ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#ส่งออกไทย


“พิชัย” แจ้งข่าวดี! ส่งออกไทย ก.พ.68 โต 14% รัฐบาล

“พิชัย” แจ้งข่าวดี! ส่งออกไทย ก.พ.68 โต 14% รัฐบาล "แพทองธาร" 5 เดือนโตเฉลี่ย 11.8%

             หุ้นวิชั่น - วันที่ 21 มีนาคม 2568 ณ กระทรวงพาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยตัวเลขส่งออกไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ขยายตัว 14% คิดเป็นมูลค่า 26,707.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 906,520 ล้านบาท ต่อเนื่องจากเดือนมกราคมที่โต 13.6% ทำให้เฉลี่ย 2 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกขยายตัวแล้วถึง 13.8% มูลค่า 51,984.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นบวกต่อเนื่อง 8 เดือน              นายพิชัยกล่าวว่า การส่งออกเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่สำคัญของไทย โดยรัฐบาลตั้งเป้าขยายตัวเศรษฐกิจเกิน 3% และต้องการให้การส่งออกไทยเติบโตอย่างน้อย 3.5% ปัจจุบันการส่งออกขยายตัวถึง 13.8% ซึ่งเป็นสัญญาณบวก และคาดว่าเดือนมีนาคมรวมถึงเดือนถัดไปจะขยายตัวต่อเนื่องจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น              นายพิชัยกล่าวว่า เครื่องยนต์เศรษฐกิจของไทย กำลังไปได้ดีทุกตัว โดยในปีที่แล้วไทยมียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 1.13 ล้านล้านบาท ขณะนี้หลายโรงงานใกล้เสร็จและพร้อมเริ่มการผลิตเพื่อส่งออก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแผงวงจรพิมพ์ หรือ PCB และข้อมูลจาก BOI ระบุว่า 2 เดือนแรกของปี 2568 มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว การส่งออก 2 เดือนแรกโต 13.8% การลงทุนขยายตัวสูงกว่าปีก่อน การท่องเที่ยวปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยว 36 ล้านคน ปีนี้คาดว่าแตะ 39-40 ล้านคน ถึงแม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่ปัญหาหนี้ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ จึงสนับสนุนแนวคิดการแก้หนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ และอาจขยายตัวถึง 5-6%              ตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่รัฐบาล ท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศ การส่งออกไทยเติบโตต่อเนื่อง โดยมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 11.8% โดยเดือนตุลาคม 2567 ขยายตัว 14.6% เดือนพฤศจิกายน 2567 ขยายตัว 8.2% เดือนธันวาคม 2567 ขยายตัว 8.7% เดือนมกราคม 2568 ขยายตัว 13.6% และเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ขยายตัว 14% ซึ่งการส่งออกไทยกำลังฟื้นตัวจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ไทยเป็นประเทศเล็กและเปิด จำเป็นต้องพึ่งพาการส่งออก ในอดีตตัวเลขไม่ดีเพราะการลงทุนหดตัว แต่ขณะนี้การลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้การส่งออกขยายตัว              นายพิชัย กล่าวว่า การนำเข้าของไทยในช่วงที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นมากกว่าการส่งออก เนื่องจากเป็นการนำเข้าสินค้าทุนและสินค้าขั้นกลาง เพื่อนำมาผลิตเพื่อส่งออกและขยายการผลิตในอนาคต ซึ่งเป็นสัญญาณบวกในเชิงเศรษฐศาสตร์ หากเราสามารถแก้ปัญหาหนี้ของประชาชนและภาคธุรกิจได้สำเร็จ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวเกิน 5% และเดินหน้าเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว              ด้านนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติม รายละเอียดดังนี้ มูลค่าการค้ารวมมูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 การส่งออก มีมูลค่า 26,707.1ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 14.0 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า24,718.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 4.0ดุลการค้า เกินดุล 1,988.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวมการส่งออก 2 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกมีมูลค่า 51,984.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 13.8 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 51,876.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 6.0 ดุลการค้า เกินดุล 108.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนกุมภาพันธ์2568 การส่งออก มีมูลค่า 906,520 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9.4เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า848,824 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 0.2 ดุลการค้า เกินดุล 57,696 ล้านบาท ภาพรวมการส่งออก 2 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออก มีมูลค่า 1,768,887 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 10.6 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า1,786,936 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 3.1 ดุลการค้า ขาดดุล 18,049 ล้านบาท การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร              มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 3.9 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน โดยสินค้าเกษตร หดตัวร้อยละ 1.6 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวร้อยละ 9.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 35.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 16 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย เกาหลีใต้ และเวียดนาม)น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 25.8 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย เวียดนาม ลาว จีน และมาเลเซีย) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 9.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน เนเธอร์แลนด์ และ ไอร์แลนด์) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 27.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 14 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ เมียนมา กัมพูชา และออสเตรเลีย) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 14.4 ขยายตัวต่อเนื่อง 17 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อิตาลี เวียดนาม และสหราชอาณาจักร) และผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 22.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 17 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และแคนาดา)              ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ข้าว หดตัวร้อยละ 34.3 หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ แอฟริกาใต้ โกตดิวัวร์ แองโกลา และเซเนกัล แต่ขยายตัวในตลาดอิรัก จีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ และแคนาดา) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 15.8 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดจีน อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน และฟิลิปปินส์แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ มาเลเซีย เกาหลีใต้ เวียดนาม และลาว) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง หดตัวร้อยละ 3.7 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดจีน เกาหลีใต้ สหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร แต่ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม ฮ่องกง และอินเดีย) และเนื้อสัตว์และของปรุงแต่งที่ทำจากเนื้อสัตว์ หดตัวร้อยละ 6.7 หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ ลาว และออสเตรเลีย แต่ขยายตัวในตลาดกัมพูชา เมียนมา ฮ่องกง เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์) ทั้งนี้ 2 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 2.1 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม              มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 17.2 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 11 เดือน โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 4.5 กลับมาขยายตัวในรอบ 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดฟิลิปปินส์ เวียดนาม สหรัฐฯ เม็กซิโก และอินโดนีเซีย) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 51.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 11 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และฮ่องกง)อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 106.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินเดีย สหรัฐฯ เยอรมนี สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร) ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวร้อยละ16.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และมาเลเซีย) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 32.8 ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม ออสเตรเลีย อินเดีย และไต้หวัน) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 21.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 12 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์) แผงวงจรไฟฟ้า ขยายตัวร้อยละ 24.8 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ สหรัฐฯ และเวียดนาม)              ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ หดตัวร้อยละ 13.2 หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดอินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และเมียนมา แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน เวียดนาม และลาว) เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 10.1 หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ สาธารณรัฐเช็ก จีน และฮ่องกง แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เม็กซิโก สิงคโปร์ เมียนมา และไอร์แลนด์) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด หดตัวร้อยละ 46.1 หดตัวต่อเนื่อง 12 เดือน(หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง เกาหลีใต้ อินเดีย และเวียดนาม แต่ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซีย) ทั้งนี้ 2 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 17.1 ตลาดส่งออกสำคัญ              การส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัว โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดจีนที่ขยายตัวเร่งขึ้นตามการฟื้นตัวของภาคการผลิต ตลาดเอเชียใต้ขยายตัวสูงต่อเนื่องตามการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (โลหะมีค่า) ไปยังอินเดีย ประกอบกับยังมีการเร่งนำเข้าใน              ตลาดสหรัฐฯ จากความกังวลมาตรการกำแพงภาษีในอนาคต ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 7.7 โดยขยายตัวต่อเนื่องในตลาดสหรัฐฯ ร้อยละ 18.3 จีนร้อยละ 22.4 และสหภาพยุโรป (27) ร้อยละ 4.5 แต่หดตัวในตลาดญี่ปุ่น ร้อยละ 3.1 อาเซียน (5) ร้อยละ 0.5 และ CLMVร้อยละ 1.8 (2) ตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 21.2 โดยขยายตัวในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 129.5ตะวันออกกลาง ร้อยละ 6.7 แอฟริกา ร้อยละ 6.8 ลาตินอเมริกา ร้อยละ 17.9 รัสเซียและกลุ่ม CIS ร้อยละ 30.2 และสหราชอาณาจักร ร้อยละ 3.7 แต่หดตัวในตลาดทวีปออสเตรเลีย ร้อยละ 7.7 และ (3) ตลาดอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 184.6              ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 18.3 (ขยายตัวต่อเนื่อง 17 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ ทั้งนี้ 2 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 20.3              ตลาดจีน ขยายตัวร้อยละ 22.4 (ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เม็ดพลาสติก และผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ทั้งนี้ 2 เดือนแรกของปี 2568ขยายตัวร้อยละ 17.9              ตลาดญี่ปุ่น หดตัวร้อยละ 3.1 (กลับมาหดตัวในรอบ 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ยางพาราเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และทองแดงและของทำด้วยทองแดง ทั้งนี้ 2 เดือนแรกของปี 2568 หดตัวร้อยละ 0.6              ตลาดสหภาพยุโรป (27) ขยายตัวร้อยละ 4.5(ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัวเช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ และไก่แปรรูปสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบหม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ทั้งนี้ 2 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 9.1              ตลาดอาเซียน (5) หดตัวร้อยละ 0.5 (กลับมาหดตัวหลังจากขยายตัวในเดือนก่อน) สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น สินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และน้ำตาลทราย ทั้งนี้ 2 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 2.2              ตลาด CLMV หดตัวร้อยละ 1.8 (กลับมาหดตัวในรอบ 14 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ น้ำมันสำเร็จรูป และทองแดงและของทำด้วยทองแดง สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ ทั้งนี้ 2 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 1.7              ตลาดเอเชียใต้ ขยายตัวร้อยละ 129.5 (ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่นอัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม และเคมีภัณฑ์ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ทองแดงและของทำด้วยทองแดง เส้นใยประดิษฐ์ และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ 2 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 120.8              ตลาดทวีปออสเตรเลีย หดตัวร้อยละ 7.7 (หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล และเครื่องซักผ้าและเครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ ทั้งนี้ 2 เดือนแรกของปี 2568 หดตัวร้อยละ 17.3              ตลาดตะวันออกกลาง ขยายตัวร้อยละ 6.7 (กลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวในเดือนก่อน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ข้าว และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ทั้งนี้ 2 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 2.3              ตลาดแอฟริกา ขยายตัวร้อยละ 6.8 (ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และเครื่องยนต์สันดาปภายใน สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ข้าว เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก ทั้งนี้ 2 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 10.1              ตลาดลาตินอเมริกา ขยายตัวร้อยละ 17.9 (ขยายตัวต่อเนื่อง 11 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่นหม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ผลิตภัณฑ์พลาสติก เคมีภัณฑ์ และเครื่องนุ่งห่ม ทั้งนี้ 2 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 19.7              ตลาดประชาคมรัฐเอกราช (CIS) ขยายตัวร้อยละ 30.2 (กลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวในเดือนก่อน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ทั้งนี้ 2 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 12.2              ตลาดสหราชอาณาจักร ขยายตัวร้อยละ 3.7(ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัวเช่น ไก่แปรรูป เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ทั้งนี้ 2 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 6.7 แนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าการส่งออกในไตรมาสแรกของปี 2568 จะยังคงมีทิศทางการเติบโตที่น่าพอใจ โดยได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัยสำคัญ ทั้งความเชื่อมั่นในภาคการผลิตที่มีแนวโน้มปรับตัวในเชิงบวก ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เริ่มคลี่คลายลง อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายที่ต้องเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง อาทิ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ และมาตรการตอบโต้จากประเทศต่างๆ ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับระบบการค้าโลก ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิตสินค้าเกษตรของไทย ตลอดจนกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมวางแนวทางการดำเนินงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อรับมือกับสภาวการณ์ที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เช็ก! หุ้นได้ประโยชน์ตัวเลขส่งออกไทยขยายตัว

