะกระทบกับกำไรสุทธิรวมประมาณ 15% เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจาก perpetual bond (เราใช้สมมติฐานที่ 5% ต่อปี) Scenario 3: เพิ่มทุน โดยการเพิ่มทุนและการกู้เงินจากธนาคารจะทำให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะไปหักล้างกับส่วนแบ่งกำไรจาก Seven & I Holdings Co., Ltd ที่ระดับ 30:70 ซึ่งในการที่จะรักษาระดับการลงทุนที่ 15% (เท่ากับใน scenario 1&2) บริษัทต้องเพิ่มทุน 8.87 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเงินทุนชำระแล้วในปัจจุบันที่ 8.9 พันล้านบาทอย่างมาก   เนื่องจากดีลมีขนาดใหญ่มาก ทำให้มีทั้งข้อจำกัดในส่วนที่เกี่ยวกับ bond covenant และจะส่งผลกระทบต่อกำไร เราจึงคาดว่าดีลนี้น่าจะเกิดขึ้นได้ยาก โดยในการที่จะจำกัดผลกระทบต่อกำไร สัดส่วนการลงทุนจะต้องน้อยมาก ๆ (น้อยกว่า 5%) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำไรประมาณ 2-3% (Figure 2) Valuation and Action เราแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 79.00 บาท อิงจาก PER ที่ 27.0X (ค่าเฉลี่ยในอดีตระหว่างหุ้นกลุ่มนี้ในประเทศไทยและในต่างประเทศ -0.5 S.D.) Risks • เศรษฐกิจชะลอตัว • ขยายสาขาใหม่ได้ช้ากว่าที่วางแผนเอาไว้ • Disruption จากเทคโนโลยีใหม่ • ถูกยกเลิกเครื่องหมายการค้า 7-Eleven • ความเสี่ยงด้านโลจิสติกส์

MTC คาดปี68 กำไรที่ 6,518 ลบ. มาตรการรัฐมุ่งฐานรากหนุน โบรกเคาะเป้า 55 บาท

MTC คาดปี68 กำไรที่ 6,518 ลบ. มาตรการรัฐมุ่งฐานรากหนุน โบรกเคาะเป้า 55 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุ Muangthai Capital (MTC) ราคาหุ้นปรับลงจน Upside กลับมาน่าสนใจ คาดกำไรสุทธิ 4Q24 ยังทำ ATH แม้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น. เราคาด MTC จะมีกำไรสุทธิ 4Q24 จำนวน 1,530 ลบ. โต 13.3% YoY และ 2.6% QoQ ทำสถิติสูงสุดใหม่รายไตรมาส โดยมีปัจจัยหนุนหลักจาก 1. รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิคาดโต 1.6% QoQ สอดรับกับพอร์ตสินเชื่อรวมที่เร่งตัวขึ้นราว 4.8% QoQ เพราะเป็นช่วงที่ความต้องการใช้เงินเพิ่มสูงขึ้น และธนาคารเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ 2. รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยคาดโต 8.9% QoQ หนุนจากค่าธรรมเนียมติดตามหนี้และค่าธรรมเนียมนายหน้าขายประกันที่เพิ่มขึ้นตามขนาดของพอร์ต 3. คาดการตั้งสำรองลดลง 2.6% QoQ เนื่องจากมีแรงหนุนจากมาตรการเงิน 10,000 บาท ที่จ่ายให้กับกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านรายตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ย. 2024 ทำให้ความสามารถในการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้สูงขึ้น และทำให้บริษัทควบคุมการไหลตกชั้นของลูกหนี้ได้ดีขึ้น ทั้งนี้ ปัจจัยบวกต่างๆ บางส่วนคาดจะถูกหักล้างด้วยผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินที่คาดจะเร่งตัวขึ้นราว 20 bps เป็น 4.6% จาก 4.4% ใน 3Q24 หลังมีดอกเบี้ยจ่ายของ Dollar Bond เข้ามาเต็มไตรมาสเป็นไตรมาสแรก ปี 2025 คาดการตั้งสำรองจะผ่อนคลายลง ตามคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น หากเป็นไปตามคาด MTC จะมีกำไรสุทธิทั้งปี 2024 จำนวน 5,855 ลบ. โต 19.3% YoY ส่วนปี 2025 เราคาดจะมีกำไรสุทธิ 6,518 ลบ. โต 11.3% YoY หนุนจากการขยายตัวของสินเชื่อรวมราว 10-15% YoY ตามเป้าหมายของผู้บริหาร และคาดว่าคุณภาพสินทรัพย์โดยรวมจะมีพัฒนาการเชิงบวกต่อเนื่อง จากผลของมาตรการเงิน 10,000 บาท เฟส 2 และเฟส 3 ที่จะทยอยเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้คึกคักมากขึ้น ทั้งนี้ MTC จะมีปัจจัยลบเฉพาะตัวจากต้นทุนทางการเงินที่ขยับขึ้นจากการออก Dollar Bond ในช่วงปลายปี 2024 เพื่อลดความเสี่ยงจากการหาแหล่งเงินทุนในระยะยาว กลับมาแนะนำ “ซื้อ” หลังราคาหุ้นปรับฐานลงมา แม้เราประเมินว่าการเติบโตของ MTC จะมีปัจจัยกดดันจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น แต่ด้วยภาพของอุตสาหกรรมที่ผ่อนคลายลง ทั้งจากผลบวกของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นไปที่กลุ่มฐานรากของประเทศมากขึ้น คาดทำให้คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมของสินเชื่อจำนำทะเบียนปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ นอกจากนี้ ราคาหุ้น MTC ปรับตัวลงจนกลับมามี Upside น่าสนใจสำหรับการลงทุนที่ 26.4% เมื่อเทียบกับมูลค่าพื้นฐานปี 2025 ที่ 55 บาท เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “TRADING” เป็น “ซื้อ”

SISB ตั้งเป้าเพิ่มนักเรียนแตะ 5.4 พันคน ขยายฐานรังสิตทำเงิน

SISB ตั้งเป้าเพิ่มนักเรียนแตะ 5.4 พันคน ขยายฐานรังสิตทำเงิน

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุถึง SISB ว่า คาด 4Q ทำนิวไฮ แนวโน้ม 4Q24F คาดกำไรสุทธิราว 240-250 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องทั้ง QoQ //YoY และอาจทำนิวไฮ จากผลของการปรับค่าเทอมที่เพิ่มขึ้นเต็มไตรมาส และจำนวนนักเรียนที่ใกล้เคียงเป้า 4,600 คน ประกอบกับการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ และผลของ Economies of scale หนุนให้ EBITDA margin ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 48.0-48.5% ส่วนภาพทั้งปี ประมาณการจาก Bloomberg เท่ากับ 890 ล้าน บาท +33%YoY (ประกาศงบ 4Q วันที่ 20 ก.พ.) ผู้บริหารมีแผนเพิ่มจำนวนนักเรียนในปี 25-26F เท่ากับ 5,000 คน และ 5,400 คนตามลำดับ และ เป้าหมายรายได้ในปี 26F แตะระดับ 3.1 พันล้านบาท สำหรับปี 25F มีแผนปรับขึ้นค่าเทอม 3% และพยายามคงสัดส่วนต้นทุนคงที่ราว 46% ของรายได้ รวมถึงขยายสาขาโรงเรียนใหม่แห่งที่7 (รังสิต) คาดเปิดทำการ 4Q26F โดยเจาะกลุ่มตลาด Mid to high ราคาที่ปรับตัวลงราว 17% ในเดือนม.ค. ได้สะท้อนปัจจัยลบการปรับขึ้นค่าเทอมในปี 25 ที่น้อยกว่าปี 24 รวมถึงความกังวลจำนวนนักเรียนไม่เป็นไปตามเป้าหมายบริษัท โดยเฉพาะนักเรียนจากจีน แต่ฝ่ายวิเคราะห์ ประเมินว่าตลาดได้ซึมซับข่าวลบไปพอสมควรแล้ว           แนวรับ 25.00/24.30 ไม่ควรต่ำกว่าลงมา แนวต้าน 26.50/28.25

SAWAD คาดกำไรโต 12.1%  โบรกเคาะซื้อ เป้า 50 บาท

SAWAD คาดกำไรโต 12.1% โบรกเคาะซื้อ เป้า 50 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุ Srisawad Corporation (SAWAD) ปัจจัยลบจบไปแล้ว...กำไรจะเริ่มปรับตัวขึ้น คาดกำไรสุทธิ 4Q24 โต 11.4% YoY และ 8.6% QoQ หลังค่าใช้จ่ายลดลง  เราคาด SAWAD จะมีกำไรสุทธิ 4Q24 จำนวน 1,412 ลบ. โต 11.4% YoY และ 8.6% QoQ หนุนจาก 1. สินเชื่อรวมคาดกลับมาโต 3% QoQ จากที่ปรับลดลงใน 3Q24 ซึ่งบริษัทมีการควบคุมการปล่อยสินเชื่อใหม่เพื่อกันกระแสเงินสดเพื่อชำระคืนหุ้นกู้ ขณะที่ 4Q24 บริษัทกลับมามีสภาพคล่องสูงขึ้น จึงเริ่มกลับมาขยายสินเชื่อตามปกติ 2. NIM คาดปรับขึ้นเล็กน้อยเป็น 14.7% จาก 14.6% ใน 3Q24 จากผลของ Asset Yield ที่ปรับตัวดีขึ้นตามการเร่งขยายสินเชื่อใหม่ และยังควบคุมต้นทุนทางการเงินได้ดี 3. คาดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 2.9% QoQ หลังผลขาดทุนจากการขายรถยึดของ SCAP และ SAWAD ปรับตัวลง จากทั้งปริมาณขายที่น้อยลง และราคารถมือสองที่ฟื้นตัว 4. คาดว่าการตั้งสำรองปรับตัวลง 8.9% QoQ คิดเป็น Credit Cost ที่ 1.8% ลดลงจาก 1.9% ใน 3Q24 หนุนจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่ดีขึ้น รับอานิสงส์บวกจากเม็ดเงิน 10,000 บาท ที่รัฐฯ อัดฉีดให้กับกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคนตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ย. 2024 ปี 2025 คาดค่าใช้จ่ายลดลงต่อ ทั้งดอกเบี้ยจ่าย, ขาดทุนรถยึด และการตั้งสำรอง หากเป็นไปตามคาด SAWAD จะมีกำไรสุทธิปี 2024 จำนวน 5,239 ลบ. โต 4.8% YoY ต่ำกว่าประมาณการเดิมของเรา 3.3% ส่วนแนวโน้มปี 2025 เราคาดว่ากำไรสุทธิของ SAWAD จะโต 12.1% YoY หลังแก้ปัญหาเกี่ยวกับผลขาดทุนจากการขายรถยึดทั้งในส่วนของรถจักรยานยนต์ของ SCAP และรถยนต์ของ SAWAD ไปแล้ว ประกอบกับล่าสุด SAWAD ได้รับการจัด Credit Rating จาก Fitch ที่ระดับ A- (Rating ภายในประเทศ) เทียบเท่ากับ MTC ที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำกว่า ประกอบกับมีผลบวกจากแนวโน้มที่ กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งใน 1H25 ทำให้มีแนวโน้มที่การ Rollover หุ้นกู้ของ SAWAD ในปี 2025 จะมีอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่ต่ำลง และทำให้ NIM ของบริษัทกลับมาขยายตัว นอกจากนี้ คาดว่าการตั้งสำรองจะทยอยปรับตัวลง โดยเราคาดว่า Credit Cost ของ SAWAD จะลดลงต่อเนื่อง สอดรับกับคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแรงขึ้นให้เป็น Top Pick กลุ่มไฟแนนซ์ คงคำแนะนำ “ซื้อ”   เรามองว่า SAWAD เป็นหุ้นไฟแนนซ์ที่มีพัฒนาการที่ดีขึ้น หลังปัจจัยกดดันต่างๆ คลี่คลายลง ประกอบกับได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ทั้งมาตรการแจกเงิน 10,000 บาทเฟส 2 และเฟส 3 รวมถึงการปรับลดดอกเบี้ยของ กนง. ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายใน 1H25 เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 35.1% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2025 ที่ 50 บาท

ราคาเนื้อสัตว์ฟื้น KSS ชู CPF หุ้น Top Pick เคาะเป้า 27.40 บ.

ราคาเนื้อสัตว์ฟื้น KSS ชู CPF หุ้น Top Pick เคาะเป้า 27.40 บ.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำตาลเพิ่มขึ้น +5% w-w จากค่าเงินเรียลบราซิลแข็งค่าขึ้นที่สุดในรอบหนึ่งเดือนครึ่ง ส่งผลให้การส่งออกของผู้ผลิตน้ำตาลบราซิลลดลง อุปทานในตลาดน้อยลง ประกอบกับ Czarnikow (ซีซาร์นิโคว) ปรับลดประมาณการผลผลิตน้ำตาลของไทยในปี 2024/25 ลง -7% เหลือ 10.8 ล้านตัน ราคายางพาราเพิ่มขึ้น +1.1% w-w จากความกังวลด้านอุปทานจากสภาพอากาศที่ทำให้ยางผลัดใบเร็วน้ำยางน้อยลง ราคาน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น +1.1% w-w จากคาดการณ์ว่าอุปทานจะลดลงในช่วงรอมฎอน (28 ก.พ. - 29 มี.ค. 25) ส่วนราคาถั่วเหลืองลดลง -1.4% w-w จากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอุปทานที่เพิ่มขึ้น หลังอาร์เจนตินามีการปรับลดภาษีการส่งออกธัญพืชจาก 33% เหลือ 26% โดยมาตรการนี้จะมีผลไปจนถึง มิ.ย. 2025 ในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ราคาไก่ทรงตัว w-w อยู่ที่ 41.50 บาท (ต้นทุน 36-37 บาท) คาดว่าผู้บริโภคมีสต๊อกเพียงพอ ราคาสุกรไทยเพิ่มขึ้น +0.3% w-w ที่ 78.50 บาท (ต้นทุน 66-67 บาท) ราคาสุกรจีนเพิ่มขึ้น +3.5% w-w ที่ 15.90 หยวน หรือ 74.76 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 15 หยวน) ราคาสุกรเวียดนามเพิ่มขึ้น +0.3% w-w ที่ 67,500 ดอง หรือ 90.94 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 43,000 ดอง) คาดว่ามาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ตรุษจีน ฝ่ายวิเคราะห์ให้น้ำหนักกลุ่มฯ "NEUTRAL" และยังคงเลือก CPF (TP 25F 27.40) เป็น Top Pick เพราะราคาเนื้อสัตว์มีแนวโน้มฟื้นตัว ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ยังอยู่ในระดับต่ำ

TIDLOR คาดปีนี้กำไรโต 8.7% รายได้ค่าธรรมเนียมหนุน โบรกเคาะ 22 บาท

TIDLOR คาดปีนี้กำไรโต 8.7% รายได้ค่าธรรมเนียมหนุน โบรกเคาะ 22 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุ Ngern Tid Lor (TIDLOR) กำไรสุทธิ 4Q24 ขยายตัวดี มีโบนัสการขายประกันเพิ่มขึ้น รายได้ดอกเบี้ยขยายตัวต่อ แต่สำรองยังกดดัน เราคาด TIDLOR จะมีกำไรสุทธิ 4Q24 จำนวน 1,065 ลบ. โต 20.6% YoY และ 7.5% QoQ แม้เป็นช่วงที่คาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงขึ้น จากการตั้งค่าใช้จ่ายเพื่อพัฒนาระบบเทคโนโลยี ค่าใช้จ่ายสาขาที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายทางการตลาด แต่คาดว่าปัจจัยลบดังกล่าวจะถูกชดเชยด้วย 1. รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิคาดโต 1.8% QoQ หนุนจากสินเชื่อรวมที่คาดยังโตในระดับ 1.9% QoQ แม้บริษัทเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อมากขึ้น เพื่อควบคุมความเสี่ยง ส่วน NIM คาดปรับขึ้นเล็กน้อยเป็น 16.1% จาก 16% ใน 3Q24 หลังรับรู้ผลจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถและสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองขึ้น 2 ครั้งนับตั้งแต่ 4Q23 ขณะที่ต้นทุนทางการเงินยังควบคุมได้ดี 2. คาดว่ารายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยโต 14.8% QoQ เพราะมีรายได้ค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกิจนายหน้าประกันเพิ่มเข้ามา ซึ่งปกติจะมีโบนัสสำหรับการขายเพิ่มเข้ามาในช่วงปลายปีด้วย 3. คาดว่าการตั้งสำรองลดลง 8.6% QoQ สะท้อนเป็น Credit Cost ที่ 3.5% ลดลงจาก 3.9% ใน 3Q24 หลังได้อานิสงส์บวกจากมาตรการเงิน 10,000 บาทที่รัฐฯ จ่ายให้กับกลุ่มเปราะบางในช่วงปลายเดือน ก.ย. 2024 และเป็นผลจากการคัดกรองลูกหนี้ที่เข้มงวดขึ้น           ปี 2025 คาดว่าการตั้งสำรองผ่อนคลายลง และรายได้ค่าธรรมเนียมโตดีขึ้น           เราปรับลดประมาณการกำไรของ TIDLOR ในปี 2024/25 ลง 2.5%/7.8% ตามลำดับ เพื่อรองรับความเสี่ยงจากพอร์ตเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองที่อาจได้รับผลกระทบทางลบจากแนวโน้มราคารถบรรทุกมือสองที่ปรับลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลขาดทุนจากการขายรถยึดจากธุรกิจดังกล่าวคาดว่ายังทรงตัวสูง ส่วนพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ยังแข็งแรง ลูกหนี้มีความสามารถชำระหนี้ดีขึ้นเรื่อยๆ และใน 1Q25 คาดว่าได้แรงหนุนจากมาตรการอัดฉีดเงิน 10,000 บาทให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ (เฟส 2) ทำให้คาดว่าการตั้งสำรองโดยรวมของ TIDLOR จะปรับลงในปี 2025 ขณะที่ NIM มองว่าเพิ่มขึ้นต่อเล็กน้อยจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ในปี 2024 โดยภายใต้ประมาณการใหม่ เราคาดว่า TIDLOR จะมีกำไรสุทธิปี 2024 จำนวน 4,251 ลบ. โต 12.2% YoY และโตต่อ 8.7% YoY ในปี 2025 แนวโน้มธุรกิจยังขยายตัวได้ต่อ ราคาหุ้นไม่แพง คงคำแนะนำ “ซื้อ” เรามองพื้นฐานของ TIDLOR ยังแข็งแรง แม้มีแรงกดดันจากพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองที่ยังไม่ฟื้นตัว แต่คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมคาดว่าไม่น่ากังวล ขณะที่ประเด็นการปรับโครงสร้างธุรกิจ ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมส่ง Filing ใหม่ให้กับ กลต. และคาดว่าจะเริ่มกระบวนการ Tender Offer หุ้น TIDLOR เดิมได้ภายใน 2Q25 และหลังจากนั้นบริษัทจะเร่งพัฒนาธุรกิจใน CLMV และธุรกิจนายหน้าประกันบน Digital Platform มากขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 32.6% จากมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2025 ที่ 22 บาท เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

ADVANC หุ้น Defensive ไตรมาส4/67 โตต่อ  ปี 2567 คาดกำไรที่ 3.43 หมื่นล้านบาท

ADVANC หุ้น Defensive ไตรมาส4/67 โตต่อ ปี 2567 คาดกำไรที่ 3.43 หมื่นล้านบาท

          หุ้นวิชั่น - ADVANC: มองเป็นหุ้น Defensive ซึ่งกําไรเติบโตได้ต่อเนื่อง 4Q67 คาดกําไรปกติ 8.7 พัน ลบ. เติบโต 23%YoY และ 3%QoQ หนุนจากรายได้การให้บริการหลักที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและการควบคุมต้นทุนที่ดี ส่งผลให้ปี 2567 คาดกําไรปกติ 3.43 หมื่นลบ. เติบโต 20%YoY (สูงกว่าประมาณการของเราอยู่ 8.5%) และประมาณการกําไรปี 2568 ของเราอาจมี Upside ที่มา : บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด

ทรัมป์เปิดฉากเก็บภาษีนำเข้า หนุนการย้ายฐานผลิต หุ้นไหนเด็ด เช็ก!

ทรัมป์เปิดฉากเก็บภาษีนำเข้า หนุนการย้ายฐานผลิต หุ้นไหนเด็ด เช็ก!

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025 และจากจีนในอัตรา 10% ขณะเดียวกัน จีนประกาศจะขึ้นภาษีตอบโต้ในอัตรา 10% และเตรียมฟ้องร้องต่อองค์การการค้าระหว่างประเทศ (WTO) ทันที ส่วนแคนาดาและเม็กซิโกก็ประกาศที่จะตอบโต้โดยการเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯในอัตราเดียวกันทันที สำหรับยอดการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน สรุปได้ดังนี้ แคนาดา เม็กซิโก และจีน ส่งออกไปสหรัฐฯ ประมาณ 75%, 80%, และ 15% ของยอดส่งออกรวมตามลำดับสินค้าหลักที่แคนาดาส่งออกไปสหรัฐฯ ได้แก่ สินค้าพลังงาน, ยานยนต์, และเครื่องจักร สินค้าหลักที่เม็กซิโกส่งออกไปสหรัฐฯ ได้แก่ ยานยนต์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, และเครื่องจักร นอกจากนี้ แคนาดาและเม็กซิโกส่งออก PET ราว 220,000 ตันต่อปี (ประมาณ 4-5% ของการบริโภคในสหรัฐฯ)ส่วนสินค้าหลักที่จีนส่งออกไปสหรัฐฯ ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ของเล่น, เสื้อผ้า, และเฟอร์นิเจอร์ สหรัฐฯ ส่งออกไปแคนาดา เม็กซิโก และจีน ราว 18%, 16%, และ 8% ของยอดส่งออกรวมตามลำดับ สินค้าหลักที่สหรัฐฯ ส่งออกไปแคนาดา ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน, เครื่องจักร, และพลังงาน สินค้าหลักที่ส่งออกไปเม็กซิโก ได้แก่ เครื่องจักร, ยานยนต์และชิ้นส่วน, และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าหลักที่ส่งออกไปจีน ได้แก่ สินค้าเกษตร (เช่น ถั่วเหลืองและเนื้อสัตว์), เครื่องจักร และอุปกรณ์อุตสาหกรรมสำหรับไทย การส่งออกไปแคนาดาและเม็กซิโกอยู่ที่ประมาณ 2% ของยอดส่งออก ขณะที่ส่งออกไปจีน 14% และสหรัฐฯ 12% การกลับมาของสงครามการค้าครั้งนี้อาจสร้างความวิตกกังวลในตลาด เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงเงินเฟ้อจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น และกระทบเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรการค่อยเป็นค่อยไปของทรัมป์ แม้จะอาจสร้างแรงกดดันให้ Bond Yield ปรับตัวขึ้นบ้าง แต่ไม่น่าจะสูงเกินกว่า 4.8-4.9% ซึ่งเป็นระดับที่ตลาดกังวล คาดว่าทรัมป์จะใช้นโยบายที่เน้นการเลือกเป้าหมายประเทศที่มีดุลการค้าสูงจากสหรัฐฯ เช่น ยุโรปและเวียดนาม รวมทั้งกลุ่มสินค้าหลักที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการกีดกันในระลอกแรก อาจเน้นที่สินค้าภาคผลิต เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ในส่วนของผลกระทบทางเศรษฐกิจ Krungsri Research ประเมินว่า ในกรณีที่สหรัฐฯ ปรับเพิ่มภาษีทางฝั่งเดียว คาดว่าจะกระทบ GDP ของสหรัฐฯ และจีน ลดลง -0.34% และ -0.08% ตามลำดับ ซึ่งหากมีการตอบโต้ จะเสี่ยงต่อการกระทบเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าจะมีผลบวกต่อ GDP ไทยเพิ่มขึ้น +0.05% (หากไทยไม่ปรับเพิ่มภาษี) โดยเราประเมินว่าไทยมีโอกาสได้รับยอดส่งออกทดแทนจากการทำสงครามการค้าในกลุ่มประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น เม็กซิโก และสหรัฐฯ เช่น ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ และปิโตรเคมี ยกเว้นชิ้นส่วนที่อาจได้รับผลกระทบจากการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตระหว่างประเทศหลักๆ ที่มีความสัมพันธ์สูงกับจีนและสหรัฐฯ เราประเมินว่าความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ มีโอกาสจะทำให้เกิดความกังวลเช่นเดียวกับรอบ Trump 1.0 โดยประเทศที่มีความเสี่ยงสูงจะอยู่ในฝั่งเอเชียเหนือ เช่น ไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลีใต้ ที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดมีรายได้เชื่อมโยงกับสหรัฐฯ และจีนสูง ขณะที่ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจำกัด เช่นเดียวกับหลายประเทศในอาเซียน เนื่องจากยอดรายได้ของบริษัทในดัชนี MSCI จากสหรัฐฯ และจีนต่ำกว่า 5% สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม คาดว่าจะเกิดจากการลดลงของปริมาณการค้าโลก แต่จะได้รับการชดเชยจากยอดการลงทุนทางตรงที่เพิ่มขึ้นจากการย้ายฐานการผลิตมาสู่ไทย เนื่องจากไทยมีความเป็นกลางโดยรวม เราประเมินว่าในระลอกแรกของสงครามการค้า Trump 2.0 จะทำให้ SET ผันผวนในระยะสั้นจากการที่ Bond Yield แกว่งขึ้น ก่อนที่จะฟื้นตัวจากผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่เป็นกลางหรือบวกเล็กน้อยต่อไทย ในส่วนของสินค้าที่น่าจะได้รับผลบวก คาดว่าจะเห็นจิตวิทยาบวกในกลุ่มยานยนต์ ส่วนเคมีภัณฑ์และปิโตรเคมีจะเป็นบวกต่อ IVL ขณะที่การย้ายฐานการผลิตที่อาจเกิดขึ้นจะหนุนหุ้นนิคมอุตสาหกรรม เช่น WHA และ AMATA

PTTEP คาดกำไรสูง มีปันผล 5.125 บาท แหล่งผลิตใหม่หนุน เคาะเป้า 140.0 บาท

PTTEP คาดกำไรสูง มีปันผล 5.125 บาท แหล่งผลิตใหม่หนุน เคาะเป้า 140.0 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. กรุงศรี คงคำแนะนำ Trading Buy ต่อ PTTEP ที่ TP25F = 140.0 บาท กลยุทธ์ของผู้บริหารสร้างความมั่นคงของกระแสเงินสดได้ในสภาวะที่ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์สูง ทั้งการหาแหล่งผลิตใหม่เข้ามาหนุนการเติบโตของปริมาณขายต่อเนื่องในระยะยาว +3% CAGR 2025-29F และอยู่ในภูมิภาคที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า ระยะสั้นมีปัจจัยบวกหนุนจาก div. yield ราว 4% และแนวโน้มราคาน้ำมันดิบฟื้นตัว h-h ใน 1H25F ประเด็นจากที่ประชุมนักวิเคราะห์ • ระยะยาวมีโอกาสหาแหล่งทรัพยากรหนุนปริมาณขายได้ต่อเนื่อง i) แหล่งในอ่าวไทยมุ่งรักษาระดับการผลิตทั้งแหล่งเอราวัณ บงกช และอาทิตย์ มองยังมีโอกาสสำรวจพบแหล่งทรัพยากรเพิ่มหากเทคโนโลยีขุดเจาะแนวลึกเอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น ii) แหล่งยานาดามีโอกาสสูงที่จะต่อสัมปทานได้หลังสิ้นอายุปี 2028 iii) แหล่ง Malaysia Greenfield (SK405B/ 417/ 410B) ตั้งเป้า FID ปี 2025 และเริ่มผลิต 2028 iv) Abu Dhabi Offshore 2 (Waset) ตั้งเป้า FID 2025 เริ่มผลิต 2027 v) Mozambique คงมุมมองเริ่มผลิต 4Q28-1H29 (ดู fig 1) ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการอนุมัติเงินกู้ • ผู้บริหารมองยังลดต้นทุนการผลิตแหล่งในอ่าวไทยได้ อาศัยการลดค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ทั้งการใช้วัสดุร่วมกันระหว่างแหล่งผลิต, การย้ายศูนย์ควบคุม และลดการสร้าง Well Head Platform/WHP (ใช้ WHP บางส่วนจากแท่นเดิม) เป็นต้น • แหล่ง Lang Lebah ในมาเลเซียอยู่ระหว่างประเมินใหม่ คาดคืบหน้าภายใน 1H25 โดยผู้บริหารคาดหวังการปรับแผนใหม่จะส่งให้ต้นทุนในการพัฒนาหลุมผลิตลดลง และสร้างผลตอบแทนได้สูงขึ้น • ตั้งเป้าปริมาณขาย 2025 ที่ 500-510 KBOED (+2-4% y-y)หนุนจากแหล่งในประเทศและตะวันออกกลาง แหล่งเอราวัณผลิตเต็มที่เต็มปี และช่วงปลายปีได้แหล่ง Ghasha มาหนุน มองราคาขายก๊าซฯ อยู่ในระดับสูง 5.8 $/mmbtu เทียบกับ 2024 ราว 5.9 $/mmbtu (อิงน้ำมันดิบดูไบ 75-80 $/bbl) จากประโยชน์ของการทยอยปรับราคาตามน้ำมันดิบย้อนหลัง 6-12 เดือน และคาดรักษาระดับ unit cost ได้ที่ 29-30 $BOE ความเห็นและคำแนะนำ • มอง Positive ต่อข้อมูลในที่ประชุมนักวิเคราะห์กลยุทธ์ของบริษัทเอื้อต่อการแข่งขันในสภาวะที่ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์มีความไม่แน่นอน โดยมีฐานการผลิตไม่ต่ำกว่า 70% มีราคาขายไม่ผันผวนเร็วตามตลาด และมีความต้องการใช้แน่นอน (ขายภายในประเทศ ซึ่งยังมีความต้องการนำเข้า LNG อีก 30%) ทำให้ในสภาวะที่ demand โลกมีความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ (ขา downside) บริษัทจะมีความเสี่ยงน้อยกว่า รวมถึงกระจายการเติบโตไปในภูมิภาคที่มีโอกาสด้านแหล่งทรัพยากร/มีความต้องการใช้ภายในประเทศ อย่างมาเลเซียและตะวันออกกลาง หนุนโอกาสหาแหล่งใหม่หนุนการผลิตในระยะยาว • คงคำแนะนำ Trading Buy ที่ TP25F = 140.0 บาท เป็นตัวเลือกเก็งกำไรราคาน้ำมันดิบที่คาดฟื้นตัว h-h ใน 1H25F จาก supply ที่ตึงตัวขึ้น เพราะการใช้น้ำมันจีนฟื้นตัว, การคว่ำบาตรพลังงานรัสเซียฯ และ supply ของ U.S. และ OPEC+ เพิ่มไม่เร็ว รวมถึงมีปัจจัยหนุนจาก dividend yield ที่อยู่ในระดับสูง ปันผล 5.125 บาท/หุ้น คิดเป็น yield 4% ขึ้น XD 25 ก.พ. 2025 และกำไรที่คาดทรงตัวอยู่ในระดับสูงช่วง 4Q24-2Q25F

EGCO ปลื้ม! Yunlin จ่ายไฟเข้าระบบครบ 640 MW รับรู้รายได้เต็มปี 2568

EGCO ปลื้ม! Yunlin จ่ายไฟเข้าระบบครบ 640 MW รับรู้รายได้เต็มปี 2568

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ประกาศความสำเร็จ Yunlin ในไต้หวัน สามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบครบ 80 ต้น กำลังผลิตรวม 640 เมกะวัตต์ เรียบร้อยแล้ว จากความสำเร็จดังกล่าวทำให้ Yunlin เป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน และจะทำให้ EGCO Group รับรู้รายได้จาก Yunlin เต็มปี 2568 เป็นปีแรก อีกทั้งสามารถจ่ายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้กับครัวเรือนไต้หวันได้มากกว่า 600,000 หลังคาเรือน ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 1.2 ล้านตันต่อปี นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างรายได้และเสริมความแข็งแกร่งของกระแสเงินสดให้ EGCO Group อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ “Triple P” ของ EGCO Group ที่มุ่งสร้างการเติบโตของรายได้อย่างยั่งยืน ควบคู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ            ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group เปิดเผยว่า “Yunlin ประสบความสำเร็จในการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบครบ 640 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นผลมาจากความร่วมมือระหว่าง EGCO Group และพันธมิตร รวมถึงธนาคารผู้ให้กู้ทุกราย ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ตลอดจนรัฐบาลไต้หวันที่เป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จครั้งนี้ ผลสำเร็จดังกล่าวไม่เพียงช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด (Energy Transition) ในไต้หวัน แต่ยังช่วยสนับสนุนให้ EGCO Group บรรลุเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ภายในปี 2030 ตามกลยุทธ์ “Triple P” ที่มุ่งตอบโจทย์การเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ด้วยการสร้างความสมดุลระหว่างโอกาสทางธุรกิจ ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง และการเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ”            EGCO Group ถือหุ้น 26.56% ใน Yunlin ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งแห่งแรกของ EGCO Group และช่วยเพิ่มกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนตามสัดส่วนการถือหุ้นให้ EGCO Group ประมาณ 170 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ คาดว่า Yunlin จะสร้างกระแสเงินสดให้ EGCO Group เฉลี่ย 2,000 ล้านบาทต่อปี ในช่วง 5 ปีแรกของการดำเนินโครงการเต็มรูปแบบ ยืนยันศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต            Yunlin ถือเป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน ด้วยศักยภาพการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด 2,400 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) ต่อปี ซึ่งสามารถจ่ายไฟฟ้าให้กับภาคครัวเรือนไต้หวันมากกว่า 600,000 หลังคาเรือน คิดเป็น 90% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือนทั้งหมดของมณฑลหยุนหลิน และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 1.2 ล้านตันต่อปี           โรงไฟฟ้า Yunlin ประกอบด้วยกังหันลม 80 ต้น กำลังผลิตต้นละ 8 เมกะวัตต์ กำลังผลิตรวม 640 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบไต้หวัน และห่างจากชายฝั่งตะวันตกของมณฑลหยุนหลินในไต้หวันเป็นระยะทางประมาณ 8 - 17 กิโลเมตร ที่ระดับความลึกของน้ำทะเลในช่วง 7 – 35 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 82 ตารางกิโลเมตร โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว 20 ปี กับ Taipower (Taiwan Power Company)