เช็ก! หุ้นได้ประโยชน์ตัวเลขส่งออกไทยขยายตัว

              หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุ กระทรวงพาณิชย์เผยตัวเลขส่งออก เดือน ก.พ.68 ออกมาขยายตัว 14.00%y-y เพิ่มขึ้นจากเดือน ม.ค.68 ที่ 13.60%y-y ทำให้ตัวเลขส่งออกรวมเดือน ม.ค.-ก.พ.68 ออกมาขยายตัว 13.8% ขณะที่ตัวเลขนำเข้าในเดือน ก.พ.68 ออกมาขยายตัว 4.00%y-y ลดลงจากเดือน ม.ค.68 ที่ 7.9%y-y ทำให้ดุลการค้าพลิกมาเกินดุล 1.99 พันล้านเหรียญฯ เบื้องต้น สินค้าที่ยังขยายตัวได้ดี ได้แก่ -ยางพารา ขยายตัว 35.7%y-y (ขยายตัว 16 เดือนต่อเนื่อง) -ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และ แปรรูป ขยายตัว 9.3%y-y (ขยายตัว 5 เดือนต่อเนื่อง) -ผลไม้สด ขยายตัว 12.7%y-y (พลิกมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 3 เดือน) -สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 9.9%y-y (ขยายตัว 8 เดือนต่อเนื่อง) -สินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 17.2%y-y (ขยายตัว 11 เดือนต่อเนื่อง) -ข้าวสาลี และ อาหารสำเร็จรูปอื่นๆ ขยายตัว 27.7%y-y (ขยายตัว 14 เดือนต่อเนื่อง) -ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัว 22.5%y-y (ขยายตัว 17 เดือนต่อเนื่อง) -อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัว 14.4%y-y (ขยายตัว 17 เดือนต่อเนื่อง) -อัญมณี และ เครื่องประดับ ขยายตัว 106.3%y-y (ขยายตัว 4 เดือนต่อเนื่อง) -เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ และ ส่วนประกอบ ขยายตัว 51.3%y-y(ขยายตัว 11 เดือนต่อเนื่อง) -เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัว 32.8%y-y (ขยายตัว 8 เดือนต่อเนื่อง) -ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัว 16.9%y-y (ขยายตัว 8 เดือนต่อเนื่อง) ทางฝ่ายมองหุ้นที่อยู่ในกลุ่มสินค้าที่ยังส่งออกได้ดี จะได้รับ Sentiment บวก มองหุ้นน่าสนใจมีดังนี้ ยางพารา และ ผลิตภัณฑ์ยาง : NER, STA, STGT, TRUBB ไก่สด และ แปรรูป : CPF, TFG, GFPT อาหารสัตว์เลี้ยง : ITC, AAI ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ : DELTA, HANA, KCE, CCET, SVI

ส่งออกไทยขยายตัว 7 เดือนต่อเนื่อง เดือน ม.ค. ขยายตัว 13.6%

ส่งออกไทยขยายตัว 7 เดือนต่อเนื่อง เดือน ม.ค. ขยายตัว 13.6%

          หุ้นวิชั่น - นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ แถลง การส่งออกของไทยในเดือนมกราคม 2568 มีมูลค่า 25,277.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (862,367 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ที่ร้อยละ 13.6 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ร้อยละ 11.4           โดยได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวกลับสู่กรอบเป้าหมาย และ การขยายตัวของกิจกรรมภาคการผลิต ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 3.3 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นทั้งในภาคการผลิตและผู้บริโภค นอกจากนี้ การส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ และจีนขยายตัวในระดับสูง ส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าทุนและวัตถุดิบของไทย ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจสร้างแรงกดดันต่อการค้าโลก มูลค่าการค้ารวม           มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนมกราคม 2568 การส่งออก มีมูลค่า 25,277.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 13.6 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 27,157.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 7.9 ดุลการค้า ขาดดุล 1,880.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ           มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนมกราคม 2568 การส่งออก มีมูลค่า 862,367 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 11.8 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 938,112 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 6.3 ดุลการค้า ขาดดุล 75,746 ล้านบาท การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร           มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 0.1 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน โดยสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 3.0 ในขณะที่สินค้าเกษตร หดตัวร้อยละ 2.2 โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 45.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 15 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ มาเลเซีย และเกาหลีใต้) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 12.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 11.8 ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อียิปต์ และซาอุดีอาระเบีย) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 13.0 ขยายตัวต่อเนื่อง 16 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ออสเตรเลีย เยอรมนี เวียดนาม และไต้หวัน) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 19.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ เมียนมา ออสเตรเลีย และลาว) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 13.4 ขยายตัวต่อเนื่อง 16 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี รัสเซีย และมาเลเซีย)           ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ข้าว หดตัวร้อยละ 32.4 หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (หดตัวในตลาดแคนาดา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เยเมน และจีน แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ อิรัก แอฟริกาใต้ เซเนกัล และญี่ปุ่น) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง หดตัวร้อยละ 11.0 กลับมาหดตัวในรอบ 3 เดือน (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่ขยายตัวในตลาดเวียดนาม ฮ่องกง อินโดนีเซีย เมียนมา และอินเดีย) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 7.9 กลับมา หดตัวหลังจากขยายตัวในเดือนก่อนหน้า (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไต้หวัน มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ แต่ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และเนเธอร์แลนด์) เครื่องดื่ม หดตัวร้อยละ 16.0 กลับมาหดตัวในรอบ 3 เดือน (หดตัวในตลาดกัมพูชา เมียนมา เวียดนาม มาเลเซีย และจีน แต่ขยายตัวในตลาดลาว ฮ่องกง ออสเตรเลีย สหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์) ผักกระป๋อง และแปรรูป หดตัวร้อยละ 13.3 กลับมาหดตัวในรอบ 4 เดือน (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และไต้หวัน แต่ขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย ลาว ฮ่องกง และเมียนมา) การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม           มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 17.0 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 10 เดือน โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 45.0 ขยายตัวต่อเนื่อง 10 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 148.8 ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินเดีย สหรัฐฯ อิตาลี กาตาร์ และสหราชอาณาจักร) ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวร้อยละ 19.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และอินเดีย) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 28.1 ขยายตัวต่อเนื่อง 11 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย อินเดีย และเบลเยียม)  เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 33.2 ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม อินเดีย อิตาลี และตุรกี)           ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 16.5 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อาร์เจนตินา และบราซิล) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ หดตัวร้อยละ 18.6 หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย แต่ขยายตัวในตลาดอินเดีย ฟิลิปปินส์ เมียนมา เกาหลีใต้ และเวียดนาม) เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 16.8 หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ เมียนมา จีน และฮ่องกง แต่ขยายตัวในตลาดสิงคโปร์ เม็กซิโก ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเช็ก และไอร์แลนด์) เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว หดตัวร้อยละ 18.3 หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ จีน มาเลเซีย และออสเตรเลีย แต่ขยายตัวในตลาดเมียนมา กัมพูชา เวียดนาม ฮ่องกง และสหรัฐฯ) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด หดตัวร้อยละ 38.2 หดตัวต่อเนื่อง 11 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง จีน เกาหลีใต้ และไต้หวัน แต่ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เม็กซิโก และสหราชอาณาจักร) ตลาดส่งออกสำคัญ           การส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัว สอดคล้องกับสัญญาณการฟื้นตัวของภาคการผลิตโลก ประกอบกับตามความต้องการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้น ท่ามกลางความกังวลต่อความเสี่ยงของนโยบายกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ และจีน ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 11.2 โดยขยายตัวทุกตลาด ได้แก่ สหรัฐฯ ร้อยละ 22.4 จีน ร้อยละ 13.2 ญี่ปุ่น ร้อยละ 1.9 สหภาพยุโรป (27) ร้อยละ 13.8 อาเซียน (5) ร้อยละ 4.8 และ CLMV ร้อยละ 5.2 (2) ตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 10.3 โดยขยายตัวในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 111.5 แอฟริกา ร้อยละ 13.9 ลาตินอเมริกา ร้อยละ 21.6 และสหราชอาณาจักร ร้อยละ 9.8 แต่หดตัวในตลาดทวีปออสเตรเลีย ร้อยละ 26.9 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 2.1 และรัสเซียและกลุ่ม CIS ร้อยละ 5.7 (3) ตลาดอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 472.8           ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 22.4 (ขยายตัวต่อเนื่อง 16 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์           ตลาดจีน ขยายตัวร้อยละ 13.2 (ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง ยางพารา และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง แผงวงจรไฟฟ้า และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้           ตลาดญี่ปุ่น ขยายตัวร้อยละ 1.9 (ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ยางพารา และไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว แผงวงจรไฟฟ้า และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ           ตลาดสหภาพยุโรป(27) ขยายตัวร้อยละ 13.8 (ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ           ตลาดอาเซียน (5) ขยายตัวร้อยละ 4.8 (กลับมาขยายตัวในรอบ 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ อากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำตาลทราย           ตลาด CLMV ขยายตัวร้อยละ 5.2 (ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องดื่ม และทองแดงและของทำด้วยทองแดง           ตลาดเอเชียใต้ ขยายตัวร้อยละ 111.5 (ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ทองแดงและของทำด้วยทองแดง เคมีภัณฑ์ และกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ           ตลาดทวีปออสเตรเลีย หดตัวร้อยละ 26.9 (หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าสำคัญ ที่ขยายตัว เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์ยาง           ตลาดตะวันออกกลาง หดตัวร้อยละ 2.1 (ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยางพารา และข้าว สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้           ตลาดแอฟริกา ขยายตัวร้อยละ 13.9 (ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ข้าว เครื่องยนต์สันดาปภายใน และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป           ตลาดลาตินอเมริกา ขยายตัวร้อยละ 21.6 (ขยายตัวต่อเนื่อง 10 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์พลาสติก           ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS กลับมาหดตัวร้อยละ 5.7 สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล และอัญมณีและเครื่องประดับ สินค้าสำคัญ ที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ และอากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบ           ตลาดสหราชอาณาจักร ขยายตัวร้อยละ 9.8 (ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ไก่แปรรูป เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว และรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ แนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไป           แนวโน้มการส่งออกในปี 2568 กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 2-3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเติบโตตามการขยายตัวของภาคการผลิต สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลางที่เริ่มคลี่คลาย ดัชนีราคาอาหารโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นซึ่งสะท้อนความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโอกาสการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการทดแทนสินค้านำเข้าจากจีน อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยท้าทายที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ สถานการณ์การค้าโลกที่ยังคงตึงเครียด ความเสี่ยงของการเกิดวิกฤตเงินเฟ้อรอบใหม่ในสหรัฐฯ ผลกระทบจากมาตรการจำกัดการส่งออกน้ำมันของรัสเซียที่อาจส่งผลต่อราคาพลังงานและค่าระวางเรือ ตลอดจนผลกระทบจากมาตรการทางการค้าต่าง ๆ เช่น การปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และการทะลักเข้ามาของสินค้าจีน ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องรักษาสมดุลทางการค้า กระจายความเสี่ยงด้านตลาด และกำหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดจากสถานการณ์ที่ท้าทาย