BEM คาด Q4 กำไร 864 ล้าน พื้นฐานแกร่งเป้า 11.40 บาท

BEM คาด Q4 กำไร 864 ล้าน พื้นฐานแกร่งเป้า 11.40 บาท

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 11.40 บาท อิง SOTP เราประเมินกำไรสุทธิ 4Q24E ที่ 864 ล้านบาท (+1% YoY, -19% QoQ) ใกล้เคียงกรอบที่เราคาด กำไรสุทธิปรับตัวขึ้น YoY หนุนโดยผู้โดยสารรถไฟฟ้าทำสถิติสูงสุดใหม่รายไตรมาสที่ 4.5 แสนเที่ยว/วัน (+7% YoY, +2% QoQ) แต่ถูกชดเชยบางส่วนจากต้นทุนและค่าใช้จ่ายสูงขึ้น หลังใน 4Q23 มีการเลื่อนค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงทางด่วนบางส่วน ขณะที่กำไรสุทธิชะลอ QoQ โดยหลักเนื่องจากฐานสูงใน 3Q24 ที่มีรายได้เงินปันผลจาก TTW ราว 221 ล้านบาท คงกำไรสุทธิปี 2024E/25E ที่ 3.7 พันล้านบาท/4 พันล้านบาท (+8% YoY/+6% YoY) ทั้งนี้หากกำไร 4Q24E เป็นไปตามที่เราประเมิน จะส่งผลให้กำไรปี 2024E อยู่ที่ 3.8 พันล้านบาท (+9% YoY) สูงกว่าเราคาดเล็กน้อย +1% สำหรับ 1Q25E เบื้องต้นประเมินกำไรสุทธิจะดีต่อเนื่อง YoY ตามการขยายตัวของผู้โดยสารรถไฟฟ้า แต่มีโอกาสทรงตัว QoQ หลังเริ่มเข้าสู่ปิดเทอม ขณะที่มาตรการรถไฟฟ้าฟรี 7 วัน เรามองว่ากระทบจำกัด เนื่องจากเป็นมาตรการระยะสั้น และมีโอกาสที่รัฐจะไม่ชดเชยปริมาณผู้โดยสารส่วนเพิ่มราคาหุ้นปรับตัวลง แต่ in line กับ SET ใน 1-3 เดือน ทั้งนี้คงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยมองว่าราคาหุ้นปัจจุบันยังไม่สะท้อนทิศทางกำไรปกติปี 2024E-25E ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง นอกจากนี้มี catalyst จากโครงการ Double Deck ที่จะได้ข้อสรุปใน 1H25E และการเริ่มเจรจาสัญญาเดินรถสายสีม่วงใต้ในปี 2025E

PJW ต่อจิ๊กซอว์ ธุรกิจ New S-curve ปั้นพอร์ตรายได้เพิ่ม 25%

PJW ต่อจิ๊กซอว์ ธุรกิจ New S-curve ปั้นพอร์ตรายได้เพิ่ม 25%

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ - บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก หรือ PJW เดินเกมรุก ปั้นธุรกิจ New S-curve อาทิ งานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม และวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ ประกาศตอกย้ำรายได้เพิ่ม 25% พร้อมหนุนอัตรากำไรขั้นต้นเติบโตกว่า 20% เพิ่มเป็น 20-23% จาก 18% ในรอบ 9 เดือนปี 2567 และ 20%      ในปี 2566 พร้อมวางเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่เพิ่มเป็น 1 ใน 3 ของพอร์ต           นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ มองหาธุรกิจที่เป็น New S-curve ใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ทำให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มีธุรกิจ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มบรรจุภัณฑ์ 2. กลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ และ 3. กลุ่มธุรกิจ Healthcare   และด้วยธุรกิจ New S-curve ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ ประเมินภาพรวม การดำเนินงานในปี 2568 มีทิศทางเติบโตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ คาดการอัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 20% จาก 18% เป็น 20-23% เป็นผลมาจากกลุ่มธุรกิจใหม่ (New S-curve) อย่างกลุ่มธุรกิจ Healthcare  ประกอบด้วย 2 กลุ่มธุรกิจที่บริษัทฯ ได้มีการลงทุนในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ 1. กลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม และ2. กลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์   โดยทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจดังกล่าว เริ่มสร้างรายได้ให้บริษัทฯ ผลักดันผลการดำเนินงานในปี 2568 เติบโตแบบก้าวกระโดด และคาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2569  ส่งผลให้ในอนาคตสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูง มีอัตราการเติบโตสูง มีความสม่ำเสมอและมีความมั่นคงของรายได้ ซึ่งจะผลักดันให้ภาพรวมของอัตรากำไรของ  บริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้นและรายได้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ในปี 2568 นี้ PJW จะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Healthcare อยู่ที่ระดับ 20-25% และในปี 2569 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของรายได้รวม เนื่องจาก บริษัทฯ จะมีรายได้จากการจำหน่ายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ เช่น Oxygen Humidifier, สายยางสำหรับผู้ป่วยฟอกไตและถุงน้ำยาล้างไตผ่านหน้าท้อง เป็นต้น            กลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักมาจากโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, โรงพยาบาลพระราม 9, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (BNH) และโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้กว่า 20% ในปี 2568 “ในปี 2568 จะมีอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่ม Healthcare อยู่ในระดับที่สูงกว่ากลุ่มธุรกิจเดิม (กลุ่มบรรจุภัณฑ์ และกลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์) หรืออยู่ที่ระดับ 22-25% (จากอัตรากำไรขั้นต้นรวมของบริษัทฯอยู่ที่ระดับ 18-20%)” อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่บริษัทฯ ปรับ Portfolio สู่ธุรกิจใหม่ จาก New S-curve ส่งผลให้บริษัทฯ ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ เป็นประมาณ 20% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ เติบโตขึ้นจากเดิมที่ 18-20% เพิ่มเป็น 20-23% และคาดว่าจะปรับเพิ่มสูงในปีถัดๆ ไป ซึ่งเป็นผลจากสัดส่วนรายได้ของกลุ่ม Healthcare               ที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯ จะมีเสถียรภาพความมั่นคงมากขึ้น นอกจากนี้ ในปี 2569 บริษัทฯ ยังเตรียมนำสินค้ากลุ่ม Healthcare เจาะตลาดใน ASEAN มากขึ้นด้วย ส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์ ยังเป็นธุรกิจ Cash cow (ยังทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ) มีการเติบโตต่อเนื่อง  มาตลอด ส่วนกลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2568 ยังไม่แตกต่างจากปี 2567 มากนัก แต่ก็ถือว่า bottom แล้ว แต่ยอดขายจากกลุ่มยานยนต์ของ PJW จะกลับมาดีขึ้นอย่างมากในปี 2569 จะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจาก backlog ที่มีอยู่ของ new model ต่างๆ ที่จะเปิดตัวในปี 2569  โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำแม่พิมพ์เพิ่มเติมสำหรับการขายในปี 2569

PTTEPปริมาณขาย Q4 ทำสถิติ จับตา Q1 ทรงตัว-เป้า 160 บ.

PTTEPปริมาณขาย Q4 ทำสถิติ จับตา Q1 ทรงตัว-เป้า 160 บ.

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ ระบุ ว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” PTTEP ที่ราคาเป้าหมายปี 2025E ที่ 160.00 บาท อิงวิธี DCF (WACC 6.7%, TG 0%) และราคาน้ำมันดิบระยะยาวที่ USD65.0/bbl PTTEP รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 1.83 หมื่นล้านบาท (ทรงตัว YoY, +2% QoQ) สอดคล้องกับประมาณการของเราและ consensus โดยดีขึ้น QoQ ตามปริมาณขายเฉลี่ยที่สูงขึ้นแตะระดับสถิติสูงสุดใหม่จากแรงหนุนของรอบโหลดน้ำมันที่สูงขึ้นของโครงการในแอฟริกาและมาเลเซีย และต้นทุนต่อหน่วย (unit cost) ที่ต่ำลงชดเชยราคาขายเฉลี่ย (blended ASP) ที่อ่อนตัวตามราคาขายน้ำมันเฉลี่ย (liquid ASP) ที่ลดลง ทั้งนี้ เชื่อว่าผลประกอบการจะทรงตัว QoQ ใน 1Q25E ซึ่งน่าจะเห็นราคาขายเฉลี่ยก๊าซธรรมชาติ (gas ASP) ที่สูงขึ้นช่วยชดเชยปริมาณขายเฉลี่ยที่ลดลง QoQ ได้ นอกจากนี้ บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการ 2H24 ที่ 5.125 บาทต่อหุ้น สะท้อนอัตราตอบแทนที่ 4.1% โดยจะขึ้น XD ในวันที่ 25 ก.พ.2025เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ขึ้น 4% เป็น 7.15 หมื่นล้านบาท หลักๆเพื่อสะท้อนสมมติฐาน gas ASP ที่สูงขึ้นและ unit cost ที่ต่ำลง ทั้งนี้ เราเชื่อว่ากำไรจะทรงตัวสูงในปี 2026E แม้จะลดลง 12% YoY ตาม blended ASP ที่ลดลงจาก gas ASP และ liquid ASPราคาหุ้นปรับตัวลง 12% และ underperform SET 14% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สอดคล้องกับระดับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงตามความกังวลต่อภาพรวมอุปสงค์การใช้น้ำมันโลก ทั้งนี้ ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ 2025E PBV ที่น่าดึงดูดที่ 0.87x (ประมาณ -1.65SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) และอัตราตอบแทนเงินปันผลที่น่าสนใจที่ 7.5%-7.7% ในปี 2024-2025E

COCOCO บุกตลาดญี่ปุ่น!! ด้วยผลิตภัณฑ์มะพร้าวระดับพรีเมียม

COCOCO บุกตลาดญี่ปุ่น!! ด้วยผลิตภัณฑ์มะพร้าวระดับพรีเมียม

          หุ้นวิชั่น - ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ  บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) (“COCOCO”) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงได้เดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่น และสำรวจสินค้า ภายใต้แบรนด์ Thaicoco ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์มะพร้าวชั้นนำจากประเทศไทย โดยวางจำหน่ายใน Gyomu Supermarket ซูเปอร์มาร์เก็ตยอดนิยมที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศและเป็น ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำที่ได้รับความนิยมอย่างมาก การเปิดตัวใน Gyomu Supermarket ช่วยให้ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นเข้าถึงผลิตภัณฑ์มะพร้าวที่สะท้อนรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของไทยได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ใส่ใจสุขภาพ บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายตลาดในญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยสู่มาตรฐานระดับโลก โดย Gyomu Supermarket ซึ่งมีสาขาครอบคลุมทั้ง 47 จังหวัด รวมกว่า 1,000 สาขาทั่วญี่ปุ่น Gyomu Supermarket จะเป็นช่องทางสำคัญในการขยายฐานผู้บริโภค พร้อมยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลโลก และเป็นเป็นช่องทางสำคัญในการเชื่อมโยงสินค้าไทยกับผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น ถือเป็นก้าวสำคัญของ COCOCO ในการนำเสนอคุณค่าของมะพร้าวไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาและขยายตลาดสู่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกต่อไป โดย COCOCO ยังคงมุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงและพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะผลักดันสินค้าไทยให้โดดเด่นบนเวทีโลก

ดีมานด์ไฟฟ้าพุ่งเอกชนโต15%  ชีวมวล-โซลาร์ยังครองตลาด

ดีมานด์ไฟฟ้าพุ่งเอกชนโต15% ชีวมวล-โซลาร์ยังครองตลาด

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch)ระบุถึงในปี 2568 ความต้องการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน โดยปริมาณไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ขายให้ภาครัฐคาดว่าจะอยู่ที่ 23,555 GWh และภาคเอกชนคาดว่าจะอยู่ที่ 4,177 GWh เพิ่มขึ้น 2% และ 15% ตามลำดับไฟฟ้าชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงเป็นไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนหลักที่จำหน่าย โดยในปี 2568 คิดเป็นสัดส่วนรวมกันราว 78% ของการจำหน่ายให้ภาครัฐ และ 96% ของการจำหน่ายให้ภาคเอกชน           รายได้จากการขายไฟฟ้าชีวมวลมีแนวโน้มเติบโตตามความต้องการของภาครัฐและเอกชน ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.9% และ 6.5% ตามลำดับ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นก็มีแนวโน้มขยายตัวจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง ตามปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสำหรับไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ รายได้ต่อหน่วยจากการขายไฟให้ภาครัฐจะขึ้นอยู่กับราคารับซื้อที่ภาครัฐกำหนด ณ ปีที่เริ่มทำสัญญาซื้อขาย ซึ่งมีการปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นสำหรับโครงการที่จะเริ่มดำเนินการซื้อขายในปี 2568 คาดว่าจะยังคงอยู่ที่ราว 30% ในขณะที่ตลาดภาคเอกชน รายได้มีแนวโน้มเติบโตตามความต้องการซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากถึง 41% นอกจากนี้ ต้นทุนของผู้ให้บริการก็มีแนวโน้มลดลง

มุมมองโบรก BEM – BTS  นั่งฟรี 7วัน วิกฤติ PM2.5

มุมมองโบรก BEM – BTS นั่งฟรี 7วัน วิกฤติ PM2.5

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี ยังคงมีมุมมองว่า BEM และ BTS จะได้รับประโยชน์เพียงเล็กน้อยจากโครงการนั่งฟรี 7 วัน (25-31 มกราคม 2025) ซึ่งจัดโดยกระทรวงคมนาคมทางบกเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติฝุ่นในกรุงเทพฯ BTS วางแผนขอเพิ่มสวัสดิการสนับสนุน • BTS จะขอรับเงินสนับสนุนไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาทสำหรับการให้บริการ 4 สาย ได้แก่ Green, Yellow, Pink และ Gold ระหว่างโครงการนั่งฟรี 7 วัน โดยการขอเงินสนับสนุนดังกล่าวคำนวณจากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นในช่วงโครงการ เพื่อรองรับต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มเติม ประโยชน์ที่จำกัดสำหรับ BEM และ BTS • ผลกระทบ: งบประมาณ 140 ล้านบาทสำหรับโครงการนี้ (สำหรับระบบรางและรถโดยสาร) ถูกกำหนดโดยกระทรวงคมนาคมทางบก หากสมมติว่างบประมาณนี้ใช้สำหรับระบบรางเท่านั้น จะมีเงินสนับสนุนวันละประมาณ 20 ล้านบาทสำหรับผู้ให้บริการ 2 ราย (BTS และ BEM) o BEM มีรายได้จากสายสีน้ำเงินประมาณ 12 ล้านบาทต่อวันในช่วงปกติ o BTS มีรายได้จากสายสีเขียวประมาณ 21 ล้านบาทต่อวันในช่วงปกติ o การสนับสนุนที่ประกาศไว้เพียงพอสำหรับการดำเนินการในช่วงปกติเท่านั้น • BTS ได้ขอเพิ่มการสนับสนุนเป็น 200 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 25 ล้านบาท/วันสำหรับสายสีเขียว โดยคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้น 19% เป็น 800,000 เที่ยว/วันในช่วงโครงการ o สายสีชมพูขอเงินสนับสนุน 13 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้น 45% เป็น 60,000 เที่ยว/วัน o สายสีเหลืองขอเงินสนับสนุน 10 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้น 38% เป็น 47,000 เที่ยว/วัน • ความแตกต่างระหว่างเงินสนับสนุนที่ประกาศไว้และที่ขอขึ้นอยู่กับการเจรจา แต่เรามองว่าคำขอดังกล่าวมีความเหมาะสมเนื่องจากผู้ให้บริการต้องรับภาระต้นทุนเพิ่มเติม ผลกระทบต่อรายได้ • BTS คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียง 35 ล้านบาทในช่วงโครงการ ซึ่งคิดเป็นเพียง 0.4% ของรายได้ที่เราคาดการณ์สำหรับ FY25F ของสายสีเขียว • สำหรับ BEM คาดว่าผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้น 20% เป็น 504,000 เที่ยว/วัน ซึ่งจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเพียง 14 ล้านบาท หรือ 0.2% ของรายได้ FY24F คำแนะนำและการดำเนินการ • แม้โครงการจะให้ประโยชน์ที่จำกัด เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ทั้ง BEM และ BTS แต่ชอบ BTS มากกว่าเนื่องจากมูลค่าหุ้นที่ยังต่ำ และปัจจัยกดดันหลายประการได้รับการคลี่คลาย เช่น ภาระผูกพันด้าน O&M ที่ต้องชำระโดย KT/BMA และการขาดทุนจากสายสีชมพูและสีเหลือง ราคาเป้าหมาย:           • BEM: 10.4 บาท           • BTS: 6.49 บาท