 พาณิชย์เผยสถิติที่สุดแห่งปี การส่งออกสินค้าเกษตรไทย ปี 67

 พาณิชย์เผยสถิติที่สุดแห่งปี การส่งออกสินค้าเกษตรไทย ปี 67

          หุ้นวิชั่น - นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยไฮไลท์สถิติสำคัญของการส่งออกสินค้าเกษตรไทย ประจำปี 2567 โดยภาพรวมการส่งออกของไทยในปีที่ผ่านมา มีมูลค่า 300,529.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (10,548,759 ล้านบาท) ขยายตัว 5.4% ซึ่งการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มีสัดส่วน 17.36% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย คิดเป็นมูลค่า 52,185.0 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,835,800 ล้านบาท) ขยายตัวที่ 6.0% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีสถิติสำคัญ ดังนี้ การส่งออกสินค้าเกษตร (สินค้ากสิกรรม สินค้าปศุสัตว์ และสินค้าประมง) ไทยส่งออกสินค้าเกษตร มูลค่ารวม 28,827.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,014,588 ล้านบาท) ขยายตัวที่ 7.5% เมื่อเทียบกับปี 2566 (ปี 2566 มูลค่ารวม 26,814.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 923,999 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่อง 4 ปี ตั้งแต่ปี 2564 - 2567 สินค้าเกษตรที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก คือ (1) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง 6,510.6 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 22.58% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตร (2) ข้าว 6,443.9 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 22.32% (3) ยางพารา 4,992.4 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 17.32% (4) ไก่ 4,313.7 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 14.96% และ (5) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง 3,133.4 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 10.87% รวม 5 อันดับแรก มีสัดส่วน 88.06% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด ตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรก คือ (1) จีน 10,054.7 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 34.88% (2) ญี่ปุ่น 3,471.9 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 12.04% (3) สหรัฐอเมริกา 1,899.7 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 6.59% (4) มาเลเซีย 1,215.4 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 4.22% และ (5) อินโดนีเซีย 1,154.8 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 4.01% รวม 5 อันดับแรก มีสัดส่วน 61.73% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด สินค้าเกษตรที่มูลค่าการส่งออกขยายตัวสูงสุด 5 อันดับแรก (พิจารณาจากสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 20 อันดับแรก) ได้แก่ (1) สัตว์น้ำจำพวกกุ้ง ปู หอย และปลาหมึก ขยายตัว 87.1% (2) ยางพารา ขยายตัว 36.8% (3) ปลาสด แช่เย็น แช่แข็ง 26.6% (4) ข้าว 25.0% และ (5) เครื่องเทศและสมุนไพร 23.1% ตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่มูลค่าการส่งออกขยายตัวสูงสุด 5 อันดับแรก (พิจารณาจากตลาดที่มีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรสูงที่สุด 20 อันดับแรก) ได้แก่ (1) เวียดนาม ขยายตัว 78.9% (2) เซเนกัล 69.7% (3) อิรัก 44.9% (4) ฟิลิปปินส์ 41.7% และ (5) อิตาลี 35.8% การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร: ไทยส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร มูลค่ารวม 23,357.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (821,212 ล้านบาท) ขยายตัวที่ 4.1% เมื่อเทียบกับปี 2566 (ปี 2566 มูลค่ารวม 22,440.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 772,669 ล้านบาท) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก คือ (1) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 3,845.2 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 16.46% ของมูลค่าส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร (2) อาหารสัตว์เลี้ยง 3,029.3 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 12.97% (3) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ 2,677.2 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 11.46% (4) น้ำตาลทราย 2,382.7 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 10.2 % และ (5) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป 2,120.9 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 9.08% รวม 5 อันดับแรก คิดเป็นสัดส่วน 60.17% ของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมด ตลาดส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่มีมูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรก คือ (1) สหรัฐฯ 3,437.9 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 14.72% (2) จีน 2,304.0 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 9.86% (3) ญี่ปุ่น 1,712.9 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 7.33% (4) กัมพูชา 1,625.1 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 6.96% และ (5) เมียนมา 1,071.8 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 4.59% รวม 5 อันดับแรก คิดเป็นสัดส่วน 43.46% ของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมด สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่มูลค่าการส่งออกขยายตัวสูงสุด 5 อันดับแรก (พิจารณาจากสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด 20 อันดับแรก) (1) อาหารสัตว์เลี้ยง 22.9% (2) กากน้ำตาล ขยายตัว 22.2% (3) นมและผลิตภัณฑ์นม 21.3% (4) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป 18.3% และ (5) โกโก้และของปรุงแต่ง 16.0% ตลาดส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่มูลค่าการส่งออกขยายตัวสูงสุด 5 อันดับแรก (พิจารณาจากตลาดที่มีมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรสูงสุด 20 อันดับแรก) (1) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขยายตัว 27.6% (2) แคนนาดา 21.6% (3) ออสเตรเลีย 19.9% (4) สหรัฐฯ 19.7% และ (5) สหราชอาณาจักร 16.5% สถิติดังกล่าวมีไฮไลท์ที่น่าสนใจ ดังนี้ (1) ปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มีมูลค่าถึง 52,185.0 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นครั้งแรกที่ไทยมีการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเกินกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แสดงให้เห็นถึงบทบาทของภาคเกษตรและอาหารที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญของไทยส่วนใหญ่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) หรือมีการแปรรูปขั้นต้นเท่านั้น ดังนั้น จึงต้องเร่งส่งเสริมและผลักดันให้ไทยส่งออกสินค้าเกษตรมูลค่าสูงและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้น อาทิ อาหารแปรรูปมูลค่าสูง สินค้าเกษตรอัตลักษณ์ และสินค้าเกษตรสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (สินค้า GI) (2) สินค้าเกษตรที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก มีสัดส่วนถึง 88.06% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก มีสัดส่วน 60.17% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า ไทยพึ่งพาการส่งออกสินค้าไม่กี่รายการ อาทิ ผลไม้ ข้าว ยางพารา ไก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และอาหารสัตว์เลี้ยง ไทยจึงควรนำเสนอผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรที่หลากหลายขึ้น และตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น (3) ตลาดส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่ไทยพึ่งพาสูง ได้แก่ จีน (สัดส่วน 23.68% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมดของไทย) สหรัฐอเมริกา (สัดส่วน 10.23%) และญี่ปุ่น (สัดส่วน 9.94%) ทั้ง 3 ตลาดมึสัดส่วน 43.85% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมดของไทย จึงควรหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาบางตลาดมากเกินไป รวมทั้งติดตามมาตรการทางการค้าจากจีนและสหรัฐฯ จากสงครามการค้ารอบใหม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย โฆษกกระทรวงพาณิชย์กล่าวทิ้งท้ายว่า สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เป็นสินค้าสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันสนับสนุนให้เศรษฐกิจภาคเกษตรเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะ การนำผลการวิจัยและเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และประเมินความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบต่าง ๆ อาทิ สภาพภูมิอากาศ และสงครามการค้า ทำการตลาดและเจาะตลาดใหม่ ควบคู่กับการรักษาตลาดเดิม รวมทั้งติดตามมาตรการการนำเข้าของประเทศคู่ค้าเพื่อวางแผนปฏิบัติตามได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง รวมทั้งต้องพัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร การเก็บรักษา และบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อยกระดับการส่งออกภาคเกษตรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า 4 กุมภาพันธ์ 2568

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

ส่งออก ธ.ค. แรงยังดี หวั่นสงครามการค้ากระทบครึ่งหลังปีนี้

ส่งออก ธ.ค. แรงยังดี หวั่นสงครามการค้ากระทบครึ่งหลังปีนี้

          หุ้นวิชั่น - ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC วิเคราะห์ภาพรวมการส่งออกของไทย ระบุ ธ.ค. แรงยังดี หวั่นสงครามการค้ากระทบครึ่งหลังปี 2025  มูลค่าส่งออกสินค้าไทยเดือน ธ.ค. 2024 โตเร่งขึ้น 8.7% ขยายตัว 6 เดือนต่อเนื่อง           มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยเดือน ธ.ค. 2024 อยู่ที่ 24,765.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 8.7%YOY (เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน) เร่งขึ้นจาก 8.2% ในเดือนก่อนหน้า สูงกว่าคาดการณ์ (SCB EIC ประเมินไว้ 7.1% ขณะที่ Reuter Poll มีค่ากลางของการคาดการณ์ 8.1%) หากไม่รวมทองคำจะขยายตัวใกล้เคียงเดิมที่ 8.7%           ภาพรวมส่งออกไทยเดือน ธ.ค. ดีต่อเนื่อง โดยทรงตัวจากเดือนก่อนแบบปรับฤดูกาล (0%MOM_SA) ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก (1) การเร่งส่งออกจากความกังวลด้านมาตรการกีดกันการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ และคู่ค้า โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ เครื่องจักร และเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นสินค้ากลุ่มที่มีความเสี่ยงว่าอาจจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ (สินค้าสามกลุ่มนี้มีส่วนทำให้มูลค่าการส่งออกเดือนนี้เพิ่มขึ้นมากถึง 5%) (2) อานิสงส์วัฏจักรขาขึ้นของสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ และ (3) การส่งออกทองคำยังขยายตัวสูง 7.2% แม้ชะลอลงมาก (ทองคำมีส่วนทำให้มูลค่าการส่งออกเดือนนี้เพิ่มขึ้น 0.5%) ผลจากราคาทองคำอยู่ในระดับสูงและความต้องการสะสมทองคำเพื่อรองรับจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ส่งออกเดือน ธ.ค. โตดีเกือบทุกหมวด ยกเว้นแร่และเชื้อเพลิงที่ยังคงหดตัวมาก           หากพิจารณารายหมวด พบว่า (1) สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกัน 9 เดือนที่ 11.1% สูงกว่าเดือนก่อนที่ 9.5% โดยเฉพาะอัญมณีและเครื่องประดับหักทอง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล เครื่องปรับอากาศ ผลิตภัณฑ์ยาง และทองคำยังไม่ขึ้นรูป ขณะที่เหล็ก เครื่องยนต์สันดาป รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอดเป็นสินค้าหลักที่หดตัว (2) สินค้าเกษตรขยายตัว 10.7% เร่งขึ้นมากจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.1% ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน โดยเฉพาะยางพาราและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขณะที่ข้าวเป็นสินค้าหลักที่หดตัว (3) สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรขยายตัวชะลอลงเล็กน้อย 6.7% จาก 7.7% ในเดือนก่อน โดยอาหารสัตว์เลี้ยง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และเครื่องดื่มยังขยายตัวดี ขณะที่ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์และน้ำตาลทรายเป็นสินค้าสำคัญที่หดตัว และ (4) สินค้าแร่และเชื้อเพลิงหดตัวแรง -32.0% จาก -7.1% ในเดือนก่อน ตามการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปที่หดตัวถึง -33.7% เทียบ -16.3% ในเดือนก่อน (รูปที่ 1 และ 2) การส่งออกขยายตัวสูงในหลายตลาดหลัก โดยเฉพาะสหรัฐฯ จีน ยุโรป และอินเดีย           หากพิจารณารายตลาดหลัก พบว่า (1) ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัว 17.5% สูงกว่าเดือนก่อนที่ 9.5% เกือบเท่าตัว โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ แผงสวิตช์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกลที่ขยายตัวมากถึง 160.4%, 92.3%, 63.7% และ 55.5% ตามลำดับ (2) ตลาดยุโรป ขยายตัวต่อเนื่อง 22% เทียบ 12% ในเดือนก่อน โดยจำนวนสินค้าส่งออกสำคัญขยายตัวสูงถึง 11 ใน 15 รายการ โดยเฉพาะเครื่องจักรกลและส่วนประกอบขยายตัวมากถึง 177.5% เทียบกับ 14.2% ในเดือนก่อน (3) ตลาดญี่ปุ่น พลิกกลับมาขยายตัวเล็กน้อย 0.6% จาก -3.7% ในเดือนก่อน โดยจำนวนสินค้าส่งออกสำคัญขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 11 ใน 15 รายการ เทียบกับ 5 รายการในเดือนก่อน (4) ตลาดจีน โตชะลอลงเล็กน้อยที่ 15% จาก 16.9% ในเดือนก่อน โดยการส่งออกผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้งชะลอตัวลงมากเป็น 1.8% จาก 47.6% ในเดือนก่อนหน้า การส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบชะลอตัวลงเกือบครึ่งที่ 78.8% จาก 126.8% ในเดือนก่อน (5) ตลาดฮ่องกง หดตัวแรงเป็น -23.3% จาก -9.9% ในเดือนก่อน โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้ากลุ่มสำคัญที่หดตัว และ (6) ตลาด CLMV ขยายตัว 20.7% ใกล้เคียงเดือนก่อน การส่งออกบางรายการเช่นน้ำมันสำเร็จรูปหดตัวมากขึ้น -10.3% จาก -0.7% ในเดือนก่อน การส่งออกไปยังกัมพูชา เมียนมาและเวียดนาม ยังคงขยายตัว 55.3%, 47.5% และ 5.8% ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไป สปป. ลาว กลับมาหดตัว -3.1% การส่งออกไทยทั้งปี 2024 โตดีกว่าคาดอยู่ที่ 5.4% โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลัง           ภาพรวมมูลค่าการส่งออกไทยในปี 2024 อยู่ที่ 300,529.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 5.4% ปรับดีขึ้นมากจากที่เคยหดตัว -0.8% ในปี 2023 (ตัวเลขระบบศุลกากร) โดยในช่วงไตรมาสแรกมูลค่าการส่งออกหดตัวเล็กน้อย -0.3% แต่พลิกกลับมาขยายตัว 4.3% ในไตรมาสที่ 2 ตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของประเทศสำคัญทั่วโลก ระดับน้ำในคลองปานามากลับมาเป็นปกติส่งผลให้การขนส่งสินค้าดำเนินการได้ปกติขึ้น และราคาสินค้าส่งออกที่ดีในหลายกลุ่มสินค้า เช่น ราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณผลผลิตในตลาดโลกที่ลดลงจากภัยแล้งและนโยบายควบคุมการส่งออกสินค้าในบางประเทศ เช่น ข้าว ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ส่งผลให้ช่วงครึ่งแรกของปีมูลค่าการส่งออกขยายตัว 1.9% ขณะที่มูลค่าการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งหลังของปีขยายตัวดีมากที่ 9% (7.5% และ 10.5%ในไตรมาสที่ 3 และ 4 ตามลำดับ) จากการส่งออกทองคำสูงขึ้นมาก อานิสงส์วัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และอุปสงค์ต่างประเทศเริ่มเร่งตัวจากความกังวลประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่อาจเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มในปี 2025 ประกอบกับปัจจัยฐานต่ำในไตรมาสสุดท้าย           ช่วงตลอดปี 2024 การส่งออกไทยได้แรงขับเคลื่อนจากสินค้าทุกหมวด ยกเว้นแร่และเชื้อเพลิง โดยหมวดสินค้าเกษตรขยายตัวดีที่สุด รองมาเป็นสินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่ขยายตัว 7.5%, 5.9% และ 4.1% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม สินค้าแร่และเชื้อเพลิงหดตัว -6.5% สำหรับภาพรวมตลาดส่งออกสำคัญเติบโตดี นำโดย สหรัฐฯ CLMV สหภาพยุโรป และจีนที่ขยายตัว 13.7%, 12.7%, 9.5% และ 3.1% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การส่งออกไปญี่ปุ่นหดตัว -5.3% ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เช่นเดียวกับตลาดอาเซียน 5 ที่หดตัว -0.8% ใกล้เคียง -1.1% ในปีก่อน โดยสหรัฐฯ นับว่าเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของไทย มูลค่ารวม 54,956.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าปีก่อนที่ 48,352.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ คิดเป็น 18.3% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมดเพิ่มจาก 17% ในปีก่อน การนำเข้าเดือน ธ.ค. เร่งตัวสูงตามคาดจากฐานต่ำ แต่ดุลการค้าขาดดุลน้อยสุดในรอบ 3 เดือน           มูลค่าการนำเข้าสินค้าไทยเดือน ธ.ค. อยู่ที่ 24,776.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เร่งขึ้น 14.9% (SCB EIC ประเมินไว้ 14.8% ขณะที่ Reuter Poll มีค่ากลางของการคาดการณ์ 13.7%) เทียบกับ 0.9% ในเดือนก่อน มูลค่าการนำเข้าขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน โดยการนำเข้าอาวุธและยุทธปัจจัย สินค้าทุน สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สินค้าอุปโภคบริโภค ขยายตัว 46.8%, 33.5%, 20.4% และ 13.3% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ยานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง สินค้าเชื้อเพลิง และสินค้าทุนหดตัวต่อเนื่องที่ -21.3% และ -9.3% ตามลำดับ ภาพรวมมูลค่าการนำเข้าทั้งปี 2024 ขยายตัว 6.3% หลังจากที่หดตัว -4.2% ในปี 2023 สำหรับดุลการค้าในระบบศุลกากรเดือน ธ.ค. ขาดดุลเล็กน้อย -10.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ภาพรวมดุลการค้าไทยทั้งปี 2024 ขาดดุล -6,280.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตัวเลขระบบศุลกากร) ในช่วงต้นปี 2025 การส่งออกมีแนวโน้มโตดีต่อเนื่อง แต่ครึ่งปีหลังมีปัจจัยกดดันสูง           การส่งออกไทยในช่วงต้นปี 2025 จะยังมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่อง จากแนวโน้มการเร่งสั่งซื้อสินค้าของประเทศคู่ค้าก่อนนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ ประกอบกับปัจจัยฐานที่ไม่สูงนัก นอกจากนี้ ยังมีอานิสงส์เพิ่มเติมจากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้นที่ยังมีอยู่บ้างแม้ต้องระวังความเสี่ยงจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ และราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปี 2025 จากอากาศที่หนาวมากกว่าคาด ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าส่งออกกลุ่มน้ำมันและกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันเพิ่มขึ้น เช่น พลาสติกและปิโตรเคมี อย่างไรก็ดี ในระยะถัดไปราคาน้ำมันมีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางลบจากนโยบายเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี แรงกดดันการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะเพิ่มสูงขึ้นมากจาก (1) เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงเป็น 2.5% ในปี 2025 จาก 2.7% ในปี 2024 จากทั้งผลของนโยบายกีดกันการค้า การลงทุน และการเคลื่อนย้ายพรมแดนที่จะเกิดขึ้นในหลายประเทศ          ทั่วโลก นอกจากนี้ หลายเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญยังเผชิญกับปัญหาภายใน เช่น จีนที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างหลากหลายด้าน ยุโรปที่เผชิญการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและปัญหาการเมืองในฝรั่งเศสและเยอรมนี เป็นต้น (2) บรรยากาศการค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 จากผลกระทบนโยบายกีดกันการค้าในหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ รวมถึงผลจากการเร่งส่งออกในช่วงปลายปี 2024 และต้นปี 2025 (3) ความต้องการสินค้าขั้นกลางที่ไทยส่งออกไปจีนเพื่อผลิตเป็นสินค้าขั้นปลายอาจชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าขั้นปลายที่จีนส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ และปัญหาจีนผลิตล้นตลาด (China’s overcapacity) มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในตลาดโลก กดดันความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทยในการส่งออก และ (4) ปัจจัยฐานสูงในปี 2024 ที่ขยายตัวมากกว่า 5%           ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินมุมมองการส่งออกไทยปี 2025 (ณ พ.ย. 2024) ที่ 2% (ข้อมูลระบบดุลการชำระเงิน)           โดย SCB EIC อยู่ระหว่างการประเมินแนวโน้มการส่งออกไทยในปี 2025 ใหม่และเผยแพร่ในเดือน ก.พ. รูปที่ 1 : มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทย รายสินค้าและรายตลาดสำคัญ รูปที่ 2 : มูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทย รายสินค้าและรายตลาดสำคัญ รูปที่ 3 : คอมพิวเตอร์ฯ อัญมณีและเครื่องประดับ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นสินค้าหลักที่ขับเคลื่อนการส่งออกไทยเดือน ธ.ค. 2024 บทวิเคราะห์โดย... https://www.scbeic.com/th/detail/product/trade-230125