TTB คาดปีนี้มีปันผล 7% มองบวกต่อเป้าบริหารคุณภาพสินทรัพย์-ต้นทุน

TTB คาดปีนี้มีปันผล 7% มองบวกต่อเป้าบริหารคุณภาพสินทรัพย์-ต้นทุน

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อ TTB จากการตั้งเป้าปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์และต้นทุนให้ดีขึ้นในปี 2569 พร้อมเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อที่ 0-2% และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยไม่เกิน 10% โดยตั้งเป้าอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไม่เกิน 2.9% และคาดว่า NPL Formation จะลดลงพร้อมต้นทุนทางเครดิตที่อาจต่ำกว่าปี 2567 นอกจากนี้ TTB ยังมีแนวโน้มการบริหารจัดการเงินทุนที่ดีขึ้น ทั้งโอกาสในการซื้อหุ้นคืนและการจ่ายปันผล 60-70% ของกำไร ส่งผลให้คาดการณ์อัตราเงินปันผลที่ 7% ในปี 2568 TTB : ราคาพื้นฐาน 1.98 บาท

CPALL คาด Q4 กำไรโตตามคาด 3.5% ปีหน้าโตต่อ ยอด SSSG หนุน

CPALL คาด Q4 กำไรโตตามคาด 3.5% ปีหน้าโตต่อ ยอด SSSG หนุน

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย แนะนำเก็งกำไรเชิง Tactical ใน CPALL จากมูลค่าหุ้นที่ลดลงต่ำถึงระดับ -2SD ที่ Fwd PE’69 ประมาณ 18 เท่า ทำให้มีความเสี่ยงขาลงจำกัด และแนวโน้มผลดำเนินงานที่ดีของ CPAXT ที่ CPALL ถือหุ้น 60% จากประโยชน์การ Synergy ที่เร็วกว่าคาดและการเติบโตระดับสูง พร้อมการปรับปรุงอัตรากำไรในปี 2568 นอกจากนี้ คาดธุรกิจร้านสะดวกซื้อจะมียอดขายสาขาเดิม (SSSG) ไตรมาส 4/2567 เติบโต 3.5% ส่งผลให้ผลประกอบการเติบโตได้ตามคาด อีกทั้งมองแนวโน้มการเติบโตเชิงบวกในปี 2569 จากยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่จะเติบโต 3% พร้อมการขยายอัตรากำไรอย่างต่อเนื่อง CPALL: ราคาพื้นฐาน 78.00 บาท

TOP บริษัทน่าร่วมงาน อันดับ 35 จาก 50 ที่สุดในไทยปี67

TOP บริษัทน่าร่วมงาน อันดับ 35 จาก 50 ที่สุดในไทยปี67

หุ้นวิชั่น - เมื่อเร็วๆ นี้ คุณณัฐพล มีฤทธิ์ รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านบริหารศักยภาพองค์กร และ คุณสุชาดา ดีชัยยะ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาความเป็นเลิศด้านทรัพยากรบุคคลและองค์กร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ขึ้นรับรางวัลจาก คุณเย็นส์ โพลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ คุณจีรวัฒน์ ตั้งบวรพิเชฐ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการสร้างแบรนด์นายจ้าง บริษัท เวิร์คเวนเจอร์ เทคโนโลจีส์ จำกัด ในงานประกาศรางวัล TOP 50 บริษัทน่าร่วมงานมากที่สุดประจำปี 2024 ที่จัดโดย WorkVenture ซึ่งเป็นที่ปรึกษาและผู้นำด้านการสร้างแบรนด์นายจ้างให้กับองค์กรชั้นนำในประเทศไทย ไทยออยล์ ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในองค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุด ด้วยการคว้าอันดับที่ 35 จากการจัดอันดับดังกล่าว การจัดอันดับครั้งนี้มาจากผลสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนกว่า 12,559 คน ที่มีอายุระหว่าง 21-35 ปี ซึ่งประกอบไปด้วยนักศึกษาจบใหม่ พนักงานในช่วงเริ่มต้นอาชีพ และกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ทำงาน การเป็นหนึ่งใน 50 บริษัทที่น่าร่วมงานด้วยในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของไทยออยล์ในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ ด้วยแนวทางการบริหารที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนความก้าวหน้าในสายอาชีพ โดยคำนึงถึงสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance) คุณณัฐพล กล่าวว่า “รางวัลนี้ถือว่าเป็นกำลังใจ และความภาคภูมิใจของพนักงานไทยออยล์ทุกคน เพราะทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างแบรนด์ของไทยออยล์ให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับในทุกวันนี้ ไทยออยล์เป็นบริษัทชั้นนำด้านพลังงานที่ให้ความสำคัญมากกับพลังคน เราพยายามสร้างพลังให้กับคนของเรา เพื่อให้พนักงานของเรามีพลังส่งต่อคุณค่าในตัวให้กับองค์กร ซึ่งตรงกับปณิธาณของไทยออยล์ที่ว่า “Your Value, Our Priority … เพราะคุณค่าของพนักงานคือคุณค่าของไทยออยล์” ไทยออยล์เชื่อมั่นในแนวทาง "Happy Employees, Happy Company" โดยมุ่งสร้างความสุขและแรงบันดาลใจให้กับพนักงานทุกระดับ พร้อมขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ไทยออยล์ยังคงเป็นหนึ่งในองค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุดในประเทศไทย

SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.75-33.95 บาท/ดอลลาร์

SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.75-33.95 บาท/ดอลลาร์

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 75-33.95 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าเร็วจากภาวะ Risk-off หลังตลาดหุ้นโลกลงแรงนำโดยหุ้นกลุ่ม Tech และ semiconductor ส่วน US Treasury yields ลดลงเร็ว ขณะที่ค่าเงินเยนและสวิสฟรังค์ แข็งค่าขึ้น จากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย การเผยแพร่ AI model ต้นทุนต่ำของบริษัท DeepSeek ซึ่งเป็น Startup จีน ทำให้ตลาดกังวลว่าการลงทุนด้าน AI ที่ผ่านมาสูงไป ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าหลัง Scott Bessent สนับสนุนการขึ้น universal tariff อย่างค่อยเป็นค่อยไป

TIDLOR  คาดปีนี้กำไรที่ 4,250 ลบ. โบรกมองบวก คุณภาพสินทรัพย์แกร่ง

TIDLOR คาดปีนี้กำไรที่ 4,250 ลบ. โบรกมองบวก คุณภาพสินทรัพย์แกร่ง

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี ระบุ TIDLOR อยู่ระหว่างการทบทวนประมาณการและคำแนะนำ ภาพรวมเรามีมุมมองบวกมากขึ้นกับการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ เห็นได้จากค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) 4Q24F คาดเริ่มลดลงเหลือ 360 bps จาก 3Q24 ที่ 391 bps ทำให้เราคาดว่าประมาณการปี 2025F มีโอกาสเกิด upside เบื้องต้นค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) เราคาดที่ 390 bps โดยการลดลงทุกๆ -10 bps จะทำให้กำไรสุทธิปี 2025F คาดที่ 4,250 ลบ. มี upside +2% และ TP25F ที่ 15.30 บ. มี upside +0.3 บ. สำหรับกำไรสุทธิ 4Q24F คาดที่ 1,020 ลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +13% y-y และ +3% q-q เพราะการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรวม การเพิ่มขึ้นของรายได้การขายประกัน และการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) คาดกำไรสุทธิ 4Q24F ที่ 1,020 ลบ. เพิ่มขึ้น +13% y-y และ +3% q-q           เราคาด TIDLOR รายงานกำไรสุทธิ 4Q24F ที่ 1,020 ลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +13% y-y และ +3% q-q เพราะ i) รายได้ดอกเบี้ย (NII) เพิ่มขึ้น +12% y-y และ +1% q-q จากการเติบโตของสินเชื่อรวม +2% q-q คิดเป็น +8% YTD จากกลุ่มจำนำทะเบียนรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ และการเปิดสาขาเพิ่ม 4Q24F คาดที่ 1,778 สาขา เพิ่มขึ้น +6% y-y และ +2% q-q ii) รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) เพิ่มขึ้น +2% y-y และ +19% q-q เพราะรายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าขายประกัน iii) ค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ลดลง -7% y-y และ -7% q-q จากการชำระหนี้ของลูกหนี้ดีขึ้น สำหรับ NPL Ratio คาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1.90% จาก 3Q24 ที่ 1.88% จากลูกหนี้กลุ่มรถบรรทุกที่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง กำไรสุทธิ 2025F หากผลประกอบการ 4Q24F เป็นไปตามที่เราคาด เรามองว่าประมาณการปี 2025F มีโอกาสเกิด upside จากค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) ต่ำกว่าที่เราคาด เบื้องต้นเราคาดค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) ที่ 390 bps โดยการลดลงทุกๆ -10 bps จะทำให้กำไรสุทธิปี 2025F คาดที่ 4,250 ลบ. มี upside +2% และ TP25F มี upside +0.3 บ. คำแนะนำ เราอยู่ระหว่างการทบทวนประมาณการ จากคำแนะนำ REDUCE และ TP25F ที่ 15.3 บ. ภาพรวมเรามีมุมมองบวกมากขึ้นกับการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ เห็นได้จากค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) 4Q24F คาดเริ่มลดลงเหลือ 360 bps จาก 3Q24 ที่ 391 bps.

MTC คาดปีนี้กำไรพุ่งนิวไฮ 6,481 ลบ. ผลงานแกร่ง แนะซื้อเป้า 58 บ.

MTC คาดปีนี้กำไรพุ่งนิวไฮ 6,481 ลบ. ผลงานแกร่ง แนะซื้อเป้า 58 บ.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี คาด MTC กำไรทำจุดสูงสุดใหม่ต่อ คงคำแนะนำ BUY ที่ TP25F 58 บ. และคงเป็น Top Pick ของกลุ่ม Consumer Finance เพราะ i) มีการพัฒนาการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงบวกตั้งแต่ 3Q23 และการตามเก็บหนี้ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อใน 2025F ii) คาดผลประกอบการ 4Q24-2025F ทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง สำหรับกำไรสุทธิ 4Q24F คาดที่ 1,510 ลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +12% y-y และ +1% q-q ผลักดันหลักจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรวม +3% q-q หรือคิดเป็น +15% YTD จากกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกันเป็นหลัก และการขยายสาขา ด้านคุณภาพสินทรัพย์บริหารได้ดีมาก NPL Ratio คาดที่ 2.80% ลดลงต่อจาก 2.82% ใน 3Q24 จากการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ดีขึ้น คาดกำไรสุทธิ 4Q24F ที่ 1,510 ลบ. เพิ่มขึ้น +12% y-y และ +1% q-q เราคาด MTC รายงานกำไรสุทธิ 4Q24F ที่ 1,510 ลบ. เพิ่มขึ้น +12% y-y และ +1% q-q เพราะการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ย (NII) +11% y-y และ +3% q-q จากสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น +15% y-y และ +3% q-q หรือคิดเป็น +15% YTD จากกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกันเป็นหลัก และการขยายสาขาที่ 8,172 สาขา เพิ่มขึ้น +8% y-y และ +2% q-q ด้านคุณภาพสินทรัพย์บริหารได้ดีมาก NPL Ratio อยู่ที่ 2.80% ลดลงต่อจาก 2.82% ใน 3Q24 จากการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ดีขึ้น คาดกำไรสุทธิ 2025F ทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เราคาดกำไรสุทธิ 2025F ที่ 6,481 ลบ. เพิ่มขึ้น +14% y-y เพราะการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรวม เรามอง MTC คงแผนขยายสินเชื่อไปยังกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ และเน้นคุณภาพของลูกหนี้เป็นหลัก สำหรับค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) และ NPL Ratio มองว่าอยู่ระดับใกล้เคียงกับ 4Q24F คำแนะนำ เราคงคำแนะนำ BUY และคง TP25F 58 บ. เราชอบ MTC และคงเป็น Top Pick ของกลุ่ม Consumer Finance เพราะ i) มีการพัฒนาการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงบวกตั้งแต่ 3Q23 และการตามเก็บหนี้ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อใน 2025 ii) คาดผลประกอบการ 4Q24-2025F ทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง

GPSC คาดปี67 กำไรตาดคาด 4 พันลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 39.00 บาท

GPSC คาดปี67 กำไรตาดคาด 4 พันลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 39.00 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า คาด GPSC 4Q24 จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 965 ล้านบาท (+25% QoQ, +102% YoY) เติบโต YoY จากต้นทุนเชื้อเพลิงปรับตัวลง ส่วนเมื่อเทียบกับ 3Q24 จะฟื้นตัว QoQ จากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนลดลงมาก (เทียบกับขาดทุน FX 258 ล้านบาทใน 3Q24) หากนับเฉพาะผลการดำเนินงานปกติคาดจะทำได้ 1.4 พันล้านบาท (-3% QoQ, +75% YoY) ถือว่าประคองตัว QoQ สาระสำคัญดังนี้ 1. แม้ว่าผลกระทบจากต้นทุนถ่านหิน Coal Mismatch ของโรงไฟฟ้า Gheco-one จะเพิ่มขึ้นราว 100 ล้านบาท หลัง EGAT เรียกรับไฟฟ้าตั้งแต่ 1 ต.ค. – 19 ธ.ค. (เทียบกับ 1 เดือนใน 3Q24) 2. ปริมาณขายไฟฟ้าและไอน้ำของลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) ลดลง QoQ เพราะเป็นช่วงปิดซ่อมบำรุงของลูกค้า 3. ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน +20% QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล 4. อัตราภาษีจ่ายสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเมินว่ากำไรปกติจะประคองตัวได้ QoQ เพราะ 5) ธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP ได้ประโยชน์จากต้นทุนก๊าซธรรมชาติปรับตัวลง -6% QoQ 6) รายได้เงินปันผลรับจากราชบุรีพาวเวอร์ (RPCL) เพิ่มขึ้นราว 100 ล้านบาท 7) รับรู้ประโยชน์การจ่ายคืนเงินกู้ 1.6 หมื่นล้านบาทเต็มไตรมาส (ชำระคืนช่วงเดือน ก.ค.) 8) ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าไซยะบุรี (XPCL) เพิ่มขึ้น QoQ เพราะการผลิตราบรื่น (เทียบกับหยุดเดินเครื่อง 17 วันใน 3Q24)   ปรับลดประมาณการ สะท้อนความเสี่ยงจากนโยบายค่าไฟ หาก 4Q24 เป็นไปตามคาด กำไรสุทธิทั้งปีจะทำได้ 4 พันล้านบาทใกล้เคียงกับประมาณการปี 2024 ของเรา (Upside 5%) สำหรับปี 2025 เราปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิลง 23% เป็น 4.5 พันล้านบาท โดยปรับสมมติฐานหลัก ได้แก่ • ค่าไฟ SPP ลง 5% สะท้อนโอกาสภาครัฐแทรกแซงปรับลดค่าไฟงวดเดือน ม.ค. – เม.ย. เป็น 4.15 บาท/หน่วย, เดือน พ.ค. – ส.ค. เป็น 3.98 บาท/หน่วย, เดือน ก.ย. – ธ.ค. เป็น 3.70 บาท/หน่วย อย่างไรก็ตาม ประเมินผลประกอบการปี 2025 ยังเติบโต YoY จากส่วนแบ่งกำไรโรงไฟฟ้าในต่างประเทศตามการ COD กำลังผลิตใหม่ของ Avaada และ CFXD นอกจากนี้ คาดผลกระทบจากการแทรกแซงค่าไฟฟ้าจะสามารถบรรเทาด้วยการทยอยปรับสัญญาขายไฟฟ้าอ้างอิง Gas Link ของลูกค้าอุตสาหกรรมจากปัจจุบันสัดส่วน 20-25% เป็นมากกว่า 30% ในปี 2027 แม้มีมุมมองบวกน้อยลง แต่ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว คงคำแนะนำ “ซื้อ” เรามีมุมมองบวกต่อหุ้นน้อยลง เพราะเห็นว่าอุตสาหกรรมไฟฟ้าในประเทศเผชิญความเสี่ยงเชิงนโยบายมากขึ้น หลังภาครัฐมีนโยบายปรับลดค่าไฟฟ้า เกิดความเสี่ยงด้านต้นทุน Mismatch และใช้เวลามากขึ้นในการรับรู้ประโยชน์จากการทยอยคืนภาระต้นทุนเชื้อเพลิงคงค้างให้แก่ EGAT อย่างไรก็ตาม เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมใหม่ 39.00 บาท เพราะ 1. ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา GPSC -25% ปัจจุบันซื้อขายบน PBV ที่ 0.8 เท่า (Discount -0.80 SD) ถือว่าสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว 2. กลยุทธ์การทยอยปรับสัญญาขายไฟฟ้าเป็น Gas Link จะช่วยลดผลกระทบได้ดีกว่าคู่แข่ง 3. การเติบโตระยะยาวของ GPSC ไม่ได้พึ่งพากำลังผลิตในประเทศเป็นหลัก (คาดรายงานงบการเงินวันที่ 17 ก.พ.)

TMAN คาดปี67 กำไรที่ 452 ลบ. โบรกชี้ปีนี้โตแรง แนะซื้อเป้า 26.00 บาท

TMAN คาดปี67 กำไรที่ 452 ลบ. โบรกชี้ปีนี้โตแรง แนะซื้อเป้า 26.00 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ระบุ TMAN 4Q24 ยอดสั่งซื้อ Propoliz และยาเติบโต QoQ, YoY เราคาดกำไรปกติ 4Q24 ที่ 109 ลบ. (+7% QoQ, +19% YoY) เติบโต QoQ และ YoY จาก 1. กลุ่มยารักษาโรค (สัดส่วน 55% ของรายได้รวม) เติบโตจากยาสามัญที่เปิดตัวใน 3Q24 (ยาโรคเบาหวาน) เป็นยา First Generic (GPM สูงกว่ายา Generic) และได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้ารพ. ขนาดใหญ่ 2. สเปรย์พ่นปาก Propoliz เติบโตจากตลาดในประเทศตามปัจจัยฤดูกาล และลูกค้าต่างประเทศ (จีน, ฮ่องกง, มาเลเซีย) 3. รายได้และสัดส่วนรายได้กลุ่มลูกค้ารพ. เพิ่มขึ้น QoQ และ YoY จากยอดสั่งซื้อยากลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) ทั้งยาออกใหม่และลูกค้ารายใหม่ หาก 4Q24 ใกล้เคียงที่เราคาด กำไรปกติปี 2024 จะอยู่ที่ 452 ลบ. (+17% YoY) แนวโน้ม 1H25 เติบโต YoY จากยาใหม่และการขยายฐานลูกค้ารพ.แนวโน้มผลประกอบการ 1H25 เติบโต HoH และ YoY จาก 1. ยาสามัญที่เปิดตัวในปี 2024 (ยาลดไขมันและยาโรคเบาหวาน) เริ่มติดตลาดและมีคำสั่งซื้อจากลูกค้ากลุ่มรพ. เพิ่มขึ้น 2. Propoliz เจาะตลาดต่างประเทศมากขึ้นโดยใช้ Local Distributors ช่วย และยอดขายของ Propoliz Pluz ที่จะเพิ่มขึ้น หลังได้รับเลขใบอนุญาตยาสำเร็จรูป ทำให้การเบิกจ่ายผ่านประกันในรพ.เอกชนทำได้สะดวกขึ้น 3. กลุ่มคลินิกความงาม มีแผนเพิ่มสินค้าใหม่อย่าง Botox ที่มีความต้องการในตลาดสูง รวมถึงหาลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น ปี 2025 จะเป็นปีที่ดีต่อเนื่อง            เรามองปี 2025 จะเป็นปีที่ดีต่อเนื่องของ TMAN โดยปัจจัยหลักหนุนการเติบโต ได้แก่ 1. ยาใหม่ที่เริ่มวางขายในรพ. ปี 2024 จำนวน 3 ตัว (ยาเบาหวาน ยาปฏิชีวนะ และยาลดไขมัน) จับตลาดได้และเข้าสู่รอบการประมูลและสั่งซื้อของรพ. อีกทั้งมีแผนวางจำหน่ายยาตัวใหม่ 4 ตัวในปี 2025 โดยตัวแรก ยาแก้แพ้รักษาทางเดินหายใจ จะเริ่มวางขายตั้งแต่เดือนก.พ. 2025 นี้ 2. แบรนด์ Propoliz มีโอกาสในการเติบโตมากขึ้นจากทั้งตลาดร้านขายยา, ตลาดรพ. (อ้างอิง IQVIA, ปี 2024 มูลค่าตลาดของสินค้าสเปรย์พ่นปากในรพ. ไทยเติบโตเด่น 44% YoY และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง) และตลาดต่างประเทศ ที่บริษัทฯ จะเน้นการทำการตลาดร่วมกับ Local Distributor มากขึ้น 3. ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นและการเข้าถึงสิทธิการรักษาของภาครัฐมากขึ้น หนุนความต้องการเวชภัณฑ์ เราประเมินผลประกอบการทั้งปี 2025 เติบโต 19% YoY แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมสิ้นปี 2025 ที่ 26.00 บาท ปัจจุบัน Valuation หุ้นซื้อขายบน PER25 เพียง 11.2 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยคู่แข่งในประเทศที่มี PER 15.5 เท่า นอกจากนี้ในระยะสั้นเรามองว่าหุ้นได้ประโยชน์จากสถานการณ์ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ที่รุนแรง ส่งผลให้ความต้องการเวชภัณฑ์เกี่ยวกับทางเดินหายใจเพิ่มสูงขึ้น (เช่น สเปรย์ Propoliz และยาแก้แพ้) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมสิ้นปี 2025 ที่ 26.00 บาท

SABINA คาดกำไร Q4 ที่ 105 ลบ. โบรกเคาะเป้า 23.0 บ

SABINA คาดกำไร Q4 ที่ 105 ลบ. โบรกเคาะเป้า 23.0 บ

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี มอง SABINA Neutral ต่อกำไร 4Q24F คาดที่ 105 ลบ. (-8% y-y, -5% q-q) จากมีค่าใช้จ่ายปรับโครงสร้างราว 10 ลบ. ขณะที่กำไรปกติยังทรงตัว y-y, +4% q-q จากคาดรายได้ยังทรงตัว โดยรวมกำไรปี 24F ต่ำกว่าคาด -7% และเราปรับลดกำไรปี 2024-26F ลงเฉลี่ย -9% จากรายได้ต่ำกว่าคาดเดิม แต่หักล้างบางส่วนจาก cost saving จากปรับโครงสร้างองค์กร คาดปี 25F เติบโตเล็กน้อย +7% และคาดกำไร 1Q25F จะกลับมาเติบโต y-y จากค่าใช้จ่ายลดลง ด้านหุ้นซื้อขาย PER24F 13 เท่า (-1.9 SD) มีจุดเด่น Div yield สูง 7% แนะนำ “Buy” จาก TP25F ใหม่ 23.0 บาท (เดิม 27.0 บาท) อิง DCF เป็นบริษัทที่ปรับตัวไปกับช่องทางออนไลน์ได้ดี คาดกำไรสุทธิ 4Q24F 105 ลบ. (-8% y-y, -5% q-q) คาดกำไรสุทธิ 4Q24F 105 ลบ. (-8% y-y, -5% q-q) จากมีค่าใช้จ่ายปรับโครงสร้างราว 10 ลบ. จากการปิดโรงงานบุรีรัมย์ ส่วนกำไรปกติคาด 115 ลบ. (+1% y-y, +4% q-q) ตามรายได้คาด +2% y-y งวดนี้ไม่มี Collection ใหญ่เปิดตัว โดยช่องทาง NSR (online + TV Shopping) (35% ของรายได้) เติบโตเล็กน้อย ขณะที่ช่องทางสาขาทรงตัว คาด Gross margin ลดลง y-y, ทรงตัว q-q มาที่ 49.6% จากมี Clearance sales ปลายปี และยังจำเป็นต้องใช้โปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย ลดกำไรปี 2024-26F ลงเฉลี่ย -9% มองปี 25F เติบโตเล็กน้อย...1Q25F ยังดี เราปรับลดกำไรปี 2024-26F ลงเฉลี่ย -9% จากลดรายได้ แต่จะหักล้างบางส่วนจาก Cost saving หลังยุบรวมโรงงาน มองกำไรปี 2025F 484 ลบ. (+7% y-y) จากรายได้ +3% y-y vs เป้าบริษัท +5-7% y-y ขณะที่ค่าใช้จ่ายคาด SG&A/Sales ลด 30 bps y-y จากทั้ง Cost saving ทั้งยุบโรงงาน และนโยบายไม่เพิ่มจำนวนคน ซึ่งมีพนักงานในรอบปี 24 ลดราว 500 คน รวมถึงงบการตลาดปีนี้จะเน้นในช่องทางออนไลน์ (งบไม่สูง) ทั้งนี้ ระยะสั้น มองกำไร 1Q25F จะเติบโตได้ y-y หลักๆ จาก Cost saving ด้านพนักงานที่ลดลง ราคาลงมาโซน Discount และมีปันผลสูง แนะ “Buy” จาก TP25F ใหม่ 23.0 บาท แม้หุ้นจะถูก De-rate ลงจากการเติบโตเริ่มชะลอ แต่ราคาปัจจุบันถือว่าสะท้อนไปมาก ภายใต้กำไรที่ทรงตัว ซื้อขายเหลือ PER25F 13 เท่า (-1.9 SD) มีปันผลสูง คาด 7.6% และปรับตัวไปช่องทางออนไลน์ได้ดี แนะนำ “Buy” จาก TP25F ใหม่ 23.0 บาท (เดิม 27.0 บาท) อิง DCF (WACC 7.8%, TV Growth 1%)

BJC คาดปีนี้กำไรโต 10%   SSSG บวกต่อ โบรกแนะ “ซื้อ” ที่ 30 บาท

BJC คาดปีนี้กำไรโต 10% SSSG บวกต่อ โบรกแนะ “ซื้อ” ที่ 30 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี ใน 4Q24F คาดว่า BJC จะมีกำไรหลักของ BJC จะลดลง 6% yoy เป็น 1.5 พันล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าเช่าลดลง 2% yoy (เพราะมีการปรับปรุงห้างหลายแห่ง) เหลือ 2.3 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอื่นๆ เติบโตได้ดี โดยเฉพาะบิ๊กซี (มีส่วนแบ่งรายได้ 65%) การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) อยู่ที่ 1.5% อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มขยายตัว 0.8ppt yoy เป็น 21% อาจมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 130 ล้านบาทจากการป้องกันความเสี่ยงในบัญชีเจ้าหนี้ เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยในไตรมาสนี้ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ 30 บาท เนื่องจากเราคิดว่า SSSG จะยังคงเป็นบวกต่อไปในปี 2025 ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น นอกจากนี้ BJC ซื้อขายที่ 17.5 เท่า P/E ปี 2568F -2SD ของค่าเฉลี่ยระยะยาว 4Q24F กำไรหลักลดลงจากค่าเช่าแต่ยอดขายยังดีอยู่ เราประเมินยอดขายเติบโต 3% yoy โดยได้แรงหนุนจากยอดขายเติบโตดีในทุกหมวด โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจสุขภาพที่อาจเติบโต 7% yoy (เนื่องจากเพิ่มงบประมาณจากความล่าช้าครั้งก่อน) Big C (ส่วนแบ่งรายได้ 65%) SSSG หันมาเป็นบวกที่ 1.5% (จาก 0% ใน 3Q24) เนื่องจากสามารถปรับปรุงการเลือกสรรและความสดของผลิตภัณฑ์อาหารสดที่ดึงดูดลูกค้าได้ ยอดขายกลุ่มบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น 3% yoy เนื่องจากยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดีขึ้นในประเทศไทย และเวียดนามซึ่งเจาะกลุ่มผู้ผลิตเครื่องดื่มรายย่อย เราคาดว่าธุรกิจผู้บริโภคยอดขายจะลดลง 3% yoy จากแนวโน้มการบริโภคที่ซบเซาในประเทศไทย อัตรากำไรขั้นต้นอาจเพิ่มขึ้น 0.8ppt yoy (เป็น 21%) จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง (เช่น โซดาแอชในธุรกิจบรรจุภัณฑ์) รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นที่ Big C จากอาหารสดที่ดีขึ้นซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น2025 กำไรหลักคาดว่าจะโต 10% เราคาดว่ากำไรหลักจะเติบโต 10% ในปี 2025F โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของยอดขาย 5% จากทั้งสี่กลุ่ม SSSG ของ Big C อาจอยู่ที่ 2% และอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มอาจทรงตัว yoy (ที่ 20%) เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ (โซดาแอช อะลูมิเนียม) ทรงตัวเป็นส่วนใหญ่ ความเสี่ยงหลักคือการฟื้นตัวของการบริโภคที่อาจช้ากว่าที่คาด เราให้ TP ที่ 23.8x P/E ปี 2025F ซึ่งต่ำกว่าตัวคูณเฉลี่ยระยะยาว -1SD เรามองว่าการฟื้นตัวของ SSSG เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเชิงบวก ความเสี่ยงที่สำคัญคือการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศไทยช้ากว่าคาด

จับตา AI เร่งตัวทั่วโลก หุ้นไหนรับโชค เช็ก!

จับตา AI เร่งตัวทั่วโลก หุ้นไหนรับโชค เช็ก!

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) กระแสข่าว AI Application จากประเทศจีน "Deepseek" ที่ทำงานได้ใกล้เคียงผู้นำตลาด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชิปประมวลผลสูง ทำให้ต้นทุนพัฒนาต่ำกว่า โดยรวมประเมินนำมาสู่โอกาสเห็นภาพ AI Adoption ทั่วโลกเร่งขึ้น แต่สร้างความเสี่ยงหุ้น Semiconductor โลกที่จำหน่ายชิปประมวลผลระดับสูงที่อาจมีผลกระทบต่อยอดขาย จึงน่าจะเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย ให้เกิดภาพชะลอลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม KSS ประเมินผลกระทบ 2 ส่วน 1.)กลุ่มชิ้นส่วนมองผลกระทบต่อผลประกอบการคาดจำกัด เพราะบริษัทชิ้นส่วนไทยไม่ได้มีสินค้าหรือรายได้ชิปประมวลผลสูง อาทิ กรณี DELTA เน้นจำหน่าย Power Supply ส่วนอีกกลุ่มที่อาจจะเห็นการชะลอลงทุน คือ 2.) กลุ่มโรงไฟฟ้า อาจจะมีความกังวลการใช้ไฟฟ้าต่ำลงตามรูปแบบชิปประมวลผลสูงลดลง           อย่างไรก็ตาม ภาพบวกที่ AI Adoption จะเพิ่มขึ้นหนุนความต้องการโรงไฟฟ้าในท้ายที่สุดอยู่ดี กลยุทธ์รอตั้งรับเมื่อหุ้นอ่อนตัวรับความกังวล ขณะที่กลุ่มคาดได้ประโยชน์จากกรณีดังกล่าว คือ กลุ่มที่ผู้ใช้งาน AI ที่มีทางเลือกมากขึ้น ต้นทุนลดลง คาดนำมาสู่ปริมาณการใช้ข้อมูลในโครงข่ายโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ในส่วนกลุ่มสื่อสาร เน้น ADVANC และกลุ่ม Digital Tech Consult ที่ปริมาณงานที่ปรึกษาดิจิตอลจะเพิ่มขึ้นตาม AI Adoption เน้น BE8, BBIK

KSS คาด SET วันนี้“ลุ้นสร้างฐาน” ส่องต้าน 1355 จุด ชู MTC-CPALL-SCB เด่น

KSS คาด SET วันนี้“ลุ้นสร้างฐาน” ส่องต้าน 1355 จุด ชู MTC-CPALL-SCB เด่น

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “ลุ้นสร้างฐาน” ต้าน 1350/1355 จุด รับ 1335/1327 จุด ดัชนี S&P500 ปรับลง -1.46% กดดันหลัก จากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจากความกังวล AI Application จากประเทศจีน "Deepseek" ที่ทำงานได้ใกล้เคียงผู้นำตลาด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชิปประมวลผลสูง ทำให้ต้นทุนพัฒนาต่ำนำมาสู่แรงขายลดความเสี่ยงหุ้น Semiconductor ที่มี Valuation แพง ซึ่งอาจได้รับผลกระทบ และหุ้นกลุ่มที่เชื่อมโยง Data Center ที่ใช้ชิปประมวลผลระดับสูง NVIDIA (ผู้ให้บริการ Data Center+Ecosystem) ทำให้วันนี้น่าจะเกิดภาพชะลอลงทุนหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องใน SET อาทิ ชิ้นส่วน โรงไฟฟ้า อย่างไรก็ดีฝ่ายวิเคราะห์ประเมินพัฒนาการการดังกล่าวน่าจะช่วย AI Adoption ระดับ Mass Scale เร่งขึ้น ท้ายที่สุดคาดสร้างประโยชน์ทางบวกต่อหุ้นไทยที่เชื่อมโยง Ecosystem AI มากกว่าผลกระทบ ขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่มีความเกี่ยวโยงส่วนดังกล่าว อาทิ หุ้น Domestic และที่มีปัจจัยบวก อาทิหุ้นอิงภาคบริการ หุ้นกลุ่มธนาคาร การเงิน (รัฐเตรียมแนวทาง Haircut หนี้ที่ค้างชำระเกิน 1 ปี) ผสาน หุ้นได้ประโยชน์ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง มีโอกาสฟื้นตัวจากจิตวิทยาลบ Market Sentiment วานนี้และเป็นกลุ่มนำตลาด วันนี้ MTC, CPALL, SCB เด่น

AAVกำไรปกติQ4โต25% ผู้โดยสารเพิ่ม-เป้า 3.60 บ.