ส่งออกไทยโต 6 เดือนติด STA - TEGH – COCOCO รับโชค

ส่งออกไทยโต 6 เดือนติด STA - TEGH – COCOCO รับโชค

          หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์รายงานยอดส่งออกเดือน ธ.ค. 24 เพิ่มขึ้น 8.7% YoY สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ 7.4% YoY ได้แรงหนุนจากทุกหมวดหมู่สินค้า สินค้าเกษตร เติบโต 6 เดือนติดต่อกันที่ 10.7% YoY สินค้าที่ขยายตัวดีคือ ยางพาราเติบโต 14 เดือนติดต่อกันที่ 48.5% YoY, มันสำปะหลังโต 7.8% YoY, ไก่สดและแปรรูปที่เติบโต 3 เดือนติดต่อกัน 7.1% YoY สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร เติบโต 6 เดือนติดต่อกันที่ 6.7% YoY สินค้าที่ขยายตัวดีคือ ผลไม้กระป๋องโต 24.3% YoY, อาหารทะเลกระป๋องโต 14.2% YoY, และอาหารสัตว์เลี้ยงโต 15 เดือนติดต่อกันที่ 9.7% YoY โดยสินค้าที่เติบโตเด่นได้แก่ น้ำมะพร้าวที่เร่งตัว 73.8% YoY ขณะที่ยอดส่งออกน้ำมะพร้าวไปสหรัฐฯ เร่งตัวถึง 109.6% YoY ปี 2024 New High แต่... ปี 2025 เสี่ยงฐานสูงและ Trade War           ยอดส่งออกไทยทั้งปี 2024 ขยายตัว 5.4% YoY ทำสถิติสูงสุดใหม่ นับเป็นปัจจัยหนุนต่อ GDP 4Q24 และทั้งปี 2024 ที่มีกำหนดรายงานในวันที่ 19 ก.พ. 2025 อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกเริ่มชะลอตัวในบางหมวดสินค้า ซึ่งอาจสะท้อนถึงความเสี่ยงจากฐานที่สูงขึ้นในระยะถัดไป รวมถึงความเสี่ยงจากสงครามทางการค้า หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยได้เริ่มพิจารณาขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกกับแคนาดาในอัตรา 25% และเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10% แม้ว่านโยบายภาษีดูผ่อนคลายกว่าที่ตลาดคาดไว้ แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูง และอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะถัดไป ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำเก็งกำไรระยะสั้นแบบ สินค้าอุตสาหกรรม เติบโต 9 เดือนติดต่อกันที่ 11.1% YoY สินค้าที่เติบโตดีคืออัญมณี, เครื่องคอมพิวเตอร์, เครื่องจักร, เครื่องปรับอากาศ, ผลิตภัณฑ์ยาง และเคมีภัณฑ์ Disclaimer: Selective ในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการส่งออกที่ขยายตัว ได้แก่ กลุ่มยางพารา (STA, TEGH) และน้ำมะพร้าว (COCOCO)           นอกจากนี้เรามองว่ายอดส่งออกที่เติบโตดี คาดจะหนุนให้ GDP 4Q24 และทั้งปี 2024 เติบโตดีเช่นกัน ซึ่งจะเป็นบวกต่อ SET Index ในภาพรวม