AAVกำไรปกติQ4โต25% ผู้โดยสารเพิ่ม-เป้า 3.60 บ.

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอแนะนำ “ซื้อ” AAV ราคาเป้าหมาย 3.60 บาท อิง 2025E core PER ที่ 15.5 เท่า คิดเป็น -1SD จากค่าเฉลี่ย PER ช่วงก่อนโควิดในปีที่มีกำไรปกติ ประเมิน 4Q24E จะมีกำไรปกติ 1.1 พันล้านบาท (+25% YoY, 3Q24 กำไรปกติ +11 ล้านบาท) แต่หากรวม FX loss ตามเงินบาทที่อ่อนค่า จะมีผลขาดทุนสุทธิ -316 ล้านบาท สำหรับกำไรปกติจะดีขึ้นกว่าที่เราทำไว้เดิม จาก 1) ผู้โดยสารจะเพิ่มเป็น 5.5 ล้านคน (+8% YoY, +12% QoQ) เนื่องจากเริ่มเข้า high season ของการท่องเที่ยว โดยโตดีจากผู้โดยสารในประเทศ, อินเดีย, ไต้หวัน และอาเซียน, 2) load factor จะอยู่ที่ 89% (4Q23 = 90%, 3Q24 = 90%) ลดลงเล็กน้อยจากการเพิ่ม capacity, 3) ค่าตั๋วโดยสารเฉลี่ย 4Q24E จะดีขึ้นเป็นเกือบ 2.0 พันบาท จาก 3Q24 ที่ 1.85 พันบาท และ 4) ได้ผลบวกจากราคาน้ำมันเครื่องบินลดลง โดยราคาน้ำมันเครื่องบินเฉลี่ย 4Q24E อยู่ที่ USD88.6/bbl ยังลดลงจากค่าเฉลี่ย 3Q24 ที่ USD92.8/bbl ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2024E ขึ้น 5% เป็น 2.7 พันล้านบาท +1,514% YoY จาก 4Q24E ที่จะดีขึ้นจากเดิม ส่วนปี 2025E ยังคงประมาณการกำไรปกติ 3.0 พันล้านบาท +12% YoY โดยประเมินจำนวนผู้โดยสาร 22.1 ล้านคน +6% YoY และค่าโดยสารเฉลี่ยจะทรงตัวจากปี 2024E สำหรับแนวโน้มกำไร 1Q25E จะยังเติบโต YoY, QoQ ได้ เนื่องจากเข้าสู่ high season ของการท่องเที่ยว โดยเที่ยวบินในประเทศจะได้อานิสงส์จากโครงการ "Easy E-Receipt 2.0" ที่สายการบินไทยแอร์เอเชีย (TAA) เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ ส่วนเส้นทางบินระหว่างประเทศจะยังโตดีจาก อินเดีย, เวียดนาม, ไต้หวันและญี่ปุ่น ส่วนจีนยังโตจำกัดจากการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นราคาหุ้น underperform SET -12%/-12% ใน 1 และ 3 เดือน จากข่าวความกังวลของนักท่องเที่ยวจีนเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยในการเดินทางมาไทย ซึ่งประเมินกระทบช่วงสั้น โดยปัจจุบันยอดยกเลิกเที่ยวบินและยอดจองตั๋วล่วงหน้าของ AAV จากจีนยังไม่มีผลกระทบมากนัก ทั้งนี้ ยังแนะนำ ซื้อ จากกำไรปกติ 4Q24E-1Q25E จะเติบโตดี รวมถึงปี 2025E จะยังดีขึ้นต่อเนื่อง ตามนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้โดยสารโดยรวมจะยังเติบโต ซึ่งช่วยชดเชยเที่ยวบินจีนที่มีแนวโน้มเติบโตจำกัด

บอร์ด COCOCO ไฟเขียวตั้งโรงงานในฟิลิปปินส์ หนุนกำลังผลิตกะทิแตะ 1.55 แสนตัน/ปี / SET

บอร์ด COCOCO ไฟเขียวตั้งโรงงานในฟิลิปปินส์ หนุนกำลังผลิตกะทิแตะ 1.55 แสนตัน/ปี / SET

          หุ้นวิชั่น - ที่ประชุมคณะกรรมการ “COCOCO” มีมติอนุมัติโครงการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ มูลค่า 430 ลบ. รองรับการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์กะทิ หลังคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ทั้งในปัจจุบันและอนาคต หวังขยายยอดขาย สหรัฐฯ - ยุโรป เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ระบุกำลังการผลิตกะทิจะเพิ่มเป็น 155,000 ตันต่อปี จากเดิม 99,000 ตันต่อปี พร้อมคาดเริ่มผลิตและสร้างรายได้เชิงพาณิชย์ภายใน Q1/69 หนุนการเติบโตต่อเนื่อง           ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ  บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) (“COCOCO”)  เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 มีมติอนุมัติโครงการลงทุนในประเทศฟิลิปินส์ มูลค่าประมาณ 430 ล้านบาท เพื่อรองรับการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์กะทิ ให้สอดคล้องกับกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น และตอบสนองต่อยอดคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต           ภายหลังการลงทุนโครงการดังกล่าว จะทำให้กำลังการผลิตสูงสุดของผลิตภัณฑ์กะทิเพิ่มขึ้นจากเดิม 99,000 ตันต่อปี เป็นประมาณ 155,000 ตันต่อปี ซึ่งการตัดสินใจลงทุนครั้งนี้ เพื่อเข้ามาช่วยสนับสนุนต่อการขยายยอดขายในสหรัฐฯ และยุโรป ให้สามารถแข่งขันได้ ประกอบกับ เป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยการขยายกำลังการผลิตครั้งนื้จะส่งผลเชิงบวกต่อการเติบโตของธุรกิจ ทั้งนี้ บริษัทฯ จะดำเนินการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ผ่านบริษัทย่อยที่จะจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นใหม่ ภายใต้ชื่อ “Novococonut” ซึ่งได้มีการทำสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาวเป็นระยะเวลา 25 ปี ใน Anflo Industrial Estate (AIE) เพื่อก่อสร้างอาคารโรงงานสำหรับไลน์การผลิต ผลิตภัณฑ์กะทิและส่งออกสินค้าดังกล่าวให้แก่ลูกค้าของบริษัทฯ รวมถึงลงทุนในอาคาร เครื่องจักร และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ โดยบริษัทฯ คาดว่าการก่อสร้างอาคารโรงงานและการติดตั้งเครื่องจักรจะแล้วเสร็จและเริ่มเปิดดำเนินการผลิตได้ประมาณไตรมาสที่ 1 ปี 2569 และเริ่มรับรู้รายได้เชิงพาณิชย์ ดร.วรวัฒน์ กล่าวต่อว่า โครงการลงทุนในประเทศฟิลิปินส์ จะทำให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ ช่วยให้สามารถเข้าถึงแหล่งผลิตมะพร้าวที่มีต้นทุนต่ำ สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น ช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน เนื่องจากบริษัทฯ สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าในกรอบความร่วมมือต่าง ๆ เช่น ASEAN Free Trade Area (AFTA) และบริษัทฯ มีแผนให้บริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่จะจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นใหม่ขอรับสิทธิประโยชน์จากสิทธิพิเศษในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (PEZA) ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งหากได้รับการอนุมัติดังกล่าวจะทำให้บริษัทฯ สามารถใช้ประโยชน์จากจากสิทธิพิเศษในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (PEZA) เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และการสนับสนุนอื่น ๆ นอกจากนี้ การลงทุนตั้งโรงงานในประเทศฟิลิปปินส์เป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทฯ สามารถนำส่งวัถตุดิบน้ำมะพร้าวกลับมายังประเทศไทย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบ เสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับการเข้าทำรายการครั้งนี้ บริษัทฯ จะใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมสถาบันการเงินสัดส่วน 90% และกระแสเงินสดภายในบริษัทฯ สัดส่วน 10% โดยบริษัทฯ คาดว่าจะจดทะเบียนจัดตั้งแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ปี 2568 โดยบริษัทฯ จะถือหุ้นในสัดส่วน 100% “การลงทุน ในฟิลิปปินส์เป็นการเปิดโอกาสให้ COCOCO ในการขยายการเติบโต เรามองว่าเป็นการลงทุนที่เหมาะสมกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ COCOCO มั่นใจว่าเป็นการลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตให้กับผู้ถือหุ้น และจะช่วยขยายการเติบโต โดยคาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทได้ในอนาคต ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ บริษัทฯ จะสามารถสร้างสมดุลระหว่างการลดต้นทุนและการรักษาคุณภาพสินค้า เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดระดับโลกได้ สะท้อนมายังผลการดำเนินงานที่คาดมีแนวโน้มเติบโตดีในอนาคต” ดร.วรวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

LPNไฟเขียวซื้อหุ้นคืน วงเงิน 100 ลบ. เป้า 45 ล้านหุ้น

LPNไฟเขียวซื้อหุ้นคืน วงเงิน 100 ลบ. เป้า 45 ล้านหุ้น

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า บอร์ด LPN อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน วงเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท จำนวนไม่เกิน 45 ล้านหุ้น คิดเป็น 3.09% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด กำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค - 30 ก.ค.25 (ที่มา: SET) มีมุมมองเป็นบวกเล็กน้อยจากโครงการซื้อหุ้นคืน จากสัดส่วนการซื้อหุ้นคืนไม่มาก และจากข้อมูลข้างต้น imply ว่าราคาซื้อหุ้นคืนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2.22 บาท (สูงกว่าราคาปัจจุบันเล็กน้อย +3%) ทั้งนี้ การซื้อหุ้นคืนจะช่วยหนุนราคาหุ้นและจำกัดการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงประเมินแนวโน้มกำไรปี 2024E-25E ยังคงมีทิศทางลดลงต่อเนื่องเป็น 295 ล้านบาท -16% YoY และ 282 ล้านบาท -5% YoY จากภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในระดับล่างที่ยังฟื้นตัวช้า จากกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ และสถาบันการเงินเข้มงวดต่อการปล่อยสินเชื่อ ขณะที่ backlog ยังค่อนข้างต่ำ ซึ่งยอดขายโครงการใหม่ทำได้ช้า ดังนั้น เรายังคงแนะนำ ขาย ราคาเป้าหมาย 2.20 บาท อิง 2025E PER ที่ 11.5 เท่า (-0.5SD below 5-yr average PER)

ศิริราชพยาบาลลงทุน 800 ล.พลิกโฉมไอที หุ้นไหนรับโชค เช็ก!

ศิริราชพยาบาลลงทุน 800 ล.พลิกโฉมไอที หุ้นไหนรับโชค เช็ก!

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ลงทุนงบ 800 ล้าน บาท จับมือกับ IT One และ SAP เพื่อพลิกโฉมระบบสารสนเทศ สร้างประวัติศาสตร์โรงพยาบาลรัฐแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ใช้RISE with SAP Private Cloud Edition เต็มรูปแบบเพราะตอนนี้การใช้ระบบสารสนเทศเดิมอาจจะมีข้อจำกัด หรือไม่เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลต่างที่มีจำนวนมาก ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินสัญญาณ Digital Adoption ที่เริ่มขยายสู่อุตสาหกรรมการแพทย์ จากเดิม ที่กระจุกตัวในกลุ่มธนาคาร การเงิน ค้าปลีก มองจิตวิทยาบวกหุ้น Digital Tech อาทิ BBIK, BE8

BBLเป้าสินเชื่อปีนี้โต 3-5%  เศรษฐกิจฟื้น-เป้า 186 บาท

BBLเป้าสินเชื่อปีนี้โต 3-5% เศรษฐกิจฟื้น-เป้า 186 บาท

หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL กล่าวในโอกาส เปิดงานสัมมนา AEC Business Forum 2025 สำหรับภาพอุตสาหกรรมแบงก์ มองว่า ยังสามารถเติบโตได้ตามภาพรวมเศรษฐกิจ โดยคาดสินเชื่อธนาคารจะเติบโตได้ต่อระดับ 3-5% ปีนี้ โดยจะเห็นการเติบโตได้มากขึ้นในทุกกลุ่มสินเชื่อปีนี้ในทุกเซอร์เตอร์ จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจรายใหญ่ ธุรกิจรายกลางเอสเอ็มอี ค้าปลีก และลูกค้าบุคคล รวมถึงลูกค้าต่างประเทศที่เติบโตได้ต่อเนื่อง ส่วนภาพรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ปีนี้คาดว่า น่าจะอยู่ใกล้เคียงเดิม ที่ 3.4% หรืออาจลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย โดยรวมยังเป็นระดับที่บริหารจัดการ และมองว่าปัญหาหนี้ต่างๆ น่าจะลดลงได้ จากโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ที่จะมีส่วนแก้ปัญหาของลูกหนี้ต่างๆ ได้ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อลูกหนี้โดยตรง (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ) มองเป็นกลางจากเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อปี 2025E ที่ 3-5% YoY ซึ่งใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้ที่ 3% YoY จากการเติบโตในทุกสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อรายใหญ่และต่างประเทศ ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่ NPL ตั้งเป้าไว้ที่ 3.4% +/- ซึ่งใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้ที่ 3.46% จาก 3Q24 ที่อยู่ที่ 3.40% โดยเราเชื่อว่ายังเป็นระดับที่ควบคุมได้ อย่างไรก็ดี รอเป้าหมายทางการเงินเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะประกาศหลังจากงบ 4Q24E ออกช่วงปลายเดือน ม.ค. 25 อีกที โดยเบื้องต้น ประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +6% YoY จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก ทั้งนี้ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” BBL และราคาเป้าหมายที่ 186.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.60x (-1.00SD below 10-yr average PBV)

CPALL คาดกำไรปี 67 แตะ 26,422 ลบ.  โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 83.00 บาท

CPALL คาดกำไรปี 67 แตะ 26,422 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 83.00 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.ฟิลลิป คาด CPALL ยอดขายและกำไร 4Q67 แข็งแกร่ง คาด 4Q67 ยอดขายรวม 2.48 แสนลบ. +5.8% q-q, +5.9% y-y กำไรสุทธิ 8,256 ลบ. +47.2% q-q, +50.2% y-y ส่วนเฉพาะ CVS คาดยอดขาย 1.13 แสนลบ. +9.0% q-q, +4.4% y-y SSSG +3.4% รับแรงหนุนจาก High season การท่องเที่ยว นอกจากนี้ เปิดสาขาใหม่ตามเป้า 700 สาขา สิ้นปี 67 คาดมีสาขา 7-Eleven รวมทั้งสิ้น 15,260 สาขา คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 68: 83.00 บาท 4Q67 คาดยอดขายและกำไรโตทั้ง q-q และ y-y: ในงบรวมคาดการณ์ยอดขาย 4Q67 อยู่ที่ประมาณ 2.48 แสนลบ. +5.8% q-q, +5.9% y-y กำไรสุทธิที่ 8,256 ลบ. +47.2% q-q, +50.2% y-y และในส่วนของ CVS คาดว่ายอดขายจะอยู่ราว 1.13 แสนลบ. +9.0% q-q, +4.4% y-y คาด SSSG อยู่ที่ประมาณ +3.4% จากการที่เป็นช่วง High season ของการท่องเที่ยว มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 26.3% ทำให้ยอดขายยังมีแรงหนุนท่ามกลางกำลังซื้อที่อ่อนแอของคนในประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทเดินหน้าเปิดสาขาใน 4Q67 ได้ตามเป้าหมาย ทำให้รวมแล้วเปิดสาขาถึงเป้า 700 สาขา สิ้นปี 67 คาดมีสาขา 7-Eleven รวมทั้งสิ้น 15,260 สาขา ทางฝ่ายเชื่อว่าการเติบโตของ CPALL : โดยหลักคือการขยายสาขาและกินส่วนแบ่งการตลาดจาก Traditional Trade ในส่วนยอดขายปี 67 คาดว่าอยู่ที่ 9.57 แสนลบ. +6.8% คาดการณ์กำไรสุทธิปี 67 ที่ 26,422 ลบ. +43.0% คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 68: 83.00 บาท

ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ต้อนรับ บมจ. โปร อินไซด์ (PIS) เริ่มซื้อขาย 20 ม.ค. นี้

ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ต้อนรับ บมจ. โปร อินไซด์ (PIS) เริ่มซื้อขาย 20 ม.ค. นี้

                  หุ้นวิชั่น - นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ maiยินดีต้อนรับ บมจ. โปร อินไซด์ เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มเทคโนโลยี โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “PIS” ในวันที่ 20 มกราคม 2568           PIS เป็นบริษัทย่อยของ บมจ.สกาย ไอซีที (SKY) บริษัทดำเนินธุรกิจจัดหา จำหน่ายและวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแบบครบวงจร (ICT-Solutions) ครอบคลุมการบริการให้คำปรึกษา วางแผน ออกแบบพัฒนา ติดตั้ง รวมถึงการบำรุงรักษาอุปกรณ์และระบบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ งานระบบรักษาความปลอดภัยทางกายภาพแบบครบวงจร (Physical Security Solution) งานแอพพลิเคชั่นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร  (ICT Application Solution) และงานบริการระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Integration Services) กลุ่มบริษัทได้เป็นพันธมิตรกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและกล้องวงจรปิดชั้นนำระดับโลก เช่น Dahua Hikvision Huawei Vmware และ Fortinet เป็นต้น ณ งวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายฯต่อรายได้จากการให้บริการคิดเป็นร้อยละ 59 : 41 โดยมีกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ และ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 มีมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบจำนวน 2,102 ล้านบาท           PIS มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 270 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 400 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 140 ล้านหุ้น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 89.69 ล้านหุ้น ผู้ลงทุนสถาบันไม่เกิน 15 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 21 ล้านหุ้น กรรมการ และผู้บริหารของบริษัทไม่เกิน 6.31 ล้านหุ้น กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของกลุ่ม SKY ไม่เกิน 8 ล้านหุ้น โดยเสนอขายผู้ลงทุนทุกประเภทระหว่างวันที่ 9 - 13 มกราคม 2568 ในราคาหุ้นละ 3 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 420 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,620 ล้านบาท ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ประมาณ 18.75 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึง 30 กันยายน 2567 ซึ่งเท่ากับ 87.13 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.16 บาท โดยมีบริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมีบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ                                                                                                                                                                                                                   นางสาว เบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. โปร อินไซด์ (PIS) เปิดเผยว่า บริษัทเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับคู่ค้าเจ้าของผลิตภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกหลากหลายแบรนด์ มีทีมวิศวกรและบุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ให้บริการอย่างมีคุณภาพ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปวางเป็นหลักค้ำประกันกับสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการขอออกหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee: LG) ให้กับงานโครงการ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในงานโครงการแก่ลูกค้าหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ PIS มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ SKY ถือหุ้น 67.70% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัทฯ หลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนดและตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับบริษัท ผู้ลงทุนและผู้สนใจ สามารถดูรายละเอียด จากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.proinside.co.th และ www.set.or.th

AAVเข้า

AAVเข้า"Easy E-Receipt 2.0" ตั๋วบินในประเทศลดภาษี

หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า AAV แจ้งผู้ใช้บริการไทยแอร์เอเชีย (รหัส FD) สามารถขอใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice) ได้แล้ว ผ่านช่องทาง Ask Bo ซึ่งทำให้สายการบินเข้าร่วมโครงการลดหย่อนภาษีของรัฐบาล Easy E-Receipt 2.0 ปี 2568 ได้ เฉพาะผู้ซื้อตั๋วโดยสารและเดินทางเที่ยวบินภายในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค. - 28 ก.พ.2025 ผ่านเว็บไซต์ www.airasia.com หรือแอป AirAsia MOVE และเลือก “เฉพาะเที่ยวบินแอร์เอเชีย” สามารถขอใบกำกับภาษีได้ภายในวันที่ 28 ก.พ.2025 เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีเป็นไปตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร (ที่มา: เว็บไซต์ AirAsia) มองเป็นบวก จากเดิมที่ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับค่าตั๋วโดยสารจะเข้ารวมโครงการ Easy E-Receipt หรือไม่ และเป็นปีแรกที่เข้าร่วมโครงการ ทำให้ผู้โดยสารที่เดินทางในประเทศมีโอกาสตัดสินใจเดินทางกับสายการบินไทยแอร์เอเชีย รวมถึงเป็นการกระตุ้นการเดินทางมากขึ้น  ทั้งนี้ ในงวด 9M24 AAV มีรายได้จากเที่ยวบินในประเทศคิดเป็น 46% ของรายได้รวม ทั้งนี้ เรายังแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 3.60 บาท อิง 2025E core PER ที่ 15.5 เท่า คิดเป็น -1SD จากค่าเฉลี่ย PER ช่วงก่อนโควิดในปีที่มีกำไรปกติ ขณะที่ระยะสั้นยังมีปัจจัยกดดันจากนักท่องเที่ยวจีนที่กังวลเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยในการเดินทางมาไทย

BA คาด Q1 ไฮซีซั่นสมุย โตแกร่ง PE 10เท่า แนะเก็งกำไร เป้า 26.87 บาท

BA คาด Q1 ไฮซีซั่นสมุย โตแกร่ง PE 10เท่า แนะเก็งกำไร เป้า 26.87 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อ BA และแนะนำเก็งกำไรจากมูลค่าหุ้นที่ PE’68 ลดลงเหลือประมาณ 10 เท่า โดยคาดว่าจะสามารถทำกำไรในไตรมาส 4/2567 แม้จะมีค่าใช้จ่ายตามฤดูกาลสูงขึ้น ต่างจากไตรมาส 4 ของปีก่อนๆ ที่ขาดทุนมาตลอด นอกจากนี้คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวในปี 2568 ที่คาดการณ์นักท่องเที่ยว 37.5-40 ล้านคน และโอกาสได้รับแรงหนุนจากการถ่ายทำซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ที่เกาะสมุย โดยคาดว่าไตรมาส 1/2568 จะเป็นช่วงไฮซีซั่นของสมุย ส่งผลให้ BA มีโอกาสเติบโตแข็งแกร่งในปี 2568 BA : ราคาพื้นฐาน 26.87 บาท

กกพ. เสนอลดค่าไฟ17สต.  หุ้นโรงไฟฟ้าเป็นไง เช็กเลย!

กกพ. เสนอลดค่าไฟ17สต. หุ้นโรงไฟฟ้าเป็นไง เช็กเลย!

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ ระบุว่า ที่ประชุม กกพ. เผยแนวทางลดค่าไฟฟ้าพร้อมเตรียมเสนอรัฐบาลพิจารณา ทั้งนี้ กกพ.เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติให้นำเสนอทางเลือกให้ภาคนโยบายทบทวนและปรับปรุงเงื่อนไขการสนับสนุน ทั้งในรูปแบบส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) และ Feed in Tariff (FiT) ผ่านการอุดหนุนราคารับซื้อไฟฟ้าในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก(VSPP) เพื่อให้การอุดหนุน Adder และ Feed in Tariff (FiT) สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และท าให้ค่าไฟสามารถปรับลดลงได้ทันทีประมาณหน่วยละ 17 สตางค์ จากค่าไฟฟ้าในปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่หน่วยละ 4.15 บาท นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้พิจารณาปรับราคารับซื้อไฟฟ้าหลังหมด Adder ลงจาก 3.16 บาท เป็น 2.17 บาท ซึ่งราคาที่สำนักงานนโยบายและแผน (สนพ.) ค านวณในปี 2565 (ที่มา:Infoquest) Implication มองเป็น negative sentiment ต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า แม้ประเมินมีโอกาสเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ ตามหากแนวทางดังกล่าวเกิดขึ้นจริงจะกระทบกับหุ้นโรงไฟฟ้าทั้งพลังงานทดแทน ( adder ถูกตัดและค่าไฟฐานถูกลดกระทบราคาขายไฟฟ้าและท าให้ประมาณการผลตอบแทนจากการลงทุนผิดไปจากที่ประเมินไว้) หุ้นที่เราดูแลอยู่และคาดว่าได้ผลกระทบคือ GUNKUL (ซื้อ/เป้า 5.00 บาท), SSP (ถือ/เป้า 7.50 บาท) และโรงไฟฟ้า SPP (ก๊าซธรรมชาติ) กระทบจากราคาขายไฟฟ้าที่ลดลงในขณะที่ต้นทุนพลังงานไม่ได้ถูกปรับ กดดันมาร์จิ้น หุ้นที่กระทบ GPSC (ซื้อ/เป้า 60.00 บาท), BGRIM (ซื้อ/เป้า 35.00 บาท), GULF (ถือ/เป้า 60.00 บาท) อย่างไรก็ตามประเมินแนวทางดังกล่าวทำได้ยากเนื่องจากเป็นการขอแก้สัญญา คาดว่าจะคล้ายเคสก่อนหน้าที่พยายามจะปรับค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้า IPP ลง (ค่า AP) ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถท าได้ อย่างไรก็ตามความพยายามปรับลดค่าไฟฟ้าจะยังคงเป็นปัจจัย overhang กลุ่มไฟฟ้าในระหว่างที่ยังหาแนวทางในการ implement ที่ชัดเจนไม่ได้

MASTER คาดกำไร Q4 ทำนิวไฮ 200 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 68.50 บาท

MASTER คาดกำไร Q4 ทำนิวไฮ 200 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 68.50 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ชี้ MASTER ปัจจัยพื้นฐานยังเหมือนเดิม หลังจากวานนี้ราคาหุ้นปรับตัวลง 19.9% หลังมีรายงานการขาย Big Lot และมีประเด็นข่าวลือในตลาดมากมายกดดันราคาหุ้น ส่งผลให้บริษัทได้จัดแถลงข่าวอย่างไม่เป็นทางการช่วงบ่ายวานนี้ ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัท Our Takes: ► ผลประกอบการ 4Q24: ผู้บริหารยังยืนยันว่าทำได้ตามเป้าหมายที่เคยให้ Guidance ไว้ ไม่มีประเด็นน่ากังวลแต่อย่างใด เป้าส่วนแบ่งกำไรจาก Partner ที่ 40–50 ล้านบาทในปี 2024 ยังยืนยันว่าทำได้มากกว่า 40 ล้านบาท ► ข่าวลือเกี่ยวกับกรณีผู้ป่วยเสียชีวิต: บริษัทชี้แจงว่า ตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจมาไม่เคยมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น ► Big Lot เช้าวานนี้: เกิดรายการ Big Lot จำนวน 11.4 ล้านหุ้น ที่ราคา 37 บาท ทำให้ตลาดกังวล เนื่องจากราคาต่ำกว่าราคาที่ร่วงลงมา 2 วันติดต่อกันจากระดับ 46 บาท ช่วงเย็นวานนี้บริษัทประกาศว่าผู้ขายหุ้นคือ นพ.ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล โดยจำนวนหุ้นที่จำหน่ายออกคิดเป็นสัดส่วน 3.78% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ส่งผลให้จำนวนหุ้นที่ นพ.ระวีวัฒน์ ถืออยู่ทั้งทางตรงและผ่าน Inglory Investments ลดลงจาก 59.4% เป็น 55.6% ส่วนราคาขายมีส่วนลดจากราคาตลาดวันก่อนหน้าราว 8% แต่ยังสูงกว่าราคา IPO ► ผู้ซื้อ: นักลงทุนสถาบันต่างประเทศที่ติดตามบริษัทมานาน และมีความตั้งใจถือหุ้นของบริษัทในระยะยาว เพื่อเพิ่ม Free Float ของหุ้นในกระดานหลังย้ายตลาดเข้า SET ► การชี้แจงเพิ่มเติม: ผู้บริหารยืนยันว่าการทำ Big Lot จบแล้ว ► Panic Sell: เช้าวานนี้ราคาหุ้นปรับตัวลงไปแตะระดับ Floor ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าอาจมีการบังคับขายหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่นำหุ้นไปวางเป็นหลักประกัน ณ เดือน พ.ย. มีหุ้นวางเป็นหลักประกันอยู่จำนวน 27 ล้านหุ้น คิดเป็น 9% ของหุ้นจดทะเบียนที่ชำระแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารระบุว่า นพ.ระวีวัฒน์ และ Inglory Investments ไม่เคยนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกัน จึงไม่มีการถูกบังคับขายจากผู้ถือหุ้นใหญ่ ► Roadshow ที่อินโดนีเซีย: CEO กำลังอยู่ระหว่าง Roadshow ที่อินโดนีเซีย ครั้งก่อนสามารถปิดยอดขายได้ 20 ล้านบาท ครั้งนี้ตั้งเป้าที่ 40 ล้านบาท ในเวลา 1 วันครึ่ง ความคิดเห็น: คงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการ โดยคาดการณ์กำไร 4Q24 เบื้องต้นอาจทำระดับสูงสุดใหม่ที่มากกว่า 200 ล้านบาทได้ เนื่องจากเป็นช่วง High Season ของรายได้ และ Low Season ของค่าใช้จ่ายทางการตลาด อีกทั้งส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER2025 ต่ำเพียง 17 เท่า และการปรับตัวลงไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งสวนทางกับกำไรปี 2025 ที่มีโอกาสดีกว่าคาด จากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ยังทำไว้เพียง 80 ล้านบาท ซึ่งเป็นขอบล่างของเป้าหมายบริษัทที่ 80–100 ล้านบาท คงคำแนะนำ: ซื้อราคาเป้าหมาย: 68.50 บาท