ส่งออก ธันวาคม โต 8.7% NER-COCOCO โดดเด่น

ส่งออก ธันวาคม โต 8.7% NER-COCOCO โดดเด่น

           หุ้นวิชั่น - ส่งออกไทยเดือนธันวาคม 2567 ขยายตัว 8.7% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3 แสนล้านดอลลาร์ ดัน GDP ไตรมาส 4 มีโอกาสโตเกินคาด สินค้าที่เติบโตเด่นคือ น้ำมะพร้าว โต75%ยางพารา โต48.5% ปีหน้าคาดส่งออกโต 2– 3% โบรกมองหุ้นเด่น NER-MALEE-COCOCO -KTB- TTB            นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ แถลง การส่งออกของไทยในเดือนธันวาคม 2567 มีมูลค่า 24,765.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (853,305 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ร้อยละ 8.7 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ร้อยละ 10.4 ภาพรวมการส่งออกทั้งปี 2567 ทำมูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยการส่งออกในรูปของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ พุ่งทะยานสู่ระดับ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรก เช่นเดียวกับการส่งออกในรูปของเงินบาทก็มีมูลค่าสูงกว่า 10 ล้านล้านบาท เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ การส่งออกในเดือนธันวาคมได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าทุนและวัตถุดิบของไทยในทุกหมวดและยังขยายตัวเกือบทุกตลาดส่งออกสำคัญ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าโลกในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ การส่งออกของไทยทั้งปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 5.4 และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 5.4 มูลค่าการค้ารวม            มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนธันวาคม 2567 การส่งออก มีมูลค่า 24,765.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 8.7 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 24,776.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 14.9 ดุลการค้า ขาดดุล 10.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวมของทั้งปี 2567 การส่งออก มีมูลค่า 300,529.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 5.4 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 306,809.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 6.3 ดุลการค้าของปี 2567 ขาดดุล 6,280.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ            มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนธันวาคม 2567 การส่งออก มีมูลค่า 853,305 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.2 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 863,930 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 13.4 ดุลการค้า ขาดดุล 10,625 ล้านบาท ภาพรวมของทั้งปี 2567 การส่งออก มีมูลค่า 10,548,759 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.3 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน            การนำเข้า มีมูลค่า 10,896,480 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 3.8 ดุลการค้าของปี 2567 ขาดดุล 347,721 ล้านบาท การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร            มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 8.9 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน โดยสินค้าเกษตร ขยายตัวร้อยละ 10.7 และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 6.7 โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 48.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 14 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ มาเลเซีย และเกาหลีใต้) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 7.1 ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน เนเธอร์แลนด์ และฮ่องกง) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 14.2 ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอียิปต์) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัวร้อยละ 4.0 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และเกาหลีใต้)            อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 9.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 15 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ไต้หวัน เยอรมนี ฟิลิปปินส์ และอินเดีย) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 12.0 ขยายตัวต่อเนื่อง 12 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ออสเตรเลีย เมียนมา และลาว) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขยายตัวร้อยละ 7.8 กลับมาขยายตัวในรอบ 14 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และเนเธอร์แลนด์) และผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 24.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 15 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เนเธอร์แลนด์ ลาว และมาเลเซีย)            ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ข้าว หดตัวร้อยละ 8.5 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อิรัก และเซเนกัล แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง เยเมน แอฟริกาใต้ และโมซัมบิก) และน้ำตาลทราย หดตัวร้อยละ 30.0 หดตัวต่อเนื่อง 12 เดือน (หดตัวในตลาดกัมพูชา ลาว ไต้หวัน สิงคโปร์ และจีน แต่ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย เกาหลีใต้ เมียนมา และเฟรนช์โปลีนีเซีย) ทั้งนี้ ปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 6.0 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม            มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 11.1 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือน โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 43.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เยอรมนี สิงคโปร์ และไอร์แลนด์) ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวร้อยละ 22.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย และมาเลเซีย) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 79.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินเดีย สหรัฐฯ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ญี่ปุ่น และเวียดนาม) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 35.6 ขยายตัวต่อเนือง 10 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น จีน และอินโดนีเซีย) เคมีภัณฑ์ ขยายตัวร้อยละ 20.1 ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน อินเดีย สหรัฐฯ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 28.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินเดีย และอิตาลี)            ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 7.2 กลับมาหดตัวหลังจากขยายตัวในเดือนก่อนหน้า (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย มาเลเซีย ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย และบราซิล แต่ขยายตัวในตลาดฟิลิปปินส์ สหรัฐฯ เม็กซิโก อินโดนีเซีย และเวียดนาม) น้ำมันสำเร็จรูป หดตัวร้อยละ 33.7 หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดลาว เวียดนาม เมียนมา สิงคโปร์ และมาเลเซีย แต่ขยายตัวในตลาดกัมพูชา จีน อินโดนีเซีย เขตต่อเนื่องราชอาณาจักร และอินเดีย) เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 28.3 หดตัวต่อเนื่อง 9 เดือน (หดตัวในตลาดอาร์เจนตินา สหรัฐฯ มาเลเซีย ไต้หวัน และจีน แต่ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย แอฟริกาใต้ อินเดีย ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด หดตัวร้อยละ 77.9 หดตัวต่อเนื่อง 10 เดือน (หดตัวในตลาดฮ่องกง ญี่ปุ่น สหรัฐฯ จีน และเกาหลีใต้ แต่ขยายตัวในตลาดไต้หวัน มาเลเซีย เยอรมนี เม็กซิโก และสหราชอาณาจักร) ทั้งนี้ ปี 2567 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว ร้อยละ 5.9 ตลาดส่งออกสำคัญ            การส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัว ตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่เพิ่มขึ้น จากความกังวลต่อความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าโลกในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 12.0 โดยขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ร้อยละ 17.5 จีน ร้อยละ 15.0 ญี่ปุ่น ร้อยละ 0.6 สหภาพยุโรป (27) ร้อยละ 19.1 และ CLMV ร้อยละ 20.7 ขณะที่อาเซียน (5) หดตัวร้อยละ 0.6 (2) ตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 6.2 โดยขยายตัวในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 44.5 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 11.3 แอฟริกา ร้อยละ 8.7 ลาตินอเมริกา ร้อยละ 12.3 รัสเซียและกลุ่ม CIS ร้อยละ 37.0 และสหราชอาณาจักร ร้อยละ 37.4 ขณะที่ตลาดทวีปออสเตรเลีย หดตัวร้อยละ 15.5 (3) ตลาดอื่น ๆ หดตัวร้อยละ 65.3            ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 17.5 (ขยายตัวต่อเนื่อง 15 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ ทั้งนี้ ปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 13.7            ตลาดจีน ขยายตัวร้อยละ 15.0 (ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ข้าว และแผงวงจรไฟฟ้า ทั้งนี้ ปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 3.1 ตลาดญี่ปุ่น กลับมาขยายตัวร้อยละ 0.6 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ไก่แปรรูป เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า และเคมีภัณฑ์ ทั้งนี้ ปี 2567 หดตัวร้อยละ 5.3            ตลาดสหภาพยุโรป (27) ขยายตัวร้อยละ 19.1 (ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และแผงวงจรไฟฟ้า ทั้งนี้ ปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 10.2 ตลาดอาเซียน (5) หดตัวร้อยละ 0.6 (หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น น้ำมันสำเร็จรูป ข้าว และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ ทั้งนี้ ปี 2567 หดตัวร้อยละ 0.8            ตลาด CLMV ขยายตัวร้อยละ 20.7 (ขยายตัวต่อเนื่อง 12 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องดื่ม สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น น้ำมันสำเร็จรูป กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ และน้ำตาลทราย ทั้งนี้ ปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 12.7            ตลาดเอเชียใต้ ขยายตัวร้อยละ 44.5 (ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ เคมีภัณฑ์ และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เม็ดพลาสติก เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และน้ำมันสำเร็จรูป ทั้งนี้ ปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 13.1            ตลาดทวีปออสเตรเลีย กลับมาหดตัวร้อยละ 15.5 สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเม็ดพลาสติก สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ทั้งนี้ ปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 2.1            ตลาดตะวันออกกลาง ขยายตัวร้อยละ 11.3 (ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ และเครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ทั้งนี้ ปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 3.8            ตลาดแอฟริกา ขยายตัวร้อยละ 8.7 (ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ข้าว และเครื่องยนต์สันดาปภายใน สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ทั้งนี้ ปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 0.5            ตลาดลาตินอเมริกา ขยายตัวร้อยละ 12.3 (ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องยนต์สันดาปภายใน และผลิตภัณฑ์พลาสติก ทั้งนี้ ปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 15.2            ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS กลับมาขยายตัวร้อยละ 37.0 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบ และน้ำมันสำเร็จรูป สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ ทั้งนี้ ปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 7.5            ตลาดสหราชอาณาจักร ขยายตัวร้อยละ 37.4 (ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ไก่แปรรูป และร

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

ส่งออกไทย ปี68 โต 2.5% ยังมีแรงกดดัน

ส่งออกไทย ปี68 โต 2.5% ยังมีแรงกดดัน

           หุ้นวิชั่น - คาดการณ์ส่งออกไทยปี 2568 มูลค่าแตะ 307,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตร้อยละ 2.5 จากปี 2567 แม้ได้รับแรงหนุนจากสินค้าเกษตร อิเล็กทรอนิกส์ และการย้ายฐานการผลิต แต่ยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้า นโยบายกีดกันทางการค้า และความผันผวนของค่าเงินบาท ตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ จีน และยุโรป อาจถูกกดดัน แต่ตลาดอาเซียนยังเติบโตแข็งแกร่ง วิเคราะห์ ทิศทางการส่งออกและ ตลาดส่งออก สินค้าของไทย ปี 68 ทิศทางการส่งออกของไทยในปี 2568            สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) คาดการณ์ว่าในปี 2568 มูลค่าการส่งออกของไทย จะขยายตัวร้อยละ 2 – 3 (ค่ากลางร้อยละ 2.5) หรือคิดเป็นมูลค่า 306,000 – 309,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ค่ากลาง  307,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากฐานปี 2567 ที่คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ขยายตัวร้อยละ 5.2) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าโลก ความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์โลก และมาตรการกีดกันทางการค้าที่จะทวีความรุนแรงขึ้นในปีหน้า ทั้งนี้ได้คำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงจากการดำเนินนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ แล้ว แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงจะต้องติดตามการประกาศมาตรการของสหรัฐฯ และประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ปัจจัยที่จะมีผลต่อการส่งออกของไทยในปี 2568 ปัจจัยหนุนมี 4 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ (1) การทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจโลก (2) ความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารที่ยังคงอยู่อย่างต่อเนื่อง (3) วัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขั้นกลางของไทย (สินค้า PCB) มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ (4) การได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต จากปัญหาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ปัจจัยท้าทายมี 4 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ (1) ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจการค้า ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และสงครามในตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและรุนแรงมากขึ้น รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน (2) ความแปรปรวนของสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ (3) ปริมาณการค้าที่ขยายตัวลดลง จากการใช้นโยบายกีดกันทางการค้า และ (4) ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มผันผวน สินค้าส่งออกของไทยในปี 2568 การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี เนื่องจากปริมาณน้ำมีเพียงพอต่อการผลิตสินค้าเกษตร จากอิทธิพลของลานีญาตั้งแต่กลางปี 2567 อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากปัญหาโลกร้อนจะยังคงส่งผลกระทบสืบเนื่องต่อการผลิตภาคการเกษตร ตลาดยังคงขยายตัวได้ดี ตามการฟื้นตัวของการบริโภคและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในส่วนของผลของราคาส่งออกสินค้าเกษตรน่าจะลดลง จากอุปทานสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่จะเพิ่มขึ้นผลจากการยกเลิกมาตรการระงับการส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศผู้ส่งออกสำคัญ นอกจากนี้ปัญหาโลจิสติกส์สินค้าเกษตรที่ชะงักงันน่าจะผ่อนคลายลงความรุนแรงของปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครนหรือตะวันออกกลางคาดว่าจะมีระดับทรงตัว ขณะที่ค่าเงินบาทคาดว่าจะแข็งค่ากว่าปีก่อนหน้าเล็กน้อย ปัญหาสำคัญของภาคการเกษตรไทยเกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการผลิตเป็นสำคัญ ผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น การเผชิญกับคู่แข่งผู้ผลิตสินค้าเกษตรที่เพิ่มพื้นที่การเพาะปลูกและยกระดับผลผลิตได้ดีทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น ขณะเดียวกันมาตรการทางการค้าที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้าบางประเทศ โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ผู้ส่งออกอุตสาหกรรมเกษตรต้องปรับตัวและบริหารจัดการต้นทุนให้แข็งขันได้ สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่คาดว่าการส่งออกจะเติบโต ได้แก่ ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง น้ำตาลทราย ยางพารา ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และอาหารสัตว์เลี้ยง การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อย คาดว่าผู้ส่งออกจะเร่งส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งปีแรก ก่อนที่จะเริ่มมีสัญญาณชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะสหรัฐฯ จีน และยุโรป เนื่องจากการออกมาตรการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะมีความชัดเจนขึ้นซึ่งจะสร้างอุปสรรคในการส่งออกสินค้าวัตถุดิบและชิ้นส่วนในระยะต่อไป นอกจากนี้สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงตามการปรับลดลงของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก อย่างไรก็ดีไทยได้รับประโยชน์จากการลงทุนย้ายฐานการผลิตในอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต่อการปรับโครงสร้างการผลิตของไทย เช่น Data Center การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เช่น wafer หรือ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน สอดรับกับกระแสการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ทั่วโลกที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง นับเป็นโอกาสต่อภาคอุตสาหกรรมของไทยที่จะพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ตลาดโลกมากขึ้น รวมถึงช่วยให้เศรษฐกิจของไทยสามารถเติบโตต่อไปได้ในระยะยาว สินค้าอุตสาหกรรมที่คาดว่าการส่งออกจะเติบโต ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และชิ้นส่วน เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) รถยนต์ EV และเคมีภัณฑ์ อย่างไรก็ตามยังต้องเฝ้าระวังสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ และโซลาร์เซลล์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ทั้งไทยและจีนมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เหมือนกัน และเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูง ตลาดส่งออกของไทยในปี 2568            คาดว่าเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย เช่น สหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น จะเติบโตปานกลาง จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่จะชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจโลก สร้างความเสี่ยงให้เงินเฟ้อกลับมาปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง การชะลอการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายลงเพิ่มเติม จึงอาจจะไม่เห็นการประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมมากนัก ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงอยู่ และการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจจะกลับมารุนแรงขึ้น อาจส่งผลให้ต้นทุนสินค้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า แต่คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักจะช่วยเพิ่มการลงทุนและการบริโภคให้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทย ในขณะที่ตลาดอาเซียนคาดว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของการส่งออกในปีหน้าจากอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งและการส่งออกที่ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อประเทศส่วนใหญ่มีแนวโน้มทรงตัว อาเซียนเป็นแหล่งลงทุนและฐานการผลิตสินค้าที่สำคัญของโลก และคว้าโอกาสจากการเบี่ยงเบนทางการค้า โดยฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนามจะเป็นประเทศที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง            ปี 2568 กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายที่จะรักษาตลาดส่งออกหลักเดิม ได้แก่ สหรัฐฯ จีน อาเซียน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และเพิ่มเติมตลาดรองที่มีศักยภาพ อาทิ เอเชียใต้ (อินเดีย) ตะวันออกกลาง  แอฟริกา ลาตินอเมริกา ที่มา : กองยุทธศาสตร์การพัฒนาความสามารถทางการแข่งขัน