PTTGC คาดปี 68 พลิกกำไร 1.2 พันลบ. โบรกแนะซื้อ เป้า 28.00 บาท

PTTGC คาดปี 68 พลิกกำไร 1.2 พันลบ. โบรกแนะซื้อ เป้า 28.00 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า คาด PTTGC 4Q24 ขาดทุนลดลง แต่การฟื้นตัวช้ากว่ามุมมองก่อนหน้าคาด 4Q24 จะขาดทุนสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท (ขาดทุนลดลงจาก 1.9 หมื่นล้านบาทใน 3Q24 เนื่องจากรายการด้อยค่าสินทรัพย์ลดลง แต่พลิกจากกำไรสุทธิ 5.1 พันล้านบาทใน 4Q23) โดยเมื่อเทียบกับ 3Q24 จะขาดทุนลดลง QoQ เพราะคาดว่าจะมีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายการหยุดดำเนินงานของ Vencorex และ PTT Asahi รวม 4 พันล้านบาท (เทียบกับด้อยค่าสินทรัพย์ 1.7 หมื่นล้านบาทใน 3Q24)อย่างไรก็ตาม คาดว่าการฟื้นตัวของ 4Q24 จะทำได้น้อยกว่ามุมมองก่อนหน้า และยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจาก : 1. ธุรกิจโรงกลั่น คาดลดลง QoQ เพราะการปิดซ่อมบำรุงหน่วยเพิ่มคุณภาพน้ำมัน ทำให้อัตรากลั่นเหลือ 95% และค่าการกลั่นน่าจะทำได้เพียงประคองตัวที่ US$3.6/bbl เนื่องจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (น้ำมันดีเซล) ลดลง 2. ธุรกิจอะโรมาติกส์ คาดปรับตัวลง QoQ ตามทิศทางส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์หลัก PX และ BZ 3. ธุรกิจโอเลฟินส์ คาดได้รับผลกระทบจากการบันทึกต้นทุนย้อนหลัง (Retroactive) ภายใต้โครงสร้างสัญญาซื้อขาย Ethane ใหม่ (ราคาต้นทุนแพงขึ้น แต่ชดเชยได้จากปริมาณวัตถุดิบ Ethane ที่ให้ Margin ดีเพิ่มขึ้น) 4. ธุรกิจ Polymer คาดอ่อนแอลง QoQ สอดคล้องกับราคาผลิตภัณฑ์ PE ในตลาดโลก และผลกระทบ Lag-time ของราคาขาย 5. ธุรกิจ Performance Chemicals ลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาลช่วง Low Season ของ Allnex ทำให้ปริมาณขายลดลงปรับลดประมาณการปี 2024 สะท้อนคาดการณ์ 4Q24 หาก 4Q24 เป็นไปตามคาด ถือว่าทำได้น้อยกว่ามุมมองก่อนหน้า เราปรับประมาณการปี 2024 ลงเป็นขาดทุนสุทธิ 2.8 หมื่นล้านบาท (เดิมขาดทุน 2.0 หมื่นล้านบาท) โดยปรับลดสมมติฐาน Margin ผลิตภัณฑ์อะโรมาติกส์, Polymer, Performance Chemicals รวมทั้งปรับเพิ่มรายการขาดทุนสต็อกน้ำมัน และขาดทุนด้อยค่าสินทรัพย์ ปี 2025 เริ่มต้นใหม่ สถานการณ์ค่อยๆ ดีขึ้นสำหรับปี 2025 แม้อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังไม่กลับสู่ภาวะสดใส และบริษัทฯ มีแผนปิดซ่อมบำรุงใหญ่โรงกลั่น 50 วันช่วงเดือนต.ค. – พ.ย. อย่างไรก็ตาม เรามองว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้นจากปี 2024 เพราะ: 1. PTTGC ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ช่วยลดภาระขาดทุนจาก Vencorex และ PTT Asahi ราว 4-5 พันล้านบาท/ปี และไม่มีการด้อยค่าสินทรัพย์จำนวนมาก 2. ทิศทาง Spread ปิโตรเคมีค่อยๆ ดีขึ้น 3. ปริมาณวัตถุดิบ Ethane เพิ่มขึ้น ช่วยสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุน 4. รับรู้ประโยชน์จากการกลับมาใช้งานท่อ SPM เต็มปี (ลดค่าใช้จ่าย 1.8 พันล้านบาท/ปี) คงประมาณการปี 2025 พลิกเป็นกำไร 1.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ ยังมี Upside จากรายการพิเศษ หาก PTTGC สามารถหาเจ้าของใหม่ Vencorex ในไทยและสหรัฐฯ ได้ประเด็นลบส่วนใหญ่สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้วปรับราคาเหมาะสมเป็น 28.00 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” จากมุมมองระยะยาว เชื่อว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้น และประเด็นลบส่วนใหญ่สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว ปัจจุบันซื้อขายบน PBV ที่ 0.4 เท่า (Discount -1.7 SD) อย่างไรก็ตาม แนวโน้ม 4Q24 อ่อนแอ อาจทำให้หุ้นมีความเสี่ยงถูกตลาดปรับลดประมาณการ เชิงกลยุทธ์ นักลงทุนอาจเข้าลงทุนหลังผ่านการรายงานงบการเงินวันที่ 17 ก.พ.

SAV คาดกำไร Q4 ทำสถิติสูงสุด 97% จ่อเซ็น MOU ลาว หนุนโตก้าวกระโดด

SAV คาดกำไร Q4 ทำสถิติสูงสุด 97% จ่อเซ็น MOU ลาว หนุนโตก้าวกระโดด

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี คงคำแนะนำ Buy ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย (TP25F) เป็น 27.75 บาท (เดิม 25.75 บาท) เรามอง Positive ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q24F คาดทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็น 132 ล้านบาท (+97% yy +4% qq) ตามการฟื้นตัวของปริมาณเที่ยวบิน แนวโน้มกำไร 1Q25F โตต่อตามฤดูกาล ลุ้นเซ็น MOU งานบริหารจราจรทางอากาศให้ประเทศลาวใน 1Q25F หนุนเที่ยวบินโตก้าวกระโดด 2-3 เท่าตัว • SAV (Buy, TP25F-27.75):

AOT หมดกังวลนทท.จีน  คาดกำไร Q1 พุ่ง 32% แนะซื้อ เป้า 64.5 บ.

AOT หมดกังวลนทท.จีน คาดกำไร Q1 พุ่ง 32% แนะซื้อ เป้า 64.5 บ.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี เปลี่ยนคำแนะนำ AOT เป็น Buy (เดิม Trading Buy) คงราคาเป้าหมาย (TP25F) 64.50 บาท เรามองว่าราคาหุ้น AOT ลดลงสะท้อนความกังวลประเด็นนักท่องเที่ยวจีนมากเกินไป และเรายังมอง Positive ต่อแนวโน้มกำไร 1Q25F (ต.ค.-ธ.ค. 24) โตต่อเนื่อง (+23% yy +32% qq) ตามการฟื้นตัวของปริมาณการเดินทาง และกำไร 2Q25F มีแนวโน้มโตต่อเนื่องตามฤดูกาล นอกจากนี้ยังมี Upside risk จากอีกหลายโครงการที่คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ • AOT (Buy, TP25F-64.5):

มอเตอร์เวย์นครปฐม-ชะอำ 4.4 หมื่นล้านบาท หุ้นไหนรับทรัพย์!

มอเตอร์เวย์นครปฐม-ชะอำ 4.4 หมื่นล้านบาท หุ้นไหนรับทรัพย์!

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) รมว.คมนาคม คาดภายใน 1Q25F จะสามารถเสนอโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 8 (มอเตอร์เวย์) ช่วงนครปฐม-ชะอำ ในเฟสแรกช่วงนครปฐม-ปากท่อ ระยะทาง 61 กม.ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา โดยขณะนี้โครงการมีความพร้อม ทั้ง การศึกษา ออกแบบ ศึกษารายงานเปลี่ยนแปลงการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ผ่านการพิจารณาคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ซึ่งหาก ครม.อนุมัติคาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ช่วงปลายปี25F เริ่มก่อสร้างในปี26F ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินเป็นบวก โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการขนาดใหญ่ (Mega Projects) มีมูลค่าสูงถึง 4.4 หมื่นล้านบาท ขณะที่เป็นความคืบหน้าโครงการ (Mega Projects) ที่ 3 นับจาก ธ.ค. 24 ที่ ครม. ทยอยเห็นชอบ 1.) หลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 5 สายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต-บางปะอิน ของกรมทางหลวง หรือ M5 มูลค่า 3.1 หมื่นล้าน บาท และ 2.) โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์ รังสิต ระยะทาง 8.84 กม. วงเงินลงทุน 6.47 พันล้านบาท เราประเมินน่าจะเริ่มหนุนกระแสหุ้นอิงเม็ดเงินลงทุนรัฐฯ เด่นขึ้น ทั้งกลุ่มธนาคารอิงสินเชื่อโครงการรัฐฯ KTB กลุ่มรับเหมา เน้นกลุ่มเสาเข็มที่ได้ประโยชน์ก่อน PYLON กลุ่ม Home Improvement ที่เน้นสินค้าวัสดุฯ DOHOME, GLOBAL

PTTEP ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น หนุน มีปันผล 7.8% โบรกแนะซื้อ เป้า 153.5 บ.

PTTEP ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น หนุน มีปันผล 7.8% โบรกแนะซื้อ เป้า 153.5 บ.

หุ้นวิชั่น – บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า PTTEP รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่า BV และให้เงินปันผลสูงถึง 7.8% FY67F คาดกำไร +2%yoy ดีกว่าประมาณเดิม แม้ราคาขายเฉลี่ยลดลงแต่ได้ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นชดเชย ประเมินราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ 153.5 บ. เทียบเท่า FY68F P/E=6x และ D/P=7.8%

CPALL คาดปี 67 กำไรโต 30% โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 77 บาท

CPALL คาดปี 67 กำไรโต 30% โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 77 บาท

          หุ้นวิชั่น – บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุ CPALL 4Q67F คาดกำไรเติบโตเด่น qoq และ yoy จากฤดูกาลท่องเที่ยว ช่วงเทศกาล และจาก Synergy FY67F คาดกำไร >30%yoy และ FY68F >15%yoy โดย 1Q68F ได้มาตรการ E-Receipt ช่วย ประเมินราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ 77 บ. เทียบเท่า FY68F P/E=21x

KSS คาด SET ปรับตัวขึ้น จับตา ก.ล.ต.เรียกความเชื่อมั่น แถมเศรษฐกิจหนุน

KSS คาด SET ปรับตัวขึ้น จับตา ก.ล.ต.เรียกความเชื่อมั่น แถมเศรษฐกิจหนุน

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Up” ต้าน 1367/1382 จุด รับ 1340/1335 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯฟื้นเด่น ดัชนี S&P500 +1.83% หลังเงินเฟ้อเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐฯ (CPI) ออกมาตามคาด +2.9% y-y, +0.4% m-m แต่จุดสำคัญคือเงินเฟ้อพื้นฐาน ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย +3.2% y-y, +0.3%m-m หนุน US Bond Yield 10 ปี วานนี้ -10 bps ปิดที่ระดับ 4.65% เป็นจิตวิทยาบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงโลก ผสานความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์คลายลง หลังอิสราเอล-ฮามาสบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ส่วนวันนี้ให้ติดตามรายงานยอดค้าปลีก ขณะที่ภายใน SET เริ่มมีแรงซื้อจาก Domestic Long Term Funds ในกรอบ Value Zone ดัชนี 1360-1345 จุด มีERP ที่ 4.05% (AVG + 1 S.D. ซึ่งมักเป็นจุดที่ตลาดกลับตัวเชิงพื้นฐาน 4 ใน 5 ครั้ง หลังปี 2011 ยกเว้นวิกฤติ Covid-19) นอกจากนี้ ก.ล.ต. เตรียมมาตรการสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาด อาทิ การเพิ่มระดับการเปิดเผยข้อมูลจำนำหุ้น รวมถึงมาตรการเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาล ทั้งระยะสั้น (กระตุ้นบริโภค) และระยะกลาง (แก้กฎระเบียบ ต่างๆ) หนุนการลงทุน หนุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ เน้นหุ้นในธีม Peaking Yield (ไฟฟ้า เช่าซื้อ) หุ้นเทคโนโลยี(สื่อสาร ดิจิทัล ชิ้นส่วน) หุ้นน้ำมัน (น้ำมันดีดแรงตอบรับดอลาร์อ่อนลง) วันนี้แนะนำ GULF, INTUCH, PTTEP เด่น

KLINIQ คาดกำไร Q4 ที่ 90 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้าที่ 36 บาท

KLINIQ คาดกำไร Q4 ที่ 90 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้าที่ 36 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี มอง Positive ต่อกำไร 4Q24F เริ่มเข้าสู่ช่วงที่ดี คาด 90 ลบ. (+15% y-y, +21% q-q) vs 9M24 +6% y-y ทั้งจาก SSSG คาด +13% y-y vs 3Q24 +2.8% y-y รวมถึงสาขาใหม่ที่เปิดเพิ่มมีนัยสำคัญในช่วง 1Q24 เริ่มดีขึ้นหลังจากขาดทุนในช่วงแรก และหนุน Gross Margin ฟื้นตัว โดยรวมกำไรปี 2024F มี Upside Risk 3% และคงกำไรปี 25F ที่ 360 ลบ. (+18% y-y) ภายใต้อุตสาหกรรมความงามที่ยังเติบโต โดยส่วนคลินิกเริ่มฟื้นตัวจากสาขาใหม่ในปี 24 ที่เริ่มทำกำไร และส่วนศูนย์ศัลยกรรมยังมีโมเมนตัมที่ดี ราคาหุ้นซื้อขายที่ PER25F 17 (-2.4SD) แนะนำ “Buy” จาก TP25F 36.0 บาท อิง PER 22 เท่า KLINIQ (Buy, TP-36)

อิสราเอลและฮามาสหยุดยิง เอาไงหุ้นพลังงาน เช็กเลย!

อิสราเอลและฮามาสหยุดยิง เอาไงหุ้นพลังงาน เช็กเลย!

หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า มีรายงานว่าอิสราเอลและกลุ่มฮามาสได้บรรลุข้อสัญญาหยุดยิงระหว่างกันแล้วเพื่อยุติสงครามที่ยืดเยื้อมากว่า 15 เดือน โดยการหยุดยิงจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ โดยช่วงเริ่มต้น 6 สัปดาห์แรกจะรวมถึงการถอนกำลังทหารอิสราเอลออกจากฉนวนกาซาตอนกลางอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการกลับคืนถิ่นของชาวปาเลสไตน์ที่พลัดถิ่นไปยังฉนวนกาซาตอนเหนือ การปล่อยตัวประกันของทั้งสองฝ่าย และการส่งกลับคืนร่างผู้เสียชีวิตและการก่อสร้างฉนวนกาซ่าขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้ การดำเนินการตามข้อตกลงนี้จะได้รับการประกันโดยกาตาร์ อียิปต์ และสหรัฐอเมริกา (US) ในขณะเดียวกัน สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบคงคลังไม่รวมสำรองน้ำมันยุทธศาสตร์ (US crude inventories excluding SPR) ลดลง 2.0 ล้านบาร์เรล (mmbbl) ในสัปดาห์ที่แล้ว เป็น 412.7 mmbbl มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.0 mmbbl ต่ำที่สุดตั้งแต่เดือน เม.ย.2022 โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์การส่งออกน้ำมันที่สูงขึ้น (ที่มา: Reuters, Bloomberg) มีมุมมองเป็นกลางต่อข่าวดังกล่าวต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบต่อจากนี้จะได้แรงหนุนจากการคว่ำบาตร (sanction) การส่งออกน้ำมันของรัสเซียโดย US ซึ่งอาจส่งผลให้อุปทานน้ำมันโลกลดลงและทำให้ตลาดน้ำมันโลกตึงตัวมากขึ้น วานนี้ ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ Brent สูงขึ้น 2.6% เป็น USD82.0/bbl           ทั้งนี้ ยังคงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2025E ที่ USD73.0/bbl ลดลงจาก USD79.8/bbl ในปี 2024 และคงน้ำหนักการลงทุน "เท่ากับตลาด" ทั้งนี้ สำหรับภาพรวมระยะสั้นเชื่อว่ากลุ่มโรงกลั่นจะรายงานกำไรที่ฟื้นตัว QoQ ใน 4Q24E ตามแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่ดีขึ้นและผลขาดทุนจากสต๊อกที่เป็นไปได้ที่ลดลง โดยชอบ SPRC (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท), และ BCP (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท) ในขณะเดียวกัน มองว่า PTTEP (ซื้อ/เป้า 160.00 บาท) จะได้แรงหนุนจากราคาขายเฉลี่ย (blended ASP) ที่สูงขึ้น

AOTตรุษจีนผู้โดยสารดีด โบรกเคาะพื้นฐาน 72 บาท

AOTตรุษจีนผู้โดยสารดีด โบรกเคาะพื้นฐาน 72 บาท

หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 24 ม.ค.-2 ก.พ.2025 รวม 10 วัน คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางผ่านสนามบินของ AOT ทั้ง 6 แห่ง กว่า 4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในจำนวนนี้จะเป็นผู้เดินทางจากประเทศจีนประมาณ 7.7 แสนคน เพิ่มขึ้น 22.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนจำนวนเที่ยวบินจะอยู่ที่ 24,599 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 16.7% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น) มองเป็นบวกเล็กน้อย โดยการเติบโตระดับ +10% YoY ยังอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยที่เราประมาณการไว้ ซึ่งเราประเมินจำนวนผู้โดยสาร FY25E ที่ 132 ล้านคน +11% YoY ขณะที่ 1QFY25E (ต.ค.-ธ.ค.24) มีผู้โดยสาร 34 ล้านคน +16% YoY และช่วงเทศกาลปีใหม่จำนวนผู้โดยสารโต 20% YoY สำหรับนักท่องเที่ยวจีนยังเติบโตดี เนื่องจากปี 2024 เทศกาลตรุษจีนอยู่ในเดือน ก.พ. ส่วนในปี 2025 อยู่ในเดือน ม.ค. อย่างไรก็ดี เรายังคงต้องติดตามสถานการณ์ของนักท่องเที่ยวจีนอย่างใกล้ชิดหลังจากมีข่าวเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนเข้ามากดดันในระยะสั้น ทั้งนี้ เรายังคงประมาณการกำไร FY25E ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท +20% YoY โดยประเมินกำไรสุทธิ 1QFY25E จะทำได้ดีที่ 5.7 พันล้านบาท (+24% YoY, +33% QoQ) ตามจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นเป็น และ 2QFY25E จะยังดีต่อเนื่องจาก high season ของการท่องเที่ยว และยังแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 72.00 บาท อิง DCF (WACC 7%, terminal growth 3.5%)

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456