ส่งออกไทยโต 5 เดือนต่อเนื่อง คาดกระทบกีดกันการค้าครึ่งหลังปี68

ส่งออกไทยโต 5 เดือนต่อเนื่อง คาดกระทบกีดกันการค้าครึ่งหลังปี68

           หุ้นวิชั่น - ส่งออก พ.ย. แรงยังดี SCB EIC มองสงครามการค้ารอบใหม่จะกระทบส่งออกไทยครึ่งหลังปี 2025  มูลค่าส่งออกสินค้าไทยเดือน พ.ย. 2024 ยังโตดี 8.2% ขยายตัว 5 เดือนต่อเนื่อง            มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยเดือน พ.ย. 2024 อยู่ที่ 25,608.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 8.2%YOY (เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน) สูงกว่าคาดการณ์ (SCB EIC ประเมินไว้ 6.5%) หากไม่รวมทองคำจะยังขยายตัวได้ 6.4% ภาพรวมมูลค่าการส่งออกไทย 11 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 275,767 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 5.1% (ตัวเลขระบบศุลกากร) ภาพรวมการส่งออกไทยเดือน พ.ย. ขยายตัวดีต่อเนื่อง            แม้หดตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อนแบบปรับฤดูกาล -0.5%MOM_SA ผลจาก (1) อานิสงส์วัฏจักรขาขึ้นของสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้การส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ขยายตัวสูงสองหลักติดต่อกัน (สินค้ากลุ่มนี้มีส่วนทำให้มูลค่าการส่งออกเดือนนี้เพิ่มขึ้นมากถึง 2.5%) (2) ส่งออกทองคำขยายตัวสูง (ทองคำมีส่วนทำให้มูลค่าการส่งออกเดือนนี้เพิ่มขึ้น 2.2%) ผลจากราคาทองคำอยู่ในระดับสูง และความต้องการสะสมทองคำเพื่อรองรับจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น และ (3) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตบางชนิดเริ่มกลับมาขยายตัว เช่น รถยนต์และส่วนประกอบกลับมาขยายตัว 4.8% หลังหดตัวนาน 3-4 เดือนก่อน ส่งออกเดือน พ.ย. ได้แรงขับเคลื่อนจากทุกหมวด ยกเว้นแร่และเชื้อเพลิง            หากพิจารณารายหมวด พบว่า (1) สินค้าอุตสาหกรรมเติบโต 9.5% ชะลอลงเทียบ 18.6% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะทองคำยังไม่ขึ้นรูป เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล เครื่องปรับอากาศ และผลิตภัณฑ์ยาง ขณะที่เหล็ก เครื่องยนต์สันดาป และอุปกรณ์ กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอดเป็นสินค้าหลักที่หดตัว (2) สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรขยายตัวต่อเนื่อง 7.7% ใกล้เคียงเดือนก่อน โดยอาหารสัตว์เลี้ยง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และเครื่องดื่ม ยังขยายตัวดี ขณะที่ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์และน้ำตาลทรายเป็นสินค้าสำคัญที่หดตัว (3) สินค้าเกษตรขยายตัวชะลอลงเหลือ 4.1% จาก 6.8% ในเดือนก่อน ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือนติดต่อกัน โดยเฉพาะผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง และยางพารา ขณะที่ข้าวและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นสินค้าสำคัญที่หดตัว และ (4) สินค้าแร่และเชื้อเพลิงยังคงหดตัว -7.1% แม้จะหดตัวน้อยลงเทียบ -22.2% ในเดือนก่อน ตามการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปที่หดตัวถึง -16.3% (รูปที่ 1 และ 2) ส่งออกไปจีนขยายตัวดี ขณะที่ตลาดส่งออกสำคัญส่วนมากชะลอตัว            หากพิจารณารายตลาดหลัก พบว่า (1) ตลาดจีน ขยายตัว 16.9% มากกว่าเดือนก่อนสองเท่า โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์ยาง และเคมีภัณฑ์ ที่ขยายตัว 126.8%, 94.6% และ 59.9% ตามลำดับ (2) ตลาดสหรัฐฯ ชะลอลงเหลือ 9.5% จาก 25.3% ในเดือนก่อน โดยมีเพียง 12 ใน 15 สินค้าส่งออกสำคัญที่ยังขยายตัว (เทียบ 14 ใน 15 รายการที่ขยายตัวได้ในเดือนก่อน) โดยเฉพาะเครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบที่หดตัว -13.5% นับเป็นการหดตัวครั้งแรกภายในปีนี้ (3) ตลาดยุโรป ชะลอตัวลงเหลือ 11.2% จาก 27.3% ในเดือนก่อน นำโดยรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบที่พลิกกลับมาหดตัว -37.2% ขณะที่แผงวงจรไฟฟ้าหดตัวต่อเนื่องทั้งปี (4) ตลาดญี่ปุ่น พลิกกลับมาหดตัว -3.7% โดยกว่าครึ่ง 8 ใน 15 สินค้าส่งออกสำคัญไปตลาดญี่ปุ่นหดตัว (5) ตลาดสวิตเซอร์แลนด์ ชะลอตัวมากเหลือ 28.7% จาก 127.1% ในเดือนก่อน สาเหตุหลักจากการส่งออกทองคำเติบโตชะลอลง เหลือเพียง 63.1% จาก 164.4% และ (6) ตลาด CLMV ชะลอตัวลงเล็กน้อยเหลือ 21.0% จาก 27.9% เนื่องจากการส่งออกไปกัมพูชาชะลอลงบ้าง ขณะที่การส่งออกไปเวียดนาม เมียนมา และ สปป.ลาว ยังขยายตัวต่อเนื่อง ดุลการค้ากลับมาขาดดุล หลังเกินดุลมา 3 เดือนติดต่อกัน            มูลค่าการนำเข้าสินค้าไทยเดือน พ.ย. อยู่ที่ 25,832.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ชะลอตัวเหลือ 0.9% เทียบ 15.9% เดือนก่อน การนำเข้าไทยขยายตัวติดต่อกัน 6 เดือน โดยการนำเข้าอาวุธและยุทธปัจจัยกลับมาขยายตัว 16.1% จากที่หดตัวแรง -13.2% ในเดือนก่อน นอกจากนี้ สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงขยายตัวต่อเนื่อง 14.0% และ 8.9% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ยานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง สินค้าเชื้อเพลิง และสินค้าทุนหดตัว -25.3% -21.1% และ -1.5% ตามลำดับ ดุลการค้าระบบศุลกากรเดือน พ.ย. ขาดดุล -224.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2024 ดุลการค้าไทยขาดดุล -6,269.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตัวเลขระบบศุลกากร) SCB EIC มองทั้งปี 2024 ส่งออกไทยอาจโตสูงเกิน 4% หากตัวเลขเดือน ธ.ค. ดีต่อเนื่อง            SCB EIC มองว่ามูลค่าการส่งออกไทยขยายตัวสูงต่อเนื่องช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งปี 2024 มีโอกาสขยายตัวสูงกว่า 4% แม้ที่ผ่านมาส่งออกไทยจะเผชิญอุปสรรคตั้งแต่ต้นปีจากเศรษฐกิจโลกที่คาดการณ์ว่าจะชะลอลงและอุปสรรคการขนส่งทางเรือในโลกหลายที่ แต่ส่งออกไทยกลับได้แรงหนุนจากหลายปัจจัยบวกที่ชัดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี เช่น เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว Soft landing ได้ การส่งออกทองคำสูงขึ้นมาก อานิสงส์วัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และอุปสงค์ต่างประเทศเริ่มเร่งตัวจากความกังวลประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่อาจเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มในปี 2025 ประกอบกับปัจจัยฐานต่ำในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของไทย 11 เดือนขยายตัวมากถึง 5.2% จึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่ตัวเลขการส่งออกของไทยทั้งปีอาจจะออกมาขยายตัวเกิน 4% สูงกว่าที่ SCB EIC และกระทรวงพาณิชย์ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ที่ 3.9% และ 4% ตามลำดับ ส่งออกไทยปี 2025 อาจไม่ง่าย ผลกระทบสงครามการค้าจะเริ่มเห็นชัดขึ้นครึ่งหลังปี 2025            แม้ส่งออกดูจะขยายตัวดีในช่วงท้ายปี 2024 และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องไปช่วงต้นปี 2025 SCB EIC ประเมินว่าการส่งออกของไทยระยะต่อไปจะเริ่มเจอแรงกดดันจากนโยบายกีดกันการค้ามากขึ้น โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ที่มาตรการกีดกันการค้าประเทศต่าง ๆ นอกจากจีนจะเริ่มมีผลบังคับใช้ โดยประเมินว่าประเทศไทยเสี่ยงสูงที่จะเจอนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าจาก Trump 2.0 เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบผ่านช่องทางการค้าเป็นหลัก สะท้อนจาก สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับไทยมากขึ้นเทียบช่วงทรัมป์ 0 : แม้สหรัฐฯ จะขาดดุลการค้ากับไทยมานานต่อเนื่อง แต่การขาดดุลยิ่งสูงขึ้นก้าวกระโดดนับตั้งแต่ปี 2021 โดยมูลค่าการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับไทยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจาก -2.28 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี 2017-2020 (Trump 1.0) เป็น -4.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 ซึ่งไทยจัดเป็นประเทศเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อันดับ 12 จาก 99 ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ในปี 2023 (รูปที่ 4 ซ้าย) หลายงานศึกษาประเมินว่า ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจาก Trump 2.0 มาก สะท้อนจาก Trump Risk Index สูง และอาจติดเกณฑ์ประเทศเข้าข่าย "Unfair Trade" กับสหรัฐฯ : จากผลศึกษาของ Information Technology and Innovation Foundation (ITIF) (รูปที่ 4 ขวา) พบว่าประเทศไทยมีคะแนน Trump Risk Index ติดอันดับ 2 ของโลก รองจากเม็กซิโก และเป็นอันดับ 1 ของเอเชียจาก 38 ประเทศพันธมิตรทั้งหมดของสหรัฐฯ สอดคล้องกับผลศึกษา Unfair Trade ของ Global Trade Alert (Nov 2024) ที่พบว่า ประเทศไทยจะติด 3 ใน 5 เกณฑ์ หากพิจารณาเกณฑ์เดียวกับที่ Trump 1.0 เคยใช้มาก่อน โดยไทยเป็น 1 ใน 14 ประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ ที่จะติดเกณฑ์นี้ (รูปที่ 4 ซ้าย) สินค้าส่งออกสำคัญของไทยมีความเสี่ยงถูกตั้งกำแพงภาษีจากนโยบาย Trump 2.0 : SCB EIC ประเมินว่ากว่า 70% ของสินค้าส่งออกหลักของไทยเป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มตั้งเป้าลดการขาดดุลการค้ากับโลก และต้องการส่งเสริม Local supply chain อาทิ สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์ (รูปที่ 5 ขวา) ทั้งนี้นโยบายจาก Trump 2.0 มีแนวโน้มจะกระทบภาคส่งออกไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ผลกระทบทางตรง (Direct impacts) : สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับ1 ของไทย (17% ของมูลค่าส่งออกไทยทั้งหมด) และไทยยังสร้างมูลค่าเพิ่มจากการส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ค่อนข้างสูง (รูปที่ 5 ซ้าย) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการส่งออกไทยโดยตรง จากนโยบายภาษีสินค้านำเข้า Trump 2.0  อย่างไรก็ดี ผลกระทบอาจจำกัดในบางกลุ่มสินค้า เนื่องจากสหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าบางชนิดจากไทย เนื่องจากผลิตในประเทศไม่พอความต้องการ ผลกระทบทางอ้อม (Indirect impacts) : ความต้องการสินค้าขั้นกลางที่ไทยส่งออกไปจีนเพื่อผลิตเป็นสินค้าขั้นปลายอาจชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าขั้นปลายที่จีนส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ และปัญหาจีนผลิตล้นตลาด (China’s overcapacity) มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน (รูปที่ 6 ขวา) จะกดดันความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทย ทั้งตลาดในและนอกประเทศ ส่งผลให้การส่งออกไทยเริ่มชะลอตัว ซ้ำเติมภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ยังไม่ฟื้นตัว            ปี 2025 อาจไม่ง่ายสำหรับภาคส่งออกไทย จากแรงกดดันภายนอกประเทศที่ท้าทายขึ้น โดย SCB EIC ประเมินว่ามูลค่าส่งออกสินค้าไทยจะขยายตัวได้ราว 2% (ตัวเลขระบบดุลการชำระเงิน) ลดลงกว่าครึ่งหนึ่งเทียบการเติบโตของการส่งออกในปี 2024 ดังนั้น เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ภาครัฐจำเป็นต้องเตรียมแนวทางเจรจา/ต่อรองกับสหรัฐฯ เพื่อหาวิธีลดความเสี่ยงต่อนโยบายภาษีนำเข้า Trump 2.0 ในช่วงปี 2025 โดยเฉพาะประเด็นการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของภาคการผลิตและภาคส่งออกไทยตั้งแต่ก่อนสงครามการค้ารอบใหม่จะเริ่มมีผลชัดเจนขึ้น ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงครึ่งหลังของปี หมายเหตุ : (*) หากความต่างเป็นบวก หมายถึง การนำเข้าขยายตัวได้สูงกว่าอัตราการเติบโตของการผลิตในประเทศหรือหดตัวน้อยกว่าการหดตัวของการผลิตในประเทศ ขณะที่ความต่างที่ติดลบ หมายถึง การนำเข้าขยายตัวต่ำกว่าอัตราการเติบโตของการผลิตในประเทศหรือหดตัวต่ำกว่าการลดลงของปริมาณการผลิตในประเทศ (**) ระดับความเสี่ยงประเมินจากลำดับมูลค่าการขาดดุลของ US จากสินค้าทั้งหมด 97 ประเภท โดย US ขาดดุลมากถึง 75 ประเภทสินค้า และมูลค่าสินค้าที่ขาดดุลมากที่สุดอันดับ 1 คือ หมวดอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ สินค้าที่เสี่ยงสูง (สีแดงหรือส้มเข้ม) คือ สินค้า 8 อันดับแรกที่ US มีการขาดดุลการค้ามากที่สุด ณ ปี 2023 (Percentile ที่ 10)  (***) สินค้าต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะเมื่อปี 2023 ได้ถูกสหรัฐกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมทุ่มตลาด โดยเฉพาะยางรถบรรทุกและรถบัส ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Trademaps บทวิเคราะห์โดย... https://www.scbeic.com/th/detail/product/trade-251224 ผู้เขียนบทวิเคราะห์ ภาวัต แสวงสัตย์ นักเศรษฐศาสตร์ ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ณฐพงศ์ ตันติจิรานนท์ นักเศรษฐศาสตร์

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011